1

 

 


 

                                                                 
คำถาม-คำตอบ ข้อ 401-450

450.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์สนองครับ

   ในการปฎิบัติภาวนาของผม บางครั้งก็จับภาพพระ บางครั้งสวดมนต์ แต่ส่วนใหญ่ผมมักจะจับลมหายใจ อานาปานสติ เมื่อระลึกได้หรือเวลาว่างเว้นจากงานติดพันทั้งหลาย ก็จะจับลมหายใจ บางครั้งจับที่ท้องเป็นยุบหนอ พองหนอ แบบที่ท่านอาจารย์ได้สอนไว้ บางครั้งจับที่จมูกและลำคอเช่นเวลามีการเคลื่อนไหวร่างกายเช่นเดินไปมาหรือวิ่งออกกำลังกาย บางครั้งติดตามดูลมหายใจเข้าออกตลอดสายตั้งแต่จมูกไปที่ท้อง

   เมื่อไม่นานมานี้กระผมได้เดินทางโดยรถทัวร์ ระหว่างทาง ช่วงเวลาตอนดึกผมหลับอยู่ในรถ การหลับในรถเป็นการหลับที่ไม่สบายตัวเอามากๆเกิดอาการปวดเมื่อยตัวทั้งแข้งขา หัวเข่า ก้น ขยับพลิกตัว ก็เกิดความคิดว่าขยับยังไงมันก็ไม่หายปวดเมื่อยหรอก นึกถึงเรื่องที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวสอนเอาไว้ในทางสายเอก ขณะที่นอนอยู่บนเบาะรถนั้น ผมจึงกำหนดจิตว่า ความเจ็บปวดนี้มันเกิดที่ร่างกาย ไม่ใช่ที่จิต เอาจิตแยกออกมารวมจิตเอาไว้ที่ลมหายใจตรงจมูกและลำคอ ระลึกว่าจิตนี้อยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น ร่างกายจะเป็นไงก็ช่างมัน เวลาไม่นานจิตผมรวมตัวเร็วมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงกำหนดให้นิ่งขึ้นลึกลงไปที่ลมหายใจ รู้สึกว่าจิตรวมเป็นมวลหนาแน่นอยู่ที่จมูก ไม่รู้สึกเจ็บปวดที่ร่างกายแล้ว จิตรวมหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็มีแรงดูดมหาศาลอยู่ตรงจมูก มีความรู้สึกว่าจิตกำลังจะออกจากร่างตามแรงดูดนี้ รู้สึกว่าจิตจะหลุดออกไปพร้อมกับลมหายใจออกแน่ๆแล้ว ณ เวลานั้น ผมเกิดกลัวตายขึ้นมาเฉยๆ เลยรั้งสภาวะจิตกลับคืน ลืมตาขึ้น ก็รู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์แช่มชื่นจนถึงเช้า หลังจากนั้นมาผมก็ยังไม่สามารถเข้าถึงสภาวะแบบนั้นได้ อาจเพราะความ อยาก ที่จะได้สภาวะนั้นอีก

ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์สนองว่า

   1.การภาวนาของผมมาถูกทางแล้วหรือยัง ผมควรแก้ไขอะไรบ้างครับ

คำตอบ
    ควรเลือกบทกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวที่เหมาะกับจริตของตน มาใช้เป็นองค์ภาวนา แล้วมีผลทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้นั่นพอแล้ว จะได้ไม่เสียเวลาในการปรับจิตให้เข้ากับบทกรรมฐานที่ไม่เหมือนกัน

   2.หากปล่อยให้จิตหลุดออกไปจริงๆ จะดีไหมครับ และยังจะควบคุมจิตได้หรือไม่ครับ
      สุดท้ายนี้ผมขอขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ และขอโมทนาในบุญกุศลบารมีทั้งหมดของท่านอาจารย์ที่ได้กระทำไว้ดีแล้วตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันครับ (ผม download ไฟล์เสียงของอาจารย์ออกมาจากweb แล้ว write ลงแผ่นเอาไว้ฟัง และแจกเป็นธรรมทานแก่บุคคลที่รู้จักและสหายธรรมของผมครับ ขอผลบุญแห่งธรรมทานนี้ จงไปถึงท่านอาจารย์สนองซึ่งเป็นผู้บรรยายธรรมนั้นด้วยเถิด)

คำตอบ
    ควรปล่อยจิตให้เป็นไปตามธรรมชาติของจิตที่มีพลัง ที่สำคัญต้องตามดูอาการของจิตให้ถึงที่สุดจิตจะหลุดไปไหนก็ต้องดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ คือตามดูให้เห็นความจริงแท้ของจิตนั่นเอง

449.

กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

   หนูขอรบกวนถามอาจารย์ในเรื่องการปฏิบัติที่ถูกต้องเวลาไปทำบุญค่ะ ว่าโดยปกติที่พบเห็นมาเมื่อผู้มาทำบุญได้ร่วมกันถวายอาหารพระภิกษุแล้ว ท่านก็จะให้พร เมื่อท่านฉันเสร็จก็มักจะมีเจ้าหน้าที่หรือผู้ช่วยงานวัดจัดยกสำรับลง แล้วก็จะกล่ าวเชิญให้ผู้มาทำบุญรับประทานอาหารนั้น บางครั้งอาจจะมีพระบางรูปในที่นั้นกล่าวเป็นวาจาว่า ให้ผู้มาทำบุญไปรับประทานอาหาร บางครั้งก็ไม่ได้มีพระรูปใดกล่าวเป็นวาจา แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าพระท่านฉันเสร็จแล้ว และอาหารตรงนั้นเป็นของเหลือจากท่าน ดิฉัน รบกวนถามว่าเมื่อผู้มาทำบุญได้รับอาหารที่มีผู้เชิญให้รับประทานนั้นๆ จะเป็นบาปต้องโทษกันถ้วนทั่วหรือไม่ เพราะดิฉันเพิ่งได้สังเกตมาพักใหญ่ว่าโดยทั่วไปเมื่อ พระท่านฉันเสร็จท่านก็ลุกจากที่นั้นไปเงียบๆ บางรูปก็สนทนาธรรมกับโยมต่อเนื่องไปจึงมักจะไม่ได้เอ่ยอนุญาตอาห ารนั้นโดยวาจาค่ะ

   ขออาจารย์แนะนำการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องแก่หนูและลูกหลานด้วยค่ะ และหากที่ทำไปแล้วหนูและลูกหลานทำผิดไปจะไถ่ถอนโทษแห่งความผิดพลาดนั้นอย่างไรคะ

     กราบขอบพระคุณอาจารย์ด้วยความเคารพค่ะ
         ณัฎชญา

คำตอบ
    มนุษย์ทำกรรมได้ 3 ทางคือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ ผู้ถามได้ยินพระบางรูปกล่าวด้วยวาจา ให้ผู้มาร่วมทำบุญไปรับประทานอาหารนั่นคือ ท่านอนุญาตให้ผู้มาร่วมทำบุญ นำอาหารไปรับประทานได้ บางครั้งเจ้าหน้าที่ที่วัดผู้ได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาสได้จัดการดูแลเรื่องทำบุญ (มัคนายก) กล่าวเชิญชวนให้ผู้ไปร่วมทำบุญนำอาหารไปรับประทานได้ หรือพระฉันอาหารเสร็จแล้ว ก็ลุกจากที่ฉันไปเงียบ ๆ โดยไม่กล่าววาจาอนุญาต

   ในสองกรณีแรกไม่เป็นโทษ เพราะได้รับอนุญาตแล้ว แต่ในกรณีหลัง ต้องมาวิเคราะห์กันว่าท่านลุกจากไปโดยมิได้กล่าววาจาอนุญาต แต่หากใจพระคิดให้อาหารที่ฉันแล้วเป็นทาน (มโนกรรม)ก็ไม่เป็นโทษ หรือหากท่านเคยพูดบอกผู้อุปัฏฐากไว้ก่อนแล้วว่าทุกครั้งหลังจากท่านฉันอาหารแล้วเสร็จให้เอาไปรับประทานกันได้อย่างนี้ก็ไม่เป็นโทษ

   หากท่านออกบิณฑบาตได้อาหารที่ชาวบ้านใส่บาตรให้กลับถึงวัดท่านยังมิได้ฉันและยังมิได้แสดงพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงการให้ หากผู้ใดนำอาหารไปบริโภค หรือนำไปให้ผู้อื่นสัตว์อื่น อย่างนี้เป็นโทษแน่นอน


  

448.
top_kwin@hotmail.com
May 17, 2007 10:25 PM

กราบเรียนถามท่าน อ.ดร.สนอง วรอุไร

   กระผมอยากจะให้ท่านอาจารย์ได้ช่วยแนะนำวิธีการเรียนหนังสือในระดับอุดมศึกษาแก่กระผมด้วยครับ คือ กระผมจบจาก ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา แต่ตอนนี้กำลังศึกษา
ต่ออยู่ที่คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาฟิสิกส์ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อยู่ครับ กระผมมีความสนใจในคณะวิทยาศาสตร์ เพราะตั้งใจไว้ว่าอยากจะเป็นนักวิทยาศาสตร์

   แต่ก็ทราบว่าทางที่จะเดินไปข้างหน้านั้นก็ยากเหลือเกิน ไม่รู้ว่าจะสำเร็จได้อย่างที่ตั้งใจหวังไว้ได้หรือไม่ จึงอยากให้ท่านอาจารย์ได้ช่วยแนะนำแนวทางในการที่จะประคองตัวเวลาเรียน ในการอ่านหนังสือ การดำเนินชีวิตประจำวันระหว่างเรียนควรจะปฎิบัติตัวอย่างไร จึงจะทำให้ประสบความสำเร็จได้ ขอให้ท่านอาจารย์โปรดช่วยแนะนำแนวทางให้ด้วยครับ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงครับ

คำตอบ
   การที่ผู้ใดจะประสบความสำเร็จในการเรียนต้องปฏิบัติสองเรื่องให้ถูกตรงดังนี้

   1. ตั้งโปรแกรมจิตให้ถูกตรง หลักสูตรสาขาวิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าเรียนได้สำเร็จแน่นอน

   2. สร้างเหตุแห่งความสำเร็จให้ถูกตรง

     2.1 คบเพื่อนดีไว้ใกล้ชิด เพื่อนดีคือเพื่อนที่คอยว่ากล่าวตักเตือน ขัดขวาง ไม่ให้คุณประพฤติชั่ว เช่น หนีเรียน ดื่มสุรา ข้องเกี่ยวอบายมุขฯลฯ และคอยชักชวนให้คุณทำความดีเช่น ชวนดูหนังสือ ชวนทำการบ้าน ชวนเข้าห้องสมุด ชวนทำประโยชน์สาธารณะ ฯลฯ

     2.2 ฟังบรรยายเป็น นั่งฟังใกล้ผู้บรรยาย (นั่งแถวต้นๆ) ไม่พูดคุยขณะฟังบรรยาย ฟังด้วยใจจดจ่อ และฟังให้เข้าใจ จดเฉพาะหัวข้อบรรยายลงสมุดด้านขวามือ สมุดด้านซ้ายมือเว้นไว้เว้นช่องว่างไว้แล้วจึงจดหัวข้อถัดไป เมื่อจบชั่วโมงบรรยายให้รีบบันทึกข้อมูลที่สมองสามารถจำได้ลงในใต้หัวข้อที่ตรงกัน บันทึกลงในกระดาษว่างที่เว้นไว้เติมข้อมูลที่ขาดหายลงในสมุดด้านซ้ายมือ ข้อมูลที่สมองมิได้บันทึกไว้หาได้จากสมุดจดคำบรรยายของเพื่อน ของตำราที่หาได้จากห้องสมุด

     2.3 การรับประทานอาหาร หากมีชั่วโมงเรียนตอนบ่ายอาหารมื้อกลางวันต้องเป็นอาหารที่ย่อยง่ายและรับประทานพอไม่หิว อาหารมื้อเย็น รับประทานตามสะดวก เมื่อรับประทานแล้วต้องไปเดินเล่นหรือพูดคุยกับเพื่อน จนกระทั่งอาหารในกระเพาะถูกย่อยสลายจนหมด (2-3 ชั่วโมง) แล้วจึงเริ่มทบทวนบทเรียนตามข้อ 2.5

     2.4 การออกกำลังกาย หลังเลิกเรียนในวันศุกร์ต้องไม่ดูหนังสือ หรือทำการบ้าน แต่ต้องออกกำลังกายอย่างหนัก เช่น เล่นกีฬาที่ชอบ จนเหนื่อยหอบและได้เหงื่อ พักชั่วครู่ จึงอาบน้ำแล้วเข้านอน (ประมาณ 6-8 ชั่วโมง)

     2.5 ทบทวนบทเรียน หลังปฏิบัติตามข้อ 2.3 แล้วเอาบทเรียนแต่ละวันมาอ่านทบทวน และทำการบ้านให้แล้วเสร็จ (ปฏิบัติดังนี้ตั้งแต่วันอาทิตย์-วันพฤหัสฯ) จึงเข้านอน

     2.6 ดื่มน้ำบ่อย ๆ ขณะดูหนังสือ ดื่มน้ำเปล่าที่ไม่แช่เย็นจิบน้ำทีละน้อย จิบน้ำบ่อย ๆ ทั้งนี้เพื่อให้น้ำซึมเข้าสู่กระแสเลือดน้ำจะเป็นตัวนำพาเอา waste products ที่เกิดขึ้นขณะดูหนังสือออกจากสมองและขับถ่ายออกทางเหงื่อและปัสสวะ ปฏิบัติแล้วสมองไม่ล้าไม่มึนงง สมองจะสดชื่นเหมาะแก่การทบทวนบทเรียน และทำการบ้านอย่างยิ่ง

     2.7 จัดระเบียบคลื่นสมอง สวดมนต์แล้วตามด้วยการเจริญสติภาวนา ประมาณ 15-30 นาที ก่อนนอนทุกวัน ทั้งนี้เพื่อเปลี่ยนคลื่นความถี่ของสมองให้เป็นระเบียบ ซึ่งจะให้ความจำเพิ่มขึ้นและยังเกิดปัญญาขั้นสูงสุดขึ้นอีกด้วย ปัญญาสูงสุดนี้ทำให้รู้เห็นเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างลึกซึ้งและถูกตรงตามเป็นจริงแท้ แล้วการเรียนในระดับสูงสุดจนถึงระดับสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ง่าย


 

447.
ananyapj@gmail.com
May 13, 2007 7:42 PM

เรียนอาจารย์สนองที่เคารพ
ดิฉันมีปัญหาจะสอบถามอาจารย์ 3 ข้อคะ

   1. มีเพื่อนนับถือศาสนาคริสต์ แต่สามีเป็นพุทธ สามารถสวดชินบัญชร สวดบูชาพระพุทธหลังจากสวดมนต์ทางศาสนาของตน โดยคิดว่าที่สวดมนต์ทางพุทธเพื่อสามี ได้หรือไม่

คำตอบ
    ได้

   2. หากดิฉันต้องการฝึกวิปัสนากรรมฐาน โดยเริ่มจากบ้าน เพราะยังไม่มีโอกาสเข้าโครงการใดๆ อาจารย์กรุณาแนะนำว่าควรทำอย่างไร ปัจจุบันที่ทำอยู่คือ ถือศีล 5 แม้แต่ยุงก็ไม่ฆ่า ( สามีบอกว่าบ้าหรือเปล่า ) นอกจากนั้นด้านจิดใจพยายามไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง

คำตอบ
    การสวดมนต์ การฟังธรรมเป็นการปฏิบัติธรรมเบื้องต้นหายใจเข้าลมเข้าสู่ร่างกาย หายใจออกลมออกจากร่างกาย หากเอาจิตจดจ่ออยู่กับลมเข้า-ลมออก นับว่าเป็นการปฏิบัติธรรมขั้นกลาง เมื่อปฏิบัติทั้งสองอย่างจนจิตมีความตั้งมั่นแน่วแน่ แล้วจึงก้าวขึ้นสู่การปฏิบัติธรรมสูงสุดคือเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

    3. การอ่านหลังสือธรรมะ เพราะน้องสาวจะขอธรรมทานจากชมรมฯนี้ทุกเดือน และฟังการบรรยายมากๆ จะเป็นการยากต่อการนั่งสมาธิหรือไม่ เพราะรู้ไปก่อน
กราบขอพระคุณค่ะ
   อนันยา

คำตอบ
    หากรู้และไม่ยึดติดในความรู้นั้นจะปฏิบัติธรรมได้ง่าย หากไม่รู้อะไรเลยแต่ปฏิบัติให้ถูกตรงตามคำที่ครูสอนโดยไม่สงสัย จะทำให้เข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมได้ง่ายกว่า
 

446.
ukabkong@yahoo.com
May 13, 2007 1:34 PM

กราบเรียน อ.สนอง ด้วยความเคารพ

มีปัญหาที่มืดบอด แก้ไม่ตก หวังได้รับความสว่างจากคำชี้แจงของอาจารย์
   1. เราทำเวรกรรมอะไรไว้ ถึงต้องทนอยู่กับคนที่เราเกลียดมากที่สุด และอยู่ในที่อยู่อาศัยที่เราเกลียดที่สุด มาหลายสิบปี อยากหนีแต่ไม่สามารถหนีไปไหนได้ เพราะปัจจัยไม่อำนวย และเราต้องแก้ไขเวรกรรมนี้ได้อย่างไร ถึงจะได้อยู่ในที่ที่เราชอบและพอใจ

คำตอบ
   
เหตุเกิดจากอกุศลกรรมที่ทำไว้แต่อดีตที่ผ่านมาทั้งไกลและใกล้และห่างเหินต่อกุศลกรรมที่เป็นบ่อเกิดแห่งบุญใหม่(ดูบุญกิริยาวัตถุ10) หากคิดหนีอกุศลวิบากที่ได้รับอยู่ขณะนี้ เป็นความคิดที่ผิด จะหนีไปไหนก็หนีหนี้เวรกรรมไม่พ้น เพราะหนีใจตัวเองไม่ได้ พระพุทธะไม่เคยสอนให้หนีหนี้เวรกรรมแต่บอกให้อยู่กับหนี้เวรกรรมที่ให้ผลเป็นอกุศลวิบาก หมายความว่าให้ยอมรับความจริง อยู่กับความจริง และยอมชดใช้หนี้เวรกรรมที่ตัวเองได้ก่อไว้จนกว่าหนี้จะหมดไปโดยไม่สร้างอกุศลกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นถ้าคุณเชื่อแล้วทำตามคำแนะนำนี้ โอกาสจะหมดหนี้เวรหนี้กรรมที่คุณกำลังเสวยอยู่จึงจะเป็นไปได้

   2. เราจะแก้ความคิดอยากฆ่าตัวตาย, ไม่อยากมีชีวิตอยู่, เหนื่อย, เบื่อ, ท้อกับการมีชีวิตอยู่ ที่ฝังลึกมาหลายสิบปีได้อย่างไร รู้สึกว่าตัวเองมีวิบากกรรมมาตลอดชีวิต หลายสิบปี ไม่จบ ไม่สิ้นซักที ต้องแก้ไขอย่างไร

คำตอบ
  
  แค่ความคิดอยากฆ่าตัวตายก็เป็นอกุศลมโนกรรมอยู่แล้ว หากยังไม่หยุดคิดสิ่งที่เป็นอกุศลเช่นนี้ ย่อมเป็นการเพิ่มบาปให้มีกำลังมากยิ่งขึ้น มันจะถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณทุกครั้งที่คิดสิ่งอันเป็นอกุศล หากเมื่อใดบาปมีกำลังมากจนให้ผลได้การฆ่าตัวตายก็จะเกิดตามมา ปัญหามีอยู่ว่าตายไปแล้วหมดปัญหาหรือไม่ การฆ่าตัวตายหลังจิตทิ้งรูปขันธ์นี้แล้วบาปที่สั่งสมในจิตจะมีพลังผลักดันตัวเองให้ไปได้รูปนามเป็นสัตว์นรก เวียนตาย-เวียนเกิดอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้นยาวนานและต้องเสวยทุกข์เวทนามากยิ่งกว่าการเป็นมนุษย์มากจนเปรียบเทียบกันไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสารอย่างมาก กับผู้ที่มีความคิดและทำเช่นนี้

