1

 

 

                                                                 
คำถาม-คำตอบ ข้อ 301-350

350.
November 17, 2006 2:35 PM

กราบเรียนถามอาจารย์ที่เคารพค่ะ

   ครั้งหนึ่งอาจารย์เคยกล่าวในการบรรยายธรรมว่า การมีอาชีพเป็นหมอรักษาคนไข้เป็นการผิดธรรม เพราะผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเพราะมีคู่เวรมาทวงหนี้ แต่หมอไปรักษาคนไข้ คู่เวรเลยเบนมาเล่นงานหมอ นี่คือผิดธรรม

   กราบเรียนถามว่าการที่ได้บริจาคเลือดเพื่อช่วยชีวิตคน หรือการบริจาคเงินช่วยเหลือคนยากคนจน จะเป็นการผิดธรรมไหมค่ะ คู่เวรของผู้ที่เราให้การช่วยเหลือจะเบนมาเล่นงานเราได้หรือเปล่าค่ะ แล้วควรจะป้องกันตัวได้อย่างไรค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    การบริจาคเลือดเป็นทานระดับอุปบารมี มีอานิสงส์มากกว่าการให้ทานในระดับธรรมดา การบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ก็เป็นทานเมื่อทำสำเร็จแล้ว จะเกิดเป็นบุญสั่งสมอยู่ในจิตใจ เมื่อใดที่ผู้บริจาคมีบุญต้องอุทิศบุญ (เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10)ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองเวรกรรมจะได้ติดตามไม่ทัน เพราะเจ้ากรรมนายเวรบางรายได้รับการชดใช้แล้วด้วยบุญที่อุทิศให้ อนึ่งบุญที่ทำยังมีเหลืออยู่มากกว่าบาป ชีวิตจะอยู่ได้อย่างเป็นทุกข์ไม่มากไง

349.
November 17, 2006 12:55 PM

กราบเรียน ท่านดร.สนอง วรอุไร

   ดิฉัน ได้ทำเวรกรรมในชาติปัจจุบันมาก ทำให้ตอนนี้ได้รับผลของกรรมที่ได้ทำมา ตอนนี้ตกงานมาหลายปีแล้ว สามี ก็ทิ้งลูกสาวตั้งแต่อายุ ได้เดือนเศษๆ ปัจจุบันก็ได้อาศัยคุณแม่ช่วยท่านขายเนื้อสัตว์ใหญ่อยู่กับบ้าน พร้อมทั้งขาย หมูปิ้ง ประทังชีวิตไปวันๆ ชีวิตของดิฉันไม่เจริญขึ้นบางเลย ก็เลยหลบไปปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานที่วัดทุ่งบ่อแป้น จน กระทั่งได้พบ ดร.สนอง ที่วัดทุ่งบ่อแป้น อยากจะรบกวนเรียนถามท่าน ดังนี้คะ

   หนูอยากมีงานทำค่ะ สมัครงานหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยได้สักครั้งเลยคะ ตอนนี้อายุก็ 32 ปีแล้วคะ อยากมีเงินเลี้ยงลูก และแม่ สงสารทุกคนใจแทบขาดในเวลาที่เห็น แม่ทำงานลำบาก ป่วยก็บ่อย และเวลาที่ลูกสาวอยากได้สิ่งของ แล้วไม่ได้ หนูควรทำบุญในด้านใดดีคะ เจ้ากรรมนายเวรของหนูท่านจะได้อโหสิกรรมให้หนูบ้าง หนูไปปฏิบัติที่วัด มา 3 ครั้งแล้วคะ
  
   ขออาจารย์โปรดช่วยหนูเป็นธรรมทานในครั้งนี้ด้วยนะคะ

คำตอบ
   แนะนำให้รักษาศีล 5 ให้มีอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะที่ตื่น เลิกประกอบอาชีพเบียดเบียนที่ทำอยู่ หันไปประกอบอาชีพที่ไม่เบียดเบียนแทนอาชีพปัจจุบัน ทำบุญอยู่เสมอ (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) และอุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรปฏิบัติให้ได้อย่างที่แนะนำไปเรื่อย ๆ เมื่อใดที่อกุศลวิบากลดลงชีวิตดีขึ้นแน่นอน
 

348.
November 16, 2006 7:13 PM

สงสัยเรื่องอาบัติ   
   ผมมีความสงสัยอันเกิดจากการได้อ่านหนังสือธรรมะ หลายๆเล่มที่ได้กล่าวถึงการอาบัติของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งเกิดจากสาเหตุแตกต่างกันไป ผมจึงใคร่เรียนถามท่านอาจารย์สนองว่า อาบัตินั้นมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีสาเหตุจากอะไรบ้าง ทั้งนี้คำตอบจะเป็นไปเพื่อความกระจ่างชัดในการศึกษาธรรมของกระผมผู้มีความรู้น้อยนี้และสหธรรมมิกทุกท่านในกาลต่อไป

กราบขอบพระคุณอย่างสูง

คำตอบ
    คำว่าอาบัติหมายถึงการล่วงละเมิด หรือโทษที่เกิดกับสงฆ์ผู้ล่วงละเมิดสิกขาบท ถามไปว่ามีกี่ประเภท ต้องขออภัยที่มิได้ศึกษามาทางด้านปริยัติจึงไม่รู้และไม่ขอตอบ เหตุเพราะผู้ตอบปัญหาเป็นฆราวาสที่มีพฤติกรรม คิด พูด ทำดี อยู่ทุกขณะตื่น คำว่าดีหมายถึง ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการเป็นฆราวาส จึงไม่อยากไปรู้มากให้รกสมอง

347.
November 14, 2006 5:13 PM

กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ที่เคารพ

ดิฉันมีคำถามอยากให้ท่านช่วยตอบเพื่อจะได้แก้ไขและนำไปปฏิบัติให้ถูกต้องต่อไป

เรื่องก็มีอยู่ว่า แม่สามีของดิฉันเธอบอกว่าเธอเห็นผีอยู่ในบ้าน คอยตามเธอจนเธอไม่กล้าอยู่คนเดียว เธอบอก ว่า ถ้ามีคนอยู่ด้วยผีจะไม่มาให้เห็น เธอพยายามแก้โดยการทำบุญใส่บาตร ทั้งธรรมดา และ 9 ทิศ แล้วแต่ใคร จะแนะนำ แต่ก็ยังเห็นผีอยู่ พาแม่ไปหาหมอๆ บอกว่าเธอเป็นโรคจิต+ความชรา จึงคิดไปเอง

ท่านอาจารย์คะ จะทำอย่างไรจึงช่วยเธอได้ เธอเป็นคนแก่คนจีน อายุ 77 ปี อ่านหนังสือไทยไม่ออก สวดมนต์ แบบไทยไม่เป็น แต่เธอเป็นคนศรัทธาในพระ เธอสวดมนต์แบบจีนทุกวัน ทานเจทุกวันพระจีน

ลูกๆ บอกว่าเธอเป็นโรคจิต ไม่มีหรอกผี เห็นผีหลายตัว เป็นประจำ

ท่านอาจารย์จะวินิจฉัยโรคนี้อย่างไรคะ

ขอขอบคุณล่วงหน้านะคะ สำหรับคำตอบ

Regards,
Jongkolnee Ng.

คำตอบ
    เป็นเรื่องธรรมของผู้ที่มีอายุมาก จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิมากว่าหนุ่มสาว ดังนั้นโอกาสเห็นรูปนามในมิติที่เป็นทิพย์จึงมีได้เป็นได้ ความกลัวเกิดจากความรู้ไม่จริง กลัวผีเพราะรู้ไม่จริงเรื่องผี ถ้ารู้จริงแล้วไม่กลัว ผีเป็นรูปนามในอีกมิติหนึ่งเป็นมิติที่ละเอียด เขาก็เป็นเหมือนเรานั่นแหละ เป็นรูปนามที่ยังต้องมีตายมีเกิดอยู่ในวัฎสงสารเช่นเดียวกับมนุษย์ เมื่อเห็นแล้วควรอุทิศบุญกุศลให้กับผีโดยกล่าวคำว่า “ จงมีความสุขเถิด อย่างมีเวรภัยต่อกันเลย ” ทำอย่างนี้เรื่อย ไปทุกครั้งที่เห็นเขา เมื่ออุทิศบุญให้ผีแล้ว แม่สามีจะได้มีเพื่อนต่างมิตินั่นไง เขามิได้มาทำร้ายอะไรหรอก เขาเพียงปรากฏให้เห็นเพราะต้องการบุญจากผู้สูงอายุหากแม่สามีเป็นคนมีเมตตาจะแผ่เมตตาให้กับผีก็ยังได้ โดยกล่าวคำว่า “ จงเป็นสุข ๆ เถิด ” ไม่เห็นต้องกลัวอะไร เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้มีบุญนั่นเอง

346.
November 13, 2006 4:02 PM

สมาชิกใหม่ รบกวนถาม 1 คำถามเพราะไม่มีโอกาสถามในงานวันที่ 12 พ.ย. 2549
เรียน อาจารย์สนอง

   เคยได้ยินมาว่า คนที่ชาตินี้ต้องถูกไฟคลอกตาย เป็นเพราะกรรมเก่า และชาติต่อๆไปจะต้องตายแบบนี้อีก อยากถามอาจารย์ว่าทำอย่างไรจึงจะช่วยให้เค้าเหล่านี้พ้นวงจรแห่งกรรมนี้ได้ เพราะทุกวันนี้พยายามทำสังฆทานและตักบาตรไปให้เสมอ

ด้วยความเคารพ

ภาสินี

คำตอบ
    การทำสังฆทาน ตักบาตรแล้วอุทิศบุญให้ผู้ตายหากผู้ตายอยู่ในฐานะที่จะมาอนุโมทนาบุญได้ ผู้ตายก็จะได้รับบุญที่คุณอุทิศไปให้ซึ่งจะทำให้มีบุญเพิ่มขึ้นพร้อมกับความทุกข์บรรเทาลง

   ผู้ที่ตายไปแล้วจะพ้นจากวงจรแห่งอกุศลกรรมนี้ได้ก็ต่อเมื่อได้ชดใช้หนี้เวรกรรมได้หมดสิ้นแล้วนั่นแหละ ทำไมคุณไม่ทำบุญใหญ่ด้วยการนำตัวเองเข้าปฏิบัติจิตตภาวนา เมื่อทำแล้วก็อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของผู้ที่ตายไปแล้วล่ะ โอกาสที่ผู้ตายจะพ้นไปจากวงจรอกุศลกรรมนี้จะได้สั้นเข้า


 

345.
November 13, 2006 3:31 PM

ถามเรื่องการฝึกสมาธิ
    1.ในขณะนี้เริ่มทำสมาธิโดยกำหนดลมหายใจเข้าออก แต่ทำไปสักพักรู้สึกเหนื่อย เหมือนหายใจไม่พอ จะแก้ได้อย่างไร

คำตอบ
   
กำหนดลมหายใจแล้วรู้สึกเหนื่อย แสดงว่าคุณใช้จิตไปบังคับการเข้าของลมการออกของลม แต่ถ้ากำหนดได้ถูกวิธีคือไม่ใช้จิตไปบังคับให้ลมเข้า ลมออก แต่ปล่อยให้ลมเข้าออกตามปกติที่เคยเป็นที่เคยหายใจอยู่ก่อนแล้ว ใช้จิตตามดูลมเข้า ลมออก จะไม่รู้สึกเหนื่อย ฉะนั้นแก้วิธีกำหนดเสียใหม่

   2. ลูกชายมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก อยากบวชเป็นเณร(ขณะนี้อายุ 13 ปี เรียนชั้น ม.1) และตั้งใจที่จะไม่สึก ทุกวันพระเขาจะรักษาอุโบสถศีลเอง โดยไม่ได้ไปรับศีลที่วัดเพราะติดเรียน รู้สึกเบื่อหน่ายทางโลก อยากอยู่ในโลกุตรมากกว่าโลกีย (เขาบอก) แต่ด้วยความที่ยังยึดติดว่าอยากให้เขาเรียนทางโลกให้จบปริญญาตรีก่อนแล้วจะบวชก็ไม่ว่ากัน(จริงๆแล้วก็ไม่อยากหรอก)แต่เขาไม่ยอม จะขอบวชให้ได้ ไม่ทราบว่าควรทำอย่างไร แม่จะผิดบาปหรือไม่ถ้าไปขัดขวางเขา

คำตอบ
    ชีวิตเป็นของเขา เขาต้องเลือกทางชีวิตด้วยตัวของเขาเองเมื่อเลือกนำชีวิตไปในทางที่ดี เพราะเขามีความเห็นถูก เขาคิดถูกและเขากำลังจะทำสิ่งที่ถูก แล้วคุณในฐานะที่ถูกสมมุติเรียกว่าแม่จะไปขัดขวางทางชีวิตของเขาให้เป็นบาปติดตัวไปทำไมเล่า
 

344.
November 13, 2006 2:05 AM

สงสัยเรื่องการทำบุญ ทำทานของคนต่างชาติ
  เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

   มีความสงสัยค่ะว่า ทำไมคนต่างชาติที่เป็นมหาเศรษฐีเขาทำบุญด้วยอะไร ถึงมีอานิสงส์มากทำให้มีเงินมากกว่ามหาเศรษฐีที่เป็นคนไทยเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้เป็นชาวพุทธ และก็ไม่น่าจะได้ปฏิบัติกรรมฐานนะคะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    มหาเศรษฐีต่างชาติ ทำบุญด้วยการให้การสละ การบริจาคทรัพย์เป็นทาน เมื่อเหตุที่ทำให้ผลตอบแทนกลับมาจึงมีทรัพย์มาก ให้ทรัพย์กับคนที่มีคุณธรรมสูงมีอานิสงส์มาก ให้ทรัพย์กับคนหมู่มากมีอานิสงส์มาก พิสูจน์ด้วยตนเองสิ
 

343.
November 12, 2006 7:56 PM

สวัสดีครับอาจารย์....
    ผมมีปัญหาหนักใจอยากจะมาขอคำปรึกษาอาจารย์นนะครับ .....
กระผมมีพี่น้อง 3 คนกระผมเป็นคนสุดท้องพี่ทั้ง สองของผมมีครอบครัวแยกบ้านเรียนร้อยแล้ว พี่คนโตมาเยี่ยมแม่บ้างก็คือเอาลูกเขามาให้เลี้ยงไม่งั้นก้อไม่มาหาเลย
ส่วนพี่คนที่สองไม่มาหาเลย มีแต่แม่ผมไปหา...... พ่อของกระผมเสียแล้วตอนนี้กระผมอาศัยอยู่กับแม่ 2 คน ตอนนี้ผมอายุ 28 ปี ผมรักชอบกับผู้หญิงคนนึงแต่แม่กระผมไม่ยอมรับเธอเพราะว่าเราต่างเชื้อชาติกัน (กระผมเป็นไทยมีเชื้อสายอินเดียนะครับ)ส่วนเธอเป็นไทยเชื้อสายจีน...และเธอก้ออายุมากกว่าผม 4 ป
ี เราคบกันมา 7-8 ปีแล้ว ตอนแรกผมก้อคิดว่าใช้เวลาเป็นตัวแก้ปัญหาแต่เวลาก้อผ่านมานานพอสมควรแล้วแม่ผมก้อไม่รับเธอสักที ผมกับแม่ไม่เคยเคย คุยรื่องแฟนผมสักที เพราะว่าพูดทีไรแม่ผมก้อโมโห ไล่ผมออกไปอยู่กับเธอทุกทีเลย มันทำให้แม่ผมเสียใจผมก้อเลยไม่พูดถึง...แต่ตอนนี้อายุผมก้อเริ่มเยอะขึ้นทุกที ... (แม่ผม เป็นคนดีมากนะครับสวดมนต์ไหว้พระมาตลอดชีวิตของเธอเลย )

   ผมก็ต้องวิ่งไปวิ่งมา ผมเหนื่อยมากๆ ไม่รู้จะไปพูดกับใครดี แฟนผมก็เข้าใจดีแหละก็ไม่ได้ว่าอะไร มันทำให้ผมเครียดมาก ประสิทธิ์ภาพในการทำงานลดลงเพราะความเครียดตอนนี้ทำให้ผมเป็นคนอ่อนแอมาก (ปกติผมมีอาชีพเล่นหุ้น) ก็เครียดอยู่แล้ว
เวลาสั่งงานลูกน้องไม่ได้ดั่งใจก็เครียดอีก กลับมาบ้านก็มีเรื่องกลุ้มใจอีก ตอนนี้ผมไม่รู้จะทำยังไงดี ถ้าออกไปอยู่ข้างนอกแม่ผมก็อยู่คนเดียว ก็เป็นลูกทรพีอีก ส่วนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆๆ ผมกับแฟนก็อายุมากขึ้นทุกที (แฟนผมก็ไม่ได้มีอาชีพอะไรเธออยู่กับแม่เธอส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมรับผิดชอบให้) เธอเป็นคนดีมาก สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน นั่งสมาธิด้วย
เธอแนะนำให้ผมฟัง cd อาจารย์ แหละเธอเคยพาผมไปกราบอาจารย์ด้วย (ที่ รร. เตรียมอุดม) วันนั้นอาจารย์มาบรรยายเรื่อง กินดูอยู่ แบบวิธีพุทธ ...

   ตอนนี้พูดตามตรงกระผมไม่ค่อยจะมีสติเท่าไหร่ ปกติกระผมจะเป็นคนหัวไวฉลาดตอนนี้ผมโง่ลงไปเยอะมาก ถ้าให้ผมทิ้งแม่ไปอยู่กับเธอ จิตใต้สำนึกของผมบอกว่าทำไม่ได้ ให้ผมทิ้งเธอแล้ว เป็นลูกที่ดีแต่งงานกับคนที่แม่ผมหาให้ (ผมก้อเหมือนติดคุกไปตลอดชีวิตเลย)

รบกวนขอคำปรึกษาอาจารย์ด้วยนะครับ
ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    ในบรรดาพี่น้องทั้งสาม คุณเป็นคนโชคดีทีสุด ที่มีโอกาสได้เลี้ยงคุณแม่ ช่วยแม่ทำงาน ฯลฯ รักษาคุณธรรมนี้ไว้ให้ได้แล้วชีวิตของคุณจะไม่ตกต่ำ

   ในอินเดียสมัยพุทธกาลคนที่อยู่ต่างวรรณะกัน แต่งงานอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน ลูกที่เกิดมาถูกคนในสังคมที่มีปัญญาเห็นผิด สมมุติว่าเป็นลูกจัณฑาล แม่ของคุณคงมีความเชื่อแบบนั้นจึงไม่อยากได้หลานที่เกิดจากพ่อแม่ต่างเชื้อชาติกัน ซึ่งในสายญาติของแม่คงไม่ยอมรับ
และจะเป็นการสร้างความลำบากใจให้กับแม่ของคุณก็ได้นะ

   ในกรณีนี้แม่มีความเห็นถูก แม่จะไม่ทุกข์ใจและจะไม่กีดกันคุณถ้าคุณมีความเห็นถูก คุณจะไม่ทุกข์ใจที่จะอยู่กินกับคนต่างเชื้อชาติ และเช่นเดียวกัน ไม่ถือว่าเป็นการเนรคุณไม่ถือว่าเป็นลูกทรพี ในกรณีที่คุณไม่เชื่อฟังแม่ เหตุเพราะท่านมีความเห็นผิดต่างหากล่ะ ฉะนั้นชีวิตเป็นของคุณคุณต้องเลือกทางเดินชีวิตให้กับตัวเอง แต่ที่สำคัญจริยธรรมของการเป็นลูกที่ดีคุณต้องไม่ละทิ้งดูตัวอย่างของพระสารีบุตร จากแม่ไปบวชเป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ไม่ได้เลี้ยงดูแม่ ไม่ได้ปรนนิบัติแม่ด้วยตัวท่านเองแต่ให้หลานและบริวารทำแทนยังสามารถพัฒนาตนเองให้เข้าถึงความดีสูงสุดได้


 

