1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 2401-2450
 
2450.
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ

      หนูมีคำถามอยากขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางการประพฤติปฏิบัติตนดังนี้ค่ะ

  หนูมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงกับพ่อแม่   ขณะที่คุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ หนูก็ได้ล่วงเกินท่านทั้งทางวาจากริยาท่าทาง ก้าวร้าว ขึ้นเสียง โต้เถียง และอารมณ์ร้ายโมโห ทำให้ท่านเสียใจและแค้นใจอย่างมากบางครั้งก็ด้วยคำพูดดูแคลน   ทำด้วยโทสะจริตอันฉุนเฉียว และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นทุกขณะ   ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร   เพราะบางทีเริ่มต้นด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

  ขณะนี้เหลือแต่คุณแม่อายุ เลขเก้าแล้ว เวลาที่ต้องปรนนิบัติดูแล หนูมักเกิดโทสะจริต ทุกคำพูดของท่านหรือการกระทำ   มักทำให้อารมณ์ขุ่นมัว และทะเลาะเบาะแว้ง จนกระทั่งระยะหลังกลายเป็นขึ้นเสียง ข่มขู่  วางอำนาจทุกอย่างเหมือนคนโรคจิต   หนูไม่เข้าใจตัวเอง   ทุกวันนี้รู้สึกเครียดมาก คิดเสมอว่าท่านเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา   เวลาที่ท่านโมโหหนู จะด่าว่าหนูด้วยคำหยาบคาย ซึ่งทำให้หนูเสียสติทุกครั้งไป

    กราบขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยชี้ทางออก  
ซึ่งหนูทราบว่าถ้าอาจารย์บอกให้ไปกราบขอขมาพ่อแม่หนูคงทำไม่ได้  
ซึ่งไม่ทราบว่าทำไม ทั้งที่ใจอยากจะทำ แต่คิดว่าทำไม่ได้  
เหมือนเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ไม่ทราบว่าเพราะอะไร  
มีทางใดที่หนูจะออกจากวังวนวิถีการทำบาปนี้ได้หรือไม่คะ

                                                                                                ดารุณี

คำตอบ
      พฤติกรรมไม่ดี เกิดขึ้นจากเหตุที่จิตขาดสติกำกับ วิธีแก้ปัญหานี้คือ
     ก. ทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น ต้องให้อภัยเป็นทาน แล้วจิตจึงจะมีอารมณ์สงบเย็น ( เมตตา ) และใช้เมตตากำจัดอารมณ์ร้อน ( โทสะ ) ให้ดับไป

     ข. นำตัวเองไปปฏิบัติธรรม จนมีสติและปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้น แล้วใช้สติและปัญญาเห็นแจ้ง พิจารณาขันธ์ ๕ ตามกฎไตรลักษณ์ ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) เมื่อใดที่ขันธ์ทั้งห้า ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) เข้าสู่ความเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ความเห็นแก่ตัว ( อัตตา ) ที่อยู่ภายในขันธ์ ๕ ย่อมดับตามไปด้วย แล้วอารมณ์โทสะจะไม่เกิดทำให้ผู้ดับอัตตาได้ มีอารมณ์สงบและเย็น ( มีเมตตา )

     ดังนั้น จึงแนะนำให้ผู้ถามปัญหาใช้วิธีการในข้อ ข. จะให้ผลที่แน่นอนและยั่งยืนตลอดไป
 

2449.
กราบท่านอาจารย์ที่นับถือยิ่ง

ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่าการที่เอาเนื้อ สัตว์มาไหว้เจ้าที่ เสร็จแล้วนำเนื้อสัตว์นั้นมา
ปรุงเป็นอาหารและตักบาตร ถวายพระตอนเช้านั้น ควรหรือไม่คะ

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
   ชนัญชิดา

คำตอบ
     การไปซื้อเนื้อสัตว์ที่ถูกวางขายในที่สาธารณะ หากผู้ถามปัญหามิได้สั่งให้เขาฆ่าสัตว์เพื่อตน เป็นเนื้อสัตว์ที่เรามิได้เห็นเขาฆ่า และขณะที่ไปซื้อเนื้อสัตว์มิได้สงสัยว่าเขาทำขายเพื่อตน ถือว่าผู้ซื้อมิได้เป็นบาป สามารถซื้อเนื้อสัตว์มาปรุงถวายภิกษุได้

   เรื่องนี้ภิกษุได้ป้องกันตัวเองด้วยการพิจารณาอย่างแยบคาย ( ปฏิสังขาโยฯ ) แล้วจึงฉันบิณฑบาตว่า
     ตนมิได้ฉันเพื่อความเมามัน เกิดพลังทางกาย
     มิได้ฉันเพื่อประดับตกแต่ง
     แต่ฉันเพื่อความตั้งอยู่แห่งกายนี้
     เพื่อยังอัตภาพให้คงอยู่
     เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำบากกาย
     เพื่อความอนุเคราะห์แห่งการประพฤติพรหมจรรย์
       ฯลฯ

    ดังนั้น ก่อนการซื้อเนื้อสัตว์มาปรุงเป็นอาหาร หากได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นไปตามสามประการที่กล่าวถึงข้างต้น จึงไม่ถือว่าผิดบาป
 

2448.
เรียน ท่านอาจารย์สนองค่ะ

หนูอยากออกจากงาน เพื่อไปดูแลคุณแม่ ซึ่งป่วยเป็นอัมพาต เพราะว่า อยากใช้เวลาที่มีอยู่ อยู่กับคุณแม่ให้มากที่สุด แต่พี่สาวบอกไม่อยากให้ออกจากงาน บอกว่า งานสมัยนี้ ไม่ได้หาได้ง่ายๆส่วนแม่เขาจะดูแลเอง ปัญหาคือ หนูไม่มีความสุขในการทำงานเลย และอยากใช้เวลาที่เหลือน้อย ให้อยู่กับแม่ และทำงานแปลเอกสาร เลี้ยงชีพไป หรือ ช่วยงานพี่สาวอีกคน ซึ่งประกอบอาชีพ ธุรกิจส่วนตัว และอยากตั้งใจจะบวชค่ะ หนูอยากให้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นโสดาบัน ในชาตินี้ให้ได้ซื่งอายุหนูก็ 40 จะ 50 แล้วค่ะ ไม่อยากรอนาน กลัวมาปฎิบัติธรรมตอนแก่ สังขาร มันจะไม่ไห้ การปฎิบัติธรรม ของหนูเพื่อ ทำบุญให้เยอะ ช่วยแม่ และเพิ่ม บุญให้กับตัวเอง เงินทองทางบ้านก็ไม่ขาดแคลน แต่พี่สาว บอกอยากให้ทำงานดีกว่า ไม่มีงานทำ อยากให้ทำงานไป พี่สาวไม่เชื่อว่าหนูจะทำงานให้ได้ดีได้ จึงไม่อยากให้ออกจากงานมาทำงานของตัวเอง ส่วนงานดูแลแม่   พีสาวบอกเขาดูแลได้ ซึ่งเขาก็ไม่ไว้ใจในการให้ดูแลแม่   ที่ทำงานก็ไม่ไว้ใจหนู ในการทำงานที่ทำงาน หัวหน้างาน เรียกหนูว่า ปล้ำๆเป๋อๆ

ทุกวันนี้ หนูมีความผิดปกติทางความคิด (เป็นโรคทางจิตค่ะ) พี่สาวบอกว่า หนูไม่มีอะไรประสบผลสำเร็จในชีวิต ก็อยากให้มีเรื่องงานเป็นที่ที่จะประสบผลสำเร็จได้ค่ะ ชีวิตทางโลก หนู่เบื่อมาก แต่บางครั้ง ก็มีความชอบในทางโลกค่ะ ที่อยากจะทำงานแปลเอกสาร

ทุกวันนี้ ทำงานทางด้านบัญชี ไม่เห็นมีคุณค่า ตรงไหน ไม่ happy ค่ะ

1. อาจารย์ว่า หนูออกจากงานสมควร หรือไม่ค่ะ

2. อยากให้อาจรย์ แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรม ในเขตกรุงเทพค่ะ ที่สามารถบวชได้ และสัปปายะ เหมาะกับผู้หญิงค่ะ

เพราะว่าสมัยนี้ ถูกฆ่าตายได้ง่ายๆ ก็มี ถ้าเราคิดจะไปบวช อยู่กับสถานปฎิบัติธรรม นานๆ ทำให้รู้สึก จะทำอะไรก็ลำบากไปหมดสำหรับคนที่อยู่กรุงเทพ คนในยุคนี้ น่ากลัวมากๆ จะไม่ทำงาน ก็กลัวไม่มีจะกิน เงินทอง หาได้ไม่ง่ายๆ

ท้ายนี้ ขอให้อาจารย์ เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทร ตลอดไปค่ะ ขอให้อาจารย์ สุขภาพแข็งแรง ค่ะสิ่งใดล่วงเกิน หรือ ทำให้อาจารย์ไม่สบายทั้งทางกาย และทางใจ กราบขออภัย ท่านอาจารย์มาณ ที่นี้ด้วยค่ะขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ช่วยให้อาจารย์ อายุวรรณะ สุขะ พละ ค่ะ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     ( ๑ ) มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจึงต้องทำงานให้กับสังคม แล้วจึงจะมีชีวิตสะดวกราบรื่น และหากใช้อิทธิบาท ๔ สนับสนุนการทำงาน ความสำเร็จในงานจึงจะเกิดขึ้นด้วยดี แต่เมื่อตายแล้วจำเป็นต้องมีบุญผลักดันจิตวิญญาณไปได้ชีวิตใหม่ที่ดี มนุษย์จึงต้องทำงานภายในคือ พัฒนาจิตตนเองให้มีบุญคุ้มรักษา

     บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ผู้รู้จริงแท้ไม่เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของใครผู้ใด ดังนั้นพึงเลือกดำเนินชีวิตตามที่ชอบเถิด

     ( ๒ ) การปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรม อยู่ที่ผู้ปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ และส่วนน้อยมาจากครูผู้สอนที่ชี้แนะแนวทางให้ ผู้ตอบปัญหาแนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดปทุมวนาราม ใกล้สี่แยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ
  

2447.
เรียนถามคำถามท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพค่ะ

การเริ่มต้นปฏิบัติสมาธิ ดิฉันจะสวดมนต์ประมาณ 40 นาทีแล้ว นั่งสมาธิประมาณ 10-15 นาที ซึ่งก็ได้เพียงความสงบเล็กน้อย แต่บางวันพอลองนั่งประมาณ 30 นาทีก็มีความสงบมากขึ้น และ มีอาการของใบหน้าตึงขึ้นๆ แล้วก็อาการกลับเป็นหน้าปกติ สักพัก ก็ เกิดอาการตึงหน้า สลับไปมา ปฏิบัติคราวใด ก็จะมีอาการแบบนี้ จนดูเหมือนปฏิบัติไม่มีความก้าวหน้า (เมื่อหน้าตึง ดิฉันจะภาวนาว่า ตึงหน้าหนอๆ จนกว่าอาการจะหายไป แต่พอจิตเริ่มสงบ อาการก็กลับมาอีกดิฉันก็ภาวนาอีก ก็สลับไปมาค่ะ) เป็นคำถามนะคะ

1. ระยะเวลาของการปฏิบัติต้องคงที่ หรือมีขั้นต่ำ หรือไม่ เช่น ต้องนั่งครั้งละครึ่งชั่วโมงขึ้นไป ในทุกครั้งของการปฏิบัติ หรือแล้วแต่เราตั้งสัจจะไว้ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเท่ากันทุกครั้ง คะ

2. การดำเนินชีวิตตามปกติ ในรอบแต่ละวันในใจก็ระลึกว่าเราจะรักษาศิล   ช่วงเวลาเหล่านั้นอาจพลาดทำให้ศิลขาด หรือ ศิลไม่บริสุทธิ์   เป็นเหตุทำให้ปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ดิฉันคิดแบบนี้ เกรงว่าจะมีอาการท้อใจว่าปฏิบัติไปก็ไม่ก้าวหน้า ต้องรอให้ศิลตัวเองบริสุทธิ์ตลอดเวลาทุกขณะตื่น ซึ่งพอมีเหตุให้ศิลด่างพร้อย ก็เลยท้อไม่อยากปฏิบัติ ถ้าคิดอย่างนี้ เมื่อไหร่จะปฏิบัติก้าวหน้าได้  

3. สมควรหรือไม่ ถ้าดิฉันจะปฏิบัติสมาธิไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่รู้ว่ายังเป็นผู้มีศิลไม่บริสุทธ์ แต่ก็พยายามรักษาศิลให้ครบไม่ด่างไม่พร้อย พยายามอยู่ค่ะ(ซึ่งคงต้องใช้เวลาปรับตัวเพราะยัง ต้องอยู่ในสังคม มีการทำงานพบปะพูดคุย)คิดว่าดีกว่านั่งรอเวลาเมื่อเรามีศิลบริสุทธิ์จริงๆเมื่อไหร่ค่อยมาปฏิบัติ  

4. บุญกิริยาวัตถุ 10 , ศิลกรรมบท 10 ดิฉันพยายามทำให้มากข้อ ทำเท่าที่มีโอกาสทำได้ในทุกวัน จะมีส่วนช่วยให้ดิฉันปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้าบ้างหรือไม่คะ

5. ดิฉันได้จดบันทึกคำบรรยายของท่านอาจารย์ลงในสมุดบันทึกเพื่ออ่านเอง ดิฉันขออนุญาติท่านอาจารย์ มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ได้ล่วงเกินท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ท่านได้โปรด อโหสิกรรมแก่ดิฉันด้วยนะคะ

และกราบขอประทานอภัยท่านอาจารย์ด้วยนะคะ เพราะบางคำถามอาจดูไม่มีสาระ ค่ะ

กาญจนา

คำตอบ
     ( ๑ ) การปฏิบัติธรรมจำเป็นต้องใช้เวลา ปฏิบัติที่ใช้เวลาปฏิบัติธรรมวันละประมาณ ๒๐ ชั่วโมง มรรคผลของธรรมจึงได้เกิดขึ้นเร็ว

     ( ๒ ) ผู้ใดมีสัจจะรักษาศ๊ลให้มีอยู่กับใจทุกขณะตื่น ย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์ ปฏิบัติธรรมแล้วให้ผลก้าวหน้าได้ง่าย

     ( ๓ ) เวลากลืนกินสรรพสิ่ง ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ฉะนั้น พึงเลือกเอาตามสติปัญญาของตนเองเถิด

     ( ๔ ) ก้าวหน้าได้ แต่ไม่มากเท่ากับผู้ที่ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ และกุศลกรรมบถ ๑๐ ได้ครบบริบูรณ์

     ( ๕ ) อนุญาตและไม่มีโทษใดๆกับผู้ตอบปัญหา
 

2446.
สวัสดีครับอาจารย์
 
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "การให้ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง"
 
ผมอยากสอบถามว่า การให้ทานเป็นทรัพย์ เช่นการบริจาคเงินสร้างวิหาร , บริจาคเงินค่าโลงศพแก่ผู้ไร้ญาติ ชำระหนี้สงฆ์ ฯลฯ

กับการ พิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่าย
 
ทั้งสองอย่างนี้ ได้อานิสงฆ์เหมือนกันไหมครับ
 
ขอบคุณครับ

คำตอบ
     ได้อานิสงส์ไม่เหมือนกัน การพิมพ์หน้งสือธรรมะแจกจ่ายได้อานิสงส์มากกว่า การบริจาคเงินสร้างวิหาร บริจาคเงินซื้อโรงศพให้ผู้ไร้ญาติ การชำระหนี้สงฆ์ ฯลฯ
 

2445.
อยากสอบถามท่านอาจารย์สนองที่เคารพครับ
1. ผมอยากมีทรัพย์สมบัติมากๆ(ไม่ใช่อริยทรัพย์) จะต้องทำทานอย่างไรให้เกิดอานิสงส์ดังกล่าวครับ

2. การเสียสละเวลา แรงกาย ให้เป็นทาน เช่นการช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยสร้าง ซ่อมแซม วัด
เราจะได้อานิสงส์กลับมาในรูปแบบทรัพย์สินเงินทองไหมครับ และถ้าไม่ได้ เราจะได้อะไรครับ