   วิธีแก้ปัญหา ต้องยอมรับความจริงว่า อกุศลกรรมมีตัวคุณเองเป็นผู้กระทำ มีจิตวิญญาณของคุณเป็นผู้สั่งสมผลของการกระทำ ดังนั้นจึงต้องเสวยวิบากด้วยตัวคุณเอง หากรู้และเข้าใจและทำตามคำแนะนำของผู้รู้เช่นนี้ โอกาสหมดหนี้เวรกรรมจึงจะเกิดขึ้นได้
   

   3. ให้อาจารย์ แนะนำสถานปฏิบัติธรรม ที่ อาจารย์ ชอบ และพอใจ เป็นไปได้ ซัก 5 สถานที่ และอาจารย์ชอบที่นั้น ๆ เพราะอะไร จะรอคำตอบจากอาจารย์ เพื่อเป็นทางสว่างให้กับตัวเองที่มืดบอดจนปัญญา

   กราบแสดงความเคารพนับถือยิ่ง ท้ายนี้ ขออำนาจคุณพระรัตนตรัย โปรดปกปักรักษา อาจารย์ สนอง วรอุไร ให้มี อายุ วรรณะ สุขะ พละ

คำตอบ
    ไม่มีสถานที่ปฏิบัติธรรมไหน ๆ ที่ผู้ตอบปัญหาชอบและพอใจ เพราะผู้ตอบปัญหาได้พัฒนาจิตวิญญาณตนเองจนมีกำลังอยู่เหนือความชอบและความพอใจ (โลกธรรม) ได้แล้ว จึงไม่เอาจิตเข้าไปผูกอยู่กับโลกธรรมและวัตถุใดๆ แต่หากจะถามว่ามีสถานที่ปฏิบัติธรรมใดเหมาะสมที่จะนำตัวของผู้ถามเข้าไปประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อความเจริญแห่งจิตวิญญาณแล้ว อย่างนี้ก็พอจะบอกได้ว่า ยุวพุทธิกสมาคม , สำนักปฏิบัติธรรมป่าละอู (กาญจนบุรี) , วัดมเหยงคณ์ (จ.อยุธยา) , วัดแพร่ธรรมาราม (จ.แพร่) , วัดพระธาตุทรายทอง (จ.ลำพูน) ฯลฯ เหมาะสม เพราะมีครูผู้ให้กรรมฐานได้ถูกตรงตามธรรม
 

445.
May 11, 2007 6:21 PM

ถามอาจารย์สั้นๆ เลยนะคะ
   เราจะทำยังไงหากเคยทำแท้งมา ผ่านมา 8-9 ปีแล้ว คิดว่าวิญญาณเด็กคงโกรธหนูมาก เขาว่าเป็นกรรมที่หนัก หนูไม่มีคำแก้ตัวใดๆ ค่ะ แต่อยากไถ่บาป และอยากให้เขามีชีวิตอีกภพหนึ่งดีๆ หนูพอจะช่วยเหลืออะไรเขาได้บ้างคะ หนูนึกถึงเรื่องนี้ทีไร น้ำตาจะไหล และกลัดกลุ้มตลอดเวลาเลยค่ะ เคยคิดมากขนาดไปหาคนทรง คนทรงบอกว่า ทำบุญไปเขาก็ไม่รับ เขาโกรธ เขาไม่อภัย ยิ่งกลุ้มใหญ่ ทั้งที่อีกใจก็คิดว่าเราก็มีการศึกษาทำไมจึงไปเชื่อคนทรง แต่หนูนึกทางออกอื่นๆ ที่จะทำเพื่อเขาไม่ได้ค่ะ ปัจจุบันหนูมีลูกแล้ว 1 คน ครอบครัวก็มีความสุขตามอัตภาพ
มีก็แต่เรื่องทำแท้งที่ยังฝังใจอยู่ค่ะ

คำตอบ
    ต้องทำบุญใหญ่ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ด้วยการปฏิบัติธรรม แล้วขอความเมตตาจากผู้ร่วมปฏิบัติธรรมช่วยกันอุทิศบุญกุศลที่แต่ละคนมีอยู่รวมกับบุญกุศลที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ให้กับเจ้ากรรมนายเวร (เด็กที่ถูกทำแท้ง) ของคุณ การใช้หนี้เวรกรรมด้วยบุญกุศลที่มากและยิ่งใหญ่เช่นนี้ โอกาสที่เจ้ากรรมนายเวรจะยกโทษให้แล้วเลิกจองเวรกับคุณมีได้เป็นได้ เมื่อใดที่เขาเลิกจองเวรความฝังใจในเรื่องของการเคยไปทำแท้งก็จะหมดไป
 

444.
niyadaph@yahoo.co.th
May 11, 2007 12:18 PM

เรียนท่านอาจารย์สนอง วรอุไรที่เคารพ

กระผมมีคำถามดังนี้คือการถวายเงินสด (ธนบัตร) ใส่ในซองให้กับพระภิกษุสงฆ์ในช่วงที่ตักบาตรพระนั้น สามารถทำได้หรือไม่ครับ ขอบคุณครับ

ขอแสดงความนับถือ
   ทรงเกียรติ

คำตอบ
    การบิณฑบาตของพระสงฆ์ มีจุดประสงค์เพื่อไปรับอาหารที่ผู้ศรัทธาบริจาคให้ ฉะนั้นการนำธนบัตรใส่ซองแล้วนำไปใส่บาตรจึงผิดจุดประสงค์ ไม่สมควรที่จะทำส่วนที่ถามไปว่าสามารถทำได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพระที่มารับบิณฑบาตหากเป็นพระสุปฏิปันโนท่านจะไม่เปิดฝาบาตรรับซอง แต่หากเป็นนักบวชธรรมดาจะเปิดฝาบาตรรับซองใส่เงิน ฉะนั้นเลือกปฏิบัติได้ตามภูมิธรรมภูมิปัญญาของตนเอง
 

443.
vsomsri@hotmail.com
Thursday, May 10, 2007 9:46 PM

กราบเรียน อาจารย์สนอง วรอุไร

ดิฉันกราบเรียนถามปัญหาปฏิบัติธรรมดังนี้ค่ะ
   ดิฉันจะทราบได้อย่างไรว่าการปฏิบัติของตัวเองก้าวหน้าขึ้น อาการนั่งสมาธิคือดิฉันจะสามารถกำหนดลมหายใจเข้าออกได้เป็นระยะ คือบางช่วงก็จะเผลอไปคิดเรื่องต่างๆ แต่พอรู้ตัวก็มากำหนดรู้ที่ลมหายใจได้อีก นอกจากนั้นเวลาปฏิบัติจะมีนิมิตบ่อยมากก็คือมีน้ำตาไหล บางครั้งก็ทั้งสองข้าง บางครั้งก็ข้างเดียว ก็กำหนดว่ารู้ และมาตามดูลมหายใจอีก น้ำตาก็จะหายใจ สักพักก็จะไหลอีก บางครั้งก็จะเห็นเป็นดวงไฟสีเหลือง หรือไม่ก็สีแดง อาการแบบนี้เป็นมาได้ประมาณ ๒ อาทิตย์ และก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ หลังจากออกสมาธิแล้วจะรู้สึกสบายใจ ความจำของดิฉันก็ดีขึ้น

   การเดินจงกรม จำเป็นต้องเดินให้นานหรือเปล่า หรือว่าแค่ให้จิตเป็นสมาธิแล้วก็นั่งสมาธิได้เลย ปัจจะบันดิฉันจะสวดมนต์ประมาณ ๑๕ นาที จากนั้นก็เดินจรงกรม ๓๐ นาท และก็นั่งสมาธิ ๔๐ ถึง ๔๕ นาที

ดิฉันจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไปเพื่อให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้าต่อไป ตอนนี้ที่ทำอยู่คือพยายามนั่งสมาธิให้นานขึ้น

กราบเรียนมาด้วยความเคารพอย่างสูง
สมศรี ฮอร์น

คำตอบ
    อาการที่เกิดขึ้นหลังปฏิบัติจิตตภาวนาถือได้ว่าเป็นผลก้าวหน้าของการพัฒนาจิตได้ระดับหนึ่ง วิธีที่จะทำให้จิตมีกำลังมากขึ้นต้องกำจัดอาการดังกล่าวให้หมดไป เช่นหากมีน้ำตาไหลเกิดขึ้นต้องกำหนดว่า “ ไหลหนอ ๆๆ ” จนอาการน้ำตาไหลหยุดไปเมื่อหยุดแล้วกลับมาเกิดอีก ต้องกำหนดอีกจนกว่าไม่มีอาการน้ำตาไหลเกิดขึ้นอีก เช่นเดียวกัน การเห็นนิมิตเป็นดวงไฟสีเหลือง ดวงไฟสีแดงต้องกำจัดให้หมดไปด้วยการกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนกว่านิมิตนั้นหายไปแล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิมที่ใช้ในการเจริญสติ

   ส่วนอาการรู้สึก “ สบายใจ ” เป็นเพราะจิตมีกำลังของสติเพิ่มขึ้นจึงปล่อยวางสิ่งกระทบภายนอกได้มากขึ้น และความจำดีขึ้นเป็นเพราะจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิมากขึ้น ส่งผลถึงคลื่นสมองมีระเบียบมากขึ้นความจำจึงดีขึ้นนั่นเอง

   การเดินจงกรมจะใช้เวลามาน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับทุนเดิมของแต่ละบุคคลที่สั่งสมมาไม่เท่ากัน หากเดินจงกรมแล้วจิตตั้งมั่นดีให้เดินจงกรมต่อไปจนกว่าความตั้งมั่นของจิตเริ่มเสื่อมถอยต้องเปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นนั่งภาวนาแทน หากนั่งภาวนาแล้วจิตตั้งมั่นดีให้นั่งภาวนาต่อไปจนความตั้งมั่นของจิตเริ่มเสื่อมถอยให้เปลี่ยนอิริยาบถไปเป็นเดินจงกรมแทน ปฏิบัติอย่างนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ แล้วจิตจะมีความตั้งมั่น (สมาธิ) มากขึ้น


 

442.
niyadaph@yahoo.co.th
Wednesday, May 09, 2007 11:07 AM

กราบเรียน ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

ดิฉันมีคำถามขอกราบเรียนถามดังนี้ค่ะ

   1. ผู้ป่วยที่เป็นเจ้าชายนิทรา (ไม่รู้สึกตัว) จิตอยู่ในกาย จิตจะทุกข์ทรมานจากสังขารที่ป่วยหรือไม่ จะมีวิธีช่วยเขาได้อย่างไรบ้าง? และเขาจะสามารถปฏิบัติธรรมฝึกสมถและวิปัสสนากรรมฐานจากการเปิดเทปธรรมะดังกล่าวให้ฟังได้หรือไม่

คำตอบ
   
เรื่องนี้หากจะเปรียบเทียบให้เห็นชัด คนขับรถที่ชำรุดเสียหายเครื่องยนต์ไม่ทำงานจะใช้ขับเคลื่อนไปในที่แห่งใดไม่ได้ สมมติว่าคุณเป็นคนขับรถยนต์ที่ชำรุดคันนั้นคุณจะมีความรู้สึกอย่างไร คุณอยากจะช่วยเขาที่ทำได้ขณะนี้คือเปิดเทปหรือซีดีธรรมะให้เข้าฟังการฟังธรรม เป็นการปฏิบัติธรรมขั้นต้นที่เขาสามารถรับรู้และทำได้

   2. ผู้ป่วยที่แพทย์ลงความเห็นว่าสมองตาย จิตจะออกจากร่างหรือยัง มีความเหมือนหรือต่างจากเจ้าชายนิทราอย่างไร และหากก่อนประสบอุบัติเหตุจนสมองตาย ผู้ป่วยได้บริจาคอวัยวะและร่างกายให้กับโรงพยาบาลไว้ล่วงหน้า หลังจากแพทย์ลงความเห็นว่าสมองตายได้ทำการผ่าตัดนำอวัยวะของเขาไปใส่ให้กับผู้ป่วยคนอื่น ขอเรียนถามว่า - จิตของคนที่สมองตายออกจากร่างหรือยัง - ถ้าจิตยังอยู่ในร่างแล้วถูกผ่าตัดนำอวัยวะไปให้ผู้ป่วยอื่นตามที่ตนเองเจตนาบริจาคไว้ล่วงหน้า ผู้ที่เป็นเจ้าของร่างนั้นจะได้ชื่อว่าทำทานปรมัตถบารมีหรือไม่อย่างไร

คำตอบ
    เขามิได้มีเจตนาให้ชีวิตเป็นทานจึงไม่ถือว่าเป็นทานปรมัตถบารมี

   อนึ่งขณะที่สมองตาย (ไม่ทำงาน) มิได้หมายความว่าเซลล์สมองจะตายไปด้วย ใครผู้ใดไปทำให้จิตต้องทิ้งร่าง ถือว่าผิดศีลข้อ 1 และในทางตรงข้าม หากสมองตายแล้วจิตจำเป็นต้องออกจากร่างก่อนที่จะมีใครผู้ใดผ่าตัดเอาอวัยวะไปใช้ ไม่ถือว่าผิดศีลข้อ 1 สรุปได้ว่าการที่สมองตาย(ไม่ทำงาน) มิได้หมายความว่า เซลล์สมองจะตายไปด้วย และมิได้หมายความว่าจิตจะต้องตายด้วย

   3. ขอทราบวิธีพิจารณาตัดสินใจช่วยเหลือผู้อื่นว่ามีหลักในการพิจารณาอย่างไรที่เราจะไม่ไปตัดวงจรการชดใช้กรรมของเจ้ากรรมนายเวรผู้อื่น เช่น ช่วยชีวิตคนที่ประสบอุบัติเหตุให้รอดชีวิต หากพบเหตุแล้วไม่ช่วยเหลือเขาอาจตายจะเป็นบาปกับเรามากกว่าช่วยเหลือเขาหรือไม่อย่างไร และหากการช่วยเหลือเขาแล้วทำให้เขาต้องเป็นเจ้าชายนิทรา กรรมจะตกอยู่กับเราหรือไม่ที่ทำให้เขาต้องเป็นเจ้าชายนิทรา

กราบขอบพระคุณที่กรุณาตอบข้อสงสัยค่ะ
   นิยดา

คำตอบ
    การที่ผู้ใดเข้าไปมีส่วนร่วมในวงจรกรรมของผู้อื่น จะได้ทั้งบุญและบาป ปัญหามีอยู่ว่าอย่างไหนจะให้ผลมากกว่ากันไปช่วยแล้วเขารอดชีวิต แล้วหันมาทำความดีให้กับคนหมู่มาก หรือรอดชีวิตไปแล้ว ได้ปฏิบัติธรรมจนสามารถเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมผู้ที่ช่วยเหลือให้เขารอดชีวิต จะได้อานิสงส์แห่งบุญมาก ตรงกันข้ามเมื่อเขารอดชีวิตแล้ว ไปทำความชั่วไปทำให้คนหมู่มากเดือดร้อน ด้วยเหตุนี้หลังจากช่วยคนแล้วควรทำตัวเองให้มีบุญสั่งสมให้มากๆ เพื่อที่บาปกจะตามราวีไม่ทัน สรุปแล้วช่วยดีกว่าไม่ช่วย
   

 

441.
tuma_dee@hotmail.com
Tuesday, May 08, 2007 11:02 PM

กระผมขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ
   1. การยกเลิกอธิฐานเก่านั้นทำอย่างไรครับ

คำตอบ
    สวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัยต่อหน้าพระพุทธรูปหรือเจดีย์ที่เนื่องด้วยพระพุทธศาสนา แล้วเอ่ยวาจาขอยกเลิกคำอธิษฐานเก่าที่ให้ไว้

   2. กระผมได้อ่านคำถามเรื่องที่ 319 และรู้สีกเครียดกับคำตอบของ อาจารย์มากๆ และกลัวด้วยครับเพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นเหมือนกับเจ้าของคำถามเลยครับ คือผมเริ่มเป็นตั้งแต่ตอนไปนั่งสมาธิครั้งแรกที่วัดแห่งหนึ่งครับ พอกลับมาจากการนั่งสมาธิก็คิดไม่ดีต่างๆนาๆ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นครับซึ่งผมไม่มีเจตนาแบบนั้น ทุกวันนี้พยายามข่มใจอยู่ตลอดครับไม่ให้คิดแบบนั้น
  จึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่าต้องทำอย่างไรดีครับ ผมกลัวบาปครับกลัวมากๆเลยครับ

ขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
    อ่านคำตอบปัญหาธรรมแล้วเครียดจากความไม่รู้จริง(อวิชชา) ที่เกิดขึ้นกับจิต หากประสงค์จะพ้นจากความเครียดและความกลัว โปรดอ่านตำตอบข้อ 439 (1) เพิ่มเติมแล้วปฏิบัติให้ได้ตามนั้น ความเครียดและความกลัวจะหายไปจากใจของคุณ
 

440.
zomm_o@yahoo.com
Thursday, May 03, 2007 11:04 PM

กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

เรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

ขณะนี้ได้งานใหม่ทำมาแล้ว 4 เดือนค่ะ แต่รู้สึกว่า ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ จากที่เคยทำบุญตักบาตรในวันหยุดหรือวันสำคัญก็ไม่ได้ทำเหมือนเคย นั่งสมาธิก็ไม่สงบเหมือนก่อนเพราะมีเรื่องให้คิดตลอดเวลา ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรม ศึกษาพระธรรม หรือพบปะกัลยาณมิตรเหมือนก่อน ที่ทำงานอยู่ไกลบ้านค่ะ แล้วยังต้องทำงานหนักกลับดึกทุกวัน ตอนนี้รู้สึกท้อแท้อยากกลับไปเหมือนก่อนที่มีเวลาให้ตัวเอง จึงเรียนขอคำแนะนำการใช้ชีวิตแบบฆารวาสที่ไม่ศูนย์เสียทั้งงาน
เวลา และธรรมะ ค่ะ

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    ยังแยกงานภายนอก(งานสังคม) กับงานภายใน(งานพัฒนาตนเอง) ไม่ออก คนส่วนใหญ่หลงทำแต่งานภายนอก และลืมงานพัฒนาจิตวิญญาณของตนเองซึ่งเป็นงานภายใน ฉะนั้นต้องดูให้ออกและแบ่งเวลาให้เป็น เมื่อถึงเวลานำตัวออกจากที่ทำงาน วางงานของสังคมไว้ที่นั่นไม่ให้งานตามมาที่บ้าน เพราะงานภายนอกสิ้นสุดลงแล้วที่นั่น งานที่เหลือค่อยกลับไปทำต่อในวันรุ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้และหนึ่งในนั้นเป็นบุญใหญ่สุดคือการทำจิตตภาวนาตราบใดที่ลมหายใจของคุณยังไม่หยุดเข้าสู่ร่างกายยังไม่หยุดออกจากร่างกาย นั่นเป็นโอกาสให้คุณได้ทำงานภายใน ทำไมไม่นำลมเข้า-ลมออกมาสร้างประโยชน์ให้กับจิตวิญญาณล่ะ

   เรื่องการฟังธรรมเช่นฟังจากเทป จากแผ่นซีดี รวมถึงการสวดมนต์ก่อนนอน เป็นการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น ยืน เดิน นั่ง หรือนอนสามารถใช้หูฟังได้ ซึ่งร่างกายยังอยู่อยู่โอกาสนั้นความดียังเกิดขึ้นได้ หากลมหยุดเข้า-ออกเมื่อใด โอกาสดีๆ เช่นนี้จะหมดไปแล้วจะเสียใจ ที่ปล่อยให้เวลาที่มีคุณค่าผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์
  

439.
chichimaru90@hotmail.com
May 02, 2007 5:26 PM

กราบเรียนมาอาจารย์ ดร.สนองครับ

กระผมมีปัญหาอยู่ 2-3 อย่างอยากจะให้ช่วยแนะนำหน่อยนะครับผม

   1.ผมศึกษาธรรมมาประมาณ 6-7 เดือนรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนของพระตถาคตและคำสอนความรู้ธรรมต่างๆจาก หลวงพ่อฤษีลิงดำ และท่านอื่นๆ แต่ระยะหลังมานี่จิตผมเป็นอะไรไม่รู้ครับ อยู่ดีบางทีก็อยากปรามาศพระรัตนตรัย บางที มันก็ต่อต้านพระรัตนตรัย อยากจะด่าว่าบ้างผมก็พยายามไม่ให้จิตไปคิดเรื่องนั่นอะครับแต่ตัวผมนั่นเคารพพระรัตนตรัย และ พระอริยเจ้าด้วยใจจริง พยายามนั่งสมาธิแต่มันก็กลับมาเป็นอยู่เรื่อยอะครับ ยังไม่หายซะที อยากจะได้คำแนะนำจาก อาจารย์ครับและวิธีการปฎิบัติจากอาจารย์ด้วยครับ ขอความกรุณาชี้ท่างสว่างให้ด้วยครับ