342.
November 08, 2006 8:08 PM

เรียนท่านอาจารย์ ดร. สนอง ที่นับถือ

อยากทราบว่า การที่เราสนใจธรรมะ ศึกษาธรรมะ เพื่อเป็นแนวทางแห่งการนำไปปฏับัติ ทั้งเพื่อการดำรงค์ชีวิตในปัจจุบัน และเป็นเสบียงให้กับตัวเองในภพชาติต่อไป การที่เราไม่มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระ แต่เราค้นคว้าจากการอ่าน การฟังจากท่านผู้รู้ต่างๆ หรือหลวงพ่อต่างๆที่มีให้อ่านให้ฟังในแว็ปไซน์มากมาย บางครั้งหากเราอ่านก็ดี เราฟังก็ดี แล้วเรานำมาพิจารณาแล้วเห็นว่า เอ..เราเคยอ่านเจอหรือได้ฟังหลวงพ่อหลายๆองค์หรือ(จากท่านอาจารย์ดร.สนอง) และท่านผู้รู้อื่นๆ ท่านบอกว่า อย่าเชื่ออะไรโดยปราศจากเหตุและผล การที่เราเครีอบแคลงสงสัย ในตัวพระหรือนักบวชบางองค์ แม่ชีบางท่าน ว่าท่านสอนบิดเบือนจากคำสอนของพระพุทธะ ยกตัวอย่างเช่น พระบางองค์อวดอุตริ หรือชีบางท่าน รู้ เรื่องญาณ และอื่นๆ การที่เราเครือบแคลงสงสัย การปฏิบัติของท่านเหล่านั้น จะถือว่าเราผิดหรือไม่ เพราะเราต้องการที่จะเรียนรู้และศึกษาธรรมะและนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้องจริงๆ การเชื่อโดยปราศจากเหตุผลเรียกว่างมงายใช่หรือไม่

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง ที่กรุณาชี้ทางธรรมให้

ขอแสดงความนับถือ

คำตอบ
    หากบุคคลยังมีความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ ก็แสดงว่ายังเข้าไม่ถึง ปัญญาสูงสุดที่จะก้าวล่วงไปจากความเป็นปุถุชน

   นักบวชบางองค์แสดงอวดอุตริมนุษยธรรม ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่านักบวชองค์นั้น ไม่ประพฤติปฏิบัติตามวินัยสงฆ์ที่พระพุทธะได้บัญญัติไว้ยังไม่เรียกว่าเป็นพระแต่เรียกว่าเป็นสมมุติสงฆ์

   คำว่าญาณหมายถึงปรีชาหยั่งรู้ เป็นความรู้ขั้นสูงที่เกิดจากการทำจิตตภาวนา ที่บอกว่า “ ชี ” บางท่านรู้เรื่องญาณ การรู้เรื่องญาณเกิดได้จากการฟังการอ่าน ส่วนการมีญาณเป็นการปฏิบัติจิตตภาวนาแล้วเข้าถึงด้วยตนเอง ฉะนั้นคนรู้เรื่องญาณกับคนมีญาณหยั่งรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัสจึงต่างกัน ถามไปว่าจะผิดหรือไม่ที่คุณไปเคลือบแคลงสงสัยการปฏิบัติของผู้อื่น เรื่องนี้ถ้ามองในมุมมองของผู้ถามแล้ว “ ไม่ผิด ” แต่ถ้ามองในมุมมองของผู้ปฏิบัติจนเข้าถึงญาณได้แล้วถือว่า “ ผิด ”

   ส่วนเรื่องการเชื่อโดยปราศจากเหตุผล ถือว่าเป็นความเชื่อที่งมงายไม่เป็นความจริง ต้องถามต่อไปว่า คุณใช้เหตุผลระดับไหนในการตัดสินว่าจริงหรือไม่จริง ถ้าใช้เหตุผลระดับประสาทสัมผัสก็ต้องบอกว่าแมลง “ หิ่งห้อย ” มีจริง ถ้าใช้เหตุผลระดับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สัมผัสก็ต้องบอกว่า “ ไวรัสหวัดนก ” มีจริง ถ้าใช้เหตุผลระดับจิตสัมผัสก็ต้องบอกว่า “ เทวดา ” มีจริง คุณในฐานะผู้ถามล่ะ เข้าถึงเหตุผลได้ระดับไหน

341.
November 07, 2006 3:55 PM

กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ครับ

กราบเรียนถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องอาชีพ ผมทราบมาว่าอาชีพที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้มีอยู่ 5 อาชีพคือ
1. การค้าศัสตราวุธ
2. การค้ามนุษย์
3. การเลี้ยงสัตว์เพื่อขายเพื่อฆ่า
4. การค้าขายน้ำเมา
5. การค้าขายยาพิษ

    ต่อมาผมได้อ่านเจอในหนังสือ ความสำเร็จที่มาจากพระพุทธเจ้า ได้อ้างอิงถึงพระไตรปิฎก ในพระสูตรอรรถกถา เล่มที่29 หน้าที่ 179 เรื่องตาลปุตตสูตร ว่าด้วยผู้ที่ทำงานมีอาชีพเกี่ยวกับการร้องรำทำเพลง เต้นระบำ การแสดงต่างๆ ที่ทำให้คนหัวเราะรื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง เมื่อตายจากโลกนี้ไปจะต้องตกนรกที่ชื่อว่าปหาสะ หรือกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เนื่องจากเป็นการทำให้คนมีความกำหนัดมาก และตั้งตนอยู่ในความประมาทขาดสติ

   ผมขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
1. อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายเรื่องอาชีพต้องห้าม 5 อาชีพ กับอาชีพนักร้อง นักแสดง นั้นมีขอบเขตแค่ไหน หรือไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียวครับ

คำตอบ
   
อาชีพต้องห้ามทัง 5 มีระบุไว้ในพุทธศาสนา ผู้ใดเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยแล้วชีวิตพบความวิบัติได้ ทั้งนี้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมเพียงแต่ส่งอกุศลกรรมจะให้ผลเมื่อใดขึ้นอยู่กับกรรมอื่นเข้ามามีส่วนในการให้ผลด้วย

   อาชีพนักร้องนักแสดงเป็นอาชีพที่สร้างสรรค์ความหลงความยึดติดในกามสุขให้กับผู้ฟังผู้ชม เมื่อกรรมให้ผลจะมีอบายภูมิเป็นที่หมายหากคิดปฏิบัติธรรมและให้บังเกิดมรรคผลก้าวหน้าควรปฏิเสธสองอาชีพนี้โดยสิ้นเชิง อนึ่งนักร้องนักแสดงบางคน เขาได้สร้างกุศลกรรมอื่น ๆ เช่นสร้างวัด สร้างโรงทาน สร้างพระพุทธรูป ทอดกฐิน ช่วยเหลือคนถูกน้ำท่วม ฯลฯ เหล่านี้ไว้ด้วย เมื่อถึงคราวที่จิตทั้งขันธ์ลาโลก กุศลกรรมที่ทำจะเป็นแรงผลักดันให้เขาไปเกิดในสุคติภพก็ได้ หากจิตดวงสุดท้ายก่อนหลุดออกจากร่างได้ระลึกถึงกรรมดีที่ทำไว้

2. หากการแสดงเป็นไปเพื่อการกุศลหรือมีเจตนาที่เป็นกุศล เช่นคอนเสริต์หรือการแสดงเพื่อการกุศลต่างๆ นั้น จะถือเป็นบาปหรือไม่ครับ

คำตอบ
   
การแสดงที่เป็นไปด้วยจิตกุศล ถือว่าได้บุญหากจิตตกเป็นทาสของเสียงของภาพที่เห็นก็เป็นบาป ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีทั้งส่วนบุญ-ส่วนบาป อย่างไหนจะมากกว่ากันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคล

3. เพลงธรรมะที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับธรรมะ มีเจตนาที่เป็นกุศล ต้องการให้คนสนใจธรรมะ นั้นผู้แต่งและผู้ร้อง เป็นบาปหรือไม่ครับ
     กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร.สนอง อย่างสูงครับ
       กันธร ไกรกาบแก้ว

คำตอบ
   
ผู้แต่งเมื่อได้แต่งเพลงธรรมะแล้ว ผู้ร้องได้ร้องเพลงธรรมะแล้วมีเจตนาเป็นกุศล ผู้ฟังได้ฟังเพลงธรรมะแล้วมีจิตเป็นกุศล บุคคลทั้งสามประเภทที่กล่าวถึงนี้ถือได้ว่าเป็นผู้มีบุญสั่งสมอยู่ในจิตใจไม่เป็นบาป

340.
November 05, 2006 2:08 PM

เรียน ท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพอย่างสูง

เหมือนเจอทางตัน
   หนูได้ปฏิบัติธรรมมาประมาณ 2 ปี แล้ว การปฎิบัติทำให้เราทราบว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง หนูไม่ต้องการเร่งรีบในการปฏิบัติ เป็นอย่างไรคืออย่างนั้น

   หนูมีปัญหาคือเนื่องจากปัจจุบัน หนูพบว่าในการทำงานมีแรงบีบคั้นมากขึ้น ทำให้มีความจำเป็นต้องเรียนต่อในระดับปริญญาที่สูง ๆ(คิดว่าขอทุนจากที่ทำงานน่าจะได้ แต่ต้องผ่านเกณฑ์ภาษาอังกฤษตามเงื่อนไข ซึ่งหนูไม่ต้องการกดดันตัวเองในการมานั่งอ่านหนังสืออีก)และความจริงถ้าเลือกได้หนูไม่ต้องการ แต่อยากจะทุ่มเทในเรื่องการปฏิบัติมากขึ้น แต่เนื่องด้วยเรื่องเศรษฐกิจและต้องดูแลครอบครัวทำให้หนูยังต้องทำงานนั้น ตอนนี้หนูรู้สึกว่าเหมือนตัวเองเจอทางตันและมีทางแยกอยู่ 2 ทางให้เลือก

อยากจะขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
    ทางตันไม่มีสำหรับผู้รู้จริง ขณะนี้คุณยังต้องทำงานแลกเงิน เพื่อนำมาใช้เลี้ยงปากท้อง เลี้ยงชีวิต เลี้ยงครอบครัว เหล่านี้เป็นสิ่งสมมุติ ซึ่งคุณก็รู้แล้วว่า สมมุติเป็นสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง) มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แล้วคุณยังคิดปฏิเสธสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ยอมพัฒนาตัวเองให้ก้าวทันสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่กับสมมุติแต่ต้องหาวิธีทำใจให้เป็นอิสระจากสมมุติให้ได้ ด้วยการพัฒนาใจให้มีกำลังกล้าแข็ง เพื่อที่จะไม่เอาใจไปรองรับความเป็นทาสของสมมุติไงล่ะ

   ดังนั้นงานยังต้องทำอยู่ยังปฏิเสธไม่ได้ ยังต้องพัฒนาความรู้ทางโลกให้ก้าวทันยุคสมัยและต้องขวนขวายหาเวลาที่ปลอดจากงาน ไปพัฒนาจิตวิญญาณตัวเอง จนมีกำลังกล้าแข็งได้เมื่อใดแล้ว จะไม่มีสิ่งใด ๆ มากดดันให้คุณต้องไม่สบายใจ ความกดดันจะไปจากใจของคุณ คุณก็พบกับความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม จริงแท้แน่นอน พิสูจน์ดูสิ .. คุณ

339.
November 01, 2006 5:25 PM

กราบเรียน ท่านอาจารย์ สนอง วรอุไร

1.เนื่องจากพ่อสามีได้เสียชีวิต จึงมีเรื่องสงสัยขอถามว่า คนเรา เมื่อตายแล้วกี่วันถึงจะไปจากโลกนี้ ทำไมยังมีคนเห็นวิญญาณของเขาอยู่ เมื่อเขาไปแล้ว เขาจะกลับมาให้เราเห็นอีกไหมค่ะ

คำตอบ
    ถามไปว่าคนที่ตายแล้วกี่วันถึงจะไปจากโลกนี้ ตอบว่าไม่แน่นอน บางคนก็จากไปบางคนก็ยังอยู่ เช่นไปเกิดเป็นเทวดาชั้นสูง หรือไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิชั้นต่ำ ตายแล้วก็ต้องจากโลกนี้ไป บางคนเกิดเป็นภูมิเทวดา รุกขเทวดา หรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือเกิดเป็นสัมภเวสีก็ยังต้องอยู่กับโลกนี้ ส่วนจะอยู่นานเท่าไรขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำก่อนตาย

   คำถามที่ว่ายังมีคนเห็นวิญญาณของเขาอยู่ คำว่าวิญญาณมีความหมายได้หลายอย่าง เช่นหมายถึงความรู้แจ้งอารมณ์ ความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายนอกเข้ากระทบอายตนะภายใน หรือหมายถึงจิตก็ได้ คนที่จะเห็นจิต (วิญญาณ) คนอื่นได้ จิตของผู้เห็นต้องเข้าถึงความเป็นฌานและได้ทิพพจักขุญาณ ที่ถามไปคงหมายถึงรูปนามที่เปลี่ยนจากรูปนามที่มีกายหยาบ ไปเป็นรูปนามที่มีกายละเอียด เช่นสัมภเวสี ซึ่งมีรูปหน้าตาเหมือนคนก่อนตาย อย่างนี้โอกาสเห็นจึงมีได้เป็นได้ ส่วนเขาจะกลับมาให้เราเห็นอีกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความถี่ของคลื่นจิต ถ้ามีความถี่คลื่นจิตของผู้เห็นและผู้ถูกเห็นตรงกัน คือมีความถี่เดียวกัน ก็มีโอกาสเห็นรูปนามของเขาได้ การจูนความถี่คลื่นจิตทำได้ 2 ทิศทางคือ ผู้ถูกเห็นจูนเข้าหาผู้เห็น หรือผู้เห็นจูนความถี่คลื่นจิต (ด้วยการเข้าฌาน) ไปยังผู้ถูกเห็น
 

338.
November 01, 2006 1:58 PM

เรียน ดร.สนอง

เนื่องจากดิฉันเริ่มปฏิบัติธรรมมาไม่ค่อยนานเท่าไหร่ แต่มีคำถามที่อยากให้อาจารย์ช่วยแนะนำการปฏิบัติต่อ

   ก่อนหน้านี้ดิฉันได้เริ่มปฏิบัติธรรมจากการภาวนาพุทโธ (ขณะนั้นเดินทางไปสวนโมกข์ เพื่อไปเที่ยวกับคุณแม่ของเพื่อน) ในช่วงที่อยู่สวนโมกข์ ดิฉันไม่ค่อยรู้เรื่องการปฏิบัติธรรมมากนัก เห็นในเทปที่วัดเขาเปิดบอกให้ภาวนาพุทโธ ดิฉันก็ภาวนาไป เขาบอกให้ดูลมหายใจก็ดูไป เขาบอกให้รู้การเคลื่อนไหวก็ทำไปงั้นๆ เพราะจริงๆ เป็นคนชอบต้นไม้ จนกระทั่งวันที่ 2 ของการไปเที่ยว วัดเขาให้ถือศีล 8 ก็ถือกับเขาด้วยพอกลางคืนเขามีการเปิดเทปธรรมบรรยายของพระพุทธทาส ตลอดคืนก็ไปกับเขาด้วย ด้วยความเป็นคนขี้เกรงใจก็ไม่กล้าขยับขามากนั่งไป ปวดขาไป ทนไป จนถึงจุดที่รู้สึกว่าแทบขาดใจ ก็บังคับตัวเอง พูดกะตัวเองว่า ไม่ใช่ของเรา ความเจ็บปวดไม่ได้เข้าไปข้างในจิต สักพักก็รู้สึกว่า ดวงจิตอยู่ด้านหลังกาย กายคือกาย จิตคือจิต จิตสั่งกายจึงขยับ และรับรู้ทุกอิริยาบถการขยับ รู้สึกอิ่มเอิบ เบิกบาน เหมือนใจมีพลังมาก ขณะนั้นรู้สึกว่า นี่แหละทางของเรา หลังจากนั้นก็ตั้งใจเอาสติรู้กับกาย ตอนนั้นองค์ความรู้ก็อยู่แค่ว่าต่อไปนี้ตั้งใจจะมีความสุข เราไม่อยากมีความทุกข์อีกแล้ว แต่น่าเสียดายที่ต้องกลับบ้านในวันที่ 3

   หลังจากนั้น ก็นำวิธีการนั่งสมาธิไปทำที่บ้านบ้าง ไปวัดใกล้ๆบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่เห็นเหมือนตอนอยู่สวนโมกข์เลย แสดงว่า สมาธิแย่ลงใช่ไหมคะ มันเฉยๆ ไปอย่างนั้นเอง ไม่เห็นแยกกายกับจิตได้เลย ซึ่งหลังจากที่กลายเป็นคนเข้าวัด ก็กลับมีคำถามอีกมากมาย เพราะในตอนแรก คิดว่าการปฏิบัติธรรม จะต้องเพื่อให้มีความสุขตลอดเวลาที่มีชีวิตเหลืออยู่ แค่นั้น แต่พอมาเจอคนที่เขาปฏิบัติกันมากๆ เขาเริ่มพูดถึง นิพพาน พูดถึงการไม่กลับมาเกิด ก็เลยเกิดอาการสงสัยการไม่มาเกิดอีก กลับมาหาจุดเริ่มต้นว่า ตกลงแล้วเราปฏิบัติธรรมเพื่อการไม่กลับมาเกิดอีกเหรอคะ จริงๆแล้วเราทุกคนมีชาติหน้าชาติก่อนด้วยเหรอคะ แล้วถ้าเป็นคนไม่ค่อยเชื่อใคร จะต้องบังคับใจตัวเองให้เชื่อเรื่องชาติก่อนชาติต่อไปด้วยไหมคะ ถึงจะเดินไปตามทางพ้นทุกข์ได้ ไปนิพพานได้ และถ้าไม่ใช้วิธีบังคับใจจะมีวิธีอื่นอีกไหมคะ เช่นจะต้องคิดอย่างไร ทำอย่างไร ถึงจะเห็นความจริงที่แท้จริงของชีวิต เพราะดิฉันกลัวว่าถ้าจะตายแล้วยังไม่รู้อะไรเลย

   ได้โปรดเมตตาตอบคำถามให้ดิฉันด้วยค่ะ ถ้าทราบทางปฏิบัติ จะได้รีบนำไปปฏิบัติก่อนหมดเวลาของชีวิต
ขอบคุณมากค่ะ

คนขี้สงสัย

คำตอบ
    คนที่รู้ตัวเองว่ามีสมาธิแย่ลง (เสื่อม) แสดงว่าเริ่มมีปัญญาทอแสงเล็ก ๆ เกิดขึ้นที่ปลายขอบฟ้าของชีวิตแล้ว เหตุที่สมาธิเสื่อมเพราะสถานที่ไม่สัปปายะ (ไม่เหมาะต่อการปฏิบัติธรรม) เหมือนกับที่วัดสวนโมกข์เป็นสถานที่ที่เหมาะกับจริตของคุณ อยากเห็นการแยกกาย – แยกจิตอีก รับรองว่าไม่ได้เห็น เพราะความอยากเห็นเป็นตัณหาเป็นตัวกิเลสใหญ่ ตอนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดสวนโมกข์ ความอยากเห็นไม่มีอยู่ในใจของคุณ คุณจึงเห็นการแยกกาย-แยกจิตไงล่ะ

   ส่วนเรื่องความสงสัยของคุณเช่น ชาติหน้าชาติก่อนมีจริงหรือ ปฏิบัติธรรมเพื่อไม่กลับมาเกิดอีกหรือ ความจริงแท้ของชีวิตเป็นอย่างไร ฯลฯ นั่นแหละเกิดเป็นความสงสัยนั้นถูกต้องแล้ว แต่เป็นความถูกต้องของคุณเพราะเหตุมีสติปัญญาเพียงเล็กน้อยนั่นเอง เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้วผู้ตอบปัญหาได้พัฒนาปัญญาไอคิวมาสูงสุด ก็เคยสงสัยเหมือนคุณนั่นแหละแต่ด้วยเหตุที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ความสงสัยมิได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้นได้พัฒนาจิตตนเองจนเข้าถึงปัญญาสูง (ญาณ)ได้ จึงได้รู้ว่าแม้ตัวเองเรียนสำเร็จถึงระดับปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์แล้วยังมีปัญญาเพียงแค่หางอึ่งเท่านั้น ยังไม่เข้าถึงความจริงของชีวิตได้ทำไมคุณไม่ลองไปอ่านหนังสือ “ ทางสายเอก ” ที่ชมรมกัลยาณธรรมได้จัดพิมพ์ขึ้นเผยแผ่ความจริงของชีวิต ในหนังสือได้กล่าวถึงวิธีการและประสบการณ์การพัฒนาจิตของผู้ตอบปัญหาดูบ้างล่ะ น่าตื่นเต้น และอาจเป็นคำตอบที่ดีให้กับคุณได้ นะจะบอกให้


 

337.
October 31, 2006 8:54 AM

กราบเรียนอาจารย์ค่ะ

ตอนนี้ญาติของหนูป่วยหนักค่ะ มีเลือดออกในสมองนอนอยู่ห้องซีซียูยังไม่รับรู้อะไร แต่สามารถลืมตาได้บ้างแล้วแต่ยังพูดไม่ได้ค่ะ หนูขอกราบเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1.หนูควรจะทำบุญแบบไหนให้เค้าคะถึงจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ค่ะ ตอนนี้ลูกเค้าทำสังฆทานให้ทุกวันค่ะ ลูกเค้าบอกว่าหลังจากทำบุญให้คุณแม่แล้วอาการดีขึ้น