3. ผมฟังธรรมะบรรยายของพระอาจารย์ โชดก ญานสิทธิ์ ท่านกล่าวว่า การนั่งสมาธิ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการทำดีทั้ง ทาน ศีล ภาวนา คือ ทำทานสละความ โลภ โกรธ หลง สละเวลา และมีศีล เช่นไม่พูดโกหก ไม่ไปฆ่าสัตว์ ไม่ผิดศีล 5  อย่างนี้ ถ้าเราฝึกวิปัสสนากรรมฐาน เราจะมีครบบริบูรณ์ ด้วย โภคทรัพย์ มีรูปงาม มีสติปัญญาดี ตามหลักทางศาสนาพุทธ   นั่นแสดงว่า การให้ทานไม่ว่าจะเป็นทานอะไร จะได้อานิสงส์เป็นโภคทรัพย์ ใช่หรือไม่ครับ ถ้าไม่ใช่จะมีอานิสงส์แตกต่างกันอย่างไรครับ

4. ผมได้ฟังธรรมะบรรยายของพระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตถิผโล วัดนาป่าพง กล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าให้เลือกการทำทาน โดยกล่าวเปรียบว่าเหมือนชาวไร่ชาวนา ต้องเลือกที่ดินในการหว่านเมล็ดพันธุ์พืช
ถ้าดินดี พืชก็เจริญงอกงาม ดีกว่าดินที่ไม่ดี ดังนี้   ผมจึงเลือกที่จะทำบุญให้ทานกับชมรมกัลยาณธรรม
เพราะให้ธรรมะเป็นทาน ให้ความรู้ที่ถูกตรงตามธรรม ซึ่งจะทำให้คนที่ได้รับฟัง นำมาประพฤติ
ปฏิบัติ และอาจบอกต่อๆกันไป และหากอยู่ในจิตใจของคนที่ศรัทธาแล้ว จะอยู่สืบต่อๆกันไป   ได้
ตราบลูกหลาน เพราะสามารถสอนต่อๆกันไปได้ ไม่มีวันสูญหาย ไม่เหมือนสร้างสิ่งก่อสร้าง เช่น ศาลา กุฏิสงฆ์ซึ่งอาจชำรุดทรุดโทรม ผมคิดแบบนี้ อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยกรุณาแนะนำความคิดของผมด้วยครับ

5. การเป็นโสดาบันบุคคล จะต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐานแต่เพียงอย่างเดียว ใช่หรือไม่ครับ มีวิธีการอื่นไหมครับ

6. ผมเคยได้ยินคำว่า ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม ผมว่านิพพานใหญ่กว่า เพราะกรรมทำอะไรไม่ได้สำหรับ
ดวงจิตที่เข้านิพพานแล้ว ผมเข้าใจ ผิดหรือถูกครับ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงที่สละเวลาให้ความรู้ครับ

คำตอบ
      ( ๑ ) ผู้ใดอยากมีทรัพย์มากๆ ต้องรักษากาย วาจา ใจ ให้มีศีลอย่างน้อย ๕ ข้อคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่มีอุปการคุณ ขยันทำงานไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม และต้องบริโภคใช้สอยมักน้อย มีสาระกับชีวิต อนึ่ง ผู้มีความเป็นสัพพัญญูได้ตรัสไว้ว่า “มนุษยสมบัตินำความคับแค้นใจมาให้”

     ( ๒ ) มิได้ให้ทรัพย์เป็นทาน ย่อมไม่ใด้ทรัพย์สินเงินทองตอบกลับคืนมาในห้วงเวลาอันใกล้ แต่การให้แรงงานเป็นทาน ย่อมได้เพื่อน และนำพาชีวิตไปสู่ความมั่งมีอริยทรพัย์ในเวลาข้างหน้าที่ยาวไกล

     ( ๓ ) ถูกตามที่ท่านเจ้าคุณโชดกพูด มีอานิสงส์เป็นความมั่งมีทรัพย์สิ่งของที่ใช้สำหรับอุปโภคบริโภคในกาลข้างหน้า

     ( ๔ ) ทำบุญด้วยการให้ทาน สร้างหรือซ่อมแซมวัตถุที่ชำรุด ย่อมได้อานิสงส์เป็นสวรรคสมบัติ แต่การให้ธรรมะเป็นทาน เป็นการให้ที่สูงสุด ย่อมได้อานิสงส์เป็นนิพพานสมบัติ

     ( ๕ ) ในครั้งพุทธกาล อุปติสสะ ได้ฟังธรรมของพระพุทธโคดมจากการกล่างของพระอัสชิ อุปติสสะได้ใช้จิตพิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังโดยแยบคาย ( โยนิโสมนสิการ ) ผลปรากฏว่า จิตของอุปติสสะเข้าถึงสภาวธรรมที่เรียกว่าโสดาบันได้ ส่วนคนที่มาเกิดอยู่ในยุคปัจจุบัน ยังมีจิตไม่นิ่งเป็นสมาธิ แต่มีศรัทธาที่จะพัฒนาจิตตนเอง จึงมีความจำเป็นต้องปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ตามคู่กันไปจึงจะเข้าถึงสภาวธรรมนั้นได้

     ( ๖ ) ผู้ถามปัญหายังเข้าใจไม่ถูกตรง ผู้ที่เข้าถึงสอุปาทิเสสนิพพาน เช่น พระมหาโมคคัลลานะ พาหิยะ ยังต้องรับผลของอกุศลกรรม แต่เมื่อชีวิตของบุคคลทั้งสองดับรูปดับนาม เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว อกุศลวิบากย่อมตามให้ผลไม่ถึง
 

2444.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่นับถือ

กระผมมีข้อสงสัยในการปฏิบัติธรรม อยากขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ดังนี้ครับ 
1. ปัจจุบันผมปฏิบัติธรรมแนวอานาปานสติ ในหนังสือแนะนำว่าให้กำหนดรู้ลมกระทบที่ปลายจมูก แต่ผมแทบไม่รู้สึกถึงลมกระทบจมูกเลยครับ หรือแม้กำหนดที่จุดอื่นก็ตามที หากพยามเพ่งเพื่อให้รู้ถึงลมสัมผัสก็ส่งผลเกิดอาการปวดศรีษะ ไม่ทราบว่าต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างไรครับ

2. แนวปฏิบัติแบบยุบหนอ-พองหนอ สามารถบรรลุถึงฌาน4 ได้หรืือไม่ครับ เพราะบางตำรากล่าวว่า การกำหนดที่หนังหน้าท้องที่เคลื่อนไปมา จิตไม่สามารถเข้าถึงอัปนาสมาธิได้ครับ

3. ผมจะทราบได้อย่างไรครับว่าว่า แนวการปฏิบัติแบบใดที่เหมาะหรือถูกจริตกับผมที่ควรจะมุ่งปฏิบัติ และพากเพียรพยาม  

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ล่วงหน้าในความเมตตามา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

คำตอบ
      ( ๑ ) ผู้ถามปัญหาพึงเลือกบทกรรมฐาน ( กรรมฐาน ๔๐ ) ที่ถูกกับจริตมาเป็นองค์บริกรรม แล้วจิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย ทำไมไม่ทดลองเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งของอรูป ๔ มาเป็นองค์บริกรรม แล้วจิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ เพราะหนึ่งในอรูป ๔ เป็นบทกรรมฐานที่เหมาะกับทุกจริต ( จริต ๖ ) ของมนุษย์ เช่น ใช้จิตจดจ่ออยู่กับอากาศเป็นช่องว่างหาที่สุดมิได้ หรือจดจ่ออยู่กับวิญญาณหาที่สุดมิได้ หรือจดจ่ออยู่กับภาวะที่ไม่มีอะไรเลย หรือจดจ่ออยู่กับภาวะที่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่

     ( ๒ ) ได้ครับ และถูกของผู้เขียนตำรา แต่ไม่ถูกตามหลักกาลามสูตรที่พระพุทธโคดมได้บัญญัติไว้แก่ชาวกาลามะ หนึ่งในสิบข้อนั้นคือ อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ ผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงอภิญญา ๕ และญาณ ๑๖ ได้ ผู้นั้นย่อมเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกาลามสูตรทั้ง ๑๐ ข้อ

     ( ๓ ) ทราบได้ด้วยการทดลองปฏิบัติดูด้วยตัวเอง สมถกรรมฐานบทใดทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ สมถกรรมฐานบทนั้น ถูกกับจริตของผู้ถามปัญหา การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบใด ทำให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ วิปัสสนากรรมฐานแบบนั้นเหมาะกับผู้ถามปัญหา
  

2443.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์นะคะ

เพื่อนชวนทำธุรกิจ โดยสั่งส่วนประกอบของปืนไปขายที่เมืองไทยค่ะ ซึ่งจุดประสงค์จริง ๆ คือเพือการกีฬา แต่หนูมาคิดพิจารณาดูวาจะเข้าข่ายการห้ามค้าอาวุธตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้หรือปล่าวอ่ะค่ะ ไม่แน่ใจ เลยอยากกราบเรียนถามความเห็นของท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไรช่วยแนะนำด้วยนะคะ กลัวจะเป็นบาปค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
      กรรมอยู่ที่เจตนา หากผู้ถามปัญหาจะทำธุรกิจด้านอาวุธ โดยมีเจตนาเพื่อการกีฬา และทำธุรกิจได้ถูกตรงกับเจตนา ไม่ถือว่าเป็นบาปแห่งการทุศีลข้อปาณาติบาต ตรงกันข้าม หากมีเจตนาเพื่อการฆ่า หรือลงมือประกอบธุรกิจเพื่อการฆ่า ถือว่าเป็นการประพฤติทุศีลข้อปาณาติบาต ซึ่งให้ผลเป็นบาป
 

2442.
กราบอาจารย์ดร. สนอง ที่เคารพอย่างสูง

หนูได้ศึกษาและพยายามปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าตามหลักคำสอนที่สำคัญต่าง ๆ
เช่น ในโอวาทปาติโมกข์,  โพธิปักขิยธรรม 37,  กฏไตรลักษณ์,  กฎอนัตตา,
เหตุปัจจัยความเกี่ยวข้องกันของสิ่งต่าง ๆ, กฎแห่งกรรม 
และคอยขัดเกลา  พยายามละกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ของตนเองอย่างสม่ำเสมอ
ควบคุมจิตของตนให้อยู่ในอำนาจไม่ให้ไปในทางเสื่อม ที่จะนำให้เกิดกรรมชั่ว,
คอยสำรวมระวังไม่ให้อกุศลเกิด   และปฏิบัติอีกหลายวิธีการตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ในพระไตรปิฏก
หนูศึกษาโดยการการอ่านพระสูตรในพระไตรปิฏก
 ( แต่ไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งในส่วนของอภิธรรมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นธรรมขั้นสูง
เพราะหนูคิดว่าอ่านจากพระสูตรก็เพียงพอแล้ว )

นอกจากนี้ยังได้ฟังหลวงพ่อหลวงปู่ต่าง ๆ และนำมาพิจารณาก่อนที่จะปักใจเชื่อในคำสอนนั้นทุกครั้ง
ว่าเป็นไปตามหลักที่ตัดสินธรรมวินัยพระพุทะเจ้าสอนหรือไม่  ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

      ดูกรโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า
 ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด  ไม่เป็นไปเพื่อความกำหนัด
 เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้  ไม่เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้
 เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส  ไม่เป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย  ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักมาก
 เป็นไปเพื่อสันโดษ   ไม่เป็นไปเพื่อไม่สันโดษ
 เป็นไปเพื่อความสงัด  ไม่เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร  ไม่เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก
ดูกรโคตมี
ท่านพึงทรงจำไว้โดยส่วนหนึ่งว่า
 นี้เป็นธรรมเป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ฯ

.... และหนูจะเน้นมากในเรื่องการที่จะไม่ทำตนเบียดเบียนผู้อื่น
และเรื่องสัมมัปปธาน ๔  เหมือนที่อาจารย์ดร. สนองก็ชอบเน้นย้ำเสมอ
 ( เพียรระงับการกระทำอกุศล ไม่ให้เกิดขึ้น,   เพียรละเลิกอกุศลที่กำลังกระทำอยู่, 
เพียรรักษา กุศลธรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว,   เพียรฝึกฝนบำรุงกุศลธรรม ให้เจริญยิ่งขึ้น )
การสร้างอกุศลกรรมนั้นหนูพยามจะไม่ทำเลย  และหากการทำกุศลหรือสิ่งที่เป็นประโยชน์บางอย่าง
ที่อาจมีส่วนที่จะทำให้เกิดการเบียดเบียนแก่ผู้อื่นหนูก็จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำ
เพราะเชื่อเสมอว่า เมื่อการเบียดเบียนยังมีอยู่ก็จะเกิดกรรมต่อกันทันที ทำให้เกิดวัฏฏะหมุนวนไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบสิ้น
แล้วหนูก็ได้พยายามขัดเกลาตัวเองอยู่เสมอโดยใช้หลักสัมมัปปธาน ๔
และฝึกละความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ  อันจะเป็นเหตุให้เกิดภพชาติอยู่เสมอ 
ปฎิบัติตนไปตามลำดับขั้นโดยมีเป้าหมายคือความจนหลุดพ้นไปจากอาสวกิเลสทั้งปวง

###    แต่เมื่อไม่นานมานี้หนูมีโอกาสได้อ่านหนังสือธรรมะเล่มหนึ่งที่วางจำหน่ายในร้านหนังสือ
ซึ่งเขียนโดยพระสงฆ์รูปหนึ่ง พระสงฆ์รูปนั้นได้เขียนไว้ในหนังสือว่า
ความจริงแล้ว เราถูกมารหลอกให้ไปฆ่ามาร  ฆ่ากิเลส  เราโดนมารดลใจแล้ว
ดังนั้นการที่จะพ้นจากอำนาจของมาร  พ้นไปจากอำนาจของกิเลส
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปฆ่ามาร จะต้องไปฆ่ากิเลส
และการที่เราไปตั้งหน้าตาจะไปดับทุกข์  เราก็ได้ตกไปอยู่ในกระแสแห่งความดับทุกข์เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นเราไม่มีหน้าที่จะไปกำจัดกิเลส  เราไม่ต้องเพียรทำอะไรกับจิต แค่ให้รู้ว่าจิตทำอะไรอยู่ที่ไหน
ตอนที่เราถูกหลอกให้ไปฆ่ามาร  ตอนนี้แหละเราคือมารมาดลใจ

และยังบอกอีกว่า แท้จริงแล้วนักปฎิบัติธรรมส่วนใหญ่มักจะ "ทำธรรม"
เพราะถ้ายังรับหรือปฎิเสธ คือยินดีก็ติดใจ ยินร้ายก็ผลักไสอยู่
 แบบนั้นเรียกว่าเป็นการ " ทำธรรม"  ซึ่งไม่ใช่ทางสายกลางตามอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน

ในหนังสือยังได้อธิบายไปต่ออีกว่า
การตั้งใจไปดับกิเลสไปกำจัดกิเลสเป็นวิธีการที่ไม่บริสุทธิ์
การหลบหลีกเลี่ยงไม่กล้าเผชิญกับกิเลส ก็เป็นวิธีการที่ไม่บริสุทธิ์
วิธี่ที่ถูกต้อง คือไม่ต้องไปทำอะไรกับสภาวะกิเลสที่เกิดขึ้นเลย
เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง ให้วางใจเป็นกลาง   เราไม่ต้องไปทำความเพียรอะไรกับจิต
 เพียงแต่ให้รู้ว่าทำทำอไรอยู่และให้จิตเป็นอิสระ ไม่ใช่เพียรไปบังคับให้ควบคุมจิตอยู่ในอำนาจ

เพราะ ถ้าท่านตั้งใจะฆ่ากิเลสตัวนั้นตัวนี้ นั่นหมายความว่าท่านเองนั่นแหละ
 โดนกิเลสมันฆ่าตัวท่านไปเรียบร้อยแล้วเพราะความอยากความมีอัตตา
ก็ทำให้เกิดวัฏฏจักรหมุนวนไม่สิ้นสุด
สรุปคือท่านไม่ต้องทำอะไรกับกิเลสเพราะกิเลสมันก็ดับไปเองอยู่แล้ว
ท่านแค่กลับมารู้สึกตัวเท่านั้น กิเลสมันก็ทำอะไรไม่ได้
เพราะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาบังคับไม่ได้ 
ดังนั้นถ้าเราเอาอัตตาไปบังคับเราก็จะมีส่วนแห่งความเป็นบ้า
ในหนังสือยังบอกอีกว่าที่ผ่านมา   เราบ้ามาตลอดหรือเปล่า 
เพราะถูกสอนให้บ้าหรือเปล่า หรือเพราะมีคำสอนเพื่อให้บ้าหรือเปล่า
เราควรจะตื่นกันได้แล้วนะ