คำตอบ
    แนะนำให้เอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาพระรัตนตรัย ต่อหน้าเจดีย์ใหญ่ หรือต่อหน้าพระพุทธรูปด้วยการกล่าวคำสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย เสร็จแล้วจึงขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัยด้วยการกล่าวว่า “ สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินหรือปรามาส ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ตั้งแต่อดีตชาติหรือปัจจุบันชาติทั้งที่ระลึกได้ และระลึกไม่ได้ ข้าพเจ้าขอขมาต่อพระตรัยตรัยได้โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าด้วยและจากนี้ต่อไปข้าพเจ้าจะไม่ล่วงเกินต่อพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อีกต่อไป ” เมื่อขอขมาแล้วทำตัวเองให้มีศีลคุมใจและรักษาสัจจวาจาที่กล่าวไว้ให้ได้ หากทำได้อย่างนี้แล้ว การปฏิบัติธรรมจึงจะได้มรรคผลก้าวหน้า


   2. ผมเคยปรึกษากัลยนมิตรคนหนึ่ง เค้าบอกว่า ควรปล่อยวางต่อจิตและความคิดพวกนี้ไม่ยินดียินร้ายมันเพราะจิตและ ความคิดนี้ไม่ได้เกิดจากเรา เกิดจากกิเลสมารหรือมีมาร เทวดามิจฉาฑิฐิมาปรุงแต่งจิตเราหรือมาดลจิตเรา ให้ปั่นป่วน อะครับ ถ้าเราปล่อยวางได้ความคิดหรือจิตพวกนี้จะหายไปอะครับ
ขอคำเพิ่มเติมชี้แนะจากอาจารย์ด้วยครับ

     ขอบพระคุณอย่างสูงในทุกคำตอบจากอาจารย์ครับ

คำตอบ
    หากจิตยังมีสติไม่กล้าแข็ง โอกาสจิตตกเป็นทาสของกิเลสมารหรือเทวปุตตมารเป็นไปได้ง่าย กัลยาณมิตรมาชี้ทางถูกให้คุณปล่อยวาง คุณก็ไม่สามารถทำได้หากสติยังไม่กล้าแข็ง ด้วยเหตุนี้ผู้ตอบปัญหาจึงต้องเจริญพละ 5 อยู่ทุกขณะตื่นเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 30 ปีมาแล้วจึงสามารถรักษาความดีที่เจ้าคุณโชดกอบรมสั่งสอนไว้ได้ คุณน่าจะดูเป็นตัวอย่างแล้วทำตามให้ได้ ก็มีโอกาสพ้นจากปัญหาที่ถามไปได้

438.
butsaba277pic@yahoo.com
May 02, 2007 4:20 PM

กราบเรียน ดร.สนอง อุไร อาจารย์ค่ะ

   หนูมีเรื่องอยากจะกราบเรียนถามอาจารย์ว่า จะมีวิธีไหนในการข่มจิตให้จิตสงบนิ่ง เมื่อจิตเกิดความเศร้าหมองค่ะ หนูมักมีปัญหาในการนั่งสมาธิเมื่อจิตเกิดความเศร้าหมอง ่จิตมันจะว้าวุ่น หนูพยามๆเศร้าหนอๆ เศร้าหนอๆ มันก็ยังไม่มีสมาธิ หนูควรจะทำอย่างไรดีคะ หนูลองทำใจว่างๆตอนที่จิตเกิดเศร้าหมองเพื่อเข้าสู่ยุบหนอพองหนอมันก็ยังไม่สงบ หนูควรข่มจิตด้วยวิธีไหนดีคะ

ขอบพระคุณนะค่ะ
  ด้วยความเคารพและนับถือ

คำตอบ
    อาการเศร้าหมองที่เกิดขึ้นกับจิต เหตุเกิดจากจิตที่กำลังของสติอ่อน ประสงค์พัฒนาจิตให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ ต้องทำใจให้มีศีลคุมใจอยู่ทุกขณะตื่นให้ได้ก่อน ใจจึงจะมีศีลเป็นเกราะป้องกันไม่ให้หวั่นไหว แล้วการเจริญสติภาวนาจึงจะเกิดผล ด้วยเหตุนี้ต้องทำต้นเหตุให้ถูกตรงก่อน แล้วจึงเริ่มปฏิบัติจิตตภาวนาโดยมีความเพียรเป็นเครื่องสนับสนุน ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องยาวนานจิตจะเข้าสู่ความสงบนิ่งได้เองหลังจากฝึกกรรมฐานแล้วเสร็จในแต่ละวันต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วมรรคผลแห่งธรรมจึงจะเกิดขึ้น
 

437.
rabbit-atm@hotmail.com
May 01, 2007 2:17 PM

กราบเรียนถามอาจารย์สนองค่ะ

1.คุณแม่ฝากถามอาจารย์ว่าจะทำอย่างไรดีเวลานั่งปฏิบัติสมาธิภาวนามักจะเกิด ทุกขเวทนา คือปวดขามาก คุณแม่ก็ทำตามที่อาจารย์สนองเคยสอนคือ เอาสติไปรู้เฉยๆ ภาวนาว่า ปวดหนอๆ ไปเรื่อยๆ แต่นานหลายสิบนาที ก็ไม่หาย คุณแม่บอกว่าทรมาณมากๆ เหมือนกระดูกจะแตก(เหมือนที่อาจารย์เคยเล่าให้ฟังเลย) ทนไม่ไหวไม่รู้จะแก้ไขได้ อย่างไร ไม่สามารถผ่านได้สักที จึงอยากขอคำแนะนำจากอาจารย์ค่ะ คุณแม่ก็สงสัยว่า เป็นเพราะวิบากกรรมหรืออาจจะเพราะร่างกายไม่ดีก็เป็นได้ค่ะ

คำตอบ
    เหตุที่คุณแม่ยังผ่านทุกขเวทนาตัวนี้ยังไม่ได้เป็นเพราะจิตมีกำลังของสติไม่มากพอ วิธีการแก้ปัญหาคือ เมื่ออาการปวดขาเริ่มเกิดขึ้น ให้เปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งไปเป็นอิริยาบถเดินจงกรมแล้วจะทำให้จิตมีกำลังสติเพิ่มมากขึ้นเมื่อใดที่จิตมีกำลังของสติมากพอจึงจะผ่อนอาการปวดขานั้นได้

2.ข้าพเจ้าอยากทราบว่าทำไมเวลาปฏิบัติสมาธิภาวนาจึงไม่เกิดนิมิตเห็นแสง หรือภาพเหมือนผู้อื่นบ้าง และเวลาปวดขาก็ไม่ค่อยปวดมาก เป็นเพราะสมาธิยังไม่ นิ่งใช่หรือไม่คะ

คำตอบ
    การปฏิบัติกรรมฐาน แล้วไม่ปรากฏนิมิตเห็นแสงถือเป็นเรื่องปกติของคนที่ไม่เคยปฏิบัติ “ อาโลกกสิณ ” มาก่อนหรือเป็นเพราะกำลังของสมาธิยังไม่ถึงระดับที่จะทำให้เกิดนิมิตเป็นแสงได้

3.เวลานั่งสมาธิอาการที่รู้สึกว่าตัวสูงขึ้นไปมากและบางครั้งก็ตัวใหญ่โต ใช่ปีติหรือไม่คะ ถ้าใช่ทำไมข้าพเจ้าเอาจิตไปคิดเรื่อองอื่นแล้วแต่ปีติยังตั้ง มั่นอยู่ได้คะ

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    หากเป็นเพียงความรู้สึก ถือว่าเป็นปีติได้ เมื่อเอาจิตไปคิดเรื่องอื่นแล้ว ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่ แสดงว่าปีติยังไม่ถูกลบให้หมดไปจากใจ

436.
t_most_2004@hotmail.com
May 01, 2007 4:22 AM

เรียนอาจารย์สนองที่เคารพยิ่ง

   1. การที่คนเรามีความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ในจิตใจแม้เพียงเล็กน้อย
ก็สามารถส่งผลให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก ได้ง่ายๆใช่ไหมค่ะ

คำตอบ
    กิเลสทั้งสาม สามารถส่งผลให้ไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ได้ง่ายต่อเมื่อ ขณะจิตสุดท้าย ระลึกถึงความโลภ หรือ ความโกรธหรือความหลง แล้วจิตทิ้งร่างทันที

   2. ที่อาจารย์สนองบอกว่าให้จำแต่เรื่องที่ดีๆ เรื่องขยะไม่จำเลย
หมายถึงให้จำแต่เรื่องดีๆที่เราเป็นผู้กระทำอย่างเช่นการทำบุญกุศลเป็นต้น
แล้วการกระทำดีๆที่ผู้อื่นทำต่อเรา
เราต้องจำไหมค่ะเพราะไม่รับกระทบจากภายนอกเอามาเป็นของเราเพิ่อให้ใจไม่ฟูไม่แฟบง่ายๆ
ขออาจารย์ช่วยอธิบายหน่อยค่ะ

   กราบด้วยความเครพอย่างสูง

คำตอบ
    ที่บอกให้จำแต่เรื่องดี ๆ หมายความว่า ทำแต่กุศลกรรมให้หลากหลาย ทำให้มาก ทำให้ยิ่งใหญ่ เพื่อจิตจะได้มีโอกาสระลึกถึงแต่สิ่งดี ๆที่ถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิต

   ส่วนเรื่องที่ผู้อื่นทำดีกับเรา จิตรับสัมผัสได้แต่สิ่งดีๆ ที่ผู้อื่นส่งเข้ากระทบจิต แล้วเห็นว่าเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์จึงปล่อยสิ่งกระทบนั้นได้ ทำให้จิตมีความเป็นอิสระ ความเป็นอิสระของจิตเป็นสิ่งดีที่ควรทำให้เกิดมีขึ้นให้มาก หากจิตเป็นอิสระต่อทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิตได้นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดในการปฏิบัติธรรม


  

435.
April 28, 2007 11:43 PM

กราบเรียนท่านอ.ดร.สนอง

ผมขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้ทางสว่างให้ผมครับผม

   1. เคยอ่านคำตอบที่ผ่านมาๆว่า การเป็นกะเทยนั้นไม่สามารถบรรลุธรรมในชาติปัจจุบันได้ เพราะเหตุใดครับ?

คำตอบ
    เพราะจิตยังใช้หนี้เวรกรรมไม่หมด ยังจำเป็นต้องเสวยอกุศลวิบากอยู่

   2. คนที่ได้รับวิบากกรรมนี้อยู่ เดาว่าตัวเองเคยละเมิดศีลข้อสามอย่าไร้ยางอายในอดีตชาติ ไม่อยากได้รับผลกรรมนี้แล้ว หากต้องเกิดอีก ชาตินี้ควรทำตัวอย่างไรเพื่อชาติหน้าจะไม่เป็นแบบนี้อีก? เพราะในพระไตรปิฏกบอกว่าจะต้องเกิดแบบนี้อีกนับร้อยครั้ง

คำตอบ
   เรื่องนี้เป็นไปตาม “ กรรมนิยาม ” คือกำหนดอันแน่นอนตายตัวของการกระทำ เมื่อใดที่ผลของกรรมเกิดขึ้นแล้ว ผู้ทำกรรมจึงจำเป็นต้องรับผลของกรรมนั้นจนกว่าจะชดใช้ให้หมดไปแล้วผลของกรรมนั้นจึงจะยุติ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วควรสร้างบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10 สร้างบารมี ดูบารมี 10) ในข้อที่ปฏิบัติได้ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้จิตได้สั่งสมไว้ เป็นฐานของการบรรลุธรรมในข้างหน้า

   3. หากเราพบคนที่ไม่มีศรัทธาในพระศาสนา มาถามเราว่าทำไมเราถึงเชื่อในพระไตรปิฏก เพราะบางคนไม่เชื่อว่า กฏแห่งกรรมมีจริง อ้างว่าพิสูจน์ไม่ได้บ้าง ส่วนตัวผมเชื่อและตั้งใจจะพิสูจน์ให้ได้ในวันหนึ่งในอนาคตอันใกล้

คำถามก็คือ รอบตัวของผมมีคนจำพวกนี้อยู่หลายคน หนึ่งในนั้นเป็นผู้บังเกิดเกล้า เราจะมีวิธีการอย่างไร ที่จะทำให้ท่านเชื่อกฏแห่งกรรม เพราะว่าท่านเชื่อว่า พิสูจน์ไม่ได้

ผมขอขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูง ขอคุณพระศรัรัตนตรัย
โปรดดลบรรดาลให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง
เป็นมิ่งขวัญให้บัวใต้น้ำอย่างผมได้มีโอกาสพ้นน้ำด้วยเทอญ

ขอบคุณครับ

คำตอบ
    จะพิสูจน์ได้หรือพิสูจน์ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับภูมิธรรมภูมิปัญญาของแต่ละบุคคล ว่าสามารถรู้เห็นเข้าใจความจริงได้ระดับไหน

   วิธีพิสูจน์กฎแห่งกรรมง่าย ๆ ลองเอามือไปแหย่รังแตนที่ยังมีแตนอาศัยอยู่ แล้วดูผลที่เกิดตามมาสิว่า อะไรเกิดขึ้นจากเหตุที่เอามือไปแหย่รังแตน นี่คือกฎแห่งกรรมที่พิสูจน์ได้ง่าย

   ส่วนเรื่องกฎแห่งกรรมที่ให้ผลยาวนานข้ามภพชาติ ต้องพิสูจน์ด้วยปัญญาขั้นสูง (อภิญญา) ซึ่งหลายคนสามารถเข้าถึงความจริงแบบนี้ได้ จึงเชื่อว่ากฎแห่งกรรมมีหลายประเภท มีหลายระดับ เช่นระดับประสาทสัมผัส ระดับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สัมผัส หรือระดับจิตสัมผัส ซึ่งขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยของกรรมแต่ละชนิดซึ่งให้ผลไม่เหมือนกัน และระยะเวลาให้ผลต่างกัน



434.
pasutha2k@hotmail.com
April 28, 2007 3:59 PM

เรียนอจ.สนองที่เคารพอย่างสูง

ดิฉัน เพิ่งกลับมาจากปฏิบัติธรรม 7 วันที่วัดในจังหวัดชลบุรี ดิฉันได้อธิษฐานยกเลิกอธิฐานเก่าทั้งหมดแล้ว ตามที่ท่านอาจารย์สนองแนะนำ และดิฉันขอให้มีดวงตาเห็นธรรม (1) ผลการปฏิบัติคือความทุกข์โศกจางคลายไปบ้างแม้ไม่เกลี้ยงแต่มันก็น้อยลง (2) ด้านสมาธิ สมาธิไม่ได้มั่นคงเหมือนการปฏิบัติคราวก่อนๆ กล่าวคือหลังจากนั่งสมาธิไม่รู้สึกสดใสเบิกบานตัวเบาเหมือนก่อนจึงเห็นสิ่งที่เกิดกับจิตไม่ชัด รวมทั้งเกิดเวทนาทางคือน้ำลายไหลเต็มปากต้องบ้วนออก แต่ดิฉันไม่รู้สึกยึดติดกับสมาธิต่อไป และกำลังพากเพียรต่อการฝึกมีสติค่ะ หากแต่ยังมีข้อสงสัยเรื่องความสำคัญของระดับสมาธิที่เหมาะสมต่อการเจริญสติ

   1. วิปัสสนาจารย์ท่านบอกว่า วิปัสสนาไม่ยากหรอก เอ็งดูเวลาโกรธ โลภ โมหะ ว่ากายกับใจเอ็งเป็นยังไงแล้วจดไว้ สังเกตเฉยๆให้รู้ไว้ รู้แล้วจะวางเอง จากอดีตที่ดิฉันเคยปฏิบัติสมาธิจนสามารถเห็นการกระทบของอารมณ์ชัดเจน คือเห็นว่าสุขกับทุกข์ก็แค่นั้น...ให้ผลกับจิตเหมือนกัน และไม่ต้องการอารมณ์ใดๆนอกจากอยู่นิ่งๆตรงกลางเท่านั้น ลักษณะจิตรวมเช่นนี้หายไปแล้ว เมื่อไปปฏิบัติคราวนี้และขณะนี้จึง มองเห็นอารมณ์ไม่ชัดเลย ทุกวันนี้เห็นการเคลือนไหวกายชัด แต่สิ่งที่เกิดกับจิต มีเพียงรู้ว่า วูบวาบ พุ่ง โหยแห้ง และทื่อๆ เท่านั้นเอง เช่นนี้แล้วควรทำอย่างไร จึงจะดูสิ่งที่เกิดกับใจได้ชัด

คำตอบ
   
อารมณ์วู่วาม โหยแห้งและทื่อ ๆ เกิดจากเหตุที่จิตมีสติอ่อน อารมณ์ดังกล่าวจึงเกิดขึ้นแทรกอารมณ์กรรมฐานที่คุณกำลังปฏิบัติอยู่ วิธีแก้ปัญหา ต้องทำให้สติกำลังกล้าแข็ง คือขณะมีอารมณ์ดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้น ต้องบริกรรมคำว่า “ รู้หนอๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอารมณ์นั้นหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม

   2. ขณิกสมาธิขณะเพียรรู้ เพียรสติ เพียงพอหรือไม่สำหรับการเห็นการรู้สิ่งที่เกิดกับจิต ควรทำเพิ่มเติมอย่างไร

คำตอบ
   
การรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต และเห็นว่าตัวเองเป็นเพียงผู้ดูเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มามีอิทธิพลเหนือใจ การรูเห็นอย่างนี้ผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานจนได้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นแล้ว สามารถใช้ขณิกสมาธิเป็นฐานของการเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมใหม่และยังเข้าไม่ถึงวิปัสสนาญาณของสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์แล้ววิปัสสนาญาณจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

   3. บางครั้งมีอาการทื่อๆ เฉย เมื่อทำอิริยาบทใดบทหนึ่งนานๆ เช่น ทื่อเฉยปนอยู่กับการรู้ว่านั่งพิมพ์คอมพิวเตอร์ ทื่อเฉยปนอยู่กับการ ยินหนอ เห็นหนอ นั่งหนอ เมื่อนั่งรถประจำทาง กำหนดว่าทื่อหนอ เฉยหนอก็ไม่หายเพียงแต่รู้ว่าทื่อเป็นคราวๆไป เมื่อเปลี่ยนอิริยาบทจึงหาย ทำเช่นนี้กับอาการทื่อๆเฉยๆ ถูกต้องหรือไม่

ขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูง

สุดา

คำตอบ
   วิธีแก้ปัญหาสำหรับอาการที่เกิดขึ้น ที่บอกเล่าไปนั้นถูกต้องแล้ว คือเปลี่ยนไปใช้อิริยาบถอื่น อิริยาบถใดที่ทำให้เกิดปัญหา ไม่ควรให้อยู่ในอิริยาบถนั้นนานเกินไป เช่น เมื่อนั่งบริกรรมแล้วเริ่มมีอาการทื่อ ๆ เฉย ๆ เกิดขึ้น ต้องรีบเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งไปเป็นอิริยาบถ ยืน เดิน นอน ฯลฯ ทันที และต่อด้วยการทำจิตตภาวนา ตามองค์บริกรรมที่ใช้อยู่
  

433.
anonymous.c3dfe5c89c@anonymousspeech.com
April 27, 2007 2:55 PM

กราบเรียนถามอาจารย์สนองครับ

   1. ได้อ่านคำถามที่มีผู้ได้ถามอาจารย์ไว้แล้วเรื่องการกราบไหว้บูชา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระโพธิสัตว์ เทพ เป็นต้น อยากทราบครับว่า ถ้าเรากราบไหว้สักการะบูชาในคุณงามความดีของท่านแล้ว เรื่องการขอพร การขอให้ได้สิ่งที่ปรารถนา ควรจะทำไหมครับ อาจจะขอว่าถ้าได้แล้วจะทำความดีเป็นเครื่องสักการะบูชาต่อท่าน หรืออาจเป็นการขอเฉย ๆ โดยไม่ได้กล่าวว่าจะมีอะไรเป็นการตอบแทนคำขอนั้น ๆ จะใช้การขอพร ให้อำนาจบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรากราบไหว้บูชา ร่วมกับ การใช้หลัก ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน เพื่อให้สิ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จได้ไหมครับ