คำตอบ
   
เมื่อจิตสั่งสมองให้ลืมตาได้ – หลับตาได้ แสดงว่ายังมีการรับรู้เกิดขึ้น ฉะนั้นหนูควรทำบุญแทนคนป่วย ด้วยการให้ทาน เช่นนำอาหารไปใส่บาตรพระสงฆ์ ถวายสังฆทาน ทอดกฐิน บริจาคช่วยคนถูกน้ำท่วมหรือบวชพระ สละเลือดให้กาชาด ฯลฯ เมื่อทำแล้วต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนไข้ แล้วบอกให้เขารับรู้และอนุโมทนาบุญ แม้คนป่วยพูดไม่ได้แต่เขารับรู้ได้ เขายังสามารถอนุโมทนาด้วยใจซึ่งเป็นมโนกรรมได้อยู่เมื่อทำแล้วถือว่าบุญนั้นได้สำเร็จแก่เขาแล้ว

2.ในขณะที่เค้าไม่รู้สึกตัว(นอนหลับตา) หนูมีความสงสัยว่าดวงจิตเค้าอยู่ที่ไหนคะ เค้าต้องทรมานมั้ยคะหรือว่าเหมือนคนนอนหลับและฝันไป หนูสงสารเค้าค่ะ
กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ
ด้วยความนับถือ

คำตอบ
    ดวงจิตยังคงอยู่ในร่างกายของคนป่วย คนป่วยจะมีอารมณ์เป็นทุกข์ทรมานหรือมีอารมณ์เป็นสุข ให้ดูที่ดวงตาขณะที่คนป่วยลืมตาดวงตาเป็นเหมือนหน้าต่างแห่งดวงใจนั่นไง วิบากกรรมเป็นเรื่องเฉพาะตนไม่มีใครช่วยใครได้อย่างแท้จริง ฉะนั้นคุณช่วยเหลือเท่าที่ความสามารถของคุณทำได้นั้นถูกต้องแล้ว
 

336.
October 28, 2006 1:17 AM

กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่นับถือ

   อยากทราบว่าเครื่องรางของขลังที่พระบางองค์ท่านปลุกเสกให้จะช่วยให้การค้าดีขึ้น มีลูกค้ามากขึ้นจริงหรือไม่คะ? และหากไม่จริง เครื่อลางของขลังที่ว่านั้น เราจะเอาไปไว้ที่ไหนดี หากเราเห็นว่า ไม่สามารถช่วยได้จริงๆ

   แล้วพระหรือเมตตามหานิยมที่พระปลุกเสกนั้นมาอนุภาพมีจริงหรือปล่าวคะ? ฮวงจุ้ย นั้นตามหลักฐานพอเชื่อได้ไหมคะ? คือทำงานสุดความสามารถแล้ว ทำเต็มที่ ราคาค่าบริการก็ไม่แพง แล้วทำใมลูกค้าถึงมีน้อย ซึ่งจริงๆแล้วน่าจะมีเพิ่มขึ้นบ้าง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุใด บางคนเขาก็บอกให้หานางกวักมาบูชา อยากขอความกรุณาท่านช่วยแนะนำด้วยนะคะ ว่าควรจะทำอย่างไรดี? ดิฉันเองก็รักษาศีลห้าอยู่ เงินส่วนที่ทำมาหาได้ก็แบ่งทำบุญสุนทานอยู่เสมอ แต่ทำใมกิจการถึงไม่ก้าวหน้าขึ้น

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยตอบปัญหาให้
ขอแสดงความนับถือ

คำตอบ
   
ถ้าเครื่องรางของขลังช่วยให้การค้าขายดีขึ้นจริงพระพุทธะคงไม่บัญญัติเป็นวินัยห้ามสงฆ์สาวกกระทำหรอก แต่เพราะเป็นมิจฉาทิฎฐิ ทำให้คนหลงตกเป็นทาสของวัตถุ เป็นเดรัจฉานหากผู้ใดนำจิตเข้าไปเป็นทาสของวัตถุ เรียกว่า เป็นคนหลง ไม่ทำให้พ้นทุกข์ได้แท้จริง

   ฮวงจุ้ยมีจริง เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสสารกับพลังงานหรือคือความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยนั่นเอง ความสัมพันธ์นี้มีทั้งสัมพันธ์กันในทางดี ทางที่เอื้อประโยชน์ให้กับมนุษย์เรียกว่า ฮวงจุ้ยดีแต่หากสัมพันธ์แล้วเกิดโทษกับมนุษย์เรียกว่า ฮวงจุ้ยไม่ดี เช่นปลูกบ้านอยู่อาศัยใกล้โรงกำจัดขยะ ปลูกบ้านอยู่อาศัยใกล้โรงทำวัตถุระเบิดไม่ดี

    ถามปัญหาไปเพื่อให้ผู้ตอบปัญหาแนะนำว่า จะทำอย่างดีกิจการค้าจึงจะเจริญ เรื่องนี้ต้องขออภัยที่คนรู้ธรรมไม่สามารถแนะนำใครให้หลงยึดติดวัตถุทางโลก มีแต่จะแนะนำให้ทำจิตเป็นกุศล เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อมกิจการก็จะก้าวหน้าขึ้นแน่นอน

335.
October 27, 2006 1:10 PM

1.ผู้ที่ได้ฌานกับผู้ที่ได้ปัญญาเห็นไตรลักษณ์อย่างไหนอาณิสงค์มากกว่า แต่ในคัมภีร์บอกว่าฌานเป็นครุกรรมหนักฝ่ายดีแต่ไม่เห็นบอกว่าปัญญาเป็นครุกรรมหนักฝ่ายดีบ้างเลย

คำตอบ
    ผู้ที่พัฒนาจิตจนเกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์ แล้วจึงมีโอกาสเป็นอริยบุคคลได้ หากพัฒนาจิตให้มีปัญญาเห็นแจ้งยิ่ง ๆ ขึ้นไปก็สามารถบรรลุอหรัตผลได้ ส่วนผู้ที่นำจิตเข้าสู่ความเป็นฌาน แม้จะได้โลกิยะอภิญญาถึง 5 ตัวก็ยังไม่สามารถก้าวล่วงความเป็นปุถุชนได้ แล้วคุณคิดว่าอย่างไหนมีอานิสงส์มากกว่ากันล่ะ

2.อย่างผมฝึกวิปัสสนาญานผลจากการฝึกจิตวิปัสสนาสามารถกระโดดข้ามขั้นได้ไหม เช่นฝึกวิปัสสนาปลงอสุภะ อยู่ดีดีจิตปฏิวัติไปญาน4 หรือจากญาน1กระโดดไปญาน4ได้ไหมครับหรือต้องเป็นไปตามลำดับญานไม่ข้ามขั้น

คำตอบ
    ในการพัฒนาจิต ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานหากทำได้ถูกทางแล้วสามารถปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ถึง 16 ญาณ โดยเริ่มต้นจากญาณที่ 1 คือปรีชาหยั่งรู้การแยกของรูปนาม ญาณที่ 2 คือ ญาณหยั่งรู้ปัจจัยแห่งรูปนาม ญาณที่ 3 คือ ญาณเห็นรูปนามเป็นไปตามไตรลักษณ์ ญาณที่ 4 คือ ญาณตามเห็นความเกิดแลความดับไปของรูปนาม ฯลฯ ผู้ที่พัฒนาจิตตามวิธีปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนมีกำลังของสติสัมปชัญญะกล้าแข็งสมบูรณ์บริบูรณ์ได้แล้ว จะเห็นการเกิดของญาณดำเนินไปตามลำดับ จากญาณที่ 1 ญาณที่ 2 ญาณที่ 3 ญาณที่ 4 เรื่อยไปจนถึงญาณที่ 16 ไม่มีการกระโดดข้ามขั้น แต่ด้วยเหตุที่พลังงานจิตมีการเกิดดับเร็วมาก หากสติมีกำลังกล้าแข็งไม่มากพอ จึงสามารถระลึกได้ทันการเกิดขึ้นของญาณบางตัวได้อย่างที่คุณมีประสบการณ์และถามไปนั่นแหละ

334.
October 27, 2006 9:11 AM

กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพค่ะ

ตอนนี้ตัวเองมีกรรมอยู่อย่างหนึ่งค่ะ คือจะปวดตามน่องและเข่าทั้งสองข้างทุกวัน แค่เดินนิดหน่อยก็ปวดแล้ว และถ้านั่งสมาธิก็จะปวดมากกว่าเดิม ไปพบแพทย์หลายครั้งและหลายคนทั้งแพทย์แผนไทยและจีนเขาบอกว่าไม่ให้นั่งพับขาเพราะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ทำให้มีความลังเลสงสัยค่ะว่าควรจะทำตามแพทย์สั่งหรือไม่ เพราะเคยอ่านหนังสือกฏแห่งกรรมของหลวงพ่อจรัญ หลายท่านก็ทนนั่งต่อความเจ็บปวดต่าง ๆ และในที่สุดเมื่อใช้กรรมนี้แล้วก็จะไม่เจ็บตรงนั้นอีก และพระอริยสงฆ์ท่านก็นั่งสมาธิทั้งนั้นไม่ใช่หรือค่ะ ถ้าตัวเองทนนั่งต่อไปจะได้ใช้กรรมส่วนนี้ อาจารย์เห็นว่าอย่างไรค่ะ เพราะใจตัวเองแล้วอยากใช้กรรมตรงนี้ให้หมดไปเพื่อจะได้หายปวด (แต่ไม่แน่ใจว่าจะหายหรือไม่) และอยากเพิ่มเวลาการนั่งสมาธิให้มาก ๆ ค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    คำว่า “ กรรม ” หมายถึงการกระทำ เมื่อใดที่กรรมให้ผลเรียกว่า วิบากกรรม การปวดตามน่องและเข่าเป็นอกุศลวิบาก เพียงหนึ่งอย่างในวิบากอีกหลายอย่าง หมอแนะนำไม่ให้นั่งพับขา คุณควรเชื่อและปฏิบัติตามที่หมอให้คำแนะนำ อกุศลวิบากที่น่องและเข่าจึงจะบรรเทาลง การปฏิบัติกรรมฐานทำได้ในทุกอิริยาบถ เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ตื่น พูด ฯลฯ โดยให้มีใจจดจ่อ (สติ) อยู่กับอิริยาบถที่เกิดขึ้นเป็นปัจจุบัน หากทำได้ก็เท่ากับเป็นการฝึกจิตให้มีสติแล้วนั่งพับขาแล้วปวดที่น่องทำไม่ไม่นั่งห้อยขาบนเก้าอี้ หรือเปลี่ยนไปใช้อิริยาบถอื่นดูบ้างล่ะ พระอริยะท่านพัฒนาจิตจนมีกำลังของสติและสัมปชัญญะกล้าแข็ง จึงสามารถกับจิตให้อยู่เหนือทุกขเวทนาที่ปุถุชนไม่สามารถทำได้ ดังนั้นขอแนะนำว่า คุณควรใช้อิริยาบถอื่นในการพัฒนาจิต จึงจะแก้ปัญหาการปวดน่องปวดเข่าได้
 

333.
October 24, 2006 9:02 PM

อ.สนองที่เคารพ

   ตอนนี้ดิฉันมีความทุกข์มากถึงมากที่สุดเท่าที่เกิดมาตอนนี้ถือว่าหนักที่สุด พยายามเอาธรรมมะเข้าช่วย ด้วยว่าทุกวันนี้ก็ยังไม่มีบ้านเป็นของตนเองไปไหนก็ต้องใช้เงินคือปัจจุบันสามีไปมีหญิงอื่นไม่ส่งเสียช่วยค่าเลี้ยงดูบุตรมา1ปีตอนนี้มีกิจการก็เพิ่งเจ้งไปไม่นานมานี้ เป็นร้านใหญ่ในห้างดังปกติเป็นคนไม่มีญาติพี่น้อง พ่อแม่เสียตั้งแต่เด็กเมื่อ15ปีที่แล้ว ตอนนี้30กว่าแล้วก็ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเองกำลังฟ้องหย่า เพราะไม่มีค่าเลี้ยงดู ลูกกำลังจะเปิดเทอมไม่มีค่าเทอม เคยคิดสั้นแต่ด้วยคิดว่าจะอยู่เพื่อใช่หนี้กรรมให้หมดแล้วสร้างบุญเพิ่ม

   อยากถามอ.สนองว่าเท่าที่เล่ามากรรมของดิฉันมันมากใช่ไหมคะ เราต้องเคยไปทำคนอื่นมามากเขาถึงให้เราได้รับผลแบบนี้แล้ว หากเรานั่งสมาธิชดใช้กรรมได้ไหมคะ ถ้าเราไม่มีเงินทำบุญ

คำตอบ
    แม้จะยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ยังมีบ้านให้ซุกหัวนอนได้ก็ยังดีกว่าคนอีกจำนวนมากที่เป็นคนจรจัด นอนตามโคนไม้นอนในสวนสาธารณะ นอนใต้สะพานลอย แม้ข้างถนนก็ยังใช้เป็นที่หลับนอน ฯลฯ เรื่องนี้เป็นผลงานจากอดีตของคุณเองทำไว้ไม่ดี ผู้รู้สอนให้ยอมรับความจริง อยู่กับความจริง ชดใช้วิบากเก่าที่ทำไว้ไม่ดีให้หมดไป ที่สำคัญปัจจุบันต้องไม่สร้างกรรมใหม่ที่ไม่ดีให้เกิดขึ้น เช่น ไม่ใช้อกุศโลมายขับไล่ใครให้ต้องออกจากบ้าน ไม่พรากลูกไปจากแม่ ไม่เอาสัตว์เลี้ยงไปปล่อยให้เป็นสัตว์จรจัด ฯลฯ และต้องสร้างกรรมใหม่ที่เป็นกุศลกรมล้วน ๆ อยู่ทุกขณะตื่น หากคุณทำได้แล้วในวันข้างหน้ากุศลวิบากกลับมาให้คุณได้พบแน่นอน

   ถามไปว่ามีกรรมมากไหม ต้องเข้าใจคำว่า “ กรรม ” คือการกระทำมนุษย์รวมถึงสัตว์ทำกรรมด้วยการคิด พูด ทำ คือเป็นมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ดังนั้นทุกคนที่ยังต้องเวียนตาย เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารต่างล้วนมีกรรมมากันทุกคน เพราะภพชาติหาสิ้นสุดมิได้ มีกรรมมากจนไม่อาจประมวลออกมาเป็นจำนวนได้ ด้วยเหตุนี้คนฉลาดเขาไม่เอาใจไปจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ผ่านไปแล้วซึ่งแก้ไขไม่ได้ แต่เขาทำกรรมปัจจุบันให้ดีด้วยการทำตัวเองให้มีบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) เลือกทำในเรื่องที่ทำได้ โดยเฉพาะจิตตภาวนาเป็นบุญใหญ่ไม่ต้องใช้เงิน ทำบุญแล้วต้องอุทิศผลบุญให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดหนี้เวรกรรม ตราบใดที่กุศลกรรมใหม่ให้ผลเป็นกุศลวิบากคุณก็จะเสวยแต่ความสุขความสบาย


 

332.
October 24, 2006 9:12 AM

กราบท่านอ.สนอง วรอุไร

ผมเป็นพวกรักเพศเดียวกันครับ(เกย์)อยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
1. ผมทำกรรมอะไรมาครับจึงส่งผลให้เกิดมาเป็นพวกรักเพศเดียวกันในชาตินี้

คำตอบ
    อกุศลกรรมจากอดีต เคยประพฤติละเมิดศีลข้อสาม

2. ในชาตินี้ผมจะดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อไม่ให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นพวกรักเพศ เดียวกันอีก

คำตอบ
    รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ตลอดชีวิตสิคุณ ไม่เห็นจะยากเลย

3. แล้วในชาตินี้ถ้าผมเพียรพยายามปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้วจะสามารถหวังมรรค ผลนิพพานได้หรือไม่
(มีอาจารย์บางท่านกล่าวว่าพวกที่เป็นอย่างผมปฏิบัติธรรมอย่างมากก็ได้แค่ สวรรค์)

คำตอบ
    ในชาติปัจจุบัน แม้จะพยายามปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างไร ก็ไม่อาจเข้าถึงกระแสแห่งมรรคผล นิพพานได้ เหตุเพราะยังต้องรับอกุศลวิบากอยู่ แต่ยังมีสิทธิ์เป็นสมาชิกของชาวสวรรค์ได้ หากคุณไม่ท้อถอยในการให้ทานและรักษาศีล 5 เนืองนิตย์ตลอดชีวิต เมื่อทิ้งขันธ์ลาโลกแล้วสิทธิในสวรรค์ยังเปิดรับรอคุณอยู่

331.
October 21, 2006 5:28 PM

กราบเรียนถามอาจารย์ค่ะ
    ดิฉันอยากทราบว่าหากการที่เราครองเรือนแล้วไปกันไม่ถึงฝั่งอยู่ด้วยกันไม่ถึง10ปี เค้าเรียกว่าคู่ชั่วคราวแล้วจำเป็นไหมค่ะว่าคนๆนี้จะไม่สามารถเจอคู่ถาวรหรือคู่แท้ในภพชาตินี้ได้อีกแล้ว หากยังไม่ได้แก้กรรมที่จะหลุดพ้นจากการมีบ่วงกรรมเรื่องคู่ ที่อาจารย์แนะนำให้ปฎิบัติธรรมนั่งสมาธิตลอดชีวิต ซึ่งดิฉันเข้าใจว่าหากถ้าเรารู้ตัวว่าเราเจอคู่ชั่วคราวแล้วแสดงว่าเรามีกรรมเรื่องคู่หากฝืนมีใหม่เข้ามาเราก็จะเจอแต่ปัญหาเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าใช่ไหมคะ กราบเรียนอาจารย์ช่วยตอบให้ละเอียดด้วยค่ะเพราะตอนนี้รู้สึกไม่มั่นใจตัวเองในกรณีที่เรามีคนใหม่เข้ามาให้ศึกษาแต่เรากลัวจะเป็นเหมือนคู่เก่าที่ผ่านมา ทำให้ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรถ้าเรารู้ว่าเราจะมีแต่ปัญหาเดิมๆจะได้ตัดออกไปจากชีวิตเลยเรื่องคู่นี้ค่ะ

รบกวนอาจารย์ด้วยค่ะขอบุญกุศลในการตอบคำถามให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรงนะคะ

คำตอบ
    การเกิดเป็นทุกข์ การแก่เป็นทุกข์ การตายเป็นทุกข์ นอกจากนี้เมื่อเกิดมาแล้วยังมีทุกข์จะทุกข์ที่มาเยี่ยมเยือนชีวิตเป็นครั้งคราว เช่น การเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหนัก ปวดเบา ความสมหวังสมปรารถนาความผิดหวังไม่ได้ดั่งใจปรารถนา ความพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก ฯลฯ คุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ยังไม่เบื่อที่จะมีความทุกข์ คิดแต่จะหาทุกข์จรมาเพิ่มให้กับชีวิตตนเอง ด้วยการมีความเห็นผิด จึงคิดผิด คิดถึงแต่เรื่องที่จะมีคู่ครอง แม้จะได้คู่ดีอย่างไร้ในที่สุดก็ต้องตายพลัดพรากจากกันไปทำให้ต้องเสียใจเป็นทุกข์อีกแน่นอน

   เว็บไซด์นี่ชี้ทางสว่างในทางปัญญา ใช้ส่องนำทางให้กับชีวิตดำเนินไปอย่างสะดวก ราบรื่นและมีความสันติสุข นอกจากความทุกข์จะลดลงแล้ว ยังได้ชี้ให้เห็นทางชีวิตที่เดินออกห่างจากความทุกข์มิได้แนะนำให้แสวงหาทุกข์มาเพิ่มใส่ตน ผู้ตอบปัญหาได้เคยชี้ทางถูกตามธรรมให้คุณเห็นแล้ว หากคุณไม่ศรัทธา ไม่จำเป็นต้องทำตาม เพราะชีวิตเป็นของคุณ คุณต้องบริหารจัดการและเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง ว่าจะนำพาชีวิตให้ออกห่างไปจากความทุกข์ หรือบ่ายหน้าเข้าหาความทุกข์ นั้นเป็นสิทธิของคุณเลือกเองนะครับ


 

330.
October 15, 2006 8:27 AM

กราบขอบพระคุณครูอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไรที่เคารพค่ะ
กราบเรียน อาจารย์ ดร. สนอง ที่เคารพ

   ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม เมื่อวันที่ 6-12 ตุลาคมที่ผ่านมาค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ปฏิบัติได้ดีที่สุดจากทั้งหมดที่ได้เคยไปมาเลยค่ะ ต้องขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างมาก เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ได้ฟังอาจารย์สอน และเปิดฟังหลาย ๆ รอบทำให้คำสอนนั้นก้องอยู่ในหูเกือบตลอดเวลาและนำมาใช้ตอนอยู๋ที่วัด ทั้งตอนขณะปฏิบัติธรรมหรืออิริยาบถอื่น ๆ นอกขณะปฎิบัติธรรม รู้สึกว่าได้ผลดีมาก เช่น พยายามไม่พูดกับใคร เวลาเดินก็ไม่ดูโน่นนี่ แต่ดูที่ระยะที่เราจะก้าวไปเท่านั้นและกำหนด ซ้าย ขวา ขณะเดิน เวลารับประทานอาหาร อาบน้ำก็พยายามกำหนด ทำให้มีสติมากกว่าเดิม ใจนิ่งขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น ตอนนั่งปฏิบัติรู้สึกกำหนดรู้ยุบหนอ พองหนอ ได้ดีกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรเพราะเวลาเกิดทุกขเวทนาตอนปวดขา ก็กำหนดไม่ได้แล้ว

   ทุกครั้งหลังจากการปฏิบัติธรรม ได้อุทิศบุญกุศลที่ทำให้อาจารย์ด้วยทุกครั้งค่ะ

   กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่ได้เพียรพยายามสอนธรรมะของพระพุทธเจ้า และได้มีโอกาสฟังธรรมจากอาจารย์และนับวันก็ยิ่งเข้าใจในคำสอนของอาจารย์มากขึ้น โดยการปฏิบัติให้มากขึ้น ก็จะเห็นว่าสิ่งที่อาจารย์สอนนั้นเป็นจริงทุกประการ รู้สึกตื้นตันและซาบซึ้งในคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ มากค่ะ จะขอพยายามปฏิบัติเช่นนี้ต่อไปค่ะ

คำตอบ
    การปฏิบัติธรรมของคุณเดินมาถูกทางแล้ว ให้รักษาความเพียรในการปฏิบัตินี้ต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อกลับจากวัดแล้ว ต้องนำไปทำต่อที่บ้าน ต้องทำในทุกโอกาสที่เปิดใหคุณปฏิบัติได้ คำว่า “ ทุกโอกาสที่เปิดให้ ” หมายถึงทุกโอกาสที่ปลอดจากงานของสังคม ของครอบครัวที่คุณต้องรับผิดชอบเมื่อไรมีเวลาเป็นของตัวเองอย่างแท้จริงแล้วค่อยปฏิบัติ เช่นเวลาก่อนเข้านอน เวลาหลังจากที่ตื่นนอน นั่นแหละเป็นเวลาส่วนตัว เป็นเวลาของตัวเองอย่างแท้จริง ที่คุณสามารถเอามาพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองได้

   ส่วนเรื่องทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นกับแข้งขานั้น ไม่ต้องไปพะวงถึงให้มากนักถ้าปวดแข้งขาจนทนไม่ไหว ให้เปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งภาวนา ไปเป็นเดินจงกรมจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ดีกว่า เมื่อใดที่สมาธิในขณะเดินจงกรมเริ่มถดถอยให้เปลี่ยนไปเป็นอิริยาบถนั่งภาวนา สลับกันอย่างนี้เรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อใดจิตมีกำลังของสมาธิกล้าแข็งแล้ว เมื่อนั้นแหละจึงใช้จิตพิจารณาอาการปวดที่แข้งขาได้แล้ว จิตจะมีกำลังผลักดันตัวเองให้เป็นอิสระจากทุกขเวทนาได้จริงแท้แน่นอน จงเชื่อแล้วทำตามผู้ผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน แล้วคุณจะเห็นแจ้งด้วยตัวเองในสติปัฎฐานตัวที่สอง (กาย เวทนา จิต ธรรม) ตามที่พระพุทธตรัสไว้


 

329.
October 12, 2006 1:03 AM

กราบเรียนอาจารย์สนอง ผมมีคำถามจะรบกวนถามอาจารย์ดังนี้ครับ

1. ภาวนามยปัญญานั้น สามารถนำมาช่วยในเรื่อง การเรียน การค้นคว้า การวิจัย ให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีได้ไหมครับ นอกจาก ปัญญา 2 ตัวแรก. .

คำตอบ
    สามารถนำภาวนามยปัญญา มาช่วยในเรื่องการเรียน การค้นคว้าการวิจัยได้ดี เพราะเป็นปัญญาที่สามารถรู้เห็นเข้าใจความจริง (เหตุผล) ในระดับที่เป็นความจริงชั่วคราว (สภาวสัจจะ) และระดับที่เป็นความจริงแท้ (ประมัตถ์สัจจะ)ได้ ปัญหามีอยู่ว่าในการวิเคราะห์วิจารณ์และสรุปผลการวิจัย เพื่อเสนอต่อนักวิชาการทางโลกในปัจจุบันต้องใช้ปัญญาไอคิว (สุตมยปัญญา
และจินตามยปัญญา) อธิบายเหตุผลที่เป็นความจริงชั่วคราว นักวิชาการผู้มีปัญญาไอคิวจึงจะรู้เห็นเข้าใจเหตุผลที่คุณได้แสดงให้ดูและยอมรับได้

2. ธรรมข้อใดที่คนที่ทำงานด้านวิชาการ นักค้นคว้า นักวิจัย ควรมีไว้เพื่อให้เป็นแรงเสริมความพยายาม ไม่ท้อถอยในความยากลำบากของงานด้านนี้ครับ. .

คำตอบ
    อิทธิบาท4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) ยังไงล่ะ นักวิชาการผู้ใดมีใจรักในงานที่ทำ มีความพากเพียรในงานที่ทำ มีใจจดจ่ออยู่กับงานที่ทำและใช้ปัญญาไต่สวนในงานที่ทำ หากทำได้ครบทั้ง 4 อย่างนี้แล้ว รับรองว่าทำงานได้สำเร็จทุกเรื่อง เพราะอิทธิบาท 4 นี้เป็นหัวใจแห่งความสำเร็จในกิจทั้งปวง

   ความสำเร็จมี 2 ด้านคือ สำเร็จดีและสำเร็จแต่ไม่ดี หากผู้ถามต้องการให้งานที่ทำสำเร็จแล้วดี ต้อง update ความรู้ในสาขาของงานที่ทำให้มีความรู้ทันสมัยอยู่เสมอ นั่นคือต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะความจริงทางโลกล้าสมัยได้ง่าย

3. เมื่อเราทำงานไม่ว่าจะเป็นด้านใด ถ้าทำไม่สำเร็จ แต่ทำด้วยความพยายามแล้ว เราควรจะพิจารณาตนเอง ไปอย่างไรครับ ถึงจะเป็นการคิดที่ถูกต้องครับ ..

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ . .

คำตอบ
    คนที่ทำงานแล้วไม่ประสบความสำเร็จ เพราะองค์ประกอบของคุณธรรมทั้งสี่ยังมีไม่ครบ มีเพียงความพยายาม (วิริยะ) เพียงอย่างเดียวแต่คุณธรรมที่เหลืออีกสามอย่างยังด้อยคุณภาพ จึงต้องไปพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในคุณธรรมทั้งสามขึ้นมามีคุณภาพทัดเทียมกับความเพียรที่คุณมีอยู่ก่อนแล้ว นั่นแหละความสำเร็จในงานที่ทำจึงจะเกิดขึ้นได้
 

328.
October 10, 2006 11:42 PM

อ.สนองที่เคารพ

   เนื่องด้วยตอนนี้ดิฉันกำลังจะหย่าขาดจากสามีเนื่องจากเขาไม่เลี้ยงดูดิฉัน แล้วยังไม่รับผิดชอบบุตรกลับไปเลี้ยงดูส่งเสียหญิงอื่น ดิฉันทำใจยอมรับความจริงได้แล้วแต่มีผู้หวังดีแนะนำว่า หากไม่อยากมีปัญหาเรื่องคู่อีกให้บอกกล่าวกับสามีว่าหากชาติที่แล้วเราเคยล่วงเกินหรือทำไม่ดีไว้กับเขา ขอให้อโหสิกรรมต่อกันด้วยโดยแนะนำว่าให้ดิฉันยกมือไหว้สามีเพื่อขออโหสิกรรม หากสามียอมพูดคำว่าอโหสิดิฉันก็จะหลุดพ้นบ่วงกรรมเรื่องคู่เลย

   อยากเรียนถามอาจารย์ว่าเราจำเป็นต้องทำไหมคะ แล้วถ้าทำแล้วจะอโหสิกรรมกันได้จริงไหมเพราะรู้สึกแปลกๆ ตรงที่เขาทำผิดกับเราแท้ๆๆ แต่เรากลับต้องขอให้เขาอภัยให้เรา

รบกวนอาจารย์ช่วยตอบด้วยค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    ตบมือข้างเดียวไม่ดังใช่ไหม ใครเขาจองเวรไว้กับคุณมันเป็นสิทธิ์ของเขา หากคุณไม่ผูกเวรไว้กับใครด้วยการให้อภัยแล้วเวรกรรมจะติดตามมาให้คุณต้องชดใช้ได้อย่างไร

   ถ้าอยากหลุดพ้นบ่วงกรรมเรื่องคู่ชั่วคราว ต้องทำตัวเองให้ไม่มีคู่ชั่วคราว ด้วยการพัฒนาจิตวิญญาณให้เข้าถึงความเป็นฌาน แล้วตายในขณะจิตทรงฌาน ไปเกิดเป็นพรหม จะหลุดพ้นจากการมีคู่ได้ยาวนานตั้งแต่ 1/3-500 มหากัปและถ้าไม่อยากมีคู่อย่างถาวร ต้องพัฒนาจิตวิญญาณให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลอย่างน้อยระดับอนาคามี จะหลุดพ้นจากปัญหาดังกล่าวได้...แน่นอนและตลอดไป


327.
October 09, 2006 12:30 AM

สวัสดีครับอาจารย์สนอง

   ผมมีเรื่องอยากเรียนถามอาจารย์หน่อยครับ คือบางครั้งผมมักจะให้เมล็ดพันธ์กระบองเพชรให้บรรดานักเล่นนักเพาะกระบองเพชรทั้งหลายที่อยากได้ไปเพาะกัน บุญผมคิดว่าได้แน่ๆส่วนหนึ่งเพราะมันเป็นทาน แล้วส่วนบาปเราจะได้หรือเปล่าครับเพราะเขาทั้งหลายอาจมัวเมาลุ่มหลงอยู่กับมัน หรือว่าบาปหรือไม่บาปขึ้นอยู่กับจิตของผู้ให้เท่านั้นว่าสักแต่ให้หรือไม่หรือมีเจตนาอย่างไร รบกวนขอความเห็นอาจารย์หน่อยครับ เพราะเรื่องนี้อาจนำไปประยุกต์กับการให้ของสิ่งอื่นๆที่ทางโลกเห็นว่ามีค่ามีความหมายในทางโลกที่ผู้รับอาจยึดข้องอยู่กับมันครับ ขอบพระคุณครับอาจารย์

กราบขอขมาอาจารย์ด้วยครับ

คำตอบ
  ถามหน่อยเดียวหรือ ถามมากก็ได้นะ การให้เมล็ดพันธุ์กระบองเพชรกับผู้อื่นเพื่อนำไปเพาะปลูกการให้สิ่งดี เป็นทาน เมื่อคุณให้แล้วคุณได้เพื่อนดีไหมล่ะ ถ้าดีก็จงให้ต่อไป คุณเกรงว่าสิ่งที่ให้เขาไปนั้นจะไปทำให้เขามัวเมาลุ่มหลง ลุ่มหลงในทางดียังไม่เสียหายมากเท่ากับลุ่มหลงไปในทางชั่วทางอบายมุข เมื่อคุณได้คนมาเป็นเพื่อนแล้วและไม่อยากให้เขาลุ่มหลง ทำไมไม่ให้ธรรมะเป็นทาน เหมือนกับที่ชมรมกัลยาณธรรมเขาทำให้ดูล่ะ

   ในหนึ่งชีวิตถ้าคุณมีทุกคนเป็นเพื่อน นับว่าคุณโชคดี แต่หากทำให้มีศัตรูเกิดขึ้นแม้เพียงคนเดียว ชีวิตเสียหายนะ

 

326.
October 08, 2006 4:38 PM

เรียน อาจารย์สนองที่เคารพ

   อยากเรียนถามอาจารย์ว่า เวลามีพระสงฆ์มาเรี่ยไรตามบ้าน เอาถังผ้าป่ามาให้ร่วมทำบุญ เราควรจะทำอย่างไรค่ะ เพราะเคยทราบมาว่าพระสงฆ์จริง ๆ จะไม่มาทำแบบนี้ค่ะ กลัวว่าจะเป็นพวกพระปลอมค่ะ

คำตอบ
    ไม่เห็นต้องทำอะไร ให้ความเสื่อมศรัทธาถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต
เพียงแต่กล่าววาจาว่า “ ไม่ศรัทธา – ไม่ทำ ” เรื่องก็จบ

 

325.
October 08, 2006 4:00 AM

เรียนท่านอาจารย์สนอง วรอุไรที่เคารพ

   เนื่องด้วยผมได้พบกับเว็บไซด์ของท่านอาจารย์โดยบังเอิญประมาณปีที่แล้ว และได้ฟังธรรมมะบรรยายของท่านอาจารย์แล้วรู้สึกดีและสบายใจขึ้นมากครับ จากนั้นก็ได้พยายามศึกษาค้นคว้าตามเว็บไซด์ธรรมมะ แหล่งต่างๆและปฏิบัติธรรมต่างๆ เท่าที่พอจะทำได้มาตลอด รู้สึกสบายใจขึ้นมากๆครับ (พยามทำตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 ครับ) อยากจะขอขอบพระคุณท่านอาจารย์มากครับเพราะว่าธรรมมะบรรยายของท่านอาจารย์ ผมฟังซ้ำๆ บ่อยๆ มากครับ ทุกครั้งที่ฟังก็จะพบกับความสุขสงบในใจครับ (และจะค่อนข้างดีใจมากครับ เมื่อเข้าเว็บแล้วได้พบกับหัวข้อใหม่ๆ การบรรยายครั้งใหม่ๆที่เพิ่มเข้ามาครับ)

   ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์และทางชมรมที่ได้สร้างเว็บไซด์นี้ขึ้นครับ
ทำให้ผมและคงอีกหลายๆท่าน ได้พบกับแสงสว่างและความสุขสงบในใจ
และเส้นทางที่ดีงามครับ

   1.และเนื่องจากผมได้แนะนำเว็บไซด์นี้ให้ครอบครัว ญาติ และเพื่อนๆ
หลายท่านให้ลองเข้ามาฟังดู หลายคนก็ชอบมากครับ ผมจึงอยากจะขออนุญาตท่านอาจารย์
นำธรรมมะในเว็บนี้ไปไรท์เป็นซีดีแจกเพื่อนๆและญาติมิตรบางคนได้ไหมครับ

คำตอบ
     เรื่องขออนุญาตนำธรรมะในเว็บไซด์ไปทำสำเนาเป็นซีดีเพื่อแจกเป็นธรรมทาน อนุญาตให้ทำได้ หากอ้างอิงแหล่งที่มาให้ถูกต้อง

   2.อยากสอบถามท่านอาจารย์ว่า เวลาผมนั่งสมาธิ(แบบดูลมหายใจแล้วนึกพุทโธ)
ซักพักจะเริ่มตัวสั่นๆแต่เหมือนจะเลือกได้ครับว่าจะสั่นต่อหรือจะหยุดแต่ถ้าปล่อยให้สั่นแล้วดูเหมือนจะรู้สึกสบายใจดีครับ ผมอยากจะทราบว่าเป็นการสั่นจากเริ่มมีสมาธิบ้าง หรือเป็นเพราะสั่นตามจังหวะการเต้นของหัวใจครับ(แต่ถ้านั่งปกติเฉยๆไม่ได้ตั้งใจทำสมาธิก็ไม่สั่นนะครับ)

และหากมีโอกาส
ผมก็หวังว่าคงจะได้เข้าฟังธรรมมะบรรยายสดๆจากท่านอาจารย์จริงๆซักครั้งครับ

ขอบพระคุณมากครับ
   ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ

คำตอบ
    กล้ามเนื้อหัวใจของสัตว์บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องเต้น (หด-คลาย)อยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่เริ่มเกิดมีหัวใจอยู่ในท้องแม่ คลอดออกมาเป็นทารก เติบใหญ่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่หยุดเต้น ถามว่าคนที่มีสุขภาพดีเป็นปกติที่อยู่รอบตัวคุณและไม่เคยฝึกสมาธิ มีอาการตัวสั่นให้เห็นไหม ถ้าไม่มีก็แสดงว่า “ อาการตัวสั่น ” มิได้เกิดมาจากจังหวะการเต้นของหัวใจ ดังนั้นอาการตัวสั่นต้องมีสาเหตุมาจากจิตใจ ที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิที่ผิดปกติ คือจิตขาดสติปล่อยให้พลังสมาธิส่งผลกระทบร่างกาย เกิดอาการตัวสั่นที่ควบคุมไม่ได้

   ผู้ตอบปัญหาเคยเห็นผู้ใช้พลังสมาธิไปในทางที่ผิด ใช้พลังสมาธิไปปลุกเสก รอยสักยันต์รูปหนุมานหาวเป็นดาวเดือน อยู่บนแผ่นหลังของผู้รับการสักยันต์ เมื่อพลังสมาธิทำงานจะเกิดอาการตัวสั่นที่ควบคุมไม่ได้ เกิดเป็นพฤติกรรมผิดไปจากปกติ วิธีเรียกสติกลับคืนมาต้องใช้ฝ่ามือตบที่หูอย่างแรงเพียงครั้งเดียว สติกลับมาสู่จิตอาการตัวสั่นจะหยุดทันที



324.
October 08, 2006 3:23 AM

กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนองที่นับถือ

   ดิฉันอยากเรียนขอคำแนะนำว่าหากดิฉันต้องมีความจำเป็นที่จะต้องพบปะสนทนากับคนที่มีโมหะจริตโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ (คนคนนั้นเขามีบุญคุณกับดิฉัน เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่เวลาเขาโมโหเขาจะไม่ยอมฟังเหตุผลของใครและเขาชอบที่จะว่าความคิดของเขาถูกต้องไปหมดโดยไม่ยอมฟังเหตุผลของใคร)

   ดิฉันควรจะทำอย่างไรดีคะ ที่ผ่านมาดิฉันพยายามใช้ขันติ ไม่ตอบโต้เขา แต่ก็ยังไม่วายโดนเขาว่ากล่าวโดยที่มันไม่เป็นความจริง ดิฉันไม่สบายใจมากคะ กิเลสความเศร้าหมองเกิดขึ้นเกือบจะทุกครั้งที่เจอเขาแต่ดิฉันก็พยายามเอาธรรมะเข้าข่ม ดิฉันจะหลีกเหลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้อย่างไรคะ เขามีบุญคุณกับดิฉันมาก เพราะเหตุนี้จึงทำให้ดิฉันหวานอมขมกลื่น ความเศร้าหมองเกิดในใจเกือบทุกครั้งที่เจอเขา

กราบขอพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าที่อาจารย์ช่วยกรุณาแนะแนวทางปฏิบัติหนทางแห่งการดับทุกข์ให้

ด้วยความเคารพ
อีกผู้หนึ่งที่ผู้ไฝ่ธรรมะ

คำตอบ
    คำว่า “ โมหจริต ” หมายถึงบุคคลผู้มีลักษณะนิสัยหนักไปในทางโง่เขลา งมงาย เชื่อโดยไม่คำนึงถึงเหตุผล ส่วนอาการโมโหเป็นเรื่องของอารมณ์ที่เร่าร้อนของจิตที่มีโทสจริตคือมีพื้นนิสัยเป็นคนหงุดหงิด โกรธง่ายดังนั้นบุคคลที่อ้างถึงและบอกเล่าไป จึงมีจริตทั้งสองถูกบันทึกไว้เด่นชัดในจิตใจของเขา เมื่อใดที่จิตประเภทนี้ทำงานจึงแสดงออกเป็นพฤติกรรมไม่ดี ดูให้ดีว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสัตว์บุคคลผู้มีจริตเช่นนี้มันเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เราไม่ดีเองที่ไปรับเอาความไม่ดีของคนอื่นมาเป็นความไม่ดีของตัวเอง นี่แหละโมหจริตที่มีอยู่ในตัวคุณทำหน้าที่ถูกตรงตามอกุศลจิตที่มีอยู่ในตัวคุณ