ในหนังสือยังกล่าวอีกว่าพระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้ทำการฆ่ามารหรือกิเลสมารทั้งหลายเลย
เพราะหลังตรัสรู้แล้ว  มารต่างๆ ยังมาพบพระองค์อีก
มารยังมีอยู่แต่หมดสิทธิ์ในการครอบงำจิตใจของพระพุทธเจ้า
 เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วเราจะยังไปฆ่ามารฆ่ากิเลสได้อย่างไร

ในหนังสือยังกล่าวอีกว่า
...ผู้ที่ฉลาดน้อยที่สุด เวลาปฎิบัติก็จะวุ่นอยู่กับการคอยดับกิเลส
ซึ่งจริง ๆ แล้วกิเลสไม่เคยดับได้ เพราะกิเลสมันจะดับของมันเอง
...ส่วนผู้ที่ฉลาดที่สุด ก็คือผู้ที่ยอมรับความจริง ปัจจุบันเป็นอย่างไรก็ให้รู้ว่าเป็นอย่างนั้น
โดยไม่ต้องทำอะไรเลย  อย่าเข้าไปแทรกแซงสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น
 เพราะทุกอย่างมันจะเป็นไปเองอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ
ความมีตัวเราก็ไม่มี  หมดความเป็นตัวเป็นตน

*** หลังจากที่หนูอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ทำให้หนูเกิดความสับสนว่าตนเองนั้นปฎิบัติมาผิดทางหรือเปล่า ?
หรือตีความวิธีการจากพระไตรปิฎกผิด เพราะหนูศึกษาแต่เพียงพระสูตร และจากการปฎิบัติที่เห็นเองเท่านั้น
และในพระไตรปิฏกพระพุทธเจ้าก็สอนให้ละอาสวะกิเลสอยู่มากมายหลายแห่ง เช่น
" อาสวะเหล่านั้นเราละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน
กระทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา"


** ในใจหนูเองก็ยังคิดอยู่ว่าถ้าไม่ยอมฝึกขัดเกลาจิตพัฒนาจิตเลย
 อวิชชาความเห็นผิดที่เต็มเปี่ยมก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิมเช่นเดียวกับขณะแรกเกิดเป็นทารก
วนเวียนเป็นวัฎจักรไม่จบสิ้น  แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะหลุดพ้นได้ หากเราไม่ตัดเหตุปัจจัยตัวแรก
คืออวิชชา ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

มีคำถามจะถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ
1.  วิธีการที่พระสงฆ์รูปนั้นบรรยายไว้ในหนังสือตามที่หนูกล่าวมาข้างต้น
     ถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่จะทำให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดหรือเปล่าคะ ?

2.  ขอคำแนะนำจากอาจารย์ค่ะ
ว่าต้องแก้ไขอย่างไรบ้าง หากวิธีการปฎิบัติที่หนูทำอยู่นั้น ผิดพลาดไปจากคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
จนทำไม่สามารถหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

กราบขอบคุณค่ะ

คำตอบ
     การรู้ความจริงในพระไตรปิฎก (พระธรรม พระวินัยและพระสูตร) ในศาสนาพุทธฝ่ายเถรวาทมีอยู่สองแนวทาง คือ
แนวทางที่หนึ่ง รู้ความจริง (เหตุผล) ด้วยการอ่านตำราคัมทภีร์แบบที่เรียกว่า คันถธุระ หรือเรียนรู้ปริยัติธรรม ผลที่เกิดขึ้นจากการศึกษาแบบนี้เรียกว่า รู้จำ ซึ่งไม่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้
แนวทางที่สอง รู้ความจริงแท้ ด้วยการนำตัวเองไปพัฒนาจิตแบบที่เรียกว่า วิปัสสนาธุระ ผลที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาจิตแบบนี้ทำให้สามารถ รู้ เห็น เข้าใจความจริงแท้ เรียกว่ารู้และมีความรู้จริงแท้ จึงสามารถนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้
ที่ผู้เขียนบอกเล่ามาตั้งแต่ต้นนั้น เป็นการพัฒนาความรู้แบบที่เรียกว่า คันถธุระ เป็นความรู้แบบจำได้ จึงยังสงสัยในสิ่งต่างๆที่เป็นความจริงแท้

     (๑) เป็นความรู้แบบจำได้ (คันถธุระ) จึงไม่สามารถนำพาชีวิตให้พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

     (๒) ผู้ที่ปรารถนานำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏสงสาร ต้องวางตำราไว้ชั่วคราว แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติสมถภาวนา จนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วนำจิตไปพัฒนา (วิปัสสนาภาวนา) ด้วยการใช้จิตพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดจิตเห็นผัสสะเป็นอนัตตา ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้น แล้วโอกาสนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ จึงจะเกิดขึ้นได้
 

2441.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไรที่เคารพอย่างสูง
        ก่อนอื่นต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง ที่สละเวลาเป็นที่ปรึกษาให้กับทุกคนที่มีข้อสงสัยในทางธรรม หนูได้ฟังธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยายจาก MP3 บ้าง จาก youtube บ้าง มีคำถามที่จะขอเมตตาอาจารย์ตอบข้อสงสัย ดังนี้ค่ะ

1. การที่เราเคยขอพรจากพระพุทธรูป หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางทีลืมตัวไปบนกับท่านไว้บ้าง แล้วก็ลืมที่จะไปแก้บน เราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรค่ะ

2. การที่เราคิดไม่ดีหรือคิดโกรธคนอื่นในใจไม่ได้แสดงออกมา แต่ก็พยามที่จะบอกตัวเองให้หยุดคิด แบบนี้เราบาปแค่ไหนค่ะ

3. หนูเคยไปฝึกวิปัสนามาแล้วครั้งแรกได้ 3 วัน แต่จิตยังไม่นิ่งเลยค่ะ เวลานั่งภาวนาจะรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก ลองใช้คำภาวนาหลายแบบ แต่ก็ยังทำไม่ได้ อยากได้รับคำแนะนะจากอาจารย์ และหนูจะต้องไปเรียนกับครูบาอาจารย์ที่ไหนถึงจะได้ผลค่ะ

4. หลังจากคลอดลูกคนที่สองเป็นผู้ชาย จิตใจหนูอยากฟังแต่ธรรมอยู่ตลอด ตอนนี้หากอยู่คนเดียวก็จะฟังตลอดค่ะ ขับรถก็เปิดฟัง ทำงานบ้านก็เปิดฟังไปทำงานไป แบบนี้จะได้บุญอย่างไรค่ะ

5. และก็คัดลอกใส่ CD ให้เพื่อนบ้าง แบบนี้ถือว่าเป็นการไม่ดีใช่มั้ยค่ะ เพราะได้ฟังอาจารย์บรรยายไว้ว่า หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของก็เหมือนเราขโมย  แล้วหนูจะต้องขอขมาอย่างไรค่ะ เพราะหนู write cd ของพระอาจารย์หลายท่านเลยค่ะ เช่นหลวงพ่อโชดก,  หลวงพ่อจรัญ,  หลวงปู่เหรียญ, อาจาย์สนองและอาจารย์ท่านอื่น ๆ อีกหลายท่านค่ะ

6. หนูเคยสงสัยบุญคุณของพ่อแม่ว่ามีจริงหรือไม่ เพราะเคยเห็นบางคนมีลูกแล้วไม่รับผิดชอบ แต่เมื่อหนูได้ฟังที่อาจารย์บรรยายเรื่องบุญบาป จะสะสมอยู่ในจิตของแต่ละคน เมื่อละทิ้งร่างนี้ไปแล้วก็ต้องไปแสวงหาร่างใหม่อยู่ จนกว่าจะชดใช้กรรมได้หมด จึงทำให้หนูคลายสงสัยเรื่องนี้ลง โดยเข้าใจว่าการที่พ่อแม่มีพระคุณกับลูก คือการที่ทำให้เกิดร่างที่จิตดวงหนึ่งที่กำลังแสวงหามีที่อาศัย และคอยเลี้ยงดูให้อบอุ่นและปลอดภัย ให้การศึกษาแบบจริงใจ แบบนี้หนูเข้าใจถูกหรือไม่ค่ะ

7. หนูเคยทำบาปกับพ่อโดยให้สาบานต่อหน้าศพแม่ ว่าจะไม่เล่นการพนันอีก แต่พ่อก็ทำไม่ได้  ปีที่แล้วหนูได้ยกขันธ์5 ขอขมากรรมกับพ่อไปแล้ว  พ่อเค้าก็อโหสิกรรมให้  กรรมนี้ทำให้หนูปฏิบัติธรรมไม่ได้ผลหรือเปล่าค่ะ

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
ธัญกมล

คำตอบ
     (๑) ผู้ใดประพฤติตนจนมีศีล มีสัจจะคุมใจได้แล้ว ผู้นั้นย่อมมีกายศักดิ์สิทธิ์ มีจิตศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ปฏิบัติธรรมแล้วย่อมเข้าถึงความมีสติ และมีปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้นได้ง่าย ผู้มีสติไม่ลืมตัว ผู้มีปัญญาเห็นแจ้งไม่ประพฤติบนบาน

     (๒) มนุษย์ทำกรรมได้สามทาง คือ มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม ความคิดเป็นมโนกรรม ผู้ใดคิดไม่ดี (ขาดสติ) ผู้นั้นมีบาปเกิดขึ้น และถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตสำนึกแล้วโดยอัตโนมัติ
            ถามว่า :  เราบาปแค่ไหน
            ตอบว่า  : บาปเท่าที่คิดไม่ดี
                         หากคิดไม่ดีแต่สติตามทัน บาปเกิดขึ้นน้อย
                         หากคิดไม่ดีต่อเนื่องยาวนาน บาปเกิดขึ้นมาก
                         หากคิดไม่ดีจนทำให้นอนไม่หลับ บาปเกิดขึ้นมากกว่า
                         หากคิดไม่ดีแล้วจิตวิญญาณลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ เช่น พระเทวทัต                   นันทมาณพ จิณจมานวิกา ฯลฯ มีบาปสูงสุด

     (๓) ครูที่สอนกรรมฐานได้ถูกตรงตามธรรม ยังไม่สำคัญเท่ากับศิษย์ หากศิษย์ปฏิบัติย่อหย่อน ศิษย์ทำตัวเป็นเหมือนน้ำชาล้นถ้วย หรือปฏิบัติผิดไปจากธรรมวินัย ไม่เอาศีลลงคุมให้ถึงใจ ฯลฯ ย่อมเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ และหากเป็นไปในทางตรงกันข้าม ย่อมเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติได้
ฉะนั้น พึงดูใจตัวเอง แล้วปรับแก้ไขให้ถูกตรง แล้วความสมปรารถนาในการปฏิบัติธรรมย่อมเข้าถึงได้
            ถามไปว่า  :  ต้องเรียนกับครูบาอาจารย์ที่ไหน จึงจะได้ผล
            ตอบมาว่า  :  สรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเป็นครูอาจารย์สอนธรรมให้กับผู้มีสติและมีปัญญาเห็นถูกตามธรรม หากขาดสติและมีปัญญาเห็นผิด ต้องสร้างมหาทานและอธิษฐานขอพบครูบาอาจารย์ เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว ผู้ถามปัญหาจึงจะพบครูบาอาจารย์ด้วยตัวเอง

     (๔) หากฟังธรรมแล้ว มีธรรมวินัยเข้าสถิตอยู่กับใจ ผู้ฟังย่อมได้บุญ ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมเผยแพร่ธรรม พระองค์ไม่เคยสอนให้พุทธบริษัทประพฤติสองอย่างในห้วงขณะเดียวกัน

     (๕) ผู้ใดประพฤติศีลข้อสอง (ไม่ขออนุญาต) นำความรู้ในcd ของผู้อื่นไปเผยแพร่ ผู้นั้นสามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จริงแท้ จึงประพฤติขอขมากรรมต่อการละเมิดนั้น
การขอขมากรรมต้องไปขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูป พระธาตุเจดีย์ ฯลฯ เมื่อขอขมากรรมแล้ว ต้องไม่ประพฤติละเมิดอกุศลกรรมนั้นให้เกิดขึ้นอีก ทำตัวเองให้มีศีล มีสัจจะคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น และปฏิบัติธรรมตลอดชีวิต ผลสัมฤทธิ์ในสิ่งที่ปรารถนาจึงจะเกิดขึ้นได้

     (๖) ถูกครับ

     (๗) เมื่อพ่อในชาตินี้อโหสิให้แล้ว พ่อในชาติอื่นขออโหสิด้วยหรือเปล่า หากผู้ถามปัญหามีบุญบารมีสั่งสมมามากพอแต่อดีตชาติ และบุญบารมีนั้นให้ผลอยู่ในชาติปัจจุบัน โอกาสที่จะบรรลุธรรมย่อมมีความเป็นไปได้

 

2440.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

ดิฉันขอความเมตตาอาจารย์สอบถามเรื่องการสวดมนต์ค่ะ
ดิฉันพยายามสวดมนต์ตามวันและเวลาที่สามารถทำได้ บทที่สวดจะเริ่มจากบูชาพระรัตนตรัย นมัสการพระรัตนตรัย ขอขมาพระรัตนตรัย ไตรสรณคมน์ ถวายพรพระ (อิติปิโสฯ) ชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ) ชัยปริตร (มหากาฯ) อิติปิโส เท่าอายุ บวกหนึ่ง (บางครั้งสวดมากกว่า) พระคาถาชินบัญชร (ขั้นต่ำสิบจบ คืนที่ผ่านมาสิบห้าจบ) คำอธิษฐานขออโหสิกรรม คำขอขมาโทษ (กรรมชั่ว) บทแผ่เมตตาแก่ตนเอง บทสวดเมตตาพรหมวิหารภาวนา แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ บทแผ่ส่วนกุศล คาถาหลวงพ่อโสธร คาถาคุ้มกันภัย บทสวดพระประจำวันเกิด และตั้งจิตอธิฐานขอพร ตามความเหมาะสมเท่าที่จะทำได้
   
แต่ในคืนที่ผ่านมา ในระหว่างสวดมนต์ประมาณช่วงสวดพระคาถาชินบัญชร จิตเกิดอาการใจเต้นแรงกลัวขึ้นมา รู้สึกเหมือนมีใครกำลังมองเราอยู่ แต่ก็พยายามกำหนดกลัวหนอบ้าง รู้หนอบ้างสลับไปมา แต่ใจก็ยังมีอาการเต้นแรงบ้างและเบาบ้างสลับกันไป จนรู้สึกว่าความกลัวเบาลงสักระยะ แต่ก็กลับมามีอาการใจเต้นแรงและตัวเริ่มสั่นมากขึ้นมากขึ้น จนรู้สึกกลัวมากในระหว่างที่สวดบทเมตตาใหญ่ยังไม่ทันจบ ทำให้ต้องหยุดสวดมนต์แล้วพยายามตั้งสติ โดยมากำหนดที่กายเคลื่อนไหวเพื่อให้รู้สึกตัวเพราะคิดว่าจิตกำลังปรุงแต่งและขาดสติ แต่อาการสั่นและหัวใจเต้นก็ยังเป็นอยู่ เลยพยายามเปลี่ยนอิริยาบถโดยการลุกเดินและนั่งสักพัก และกลับมาสวดมนต์ต่อจนจบ โดยตั้งจิตว่าดิฉันกำลังทำความดี ขอพระพุทธเจ้าเมตตาให้ลูกสามารถสวดมนต์ได้ต่อจนจบด้วย แต่ต้องสวดแบบช้ามาก ๆ เพราะอาการสั่นนั้นยังมีอยู่แต่ตั้งใจว่าต้องสวดให้จบ แต่ไม่ได้พนมมือเพราะจะสั่นมาก เลยกำมือไว้เพื่อให้เรารู้สึกตัว จนสามารถสวดมนต์ได้จบ และอาการสั่นค่อยคลายตัวไปแต่ใจยังมีอาการเต้นแรงอยู่บ้างแต่น้อยลงกว่าเดิม
  
จากอาการที่เรียนให้อาจารย์ทราบนี้ ดิฉันควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรต่อไป ในการสวดมนต์ เพราะจิตคิดปรุงแต่งไปอีกว่าจะเกิดขึ้นอีกไหมในวันต่อ ๆ ไป ยังคงมีความกลัวอยู่ในใจ จึงขอความเมตตาจากอาจารย์ ช่วยชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องในการปฏิบัติด้วยค่ะ
  
กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
      สิ่งที่ผู้ถามปัญหาต้องปฏิบัติคือ พัฒนาจิตให้มีความเห็นถูกตามธรรม ที่ระบุไว้ในบทมนต์ที่นำมาสวด แล้วปัญหา (สิ่งที่ต้องแก้ไข) จะไม่เกิดขึ้น
 

2439.
อาจารย์สนองคะ

เวลาได้อ่านพุทธพจน์ จากจิตที่ฟุ้งซ่าน จะสงบขึ้นมาทันทีอย่างรวดเร็ว เกิดความรู้สึก "ปลง"
อาจารย์ช่วยแนะนำหน่อยได้ไม๊คะ ว่าจริตเหมาะกับฝึกการเจริญสติแบบไหนมากที่สุดคะ
 
ขอบคุณมากค่ะ ที่อาจารย์สละเวลาช่วยตอบคำถามทางธรรมให้กับตัวดิฉัน และกับทุก ๆคนค่ะ
ถ้าหากได้เคยล่วงเกินอาจารย์สนองไป ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางกาย วาจา ใจใด ๆ กราบขอโทษ ขออโหสิกรรมด้วยนะคะ และขอผลบุญทั้งหลายของดิฉันจงสำเร็จแก่อ.สนอง และทีมงานชมรมกัลยาณธรรมทุกคน ให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งที่ดีงามนะคะ

คำตอบ
      ผู้ถามปัญหามีพุทธิจริต ที่เหมาะกับการนำเอามรณานุสติ (มรณัสติ) มาเป็นองค์ภาวนา เพื่อทำจิตให้มีสติและมีปัญญาเห็นแจ้ง
     สุดท้าย อโหสิให้แล้ว
 

2438.
กราบอาจารย์ ดร.สนอง  วรอุไร ที่เคารพ

      ขออาจารย์เมตตา ช่วยให้คำตอบด้วยครับ
1. คนฉลาด กับ คนโง่  มีโอกาสบรรลุธรรมแตกต่างกันมากไหมครับ
 
2.ในประวัติสมัยพระพุทธเจ้า มีพระที่สติปัญญาน้อยมาบวชไหม และเข้าถึงธรรมหรือไม่
     อย่างไร ?