คำตอบ
    ศาสนาของพระพุทธะ มิได้สั่งสอนพุทธบริษัทให้ทำตัวเป็นผู้ขอ แต่สอนให้พุทธบริษัทตั้งความปรารถนา (อธิษฐาน) ด้วยตัวเอง แล้วต้องทำเหตุให้ถูกตรงกับคำว่าที่อธิษฐาน แล้วเมื่อกรรมให้ผล ตนเองจึงจะสมปรารถนาได้

   หากจะยึดแล้ว “ ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน ” ต้องทำเหตุด้วยตนเองแล้วผลก็จะเกิดขึ้นกับตนเอง เช่น การกราบไหว้บูชาคุณความดีของผู้มีคุณธรรม เมื่อทำได้แล้วจะเกิดความเป็นมงคลขึ้นกับผู้กระทำการกราบไหว้บูชาเป็นเหตุ ความเป็นมงคลที่เกิดขึ้นเป็นผล ด้วยเหตุนี้พระพุทธะจึงได้ตรัสไว้ในมงคล 38 ประการ

   2. ต่อเนื่องจากคำถามข้อที่หนึ่งครับ ว่า เราควรจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเมื่อใดครับ ควรจะขอหลังจากที่ได้พยายามแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเองจนสุดความสามารถแล้วหรืออย่างไรดีครับ รวมถึงการช่วยเหลือผู้อื่นเหมือนกันครับ เช่น การช่วยเหลือเรื่องใดเรื่องหนึ่งเราจะช่วยให้จบขั้นตอนไปเลย(ถ้าเราสามารถช่วยได้ครบทุกขั้นตอน) หรือว่า ควรจะแค่ชี้ทาง ให้ข้อมูลบางอย่างไป เพื่อให้เขาให้ฝึกฝนตัวเอง หรือควรจะพิจารณาเป็นครั้ง ๆ ไปอย่างไรครับ

คำตอบ
    มนุษย์ผู้เป็นปุถุชน ยังจำเป็นต้องร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ควรขอความช่วยเหลือเมื่อตนเองหมดความสามารถที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ การช่วยเหลือแบบนี้ยังไม่ถูกตรงตามธรรม ผู้ใดพัฒนาศักยภาพให้เกิดขึ้นกับตนเองแล้วใช้ศักยภาพนั้นปรับปรุงแก้ไขปัญหาด้วยตนเองได้ การช่วยเหลือตนเองได้นั้นจึงเป็นการช่วยเหลือที่ดีที่สุด

   3. มีข้อสงสัยเรื่องการทำใจยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นครับ ตัวอย่างเช่น ถ้าเห็นผู้อื่นสำเร็จในหน้าที่การงาน หรือกำลังได้รับรางวัลอย่างใดอย่างหนึ่ง เราควรจะทำใจอนุโมทนาแสดงความยินดีกับเขามในความสำเร็จนั้น แต่ในขณะเดียวกันเราควรจะพิจารณาไปพร้อม ๆ กันหรือไม่ครับว่า ทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ถึงจะประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่สิ่งถาวร เพื่อไม่ให้หลงดีใจ จนจิตใจฟูพอง กับความสำเร็จ ความดีของผู้อื่นจนเกินไปน่ะครับ. .

คำตอบ
    การทำใจยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่น เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 เมื่อทำได้แล้วจะเกิดเป็นบุญสั่งสมอยู่ในใจของผู้มีความยินดี ด้วยเหตุที่บุญเป็นพื้นฐานนำสู่ความสำเร็จในสิ่งดีงามทั้งปวง ดังเช่นการเกิดของปัญญาเห็นแจ้ง ผู้มีบุญเท่านั้นจึงจะเห็นว่าความสำเร็จของผู้อื่นหรือรางวัลที่ได้รับ (โลกธรรม) ยังต้องดำเนินไปตามกฎของไตรลักษณ์ เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วมีจิตไม่เป็นทาสของสิ่งดังกล่าวผู้รู้แนะนำให้กระทำ เพราะการเห็นถูกตรงอย่างนี้เป็นอิสรภาพของชีวิต ที่ผู้มีบุญเท่านั้นสามารถเข้าถึงได้
  

432.
puipani@hotmail.com
April 25, 2007 10:55 PM

กราบเรียน อ.สนอง
ขออนุญาตเรียนถามดังนี้ค่ะ

   1. อาจารย์อธิบายว่าอาชีพแพทย์เป็นเดรัจฉานวิชาเนื่องจากขัดขวางไม่ให้ไปสู่นิพพาน หนูยังไม่ค่อยเข้าใจค่ะว่ามีเหตุผลว่าอย่างไร หมายถึงว่าขัดขวางตัวผู้เป็นแพทย์เองหรือรวมถึงคนไข้ด้วย หรือหมายถึงเฉพาะสงฆ์เท่านั้น(ถ้าหมายถึงเฉพาะสงฆ์ แล้วแพทย์ฆราวาสที่ต้องการปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษจะมีผลหรือไม่)

คำตอบ
    เรื่องเดรัจฉานวิชา เป็นวินัยที่พระพุทธะห้ามสงฆ์สาวกกระทำ เพราะเป้าหมายสูงสุดของพุทธสาวกคือ นำชีวิตให้พ้นไปจากทุกข์ (นิพพาน) แต่มิได้ห้ามฆราวาสกระทำ พระพุทธะสอนฆราวาสธรรมเพื่อให้ฆราวาสอยู่กับทุกข์อย่างรู้เท่าทัน เพื่อจะได้ไม่ต้องรับทุกข์มากเกินจำเป็น ด้วยเหตุนี้จึงมีหมอชีวกที่เป็นฆราวาสโสดาบันประกอบอาชีพแพทย์อยู่ในครั้งพุทธกาล

   ทุกข์หมายถึงสภาพที่ทนอยู่ไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ไม่สามารถบังคับได้ นั่นคือสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วต้องมีการดับไป ด้วยเหตุนี้การเวียนตาย-เกิด ตั้งแต่สัตว์นรกไปจนถึงพรหม จึงหนีไม่พ้นไปจากทุกข์

   การเจ็บป่วยของคนไข้ที่มีเหตุมาจากอกุศลกรรม ที่คนไข้ทำไว้กับเจ้ากรรมนายเวร แพทย์ที่ให้การรักษา คือผู้ที่ไปร่วมวงจรกรรมที่เขาทั้งสองผูกเวรกัน แพทย์จึงต้องรับผลแห่งอกุศลกรรมนั้น ด้วยเหตุนี้เดรัจฉานวิชา จึงเป็นกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์(สังโยชน์) ตัวสุดท้ายคืออวิชชาที่ผู้ปรารถนานำชีวิตพ้นไปจากทุกข์ จึงต้องเลิกจึงต้องละให้ได้ ฉะนั้นใครผู้ใดก็ตาม แม้จะปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษเพียงไหน หากยังละอวิชชาไม่ได้ การพ้นไปจากทุกข์ (นิพพาน) จึงไม่มี
 

   2. การที่แพทย์รักษาคนไข้ถือเป็นการไปขวางทางกรรมของคนผู้นั้นหรือไม่ หรือเป็นเพราะว่าเขาผู้นั้นจะได้บการผ่อนหนักเป็นเบาเช่นนั้นอยู่แล้ว

คำตอบ
    การเจ็บป่วย อันเนื่องมาจากอกุศลกรรรม ที่คนไข้ได้ก่อไว้กับผู้อื่นสัตว์อื่น เมื่อกรรมให้ผลเป็นการเจ็บป่วย คนไข้ต้องชดใช้หนี้เวรกรรม จนกว่าอกุศลวิบากนั้นหมดไป เขาจึงจะหายจากการเจ็บป่วยได้ ดังนั้นแพทย์ผู้ให้การรักษาคนไข้ในกรณีนี้จึงเป็นผู้ไปร่วมวงจรกรรมของเขา จึงต้องมีส่วนรับอกุศลวิบากแทนคนไข้ด้วย

   3. หนูเป็นหมอรักษาคนไข้ที่เป็นมะเร็งค่ะ ได้พยายามแนะนำคนไข้และญาติถึงเรื่องการเจริญ
มรณานุสติ การมีสติรวมถึงการวางตัวในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตเท่าปัญญาที่หนูมีและเท่าที่ผู้รับจะรับได้ หนูควรศึกษาธรรมะข้อไหนเพิ่มบ้างเพื่อตอบคำตอบนี้(รวมถึงแหล่งที่จะหาข้อมูล)
รวมถึงอาจารย์มีคำแนะนำอย่างไรบ้างคะ เกี่ยวกับเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง เมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต( ในคนที่ได้เคยเจริญสติมาในระดับต่างๆหรือไม่เคยเลย)

กราบขอบพระคุณอาจารย์ทั้งความรู้ที่ให้ในครั้งนี้และในกาลก่อนๆมา
ขออนุโมทนากับอาจารย์ด้วยค่ะ

พ.ญ.ปณิสินี

คำตอบ
    การแนะนำนั้นถูกต้องแล้ว รักษาใจคนไข้ให้มีศีลและมีธรรมไว้ดีกว่า จะรักษากายอย่างไรก็รักษาไว้ไม่อยู่ ต้องชรา และมรณาทุกคน การเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็ง เหตุมาจากผิดศีลข้อปาณาติบาตดังนั้นการรักษาใจให้มีศีลมีธรรมได้ทุกข์ขณะตื่นเป็นการรักษาที่ดีที่สุด

   ในฐานะผู้ให้การรักษา ควรทำตัวเองให้มีศีล มีสติ มีเมตตาและมีปัญญาเห็นถูกตรงเกิดขึ้นกับใจ เมื่อคุณธรรมทั้งสี่ให้ผลแสดงออกมาในรูปของพฤติกรรมที่คนไข้สามารถสัมผัสได้ จะเป็นการสั่งสอนคนไข้ด้วยการทำให้ดู ซึ่งดีกว่าการกล่าววาจาสั่งสอน



431.
ouisocute@gmail.com
April 24, 2007 2:40 PM

เรียน อาจารย์สนองค่ะ

   หนูเป็นคนหนึ่งที่ได้ศึกษาเรื่องธรรมมะได้ไม่นานและมีโอกาสได้อ่านหนังสือทำชีวิตให้ได้ดีและมีความสุขของอาจารย์แล้วชอบมากๆ มีตอนหนึ่งที่อาจารย์เล่าให้ฟังถึงการเรียนสมัยปริญญาเอกทำให้หนูคิดถึงตัวเองพอดีเป็นช่วงที่เริ่มเรียนต่อปริญญาโทพอดี ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย หนักหนาสาหัสมากจริงๆเลยอยากจะขอคำแนะนำอาจารย์ในการปฏิบัติตนดังนี้ค่ะ

   1.ทำอย่างไรจึงจะมีสมาธิมากขึ้นจิตไม่ลอยไปคิดเรื่องอื่นๆทั้งในเวลาเรียนในห้องเรียนหรือเวลาทำงานเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนสมาธิสั้น

คำตอบ
   
เมื่อรู้ตัวเองว่ามีสมาธิขึ้น และประสงค์จะทำให้มีสมาธิยาว คือมีจิตตั้งมั่นยาวนาน ต้องทำให้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น เร่งความเพียรในการฝึกจิตให้มีสติ ด้วยการเลือกเอากรรมฐานบทหนึ่งบทใด ที่เหมาะสมกับจริตของตน (ดูกรรมฐาน 40) มาใช้เป็นองค์บริกรรมทุกวันก่อนนอน และบริกรรมทุกครั้งหลังจากตื่นนอนทุกเช้า ปฏิบัติให้ต่อเนื่องยาวนาน และสุดท้ายต้องมีสัจจะให้อยู่กับใจ แล้วโอกาสที่จะให้มีจิตตั้งมั่น (สมาธิ) ที่ยาวนานจึงจะเกิดขึ้นได้

   2.ทำอย่างไรจึงจะนอนได้เต็มอิ่มโดยที่ไม่ต้องใช้เวลานอน7-8 ชั่วโมง

คำตอบ
    เมื่อใดที่ปฏิบัติจิตตภาวนา จนจิตมีความตั้งมั่นได้แล้ว อารมณ์ปรุงแต่งของจิตจะลดน้อยลงเพราะสิ่งกระทบภายนอกถูกสกัดไม่ให้เข้าถึงใจด้วยกำลังของสติ เมื่ออารมณ์ปรุงแต่งของใจน้อยลง พลังงานจะถูกอนุรักษ์ไว้ในร่างกาย ซึ่งส่งผลถึงชั่วโมงการนอนหลับพักผ่อนลดลงแน่นอน

   3.รุ้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่คิดช้าอยากคิดให้เร็วขึ้นควรทำอย่างไรคะ

      ขอขอบคุณอาจารย์ค่ะ
        Anita

คำตอบ
    เป็นคนที่คิดช้า เหตุเพราะขาดสารเคมีที่ไปกระตุ้นการสื่อของกระแสประสาท การสื่อของกระแสประสาทที่รวดเร็วต้องการสาร acetyleholine กระตุ้นการทำงาน ซึ่งสาร etyleholine จะเกิดเพิ่มขึ้นมากในกระแสเลือดของคนที่มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ฉะนั้นอยากให้เป็นคนคิดเร็ว ต้องฝึกจิตให้มีสติได้ก่อน แล้วสมาธิจะเกิดตามมาเป็นอัตโนมัติ ผลพลอยได้คือสาร acetylcholine เพิ่มมากขึ้นในกระแสเลือด จากคนที่คิดช้าก็จะเปลี่ยนเป็นคนที่คิดเร็วได้ พิสูจน์ดูสิ
 

430.
vsomsri@hotmail.com
April 23, 2007 7:36 PM

กราบเรียนอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

ดิฉันรบกวนเรียนถามปัญหาการปฏิบัติธรรมของดิฉันเองดังนี้
   ดิฉันได้เริ่มปฏิบัติธรรมเป็นประจำ คือวันละหนึ่งชั่วโมง อาทิตย์ละ ๓ ถึง ๔ ครั้งด้วยการเดินจงกรม ๓๐ จากนั้นนั่งสมาธิอีก ๓๐ นาที ระหว่างวันดิฉันก็จะพยายามกำหนดอิริยาบทย่อย เช่น เดินขวา ซ้าย นั่ง กิน แต่ก็กำหนดไม่ได้ทั้งวัน ดิฉันปฏิบัติมาได้ประมาณ ๒ เดือน เมื่อก่อนเคยไปปฏิบัติธรรมถามสถานปฏิบัติธรรมหลายแห่ง แต่หลังจากกลับมาแล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อ แต่ครั้งหลังสุดนี้ดิฉันได้ตั้งใจว่าจะเริ่มปฏิบัติให้เป็นประจำ การปฏิบัติบางวันก็จะได้ผลดี คือมีสมาธิในการเดินและนั่ง และหลังจากออกจากสมาธิแล้วก็จะรู้สึกสบายใจ แต่บางวันก็จะไม่มีสมาธิเลย เวลาเดินก็คอยจะคิดเรื่องอื่นอยู่เรื่อยๆ เลยทำให้นั่งสมาธิได้ไม่ดี แต่ถ้าวันไหนดิฉันเดินจงกรมได้ดี จะนั่งสมาธิได้นานขึ้น บาทครั้งถ้าสมาธิดีมากๆ ก็จะเห็นเป็นดวงไฟสว่างตรงหน้า หรือไม่ก็น้ำตามไหลเป็นทาง บางครั้งรู้สึกเหมือนตัวเองตัวใหญ่ขึ้นๆ แต่ก็จะพยายามกำหนดว่ารู้หนอๆ และก็กลับมากำหนดรู้ที่ลมหายใจเหมือนเดิม
   อยากเรียนถามอาจารย์ว่าที่ดิฉันปฏิบัติมานั้นถูกทางหรือยัง และจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อเพื่อความก้าวหน้า

อีกข้อเป็นปัญหาเรื่องศีล
   สวนที่บ้านดิฉันช่วงหน้าฝนมักจะมีหนอนจำนวนมากเข้ามาดินดอกไม้ที่ดิฉันปลูกไว้ ดิฉันแก้โดยวิธีซื้อยาเมล็ดมาโรยตามดิน แล้วพอหนอนพวกนี้กินเข้าไป เมล็ดยากนี้ก็จะทำให้หนอนแห้งตายไปเอง ดิฉันไม่ทราบว่าวิธีนี้จะเป็นบาปหรือเปล่า และถ้าวิธีนี้เป็นบาป อาจารย์ช่วยแนะนำวิธีที่ถูกต้องให้ดิฉันหน่อยที่จะไม่ให้หนอนพวกนี้เข้ามาในสวน เพราะว่าหนอนพวกนี้สามารถกินดอกไม้และผักที่ดิฉันปลูกไว้ได้หมดภายในเวลาวันเดียว ส่วนหนอนตัวเล็กๆ ดิฉันก็จะเด็ดทั้งใบทิ้ง และก็เอาหนอนพวกนี้ไปทิ้งไว้ทุ่งหน้าหน้าบ้าน

กราบขอบพระคุณในความกรุณาของอาจารย์อย่างสูง
สมศรี ฮอร์น

คำตอบ
    ปฏิบัติธรรมได้ถูกทางแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขคือ ต้องทำตัวเองให้มีศีล 5 คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น รักษาสัจจะให้มีอยู่กับใจ เร่งความเพียรในการปฏิบัติให้มากและแก้ไขนิมิตที่เกิดขึ้นให้หมดไป แล้วมรรคผลในการปฏิบัติจะก้าวหน้ายิ่งขึ้น

   ส่วนเรื่องการปลูกผักชีและพืชที่ให้ดอก คนโบราณเขาใช้เศษใบยาสูบ หรือเศษยาตั้ง (ในยาสูบที่หั่นเป็นฝอยแล้วอัดเป็นก้อน) คลุกผสมกับดินก่อนปลูกพืช แล้วจะไม่มีแมลงศัตรูพืชมาทำลายพืชผล ผู้ตอบปัญหาปลูกพืชที่ให้ดอกโดยไม่ใช้สารเคมีใด ๆ แม้จะมีหนอนมีแมลงมากัดกินบ้าง ก็ให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ก็ยังมีดอกไม้เหลือไว้ให้ดูให้ดมได้


 

429.
honey_2k@yahoo.com
April 23, 2007 1:01 PM

ถามเรื่องพระนางจามเทวี
กราบเรียน อาจารย์ สนอง,

ทราบมาว่า อาจารย์เคย ทำพระประวัติของพระนางจามเทวี อยากเรียนถามดังนี้

   ๑. ที่ว่าพระนางไม่ได้ถึงนิพพาน เพราะปัญญาทานบารมีไม่เต็มนั้นเป็นอย่างไรคะ

คำตอบ
    ขณะที่ทำหนังสือประวัติพระนางจามเทวี เป็นห้วงเวลาที่อนุสาวรีย์พระนางจามเทวียังไม่ได้ก่อตั้ง ซึ่งขณะนั้นทานบารมีของพระนางฯยังไม่เต็ม คือยังไม่มีมากพอที่จะส่งผลให้การปฏิบัติธรรมในสวรรค์ของพระนางฯ เข้าถึงมรรคผลนิพพานได

   ๒. เทวดา หรือเทพ วานให้มนุษย์ช่วยทำภาระกิจแทน เป็นอย่างไร และท่านเลือกคนอย่างไร

คำตอบ
    เทวดาวานให้มนุษย์ทำภารกิจแทน ก็ไม่ต่างไปจากมนุษย์บางคนมีเหตุปัจจัยไม่ลงตัว เช่นไม่สามารถไปตั้งโรงทานด้วยตนเองได้ จึงฝากปัจจัยให้ผู้อื่นไปสร้างโรงทานแทนให้

   ถามไปว่าเทวดาเลือกคนอย่างไร ตอบว่า เลือกคนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อนในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติผู้นั้นต้องมีความถี่คลื่นจิต (เครื่องรับ) ตรงกับความถี่คลื่นจิตของเทวดา (เครื่องส่ง) ภารกิจระหว่างเทวดาและมนุษย์จึงจะสัมฤทธิ์ผลได้

   ๓. จะหาอ่านพระประวัติของพระนางจามเทวีที่ท่านอาจารย์สนองทำได้จากไหนคะ

   ขอขอบพระคุณค่ะ,
      หลานผึ้ง.