   เรื่องที่จะปิดปากคนอื่นไม่ให้พูดไม่ดี ปิดปากคนอื่นไม่ได้หรอกแต่สามารถปิดหูตัวเองได้ ด้วยการพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็งระลึกได้ทันทุกคำพูดที่ไม่ดีเข้ามากระทบหู และพัฒนาปัญญาเห็นแจ้ง เห็นถูกตรงให้เกิดขึ้น หากปัญญาเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว จะเห็นว่าคำพูดที่ไม่ดีที่ออกจากปากคนอื่นดับไป ( อนัตตา ) ไม่มีตัวตนแท้จริง จิตจะปล่อยวางคำพูด จิตไม่เป็นทาสรองรับคำพูดที่ออกจากปากของใคร ๆ อีกต่อไป จิตเป็นอิสระเบา สบาย ดังนั้นดูตัวเองให้ออก แก้ไขที่ตัวเอง แล้วปัญหาทั้งหลายจะหมดไป ด้วยปัญญาเห็นถูกตามธรรมนั่นเอง


 

323.
October 06, 2006 2:26 PM

กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ที่เคารพ

ดิฉันจะไปทำบุญกับพระที่เข้านิโรธสมาบัติ จึงอยากทราบว่าเราควรทำบุญกับท่านด้วยอะไรจึงจะเหมาะสม และ ถูกกาลเทศะ

ขอให้ท่านอาจารย์โปรดแนะนำด้วยนะคะ

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ล่วงหน้า สำหรับคำตอบ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
จงกลนี

คำตอบ
    การทำบุญกับพระที่เข้านิโรธสมาบัติดังที่ถามไป ผู้ถามคงหมายถึงการบูชาความดีของท่านด้วยการจัดของไปใส่บาตร หากเป็นดังที่กล่าวมานี้สิ่งของที่จะนำไปใส่ลงในบาตร ควรเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคที่ควรแก่สมณวิสัยบริโภคใช้สอยแล้วไม่ทำให้เคลื่อนไปจากธรรมจากวินัยของสงฆ์ เป็นอันว่าใช้ได้ทั้งนั้น อนึ่งในวันที่พระสงฆ์ออกนิโรธสมาบัติ พุทธบริษัทที่มีความศรัทธาเลื่อมใสในการทำบุญในลักษณะนี้มีจำนวนมาก ดังนั้นสิ่งของที่จะนำไปใส่ลงในบาตรขณะที่ท่านออกเดินบิณฑบาต ควรเป็นอาหารแห้ง เป็นเครื่องดื่มที่อายุการเก็บรักษายาวนาน เป็นเครื่องดื่มที่ไม่กระตุ้นประสาท ไม่บำรุงความกำหนัดหรือควรเป็นยารักษาโรค รักษาอาการอาพาธ หรือเครื่องใช้สำหรับพระ ฯลฯ เป็นต้นให้ได้ทั้งนั้น

322.
October 4, 2006 3:52 PM

กราบเรียนท่านอาจารย์สนองค่ะ

ก่อนอื่นขอกราบขอขมาที่ต้องรบกวนท่านอาจารย์อ่านข้อความของดิฉันค่ะ

ดิฉันมีเรื่องอยากสอบถามเกี่ยวกับวิธีการทำบุญค่ะ คุณพ่อคุณแม่ของดิฉันเป็นคนใจบุญ แต่จะเลือกไปพบไปทำบุญกับท่านอาจารย์ที่เป็นพระเกจิ หรือท่านที่ได้รับการรับรองแล้วว่าเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เนื่องจากพ่อกับแม่มีความเห็นว่า เดี๋ยวนี้พระเชื่อที่ไม่ดีก็มีเยอะค่ะ ดิฉันก็เชื่อตามท่านมาตลอด จนพักหลังดิฉันรู้สึกว่าการทำอย่างนั้นทำให้ตนเองมีความคิดคับแคบ ประมาทพระสงฆ์ เวลาเห็นพระก็จะคิดไปในทางว่าดีจริงหรือว่าดีโฆษณาค่ะ

ตอนหลังพยายามคิดใหม่ให้มีใจน้อมเคารพพระทุกรูปทุกท่าน และไม่ไปดิดด่วนตัดสินพระ และพยายามฟังที่ท่านสอน และโน้มเข้ามาในทางว่าพระธรรมคำสั่งสอน เป็นประโยชน์กับผู้ที่ฟังและนำไปปฏิบัติตาม และมามองที่จิตใจของตัวเองเป็นหลักว่าคิดดีหรือคิดไม่ดี รู้สึกว่าทำอย่างนี้แล้วทำให้เราเปิดใจกว้างขึ้นค่ะ เห็นวัดไหนมีเปิดให้ทำบุญ ก็ทำไปโดยไม่สนใจว่าหลวงพ่อที่มารับนั้นจะเป็นอย่างไร มีความเก่งความสามารถอย่างไร แค่ได้ชื่อว่าทำกับสงฆ์ก็ได้บุญแล้ว ส่วนถ้าท่านจะปฏิบัติดีอีก ส่วนนั้นดิฉันถือเป็นกำไร

ทีนี้เลยถูกคุณพ่อคุณแม่ดุว่า ทำบุญกับวัด หรือพระที่ไม่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นอกจากได้บุญไม่เต็มที่แล้วยังได้บาปอีกด้วยค่ะ เลยเกิดความกังขาว่า อย่างนี้สิ่งที่เราทำเรียกว่าทำบุญเป็นหรือว่าเป็นการงมงาย ศรัทธาโดยไม่ยอมมองดูความเป็นจริงคะ

รบกวนท่านอาจารย์ช่วยให้คำวินิจฉัยในกรณีของดิฉันด้วยค่ะ จะได้ยึดไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไป

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ล่วงหน้าค่ะ

คำตอบ
    การทำความดีที่เป็นบ่อเกิดแห่งบุญ ต้องทำความดีตามที่ระบุไว้ในบุญกิริยาวัตถุ 10 คือทำบุญด้วยการให้ ทำบุญด้วยการรักษาศีล ทำบุญด้วยการทำจิตตภาวนา ทำบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม ทำบุญด้วยการขวนขวายรับใช้ ทำบุญด้วยการอุทิศความดีให้ผู้อื่น ทำบุญด้วยการยินดีในความดีของผู้อื่น ทำบุญด้วยการฟังธรรม ทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรม และทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ถูกตรง ในการทำความดีทั้ง 10 อย่างนี้ การทำจิตตภาวนาเป็นการทำความดีที่เปิดโอกาสให้จิตได้รับอานิสงส์แห่งบุญสูงสุด เพราะหากเมื่อใดทำจิตตภาวนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ดวงตาเห็นธรรมนำจิตเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลได้แล้ว จะทำให้ชีวิตปลอดภัยในสังสารวัฏ และสามารถนำพาชีวิตไปสู่วิมุตติสุขได้ในเบื้องสุด

   หากบุญบารมีของผู้ทำความดียังมีไม่มาก ควรเลือกทำความดีกับนาบุญที่ดี ดังที่คุณพ่อคุณแม่แนะนำนั้นถูกต้องแล้ว แต่ผู้ที่มีบุญบารมีมาก เช่นอริยบุคคลหรือมีเมตตาไม่มีประมาณ เช่นโพธิสัตว์ บุคคลดังกล่าวย่อมทำความดีกับสรรพสัตว์ที่อยู่ในทิศทั้ง 10 โดยไม่มีประมาณและไม่เลือกนาบุญ ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้การทำบุญจึงขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของแต่ละบุคคล ว่ามีวิถีชีวิตเป็นแบบพุทธสาวกหรือแบบโพธิสัตว์ หากผู้ทำระลึกว่าทำบุญแล้วเป็นการเพิ่มกิเลสของผู้รับให้มากขึ้น อย่างนี้ไม่สมควรทำ เพราะผู้ทำจะได้ทั้งบุญและบาป แต่ถ้าผู้ทำระลึกว่าทำบุญกับภิกษุใดก็ได้โดยมีเจตนายังพระศาสนาให้คงอยู่ยาวนาน การทำอย่างนี้เป็นบุญ เป็นการทำของผู้มีบุญบารมีมาก หรือเป็นการทำของพระโพธิสัตว์

   ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น การทำบุญจึงขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของแต่ละบุคคลว่าจะนำพาชีวิตไปตามแนวทางพุทธสาวก หรือตามแนวทางโพธิสัตว์ พุทธสาวกที่ยังมีบุญบารมีไม่มาก หากประสงค์จะได้อานิสงส์แห่งบุญมาก จำเป็นต้องเลือกทำกับนาบุญที่ดีเช่นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ส่วนพุทธสาวกที่มีบุญบารมีมากรวมถึงโพธิสัตว์ เขาจะทำบุญกับสรรพสัตว์หรือภิกษุใดก็ได้ โดยมีเจตนายังพระศาสนาให้คงอยู่ยาวนาน ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างมีสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ทำอย่างงมงาย การทำบุญด้วยมีเจตนาดีงามเช่นนี้อานิสงส์ย่อมเกิดขึ้นกับผู้กระทำแน่นอน

   สุดท้ายที่มีสติสัมปชัญญะดีโคจรไปสู่อาวาสไหน มีธรรมสากัจฉากับบุคคลใด เมื่อจิตมีสติระลึกทันผัสสะ มีสัมปชัญญะ (ปัญญา) วิเคราะห์ได้ถูกตรงตามธรรมการโคจรในครั้งนั้น ๆ ธรรมสากัจฉาในครั้งนั้น ๆ ล้วนเป็นครูสอนใจให้ผู้มีสติสัมปชัญญะได้เห็นแจ้งในธรรมของพระพุทธองค์ นี่แหละบุญเกิดขึ้นแล้ว เมื่อใดผู้ถามปัญหาทำได้อย่างนี้...สาธุ ๆ ๆ ๆ


321.
September 30, 2006 11:57 PM

เรียน อาจารย์สนองที่นับถือ

   คุณแม่ติดการพนัน และนำบ้านไปจำนอง ตอนนี้เกือบจะถูกยึดบ้าน คุณแม่ได้ขอให้ดิฉันช่วยกู้เงินค้ำประกันบ้าน ดิฉันคิดจะให้เป็นเงินก้อนแทนการช่วยค้ำประกัน ไม่ทราบว่าดิฉันทำถูกต้องมั้ยค่ะ ที่ผ่านมาตั้งแต่ทำงานมาก็ได้ช่วยเหลือทางบ้านมาตลอดไม่เคยขาด จนกระทั่งตัวเองไม่ค่อยมีเงินเก็บเท่าที่ควร ทั้งที่อายุก็มากขึ้น ขอความกระจ่างอาจารย์ว่าควรจะ ทำยังไง เป็นทางออกที่ดีที่สุดค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

จาก ผู้ใฝ่รู้ธรรมะ

คำตอบ
    การพนันเป็นหนึ่งในอบายมุข 6 ผู้ใดมีจิตตกเป็นทาสของการพนัน แรงกรรมที่เล่นการพนันแต่ละครั้งจะถูกเก็บสั่งสมไว้ในดวงจิต เมื่อใดที่อกุศลกรรมให้ผล จะผลักดันชีวิตไปสู่ความวิบัติทั้งในชาติปัจจุบันและชาติอนาคต

   การให้เงินก้อนแทนการช่วยค้ำประกัน เป็นวิธีการหนึ่งในการตอบแทนบุญคุณที่คุณได้อาศัยท้องท่านมาเกิดในครั้งนี้ ให้ไปเถิดเท่าที่คุณสามารถให้ได้ให้แล้วเปลี่ยนทรัพย์ภายนอก (ทรัพย์กำพร้า) ไปเป็นทรัพย์ภายในที่สามารถนำติดตัวไปได้เมื่อตาย หากคุณให้เงินท่านแล้ว ท่านยังนำเงินไปใช้เล่นการพนัน เท่ากับว่าคุณมีส่วนส่งเสริมผู้มีพระคุณ ให้ทำและสั่งสมบาป คุณต้องรับส่วนแห่งบาปนั้นด้วยในวันข้างหน้า

   ส่วนเรื่องการช่วยค้ำประกันบ้าน ถ้ายังมีการเลือกที่ดีกว่าก็ไม่ควรทำ เพราะตราบใดที่บ้านยังไม่ปลอดจากการประกัน จิตใจของผู้ช่วยค้ำประกัน ระลึกถึงเรื่องนี้ครั้งใดแล้วไม่สบายใจ นั่นแหละบาป อาคันตุกะทุกข์ได้เข้ามาเยือนบ้านใจของผู้ช่วยค้ำประกันแล้ว หากผู้ช่วยค้ำประกันคบหาสมาคบอยู่กับความไม่สบายใจอยู่บ่อย ๆ เมื่อจำเป็นต้องทิ้งขันธ์ลาโลก เป็นการลาโลกที่ขาดทุนชีวิต เพราะโอกาสที่จะไปเกิดเป็นสัตว์ในทุคติภพนี้ได้เป็นได้....นะโยม


320.
September 28, 2006 5:53 PM

เรียน อ.สนอง

   หลังจากที่ดิฉันได้เรียนปรึกษาปัญหากับอาจารย์แล้ว เรื่องเคยขโมยเงินน้องชายตอนเป็นวัยรุ่น(ข้อ315) ดิฉันก็ตัดสินใจไปสารภาพบาปกับน้องชาย ว่าสมัยอยู่เมืองนอกเคยขโมยเงินน้องมาใช้ น้องชายมองหน้าแล้วทำหน้าเบื่อหน่าย แล้วบอกว่ารู้แล้วพูดอยู่ได้ อย่างนี้ถือว่าเป็นการอโหสิกรรมหรือไม่ เพราะดิฉันจะคะยั้นคะยอให้น้องชายพูดคำว่า อโหสิกรรมให้ ก็ไม่ได้ เพราะน้องชายขี้รำคาญ และปากจัดค่ะ

คำตอบ
    การทำกรรมของมนุษย์มี 3 แบบ คือการกระทำทางกาย (กายกรรม) การกระทำทางวาจา (วจีกรรม) และการกระทำทางใจ (มโนกรรม)

   ดังนั้นเมื่อน้องชายทราบเรื่องที่คุณขโมยเงินในครั้งที่ไปอยู่เมืองนอกเมื่อเขารับทราบแล้วไม่ติดใจทวงคืน ก็แสดงว่า ไม่มีโปรแกรมที่คุณเป็นลูกหนี้อยู่ในจิตใจของน้องชาย บัญชีเจ้าหนี้-ลูกหนี้ระหว่างคุณกับน้องชายก็ถูกปิดลง ด้วยเหตุนี้ไปเซ้าชี้เขาบ่อย ๆ เขาจึงรำคาญไงล่ะ ในทางกลับกันน้องชายให้อภัยยกหนี้ให้คุณได้ ถามว่าคุณในฐานะพี่สาว มีอะไรดี ๆ จะให้น้องชายได้บ้างล่ะ
 

319.
September 24, 2006 9:43 AM

เวลาเห็นพระแล้วชอบคิดไม่ดี
    คือว่าเวลาผมเห็นพระแล้วชอบคิดไม่ดี เช่นว่า จะขึ้นไปยืนบนหัวท่าน หรือจะเอาเท้าไปถีบท่านบ้าง หรือคิดจะเรียกท่านว่าไอ้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือพระพุทธรูป พอมองไปแล้วมันจะคิดไม่ดีทันทีเลยมันจะแว๊ปขึ้นมาเลย(มันยังมีคิดไม่ดีอีกเยอะคับ) พอจะมีวิธีแก้ไหมครับช่วยตอบผมหน่อยครับ
   ขอบพระคุณมากครับ

คำตอบ
    เรื่องที่บอกเล่าไปถ้าเป็นจริงก็น่าสงสาร ถ้าไม่เป็นจริงก็น่าสงสาร เพราะความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เป็นเหตุให้ความคิดผิด (มิจฉาสังกัปปะ) ต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น หากภาวะดังกล่าวยังคงมีอยู่ในจิตใจโดยไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไข ความวิบัติในชีวิตนี้และความวิบัติในชีวิตหน้าจะเป็นผลให้คุณต้องได้รับ วิธีแก้ไขมีอยู่ ถ้าปรารถนาให้ปัญหานี้หมดไป ต้องพัฒนาจิตตนเองให้กลับมาสู่ความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) หากทำได้วันใดวันนั้นแหละโปรแกรมจิตที่คิดลบก็จะหมดไป ความคิดถูก (สัมมาสังกัปปะ) จึงจะเกิดขึ้นแล้วชีวิตนี้พร้อมทั้งชีวิตหน้าก็จะปลอดภัย
 

318.
September 22, 2006 12:44 PM

กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ

    ผมได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดแพร่ธรรมาราม ตามที่อาจารย์แนะนำรู้สึกเบาสบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และได้รับการอบรมจากหลวงพ่อบุญมีซึ่งท่านมีเมตตามาก ตอบปัญหาต่างทำให้ผมคลายสงสัยได้หมด เป็นวัดที่เข้าไปปฎิบัติแล้วรู้สึกอบอุ่นมาก ทำให้รู้ว่าแท้จริงมนุษย์ต่างแสวงหาสิ่งไม่มี ได้มาแต่สิ่งไม่มี อยู่กับสิ่งไม่ ผมได้พบหนทางแล้วและจะขอเดินตามทางเส้นนี่ซึ่งเป็นทางสายเอกที่อาจารย์ชี้ทางให้ผม จึงขอบารมีอาจารย์เพื่อเป็นกำลังให้ผมปฎิบัติให้มีความก้าวหน้าต่อไปด้วยเทอญ

คำตอบ
    เมื่อศิษย์ได้พบอาจารย์แล้วเป็นเรื่องที่น่ายินดี เมื่อพบแล้วย่อมถ่ายความดีของอาจารย์มาเป็นความดีของศิษย์ได้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากกว่า และหากศิษย์พัฒนาจิตตนเองจนเป็นอิสระจากกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ (สังโยชน์ ๑๐) ได้ จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด

   เรื่องขอบารมีผู้ตอบปัญหา เพื่อใช้เป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรม การขอนั้นขอได้ แต่ไม่สัมฤทธิ์ผลเหมือนกับที่ทำด้วยตัวเอง ด้วยการให้สิ่งดีงามเป็นทานอยู่เสมอตรวจสอบใจตนเองให้เป็นผู้มีศีลบริบูรณ์อยู่ทุกขณะตื่น เร่งความเพียรในการปฏิบัติธรรมรักษาสัจจะที่น้อมใจมาสู่สิ่งดีงามในธรรมให้คงอยู่ ฯลฯ เหล่านี้เมื่อปฏิบัติได้แล้วสิ่งที่คุณของจะสัมฤทธิ์ผลได้ จริงแท้แน่นอน

317.
September 21, 2006 12:55 PM

กราบเรียนอาจารย์ สนอง

จิตหมอง
   ดิฉันปฏิบัติธรรมมาได้ประมาณ 8 เดือน แต่ไม่ติดต่อกัน บางวันจิตใจปลงตกก็สบายใจ แต่บางวันตื่นเช้ามาจิตใจหดหู่เศร้าหมอง โดยหาสาเหตุไม่เจอ เป็นด้วยเหตุใดคะ

คำตอบ
    เหตุเพราะความประมาทของคุณเอง ที่ไม่พัฒนาจิตใจอย่างต่อเนื่อง ทำให้สติมีกำลังไม่กล้าแข็ง ปล่อยให้กิเลสมามีอำนาจอยู่เหนือใจตื่นเช้าขึ้นมาสิ่งกระทบไม่ดีภายนอก ตีเข้าทางหู เข้าทางตา ฯลฯ แล้วสติรับไม่ทันอารมณ์บูด อารมณ์บ่จอยจึงเกิดขึ้นทำให้จิตใจหดหู่ เศร้าหมอง ถ้าประสงค์จะให้มีอารมณ์ดีอยู่ทุกขณะตื่น ต้องเจริญพลธรรม 5 อยู่เสมอจนจิตใจมีกำลังกล้าแข็ง สามารถต้านทานกิเลสต้านทานมารต่าง ๆ ได้ แล้วเมื่อนั้นแหละ จิตจะเป็นอิสระ สงบและมีความสุข เชื่อเหอะทำได้แล้วดีแน่
  