3. หากยังไม่บรรลุธรรม ในชาตินี้ จะสร้างเหตุปัจจัยเตรียมตัวอย่างไร ให้เป็นคนที่มีความ
  ฉลาด ไหวพริบดี และมีไหวพริบดี เพื่อโอกาสบรรุความสำเร็จทั้งทางโลก และ ทางธรรมใน ชาติต่อไป

4. อาจารย์เคยเล่าเรื่องว่า  หากเข้าถึงอภิญญาได้ ใครเขากำลังคิดอะไร  นึกอะไร คิดดี
     ชั่วก็รู้ ถามว่า  หากเป็นชาติที่เราพูดภาษาเขาไม่ได้ ไม่เข้าใจ  จะทราบหรือไม่

5. การอุทิศความดีให้คนอื่น  เป็นหนึ่งใน 10 อย่าง  กุศลธรรม  หมายความว่าอย่างไรครับ
     
        กราบขอบพระคุณอาจารย์  อย่างสูง 

คำตอบ
     (๑) คนฉลาดทางโลก ย่อมมีความศรัทธาในการปฏิบัติธรรมน้อยหรือไม่ศรัทธาเลย โอกาสเข้าถึงธรรมจึงเป็นไปได้ยาก ตรงกันข้าม คนโง่มีความศรัทธาในการปฏิบัติธรรมมาก ย่อมมีโอกาสเข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่า สรุปได้ว่าความศรัทธาเป็นเหตุให้เข้าถึงธรรม ดังที่พระวักกลิ พระจูฬปันถก พระอปราสามาภิกษุณี พระอัญญตราภิกษุณี ฯลฯ ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างอยู่ในครั้งพุทธกาล

      (๒) มีครับ ตัวอย่างได้แก่ พระฉันนภิกษุที่ถูกหมู่สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ ได้เปลี่ยนทิฏฐิดื้อรั้นของตัวเอง แล้วหันมาปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตผล หลังจากพุทธปรินิพพานไปแล้ว

      (๓) หากผู้ถามปัญหาปรารถนาความเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบดี ต้องเข้าหาสมณะ (พระป่า) ที่ปฏิบัติธรรมได้ผลถูกตรงตามธรรม และพูดคุยสนทนากันอย่างสม่ำเสมอแล้ว โอกาสที่จะมีความเฉลียวฉลาด มีไหวพริบ ย่อมเกิดขึ้นเมื่อเหตุปัจจัยลงตัว หรือในเวลาข้างหน้า

      (๔) ผู้ที่ปฏิบัติธรรม (สมถภานา) จนจิตบรรลุความทรงฌาน ย่อมเกิดอภิญญา ๕ ได้โดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะเจโตปริยญาณ สามารถรู้ความคิดของผู้อื่นได้ ส่วนการสื่อถึงกันและเข้าใจกัน มิได้เกิดขึ้นจากปราสาทสัมผัส แต่เกิดจากความถี่ของคลื่นจิตตรงกัน จึงสามารถสื่อสารถึงกันได้ รวมทั้งมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันได้

      (๕) การอุทิศความดีให้คนอื่นเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ผู้ใดประพฤติได้แล้วย่อมมีความดีงาม (กุศลธรรม) เกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมอยู่ในดวงจิต เมื่อใดกุศลธรรมดังกล่าวให้ผล ย่อมให้ผลเป็นบุญเกิดขึ้นกับผู้ประพฤติ

 

2437.
เรียนอาจารย์ที่เคารพ

กระผม นายแพทย์ สุนิล  กุลจลา เป็นศัลยแพทย์ ที่รพ นครพิงค์ อ แม่ริม จ เชียงใหม่ ผมอยากจะให้อาจารย์แนะนำการนั่งสมาธิให้ผม ผมได้นั่งสมาธิแบบจริงจังมาประมาฌ สามสี่เดือน ด้วยวิธีกำหนดลมหายใจเข้าออก ปัญหาของผมมีอยู่ว่า ตอนนี้ทุกครั้งที่นั่งผมสามรถกำหนดจิตให้ตั้งมั่นได้ และไม่มีความคิดอื่นๆๆแทรก หรือถ้ามีผมก็สามารถที่จะกลับเข้ามากำหนดลมหายใจ และเข้าสู่ภาวะสงบได้ไม่ยากเลยทุกครั้งผมใช้เวลานั่งประมาฌสามสิบนาที่ และก่อนหน้าที่จะมาสู่จุดที่ผมสงบ และทุกอย่างดูเหมือนจะมืดไปหมด เหมือนไม่มีลมหายใจเข้าออกที่จมูก ผมเคยรู้สึกอาการที่แปลกๆๆมาก เช่นอาการตัวเย็นจนปวดเข้าไปในกระดูก ภาวะเหมือนแขนสองข้างหายไป และบ้างครั้งรู้สึกว่าตัวเองหนักมาก เหมือนจะออกจากสมาธิได้ยาก ผมก็ไม่ได้สนใจและอาการเหล่านี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย เหลือแต่ทุกครั้งที่นั่ง จะรู้สึกสงบได้เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก และก็มาถึงจุดที่ผมรู้สึกว่ามีแต่ความมืด สงบ บางคร้งก็เหมือนมีแสงสว่างให้เห็นเป็นบางช่วง ทุกครั้งที่นั่งก็จะมาถึงจุดนี้ตลอด และผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ เคยศึกษาเขาบอกให้ไปพิจารณาร่างกาย ผมก็ไม่รู้สึกอะไรเพราะผมเป็นหมอผ่าตัด ผมเห็นเลือดเนื้อและอวัยวะทุกอย่างเป็นประจำจนชิน และอีกอย่างผมคิดว่าถ้าเราคิดพิจารณาเรื่องเหล่านี้ ก็เปรียบเสมือนว่าเราเริ่มจะคิดมากและก็ไม่สงบ  จนตอนนี้บางครั้งผมรู้สึกเบื่อ เพราะเหมือนว่าตัวเองไม่มีความก้าวหน้าเลย ผมเลยอยากจะขอให้อาจารย์แนะนำผมด้วยครับ

               หว้งว่าอาจารย์จะเมตตาแนะนำด้วย
               นพ สุนิล  กุลจลา

คำตอบ
      ผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงรูปฌาน ๔ ได้ ลมหายใจเข้า-ออก ย่อมไม่มีตราบนานเท่าที่จิตทรงอยู่ในฌาน (ความรู้ทางโลกเข้าไม่ถึงความจริงที่กล่าวนี้) แต่เมื่อจิตเคลื่อนออกจากความทรงฌานแล้ว ความมืด ความสว่างที่เกิดขึ้นบางห้วงเวลา ต้องเอาจิตกำหนดว่า “มืดหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าความมืดจะหายไป (อนัตตา) และต้องกำหนดว่า “สว่างหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าความสว่างจะหายไป หากไม่ทำเช่นนี้โมหะจะเกิดขึ้น แล้วสั่งสมอยู่ในดวงจิต ซึ่งมีผลทำให้ไม่รู้ว่าจะต้องดำเนินการพัฒนาจิตต่อไปอย่างไร
อนึ่ง เมื่อความเบื่อเกิดขึ้นกับจิต แล้วเร่งพัฒนาจิตเพื่อจะไปให้พ้นจากสภาวธรรมเช่นนี้ เรียกความเบื่อที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ว่าเป็น นิพพิทานุปัสสนาญาณ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้พัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ดังนั้นจึงต้องดูจิตตนเองว่าเป็นเช่นนี้หรือไม่ หากความเบื่อมิได้มีลักษณะดังที่กล่าวข้างต้น ถือว่าเป็นกิเลสที่ต้องแก้ไข

     ผู้ถามปัญหาควรนำตัวไปฝากเป็นศิษย์ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเปลี่ยน แห่งวัดอรัญญวิเวก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วการเข้าถึงธรรมจะเกิดขึ้นได้ง่าย


 

2436.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

หนูมีเรื่องขออาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
 
๑ .   หนูอยากทราบว่าหากเราเคยด่าว่าพ่อแม่มาแล้ว    นำดอกไม้ทูปเทียนมากราบขอขมากรรมต่อพ่อแม่ เมื่อปฎิบัติธรรมจะสามารถเข้าถึงธรรมได้หรือไม่ค่ะ
 
๒. หากต้องการบวชชีเพื่อปฏิบัติธรรมหนูควรไปที่ไหนสำนักใดดีค่ะ เพราะหากไม่มีอุปสัคขัดขวางหนูอยากบวชชีตลอดชีวิต
ขออาจารย์เมตตาตอบคำถามด้วยค่ะ
 
สุดท้ายนี้หนูขออนุโมทนากับท่านอาจารย์ ที่ได้ช่วยให้ปัญญาแก่คนทั้งหลายด้วยค่ะ
 
กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

คำตอบ
     (๑) เมื่อขออโหสิกรรมกับพ่อแม่ในชาตินี้แล้ว ต้องขออโหสิกรรมกับพ่อแม่ในทุกภพชาติที่ตัวเองไปเกิดอีกด้วย หากมิได้ปฏิบัติตามนี้ อุปสรรคและปัญหาย่อมทำให้เข้าไม่ถึงธรรมได้

     (๒) แนะนำสำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ การเข้าถึงธรรมมิได้ขึ้นอยู่กับสำนัก แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของตัวเองด้วย


 
2435.
กราบสวัสดีค่ะอาจารย์

หนูขออนุญาตเรียกท่านว่าอาจารย์นะคะ เพราะอาจารย์ช่วยให้หนูและสามีได้มีชีวิตที่ดีขึ้น

เมื่อก่อนไม่ค่อยสนใจในการปฏิบัติธรรม ฟังธรรม ใช่ชีวิตแบบคนโง่เขลา เป็นพุทธแค่เปลือกค่ะ แต่เพราะได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ จึงทำให้หนูตาสว่างและไม่อยากทำบาปอีกเลย หนูพยายามถือศีล 5 ให้ได้ทุกวันแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์พร้อม แต่จะพยายามทำจนบริสุทธิ์ให้ได้ค่ะ

หนูขอกราบขอบพระคุณความเมตตาของอาจารย์อย่างไม่มีประมาณ ที่ช่วยเปิดดวงตาของหนูให้ได้เห็นธรรมค่ะ

ทุกวันนี้หนูก้อเปิด youtube ให้ที่บ้านฟังด้วยค่ะ ที่บ้านก็เลยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ไปด้วยค่ะ ทุกคนก็เลยมีความเห็นที่ถูกที่ตรงมากขึ้นค่ะ แต่หนูมีคำถามที่อยากจะขอความเมตตาของอาจารย์ช่วยแนะนำและบอกหนทางแก้ให้หนูด้วยนะคะ

1. คุณพ่อของหนูเคยบวชเรียนเป็นมหาเปรียญ 7 ค่ะ มีความรู้ทางปริยัติมากแต่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติค่ะ เวลาที่พระท่านสอนท่านก็จะคอยฟังว่าถูกไม๊ ยิ่งถ้าเป็นคนละนิกายกับท่านแล้วท่านจะไม่ค่อยนับถือค่ะ อย่างหลวงตามหาบัวคุณพ่อท่านก็เคยพูดปารมาสท่านค่ะ พวกเราห้ามก็ไม่ฟัง พระปฏิบัติดีหลายท่านที่พวกหนูชวนไปกราบ ท่านก็จะไม่ค่อยอยากไปเพราะติดเรื่องมหานิกายกับธรรมยุตินี่แหละค่ะ หนูจะทำยังไงดีเพื่อที่จะช่วยให้คุณพ่อคลายความคิดนี้ได้คะ และที่คุณพ่อเคยกล่าวล่วงเกินหลวงตามหาบัว และเคยขว้างก้อนหินไล่หลวงปู่ฝั่นตามที่อาจารย์ท่านบอกนั้น หนูสามารถขอขมาแทนคุณพ่อได้ไม๊คะ เพราะท่านคงไม่ยอมทำแน่

2. คุณพ่อของหนูเป็นคนดีค่ะ แต่ท่านรักและเป็นห่วงลูกๆมาก ทำให้มักจะบ่นว่าลูกๆทุกวันอยากให้ลูกๆทำโน่นทำนี่ ถ้าไม่ทำก็จะโวยวายเสียงดัง บางครั้งก็ใช้คำพูดแรงๆว่ากล่าวพี่ๆหนูรู้ว่าท่านเป็นห่วง อยากให้เราได้ดี แต่หนูอยากให้ท่านปล่อยวาง อยากให้ท่านเข้าใจว่าไม่มีอะไรได้อย่างใจเราทุกเรื่อง หนูไม่อยากให้ท่านทุกข์ค่ะ กลัวท่านจะไปไม่ดี หนูควรทำยังไงดีคะ นอกจากพยายามทำชีวิตของเราให้ดีเพื่อให้ท่านหายห่วง ทุกวันนี้พี่ๆก็ไม่อยากจะอยู่ใกล้ท่าน เพราะกลัวท่านจะชวนถามโน่นนี่ และก็จะย้อนมาพูดเรื่องเก่าๆที่พี่เค้าเคยทำให้ท่านผิดหวัง และก็จะลงท้ายด้วยการบ่น ว่ากล่าว และพี่เค้าก็จะอดไม่ได้ที่จะมีปากเสียงกับท่าน ซึ่งก็รู้ว่าไม่ควรจึงเลี่ยงท่านดีกว่า หนูสงสารท่านไม่อยากจะให้ท่านรู้สึกว่าไม่มีคนอยากจะคุยด้วย คุณพ่อจะได้มีลูกหลานอยู่ใกล้ๆ แต่ท่านก็ทำไม่ได้ค่ะ

3. เวลาที่คุณพ่อพูดหรือทำในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หนูอยากมีความอดทน หนูไม่อยากเถียงคุณพ่อ บางครั้งก็ทำได้แต่บางครั้งก็อดไม่ได้จริงๆ เพราะถ้าไม่พูดท่านก็จะบาป เช่นเวลาที่ท่านว่ากล่าวคุณแม่หรือคุณยายทั้งๆที่ท่านทั้งสองไม่ได้ทำอะไรผิดเลย หนูควรทำยังไงคะ

4. ทุกวันนี้หนูใส่บาตรเกือบทุกวัน สวดมนต์ก่อนนอน และนั่งสมาธิทุกวัน พยายามถือศีล 5 ไม่ให้ด่าง ไม่ให้ทะลุ ฟังธรรมะทุกวัน อานิสงค์นี้จะช่วยให้คุณพ่อมีสัมมาทิฐิไม๊คะ