คำตอบ
    หาอ่านได้ที่หอสมุดแห่งชาติ
 

428.
vsomsri@hotmail.com
April 21, 2007 12:23 AM

กราบเรียนอาจารย์สนอง วรอุไร

ดิฉันกราบรบกวนถามปัญหาปฏิบัติธรรมดังนี้
คือว่าดิฉันมีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลัง นั่งสมาธินานๆ ไม่ได้
เวลานั่งไม่มีปัญหาคือไม่รู้สึกปวด แต่หลังจากนั่งแล้ว จะปวดหลังอยู่หลายวัน
สามีบอกว่าเขาเคยอ่านหนังสือพบว่าเราสามารถใช้วิธีนอนในการทำสมาธิก็ได้
รบกวนถามความคิดเห็นของอาจารย์ด้วย

ขอแสดงความนับถือย่างสูง
สมศรี ฮอร์น

คำตอบ
    สามีของคุณแนะนำถูกแล้ว เพราะการปฏิบัติกรรมฐาน สามารถทำได้ในขณะอยู่ในทุกอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน หรือขณะอยู่ในอิริยาบถย่อย คือ กิน ดื่ม พูด ฟัง เห็น ได้ยิน กายสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ฯลฯ ดูตัวอย่างพระอานนท์ที่เป็นพุทธอุปัฏฐากได้ปฏิบัติธรรมและมีจิตเข้าถึงมรรคผลและบรรลุอรหัตผลได้ในอิริยาบถที่กำลังเอนกายลงนอน
 

427.
rabbit-atm@hotmail.com
April 20, 2007 11:19 AM

ขอรบกวนกราบเรียนถามท่านอาจารย์สนองอีกค่ะว่า

   1.อยากทราบว่า ทำไมอาจารย์จึงแนะนำการฝึกสติโดยใช้วิธีตามระลึกรู้คะมี ข้อดีกว่าแบบอื่นอย่างไรคะ

คำตอบ
    โดยทั่วไปวิธีการฝึกจิตให้มีสติ สามารถเลือกวิธีการฝึกอย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ ก็ได้ แต่เมื่อฝึกได้มรรคผลแล้ว จิตต้องมีความจดจ่ออยู่กับสิ่งที่นำมาใช้ฝึก จิตต้องระลึกได้ทันสิ่งที่เข้ากระทบจิต จิตต้องไม่เผลอ ไม่ลืมสิ่งที่ผ่านไปแม้ยาวนานได้ ฯลฯ

   ดังนั้นเหตุที่ผู้ตอบปัญหาแนะนำให้ตามระลึกรู้ ก็เพื่อให้จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เข้ากระทบจิต ที่เกิดขึ้นในขณะปัจจุบัน คุณจะเลือกใช้วิธีการฝึกอย่างใดก็ได้ แต่ผลที่เกิดขึ้นต้องเป็นไปตามที่กล่าวไว้ข้างต้น จึงจะเรียกว่า จิตมีสติเพิ่มมากขึ้น


   2. ก่อนหน้านี้เคยฝึกสติโดยการภาวนาแบบไตรสรณคมน์ โดยนำสติไปแตะที่ ระหว่างคิ้ว และไม่สนใจลมหายใจอะไรทั้งสิ้น(ตามคำสอนของหลวงปู่ดู่ค่ะ) ดีมากเลย ค่ะ แต่ถ้าเพ่งมากไปก็จะปวดศีรษะ หลักจากนั้นได้ลองทำแบบ ยุบหนอพองหนอดู ก็ดี เหมือนกันค่ะ แต่บางทีรู้สึกว่าต้องคอยบังคับที่ท้อง เนื่องจากปกติไม่ได้หายใจ โดยใช้ท้อง ข้าพเจ้าควรเลือกปฏิบัติวิธีไหนดีคะ

คำตอบ
    หลวงปู่ท่านสอนถูก ท่านสอนวิธีปฏิบัติให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น คำสอนของท่านดีมาก แต่เป็นดีของผู้สอน ผู้ถูกสอนจึงไปรับสิ่งกระทบอื่นที่ไม่ดีมาปรุงเป็นอารมณ์ติดลบ หลวงปู่สอนให้มีสติเพิ่ม แต่ผู้นำไปปฏิบัติแล้วกลับมีสติลด จึงต้องปรับปรุงแก้ไขที่ตัวผู้ถูกสอน

  เช่นเดียวกับ การฝึกจิตให้มีสติเพิ่ม ด้วยวิธีกำหนดพองหนอ-ยุบหนอ เป็นคำสอนที่ดี แต่ผู้นำคำสอนไปปฏิบัติ โดยใช้จิตไปบังคับอาการพองยุบที่ผนังหน้าท้องนั้น เป็นวิธีการที่ผิดไปจากคำสอน สติจึงไม่เพิ่ม สมาธิจึงไม่เกิด

   ทั้งสองวิธีที่ถามไปนั้นดีอยู่แล้ว ผู้ถูกสอนควรปรับปรุงแก้ไข วิธีการปฏิบัติให้ถูกตรงแนวทาง หรือไปเลือกใช้วิธีการอื่นที่ระบุไว้ในกรรมฐาน ๔๐ ให้ถูกตรงกับจริตของผู้ปฏิบัติ


   3. แล้วหากข้าพเจ้าไม่ได้ใช้แบบ "หนอ" แล้ว ถ้าหากมีเวทนาเกิดขึ้น ข้าพเจ้าควรทำอย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณมากค่ะที่สละเวลาของท่าน

คำตอบ
    เมื่อปฏิบัติไปแล้วมีเวทนาเกิดขึ้น แต่มิได้บอกไปว่าเป็นเวทนาแบบใด (สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา) ถ้าเป็นทุกขเวทนา เช่น เกิดอาการปวด ต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการปวดหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมที่ใช้ในการเจริญสติ แต่ถ้าจิตมีกำลังของสติกล้าแข็งมากจนจิตเกิดความตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ)แล้ว ให้ใช้จิตตามดู อาการปวดที่เกิดขึ้น จะเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อใดที่ความปวดเข้าสู่อนัตตา อาการปวดจะหายไป แล้วจึงดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมที่ใช้ในการเจริญสติ
 

426.
kanlayanamitt@gmail.com
April 18, 2007 6:42 PM

เรียน อ.ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

   กระผมมีปัญหาธรรมะเรียนถาม อ.ดังนี้ครับ

   1.คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า "จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา" นั้น คำว่าจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมองนั้น มีความหมายครอบคลุมอย่างไร เช่น ในกรณีที่เราเสียชีวิตในขณะนั่งสวดมนต์หรือปฏิบัติกรรมฐานหรือทำบุญด้วยวิธีใดก็ตาม ตามหลักของบุญกิริยาวัตถุ10 นั้น ในขณะนั้นจิตย่อมเกษมผ่องใส ไม่เศร้าหมอง มีสติอยู่กับการทำบุญชนิดนั้น ๆ ที่หมายคือสุคติภูมิแน่นอน แต่ถ้าในกรณีที่เราเสียชีวิตด้วยทางอื่นเช่น เรากำลังขับรถไปแล้วจิตจดจ่อ มีสติอยู่กับการขับรถ ระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาในอิริยาบทของการขับรถ แต่ระหว่างขับไปนั้นเกิดอุบัติเหตุขึ้นจนเสียชีวิต อยากเรียนถาม อ.ว่าจิตดวงสุดท้ายที่ดับไปนั้น จะเรียกได้ว่าจิตมีสติได้หรือไม่ หรือจะเรียกว่าจิตไม่เศร้าหมองได้หรือไม่ แล้วที่หมายที่ไปจะเป็นเช่นไร

คำตอบ
   
ชั่วขณะจิตที่มีการเกิด-ดับ เร็วเกินกว่าที่ระบบประสาทจะสัมผัสได้ ขณะขับรถมีสติก็จริง แต่ขณะเกิดอุบัติเหตุ เป็นผลของการขาดสติ ห้วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุกับห้วงเวลาที่จิตหลุดออกจากร่างนั้น ห่างกันหลายชั่วขณะจิต หากจิตดวงสุดท้ายก่อนออกจากร่างระลึกถึงกรรมดีที่ทำไว้เรียกว่าจิตมีสติ จิตมีสติเป็นจิตที่ไม่เศร้าหมองที่หมายไปเกิดใหม่ในสุคติภพ

   2. การตั้งจิตอธิษฐานว่า "หากจะละทิ้งขันธ์ หรือตายไปจากภพมนุษย์นี้ ขอให้ไปด้วยอาการสงบ" (ผมหมายถึงการตายโดยธรรมชาติ ไม่ใช่อุบัติเหตุแบบปัจจุบันทันด่วน) เพื่อที่เราจะได้มีโอกาสตามดูจิตของตัวเองให้คิดถึงแต่กุศลกรรมที่ได้ทำไว้ก่อนนั้น ถือว่าเป็นมิจฉาทิฎฐิ หรือไม่อย่างไร

   ขอขอบพระคุณ อ. ที่เมตตาตอบคำถามครับ

คำตอบ
    การตั้งจิตอธิษฐานอย่างที่บอกไป ไม่เป็นการอธิษฐานที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ
   

425.
t_most_2004@hotmail.com
April 18, 2007 12:09 PM

ดิฉันมีขอสงสัยอยากจะเรียนถามท่านค่ะ ผู้ที่มีความเพียรทำบุญ ทำกุศลมามาก
แต่จิตสุดท้ายก่อนตายเกิดความโกรธแต่ไม่ได้ทำร้ายผู้ใดด้วยการกระทำและคำพูด
แล้วต้องไปเกิดในทุคติภูมินรกหรือเปล่าค่ะถ้าใช่ กรุณาอธิบายให้เข้าใจ
หน่อยค่ะว่าทำไมความโกรธถึงให้ผลรุนแรงขนาดนั้นคะและบุญกุศลไม่สามารถช่วยได้เลยหรือคะ

กราบด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    กรรมใกล้ตาย (อาสันนกรรม) ที่เป็นอกุศลคือความโกรธ ถ้าไม่มีกรรมหนัก (ครุกรรม) ฝ่ายดี และไม่มีกรรมฝ่ายดีที่ทำบ่อย ๆ จนเคยชิน (อาจิณกรรม) มาชิงให้ผลตัดหน้า กรรมใกล้ตายที่เป็นอกุศลย่อมให้ผลก่อนกรรมอื่น

   เหตุที่ความโกรธให้ผลรุนแรง เพราะความโกรธแสดงผลขณะที่จิตกำลังออกจากร่าง จิตจึงต้องไปเสวยอกุศลจิตวิบากในภพถัดไปบุญกุศลไม่สามารถช่วยได้ เพราะเป็นกฎแห่งกรรมซึ่งแน่นอนตายตัว แต่บุญกุศลจะให้ผลได้ต่อเมื่ออกุศลวิบากนั้นจบสิ้นแล้ว


 

424.
niyadaph@yahoo.co.th
April 18, 2007 10:02 AM

กราบเรียน ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

  ดิฉันมีคำถามขอเรียนถามดังนี้ค่ะ

   1. ดิฉันได้หนังสือสวดมนต์มาเล่มหนึ่งมีคำอธิษฐานจิตดังนี้ค่ะ "....ขอให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ผู้เที่ยงแท้ ได้รับการพยากรณ์แด่พระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ถึงฐานะแห่งความอาภัพ 18 ประการ....." อยากทราบว่า ความอาภัพ 18 ประการคืออะไรคะ

คำตอบ
   
อภัพพฐาน คือ ฐานะที่ไม่ควรมีได้ 18 ประการ
1. ไม่เป็นคนบอดแต่กำเนิด
2. ไม่เป็นคนหูหนวกแต่กำเนิด
3. ไม่ไปเกิดในชนชาติที่มีจิตโหดร้าย
4. ไม่เกิดในครรภ์ของนางทาสี
5. ไม่เป็นคนนิยตมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิดที่ดิ่ง)
6. ไม่เป็นคนกลับเพศ (ชายกลับกลายเป็นหญิง)
7. ไม่ทำอนันตริยกรรม 5 อย่าง
8. ไม่เป็นคนโรคเรื้อน
9. อัตภาพสุดท้ายไม่กำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
10.ไม่มีอัตภาพใหญ่กว่าช้างหรือเล็กกว่านกกระจาบ
11.ไม่เกิดเป็นเปรตในจำพวก ขุปปีปาสิกเปรตกับนิชฌามตัณหิกเปรต
12.ไม่เกิดในจำพวกกาลกัญชิกาสุรทั้งหลาย
13.ไม่เกิดในอเวจีมหานรก
14.ไม่เกิดในโลกันตนรก
15.ไม่เกิดในอสัญญีภพ ในรูปาวจรภูมิ
16.ไม่เกิดในสุทธาวาส
17.ไม่เกิดในอันติมภพ (ยังไม่ใช่เป็นภพสุดท้าย)
18.ไม่ก้าวไปสู่(เกิด) จักรวาลอื่น

รวมเป็นอภัพพฐาน 18 ประการ ท่านผู้เป็น “ นิยตโพธิสัตว์ ” ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นแน่แท้ จะไม่ไปสู่ อภัพพฐาน 18 ประการนี้เป็นอานิสง์ของบารมีทั้งหลาย

   2. คนที่ไม่พูดโกหก แต่ชอบนินทาและวิจารณ์ผู้อื่นในทางลบ ถือว่าศีลข้อ 4 ขาดหรือพร่องคะ และคำว่า กุศลกรรมบท คืออะไรคะ ขอความกรุณาช่วยตอบด้วยค่ะ

คำตอบ
   
“ กุศลกรรมบถ ” หมายถึงทางแห่งกรรมดีการทำความดีทางวาจา ต้องไม่พูดเท็จ ไม่พูดหยาบ ไม่พูดส่อเสียดและไม่พูดเพ้อเจ้อ

   ส่วนคำว่า “ ศีล ” หมายถึง ข้อปฏิบัติในการเว้นจากความชั่วศีลข้อ 4 คือให้เว้นจากการพูดเท็จ การนินทาหรือวิจารณ์ผู้อื่นในทางลบ ถ้าเป็นเรื่องจริงไม่ถือว่าเป็นการพูดเท็จ ไม่ผิดศีลข้อ 4 แต่ถ้านินทาหรือวิจารณ์ผู้อื่นแล้ว ผู้ถูกนินทา ผู้ถูกวิจารณ์ ไม่ได้เป็นอย่างที่ผู้นินทาผู้วิจารณ์พูด ถือว่าผิดศีลข้อ 4

   3. บุคคลที่เสียชีวิตแล้วหากไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์แล้วมีชื่อใหม่ เวลาเราอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาจะได้รับหรือไม่คะ ระยะเวลาของการเกิดใหม่หลังตายใช้เวลานานเท่าใด หากจิตดวงสุดท้ายรับนิมิตรไปเกิดเป็นมนุษย์

   กราบขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะที่กรุณาตอบข้อสงสัย

    นิยดา

คำตอบ
    ถ้าผู้อุทิศบุญสามารถสื่อบุญไปถึงผู้เกิดใหม่ได้และผู้เกิดใหม่มาอนุโมทนาบุญได้ เขาก็ได้รับบุญกุศลที่มีผู้อุทิศให้

   การไปเกิดแล้วมีชื่อสมมติใหม่ยังไม่สำคัญเท่ากับผู้อุทิศบุญกล่าววาจาว่า บุญกุศลนี้ข้าพเจ้าอุทิศให้กับ นาย ก ที่ตายไปแล้วหรืออุทิศให้กับญาติที่ตายไปแล้ว ผู้ตายที่ถูกกล่าวถึงจึงมีโอกาสมาอนุโมทนาบุญได้

   ที่ถามว่าตายแล้วไปเกิดใหม่ต้องใช้เวลานานเท่าใดให้อ่านคำตอบ จาก เอไอเอ ข้อ 18


 

423.
tasi_tasa@yahoo.com
April 16, 2007 10:54 PM

กราบเรียน อ.ดร.สนองคะ

สืบเนื่องจากการไปปฏิบัติธรรมทำให้เกิดข้อสงสัยคะ

1.ขณะที่กำลังปฏิบัติร่วมกันอยู่ ถ้ามีคนไอ หรือจาม มักจะตกใจ เป็นเพราะอะไรคะ จะมีวิธีการแก้อย่างไรคะ

คำตอบ
    อาการตกใจเกิดขึ้นกับคนที่ขาดสติ ต้องแก้ไขด้วยการปฏิบัติสมถภาวนา ให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น แล้วอาการตกใจจะไม่เกิดขึ้นอีก

2.คือหนูมีความตั้งใจปฏิบัติธรรม ไปตลอดชีวิตคะ เพราะรู้สึกว่าเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยหนูให้พ้นทุกข์ได้ แต่มีข้อสงสัยว่าถ้าชาตินี้สมมติไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นต่ำสุดคือเป็นโสดาบัน แล้วตายไป และสมมติต่ออีกว่าชาติต่อไปมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์อีก หนูต้องเริ่มต้นปฏิบัติใหม่หมดเลยหรือไม่ หมายความว่าสิ่งที่หนูได้ทำไปในชาตินี้เท่ากับเป็นศูนย์หรือไม่

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์

หนู...ผู้ด้อยปัญญา

คำตอบ
    คนทียังมีความสงสัยอยู่ในจิต ความเป็นอริยบุคคลขั้นโสดาบันไม่อาจเกิดขึ้นได้ สิ่งที่สมมุตินั้นมีต้นเหตุมาจากจิตที่มีความเห็นผิด ควรแก้ไขด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ความเห็นถูกจะกลับมา สุดท้ายทุกสิ่งที่บุคคลคิดแล้ว พูดแล้ว ทำแล้ว จะถูกเก็บสั่งสมไว้ในดวงจิต ดูตัวอย่างของพระโพธิสัตว์ กว่าจะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องเวียนตาย เวียนเกิดมายาวนาน เพื่ออบรมสั่งสมบารมีให้เต็ม ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้แล้วไม่สูญเปล่าเมื่อไปเกิดใหม่ในภพถัดไปต้องนำสิ่งที่สั่งสมไว้นั้นไปเกิดใหม่ด้วย
 

422.
ty_kongchai@yahoo.com
April 16, 2007 2:30 AM

สวัสดีครับ อาจารย์สนอง วรอุไร

ผมมีคำถามรบกวนอาจารย์สนองช่วยตอบหน่อยครับ คือว่า ถ้าคนดูหนังโป๊ หรือหนังลามก แล้วเกิดอารมณ์ ในขณะเดียวกัน ก็สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง อย่างนี้จะเป็นบาปหรือไม่ อย่างไร แล้วจะแก้บาปนี้ได้อย่างไร ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ถามคำถามแบบนี้ แต่ผมสงสัยมานานแล้ว และยังหาคำตอบไม่ได้

ขอบคุณครับ

คำตอบ
    บุคคลใดมีจิตเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน เรียกได้ว่าบุคคลนั้นมีบาปสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณ ประสงค์จะทำบาปให้หมดไป ต้องทำจิตให้เป็นอิสระจากกามด้วยการพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้น แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับความใคร่ด้วยการพิจารณาผัสสะให้ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตจึงจะเป็นอิสระจากกามได้
 

421.
mamottemink@hotmail.com
April 15, 2007 11:14 PM

กราบเรียนถามท่านอาจารย์ ดร. สนอง

หนูเคยเรียนอยู่โรงเรียนคริสต์ค่ะ แต่หนูนับถือพุทธน่ะค่ะ หนูเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงและเคยได้พระเจ้าช่วยเอาไว้ค่ะ
และเคยขอพรพระโพธิสัตว์กวนอิมที่หนูนับถือด้วยค่ะ ตอนนี้คุณแม่บอกให้หันมาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง แต่หนูลังเลอยู่ค่ะ
เพราะหนูคิดว่าถ้าหนูหันมาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังจะเป็นการหักหลังพระเจ้าหรือเปล่า เพราะศาสนาคริสต์เชื่อว่าต้องนับถือพระเจ้าองค์เดียว
แต่ถ้าหนูหันไปหาคริสต์จะเป็นการหักหลังพระโพธิสัตว์รึเปล่าค่ะ

คำตอบ
    คำว่า “ หักหลัง ” มีความหมายว่า ร่วมใจกันมาก่อนแล้วกลับทรยศ และคำว่า
“ อิสรภาพ ” มีความหมายว่า เป็นไทแก่ตัว

   มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีอิสรภาพในการเลือกทางเดินให้กับชีวิต เลือกทางชีวิตเป็นแบบไหน ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของตัวเอง ตัวอย่างเช่นปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) เป็นลูกเศรษฐีตระกูลพราหมณ์ หักหลังตระกูลด้วยการทิ้งสมบัติเศรษฐี แล้วออกบวช ได้พัฒนาจิตวิญญาณตนองไปสู่อิสรภาพสูงสุดของชีวิตได้ จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า ปิปผลิมาณพเลือกที่จะมีจิตเป็นอิสระจากการถูกครอบงำ ด้านความคิดจากคำสอนของผู้อื่น ฉะนั้นปัญหาที่ถามไปอยู่ที่คุณเป็นผู้เลือกด้วยตัวเองคำสอนของพระคริสต์ คำสอนของพระโพธิสัตว์ คำสอนของพระพุทธะ ล้วนเป็นคำสอนที่มุ่งให้คนทำความดีด้วยกันทั้งนั้น แต่คำสอนใดจะดีกว่า คำสอนใดจะดีที่สุด อยู่ที่ศักยภาพทางปัญญาของคุณว่าจะสามารถวิเคราะห์และเข้าถึงความดีระดับไหนได้ก็จะมีสิทธิ์เลือกได้ไม่เกินสติปัญญาที่มีอยู่

   อดีตคุณนับถือศาสนาพุทธมาก่อน แล้วมาให้พระคริสต์ช่วยและยังได้ขอพรจากพระโพธิสัตว์ อย่างนี้ก็ถือได้ว่าหักหลังพระพุทธะแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง พระพุทธะมิได้สอนให้ขอความช่วยเหลือ มิได้สอนให้ขอพรจากผู้ใด แต่สอนให้ทำด้วยตัวเอง เมื่อเหตุปัจจัยลงตัวแล้ว สิ่งที่คาดหวังต้องการก็จะเกิดขึ้น ผู้ตอบปัญหาเคยเข้าไปบรรยายธรรมในทัณฑสถาน ได้เห็นนักโทษที่นับถือศาสนาอื่นมาติดคุก หากการขอความช่วยเหลือเป็นไปได้จริง การขอพรเป็นไปได้จริง เขาคงไม่ต้องนำตัวเองมามีชีวิตอยู่ในสถานที่เช่นนั้น


420.
beejung_156@yahoo.com
April 13, 2007 11:58 AM

ดิฉันมีข้อสงสัยใคร่จะถามอาจารย์ดังนี้นะคะ

   1) ปัจจุบันมีหลายสำนักปฏิบัติธรรมที่สอนแนวสติปัฏฐาน4 บางที่ให้พิจารณากายเป็นหลัก บางที่ดูจิต บางที่พิจารณาเวทนาเป็นหลัก เราควรจะพิจารณาอย่างไรดีคะ ควรจะตามรู้เป็นอย่างๆจนชำนาญ เช่น ตามพิจารณากายจนชำนาญแล้วค่อยขยับเพิ่มการพิจรณาสภาวะอื่นด้วย หรือดูรวมๆทั้งหมดแล้วแต่จะมีสภาวะหรืออารมณ์ใดที่เด่นขึ้นมา และถ้าเรารับกรรมฐานจากที่ใดมาแล้วควรจะใช้วิธีนั้นปฏิบัติสืบเนื่องต่อไปหรือไม่คะ

คำตอบ
    การพิจารณาสติปัฏฐาน 4 สำหรับผู้ฝึกที่ยังไม่ชำนาญควรเจริญสติจนจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วใช้กำลังสมาธิระดับนี้ไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้น เช่น ความเจ็บปวดแข้งขา (ทุกขเวทนา) จนกระทั่งเห็นว่าทุกขเวทนาดับไปตามกฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นแจ้งจะเกิดขึ้น ปัญญาเห็นแจ้งเห็นว่าความเจ็บปวดมิได้อยู่ที่แข้งขา แต่อยู่ที่จิตรับกระทบไม่ดีมาปรุงเป็นอารมณ์ปวด จิตรู้แจ้งอย่างนี้จะปล่อยวางสิ่งกระทบ แล้วจิตจะว่างเป็นอุเบกขา จากนั้นหากมีอารมณ์กรรมฐานใดปรากฏอีกจะดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เดียวกันนี้ อย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่ามีดวงตาเห็นธรรม

   รับกรรมฐานจากที่ใดไม่สำคัญ หากการปฏิบัติดำเนินไปในวิถีทางที่ถูกต้องแล้ว ต้องจบลงที่จิตเป็นอิสระและว่างเป็นอุเบกขา

   2) ในการพิจารณา กาย จิต เวทนา และธรรม คนประเภทไหนถึงจะเหมาะกับการพิจารณาแบบใดคะ ขอความกรุณาจากอาจารย์ช่วยอธิบายหน่อยนะคะ

คำตอบ
    เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับบุญบารมของแต่ละบุคคล เช่นพระมหาโมคคัลลานะ พระสุนทรีนันทา พระนางเขมา ฯลฯ พิจารณากายานุปัสสนากรรมฐานเท่านั้นก็บรรลุอรหัตผลได้ พระสารีบุตร พิจารณากายานุปัสสนากรรมฐานแล้วต่อด้วยการพิจารณาเวทนานุปัสสนากรรมฐานจึงสำเร็จอรหัตผล

   3) ในชีวิตประจำวัน ดิฉันก็พยายามเจริญสติอยู่เนืองๆ แต่บางครั้งมีอารมณ์โกรธ หรือหงุดหงิดเกิดขึ้นก็ตามดูโดยไม่ปรุงแต่งจนดับไป แต่บางครั้งอารมณ์เกิดขึ้นตอนเวลาทำงานซึ่งต้องใช้สติทำงานต่อเนื่องตลอดทำให้ไม่ได้ตามรู้อารมณ์ในขณะนั้น ถ้าเกิดในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะทำอย่างไรดีคะ
    สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาให้ความกระจ่างค่ะ

คำตอบ
    ต้องปรับปรุงแก้ไขใจตัวเอง ด้วยการให้อภัยเป็นทานอยู่เสมอจนกระทั่งจิตมีเมตตาบารมีเกิดขึ้นจนถึงระดับให้ผลได้แล้วอารมณ์โกรธจะหมดไป
 

419.
ayeejung@yahoo.com
April 11, 2007 12:18 PM

กราบสวัสดีท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ค่ะ

ดิฉันมีคำถามเรียนถามท่านอาจารย์ค่ะ คือ

   1. กรณีที่ผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุแล้วกลายเป็นเจ้าชายนิทรา อยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจ ถ้าเอาเครื่องช่วยหายใจออกก็จะเสียชีวิต อย่างนี้ถือว่าเสียชีวิตหรือยังค่ะ (ถ้าทางการแพทย์ถือว่าเสียชีวิตแล้ว)

คำตอบ
   
ประสบอุบัติเหตุแล้วอยู่ในสภาพเจ้าชายนิทราจิตยังอยู่กับร่างกาย ในทางพุทธศาสนาไม่ถือว่าเสียชีวิต

   2. ญาติผู้ที่อนุญาติให้เอาเครื่องช่วยหายใจออก จะบาปหรือไม่

คำตอบ
    บาปเพราะผู้อนุญาตเป็นต้นเหตุ ให้จิตของคนไข้ต้องออกจากร่างกาย

   3. เกิดอะไรกับดวงจิตของผู้ป่วยค่ะ
      ด้วยความเคารพอย่างสูง
         ayee_jung

คำตอบ
    ให้ผลจึงเกิดเป็นอกุศลวิบากขึ้นกับดวงจิต
 

418.
pasutha2k@hotmail.com
March 31, 2007 4:32 PM

เรียนอจ. สนอง ที่นับถือ

   หนูเพิ่งค้นพบการเผยแผ่คำสอนและประสบการณ์การฝึกวิปัสนาของอาจารย์เมื่อ 2-3 วันก่อน หนูฟังเรื่องทางสายเอก ทางพ้นทุกข์ ชีวิตหลังความตาย การอธิษฐาน เริ่องการอธิษฐานหนูฟังไป หลายรอบแล้วค่ะ หนูชอบมากๆและอยากถามเรื่องการอธิษฐานจิตพร่ำเพรื่อของหนู

   1. เคยอธิษฐานว่าขอให้เจอพระอรหันต์ ก็ได้ไปกับลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ไปพบพระหลายรูป วันกลับมีเหตุถูกคนขับรถพูดจาลวนลามเกิดโทสะและความกลัวไปบอกคณะนั้นว่า หนูจะไม่ไปกับพวกเขาอีก เลยไม่ได้ไปกับเขาอีกเลย

   2.เคยอธิษฐานเกือบทุกครั้งเลยว่าขอให้ได้ปฏิบัติธรรมโดยสะดวกและได้มีความก้าวหน้าในธรรมอย่างต่อเนื่อง ก็ค่อนข้างสะดวกค่ะ และอาจจะเรียกว่าก้าวหน้านิดๆหน่อยๆค่ะ

   3. หนูเคยไปปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่ วัดพระธาตุศรีจอมทอง ได้ความสงบ ความทุกข์จากการปวดขาและการต่อสู้เหมือนที่อาจารย์เล่าให้ฟัง หนูได้เอาชนะความเจ็บปวดนั้นได้ ได้เห็นบางอย่างแถวกลางอกแต่มันไม่ค่อยชัด แต่เป็นความรู้สึกอัศจรรย์เหมือนมันไม่น่าเชื่อว่าการปวดมันจะหายไป แต่ก็ไม่ได้อยู่ปฏิบัตินานพอที่จะพิสูจน์มันให้ชัดต่อไปเพราะต้องไปเรียนต่อ หนูจึงอธิษฐานกับพระธาตุค่ะว่าหนูจะขอให้ได้กลับมาที่วัดแห่งนี้อีกเพื่อมาปฏิบัติธรรม จนบัดนี้ยังไม่ได้กลับไปค่ะ

   4. หนูเรียนปริญญาเอกทางด้านเทคโนโลยีอยู่ที่สถาบันนานาชาติในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งค่ะ หนูได้พบฝรั่งผู้ชายคนหนึ่ง ตอนนั้นจิตหนูยังนิ่งพอสมควรและศีลบริสุทธิ์ ได้เกิดความคิดว่า น่าจะนำธรรมมะไปให้เขาเพราะเขาเป็นคนมีศีลธรรมและมีเมตตาสูงอยู่แล้วค่ะ หนูเลยตั้งจิตอธิษฐานว่าจะนำพาคนๆนี้เข้าสู่ธรรมมะ แต่มันเป็นความอ่อนแอของหนูเองที่วันหนึ่งไปตกลงใจเป็นแฟนเขา โกหกพ่อแม่ด้วยค่ะ เพื่อขึ้นเครื่องบินไปหาเขา (เสียใจมากๆค่ะ) หนูยังไม่ได้ชักชวนเขาเข้าทางธรรมมะเลยก็ต้องกลับมาประเทศไทยค่ะ (หนูไม่ได้ผิดประเวณีกับเขาค่ะ) ตอนนี้เหมือนเขาอยากเปลี่ยนใจมาเป็นเพื่อนเฉยๆ เพราะเขากำลังมีทุกข์มากค่ะจากการดิ้นรนหาเงินและภาระการดูแลแม่ที่แก่แล้ว หนูก็ทุกข์ด้วยเพราะหนูรู้สึกอกหักและสงสารเขา รู้สึกผิดที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้ การช่วยเหลือตัวเองหนูใช้วิธีฟังธรรมซึ่งจะรู้สึกดีมากๆไม่ทุกข์เลย ก่อนนอนก็ต้องฟังธรรมไม่งั้นทุกข์ค่ะ นอนไม่หลับ

คำถาม

   ตอนนี้ก็เลยจะหันหน้ากลับไปวัดเดิมที่ไปอธิษฐานไว้ซึ่งกำหนดไว้ว่ามิถุนายน 2550 (กำลังจะชวนแม่กับเพื่อนไปด้วย) เรื่องแฟนและการอธิษฐานช่วยเหลือฝรั่งแฟน หนูยังอยากช่วยคนๆนี้อยู่ ให้เขาได้ฝึกปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ตราบเท่าที่เขายังไม่ตาย แต่หนูรู้สึกสับสนว่าเราปราถนาทั้งการได้เขากลับมาและการได้ช่วยเขาได้เห็นทางพ้นทุกข์ มันจึงไม่บริสุทธิ์เหมือนตอนแรกที่ยังไม่เป็นแฟน คือตอนนั้นต้องการช่วยเหลือเขาเฉยๆ

   1. เช่นนี้แล้วควรจะอธิษฐานอย่างไร ควรจะยกเลิกก่อนแล้วอธิษฐานใหม่หรือไม่ (เพราะผิดศีลคือโกหกพ่อแม่ไปแล้ว) หรือว่าการอธิษฐานจิตแบบนี้ไม่บริสุทธิ์ใจ ไม่ควรทำ...นางอมิตตาก็อธิษฐานถึงสองอย่างในครั้งเดียว (หนูเห็นแก่ตัวและจิตไม่บริสุทธิ์อยากได้ทั้งสองอย่างค่ะ ขออาจารย์ได้ตบกะโหลกให้กิเลสหลุดบ้าง)

คำตอบ
   
กิเลสมิได้หมดไปด้วยการตบกะโหลก กิเลสหมดไปด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งตามดูกิเลสที่เกิดขึ้นในใจจนกระทั่งดับไป(อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์

   ควรยกเลิกอธิษฐานเก่าทั้งหมดต่อหน้าพระรัตนตรัยให้ได้ก่อน แล้วตั้งอธิษฐานใหม่ว่า “ ชีวิตนี้ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ” การอธิษฐานจะศักดิ์สิทธิ์ได้ต้องทำตัวเองให้เป็นผู้มีสัจจะ มีศีลคุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น และต้องทำแหตุให้ตรง ด้วยการนำตัวเองไปปฏิบัติจิตตภาวนา

   2. หนูจะทำทานใหญ่ (หนูว่าจะไปเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารผู้ปฏิบัติธรรม) อธิษฐาน รักษาศีล 8 และจะทำเหตุให้ตรง แต่สงสัยว่าควรทำเหตุอย่างไร เพราะอจ.พูดถึงการถวายยา และอธิษฐานไม่ให้ป่วย แต่ตอนนี้อยากทำการช่วยเหลือคนให้พ้นทุกข์ ได้ช่วยให้คนห่างไกลพระพุทธศาสนาได้พบและเกิดในแผ่นดินที่มีวิชาพ้นทุกข์

คำตอบ
    อยากช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ต้องพัฒนาตัวเองให้ห่างไกลหรือพ้นไปจากความทุกข์ให้ได้ก่อน แล้วจึงจะสามารถช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ตามได้ เหตุตรงคือนำตัวเองเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนได้ดวงตาเห็นธรรมเมื่อไร เมื่อนั้นโอกาสที่จะพ้นไปจากทุกข์จึงมีได้เป็นได้

   3. อันนี้ไม่เกี่ยวกับหนู แต่หนูอยากทราบว่า อจ. ปรารถนาพุทธภูมิหรือเปล่าคะ

จดหมายยาวไปหน่อย

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูง

เมื่อกลับมาจากปฏิบัติธรรม จะมากราบเรียนอาจารย์อีกครั้งค่ะ

สุดาภรณ์

คำตอบ
    การส่งจิตออกนอกกาย เป็นพฤติกรรมของคนที่ขาดสติจะเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้ต้อง คุมจิตตัวเองไม่ให้ออกไปรับสิ่งกระทบนอกกายให้ได้ก่อน แล้วสิ่งที่ถามไปก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง
 

417.
beejung_156@yahoo.com
Thursday, March 29, 2007 7:23 PM

เรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

หลังจากที่อาจารย์เมตตาตอบคำถามของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าปล่อยวางและใจเป็นอิสระมากขึ้นต้องขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ ตอนนี้ข้าพเจ้าฝึกปฏิบัติอยู่ที่บ้านโดยฝึกตามแนวสติปัฏฐาน4 และเจริญเมตตาเท่าที่สติจะระลึกได้ แต่ก็กำลังพยายามทำให้ต่อเนื่องอยู่ค่ะ ตามที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าถึงแม้จะเป็นน้ำที่หยดลงตุ่มแต่ถ้าทำเป็นประจำทุกวันสักวันก็คงจะเต็มได้ค่ะ ตอนนี้ข้าพเจ้าพยายามที่จะเดินจงกรมวันละครึ่งชั่วโมงและนั่งอีกครึ่งชั่วโมง มีข้อสงสัยจะถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

   1) ตั้งใจว่าจะนั่งสักครึ่งชั่วโมงแต่เวลาลืมตามาดูนาฬิกา บางครั้งก็จะขาด 3 นาที 5 นาทีบ้าง ควรจะทำเช่นไรจึงจะนั่งให้ครบโดยไม่เสียสัจจะดีคะ (โดยที่ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกค่ะ)

คำตอบ
   
เพื่อไม่ให้เสียสัจจะ ให้ลาอธิษฐานเดิมแล้วตั้งอธิษฐานใหม่ว่า จะนั่งภาวนาประมาณครึ่งชั่วโมง

   2) ขณะที่นั่งบางทีสติก็เผลอไปคิดโน่นคิดนี่แต่ถ้าระลึกได้ก็กลับมายังองค์บริกรรม แต่บางครั้งก็มีรู้สึกเหมือนวูบเป็นพักๆแต่ยังรู้ตัวอยู่ และผงะไปด้านหลังเล็กน้อย ควรจะกำหนดเช่นไรดีคะ และควรจะทำอย่างไรต่อคะ

คำตอบ
   
อาการวูบ อาการผงะไปด้านหลัง เป็นผลที่เกิดจากจิตที่เริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ และเพื่อจะให้จิตมีกำลังตั้งมั่นมากยิ่งขึ้นเมื่อมีอาการวูบเกิดขึ้น ต้องกำหนดในใจว่า “ วูบหนอๆๆ ” จนอาการวูบหายไปแล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม และเมื่อมีอาการผงะไปด้านหลังให้กำหนดว่า “ ผงะหนอๆๆ ” จนอาการผงะไปด้านหลังหาของผนังหน้าท้องหายไป

   3) การดูพองยุบบางครั้งพองยุบก็สั้นลงจนหายไป ข้าพเจ้าก็กำหนดรู้ว่าพองยุบหายแต่ก็ไม่ทราบว่าจะทำเช่นไรต่อไปจึงกำหนดดูไปเรื่อยๆ

        ขออณุญาตขอคำแนะจากอาจารย์ด้วยค่ะ
          สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ให้ความกระจ่างนะคะ

คำตอบ
    ให้สูดลมหายใจเข้าให้มาก เพื่อสร้างอิริยาบถพองของผนังหน้าท้อง ให้พองใหญ่ขึ้น แล้วเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับอาการพองหนอยุบหนอไปเรื่อย ๆ วิธีนี้เป็นการพัฒนาจิตให้สติมีความละเอียดมากยิ่งขึ้น หากอาการพองยุบหายไปอีก ต้องทำซ้ำวิธีเดิม จนกระทั่งอาการพองยุบของผนังหน้าท้องจะเบาลงเท่าใด สติยังตามระลึกได้ทุกครั้งปัญหานี้จะหมดไป
   
 

416.
navarat.ch@egat.co.th
Thursday, March 29, 2007 3:23 PM

กราบท่านอาจารย์ที่เคารพ

    ผมมีเรื่องกราบเรียนถามท่านอาจารย์ คือเมื่อทำสมาธิบริกรรมพุทโธไปเรื่อยๆจนหายใจละเอียด คำบริกรรมหายไป ผมจึงดูลมหายใจต่อไป ทำอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่อย่างไรครับและขอคำแนะนำ ที่ท่านอาจารย์ในการปฏิบัติเพื่อความเจริญก้าวหน้าต่อไป

ขอบคุณท่านอาจารย์มากๆครับ

คำตอบ
    เมื่อคำบริกรรมหายไปแสดงว่าสติยังไม่มีกำลังกล้าแข็งพอ จึงตามระลึกรู้ลมหายใจไม่ได้ การสร้างอิริยาบถใหญ่ด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทำถูกทางแล้ว และต้องตามดูลมหายใจที่กำหนดคำบริกรรมว่าพูดอะไร บริกรรมไปเรื่อย ๆ หากสติมีกำลังมากพอ คำบริกรรมจะไม่หายไปไหน
 