316.
September 21, 2006 12:50 PM

กลุ้มใจมาก
   คุณแม่โกรธดิฉันมาเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว ท่านทำเหมือนไม่มีดิฉันอยู่ในสายตา ไม่พูด ไม่มอง ไม่กินสิ่งที่ดิฉันซื้อไปให้รับประทาน ไม่ดื่มน้ำที่ดิฉันเทให้ ที่โกรธเพราะดิฉันไปช่วยพี่สาวดูแลลูกๆของพี่สาว คุณแม่จะคอยขัดขวางไม่ให้ดิฉันดูแลลูกๆของพี่สาว แต่จะให้ไปดูแลลูกๆของพี่ชาย ซึ่งปกติดิฉันก็ดูแลให้ แต่พี่สะใภ้ไม่พอใจ เขาต้องการให้แม่ดิฉันเป็นคนดูแล เพราะอยากให้เป็นหลานรักของคุณย่า แล้วจะได้รับมรดกเยอะๆ ช่วงกลางวันดิฉันจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ แต่แม่จะหงุดหงิด ไม่ชอบหน้าลูกสาวเอาซะเลย แม่เคยโกรธลูกสะใภ้ แต่ไม่กล้าว่าเขา หันมาด่าดิฉันประชด คำด่าก็แสนหยาบคาย อี....อกทอง จนดิฉัน ลุแก่โทสะ เถียงแม่กลับไปว่าโกรธใครก็ให้ด่าคนนั้นอย่าด่าประชด แม่ยังบังคับให้ไปดูตัวกับเจ้าพ่ออาบอบนวด(ความคิดของลูกชายสุดที่รักของแม่) ดิฉันจึงแก้ปัญหาโดยการหลบหน้าแม่ คือ เช้า ตามพี่สาวมาส่งหลานที่โรงเรียน กลางวันหลบตามห้าง เย็นรับหลานกลับ แล้วหลบอยู่บนห้อง สอนการบ้านหลาน แต่ทุกเช้า เย็น ดิฉัน จะแวะไปทักทายแม่ บางครั้งยกไหว้ ซึ่งแม่จะหันไปมองทางอื่น แกล้งไม่เห็นและไม่ได้ยิน ก่อนนอนดิฉันจะคุกเข่ากราบขอขมาแม่ทีหน้าห้องนอนแม่ พี่สะใภ้เห็นดิฉันกราบแม่อยู่หน้าห้อง เขาบอกว่าแม่ไม่ให้อภัยหรอก แต่ดิฉันก็หวังว่าสักวันดิฉันกับแม่จะเป็นกัลยาณมิตรกัน
   
   ดิฉันควรทำอย่างไรจึงแก้ปัญหาขัดแย้งระหว่างแม่กับดิฉันได้คะ

คำตอบ
    เรื่องนี้ในฐานเป็นลูกต้องประพฤติจริยธรรมของลูกที่ดีต่อแม่ เช่นจัดดูแลอาหารการกินของท่านให้เรียบร้อย ส่วนท่านจะกินหรือไม่กินก็เป็นเรื่องของท่าน ทำงานบ้านแทนท่าน เช่น ปัดกวาดเช็ดถูบ้านให้เรียบร้อยส่วนท่านจะพอใจหรือไม่ก็เป็นเรื่องของท่าน เมื่อท่านเจ็บไข้ได้ป่วยต้องพาไปหาหมอ ส่วนท่านจะไปหรือไม่ไปก็เป็นเรื่องของท่าน ดำรงวงศ์สกุลให้คงอยู่ทำตนเป็นทายาทที่ดี การประพฤติดีงามเหล่านี้เมื่อคุณได้ทำแล้ว ก็จะถูกเก็บสั่งสมไว้ในใจเป็นคุณธรรม ในทางกลับกันท่านจะแสดงพฤติกรรมเลวร้ายใด ๆกับคุณ ก็เป็นบาปเก็บฝังไว้ในใจของท่านเอง เมื่อใดที่อกุศลกรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ท่านต้องเสวยอกุศลวิบากนั้นด้วยตัวของท่านเอง เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมนั่นเอง
  

315.
September 21, 2006 12:14 PM

เรียน อ.สนอง ที่เคารพ

สงสัย
ดิฉันเคยขโมยเงินน้องชาย เมื่อสมัยเป็นวัยรุ่น และมานึกได้อีกครั้งก็ตอนมาปฏิบัติธรรม จึงพยายามหาทางเอาเงินไปวางคืนน้องชาย แต่หาโอกาสไม่ได้สักที จะบอกน้องตรงๆว่า เคยขโมยเงินมาใช้ก็ไม่กล้า จึงตัดสินใจขอเงินจำนวนนั้นกับน้องชาย โดยบอกว่าเคยขอยืมเงินจำนวนนี้มาแล้วยังไม่ได้คืน ช่วยยกหนี้นี้ให้นะ น้องชายบอกว่าเอาไปเหอะจำไม่ได้แล้ว ถือว่าเป็นการอโหสิกรรมกันได้ไหมคะ

คำตอบ
    “ เคยขโมยเงินสมัยที่เป็นวัยรุ่น ” ถือว่าทุศีลข้อ 2 จิตได้บันทึกอกุศลกายกรรมไว้แล้ว และกลับมาบอกว่า “ เคยขอยืมเงินจำนวนหนี้มาแล้วยังไม่ได้คืน ” ถือว่าละเมิดศีลข้อ 4 จิตได้บันทึกอกุศลวจีกรรมไว้แล้ว รวมแล้วในเรื่องเดียวกัน จิตได้ละเมิดศีลถึงสองครั้ง คุณอ้างเหตุที่ไม่ตรงแล้วขอให้น้องชายยกหนี้กรรมให้ แม้เขาจะบอกว่า “ เอาไปเหอะ ” ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการอโหสิกรรม ถ้าคุณได้บอกเหตุที่ได้ทำแล้วอย่างถูกตรง แล้วเขาบอกว่าเอาไปเหอะ ไม่ต้องมาใช้หนี้ เมื่อนั้นแหละ จึงจะเป็นอโหสิกรรมได้
 

314.
September 18, 2006 1:46 PM


เรียนอ. สนอง

   หนูมีข้อสงสัยดังนี้ค่ะ คือตอนที่หนูนั่งสมาธิอยู่นั้น พอใกล้ๆจะออกจากสมาธิ ก็เลยแผ่เมตตาและพูดอุทิศว่า อานิสงส์ผลบุญทั้งหลายที่ได้ปฏิบัติไป ขอให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว ฯ.. ...พอ ตอนกำลังพูดอุทิศในใจนั้น อยู่ๆก็เกิดอาการขนลุกทั่วทั้งร่างกายเลยค่ะแล้วร่างกายก็จะรู้สึกเย็นๆ เบาๆ แต่ขณะที่รู้สึกอย่างนั้นหนูก็ยังพูดอุทิศผลบุญจนจบนะคะ...
    พอจบแล้วก็กลับมาพิจารณาอาการความรู้สึกที่ยัง เป็นอยู่สักพัก แล้วจึงออกจากสมาธิค่ะ แต่ต้องเรียนอาจารย์ว่า ตอนที่ทำสมาธิอยุ่นั้น จิตหนูก็ไม่สงบเลย นะคะแต่หนูก็พิจารณาว่าจิตมันบังคับไม่ได้ มันเป็นอนัตตาไปเรื่อยๆ ค่ะ (ที่ๆหนูฝึกเค้าให้พิจารณาว่ามันเป็นอนัตตาค่ะ) พอหลังจากออกจากสมาธิแล้ว หนูก็ไม่ง่วงอีกเลย หนูนั่ง เมื่อคืน 3 ทุ่มจนถึง 4 ทุ่มกว่าค่ะ แล้วพยายามนอนเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับค่ะจนถึงเช้าเลยค่ะ แต่เช้านี้มา ทำงานก็ไม่รู้สึกง่วงนะคะ จึงอยากถามอาจารย์ว่า

1. การเกิดอาการขนลุกซู่ไปทั้งร่างเป็นเพราะคนที่เราอุทิศให้เค้าได้รับใช่ไหมคะ เพราะก่อนหน้านี้ 2-3 วันหนูฝันเห็นตากับยายค่ะ พอนั่งสมาธิหนูเลยเรียกชื่อท่าน ให้มารับอานิสงส์ผลบุญที่หนูได้ทำไป

คำตอบ
   
อาการขนลุกซู่ หลังจากอุทิศบุญกุศลให้กับผู้ล่วงลับไปแล้ว เกิดจากอมนุษย์ที่คุณได้อุทิศบุญกุศลให้ เขาจะมาแสดงให้ผู้อุทิศบุญทราบได้หลายวิธี อาการขนลุกซู่เป็นวิธีหนึ่งที่คุณสามารถรับสัมผัสได้ เขาจึงมาแสดงให้คุณได้รับรู้ ส่วนอาการเบา ๆ เย็น ๆ เป็นปีติที่เกิดขึ้นจากการที่คุณได้อุทิศบุญกุศลเหมือนกับอีกหลายท่าน หลังจากได้ทำบุญแล้วรู้สึกเบา สบาย ชุ่มเย็น


2. หรือว่าอาการขนลุกนี้เป็นเพราะจิตหนูยังมีสมาธิไม่พอคะมันเลยกลายเป็นวิปัสสนูกิเลส อาจารย์มีข้อ แนะนำไหมคะ
   ขอขอบพระคุณ อาจารย์มากๆค่ะ

คำตอบ
    ปีติเป็นอารมณ์ของฌานขั้นต้น ในฐานะนักปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งสู่การเกิดของโลกุตรญาณแล้ว ปีติเป็นวิปัสสนูกิเลสที่ต้องหาวิธีกำจัดให้หมดไป ด้วยการตามดูปีติให้เห็นแจ้งชัดว่าเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือในที่สุดปีติจะหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา แล้วโลกุตรญาณจึงจะเกิดขึ้น หรือกล่าวได้ในอีกทางหนึ่งว่าตราบใดที่ปีติยังไม่หมดไปจากใจ ปัญญาเห็นแจ้งถูกตรงตามที่เป็นจริงจะไม่เกิดขึ้นดังนั้นไม่ควรหลงอยู่กับปีติ เพราะปีติเป็นเรื่องของโลก ถ้าประสงค์จะปลดใจให้เป็นอิสระจากโลกต้องพัฒนาใจไม่ให้ตกเป็นทาสของปีติ ของโลกธรรม ของวัตถุ ของบุญกิริยาวัตถุ ฯลฯ และในที่สุดต้องพัฒนาใจให้เป็นอิสระจากสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ได้แล้วเมื่อใด เมื่อนั้นแหละจะได้ไม่ต้องมาเวียนตายเวียนเกิดในโลกไหน ๆ อีกต่อไปไงล่ะ
 

313.
September 15, 2006 8:45 PM

อ.สนองที่เคารพ

    เมื่อ4เดือนที่แล้วหนูได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนโดยบังเอิญและได้คุยโทรศัพท์ติดต่อกันเรื่อยมา โดยที่ยังมิได้พบหน้ากันเป็นการพูดคุยที่เหมือนรู้จักกันมานานเป็นสิบปี เราชอบทำบุญเหมือนกันเวลาเขาไปไหว้พระที่อื่นก็จะโทรมาให้อนุโมทนาบุญทุกครั้ง แล้วหนูก็ทำเหมือนกัน เรานัดกันสวดมนตร์พร้อมกันทุกคืนแล้วโอนเงินทำบุญด้วยกันบ่อยๆมีความรู้สึกที่ดีต่อกันมาก แต่มีปัญหาตรงที่ว่าตอนที่เขายังไม่ทราบเรื่องอายุ เรามีความรู้สึกว่ามันเป็นบุญเก่าที่ทำกันมามั้งเลยทำให้เรารู้สึกดี อายุหนูมากกว่าเขา6ปีเขารับไม่ได้แต่ยังคงอยากให้เราอยู่เหมือนเดิมในฐานะเพื่อน มันเป็นความทุกข์ใจทั้งสองฝ่ายแสดงว่าหนูและเขาอาจเคยทำอะไรไม่ดีมาพร้อมกันใช่ไหมคะ ถึงทำให้ไม่สมหวังในเรื่องของความรักนะคะ และถ้าหากเจอกันแล้วไม่เป็นอย่างที่หวังแสดงว่าเราต้องมีหนี้กรรมติดค้างกันเลยต้องมาใช้กันในรูปแบบนี้ใช่ไหมคะ

  และถ้าเรารู้ว่าวันข้างหน้ามันไม่มีทางเป็นไปได้เราควรเลิกติดต่อกันดีกว่าใช่ไหมคะ ทุกวันนี้เรายังคงติดต่อกันพูดคุยปรึกษาเรื่องงานและมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน แต่ยังไม่ได้เจอกันเกรงว่าหากเจอกันเขาอาจรับเราไม่ได้ เลยคิดจะเลิกติดต่อเพื่อจะได้ไม่มีกรรมต่อกัน หนูคิดอย่างนี้ได้ไหมคะ และที่อยากเรียนถามอาจารย์คือ เราต้องทำกรรมแบบไหนร่วมกันมาถึงได้ต้องมาใช้กรรมที่ทรมานใจแบบนี้คะ ทั้งเขาและหนูรู้สึกทั้งดีและแย่พอๆๆกันที่ทำให้เราได้มารู้จักกันและยังทำใจไม่ได้ทั้งคู่ที่จะเลิกติดต่อกันค่ะ ขออาจารย์ชี้แนะด้วยค่ะขอบคุณค่ะ (หนูลืมบอกไปว่าหนูและเขาต่างกันมากๆๆๆทั้งฐานะความเป็นอยู่และครอบครัว)

คำตอบ
     จากเรื่องที่บอกเล่าไปแล้วทำให้เกิดเป็นความทุกข์ใจ เหตุเกิดเพราะความเห็นผิด ยึดเอาความอยาก (ตัณหา) มาเป็นสมบัติของใจ ทำไมไม่ปรับปรุงแก้ไขให้ใจมีเมตตา แล้วความรักของคุณก็จะเหมือนพ่อแม่รักลูก เหมือนพระโพธิสัตว์รักสัตว์โลก เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นความรักที่ปรารถนาให้คนอื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข รักอย่างนี้ไม่เป็นทุกข์ ตรงกันข้ามถ้าใจขาดความเมตตา มีความเห็นผิด รักด้วยตัณหาเป็นแรงสนับสนุน ผิดหวังเป็นทุกข์แน่นอน ดังนั้นถ้าประสงค์จะแก้ปัญหาที่บอกเล่าให้หมดไป ต้องปรับปรุงแก้ไขที่ตัวเอง ให้มีเมตตาให้มีปัญญาเห็นถูก และให้ตัณหาหมดไปให้ได้แล้วคุณก็จะมีจิตสำนึกที่ถูกต้องดีงาม จะรู้วิธีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นแลมีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข
 

312.
September 15, 2006 4:09 AM

กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่นับถือ

   ก่อนอื่นดิฉันอยากจะขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่ช่วยกรุณาชี้ทางธรรมให้ดิฉันได้พบหนทางแห่งการดับทุกข์ การบรรยายธรรมของท่าน สามารถนำมาปฎิบัติแล้วใช้ได้จริงๆ นับเป็นบุญของดิฉันที่ได้พบกัณลยาณมิตรอย่างท่าน ดิฉันนับถือและศรัทธราท่านมาก ดิฉันอยู่ต่างประเทศ สังคมที่แตกต่างทำให้จิตใจสับสนแต่เดี๋ยวนี้ดิฉันไม่สับสนแล้วคะ เพราะดิฉันได้ธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยชี้นำทางให้ทุกคำสั่งสอนขององค์ท่าน ตามที่อาจารย์ได้กรุณานำมาเผยแผ่ ถูกต้องเป็นจริงทุกประการ หาที่ติไม่ได้ทำให้ดิฉันรู้สึกสงสารผู้ที่เขามีทุกข์และหาทางออกไม่ได้ ดิฉันอยากจะบอกพวกเขาให้เอาธรรมะดับทุกข์แต่ดิฉันไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี กลัวเขาจะว่าดิฉันบ้า หากเขาไม่เชื่อ อาจารย์คะดิฉันได้ฟังคำบรรยายธรรมของท่านเกือบทุกตอน ดิฉันได้นำปฏิบัติตามที่อาจารย์แนะนำมา ได้ผลมากคะ ทำให้ดิฉันเย็นลงมาก ทุกวันนี้หากดิฉันจะต้องตาย ดิฉันก็ไม่กลัวที่จะต้องตกนรก เพราะดิฉันมีความละอายต่อบาปไม่กล้าที่จะทำผิด หากจะทำสิ่งที่ไม่ดี ดิฉันจะนึกถึงคำที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวสอน ตามตัวอย่างที่อาจารย์บรรยายให้ทราบ

   อาจารย์คะ วันที่18 กันยายน ที่จะถึงนี้ เป็นวันครบรอบวันเกิดของดิฉัน(ดิฉันเกิด 18 ก.ย. 2508) ดิฉันขออนุญาตอาจารย์นำซีดีการบรรยายธรรมของอาจารย์ที่ดิฉันได้โลดในเครื่องคอมม์เอาไว้ นำไปอัดก็อปปี้แจกเป็นธรรมทานได้ไหมคะ? และหากอาจารย์ได้อ่านเมลล์ของดิฉัน ดิฉันอยากจะขอความกรุณาอาจารย์ช่วยอวยพรวันเกิดให้ดิฉันด้วยนะคะ ดิฉันนับถืออาจารย์เป็นครูบาอาจารย์ของดิฉันคะ เพราะหากดิฉันจะทำในสิ่งที่ไม่ดี ดิฉันจะนึกถึงท่านทันทีคะ คำบรรยายธรรมของท่านจะก้องอยู่ในหูเลยคะ ว่ามันไม่ดี อย่าทำดังนั้นดิฉันเชื่อว่า คำอวยพรของครูคือสิ่งที่เป็นมงคลคะ(คือพ่อแม่ดิฉันท่านเสียแล้วคะ)

   ดิฉันขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ ที่ช่วยดิฉันให้ได้พบแสงสว่าง จากการบรรยายธรรมของท่าน และได้เข้าถึงคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขออานิสงค์นี้จงช่วยให้ท่านเข้าถึงพระนิพานในชาติปัจจุบันด้วยเทิญ สาธุ

ขอแสดงความเคารพ

วิศินี ฟิกเก้
Wasini Figge
Germany

คำตอบ
    
คุณเป็นอีกคนหนึ่งที่เชื่อและทำตามคำสอนของพระพุทธะ จนกระทั่งธรรมะได้เข้าไปยึดพื้นที่ใจได้สำเร็จ สามารถขับไล่ทุกข์ให้พ้นไปจากใจได้ นี่เป็นความสามารถของเวไนยบุคคลเช่นคุณที่ทำได้..สาธุ จงรักษาธรรมะให้คงอยู่ในใจตลอดไป และพยายามกำจัดสิ่งเศร้าหมองอื่นใด ที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง แล้วความอัศจรรย์ในธรรมของพระพุทธองค์ก็จะเป็นสุดยอกของพรที่คุณจะได้รับเนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิดนี้

    เรื่องที่กลัวคนอื่นจะว่าคุณบ้า นั่นเป็นคำพูดที่ออกจากปากคน มีทั้งพูดดี มีทั้งพูดไม่ดี มันเป็นปากของเขาที่พูดออกมาจากใจที่มีโปรแกรมจิตดีและมีโปรแกรมจิตไม่ดี คุณไม่สามารถไปห้ามใจคนอื่นไม่ให้พูดร้ายได้แต่คุณสามารถปิดหูตัวเอง ไม่ให้รับเอาคำพูดที่เลวร้าย เข้าไปกวนใจของคุณให้ขุ่นมัว ก็สติยังไงล่ะ เจริญให้มาก ๆ แล้วคุณก็จงมีหูเป็นเช่น หูหม้อ หูกระทะนั่นแหละ สบาย ไม่แบกคำพูดที่ออกจากปากคน เป็นอิสระดีนะ

    เรื่องที่จะขยายซีดีเอาไปแจกเป็นธรรมทานนั้นอนุญาต แต่ต้องระมัดระวังไม่นำเอาอัญมณีของพระพุทธไปให้กับคนที่ไม่เห็นคุณค่า จะเป็นธรรมทานที่สูญเปล่าไร้อานิสงส์ เสียเวลาทำความดีให้กับชีวิตของคุณไปโดยเปล่าประโยชน์ นับว่าไม่ฉลาดเลย

    คำอวยพรของครูเป็นสิ่งมงคล เป็นความเชื่อที่ถูกของคุณ ถูกของชาวโลก แต่ไม่ถูกของพระพุทธะ ด้วยเหตุที่ว่าคุณยังเอาใจไปรองรับความเป็นทาสของโลกธรรม ใจยังไม่เป็นอิสระ แล้วจะเป็นมงคลได้อย่างไร ถ้าประสงค์จะทำตัวเองให้เป็นมงคล จงปฏิบัติมงคล 38 ข้อ ที่พระพุทธะตรัสแก่เทวดาในวันที่มาขอความเป็นมงคลที่วัดเชตุวัน เมืองสาวัตถีนั่นแหละ ทำให้มงคลเหล่านั้นมีอยู่ในใจของคุณได้แล้วสรรพมงคลก็จะเกิดกับชีวิตของคุณ จริงแท้แน่นอน ผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง จึงได้แสวงหาความเป็นมงคลเข้ามาบรรจุไว้ในใจ จนปัจจุบันนี้มีแต่ อโสกํ เขมํ เอตมฺมํ คลมุตฺตมํ


 