5. หนูนั่งสมาธิเวลาภาวนาไม่รู้ว่าจะภาวนาอะไรดี หนูจับยุบหนอ พองหนอไม่ได้ เลยท่องพุทโธบ้าง รู้สักแต่รู้บ้าง เวลาเกิดเวทนาก็ปวดหนอบ้าง รู้หนอบ้าง เวลานั่งจะเปิดธรรมะฟังไปด้วยค่ะ และเวลาตามลมหายใจจับได้แค่ปลายจมูก แค่รู้ว่ามีลมเข้าออกเท่านั้นค่ะ แต่ถ้าตามลมหายใจไปจะอึดอัดมากค่ะ บางครั้งจะเกร็งคอจนปวด หนูควรจะนั่งแบบไหนและภาวนายังไงดีคะอาจารย์ หนูเป็นคนหายใจสั้นค่ะ

6. เวลานั่งสมาธิหลังหนูจะค่อยๆงอลง หนูก็เลยเปลี่ยนเอามือมาวางที่เข่าสองข้างแทนเพื่อดันตัวเอาไว้หลังจะได้ไม่งอ ทำแบบนี้ได้ไม๊คะ และเวลานั่งหนูมักจะสะดุงค่ะ ทำยังไงดีคะ

7. หนูขอข้อแนะนำอื่นๆเพิ่มเติมในการนั่งสมาธิของหนู และเพิ่มเติมสติเพื่อการใช้ชีวิตประจำวันด้วยค่ะ

สุดท้ายนี้หนูขอกราบขอบพระคุณสำหรับความเมตตาของท่านอาจารย์อย่างที่สุด ที่ช่วยให้ชีวิตของหนูที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ไม่สูญเปล่า หนูจะพยายามนำคำแนะนำและคำสอนของท่านอาจารย์จากสื่อต่างๆที่ได้รับ ไปปฏิบัติเพื่อให้ได้เข้าถึงธรรมอันสูงสุดของพระพุทธเจ้าให้จงได้ค่ะ และหากว่าการกระทำใดที่หนูได้กระทำการล่วงเกินท่านอาจารย์ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งที่ทราบและไม่ทราบ ไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ ขอให้ท่านอาจารย์โปรดอโหิกรรมให้แก่ความพลั้งพลาดอันนั้นด้วยค่ะ

ขอให้ผลบุญที่ลูกได้รับจากการที่ลูกได้นำสิ่งดีดีที่ท่านอาจารย์บอกกล่าวไปปฏิบัติ ลูกขอยกอานิสงค์ผลบุญนั้นย้อนกลับไปหาอาจารย์ หนูไม่รู้จะอวยพรท่านยังไงเพียงปรารถนาให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ขอให้ท่านอาจารย์ได้สัมฤทธิ์ในสิ่งที่ท่านอาจารย์ปรารถนาค่ะ

ด้วยความเคารพและระลึกถึงอย่างสูง

ณิรินทร์ญา

คำตอบ
     (๑) ศาสนาพุทธที่เผยแพร่ผ่านมาทางประเทศศรีลังกา แล้วเผยแพร่ต่อมาถึงภาคใต้ของประเทศไทย เป็นศาสนาพุทธแบบหินยาน หรือที่เรียกว่า เถรวาท ซึ่งตรงกันข้ามกับที่เผยแพร่ไปทางเหนือสู่ประเทศธิเบต จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นศาสนาพุทธแบบมหายาน จึงทำให้มีปฏิปทาในแต่ละนิกายไม่เหมือนกัน
ศาสนาพุทธ ฝ่านหินยานหรือเถรวาทนั้น สามารถเข้าถึงความรู้ในพุทธศาสนา (พระไตรปิฎก) ตามแบบที่เรียกว่า คันถธุระ หรือศึกษาปริยัติธรรม ก็สามารถรู้เรื่องราวต่างๆในพุทธศาสนาได้ โดยมีเปรียญธรรม (๑-๙) เป็นตัวบ่งชี้การเข้าถึง ความรู้แบบนี้เป็นเพียงความจำด้วยการทำงานของประสาท จะไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ จึงไม่สามารถเห็นสัตว์กายทิพย์ได้ ไม่สามารถเห็นผลกรรมที่สืบต่อไปยังภพหน้าได้ ฯลฯ ซึ่งตรงกันข้ามกับการเข้าถึงความรู้แบบวิปัสสนาธุระ ที่สามารถรู้ เห็น เข้าใจว่า สัตว์กายทิพย์ เช่น สัตว์นรก เทวดา พรหม ฯลฯ มีอยู่จริง เห็นผลกรรมที่สืบต่อยาวนานข้ามภพข้ามชาติได้ นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ฯลฯ

     การที่เขียนบอกเล่ามายืดยาวก็เพื่อที่จะบอกว่า คนที่ยังมีจิตเป็นทาสของมหานิกายและธรรมยุตินั้น เป็นผู้ที่ยังไม่รู้จริงแท้ คือรู้ เห็น เข้าใจ ด้วยระบบประสาทสัมผัสตามแบบปริยัติ พฤติกรรมปรามาส (ดูถูก) ในสิ่งที่ตัวเองเข้าไม่ถึง จึงได้เกิดขึ้น และยังมีผลเป็นบาปสั่งสมอยู่ในดวงจิตอีกด้วย แท้จริงแล้วไม่มีใครสามารถช่วยใครได้ เว้นไว้แต่ว่าตัวเองต้องปรับแก้ไขความเห็นผิดไปจากธรรมด้วยตัวเอง จึงจะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ดังตัวอย่างของพระฉันนะผู้ดื้อรั้น ที่ถูกหมู่สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ จึงต้องแก้ไขตัวเองด้วยการลด ละ เลิกความเห็นผิด แล้วหันมาปฏิบัติธรรมจนจิตบรรลุอรหัตผลได้ในที่สุด

      (๒) ตามที่กล่าวไว้ในตอนท้ายของข้อ (๑) ว่า ไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาให้กับใครได้แท้จริง ปัญหาจะหมดไปได้ต้องแก้ไขที่ตัวของผู้มีปัญหาเอง ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จริงแท้ และรู้จริงในทุกสิ่งทุกอย่าง (สัพพัญญู) จึงเป็นได้เพียงผู้ชี้ทาง แล้วปล่อยวางจิตให้เป็นอุเบกขา ดังที่พระพุทธเจ้าปล่อยวางพระเทวทัต (พี่เมีย) ให้ลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอเวจีมหานรก

      (๓) ต้องทำจิตให้ว่างเป็นอุเบกขา ด้วยการระลึกอยู่เสมอว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม (กมฺมุนา วตฺตตีโลโก)

     (๔) จะช่วยได้ พ่อต้องหันมาศรัทธาในความดีของลูก ดังตัวอย่างของนางสารี ผู้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) บูชาศรัทธาเลื่อมในในท้าวมหาพรหม (ปุถุชน) แต่ก่อนที่พระสารีบุตร (ลูก) จะเข้านิพพาน นางสารีผู้เป็นแม่ได้เปลี่ยนความเห็นผิดมาเป็นความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) หันมาศรัทธาในตัวพระสารีบุตร (พระอรหันต์) จึงขอฟังธรรมแล้วจิตของนางสารีได้บรรลุโสดาปัตติผล ก่อนที่พระสารีบุตรจะดับรูปดับกายเข้าสู่นิพพาน
  
      (๕) และ (๖) การฝึกจิตให้มีสติ (สมถภาวนา) และฝึกจิตให้มีปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) ต้องใช้กรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นปัจจุบันขณะ มาเป็นองค์ภาวนา ด้วยเหตุนี้ผู้ตอบปัญหาจึงแนะนำให้แสวงหาครูบาอาจารย์ที่เข้าถึงธรรม มาเป็นผู้ชี้แนะให้ปฏิบัติธรรม แล้วจะได้ผลถูกตรง และไม่เสียเวลาอยู่กับการลองผิดลองถูก

      (๗) ผู้ใดปฏิบัติธรรมตามหลักไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) ได้อย่างถูกตรงแล้ว โอกาสเข้าถึงธรรมย่อมเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ต้องมีศีลและมีสัจจะลงคุมให้ถึงใจ แล้วโอกาสที่จิตจะเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิย่อมเกิดขึ้น แล้นำจิตที่เป็นสมาธิสมควรแล้ว ไปทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง จึงมีความเป็นไปได้

     สุดท้าย อโหสิให้ จงมีธรรมวินัยคุ้มรักษาใจอยู่ทุกขณะตื่น จนกว่าจะนำพาชีวิตพ้นไปจากวัฏสงสาร 
  

2434.
กราบเรียนท่านดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

  หนูมีข้อสงสัยบางประการอยากเรียนถามท่านดร.ค่ะ คุณแม่ของหนูปฏิบัติธรรมที่บ้านมาเป็นเวลา 7 ปี ตอนนี้คุณพ่อของหนูป่วยเข้าโรงพยาบาล คุณแม่ต้องคอยดูแลอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดเวลา  คุณพ่อของหนูท่านป่วยหนักมาก หมอบอกว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ถ้าท่านเป็นอะไรไปครอบครัวหนูจะลำบากมาก เพราะในครอบครัวคุณพ่อเป็นคนทำงานคนเดียว หนูและน้องยังเรียนหนังสืออยู่ ส่วนคุณแม่เองก็เป็นแม่บ้าน  และคุณแม่ไม่ได้กลับมาปฏิบัติธรรมที่บ้านเป็นเวลาประมาณ 2 อาทิตย์แล้ว หนูซึ่งอยู่บ้านจึงทำหน้าที่ปฏิบัติแทน หนูอยากทราบว่าคุณพ่อหนูจะหายดีไหม และการที่หนูปฏิบัติที่บ้าน อุทิศส่วนบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณพ่อจะเป็นการช่วยคุณพ่อได้ไหมค่ะ แล้วที่คุณแม่ปฏิบัติมาตลอดสามารถช่วยได้ไหมค่ะ  แล้วควรปฏิบัติหรือทำอย่างไรที่จะสามารถช่วยคุณพ่อได้ค่ะ

 กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    ไม่ทราบ ต้องถามแพทย์ที่ดูแลคนไข้ การที่ผู้หนึ่งผู้ใดปฎิบัติธรรมแล้ว อุทิศบุญกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรของคนป่วย หากเจ้ากรรมนายเวรรับทราบการสื่อสารถึง แล้วมาอนุโมทนาบุญ เจ้ากรรมนาเวรย่อมได้รับบุญนั้น ส่วนเจ้ากรรมนายเวรจะยกโทษให้กับคนที่ถูกจองเวร (คนป่วย) หรือไม่นั้น ไม่มีใครสามารถเข้าไปก้าวล่วงในกฎแห่งกรรมได้

      วิธีที่จะช่วยคุณพ่อ ตัวของคุณพ่อต้องทำบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) ด้วยตัวเอง แล้วอุทิศบุญใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนหนี้เวรกรรมหมดลงเมื่อใด โอกาสที่จะหายจากอาการเจ็บป่วยจึงจะเกิดขึ้นได้


  

2433.
กราบเรียนอาจารย์สนอง ที่เคารพ

      กระผมได้อ่านหนังสือและฟังธรรมะบรรยายของอาจารย์มานานหลายปีครับ ผมทำงานให้บริการด้านการแพทย์ในโรงพยาบาลครับ นั่งสมาธิทุกวันมากบ้างน้อยบ้างตามโอกาสอำนวยครับ มีเรื่องสงสัยอยากเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ

1. เคยฟังธรรมมะบรรยายของอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า อาชีพบางอย่างไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีลแต่ผิดธรรม เช่น นักร้อง เพราะทำให้จิตเกิดอาการหลงเพิ่มขึ้น เป็นบาป อยากเรียนถามอาจารย์ว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่

2.ถ้าเข้าใจถูกต้องแล้วพวก clinic เสริมความงาม เช่น ขายครีมทาหน้าทั้งหลายรวมทั้งศัลยกรรมความงามก็ถือว่าเป็นบาปด้วยถูกต้องหรือไม่ และจะมีผลอย่างไรต่อผู้ทำครับ

3. เนื่องจากว่าพอผมเห็นผัสสะที่กระทบทางตา ทางหู จิตก็คิดปรุงแต่งไปต่างๆ นาๆ พอจิตเริ่มปรุงแต่งผมก็มองให้เป็นอสุภะ เป็นของไม่สวยไม่งามซึ่งก็ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง เลยอยากจะกราบเรียนถามอาจารย์สนองว่ามีวิธีลดราคะจริตอย่างไรบ้างครับ

4.เนื่องจากงานประจำที่ทำเกี่ยวข้องกับชีวิตผู้ป่วยบางครั้งมีอาการนอนไม่หลับติดต่อกันหลายวัน ไม่ทราบว่าอาจารย์มีคำแนะนำสำหรับคำถามนี้หรือไม่ครับ

           กราบขอบพระคุณอาจารย์สนองครับ

คำตอบ
    (๑) เข้าใจได้ถูกต้อง ยังถือว่าเอากิเลสเข้าปรุงอารมณ์และให้ผลเป็นบาป
(๒) ถูกต้อง ผลของบาปเกิดขึ้นจากจิตมีกำลังของโมหะ ที่ส่งผลให้ต้องเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารไม่รู้จบ และหากได้ประพฤติทุศีลด้วยแล้ว ย่อมมีทุคติภพเป็นที่หมายในชาติหน้า
(๓) วิธีลดราคจริตของคนส่วนใหญ่ที่มาเกิดอยู่ในยุคปัจจุบัน ควรใช้อย่างใดอย่างหนึ่งในอสุภะ ๑๐ มาบริกรรม ย่อมทำให้ราคจริตมีกำลังอ่อนลง และเมื่อใดที่นำเอากายมาพิจารณาจนเห็นว่า ร่างกายนี้ประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้ง ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) และธาตุทั้ง ๔ ไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ การเข้าถึงอริยธรรมจึงจะเกิดขึ้น แล้วเมื่อนั้นราคจริต จึงจะหมดไปสิ้นเชิงจากใจ
(๔) นอนไม่หลับ เหตุเป็นเพราะจิตมีกำลังสติอ่อน ผู้ประสงค์จะแก้ปัญหานี้ต้องดับที่ต้นเหตุ คือพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติกล้าแข้ง ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์ให้เจริญอานาปานสติ ผู้ใดมีศีลและมีสัจจะคุมใจ ปฏิบัติธรรมให้ได้เช่นนี้ทุกวัน ปัญหาการนอนไม่หลับจะไม่เกิดขึ้นกับผู้นั้น …. จะพิสูจน์ไหม

2432.
สวัสดี อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่นับถืออย่างสูง

นะมัตถุ รัตนตยัสสะ.
ขอ...ความนอบน้อมของข้าพเจ้า...จงมีแด่พระรัตนตรัย

ต้องขออภัยด้วยหากได้ล่วงเกิน เนื่องจากลูกเณรนั้นเรียบเรียงคำพูดไม่เก่ง แลเป็นคนพูด-เขียนไม่เก่งเลย

ขออนุโมทนาในกุศลผลบุญที่ ท่าน ดร.สนอง ได้บำเพ็ญแล้วนี้ในการวิสัชชนาปัญหาธรรมทั้งหลายอันทำได้ยาก เพราะ 1.ต้องมีปัญญาธรรม 2.ต้องเสียสละเวลา 3.ต้องมีความเพียร เป็นต้น...