415.
ananyapj@gmail.com
March 29, 2007 11:19 AM

เรียนอาจารย์สนองที่เคารพ
ดิฉันมีปัญหาขอเรียนถามดังนี้

   1.การที่ได้ถวายสิ่งของที่ผิดวินัยแก่พระอรหันต์หรือสงฆ์ ย่อมมีอานุภาพ - บุญ ไว้รอเป็น 2 ทาง อย่างละมากๆ ใช่หรือไม่ เช่น การถวาย เงิน ทอง อาหารที่ผิดเวลาและผิดวินัย ยาที่อายุสั้นแต่ถวายไว้เป็นยาอายุยาว (การซื้อถังสังฆทานที่ไม่มีโอกาสได้ตรวจของในนั้น) ดิฉันอ่านแล้วเข้าใจว่าการถวายสิ่งของให้แก่พระสงฆ์ คนทำมีสิทธิได้บุญและบาปเท่ากัน หากเป็นอย่างนั้นจริง การถวายจะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะมีแต่บุญ

คำตอบ
    กรรมอยู่ที่เจตนา ผู้ถวายไม่ทราบว่าอะไรควรถวาย อะไรมีควรถวายให้สงฆ์ ผู้ถวายมีเจตนาดีถวายแล้วได้บุญ ส่วนสงฆ์ได้รับการถวายจากฆราวาส หากท่านมีความรู้ในพระวินัย จะรู้ว่าท่านใดรับได้ท่านจะรับ ทานใดรับไว้แล้วผิดวินัยจะไม่รับ ฉะนั้นฆราวาสควรศึกษาวินัยของสงฆ์ให้เข้าใจ และพิถีพิถันในการคัดเลือกของที่จะนำไปถวายเป็นทาน ความมั่นใจในการถวายทานจะเกิดขึ้น ถวายแล้วจะได้รับอานิสงส์แห่งบุญมากว่าท่านบริโภคใช้สอยแล้วเป็นโทษท่านจะงดเว้น ทานใดบริโภคใช้สอยแล้วไม่เป็นโทษ ท่านจะฉลองศรัทธาให้กับผู้ถวาย

   2.เมื่อเห็นพระกระทำความผิด โยมเตือนได้หรือไม่ หากเตือนแล้วไม่ฟัง ไม่นับถือเลื่อมใส บาปหรือไม่

     ขอบพระคุณค่ะ
        อนันยา

คำตอบ
    หากคำว่าพระหมายถึงสงฆ์สาวกของพระพุทธะ ท่านจะไม่กระทำความผิดวินัย แต่หากหมายถึงสมมุตสงฆ์ยังทำผิดพระวินัยได้ การว่ากล่าวตักเตือนสมมุตสงฆ์เป็นหน้าที่ของสงฆ์ผู้เป็นอุปัชฌาย์ สงฆ์ผู้ครูบาอาจารย์ สามารถว่ากล่าวตักเตือนได้เพราะบวชเป็นสมณเพศเดียวกัน ฆราวาสอยู่ในเพศที่ต่ำกว่า หากไปว่ากล่าวตักเตือนถือว่าเป็นบาป
 

414.
sumrich.won@bbl.co.th
March 22, 2007 4:14 PM

สวัสดีครับ ดร.สนอง วรอุไร

พี่ผมฝากถามคำถามมาคำถามหนึ่งครับ มีคำถามดังนี้ครับ

ปฎิทินที่มีรูปพระ เมื่อหมดปีแล้ว ปฎิทินก็ไม่ได้ใช้แล้ว ทีนี้จะเก็บเคลียร์บ้าน จะทำอย่างไรกับรูปพระดี ถ้าทิ้งจะบาปไหม ถ้าบาปเป็นบาปอย่างไร

ขอบคุณครับ
Sumrich

คำตอบ
    เมื่อนำปฏิทินที่มีรูปพระไปทิ้งแล้ว ทำให้จิตของคุณเศร้าหมอง ถือว่าเป็นบาป บาปเกิดจากเหตุที่จิตตกเป็นทาสของวัตถุสมมติ

   ถามไปว่าแล้วจะทำอย่างไรดี ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือพัฒนาจิตวิญญาณตัวเองให้เป็นอิสระจากสมมติ คือให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง เห็นสรรพสิ่งดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตก็จะเป็นอิสระจากรูปพระที่อยู่ในปฏิทิน แล้วบาปก็จะไม่เกิดขึ้นกับใจของคุณ


 

413.
mivest@o2online.de
March 21, 2007 11:01 PM

กราบเรียนท่านอาจารย์ ด.ร สนอง ที่นับถือ

   ดิฉันอยากทราบว่า หากมารดาเข้าปฎิบัติกรรมฐานเจตนาเพื่อแผ่ส่วนกุศลให้กับบุตรที่ยังมีชีวิต เพื่อช่วยให้บุตรของตนมีชีวิตที่ดีขึ้นและลดอุบากกรรมที่เป็นอยู่ กุศลนั้นจะส่งผลถึงบุตรไหมคะ เพราะตลอดอายุของบุตรที่ผ่านมาพานพบแต่อุปสรรคและสิ่งชั่วร้าย ทั้งที่มาจากตัวของบุตรเป็นผู้กระทำเองและคนอื่นเป็นผู้กระทำกับบุตร และจะต้องใช้เวลานานเท่าใด หากมารดามีเวลาจำกัด

   ที่จะเข้ากรรมฐาน สักกี่วันคะ ถึงจะได้ ด้วยเจนตาทั้งหมดปรารถนาที่จะช่วยบุตรของตนให้พ้นจากทุกข์ หรือลดวิบากกรรมเป็นที่ตั้ง หากไปเข้ากรรมฐานกับพระที่วัดแล้ว เราสามารถกลับมาฝึกเองที่บ้านได้ไหมคะ แล้วผลที่ได้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเข้ากรรมฐานได้ถูกต้อง

   กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่ช่วยกรุณาชี้
     ด้วยความเคารพและความนับถือ
       หัวอกแม่

คำตอบ
    ปฏิบัติกรรมฐานเพื่อแผ่ส่วนกุศลให้กับบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่สามารถทำได้ ในกรณีนี้มารดาต้องมีความถี่คลื่นจิตตรงกับความถี่คลื่นจิตของบุตร ก็สามารถส่งบุญกุศลให้บุตรได้และบุตรก็สามารถรับบุญกุศลที่ส่งไปให้ได้

   ถามไปว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด ไม่มีใครสามารถบอกได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของบุตร เขาจะยกเลิกการจองเวรให้เมื่อไร

   ทำไมไม่นำตัวเองเข้าฝึกกรรมฐานช่วงยาว เช่น 7 คืน 8 วันหรือ 10 วันหรือมากกว่า แล้วขอความเมตตาจากผู้ที่เข้าร่วมการฝึกช่วยอุทิศบุญกุศล ที่เขาเหล่านั้นมีอยู่ใช้หนี้แทนบุตร ซึ่งจะทำให้อกุศลวิบากของบุตรหมดเร็วขึ้น

   ฝึกกรรมฐานที่วัดแล้ว สามารถนำวิธีการกลับมาฝึกต่อที่บ้านได้ ส่วนจะรู้ว่าฝึกได้ถูกต้องหรือไม่ ต้องสอบอารมณ์กับครูผู้ให้การฝึก หรือ ใช้วิธีตรวจสอบใจตัวเอง ตามธรรมและวินัยที่พระโคตรมีได้รับพระราชทานคำสอนมาจากพระพุทธะ คือเมื่อปฏิบัติกรรมฐานถูกทาง ต้องสำรอกราคะ ไม่ติดในภพ ไม่เพิ่มกิเลส มักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลีหมู่คณะ ความเพียรเพิ่ม และต้องเลี้ยงดูง่าย


 

412.
organic17@gmail.com
March 19, 2007 9:35 AM

ดิฉันอยากสอบถามท่านดังนี้คะ

   1. บิดาดิฉันเป็นคนอารมณ์ร้อนมากคะ ชอบทะเลาะมีเรื่องกับคนอื่นง่าย ๆ พูดก็ไม่ค่อยฟัง และไม่ค่อยชอบเข้าวัด ดิฉันไม่อยากให้บิดาต้องไปอยู่อบายภูมิเมื่อตายไปแล้ว ดิฉันจะช่วยท่านได้อย่างไรคะ

คำตอบ
    ไม่มีใครช่วยใครได้แท้จริง ตัวเองเท่านั้นที่ช่วยตัวเองได้ คนมีโทสะรุนแรงต้องเจริญเมตตาด้วยการบริกรรมว่า “ ช่างมันเถอะ ๆ ๆ ๆ ” ทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น ทำบ่อย ๆ จนกระทั่งโทสะเบาบางลงและหายไป หรือใช้เพ่งกสิณ เป็นองค์บริกรรมก็ได้

   2. การทำงานคนส่วนใหญ่ก็อยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ก็ต้องขวนขวาย อยากมีอยากได้ตำแหน่งที่ใหญ่โต แต่ในทางพุทธศาสนาสอนให้รู้จักพอ ไม่ละโมภ ไม่อยากมีอยากได้ มันขัดแย้งกันหรือไม่ อย่างไรคะ

   ขอขอบพระคุณอาจารย์มาล่วงหน้านะคะ ที่กรุณามีเมตตาจิต ตอบคำถามให้ดิฉัน

คำตอบ
   จะอยู่กับโลกที่อุดมด้วยความทุกข์ หรือจะอยู่กับธรรมที่ห่างจากทุกข์ก็อยู่ที่ตัวคุณเองว่าจะเลือกอย่างไหน ผู้รู้ เลือกที่จะอยู่กับโลกแต่พออยู่พอกิน เพราะรู้ว่าเมื่อทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว สิ่งต่าง ๆ ในทางโลกที่หลายคนแสวงหาคือโลกธรรมและวัตถุ ล้วนต่างต้องทิ้งให้เป็นกำพร้าไว้กับโลก เอาติดตัวไปเกิดใหม่ไม่ได้ เขาจึงไม่แสวงหาให้เกินพอดีกับชีวิต
 

411.
rabbit-atm@hotmail.com
March 17, 2007 7:33 PM

กราบเรียนถามอาจารย์สนองค่ะว่า


เราจะปฏิบัติกรรมฐานโดยที่ไม่ได้รับกรรมฐานได้หรือไม่คะ
เราปฏิบัติอย่างเดียวไม่สวดมนต์ได้หรือไม่คะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    ทำได้ ถ้ารักษาศีลและสัจจะให้คงอยู่กับใจได้ก็ปฏิบัติกรรมฐานได้

   การสวดมนต์เป็นการปฏิบัติกรรมฐานขั้นต้น บทสวดมนต์แต่ละบทมีจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน ขณะกำลังปฏิบัติธรรม หากถูกรบกวนด้วยสัตว์มีพิษ หรืออมนุษย์ จะทำให้การปฏิบัติธรรมมีอุปสรรค ดังนั้นสวดมนต์เพื่อป้องกัน สวดมนต์เพื่อแผ่เมตตาจึงดีกว่าไม่สวดมนต์
 

410.
nan7nov@hotmail.com
March 16, 2007 4:34 PM

เรียน อาจารย์ ด.ร สนอง

เนื่องจากผมมีความสงสัย เรื่องที่อาจารย์บอกว่าให้ถอย สมาธิมาอยู่ใน อุปจาระสมาธิ เพื่อที่จะได้พัฒนาสติปัฐาน4 นั้น " ครูอาจารย์บางท่านบอกว่า วิปัสนานั้น ให้ทำตัวเป็นเหมือน ผู้ดูเท่านั้น เหมือนเป็นผู้บรรยายกีฬา ห้ามเพ่งห้ามบังคับแต่อย่างใด"
อยากถามว่าเมื่อไม่เพ่งไม่บังคับจะถอยสมาธิลงมาได้อย่างใดครับ?
 
คำตอบ
   ครูบาอาจารย์ท่านพูดถูกต้องแล้ว ต้องทำตัวให้เหมือนผู้ดูเท่านั้น ดูสิ่งที่เข้าสัมผัสจิตว่า ในที่สุดผัสสะที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะนั้นจึงจะเกิดขึ้น

   ปัญหามีอยู่ว่าถ้าจิตเข้าไปตั้งมั่นสูงสุด (อัปปนาสมาธิ) ภาวะความทรงฌานจะเกิดขึ้น ไม่สามารถใช้จิตตามดูผัสสะใด ๆ ได้ อายตนะภายนอก (สิ่งกระทบภายนอก) ไม่สามารถทำให้จิตเกิดผัสสะได้ ดังนั้นจึงต้องถอยกำลังของสมาธิลงมาอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ ด้วยลดการเจริญสติภาวนาลง แล้วกำลังของสมาธิจะถอยเองโดยอัตโนมัติ


409.
ananyapj@gmail.com
March 15, 2007 3:45 PM

เรียนอาจาร์ยสนองทีเคารพ
ดิฉันมีปัญหาที่จะสอบถามอาจาร์ยว่า
การอุทิศส่วนกุศลจากบุญทานใดก็ตาม หากระบุชื่อให้แก่ผู้รับซึ่งอยู่ในอบายภูมิลึกๆ ไม่สามารถรับผลบุญได้ ผลบุญเหล่านั้นไปอยู่ที่ใด จะยังคงคอยผู้เป็นเจ้าของมารับไปเมื่อเขามาอยู่ในขั้นที่สามารถรับผลบุญหรือไม่
ขอบพระคุณค่ะ
อนันยา

คำตอบ
    บุญเป็นของทิพย์ไม่สูญหายไปไหน บุญตกน้ำไม่ไหลตามน้ำ ตกลงในกองไฟไม่มอดไหม้ด้วยไฟ โจรขโมยบุญแย่งชิงบุญไม่ได้ ดังนั้นเมื่อผู้มีบุญอุทิศให้ หากผู้ถูกระบุชื่อยังอยู่ในสถานะที่มารับไม่ได้ บุญที่มีผู้อุทิศให้ยังคอยเขาอยู่ จนกว่าเหตุปัจจัยลงตัวเขาจึงจะรับบุญที่อุทิศให้ได

408.
niyadaph@yahoo.co.th
March 14, 2007 12:49 PM

เรียน ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

    ดิฉันมีคำถามขอกราบเรียนถามดังนี้ค่ะ

   1. บุคคลทำกรรมอย่างไรร่วมกันจึงเกิดมาเป็นสามีภรรยาญาติพี่น้องกัน บางคนรู้สึกรักกันดี แต่บางคนกลับเป็นคู่ศัตรู เคยอ่านหนังสือพิมพ์มีทั้งลูกกตัญญูเลี้ยงดูพ่อแม่ และมีทั้งลูกที่ฆ่าพ่อแม่ตนเอง

คำตอบ
   
ต้องทำกรรมดีร่วมกัน แล้วอธิษฐานพบกันอีกในชาติหน้า เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว การกลับมาเกิดเป็นญาติ เป็นพี่น้องเป็นพ่อแม่เป็นลูก ที่ปฏิบัติดีต่อกัน จึงมีโอกาสเป็นไปได้

   หากทำกรรมไม่ดีต่อกัน แล้วผูกพยาบาทจองเวรกันไว้เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว การกลับมาเกิดเป็นลูกที่ฆ่าพ่อแม่ตนเอง จึงมีได้เป็นได้

   2. หากบุคคลปฏิบัติธรรมจนได้ฌาน ถึงขั้นได้ชั้นพรหม แต่ยังไม่ถึงขั้นพรหมสุทธาวาส หากเขาปรารถนาที่จะเกิดเป็นมนุษย์ในชาติต่อไปเพื่อปฏิบัติธรรมให้ถึงขั้นอรหันต์จะได้ไม่ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีก จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เมื่อละสังขารแล้ว จะเกิดเป็นมนุษย์อีกโดยไม่ต้องเกิดในชั้นพรหม

คำตอบ
   
ปฏิบัติสมถภาวนาจนจิตเข้าถึงความเป็นฌาน หากทิ้งขันธ์ลาโลกขณะจิตอยู่ในองค์ฌาน โอกาสไปเกิดเป็นพรหมเป็นได้ หากไม่ประสงค์จะเป็นพรหม ต้องถอนจิตออกจากฌาน แล้วอธิษฐานเกิดใหม่ในภพมนุษย์ และต้องสร้างเหตุตรงด้วยการรักษาศีล 5 ให้คงอยู่กับใจได้ทุกขณะตื่น เมื่อจิตละขันธ์ไปแล้ว โอกาสเกิดเป็นมนุษย์ในชาติต่อไปจึงมีได้เป็นได้

   3. การทำบุญถวายสังฆทานที่เราเป็นผู้จัดซื้อจัดหามาถวายพระเอง กับการทำบุญถวายสังฆทานซึ่งทางวัดจัดหาไว้ให้คนทำบุญ ประเภทเวียนถังสังฆทานให้คนได้ทำบุญนั้น จะมีอานิสงฆ์ของผลบุญเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร หากเรามีจิตเป็นกุศลในการทำบุญทั้ง 2 แบบดังกล่าว

     กราบขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงนะคะที่กรุณาให้โอกาสในการถามข้อสงสัย
        นิยดา

คำตอบ
    ได้อานิสงส์เหมือนกัน หากก่อนถวายมีศรัทธาเท่ากันขณะถวายตั้งใจเหมือนกัน ถวายแล้วเกิดความอิ่มเอมใจเท่ากัน
 

407.
rita234@truemail.co.th
March 10, 2007 8:31 PM

  1. ไม่ทราบว่าพระที่รับดูดวง ถือว่าเป็นบาปรึเปล่าค่ะ

    คำตอบ
        เป็นบาปเพราะประพฤติละเมิดวินัยของพระพุทธะ

  2. ถ้าสิ่งที่พระท่านทำนายในอนาคตถ้าเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ทราบว่าเราจะแก้โดยการปฏิบัติธรรมได้ไม๊ค่ะ

    คำตอบ
       แก้ปัญหาด้วยการปฏิบัติธรรมเพื่อกลบฝังกรรมไม่ดีไม่ให้แสดงผลด้วยการประพฤติจริยธรรม และทำกรรมไม่ดีให้หมดไป ด้วยการยอมรับผลของกรรม หรือปฏิบัติธรรมที่ให้ผลยิ่งใหญ่แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรจนกว่าเขาจะอโหสิให้

  3. การทำบุญตักบาตรโดยไม่ได้กรวดน้ำหลังจากตักบาตร แต่ได้ทำการอธิษฐานแผ่เมตตาทุกครั้งค่ะ ไม่ทราบญาติที่เราทำบุญให้จะได้รับรึเปล่าค่ะ

สุดท้ายขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่กรุณาช่วยให้ความกระจ่างค่ะ

คำตอบ
  
  กรวดน้ำหรือไม่กรวดน้ำหลังตักบาตร ยังไม่สำคัญเท่ากับ ต้องมีผู้อุทิศบุญ มีบุญที่อุทิศให้ และมีผู้มาอนุโมทนาบุญ หากสามปัจจัยลงตัว การอุทิศบุญกุศลจึงจะสัมฤทธิ์ผล

   เมตตาเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง หากกระทำให้เกิดมีขึ้นในใจตนเองได้แล้ว จะถูกสั่งสมเป็นบารมี ผู้มีเมตตาบารมีเป็นผู้สงบเย็นห่างไกลจากโทสะ ความหงุดหงิด ความเบื่อหน่าย ฯลฯ เมื่อมีเมตตาสั่งสมอยู่ในใจได้ก่อนแล้ว จึงสามารถแผ่เมตตาให้แก่ผู้อื่นได้

 

406.
beejung_156@yahoo.com
March 09, 2007 3:05 PM

เรียน อ.สนองที่เคารพ

   ข้าพเจ้าได้ติดตามอ่านผลงานของชมรมกัลยาณธรรม ทำให้ได้ความรู้ปัญญา และไม่ประมาทต่อการดำรงชีวิต ซึ่งข้าพเจ้าขอขอบพระคุณอ.สนอง และชาวกัลยาณธรรมทุกท่านที่ได้ให้แสงสว่างแก่ข้าพเจ้า แต่ยังมีบางจุดที่สงสัยและขอเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

   1) ในหนังสือตามรอยพ่อ เขียนไว้ว่า อาชีพแพทย์เป็นเดรัจฉานวิชา ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นคะ(เพราะตอนเด็กๆคิดว่าเป็นหมอดี เพราะได้ทำบุญช่วยเหลือคนตลอดเวลา)