311.
September 12, 2006 12:33 PM

กราบเรียน อาจารย์ ดร. สนอง

1. ขณะสวดมนต์ เดินจงกรม หรือ นั่งสมาธิ อย่างละครึ่งชั่วโมง จิตจะคิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่นตลอดเวลา จิตไม่นิ่งเลยค่ะ แต่ก็พยายามปฏิบัติให้ครบเวลา ทุกวันก่อนนอน ส่วนตอนเช้าจะสวดมนต์อย่างเดียวค่ะ แต่จิตก็ไม่นิ่งตลอดเวลาเหมือนเดิม หากพยายามปฏิบัติทุกวัน จิตมีโอกาสนิ่งไหมคะ

คำตอบ
   
เมื่อจิตคิดฟุ้งซ่านไปในเรื่องใด ต้องกำหนดว่า “ ฟุ้งหนอ ๆ ๆ ๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจิตจะหยุดคิดฟุ้ง ต้องเชื่อและทำตาม เร่งความเพียรอย่างต่อเนื่องในทุกอิริยาบถที่เป็นปัจจุบัน ปัญหาที่เกิดขึ้นจะหมดไป

   จิตจะมีโอกาสนิ่งไหม ความคาดหวังนี้เป ็นเรื่องของอนาคต เป็นปฏิปทาที่ทำให้ขาดสติ ฉะนั้นดึงจิตมาจดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะ แล้วปัญหาจะถูกแก้ไขได้

2. พยายามรักษาศีลห้า แต่ข้อ มุสาวาทา จะรักษายากมากๆค่ะ เช่นตอนนี้ ตกงานกลัวแม่เป็นห่วง แต่กำลังพยายามหางานใหม่อยู่ ต้องแกล้งออกจากบ้านทุกวันเหมือนไปทำงาน ค่ะ

คำตอบ
    เรื่อง “ ตกงาน ” เป็นเรื่องของความด้อยในศักยภาพของตัวเอง ทำไมไม่พัฒนาตัวเองให้มีศักยภาพสูงกว่าคนอื่นแล้วการตกงานจะไม่เกิดขึ้นกับคุณ

   หากคิดว่าพูดออกไปแล้วจะผิดศีลข้อ 4 ต้องยั้งสติให้ดีก่อนพูดทุกครั้งต้องไม่พูดในสิ่งที่เป็นอกุศลวาจา นั่นแหละคุณจะได้ไม่ละเมิดศีลข้อมุสาวาทยังไงล่ะ


 

310.
September 11, 2006 10:46 AM

กราบเรียน อ.สนอง ที่เคารพ

1. ดิฉันมีปัญหาทะเลาะกับแม่อย่างแรง จึงคอยหลบหน้าแม่ เพราะแม่ยังทำหน้าเมินเฉย และไม่ยอมพูดกับดิฉัน ทำให้ดิฉันรู้สึกอึดอัด และไม่อยากอยู่ใกล้แม่ ทำอย่างไรดีคะ ดิฉันกับแม่จึงจะเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน

คำตอบ
   
การทะเลาะเบาะแว้งเป็นวิถีแห่งเดรัจฉาน ผู้หวังความเจริญในชีวิตควรหลีกเลี่ยงและทำความดีต่อแม่ทุกครั้งที่มีโอกาส ต้องไม่หวังให้ผลแห่งการทำความดีตอบแทนกลับคืนมาดังที่คาดหวังไว้ แล้วคุณจะได้ไม่ผิดหวังยังไงล่ะ

2. พี่ชายและพี่สะใภ้กลัวว่าแม่จะดีกับดิฉัน และจะแบ่งมรดกให้ดิฉัน เพราะพ่อเสียแล้ว จึงคอยยุแม่ว่าอย่าให้อภัยดิฉัน ยิ่งทำให้ดิฉันง้อแม่ยากขึ้น เพราะถึงจะหลบหน้าแม่ แต่ทุกเช้า และทุกเย็นก่อนนอน ดิฉันจะโผล่หน้าไปให้แม่เห็น และทักแม่ตอนเช้า สวัสดีแม่ก่อนนอนทุกวัน แต่แม่ก็ไม่พูดด้วย ดิฉันควรแก้ปัญหาอย่างไรดีคะ
    ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    ใครจะคิดอย่างไรเป็นเรื่องของเขาใครจะพูดอย่างไรเป็นเรื่องของเขา ใครจะทำอย่างไรเป็นเรื่องของเขา ขอเพียงคุณคิดดี พูดดี ทำดีกับแม่ ตั้งทัศนคติให้ถูกว่า “ ทำความดีเพื่อความดี ” นั่นเพียงพอแล้ว สำหรับลูกที่ดี ลูกที่มีความเห็นถูกจะได้ไม่ทุกข์ใจยังไงล่ะ
 

309.
September 06, 2006 12:52 PM

เรียน ดร.สนอง

ดิฉันอยากรักษาจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ แต่ก็มีเรื่องให้วิตก อีกแล้ว ควรทำอย่างไรดีคะ

1. ดิฉันซื้อประกันไว้ 2 ตัว โดยผู้ขายไม่แจ้งเลยว่าจะไม่ได้รับเงินต้นคืนเลย บอกว่าได้กำไร อย่างเดียว พอผ่านไป 1 ปี ดิฉันส่งไม่ไหว ขอยกเลิก ปรากฏว่าดิฉันได้เงินคืนเพียง 6,000 บาท จาก เงินต้น 60,000 บาท ดิฉันจิตหมองเลยค่ะ

คำตอบ
 
   จิตหมองครั้งแรก คือ เกิดความเห็นผิด จึงคิดผิด คิดอยากซื้อ (ตัณหา) ประกันฯ เอาไว้ โดยหวังว่าจะได้สิ่งตอบแทนมากกว่าทุนที่ได้ลงไป จึงทำผิดคือลงทุนไปกับธุรกิจประกันฯ

   จิตหมองครั้งที่ 2 คือได้สิ่งตอบแทนคืนมาไม่คุ้มทุนที่จ่ายไป ผู้รู้กล่าวว่า “ หากไม่อยากได้อะไร ก็จะไม่เสียอะไร ” ผลงานนี้เกิดจากการกระทำของคุณเอง อยู่กับความจริง ยอมรับความจริง ทำใจให้สงบ แล้วพิจารณาดูว่าตอนที่ถือกำเนิดลืมตาดูโลกใบนี้คุณไม่ได้เอาวัตถุใด ๆ ติดตัวมาเลย วัตถุต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ตามมาหลังจากเกิดแล้วทั้งสิ้น หากวาระสุดท้ายมาถึงวัตถุต่าง ๆ ที่คุณเป็นเจ้าของ ต่างเป็นวัตถุกำพร้าเพราะเจ้าของต้องตายจากมันไปทุกคนก็เหมือนคุณ ไม่มีใครเอาวัตถุของโลกไปได้สักราย เมื่อดูให้ถึงที่สุดไม่เห็นคุณได้อะไร ไม่เห็นคุณเสียอะไร มีแต่ประสบการณ์ชีวิตที่ต้องเรียนรู้ ปรับปรุง แก้ไข ชีวิตให้ดีก่อนเดินทางต่อในปรโลก นั่นเป็นสิ่งมีคุณค่าที่สุด

2.ทุกวันนี้แม่ไม่ยอมคุยกับดิฉัน เพราะดิฉันฝืนคำสั่งพี่ชายหนีไปปฏิบัติธรรม ตอนนี้เป็นเวลา 1 เดือนแล้วค่ะ ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ
    ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
   
ไม่เห็นต้องเอาใจตัวเองไปรองรับกิเลสของคนอื่นให้ใจเกิดความเศร้าหมอง พัฒนาจิตวิญญาณตัวเองให้มีศีลธรรมอยู่ในใจ มีความกตัญญูกตเวทีด้วยการประพฤติจริยธรรมของลูกที่ดี ต่อบุพการีผู้ให้กำเนิดรูปนามนั่นแหละดีที่สุด

308.
September 05, 2006 5:37 PM

กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

1. ดิฉันได้เริ่มปฏิบัติกรรมฐานด้วยตนเองมาได้ประมาณเกือบ 1 เดือนแล้วค่ะ โดยใช้คำบริกรรม ยุบหนอ-พองหนอ พอได้ยินเสียง ก็ ยินหนอ ปวด ก็ ปวดหนอ สภาวะที่เกิดขึ้นในช่วงอาทิตย์แรก คือ ปวดที่ขาข้างขวาตั้งแต่หัวเข่าจนถึงข้อเท้า ก็ใช้ปวดหนอไปเรื่อยๆ จนหายไปเอง บางวันรู้สึกว่าไม่มีแขนไม่มีขา ตั้งใจนั่งทุกวัน ช่วงแรกๆ นั่งประมาณ 30 นาที แต่ช่วงอาทิตย์ที่ 3 นี้ได้นั่ง ประมาณ 1 ชั่วโมง อาการที่เกิดขึ้นคือ รู้สึกว่าศีรษะพองโต แล้วเริ่มหมุนไปเรื่อย จนตัวโยกไปทางขวาอย่างแรงแล้วก็โยกกลับมาตั้งตรง โยกไปโยกมา ก็กำหนด โยกหนอ กำหนดอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด จนต้องพยายามบังคับโดยเปลี่ยนคำบริกรรมไปเป็น ยุบหนอ พองหนอ หยุดหนอ รู้หนอ อาการดังกล่าวที่เกิดขึ้นนี้ดิฉันควรปฏิบัติต่อไปอย่างไรคะ เพราะว่าฝึกด้วยตนเอง อยากได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
   
เมื่อรู้สึกว่าตัวโยกต้องกำหนดว่า “ โยกหนอ ๆ ๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่า ความรู้สึกตัวโยกนั้นจะหายไป ในสมัยที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรม มีอาการเช่นนี้แรก ๆ กำหนดเป็นจำนวนหลายร้อยครั้งกว่าอาการดังกล่าวจะหายไป เหตุที่ต้องกำหนดยาวนานเช่นนี้ก็เพราะจิตยังมีกำลงของสติไม่กล้าแข็ง แต่เชื่อในคำสอนของครูบาอาจารย์ จึงได้กำหนด “ โยกหนอ ๆ ๆ ” ไม่เลิกตัวโยกก็ไม่เลิกกำหนด ในที่สุดปัญหาตัวโยกก็หายไปได้จริง เมื่อกำหนดแล้วอาการตัวโยกไม่ยอมหายไป คุณก็คิดว่าวิธีการแก้ปัญหานี้ไม่ได้ผล จึงเลิกกำหนดและบอกว่า กำหนดอย่างไรอาการตัวโยกก็ไม่ยอมหยุด จึงใช้จิตไปบังคับให้กลับมาอยู่ที่อาการพองยุบของผนังหน้าท้อง นี่แหละ...ขออภัยผิดวิธีแล้วครับ

   ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาตัวโยก จะทำได้สำเร็จหรือไม่อยู่ที่ ศรัทธาและความเพียรของคุณเป็นต้นเหตุ ทำไม่ดับเหตุให้ได้ล่ะ

2. การปฏิบัติด้วยตนเองสามารถทำได้ไหมคะ หรือว่าต้องหาสถานที่ปฏิบัติธรรมเพื่อฝึกฝนให้ชำนาญก่อนจึงค่อยฝึกด้วยตนเอง อยากให้อาจารย์แนะนะสถานที่ปฏิบัติธรรมแถวลำลูกกาให้ด้วยค่ะ
      ขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
         ศรวิษฐา

คำตอบ
    การปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองสามารถทำได้หากมีบุญบารมีเก่าสั่งสมมามากพอ และมีกำลังสติสัมปชัญญะกล้าแข็งพอ ที่จะส่องดูใจตัวเองว่าการปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองนั้นต้องไม่เป็นเหตุให้เกิดราคะ ไม่เป็นเหตุทำให้ติดอยู่ในภพ ไม่เป็นเหตุให้เกิดการสั่งสมกิเลส ไม่เป็นเหตุให้เกิดความมักมาก ไม่เป็นเหตุให้ไม่สันโดษ ไม่เป็นเหตุให้คลุกคลีกับหมู่คณะ ไม่เป็นเหตุให้เกิดความเกียจคร้าน และไม่เป็นเหตุให้เลี้ยงดูยาก เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วต้องได้ผลตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวมาทั้ง 8 ข้อนี้นั่นแหละ คุณก็สามารถปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองได้และสามารถบรรลุธรรมได้ในที่สุด

   หากไม่สามารถทำใจให้เข้าถึงเงื่อนไขที่กล่าวมาทั้งหมดได้ต้องแสวงหาครูอาจารย์ช่วยฝึกให้ คุณมีถิ่นพำนักอยู่แถวลำลูกกา ทำไมไม่ลองไปฝึกกับเจ้าอาวาสวัดทับทิมแดงล่ะ วัดนี้อยู่ไม่ห่างไกลจากตลาดไทเท่าใดนัก ความสำเร็จอยู่ที่กำลังของศรัทธา กำลังความเพียรกำลังของสัจจะ และต้องทำตัวให้เหมือนกับถ้วยแล้วที่ว่างเปล่า พร้อมรับคำสอนของครูอาจารย์ให้เต็มที่ และนำมาปฏิบัติตามให้ได้แล้วธรรมะของพระพุทธะก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ที่จะไขว่คว้าเอามาบรรจุไว้ในใจของคุณได้


 

307.
September 04, 2006 7:50 PM

กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ

   ผลการปฎิบัติธรรมของผมที่ได้เคยกราบเรียนท่านอาจารย์สนอง มาแล้ว
ผมเริ่มปล่อยวางกิเลสคือความอยากลง การปฎิบัติธรรมก็ดีขึ้น มีความสุขกับเวลานั่งสมาธิมากครับ พอออกจากสมาธิก็เริ่ม ทำใจให้สะอาดด้วยการพูดจาไพเราะ พูดเบาๆเหมือนเราท่องให้ใจหยุดนิ่ง
แต่สิ่งที่จะเรียนท่านอาจารย์สนอง มีดังนี้ครับ

   ผมไม่ทราบว่าจะแผ่เมตตาตอนไหนดีครับ
เพราะช่วงหลังมานี้ผมปฎิบัติธรรมทุกคืน
พอใจสงบนิ่งร่างกายสบายใจละเอียดดีแล้วก็จะนอนหลับทันที โดยจะนึกถึงพ่อที่เสียแล้ว
ให้ท่านอนุโมทนาบุญกับผลการปฎิบัติธรรมของผมด้วย
ผมไม่เคยแผ่เมตตาให้ใครเลย ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะให้บุญใครนะครับแต่ไม่แน่ใจว่าเค้าจะได้รับ เพราะทุกวันนี้ผมนั่งสมาธิเพราะอยากจะรักษาใจให้สะอาด

   แต่ที่แปลกคือแฟนของผม มักฝันเห็นเปรตมาขอส่วนบุญบ้าง และไม่นานมานี้ก็เป็นหญิงสาวมาขอบุญ
เวลาขอแต่ละทีจะขอเยอะๆเร็วๆ แฟนของผมกลัวมากเลย บอกกับผมว่า
ให้เลิกนั่งก่อนนอนเถอะ เพราะเธอกลัว ผมจึงไปหาที่ปฎิบัติธรรมห้องอื่น
แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบครับ
ขณะนั่งสมาธิมักมีเสียงจากภายนอนเข้ามาเช่นเสียงลากของกับพื้น
เสียงเคาะประตูดังๆ3ครั้ง บางทีก็เหมือนมีคนเดินผ่านตัวบ้าง
ขณะนั่งสมาธิอยู่ใจไม่รู้สึกกลัวเลยครับ แต่ไม่มีสมาธิพอเพราะเสียงดังมาก
พอหลับไปก็ฝันว่ามีเด็กนำเงินมาให้ทำบุญ ผมก็รับไว้พอตื่นมา
ผมก็คิดว่าเราควรไปทำบุญให้เค้าให้หมดเลย จะได้ไม่มากวนเราและครอบครัวอีก

   จึงอยากกราบเรียนอาจารย์สนอง ครับว่า เค้าไม่กลัวคนที่ปฎิบัติธรรมหรือครับ
พี่ชายของผมเค้านั่งสมาธิดีมากเลยครับแต่เพราะไปเห็นดวงกลมๆวิ่งไปมาที่ห้องจึงเลิกนั่งสมาธิเพราะกลัวพอพูดถึงทีไรพี่ชายของผมก็จะขนลุกทุกทีเลยครับ
และหลังจากทำบุญให้เค้าแล้วจะเกิดเหตุแบบนี้อีกหรือไม่ครับ
ผมเกรงว่าเค้าจะไม่พอมาขออีก บุญจากการนั่งสมาธิจะช่วยได้มั้ยครับ
มีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ

กราบขอบพระคุณอาจารย์สนองที่เคารพ
ขอให้ท่านอาจารย์สนองสุขภาพแข็งแรงครับ

คำตอบ
    การแผ่เมตตาสามารถทำได้ทุกครั้งที่นึกได้ ถามว่าคุณมีเมตตาที่จะแผ่ให้คนอื่นหรือไม่ ผู้ใดมีเมตตาเข้ามาสิ่งสถิตอยู่ในใจได้แล้ว ความโกรธ ความหงุดหงิดความรำคาญ ฯลฯ จะปลาสนาการไปจากใจ ทำให้ใจสงบ มีอารมณ์สงบอารมณ์เย็นอยู่เนืองนิตย์ บุคคลผู้มีลักษณะเช่นนี้สามารถแผ่เมตตาไปให้สรรพสัตว์ได้ทุกครั้งที่ใจปรารถนา

   เรื่องเปรต ผี มาขอส่วนบุญ เป็นเพราะแฟนของคุณมีบุญเกิดขึ้นในใจได้แล้วน่ะสิ เขาจึงมาขอ เมื่อมีแล้วทำไมไม่อุทิศให้เขาล่ะจะหวงบุญไว้ทำไม การอุทิศบุญกุศลให้สรรพสัตว์ เป็นการทำบุญวิธีหนึ่ง แฟนคุณไม่อยากได้บุญในส่วนนี้หรือ ยิ่งมีความตระหนี่ บุญยิ่งเข้าหาผู้ตระหนี่ได้ยาก กิเลสหลุดจากใจได้ยาก ปัญหาเรื่องการเห็นเปรต เห็นผี ได้ยินเสียงลากของบนพื้น ก็จะหมดไปเมื่อเขาเหล่านั้นได้บุญจากแฟนของคุณไปแล้วเขาก็จะจากไปไม่มารบกวนแฟนคุณอีก ไม่เห็นต้องกลัวให้เกิดกิเลส (โมหะ) เพิ่ม เอาอย่างผู้ตอบปัญหาสิ โคจรไปในที่ไหน ๆ ก่อนนอนทุกคืนได้อุทิศบุญกุศลให้กับสรรพสัตว์ที่มาทิ้งขันธ์ลงในที่นั้น ๆ ด้วยการกล่าวคำว่า “ ขอให้สรรพสัตว์ที่สิงสถิตอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ จงเป็นสุข จงเป็นสุข จงเป็นสุข ” ผลที่เกิดตามมาคือ นอนหลับสบายดี ไม่มีสิ่งใด ๆ มารบกวนให้ต้องตื่นก่อนเวลา ที่ตั้งจิตกำหนดไว้ทำได้ง่ายแค่ผลที่ได้...สบายสบาย


306.
September 04, 2006 12:16 PM

เรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

อยากทราบว่าคนที่มีอาการทางประสาท จากการเสพยา โดยปัจจุบันเลิกเสพแล้ว และอาการดีขึ้น แต่ยังต้องทานยาควบคุมอยู่ สามารถฝึกกรรมฐานได้มั้ยคะ ตอนนี้สวดมนต์เป็นประจำค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
   
สามารถฝึกกรรมฐานได้ และสามารถเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้ หากมีศรัทธาและเข้าหากัลยาณมิตรในทางธรรม ช่วยชี้แนะแนวทางการฝึกให้ แล้วต้องทำตามให้ได้ ก่อนหน้าที่ผู้ตอบปัญหาจะไปฝึกกรรมฐานกับท่านเจ้าคุณโชดกไม่นาน มีนักเรียนอาชีวะติดยาเสพติด ได้ไปบวชเป็นภิกษุ และฝึกกรรมฐานอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก ขณะเป็นภิกษุยังพกยาเสพติดไว้ตัวตัวเพื่อเอาออกมาใช้เมื่อใจเกิดความอยากเสพยาขึ้นมา ท่านเจ้าคุณโชดกบอกให้เอายาเสพติดที่ซุกซ่อนไว้ออกมาแล้วโยนทิ้งไป บอกว่าวิปัสสนากรรมฐานแก้ปัญหายาเสพติดได้ภิกษุรูปนั้นปฏิบัติกรรมฐานได้ไม่นานจิตเข้าสู่ความสงบ ฤทธิ์ของยาถูกกำจัดออกไปจากร่างกาย และสามารถปลดใจให้เป็นอิสระจากยาเสพติดได้ จนในที่สุดท่านเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้ก่อนผู้ตอบปัญหาเสียอีก