ท่าน ดร.สนอง เป็นอีกหนึ่งแรงบันดานใจให้ลูกเณรได้ออกบวช และปฏิบัติธรรมกับพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ ที่เชียงใหม่ เป็นกรรมฐาน ที่กำหนดอารมณ์ พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอ มี 28 จุด ซึ่งทำให้สงสัยว่า ในหลักสูตรวัดมหาธาตุสมัยก่อน มีการกำหนดจุดทั้ง 28 นี้ด้วยหรือไม่อย่างไร (แต่ส่วนตัวคิดว่าสิ่งใดที่ทำให้เห็นการเกิดดับของ รูปนามสิ่งนั้นคือวิปัสสนา ไม่ว่า พองยุบ หรือ พุทโธ หรือ มีจุด หรือไม่มีจุด)

ลูกเณรปฏิบัติไปเรื่อยๆแล้วมีอาการขาดความรู้สึกลงไป มีอาการคล้ายเผลอวูบไปนาน ประมาณหลายนาทีแต่ไม่ใช่วูบ เพราะตัวตั้งตรง และไม่ใช่หลับเพราะอารมณ์ไม่ใช่หลับ เป็นสภาวะขาดความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ขอสมมติเรียกว่า"ดับ" พอออกจากดับมาเกิดความคิดแรกว่า เอ๊ะ เราเป็นอะไรไปเมื่อกี้ (เพราะไม่เคยพบเจออารมณ์เช่นนี้) พอภาวนา พอง ยุบ นั่ง ถูก ก็ดับขาดลงไปอีกประมาณหลายนาที พอออกมาอีกก็ "เป็นอะไรไป ง่วงก็ไม่ได้ง่วง จะว่าหลับก็ไม่ใช่ วูบก็ไม่ใช่" และ เกิดความคิดอีกว่า คราวนี้อาการแบบนั้นเกิดอีกเราจะจับให้ได้ว่ามัน เป็นไปตอนไหน และก็ภาวนาไปอีก พอง ยุบ นั่ง ถูก แล้วก็สังเกตุเห็น อาการก่อนที่ความรู้สึกจะขาดดับลงไปได้อย่างชัดเช่น และจับได้ว่าดับขาดไปตอนภาวนาว่า ถูกหนอ นี้เอง ตรงจุดด้านขาพับขวา อารมณ์ทั้งหมด ขาดและดับลงไปปราศจากความรู้สึกใดๆทั้งปวง ////// จึงเกิดความสงสัยว่า 
อารมที่สมมติเรียกว่าดับที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพียงอาการที่จิตตั้งมั่นแน่วแน่ หรือเป็น การเสวยผลที่ได้ปฏิบัติมา

โยคีบุคคนที่บรรลุโสดาปัตติมรรค และโสดาปัตติผลจะรู้ตัวในขณะที่บรรลุเลยหรือไม่ว่าเราเป็นพระโสดาบันแล้ว หรือว่ายังไม่รู้ตัวว่าเป็นในขณะนั้น แต่อาจรู้ได้จาก... ศีลของตนในภายหลังและความเบาของจิต... หรือเวลา... หรือเรียนปริยัติ ...หรือครูบาอาจารย์บอก

ลูกเณรยังเป็นเด็ก จึงเกิดนิวรณ์ได้ง่าย ในขณะที่มีสิ่งเข้ามากระทบ มิสามารถรักษาธรรมไว้ได้นาน อยากขอคำแนะนำเรื่อง นิวรตัว กามฉันทะ หรือความพอใจต่างๆ เช่น พอใจติดในท่านเจ้าคุณอาจารย์ พอใจในรูปสวย รสของอาหาร โลกธรรมแปด มีนินทาเป็นต้น กำหนดให้ขาดได้ยาก เผลอบ่อย ท่านดร.สนองมีกลยุทธอย่างไรขอคำแนะนำด้วยครับผม

           ขอบคุณครับ

คำตอบ
     สาธุ …. ที่ออกบวชตั้งแต่ยังอยู่ในวัยอันเยาว์ ในครั้งที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรม  อยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก ที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ มิได้กำหนด ๒๘ จุดดังที่ถามไป เพียงแต่กำหนดให้เห็นความเกิดขึ้น พร้อมกับสภาวธรรมในดวงจิต ได้เข้าถึงวิปัสสนาญาณต่างๆ (ญาณ ๑๖) ซึ่งส่งผลให้จิตเป็นอิสระจากโลกธรรม เป็นอิสระจากวัตถุ เป็นอิสระจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ฯล ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นต้นมา

     ที่เณรเรียกว่าเกิดอาการดับนั้น เป็นการดับจากอารมณ์ปรุงแต่งของจิต ที่เนื่องมาจากสิ่งกระทบภายนอก เณรควรใช้จิตตามดูว่าอารมณ์ภายใน (อารมณ์ฌาน) เกิดขึ้นไหม หากมีอารมณ์ฌานเกิดขึ้น นั่นเป็นตัวบ่งชี้ว่า เณรได้พัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั้นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) แล้ว สภาวธรรมเช่นนี้เรียกว่าจิตทรงฌาน

     ผู้ใดมีสภาวธรรมในดวงจิตเป็นพระโสดาบัน ผู้นั้นสามารถ รู้ เห็น เข้าใจ ได้ด้วยตัวเอง (สนฺทิฏฺฐิโก) ว่า มีจิตศรัทธามั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย โดยไม่ต้องมีใครมาบอกกล่าว

      ผู้ใดพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ผู้นั้นย่อมเห็นว่า สรรพสิ่งที่เข้ากระทบจิต ล้วนดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ แล้วนิวรณ์ ๕ (กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา) ซึ่งเป็นหนึ่งในสรรพสิ่งย่อมดับตามไปด้วย
กลยุทธ์ที่ผู้ตอบปัญหา นำมาใช้ในครั้งที่ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดพระมหาธาตุฯ (พ.ศ. ๒๕๑๘) ได้อธิษฐานปฏิบัติธรรมเต็มที่ (วันละประมาณ ๒๐ ชั่วโมง ต่อเนื่อง ๓๐ วัน) ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ฉันภัตตาหารวันละไม่เกิน ๑๐ ช้อน ตาดูไม่เกิน ๔ ย่างก้าว ปิดหูไม่ฟังเสียงใคร ไม่ฟังวิทยุ ปิดปากไม่พูดกับใคร ยกเว้นครูบาอาจารย์ที่สอบอารมณ์ ผลปรากฏว่า เจ็ดวันจิตเข้าถึงสมาธิสูงสุดจึงได้เกิดอภิญญา ๕ แล้วปฏิบัติต่อไปด้วย วิปัสสนาภาวนา จนครบเวลา ๓๐ วัน ผลปรากฏว่าจิตเข้าถึงญาณ ๑๖ ได้ ทั้งอภิญญา ๕ และญาณ ๑๖ ส่งผลให้กาลามสูตรมีความศักดิสิทธิ์ สามารถคัดกรองความไม่จริงออกจากความเป็นจริงแท้ได้ แล้วทำให้ตัวเองมีพฤติกรรมเหมือนกับพระป่าที่ปฏิบัติธรรมได้ถูกตรงตามธรรมวินัย
 

2431,
กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง

ขออนุโมทนาถึงกุศลที่ทางอาจารย์ได้ช่วยชี้แนะแนวทาง และเผยแผ่ธรรมแก่สาธุชนทั้งหลาย

ปัจจุบันลูกปฏิบัติโดยการนั่งทำความรู้สึกตัว ดูลมหายใจบ้าง ดูท้องบ้าง ดูกายที่นั่งอยู่บ้าง มีอะไรมาให้ดู ก็ตามดูตามรู้ไป ไม่ได้มีการกำหนด รู้สึกว่าสบายดี ไม่เคร่งเครียด ไม่เพ่งจ้อง แต่ระยะเวลาในการนั่ง จะนั่งได้อยู่ไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง ซึ่งสิ่งที่ลูกกำลังปฏิบัติอยู่เรียกวิปัสสนาใช่หรือไม่  

ลูกมีปัญหาขอเรียนถามดังนี้

1. จากที่เห็นไม่ว่าจะเป็นภิกษุสงฆ์ หรือ ฆราวาส ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จนกระทั่งได้ประสบการณ์ตรง และสามารถนำมาเผยแผ่บอกกล่าวธรรมทั้งหลายได้ ล้วนแต่เริ่มต้นด้วยการปฏิบัติตามแนวทางสมถะมาก่อน แล้วจึงมาพัฒนาต่อในแนววิปัสสนา ดังนั้น สำหรับคนที่ไม่เคยผ่านการปฏิบัติมาก่อน และ จิตยังไม่ตั้งมั่น ทางที่ถูกจึงควรพัฒนาจิตของตนเองให้ตั้งมั่นด้วยแนวทางของสมถะ จะเป็นการดีกว่าเริ่มด้วยแนวทางวิปัสสนาหรือไม่

2. ในการปฏิบัติ จำเป็นแค่ไหนที่จะต้องเดินจงกรมก่อนนั่งสมาธิ เพราะเห็นบางแห่งก็ให้เดินสลับนั่ง บางแห่งให่นั่งโดยไม่มีการเดิน และถ้าหากว่าการปฏิบัติจำเป็นต้องเดินจงกรมสลับนั่งสมาธิ ควรเริ่มต้นที่ระยะเวลาเท่าใด และสามารถพัฒนาต่อไปได้ถึงเวลาเท่าใด ควรต้องตั้งนาฬิกาบอกเวลา หรือ กำหนดจิต หรือ ปล่อยให้เป็นไปตามสภาวะของจิต

3. อยากปฏิบัติแบบจริงจังโดยการอยู่พรรษา (บวชชี) รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำสถานที่ที่เหมาะควรแก่การปฏิบัติ

กราบขอบพระคุณและขออุทิศบุญกุศลที่ได้ให้กับทางอาจารย์ด้วยค่ะ

ด้วยความเคารพ

คำตอบ
      การตามดู ตามรู้ สิ่งที่เข้ากระทบจิต แล้วเห็นว่า สิ่งที่เข้ากระทบดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตย่อมเห็นสิ่งกระทบไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) จิตย่อมปล่อยวาง แล้วว่างเป็นอุเบกขา พร้อมกับมีปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งกระทบนั้นเกิดขึ้น ลักษณะอย่างนี้เรียกว่าเป็นวิปัสสนาภาวนา

     (๑) ผู้ใดมีจิตยังไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ผู้นั้นย่อมไม่สามารถพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ ด้วยเหตุนี้ในยุคปัจจุบัน บุคคลจึงต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิได้แล้ว จึงนำจิตไปพัฒนาต่อตามแนวของสติปัฏฐาน ๔ แล้วปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้น

      (๒) ผู้ใดพัฒนาจิตให้เป็นสมาธิมาก่อนแต่อดีตชาติ ไม่จำเป็นต้องมาปฏิบัติธรรมดังที่คนในยุคปัจจุบันได้ทำอยู่ เพียงแต่ใช้จิตที่เป็นสมาธิพิจารณาธรรมที่ได้ยินได้ฟัง (โยนิโสมนสิการ) ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ดังที่อุปติสสะ (พระสารีบุตร) โกลิตะ (พระมหาโมคคัลลานะ) พาหิยะ โสปากะ ฯลฯ ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างอยู่ในครั้งพุทธกาล

      การเริ่มปฏิบัติธรรมมิได้ขึ้นอยู่กับกาลเวลา แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม (สัปปายะ) และความพร้อมของแต่ละบุคคล และไม่ควรใช้เวลาจากนาฬิกาเป็นตัวกำหนด เพราะจะทำให้จิตไปจดจ่ออยู่กับนาฬิกาแล้วสมาธิจะไม่เกิด แต่หลังจากเลิกปฏิบัติธรรมแล้ว จึงดูเวลาได้

      (๓) แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรม ที่สำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เพราะที่นั่นปลอดภัยกับสุภาพสตรี
 

2430.
กราบเรียน ดร สนอง ที่เคารพ

กระผมข้อสงสัยดังนี้ครับ

1. การฝึกปฏิบัติธรรมให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง จำเป็นต้องฝึก สมถกรรมฐาน ก่อนหรือไม่ หรือ สามารถใช้วิปัสนากรรมฐานได้เลย

2. การฝึกให้จิตเข้าถึงสมาธิสูงสุดทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ง่ายหรือเร็วขึ้น กระผมเข้าใจถูกหรือไม่ครับ

3. การที่กำหนดอิริยาบถย่อย ในชีวิตประจำวันเป็นการเจริญสมถกรรมฐานหรือวิปัสนากรรมฐานครับ

4. การที่ยังชอบร้องเพลงคลอเพลงไม่เป็นการผิดศีล แต่ทำให้ปฏิบัติธรรมแล้วไม่เข้าถึงธรรมถูกต้องไหมครับ

5. สุดท้ายนี้ กระผมขอ อโหสิกรรม ที่กระผมได้ล่วงเกินท่าน ดร สนอง วรอุไร ทั้งกาย วาจาและใจ ด้วยครับ  

ขอบพระคุณท่าน อาจารย์เป็นอย่างสูงครับ  

คำตอบ
      ( ๑ ) ผู้ที่เคยฝึกจิตมาแต่อดีต จนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้ว สามารถพิจารณาธรรมโดยแยบคาย ( โยนิโสมนสิการ ) ก็สามารถบรรลุธรรมได้ โดยไม่ต้องฝึกสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน แบบที่คนในยุคปัจจุบัน ( ส่วนใหญ่ ) ประพฤติกันอยู่

     ( ๒ ) จิตตั้งมั่นแน่วแน่ ( อัปปนาสมาธิ ) จึงจะเรียกว่าเป็นสมาธิสูงสุด ผู้มีจิตเป็นสมาธิสูงสุด ไม่สามารถพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ เหตุเป็นเพราะจิตไม่สามารถรับสิ่งกระทบภายนอกใดเข้าปรุงอารมณ์ จึงไม่สามารถพิจารณาอารมณ์อันเนื่องจาก กาย เวทนา จิต ธรรม กฎไตรลักษณ์ ตรงกันข้าม ผู้ใดถอนจิตออกจากความทรงฌาน ( อัปปนาสมาธิ ) จิตจึงจะตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ( อุปจารสมาธิ ) จึงจะเกิดอารมณ์อันเนื่องด้วย กาย เวทนา จิต ธรรม เมื่อนำมาพิจารณาตามกฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้น จึงจะส่งผลให้สภาวธรรมในดวงจิต เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี และเป็นพระอรหันต์ได้

     ( ๓ ) ได้ทั้งสองอย่างตามจินตนาการของจิต

     ( ๔ ) ถูกต้อง จิตยังเข้าไม่ถึงสภาวธรรมของการเป็นอริยบุคคลและไม่ถูกต้อง จิตยังสามารถเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิประเดี๋ยวประด๋าว ( ขณิกสมาธิ ) ได้

     ( ๕ ) อโหสิ จงมีใจเห็นถูกตามธรรม แล้วอิสรภาพที่สมบูรณ์ของชีวิตจึงจะเกิดขึ้น
 

2429.
เรียน อาจารย์สนอง ที่เคารพยิ่ง

   ดิฉันได้ติดตามผลงานและเรื่องราวของอาจารย์มานานหลายปีแล้วค่ะ....ตอนนี้ดิฉันได้ฝึกภาวนา เดินจงกรม เสมอเมื่อเวลาและโอกาสอำนวยค่ะ

แต่ดิฉันมีเรื่องจะปรึกษา ดังนี้ ค่ะ
 1. เวลานั่งภาวนาหรือนั่งสมาธิ ดิฉันไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน แต่เมื่อครบเวลาที่กำหนดไว้ว่าจะหยุด ก็ลืมตาขึ้นมาตรงเวลานั้นตลอดค่ะ.. ดิฉันอยากถามว่าทำอย่างไร ถึงจะพ้นสภาวะตรงนี้ได้คะ
เพราะไม่ว่าจะลองภาวนาอย่างไร ก็เหมือนจะหลับทุกครั้ง แต่ก็มีอาการตัวพองบ้าง แลบลิ้นบ้าง อาการร้อนวูบวาบเหมือนเลือดสูบฉีด ดันตามร่างกายเป็นอย่างมาก ดิฉันก็ภาวนาตามอาการเหล่านั้น จนหายไปค่ะ
  ไม่ทราบว่ามีวิธีแก้ไขอย่างไรอาการหลับไม่รู้ตัวอย่างไรคะ
 
2. การเดินจงกรม ดิฉันได้ฝึกที่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ซึ่งได้ฝึกเพียงระยะ 1 กับระยะ 2 เท่านั้น เมื่อกลับมาบ้านดิฉันได้ศึกษาจากหนังสื่อ การเดินจงกรมระยะ 3 - 6 ไม่ทราบว่าดิฉันสามารถปฏิบัติตามหนังสือเหล่านั้นได้หรือไม่ค่ะ หรือว่าต้องไปฝึกกับครูบาอาจารย์ก่อนถึงจะปฏิบัติเองที่บ้านได้

ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
      ( ๑ ) ตื่นขึ้นมาได้ตรงกับเวลาที่กำหนดไว้ เพราะการอธิษฐานมีเหตุปัจจัยลงตัว จึงให้ผลปรากฏได้ถูกตรงกับที่ตั้งจิตปรารถนาได้

     ส่วนเรื่องที่ไม่รู้เวลาว่าหลับไปตอนไหน เป็นเพราะจิตยังตั้งมั่นถึงคำว่ามหาชาติ ผู้ใดพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) จนระลึกได้ ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาล พระพุทธโคดมได้ตรัสกับหมู่ภิกษุที่นั่งแวดล้อมในทำนองที่ว่า