คำตอบ
    หมายถึงวิชาที่นำมาประพฤติปฏิบัติแล้ว ทำให้ขัดขวางต่อทางพระนิพพาน พระพุทธะห้ามพุทธสาวกมิให้ประพฤติ แต่มิได้ห้ามฆราวาสผู้ประสงค์จะอยู่กับโลกอย่างปกติสุขด้วยการปฏิบัติฆราวาสธรรม และด้วยเหตุเช่นนี้ หมอชีวกจึงมิได้ออกบวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนา

    2)ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์คนหนึ่ง สงสัยว่าถ้ารักษาคนไข้ไม่หายบาปจะตกอยู่กับผู้รักษาหรือไม่ ยอมรับว่าที่ผ่านมาก็เคยทำผิดพลาดบ้างค่ะ

คำตอบ
    การเจ็บป่วยของคนไข้มีสาเหตุมาจากปฏิบัติตนไปไม่สม่ำเสมอ มีความเพียรมากเกินไป ฤดูกาลปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย แต่เหตุสุดท้ายการกระทำที่เบียดเบียน 3 เหตุแรกปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย แต่เหตุสุดท้ายเมื่อกรรมไม่ดีให้ผล คนไข้ต้องชดใช้อกุศลวิบากที่เกิดขึ้น คือการเจ็บป่วยจนกว่าผลของอกุศลกรรมจะจบสิ้น จึงจะหายจากอาพาธได้เองเป็นอัตโนมัติ

   ที่ถามไปว่าบาปจะตกอยู่กับผู้ให้การรักษาหรือไม่ ขอตอบว่าการเข้าไปร่วมในวงจรอกุศลกรรม ระหว่างคนไข้กับเจ้ากรรมนายเวร ก็ถือว่าเป็นบาปได้แล้ว โดยมิต้องคำนึงถึงผลของการรักษาว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ



   3)ถ้ารักษาไม่หายควรจะวางใจอย่างไรดีคะ เพราะตอนนี้ค่อนข้างกังวลอยู่ลึกๆค่ะ
     สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ช่วยให้ความกระจ่างค่ะ

คำตอบ
    ไม่มีใครช่วยใครได้แท้จริงหรอก แต่ละคนต้องช่วยตัวเองด้วยการไม่ก่อหนี้เวรกรรมเบียดเบียนกับผู้อื่น นั่นเป็นการที่จะป้องกันตัวเองไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยได้ในวันข้างหน้า ฉะนั้นเมื่อให้การรักษาคนไข้แล้วไม่หายจากเจ็บป่วย ก็ต้องปล่อยวางคนไข้ให้ไปตามกรรมของเขา
 

405.
somsakul_s@hotmail.com
March 07, 2007 1:31 PM

กราบเรียน ท่านอาจารย์สนอง,

   พอดีผมได้ไปอ่านกระทู้ธรรมที่ website แห่งหนึ่ง ซึ่งได้มีการอธิบายว่า ในกรณีที่ทำวิปัสสนาแล้วไม่เกิดปัญญา สาเหตุหนึ่งอาจจะเกิดมาจาก "การที่เราได้เคยปรารถนาพุทธภูมิเอาไว้หรือไม่ (ในอดีตชาติ) ถ้าคิดว่าตอนนี้อยากจะก้าวหน้าให้ได้มากที่สุด ก็ควรอธิษฐานยกเลิกคำอธิษฐานเก่าๆ ทั้งหมด ที่เป็นตัวขวางมรรคผล แล้วอธิษฐานจิตใหม่ ปรารถนามรรคผลโดยเร็วที่สุดแทน"

    ผมเลยอยากใคร่ขอถามท่านอาจารย์ว่า การปรารถนาพุทธภูมิในอดีตชาติและที่ว่าควรยกเลิกคำอธิษฐานเก่าๆที่เป็นตัวขวางมรรคผล นั้นหมายความว่าอย่างไรครับ

     ขอบพระคุณครับ
       สมสกุล

คำตอบ
  การปฏิบัติกรรมฐาน แล้วไม่เกิดปัญญามิได้อยู่ที่ตั้งจิตปรารถนาพุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ที่เดินตามแนวพุทธภูมิสามารถพัฒนาจิตวิญญาณให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณในส่วนที่เป็นโลกิยญาณได้ หากพระโพธิสัตว์ลาพุทธภูมิแล้ว ตั้งอธิษฐานใหม่เป็นสาวกภูมิหากมีบารมีสั่งสมมามากพอ สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณระดับโลกุตรญาณได้ คือ โคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ และปัจจเวกชนะญาณ ความเป็นอริยบุคคลเกิดได้โดยวิธีนี้
 

404.
pawita@ramaproduction.com
March 06, 2007 12:17 PM

กราบเรียนถามท่านอาจารย์ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

   1. อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยแนะนำวิปัสสนาจารย์ที่จะเป็นกัลยาณมิตรให้ดิฉันได้เหมือนท่านเจ้าคุณโชดกของท่านอาจารย์ดร.สนอง ถ้าอยากจะไปเข้ากรรมฐานซัก 1 เดือนควรไปที่ไหนดีคะ

คำตอบ
   
หาวิปัสสนาจารย์ ที่เหมือนท่านเจ้าคุณโชดก หาไม่ได้อีกแล้ว แต่ยังมีวิปัสสนาจารย์ที่เข้าถึงธรรมและประพฤติได้ตรงตามธรรมวินัย เช่น หลวงพ่อภัททันตะ อาสภมหาเถระแห่งวิเวกอาศรม จ.ชลบุรี หลวงพ่อพระอาจารย์กัณหา สุขกาโม แห่งวัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่ พระอาจารย์มานพ อุปสโม สำนักปฏิบัติธรรม จ.จันทบุรีฯลฯ ไปสมัครปฏิบัติธรรมตามสถานที่ทีวิปัสสนาจารย์นั้นสังกัดอยู่

   2. การฆ่าเชื้อโรคพวกแบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว ถือว่าบาปไหมคะ พวกนี้เป็นสัตว์ที่มีนามหรือไม่คะ

     กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาตอบค่ะ

       ผู้สงสัย

คำตอบ
    การพรากจิตให้หลุดออกจากร่าง ของสัตว์ที่มีรูปนามถือว่าเป็นบาป โปรโตซัวเป็นสัตว์มีรูปนาม แบคทีเรียและไวรัสมีแต่รูปไม่มีนาม
 

403.
sumrich.won@bbl.co.th
March 01, 2007 3:20 PM

สวัสดีครับ ดร.สนอง วรอุไร

  ผมเป็นปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่สนใจในธรรมะ ในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าเปรียบกับการศึกษาปัจจุบัน ก็คงยังอยู่ในระดับอนุบาลอยู่

   ก่อนที่จะถามคำถามผมขออนุญาตเกริ่นก่อนน่ะครับ ว่าผมเป็นผู้หนึ่งที่ได้พยายามฝึกสติในชีวิตประจำวัน ซึ่ง ผมได้พยายามรักษาศีล 5 ในแต่ล่ะวันไม่ให้ขาด แต่บางวันก็ไม่ได้ เนื่องมาจาก ศีล ข้อ มุสา ที่ได้ระบุไว้ว่า ให้ละเว้น จากการพูดปด พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ ซึ่งคนที่พูดบางทีไม่ใช่ผม เพราะผมจะไม่พยายามพูดล้อเล่นกับใคร เพราะรู้ว่า ถ้าเราทำเช่นนั้น เราจะผิดศีลข้อนี้ ซึ่งตรงนี้ทำให้คนอื่นมองว่าเราขาดอารมณ์ขัน มองว่าเราเครียดในการทำงาน (อันนี้ผมคิดเองครับเนื่องจากพิจารณาจากสิ่งรอบตัวครับ)

   แต่ประเด็นคือว่า เวลาคนอื่นมาพูดล้อเล่นกับเรา ซึ่งเป็นคำที่ไม่จริง แต่เจตนาเขาคือต้องการให้เราไม่เครียดกับงาน ซึ่งเราก็นำคำพูดเขามาพิจารณาว่า เราได้เครียดเกินไปหรือไม่ เราก็ตอบใจตัวเองว่า เราได้ฝึกสติ ทำความสงบ เท่าที่จะทำได้ ซึ่งผมก็ได้คำตอบกับตนเองว่าจริงๆ ผมก็ไม่ได้เครียดกับงานนี่ จิตใจเรามีความสุขมากน่ะตอบที่สงบ แต่ส่วนใหญ่เวลาที่เขาพูดล้อเล่นกับเรา ผมมักจะเงียบๆ แล้วก็ยิ้มๆตอบ ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่า ผมไปสนับสนุนให้เข้าพูดล้อเล่นหรือไม่ครับ(ตรงนี้ผมได้ทำบาปหรือไม่ครับ) เหมือนกับว่าเราไปแสดงอาการว่าสิ่งที่เขาพูดล้อเล่น นั้นเราพอใจ อันนี้ผมทำถูกหรือไม่ครับ

   แต่ถ้าให้ผมทำอีกอย่างคือ เวลาที่เขาพูดล้อเล่น พูดเพ้อเจ้อ มา ถ้าผมบอกเขาว่า มันเป็นสิ่งไม่ดีน่ะ มันทำให้จิตใจเราหลงไปกับอารมณ์ ในสิ่งที่พูดออกมาไม่จริงเหล่านั้น มันผิดศีล มุสา อันนี้จะดีหรือไม่ครับ เพราะผมคิดว่า สิ่งที่เราเตือนเป็นสิ่งถูกที่ควรกระทำ แต่คนส่วนใหญ่มักจะรับไม่ค่อยได้ มักจะตอบออกมาต่างๆนานา เหมือนว่าเราเป็นตัวประหลาด ซึ่งถ้าผมทำสิ่งที่ถูกแล้ว ทำให้ สังคมไม่ค่อยอยากจะคบหาเรา มองเราแปลกไป แล้วอย่างนี้คนที่ปฎิบัติธรรม จะสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้จริงหรือครับ เพราะคนส่วนใหญ่ สมัยนี้ ชอบพูดล้อเล่น พูดตลกๆ เพื่อให้ตนดูเป็นคนร่าเริง และผลพลอยได้คือให้คนอื่นหายเครียดได้ชั่วคราว แต่ผมกลับคิดว่า มันเป็นประโยชน์ในระยะสั้นๆ เพราะมันทำให้เราหลงอารมณ์ ที่ปรุงแต่ง มันจะเป็นผลเสียในระยะยาวมากกว่าผลดี ผมเลยเห็นว่าถ้าเราปฎิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน เราต้องเว้นในบางช่วง เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับสังคม ดี หรือ ว่า ให้เราปฏิบัติของเราไปสังคมจะมองเราอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขาดีครับ

   ถ้ามีถ้อยคำใดกล่าวล่วงเกินผู้ตอบคำถาม หรือ ถ้อยคำใดใช้คำไม่ถูกต้อง ต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ ถ้าได้พิจารณาและได้ตอบคำถามที่ผมสงสัยครับ

     Sumrich

คำตอบ
    ไม่ถือเป็นบาป ทำได้ถูกทางแล้ว สำหรับผู้หวังความเจริญในธรรม หากเขามิได้ขอคำแนะนำ หรือคำสั่งสอนจากคุณ การไปบอกเขามิให้พูดล้อเล่น เพราะจะเป็นบาปกับผู้พูดนั้นไม่ควรทำ

   การรักษาความสัมพันธ์กับคนไม่ดี เนิ่นนานไป คุณก็จะเป็นคนไม่ดีตามหมู่ตามพวก หากคุณรักษาความสัมพันธ์กับคนดี คุณก็จะเป็นคนดีตามหมู่ตามพวก นี่เป็นสิทธิของคุณต้องเลือกเอง ผู้ตอบปัญหายังจำเป็นต้องปฏิบัติธรรมอยู่ทุกวันเหมือนกับคุณ แต่ผู้ตอบปัญหาเลือกที่จะเป็นคนดีมากกว่า และก็เป็นได้จริงดังที่ได้ทำให้คนอื่นดูเป็นตัวอย่างอยู่ในทุกวันนี้


 

402.
February 28, 2007 11:41 PM

กราบเรียนท่านอาจารย์ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

ผมขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง
ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสฟังเทปบรรยายของท่านอาจารย์รวมถึงอ่านหนังสือหลายเล่ม ปัจจุบันนี้ฝึกนั่งสมาธิมาได้เกือบสองปี
มีปัญหาอยากรบกวนอาจารย์ช่วยตอบด้วยครับ

   1.ผมทราบว่าเราไม่สามารถลบล้างกรรมเก่าได้ เลยพยายามทำกรรมดีมากที่สุด ทำทานอย่างต่อเนื่องมาได้ปีกว่า พยายามหลีกหนีอกุศลกรรมเก่าด้วยกรรมดีให้มากที่สุด ผมอยากทราบว่าหากผมได้รับอกุศลกรรมวิบากอยู่คือ มักจะถูกหลอกให้รักคนมีเจ้าของเสมอ แต่ในที่สุดก็ต้องผิดหวังแยกออกมาเองเพราะกลัวบาป ผมมักจะพบทีหลังว่าเขามีเจ้าของแล้วเสมอ โดยเจ้าตัวเค้าก็ไม่ได้ปิด แต่เหมือนมีเมฆหมอกมาบังตาไว้เป็นประจำจะสิบครั้งได้ อยากรบกวนถามท่านอาจารย์ว่า เราจะทำกุศลกรรมประเภทไหนดี ที่จะเป็นการทำกุศลกรรมตรงกันข้ามกับที่ผมเคยทำไว้ ให้บรรเทาภัยเวรจากกาเมสุมิจฉาเสียทีครับ

คำตอบ
    เจริญอสุภกรรมฐานและเจริญเมตตาธรรมด้วยการให้อภัยเป็นทานอยู่เสมอ เมื่อใดที่คุณธรรมทั้งสองเกิดขึ้นและสถิตอยู่ในใจของคุณได้ อุปสรรคปัญหาที่บอกเล่าไปก็จะผ่านพ้นได้

   2.ผมทำมหาทานตามคำแนะนำของอาจารย์บอกในหัวข้อเรื่องอธิษฐาน คือประสงค์ให้พ้นจากภัยเวรกาเมสุมิจฉา ตั้งสัจจะแล้ว แต่สงสัยเรื่องทำเหตุให้ตรง จะต้องทำเหตุอย่างไรให้ตรงครับ?

คำตอบ
    เหตุตรงคือสิ่งที่ได้ตอบไว้ในข้อ 1

   3.ผมได้รับวิบากในเรื่องนี้มาเรื่อยๆ พบว่าแต่ละครั้งจะเบาบางลงเรื่อยๆ สั้นลงเรื่อยๆ อย่างนี้เป็นสัญญาณให้ทราบหรือไม่ว่า ใกล้ชดใช้หมดแล้วครับ?

   ผมขอกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงนะครับสำหรับความกรุณาของอาจารย์ ผมซาบซึ้งบุญคุณของอาจารย์อย่างสูง และจะขอเป็นแรงหนึ่งที่จะช่วยนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มหาชนได้ทราบ
  ขอบพระคุณมากครับ

คำตอบ
    ตักน้ำออกจากโอ่งไม่หยุด โอกาสที่โอ่งแล้งน้ำย่อมเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นสิ่งที่คุณปฏิบัติเป็นประจำย่อมไม่ต่างไปจากการตักน้ำออกจากโอ่ง

401.
d_areeporn@hotmail.com
February 26, 2007 5:18 AM

กราบเรียนท่านด๊อกเตอร์สนองที่เคารพอย่างสูง

   ดิฉันได้ติดตามการบรรยายธรรมะของท่านจากทางอินเตอร์เน็ต และก็เปิดฟังเกือบทุกตอนที่ทางชมรมกัลยาธรรมจัดทำขึ้น ดิฉันรู้สึกทราบซึ้งในพระคุณของคณะผู้จัดทำและท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง เสียดายที่ดิฉันอยู่ต่างประเทศ(ฝรั่งเศส) พี้นฐานแล้วเป็นคนชอบทำบุญและชอบเรื่องสมาธิมากค่ะ แต่ระยะเวลาที่ผ่านมาสิ่งแวดล้อมต่างๆไม่ค่อยอำนวยเพราะประเทศที่อยู่นั้นนอกจากไม่ได้เป็นเมืองพุทธแล้วถึงแม้จะมี "ภิกษุ"(พระสงฆ์)บ้าง แต่ก็ไม่เหมือนทางบ้านเราซึ่งเราสามารถจะเลือกที่ไปได้บ้าง ที่โน่นอย่างมากถึงเวลาเทศกาลก็จะไปชุมกันที่วัดเอาข้าวของคาวหวาน บวกที่สำคัญคือปัจจัย(เงิน)ซึ่งนิยมทำกันแบบนี้ที่เห็นๆ ซึ่งเป็นมานานแล้วตั้งแต่สมัยดิฉันยังอายุไม่มากจนกระทั่งปีนี้ห้าสิบเอ็ดปีแล้วค่ะ เรื่องการปฏิบัติล้มลุกคลุกคลานมาตลอลแต่ในจิตลึกๆชอบเรื่องนี้มาก(ปฏิบัติ)เมื่อสมัยก่อนตอนอายุยี่สิบกว่าๆ เคยอ่านหนังสือแล้วก็หัดทำเองได้สักระยะ(สมัยนั้น ยังไม่มีการสื่อสารอินเตอร์เน็ตเหมือนสมัยนี้)เวลานี้ดิฉันได้ฟังธรรมะจากอิเตอร์เน็ตได้ดีใจมากๆค่ะ และดิฉันก็ได้สวดมนต์ เช้า เย็น เป็นประจำและก็ฝึกสมาธิด้วยหลังจากสวดมนต์เสร็จบางวันเหมือนกับหูจะดับคือเงียบมากแต่สักพักก็อยู่ในภาวะเดิม

   ดิฉันใคร่เรียนกราบถามท่านอาจารย์ว่า ดิฉันฝึกปฏิบัติธรรมอยู่กับบ้านแบบนี้เนี่ยมีสิทธิ์ที่จะทำจิตให้นิ่ง หรือจะพัฒนาจิตให้สูงขึ้นไป(คือ ใช้การได้ช่วยตัวเองได้ทั้งทางโลกและทางธรรม) ดิฉันชอบทางนี้มากสนใจมาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว แต่สัปปายะไม่อำนวยในจิตใจก็คิดว่าจะสวดมนต์และฝึกไปแบบนี้ตลอดชีวิต ขอท่านอาจารย์ เมตตาชี้แนะให้ดิฉันดว้ยว่าดิฉันครวจะทำอย่างไรดีที่ให้ก้าวหน้าในทางปฏิบัติ เพราะอยู่โน่น(กัลยาณมิตร)หาไม่มี ตัวดิฉันเองก็มาเมืองไทยบ้างปีละหนึ่งครั้งบ้างสองปีครั้งบ้าง และขอกราบเรียนถามท่าอาจารย์อีกอย่างนะคะว่าการที่เราสวดมนต์ทุกๆวันและฝึกสมาธิทุกๆครั้งหลังสวดมนต์(โดยที่เรายังไม่มีสมาธิคือจิตยังไม่นิ่งนั้น) เราจะได้บุญหรือมีอานิสงส์หรืออย่างไรคะ

   ขอคุณพระศีพระรัตนตรัยและสิ่งศักด์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลภิภพปกปักรักษาท่านอาจารย์ให้มีสุขภาพที่แข็งแรงไปจนถึงวันสุดท้ายค่ะ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

คำตอบ
    การสวดมนต์ การฟังธรรม เป็นการปฏิบัติธรรมขั้นต้น การฝึกจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เป็นการปฏิบัติธรรมขั้นกลาง ทั้งสองอย่างที่คุณปฏิบัติอยู่เป็นประจำ หากทำได้แล้วมีอานิสงส์นำสู่ความสงบสุข เมื่อทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว โอกาสเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์มีได้เป็นได้ และสูงสุดนำสู่การเกิดเป็นพรหมได้ ทำไมไม่ใช้เวลาที่กลับเมืองไทย ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานซึ่งเป็นการปฏิบัติธรรมขั้นสูงสุด แล้วนำไปปฏิบัติต่อที่เมืองนอก หากคุณได้ดวงตาเห็นธรรม ความเป็นอริยบุคคลย่อมเกิดขึ้นได้
   

 

 

ส่งคำถามถึง ดร. สนอง วรอุไร => question@kanlayanatam.com

สอบถาม ให้คำแนะนำที่ => webmaster@kanlayanatam.com