305.
September 04, 2006 10:42 AM

กราบ ท่านอาจารย์สนอง

กระผมได้มีโอกาส download ธรรมะที่อาจารย์สอน
มาอ่านและฟังจาก internet
รู้สึกซาบซึ้งในธรรมะของอาจารย์ที่เข้าใจง่าย

ถึงผมจะไม่เคยมีโอกาสได้พบท่านอาจารย์ตัวจริงแต่หลังจากฟังอ่านธรรมะจากอาจารย์
ผมอยากขอกราบบูชาในคุณธรรมของอาจารย์สนองครับ

อาจารย์ครับผมเคยฟังธรรมะจากอาจารย์เรื่องวิบากกรรม โดยปกติของโลกถ้าเราเกิดความทุกข์เพราะคนอื่นมาเบียดเบียนเรา เราก็ต้องป้องกันตัวเอง และการป้องกันตัวเองบางครั้งก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่พอใจ ในทางธรรมอย่างนี้เป็นการหนีวิบากหรือป่าวครับ หรือว่าทางที่สั้นที่สุด
เราควรจะทนรับวิบากกรรมอันนั้นจนกว่าวิบากจะหมดไปหรือครับ

บางครั้งถ้าเรารู้ว่าผู้ที่ทำความเดือดร้อนให้เราทุกวัน จะทำอีกในวันพรุ่งนี้
สำหรับผมมันยากที่จะให้อภัยมากกว่าการให้อภัยในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
ผมควรจะทำอย่างไรกับคนที่คอยทำความเดือดร้อนให้เราทุกวันดีครับ


ผมขออนุญาตกราบเป็นลูกศิษย์อาจารย์ด้วยคนครับผม
ผมจะพยายามเจริญ ทาน ศีล ภาวนา เพื่อบูชาอาจารย์ครับ

คำตอบ
   
ในทางธรรมถือว่าเป็นการเบี้ยวหนี้กรรม คือไม่ยอมชดใช้หนี้เวรกรรมที่เคยก่อไว้ ไม่เรียกว่าหนี้วิบาก เพราะหากเป็นการหนีวิบากที่ไม่ดีแล้ว ต้องสร้างกุศลกรรมอยู่เสมอให้มีกุศลกรรมเก็บสั่งสมอยู่ในใจให้มากกว่าอกุศลกรรมเมื่อกุศลกรรมมีมากจนถึงขั้นให้ผลเป็นกุศลวิบากแล้ว หนี้เวรกรรมจะตามส่งผลไม่ทัน อย่างนี้จึงจะเรียกวาหนีหนี้หรือหนีอกุศลวิบากได้

   ดังนั้นทางที่สั้นที่สุดคือต้องอยู่กับความจริง ยอมรับความจริงและชดใช้ความจริงที่ได้กระทำไว้ให้หมดไป เมื่ออกุศลวิบากหมดไปคุณก็จะปลอดจากความเดือดร้อน ที่คุณกำลังเสวยวิบากไม่ดีอยู่นั่นแหละ

   อยากสมัครเป็นศิษย์ต้องทำตนให้มีลักษณะคล้ายครู คือพัฒนาจิตใจตัวเองให้เป็นผู้มีเมตตามีความเพียร มีศีล มีสัจจะ มีจาคะ มีปัญญา ฯลฯ ได้เมื่อใด ความเป็นครูเป็นศิษย์ย่อมมีได้เป็นได้

304.
September 03, 2006 1:15 PM

กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

จากคำถามที่ 303 เมื่อวันที่ 29 ส.ค.49 ดิฉันขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงที่ช่วยชี้ทางสว่างในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ดิฉันขอสัญญาว่าจะปฏิบัติเช่นนี้ไปจนกว่าจะตายอย่างที่อาจารย์บอก และขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์ด้วยสักคนนะคะ และขอรบกวนเรียนถามอาจารย์ 2 ข้อ คือ

1. เกี่ยวกับอภิญญาญาณ หรือความรู้ถึงอดีตภพชาติต่างๆ คือดิฉันเคยเกิดเหตุการณ์จิตวูบไปแล้วย้อนไปสู่อดีต โดยในความรู้สึกนั้นเหมือนกับดูภาพวีดีโอ มีการบรรยายให้ฟังว่า "ย้อนไปสู่ปี พ.ศ.2300 มีแหม่มสอนศาสนา" แล้วเหมือนมีคนพาดิฉันเดินไปตามทางในป่าลึกแล้วเข้าไปสู่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งดิฉันก็งงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วแหม่มสอนศาสนาเป็นใคร ใช่ตัวเราหรือเปล่า แล้วอยู่ๆ จิตก็ถอยกลับมาอยู่ในที่เดิม และช่วงเวลาที่เกิดขึ้นนั้นใช้เวลาสั้นนิดเดียวหลังจากนั้นก็ไม่เกิดอีกเลย (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อดิฉันปฏิบัติกรรมฐานได้ประมาณ 2 เดือน) อยากทราบว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเรียกว่าระลึกชาติได้หรือไม่ ( แต่จิตในปัจจุบันนี้ดิฉันไม่นึกอยากรู้ว่าอดีตชาติเป็นอย่างไร ดิฉันคิดว่าการรู้อยู่กับปัจจุบันสำคัญที่สุด เพราะสามารถพาเราสู่อนาคตและภพภูมิที่ดีกว่าได้)

คำตอบ
    เรียกได้ว่าระลึกชาติได้แว็บ ๆ อย่าไปสนใจเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ให้มาเป็นเครื่องบั่นทอนเวลาที่มีคุณค่าในปัจจุบันให้เหลือน้อยลงอีกเลย ความเห็นที่พูดไว้ในวงเล็บนั้นถูกต้องแล้วรักษาความเห็นถูกนี้ไว้ให้คงอยู่ตราบที่เรายังมีร่างกายไว้ให้จิตได้ใช้พัฒนาสติสัมปชัญญะให้ยิ่ง ๆขึ้นไปเถิด มีคุณค่ามากกว่าเป็นไหน ๆ เรื่องที่ไปเห็นอดีตของตัวเองนั้น เป็นเพียงหลักฐานยืนยันให้คุณได้มั่นใจว่าเคยนำพาชีวิตให้เดินอยู่บนเส้นทางสายนี้มาก่อน ชีวิตนี้จึงมาสานต่อได้ง่ายในสิ่งที่ได้เริ่มต้นไว้แล้ว จงเดินหน้าต่อไปตราบหนทางสั้นเข้าจนสุดปลายทางชีวิต ที่คุณไม่ต้องมาเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฎสงสารอีกต่อไป นั่นแหละภารกิจของชีวิตจึงจะจบสิ้น

2. การเห็นเทวดา ภูตผีต่างๆ จะเกิดกับผู้ปฏิบัติกรรมฐานทุกคนหรือไม่ ถ้าเราไม่อยากเห็นจะได้หรือไม่
กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ
     น้ำทิพย์

คำตอบ
   
การเห็นสัตว์ที่มีกายทิพย์ เช่น ผี เทวดา ฯลฯ จะเกิดเฉพาะกับผู้ที่พัฒนาจิตจนเข้าถึงฌานสมาบัติได้เท่านั้นอริยบุคคลที่เป็นสุขวิปัสสกะ เช่น อานาคามีสุขวิปัสสกะ หรืออรหันตสุกขวิปัสสกะ ไม่สามารถพัฒนาจิตจนบรรลุฌานสมาบัติได้ จึงไม่เกิดโลกิยอภิญญา (ทิพพจักขุ) ดังกล่าวได้

   ความคิดที่ไม่อยากเห็นสัตว์ที่มีกายเป็นทิพย์ เป็นความคิดที่เกิดขึ้นจากความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เมื่อใดที่จิตของผู้ทรงฌานทำหน้าที่ตามปกติของเขา เป็นเหตุที่เกิดขึ้นถูกต้องตามธรรมชาติฝ่ายโลกีย์เพียงแต่เราต้องพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งไปแก้ปัญหาในเรื่องของการเห็นให้ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อการเห็นดับไปไม่มีภาพที่เห็นเหลืออยู่ จิตจึงมีความเป็นอิสระจากภาพที่เห็น วิธีแก้ปัญหาอย่างนี้จึงเรียกว่าแก้ปัญหาอย่างผู้มีปัญญาเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) ระดับโลกุตระ

303.
August 29, 2006 9:42 AM

กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

    ดิฉันขอเรียนถามปริศนาธรรม ดังนี้
1. ระหว่างที่นั่งกรรมฐานแล้วเกิดมีพลังบางอย่างในร่างกายวิ่งมารวมกันอยู่ที่ดวงตา แล้วเกิดมีแสงสว่างยิบๆ แล้วเหมือนมีอะไรมาบังคับให้ตาลืมขึ้น เมื่อลืมขึ้นแล้วก็จะเห็นร่างกายตัวเองนั่งอยู่อย่างเด่นชัด ซึ่งเมื่อเกิดครั้งแรกดิฉันคิดว่าสมาธิถอน แต่มาช่วงหลังๆ พอเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ดิฉันก็ลองพิจารณาต่ออีกว่า เห็นหนอๆๆๆ สักพักหนึ่งดวงตาก็เริ่มหลับลงได้แล้วรู้สึกวูบๆนิดหนึ่งจากนั้นก็นิ่งเฉยๆ ดิฉันจึงถอนออกจากสมาธิ อยากทราบว่าสภาวะเช่นนี้เรียกว่าอะไร และควรตามรู้อย่างไรต่อไป

คำตอบ
    เรียกว่านิมิต เป็นภาพที่เข้ามาบั่นทอนพลังสมาธิ มิให้มีกำลังก้าวหน้าขึ้นไป วิธีการกำหนดว่า “ เห็นหนอ ๆ ๆ ๆ ” แล้วภาพนิมิตหายไปนั้นเป็นการแก้ปัญหาถูกทางแล้วไม่ควรตามรู้อะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม เพื่อพัฒนากำลังของสมาธิให้เพิ่มมากขึ้น เมื่อจิตมีกำลังตั้งมั่นอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ ให้ใช้พลังสมาธิไปพิจารณาสติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) ว่าเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) แล้วเมื่อนั้นปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาญาณ) ย่อมเป็นผลเกิดตามมา

2. หลังจากที่ดิฉันฝึกทำสมาธิมาเป็นเวลา 7 เดือน ทุกครั้งที่ล้มตัวลงนอนจิตก็จะวิ่งไปจับที่ท้องพอง-ยุบ ซึ่งดิฉันก็จะกำหนดตามจนกว่าจะหลับทุกคืน อยู่มาคืนหนึ่งระหว่างที่กำหนดอยู่จิตก็วูบไปเห็นมีคนนอนคลุมผ้าขาวเหมือนคนตาย ระหว่างที่สงสัยอยู่ว่าคนที่นอนอยู่ใต้ผ้าขาวเป็นใคร ก็เหมือนมีร่างร่างหนึ่งมาดึงผ้าห่มคลุมดัวดิฉันแล้วบีบแน่นจนไม่มีอากาศหายใจ ระหว่างนั้นจิดก็นึกไปถึงคำบรรยายธรรมของอาจารย์ที่เล่าให้ฟังว่ามีผีมาบีบคอระหว่างนั่งกรรมฐานอยู่ในโบสถ์ ก็ทำให้ไม่กลัวตายแล้วรู้สึกว่าไม่อึดอัดที่ถูกบีบอยู่ สักพักหนึ่งก็ค่อยๆจางหายไป ดิฉันเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งเดี๋ยวนี้เองว่าความจริงเราไม่เคยตายอย่างที่อาจารย์บอก แต่ยังไม่ทันไรก็เหมือนมีร่างเดิมเข้ามาบีบร่างดิฉันอีกคราวนี้บีบแรงมากกว่าเก่าจนรู้สึกว่ามีผ้าขาด แต่จิตก็ไม่เกิดความกลัวแล้วก็กำหนดลมหายใจเข้าออกความอึดอัดก็คลายหายไป จากนั้นดิฉันก็หลับไป พอตื่นเช้าขึ้นมาปรา กฎว่าชุดนอนขาด แสดงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เป็นเรื่องจริงใช่ใหมคะ แล้วดิฉันควรทำอย่างไรต่อไป
    กราบขอบพระคุณอาจารย์ ค่ะ

คำตอบ
   
ปรากฎการณ์ตรงที่เกิดกับคุณ เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่า ความอึดอัดอันเนื่องจากถูกผีบีบร่าง เป็นตามกฎไตรลักษณ์เมื่อความอึดอัดเข้าสู่อนัตตา (ความอึดอัดดับไปไม่มีตัวตน) คุณก็เห็นแจ้งด้วยตัวเองว่า ปรากฎการณ์ผีบีบร่างกายคุณ เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดา เห็นแจ้งดังนี้แล้วความกลัวก็หายไป นี่แหละที่เขาเรียกว่าปัญญาเห็นแจ้ง

   เมื่อตื่นขึ้นตอนเช้าแล้วปรากฏว่าชุดนอนขาด นั่นแหละของจริง เทวปุตมารได้ทำหน้าที่ของเขา เมื่อคุณไม่กลัวด้วยมีจิตเห็นแจ้งในสิ่งที่เกิดขึ้น แสดงว่าการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานบทนี้
“ สอบผ่าน ”

   ขอแนะนำในฐานะผู้มีประสบการณ์ว่า ให้รักษาปฏิปทาเช่นนี้ให้คงอยู่ด้วยการเจริญพละธรรม 5 ให้กล้าแข็งอยู่เสมอจนตาย แล้ววิปัสสนาญาณจะไม่เสื่อม มาตรวัดความก้าวหน้าของวิปัสสนาญาณคือ จิตปล่อยวางผัสสะจิตเป็นอิสระไม่ปรุงแต่งอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้นทั้งดีและไม่ดี มีจิตเข้าสู่อุเบกขารมณ์ นั่นแหละคือมาตรวัดผลการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกต้อง
 

302.
August 28, 2006 14:11 PM

เรียนสอบถามคะ กลุ้มใจมากเลยคะ
กราบเรียนท่านอาจารย์ รบกวนสอบถามดังนี้นะคะ

คือเรื่องผ่านมานานเป็นปีแล้วคะ แต่ว่ายังคาใจอยู่จนทุกวันนี้ เลยต้องส่งมารบกวนสอบถามนะคะ

เรื่องมีอยู่ว่า วันนึงพี่ชายได้พาพระรูปนึงจะมาจำวัดที่บ้าน แต่ที่บ้านจะมีแม่ น้าสาว พี่สะใภ้ หลานสาว 2 คน พี่ชาย และก็ตัวดิฉันเอง จะมีอยู่แค่ 2 ห้อง แม่กับน้าสาวจะนอนอยู่ข้างล่างเพราะแม่เป็นอัมพาตเดินไม่ได้มานาน 20 กว่าปีแล้วคะ ดิฉันก็จะต้องเช็ดตัว ใส่ผ้าอ้อมอะไรต่างๆให้ตรงเตียงแม่เลย ห้องนีงชั้นบนจะเป็นห้องของดิฉัน ส่วนอีกห้องจะเป็นของพี่ชาย พี่สะใภ้และหลานสาว 2 คน พี่ชายจะให้ดิฉันไปนอนอีกห้อง เพื่อที่จะให้ท่านจำวัดห้องของดิฉัน ห้องของดิฉันก็จะเก็บพวกเสื้อผ้าของดิฉันด้วยและจะมีของสำคัญของมีค่าอยู่ด้วย ดิฉันเคยบอกกับพี่ชายแล้วว่าไม่สะดวกและพระสมัยนี้ข่าวก็หนาหูในทางไม่ค่อยดี ที่ดีก็มีเยอะคะ แต่ถ้าไม่รู้จักก็ไม่กล้าไว้ใจอ่ะคะ พี่ชายจะเป็นคนที่เชื่อคนง่ายมากในความคิดของดิฉัน คนที่บ้านก็ไม่สะดวกด้วยมีแต่ผู้หญิงแต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดพี่ชาย

วันนั้นพี่ชายโทรมาบอกแล้วก็วางหูไป พอดิฉันจะโทรกลับไปบอกอีกครั้งว่าอย่าพามาดีกว่า ก็ติดต่อไม่ได้ พี่ชายพามาประมาณ 4 ทุ่มได้ ดิฉันจึงได้เรียนกับท่านไปว่าที่บ้านไม่ค่อยสะดวกมีแต่ผู้หญิง จะให้พี่ชายพาท่านไปจำวัดที่วัดใกล้บ้านแทน ท่านก็ไม่ว่ากระไร แต่พี่ชายก็พูดมาว่ามันดึกแล้ววัดเข้าไม่ได้แล้วประมาณนี้ ท่านก็เลยตัดสินใจกลับวัดของท่าน พี่ชายได้ไปส่งในคืนนั้นเลย ดิฉันพึ่งมาทราบหลังจากพี่ชายกลับมาว่าพระรูปนั้นมาจากต่างจังหวัดและท่านก็ได้กลับในคืนนั้นเลย ดิฉันรู้สึกแย่มากเลย ไม่ทราบว่าท่านอยู่วัดต่างจังหวัด และก็คิดว่าน่าจะไปจำวัดที่วัดใกล้บ้านนั้นได้ น่าจะเป็นการดีกว่าเพราะพี่ชายก็เคยบวชที่วัดนั้นอ่ะคะ รู้สึกบาปเหมือนไม่ให้ที่อาศัยกับพระไงก็ไม่ทราบคะ ^^" แบบนี้บาปหนักมากเลยใช่มั้ยคะ

รบกวนตอบให้หน่อยนะคะ
ขอบคุณมากคะ

คำตอบ
   
การจะให้ภิกษุมาพักที่บ้านที่ไม่มีความพร้อม โดยพักอยู่ร่วมกับฆราวาส เป็นการไม่สมควร ภิกษุที่มีศีลมีธรรมท่านจะไม่พักร่วมชายคาหรอก ที่ท่านจากไปโดยไม่พักที่บ้านฆราวาสนั้นท่านทำถูกต้องแล้ว

 ถ้าคุณเห็นถูกตามนี้ไม่ถือว่าเป็นบาป บาปอยู่ที่คุณมีใจเห็นผิดต่างหาก อุตส่าห์แบกหามบาปไว้นานข้ามปีเชียวเรอะ น่าสงสารใจความเห็นผิดของตัวเองจริงนะ
 

301.
August 28, 2006 12:31 PM

สอบถามเรื่องการแผ่เมตตาหน่อยค่ะ
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

หนูได้เคยไปฝึกปฏิบัติที่วัด และได้กลับมาปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน เป็นเวลาประมาณปีกว่าแล้ว และหนูชอบแผ่เมตตาบ่อย ๆ ตามที่จะนึกได้ ตอนหลังหนูได้รับหนังสือสวดมนต์มหาเมตตาครอบจักรวาล ก็ได้สวดบ้าง แต่ช่วงหลังมีโอกาสได้สวดบ่อยขึ้น ประมาณสัปดาห์ละ 1 วัน ซึ่งสวดมา 3-4 ครั้งแล้ว หนูเกิดความรู้สึกว่ามีคนมาเมตตาหนูมากขึ้น หลายคนถึงขั้นชอบหนู ซึ่งหนูไม่ค่อยสบายใจเลย เพราะบางคนมีครอบครัวแล้ว

หนูจึงขอถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ
1. การสวดแผ่เมตตาบ่อย ๆ จะมีผลให้เราเกิดเมตตาผู้อื่น หรือว่าผู้อื่นมาเมตตาเราคะ

คำตอบ
    เมตตาเกิดขึ้นได้ด้วยการให้อภัยเป็นทานให้อภัยบ่อย ๆ จนกระทั่งโทสะหมดสิ้นไป นั่นแหละเมตตาได้เกิดขึ้นแล้ว ผู้มีเมตตาเป็นผู้สงบเย็น สรรพสัตว์ย่อมเข้าใกล้ด้วยความอบอุ่นใจผู้มีเมตตาอยู่ในใจ สามารถแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ได้ ตรงกันข้ามถ้าเราไปพบคนที่มีเมตตาสั่งสมอยู่ในจิตใจ เขาก็สามารถแผ่เมตตาให้เราได้เช่นกัน

2. จากเหตุการณ์ที่เล่า หนูควรจะปฎิบัติในเรื่องการแผ่เมตตาอย่างไร จึงจะให้ผลถูกต้อง โดยไม่เดือดร้อนเราและผู้อื่นคะ
ขอบพระคุณในความกรุณา
รัตน์

คำตอบ
    ถ้าคุณมีเมตตาจริง ทุกขณะที่ตื่นจิตได้รับสัมผัสกับสัตว์ทั้งหลาย ที่มีกายหยาบและกายละเอียด สามารถแผ่เมตตาให้ได้ทุกครั้งที่คุณปรารถนาจะให้
 

 

 

 

ส่งคำถามถึง ดร. สนอง วรอุไร => question@kanlayanatam.com

สอบถาม ให้คำแนะนำที่ => webmaster@kanlayanatam.com