     พระพุทธโคดม : เธอเจริญมรณัสติอย่างไร ?
       ภิกษุรูปที่ ๑ : เราพึงมนสิการว่า เราจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงคืนหนึ่งกับวันหนึ่ง

       ภิกษุรูปที่ ๒ : เราพึงมนสิการว่า เราจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วบิณฑบาตมื้อหนึ่ง

       ภิกษุรูปที่ ๓ : เราพึงมนสิการว่า เราจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะเคี้ยวข้าวคำหนึ่ง

       พระพุทธโคดม : เธอทั้งสามยังเป็นผู้ประมาท ผู้ไม่ประมาทต้องระลึกอยู่เสมอว่า เราจะมีชีวิต
                  อยู่ได้เพียงชั่วขณะที่หายใจเข้า เราจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะที่หายใจออก

     ผู้ใดพัฒนาจิตได้ถูกตรงตามนี้จึงจะเรียกว่าเป็นมหาสติ ผู้มีมหาสติ ย่อมไม่มีปัญหาเรื่องการหลับไม่รู้ตัว

     ( ๒ ) ผู้ใดสั่งสมบารมีมาแต่อดีตชาติจนมีมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องอ่านแล้วทำตามตำราคัมภีร์ใดๆ ก็สามารถบรรลุมรรคผลแห่งธรรมได้ ส่วนผู้ที่มีบารมีแต่สั่งสมมาไม่มาก จำเป็นต้องแสวงหาครูบาอาจารย์ที่แนะนำได้ถูกตรงตามธรรม หรือครูบาอาจารย์ที่เข้าถึงธรรมมาเป็นผู้ชี้นำแนวปฏิบัติให้กับศิษย์ ศิษย์จึงจะสามารถนำคำชี้แนะไปปฏิบัติเองที่บ้านได้
 

2428.
กราบเรียน : อาจารย์สนองที่เคารพและนับถือ

หนูเข้าปฏิบัติกรรมฐาน สายของท่านเจ้าคุณโชดก โดยลูกศิษย์ของคุณแม่ดร.สิริ กรินชัย เป็นวิทยากรนำฝึกปฏิบัติ ช่วงสิ้นปีเก่า-ช่วงปีใหม่ ประมาณ 3-5 วัน เป็นจำนวน 3-4ครั้ง (หนูมีครอบครัวและทำงานที่กทม.)จากการที่นำพาตนเองเข้าปฏิบัติรู้สึกดีขึ้นมาก อาทิ จิตปล่อยวางมากขึ้น รู้ทันจิตตน คิดเป็นเหตุเป็นผล มีกุศลจิต ฯลฯ ในปีนี้ชวนพ่อ-แม่เข้าปฏิบัติ ช่วงวท.17เมย.56 ที่จะถึงนี้ 3 วัน 2 คืน (บ้านเกิดเดิมของพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด) สถานปฏิบัติ เป็นของแม่ชี (รู้จักกัน )ซึ่งสร้างเพื่อไว้สำหรับปฏิบัติและเรียนเชิญประชาชนที่มีความสนใจเข้าร่วมปฏิบัติและฉลองเมื่อมค.56 ที่ผ่านมา ซึ่งหนูขออนุญาตและแจ้งเจตจำนงไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วและขอเชิญแม่ชีนำพ่อ-แม่ ตัวหนู , น้องๆและลูกปฏิบัติ ซึ่งแม่ชีก็บอกให้หนูจัดการทุกสิ่งอย่าง คือนำพาปฏิบัติเอง ( Area บ้านเกิดไม่มีวัดปฏิบัติวิปัสสนาค่ะ)

คำถาม :-

1.  จากคำพูดของแม่ชี โดยให้หนู นำพาพ่อแม่และญาติๆปฏิบัติเอง (โดยมีตัวอย่างภูมิรู้ที่เราเคยเข้าปฏิบัติ) จะได้หรือค่ะ ซึ่งแม่ชีอธิบายว่า หากจิตเราบริสุทธิ์ คือมีความตั้งใจ และพ่อแม่ก็ตั้งใจ ทุกคนก็ตั้งใจ กุศลมันก็เกิดแล้ว เพราะสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ดี ให้ทุกคนมารักษาศีล ฟังธรรม ภาวนา (นั่งสมาธิ , เดินจงกลม) และหนูก็จัด “ตารางเวลาปฏิบัติ” ซึ่งจะมี VCD. ของครูบาอาจารย์ อาทิ

   •  การเดินจงกลม-นั่งสมาธิ(ดร.สิริ กรินชัย) , อรหันต์พลิกฝ่ามือ(อ.เรวัติ ไรวา) , พระคุณแม่(อ.ทองคำ) , ปัญญารู้แจ้ง(ดร.สนอง วรอุไร ), มรรคานุคา(อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม) และ MP3 ของดร.สนอง วรอุไร ประมาณนี้

2.  ก่อนปฏิบัติจะให้พ่อแม่จุดธุปเทียน พวงมาลัย ถวายพระ สวดมนต์ สมาทานศีล ได้ใช่ไหมค่ะ โดยอธิษฐานจิต ขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณพระศรีรัตนตรัย คุณบิดา-มารดา คุณครูบาอาจารย์ และเทพพรหมทุกๆพระองค์ที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา

ท้ายนี้ในนามครอบครัวของหนู หากคิด พูด ทำ ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจซึ่งเป็นการก่อภพก่อชาติ ขอขมาอโหสิกรรม มา ณ ที่นี้ด้วย ขอให้หนูและครอบครัวมีความสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม มีดวงตาเห็นธรรม เกิดมาชาติหนึ่งชาติใดก็ขอให้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาด้วยเทอญ

ด้วยความเคารพ

คำตอบ
       ที่เขียนบอกเล่าไป เป็นการปฏิบัติธรรมได้ผลถูกตรงแล้ว จงปฏิบัติต่อไปและรักษาใจ ( พละ ๕ ) ให้มีกำลังต้านมารให้ได้ แล้วความสวัสดีของชีวิตจึงจะเกิดขึ้น

     ( ๑ ) การชักชวนคนอื่นให้หันมาปฏิบัติธรรม ผู้ชักชวนต้องมีธรรมวินัยคุ้มรักษาใจตัวเองให้ได้ก่อน ความสมบูรณ์ในศรัทธาของผู้ถูกชักชวนจึงจะเกิดขึ้น เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วย่อมได้มรรคผลก้าวหน้า

     ( ๒ ) ที่บอกเล่าไปเป็นพิธีกรรม หรือเป็นกุศโลบายที่จะทำให้ผู้เริ่มปฏิบัติธรรมเกิดความศรัทธา แล้วความตั้งใจในการปฏิบัติธรรมจึงจะเกิดขึ้น

สุดท้าย อโหสิให้แล้ว จงพัฒนาจิตให้มีธรรมคุ้มรักษาตลอดไป
  

2427.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์

ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์สนองครับ ว่าในจังหวัดเชียงใหม่มีครูบาอาจารย์ท่านใด ที่ท่านเมตตาสอนศิษย์โดยตรงบ้างครับ เพราะกระผมไปมาหลายที่ส่วนใหญ่เป็นลูกศิษย์ท่านสอนครับ จิตที่มันยังไม่ถูกพัฒนามันคิดลบครับ มันเกิดความไม่ศรัทธาแล้วมันก็ไม่พาให้ไม่ปฏิบัติอย่างจริงจัง เพราะกระผมต้องการจะไปปฏิบัติช่วงปิดเทอมนี้ครับ กระผมจะหยุดช่วงปลายเดือนเมษานี้ครับ

กระผม นายชินธ์ดนัย พุฒแดง ครับ กระผมอยู่ที่เชียงใหม่ครับ

คำตอบ
      การเลือกครูสอนกรรมฐาน หากเป็นลูกศิษย์ที่มีพฤติกรรมถูกตรงตามธรรมวินัย ก็เป็นครูสอนได้

     จิตที่มีกำลังของสติอ่อน ย่อมเป็นเหตุทำให้มีความคิดติดลบ

     บุคคลจะศักดิ์สิทธิ์ได้ต้องมีศีลมีสัจจะคุมใจ ผู้ใดเอาชนะใจตนเองได้แล้ว ชีวิตนี้ไม่มีอะไรจะแพ้อีก ดังนั้นพึงดูตัวเอง แล้วปรับแก้ไขเหตุให้ถูกตรง ความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้น
 

2426.
กราบเรียน   อ.สนอง ที่เคารพ

      ก่อนอื่นผมต้องขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ที่เป็นผู้จุดประกายให้ผมหันมาเริ่มปฏิบัติสมถภาวนา จากการที่อาจารย์พูดในการบรรยายอยู่เสมอว่า “ ท่านไม่ต้องเชื่อผู้บรรยายหรอกครับ ให้ลองพิสูจน์ดูด้วยตนเอง ” แม้ว่าเริ่มต้นอาจจะไม่ก้าวหน้าเหมือนอย่างคนอื่นๆ (บ้างคนก็เห็นนิมิต บ้างเข้าภวังค์) แต่จิตของผมกลับไม่นิ่ง คิดฟุ้งซ่านไปทุกครั้ง อาจจะเป็นเพราะศีล 5 ไม่คลุมใจก็เป็นได้ แต่ยังไงก็คิดว่าจะพยายามเดินหน้าต่อไปครับ

      ผมจะรบกวนขอคำชี้แนะจากอาจารย์เกี่ยวกับปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องศีล ที่ทำให้ผมปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้า ดังนี้ครับ

     1.เมื่อก่อนผมเคยมีมิจฉาทิฏฐิที่เกี่ยวข้องกับพระรัตนตรัยว่า พระพุทธเจ้าก็น่าจะเป็นคนธรรมดาเหมือนคนทั่วไป , พระอรหันต์ในยุคปัจจุบันไม่มี   สิ่งเหล่านี้ด้วยหรือเปล่าที่ทำให้ผมไม่ก้าวหน้า การขอขมาพระรัตนตรัยแบบทำวัตรเย็น (กาเยนะ วาจายะ ฯ) เพียงพอหรือไม่ หรือต้องทำสิ่งอื่นใดเพิ่มเติม

     2.ผมชอบดาวน์โหลดธรรมบรรยายของหลายๆ ท่าน   มาเก็บไว้ในโทรศัพท์ /tablet สำหรับไว้ฟังเอง อาทิ หลวงตาบัว หลวงพ่อวิริยังค์ และของอาจารย์ / พระอาจารย์ของชมรมกัลยาณธรรม (รวมถึง อาจารย์สนอง) การดาวน์โหลดมาอย่างนี้ถือเป็นโทษกับการปฏิบัติธรรมของผมหรือไม่ ต้องแก้ไขอย่างไรหรือไม่ครับ เพราะเป็นการดาวน์โหลดมาฟังเอง ในพื้นที่ที่ internet ไม่เสถียร แทนที่จะฟังจาก Youtube โดยตรง และไม่ได้นำไปเผยแพร่ต่อแต่อย่างใด

     3.จากข้อ 2. หากเป็นการไม่สมควรแล้ว ในส่วนของอาจารย์สนองเอง ผมขออนุญาตดาวน์โหลดการบรรยายธรรมอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงขออนุญาตที่ได้ดาวน์โหลดย้อนหลังมาแล้ว ขอความเมตตาจากอาจารย์ด้วยครับ

     4.ไม่ทราบว่าอาจารย์มีสิ่งใดเมตตาชี้แนะ เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของผมอีกบ้างไหมครับ เผื่อว่าจะเป็นจุดที่ผมมองข้ามไป

     5.หากผมเคยมีมโนกรรม วจีกรรม หรือกายกรรมใด ที่ได้ส่อไปในทางล่วงเกินอาจารย์สนองไปในชาตินี้ หรือชาติที่แล้วๆ มา ผมกราบขออโหสิกรรมด้วยครับ

      ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
     
( ๑ ) ผู้ที่มีความเห็นผิดไปจากความเป็นจริงแท้ ( ตามที่บอกเล่าไป ) ปฏิบัติธรรมย่อมเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ ผู้ใดขอขมากรรมแล้ว มีศีลมีสัจจะคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ จะคิด จะพูด จะทำอะไร ย่อมสำเร็จลงด้วยดี

     ( ๒ ) และ ( ๓ ) ที่เขียนบอกเล่าไป ไม่เป็นโทษต่อการปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด

     ( ๔ ) แนะนำว่า ทุกขณะตื่นต้องมีกาย มีวาจา และมีใจตรงกัน แล้วเร่งความเพียรในการปฏิบัติธรรม จะทำให้มรรคผลก้าวหน้าได้อย่างถูกตรง ควรนำตัวเองไปปฏิบัติธรรมที่วัดมเหยงคณ์ จังหวัดอยุธยา แล้วทำให้ได้อย่างเจ้าอาวาสวัดนั้น

     ( ๕ ) สุดท้ายอโหสิให้แล้ว จงมีธรรมวินัยคุ้มรักษาใจ ตลอดไปจนกว่าจะนำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏสงสาร
 

2425.
กราบเรียนท่านอาจารย์

ขอถามว่า หากเราได้ดูหรือได้ฟัง ธรรมบรรยาย หรือ กิจกรรมอันใดที่เป็นประโยชน์เป็นบุญกุศล แล้วเกิดซาบซึ้ง/ศรัทธา ในกิจกรรมที่ได้ยินได้ฟังนั้นๆ แม้ว่าจะเป็นเทปบันทึกภาพ/เสียงที่ในเวลาที่ผ่านมาแล้ว มิใช่การแสดงแบบสด แล้วเรากล่าวอนุโมทนาสาธุ   เราจะได้บุญจากการได้ยินได้ฟังนั้นหรือไม่ ประการใด  

โปรดให้ความกระจ่างด้วย

ขอขอบพระคุณอย่างสูง  

คำตอบ
      คำว่า “อนุโมทนา” หมายถึง ยินดีด้วย หรือมีใจยินดี เมื่อได้ยินได้ฟังทางโสตประสาท ครั้งใดที่บุคคลได้ระลึก ได้รู้ ได้เห็น ได้ศรัทธาในสิ่งดีงาม แล้วมีใจยินดีด้วย ครั้งนั้นกุศลธรรมได้เกิดขึ้น แล้วเก็บสั่งสมอยู่ในดวงจิตเป็นบุญ ตรงกันข้าม ครั้งใดที่บุคคลได้ระลึก ได้รู้ ได้เห็น ได้ศรัทธา ในสิ่งชั่วร้าย แล้วมีใจยินดีด้วย ครั้งนั้นอกุศลธรรมได้เกิดขึ้น แล้วสั่งสมไว้ในดวงจิตเป็นบาป ด้วยเหตุนี้บุคคลจึงมีทั้งบุญและบาปเป็นของตัวเอง ชีวิตที่สะดวก ราบรื่น และมีความสุข เกิดขึ้นเพราะมีบุญให้ผล ชีวิตที่มีอุปสรรคมีปัญหาให้ต้องแก้ไข มีความทุกข์ เกิดขึ้นเพราะมีบาปให้ผล
 

2424.
เรียน ท่านอาจารย์สนอง คะ

ได้อ่านหนังสือของครูบาอาจารย์หลายท่าน ท่านว่าเวลาปฏิบัตให้เพ่งตรงหทัยวัตถุ เพราะตรงนี้เป็นที่รวมของสังขาร อยากทราบว่า อยู่ตรงบริเวณไหนของร่างกายคะ

ขอบพระคุณคะ

คำตอบ
      เป็นหน่วยเล็กที่สุดอยู่ในใจกลางของหัวใจ (heart) ตาเปล่ามองไม่เห็น
 

2423.
กราบพระอาจารย์สนอง ที่เคารพอย่างสูง

ชีวิตของข้าพเจ้า ดำเนินอยู่ทุกวันนี้ตระหนักถึงหน้าที่ทางโลก ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งหมดทำให้เหนื่อยทั้งกายและใจ แม้ทำตามคำสอนของท่านว่า "ช่างมันเถอะ" แล้ว ก็ยังทำหน้าที่ให้ที่ดีที่สุด   ข้าพเจ้ารู้ตัวดีว่า เป็นคนที่คิด พูด ทำ เร็ว จนคนใกล้และคนอื่นตามไม่ทัน เพราะรู้ว่าเวลาก็ล่วงเร็วตามกัน

ในทางธรรม ข้าพเจ้าตระหนักมากยิ่งขึ้นด้วยคำสอนของท่าน ทำให้เย็นลงมาก ทำใจได้ ทุกวันเช้าค่ำ สวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา ตั้งตนอยู่ในศีลและธรรม   เวลานั่งสมาธิ ไม่นิ่ง และนั่งไม่นานเท่าที่ควรจะเป็น ตั้งใจปฏิบัติต่อไปไม่ท้อ

ขอเรียนถามพระอาจารย์ค่ะ

1.  ข้าพเจ้าทำหน้าที่ทั้งทางโลกและธรรมร่วมกันไปเช่นทุกวันนี้ เป็นไปถูกทางแล้วไหมคะ

2.  หากข้าพเจ้ายังทำหน้าที่ทางโลกไม่แล้วเสร็จ จะแยกตัวไปปฏิบัติธรรมอย่างเดียว กระทำได้หรือไม่อย่างไรจึงจะสมควรแก่ตนและครอบครัวคะ

3.  คนในครอบครัวไม่เห็นดีเห็นงามกับข้าพเจ้าในทางธรรม   แม้จะมีทึท่าอ่อนลงแล้วก็ตาม ข้าพเจ้าจะมีโอกาสทางธรรมของตนเองไหมคะ

4.  การลดอัตตา ต้องทำอย่างไรคะ

5.  ทำบุญทำทานอย่างไรให้อานิสงค์สูงคะ

6.  ทำการค้าวิธีใดให้เจริญรุ่งเรืองคะ

7.  สถานปฎิบัติใดเหมาะสมกับข้าพเจ้าคะ

ขอกราบขอบพระคุณพระอาจารย์ มา ณ ที่นี้   หากกรรมใดที่ข้าพเจ้า และ/หรือ คนในครอบครัวข้าพเจ้า ได้ล่วงเกินพระอาจารย์ จะตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการ   ขอพระอาจารย์ได้โปรดอโหสิกรรม ให้ด้วยค่ะ   และขอให้พระอาจารย์โปรดให้คำแนะนำข้าพเจ้าเพื่อปฏิบัติตนให้ดีงามทั้งโลกและธรรมด้วยเจ้าคะ

ระวีวรรณ

คำตอบ
      ( ๑ ) ตราบใดที่บุคคลยังมีภาระหน้าที่ในสังคมให้ทำ ผู้ฉลาดย่อมไม่ปฏิเสธการกระทำนั้น นอกจากนี้ผู้ฉลาด ยังต้องทำงานให้กับตัวเองเพื่อสร้างปัจจัย ( อริยทรัพย์ ) เดินทางไปสู่การพ้นวัฏฏะ ดังนั้นที่ถามไปเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว

    ( ๒ ) กระทำได้ต่อเมื่อบุญบารมีเก่าที่สั่งสมมาแต่อดีตชาติ ให้ผล

     ( ๓ ) บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง คนที่มีความเห็นผิด ( มิจฉาทิฏฐิ ) ชอบเข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของคนอื่น ผู้มีความเห็นถูกจึงประพฤติตรงกันข้าม ผู้ถามปัญหาจะมีโอกาสนำพาชีวิตให้มาเดินอยู่ในทางธรรมได้ต่อเมื่อ กำลังของใจ ( พละ ๕ ) ต้องมีอำนาจเหนือกำลังของกิเลสมาร

     ( ๔ ) การลดอัตตาทำได้ด้วยการประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น จริยธรรมลูกของพ่อแม่ จริยธรรมของภรรยาของสามี จริยธรรมพลเมืองของประเทศชาติ ฯลฯ

      ส่วนการกำจัดอัตตาให้หมดไปจากใจ ต้องพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาที่พัฒนาได้มาดับขันธ์ ๕ ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) เมื่อขันธ์ ๕ ดับ ( อนัตตา ) ความเห็นแก่ตัว ( อัตตา ) ย่อมดับตามไปด้วย

    ( ๕ ) ทำบุญด้วยการปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงธรรมได้แล้ว โอกาสที่จะนำพาชีวิตพ้นไปจากวัฏสงสาร ( นิพพาน ) ย่อมมีได้ นี่เป็นบุญสูงสุด

     ส่วนการให้ธรรมะเป็นทาน เป็นการให้ที่สูงสุด เพราะปฏิคาหกสามารถพิจารณาธรรม ( โยนิโสมนสิการ ) จนเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลได้

    ( ๖ ) จะให้การค้าขายเจริญ ต้องมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่มีอุปการคุณ เช่น พ่อแม่ แผ่นดินเกิด ลูกค้าที่มาใช้บริการ ฯลฯ และมีอิทธิบาน ๔ เป็นเครื่องสนับสนุน คือ ค้าขายด้วยใจรัก ( ฉันทะ ) ค้าขายด้วยความพากเพียร ( วิริยะ ) ค้าขายด้วยมีใจจดจ่อ ( จิตตะ ) และค้าขายด้วยการใช้ปัญญาไต่สวน ( วิมังสา )

     ( ๗ ) สำนักปฏิบัติธรรมป่าละอู จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เหมาะกับผู้ถามปัญหา สุดท้ายอโหสิให้แล้ว
 

2422.
เรียนอาจารย์สนองครับ

ผมคือคนที่ถวายหนังสือครูบาบุญชุ่มกับปัจจัยที่สนามบินเชียงใหม่นะครับ  

  1. กลางปีที่แล้วจนถึง ณ ปัจจุบันวันนี้เดือนมีนาคม 2556 ผมลองเปลี่ยนศีลเป็นอพรัมจริยา  แต่ยังคงเป็นศีล 5 สารภาพศีลที่เปลี่ยนขาดสามครั้งในช่วงที่เปลี่ยนมา  ทุกวันพยายามเดินจงกรมไม่ขาดวันละ 1 - 2 ชั่วโมง  พร้อมนั่งสมาธิและบริกรรมระหว่างวันในขณะทำงาน  ผมลองใช้หนังสืออสุภมาช่วยในการเจริญกรรมฐาน  และทรงภาพพระไว้ในขณะกำลังทำงาน  ถ้ามีอารมณ์กำหนัดเข้ามาผมจะยกอสุภเข้าช่วย  แต่ในความรูสึกไม่หมดง่ายๆ ในอารมณ์กำหนัดนี้  ขอถามว่าเราควรจะมีวิธีและกำลังใจอย่างไรในการรู้ทันและละวางได้ครับ
     
  2. บางครั้งลมหายใจจะขาดแต่ไม่ขาดจริงๆ  เป็นเพราะอะไรครับ ?
     
  3. ช่วงนี้เวลาเดินจงกรม  บางทีขณะทำงาน  หรือก่อนนอน  บางครั้งในช่วงนั่งสมาธิ  จะได้ยินหรือมีความรู้สึกถึงหัวใจเต้น  หรือชีพจรเต้น  เป็นครึ่งชั่งโมงหรือชั่วโมงในแต่ละครั้ง  ผมควรจะทำอยางไรต่อไปครับ  มันเต้นช่วงเหนือสะดือ  บางครั้งช่วงกำบังลม

ขอเมตตาอาจารย์ช่วยสงเคราะห์ด้วยนะครับ

คำตอบ
     การจินตนาการอสุภะ ยังไม่เหมาะกับจริตของผู้ถามปัญหา แต่หากเมื่อใดหาโอกาสนำตัวเองไปดูซากศพที่วัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี แล้วงดอาหารตอนเย็น หรือหันมาบริโภคมังสวิรัต ความกำหนัดจึงจะถูกกำจัดลงได้

     ขณะนั่งสมาธิ หากได้ยินเสียงหัวใจเต้นหรือชีพจรเต้น ต้องกำหนดว่า “ได้ยินหนอๆๆๆๆ” จนกว่าการได้ยินจะดับไป ผู้ที่ไม่เลิกกำหนดลงกลางคัน เป็นผู้ชนะใจตัวเอง แล้วปัญหาที่ถามไปจึงจะแก้ไขได้ … . พิสูจน์ไหม

     อนึ่ง ความรู้สึกว่าลมหายใจจะขาด เป็นเรื่องของมัจจุมารมาทดสอบกำลังใจของผู้ถามปัญหา ท่านเจ้าคุณโชดกเคยพูดไว้เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๑๘ ว่า “ธรรมของพระพุทธเจ้า ต้องเอาชีวิตเข้าแลก” ผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วเป็นความจริงครับ
 

2421.
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพค่ะ

            หนูได้เรียนรู้การปฏิบัติมาในหลาย ๆ รูปแบบ แบบที่เคยเรียนรู้มาคือ ภาวนา พุทโธ และ กำหนดสติตามรู้ในชีวิตประจำวันค่ะ ทีนี้เท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมานั้นเหมือนกับว่าแนวทางการปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติจะต้องทำจิตให้นิ่งในระดับหนึ่งเมื่อจิตนิ่งพอแล้ว ค่อยยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา ทีนี้หนูมีข้อสงสัยว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่เราถึงจะยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา แล้วการยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนานั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องทำจิตอย่างไรค่ะ ถึงจะถูกต้องตามแนวทางการปฏิบัติค่ะ ณ ขณะนี้แนวทางการปฏิบัติของหนูคือ นั่งสมาธิแบบการภาวนาพุทโธ เพราะรู้สึกว่าทำให้จิตนิ่งดีกว่าการกำหนดแบบยุบหนอ พองหนอค่ะ   และกำหนดสติตามรู้ในชีวิตประจำวัน (ซึ่งก็ตกหล่นเผลอไปอยู่เยอะค่ะ) การปฏิบัติแบบที่หนูปฏิบัติอยู่นี้ถูกต้องเพียงพอหรือไม่คะ หรือ ต้องมีเพิ่มเติมสิ่งใดอีกหรือไม่คะ ขอความเมตตาอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

           ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
      แนะนำให้ผู้ถามปัญหาฝากตัวเป็นศิษย์กับเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี หรือ เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ จังหวัดอยุธยา แล้วปัญหาที่สงสัยจึงจะถูกกำจัดให้หมดไปได้
 

2420.
เรียนท่านอาจารย์สนอง

ผมได้ทำตามที่อาจารย์แนะนำมาเรื่อยๆ ที่ผมเคยว่า เวลาเจอคนทำไม่ดีต่อเรา เราควรทำอย่างไร  กังวลเรื่องงานควรทำอย่างไร ถึงตอนนี้ ผมรู้แล้วว่า เหตุของมัน ผมเป็นผู้ทำเองทั้งหมด ผมตกเป็นทาสของสิ่งกระทบ จึงเอาเรื่องภายนอกมาทำใจให้เศร้าหมอง ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้เลยว่าผมนั่นแหละทำ ผมรู้สึกสำนึกในบุญคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทุกท่าน และท่านอาจารย์ ที่ได้นำแนวทางมาสอน ไม่งั้นผมคงจมในทุกข์ แก้ปัญหาอย่างไม่จบสิ้น  ธรรมเป็นสิ่งมีค่าที่สุดที่ผมได้เจอ เพราะสิ่งต่างๆที่หามาเอาทุกข์ออกจากใจไม่ได้  ผมจะพยายามทำต่อไป หากผมได้ล่วงเกินต่ออาจารย์ขอให้อาจารย์อโหสิให้ผมด้วยครับ

นัท  

คำตอบ
      ผู้ใดเลิกโง่ ผู้นั้นพ้นทุกข์ … . สาธุ อโหสิให้แล้ว
 

2419.
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ

    ขออาจาราย์เมตตาช่วยอธิบายครับ คือ

1. ผมเชื่อว่าไม่มีใครมีศีลบริสุทธํิ์ หรอกครับ คือเป็นคนบาปทุกคน กล่าวคือ ตั้งแต่เด็กเล็ก   จนเป็นผู้ใหญ่   ทุกคนต้องผ่านการผิดศีล มาแน่นอน เพราะความโกรธ ความไม่รู้ ... ฯลฯ   ตัวอย่างเช่น การฆ่ายุง การเหยียบมด ยิงนก ตกปลา ตีหมา คิดไม่ดี โกหก ลักทรัพย์   ดื่มน้ำเมา   ผิดลูกเมียผู้อื่น   มุสา      คำถามคือ ภายหลังตั้งใจว่าจะไม่ทำผิดศีล...ช่วงระยะเวลาที่เราคุมไม่ผิด จะต้องทิ้งช่วงอย่างน้อยนานเท่า ไรครับ เช่น ตอนนอนหลับ   คนเราก็ไม่ผิดศีล    ขณะนั่งสมาธิ ก็ไม่ผิดศีล ดังนั้นคำกล่าวที่่ว่า   " ต้องมีศีลปฎิบัติธรรม จึงจะเข้าถึงธรรมได้ "  จะต้องเป็นช่วงระยะเวลาอย่างน้อยอย่างไร

2.  การ ผิดศีล โดยใจไม่ตั้งใจ เหตุเพราะขาดสติ ถือว่าบาปไหมครับ ?   เช่น โดยความเคยชิน ยุงกัด    มือไวกว่าความคิด ตบไปแล้ว ยุงตาย การจ่ายยาคุมกำเนิด ( ไม่ตั้งใจจะฆ่า ) เพราะเป็นเพียงการป้องกัน มิให้เกิดการเกาะตัวในมดลูก หรือ กินยาคุมหลังร่วมประเวณี การตัดสินคดีตามพยานหลักฐานในศาล       การใช้ดุลพินิจที่กระทบกับทรัพย์สิน หรือ ความเป็นอยู่เสรีภาพของจำเลย    การประหารชีวิตตามกฎหมายที่ศาลมีคำสั่ง

 ****  เท่าที่ศึกษามา การรักษาศีลให้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากมากมาก   โดยเฉพาะติดต่อกันตลอดเวลาให้ยาวนาน ****

 3.  ในพระไตรปิกฎก  ??  บางเรื่อง ไม่แน่ใจว่า เป็นเรื่องจริง หรือเปล่า ที่ กล่าวเกี่ยวกับชีวิต ว่าอายุไข ของมนุษย์ ในอตีด มียาวนาน ขนาด เป็น พัน เป็นหมื่นปี หรือ หลักในการนับเวลา หน่วยมีเวลาไม่เท่ากับปัจจุบัน    ในอตีด โลกอาจหมุนรอบตัวเอง และ รอบดวงอาทิตย์ไม่เท่ากับปัจจุบัน   ทำให้การเข้าใจ ว่ายาวนานเป็นพัน เป็นหมื่นปี

 4.  ทำไม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่มาโปรด มนุษย์ เช่น ปัจจุบัน หมายถึงมา เกิด และ โปรดสัตว์โลก  ( มนุษยฺ์)   เพราะคนปัจจุบันมีจำนวนมาก    การมาโปรดในช่วงปัจจุบัน หรือ ในช่วงที่มีมนุษย์มาก จะช่วยคนบาปได้มากกว่าคนในอตีด ( ที่มีจำนวนน้อยมาก ) เมื่อเทียบกับคนในปัจจุบัน

 5.   คำว่า " ชมพูทวีป "  หมายถึง ประเทศอินเดีย   หรือ หมายถึง โลกครับ เคยมีคนตั้งคำถามว่า ในดวงดาวอื่น จะมีพระพุทธเจ้าไหม ?

      กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงครับ

คำตอบ
      ( ๑ ) คนใกล้ตาย หากจิตยังทุศีล จิตวิญญาณมีโอกาสไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ

ขณะหลับจิตไม่มีการเกิด - ดับ ( ภวังค์ ) จิตจึงทำงานได้ จิตจึงสั่งร่างกานให้ประพฤติทุศีลไม่ได้ ตรงกันข้าม จิตที่มีการเกิด - ดับ ย่อมทำงานได้ บุคคลที่มีกำลังสติกล้าแข็ง ย่อมเอาชนะใจตนเองได้ ดังตัวอย่างอัมพปาลีโสเภณีแห่งแคว้นวัชชี สิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธ อัฑฒกาสีโสเภณีแห่งแคว้นกาสี ฯลฯ เลิกอาชีพค้ากาม ( มิจฉาอาชีวะ ) แล้วหันมาปฏิบัติธรรม จนจิตเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลที่ไม่ประพฤติทุศีลอีกต่อไป

     ถามว่า : ต้องใช้เวลานานเท่าใด จึงจะเลิกประพฤติทุศีลได้

     ตอบว่า : ขึ้นอยู่กับบารมีเก่าสั่งสมมาแต่อดีตชาติ หรือ ผู้ใดเอาชนะใจตนเองได้ ผู้นั้นจึงจะคุมพฤติกรรมมิให้ละเมิดศีลได้

     ( ๒ ) ขณะที่บุคคลยังมีจิตเกิด - ดับ หากขาดสติเมื่อใด บาปย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น

     การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ทำได้ยากกับผู้ที่มีกำลังของสติอ่อน ตรงกันข้าม เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกับผู้ที่มีกำลังของสติกล้าแข็ง

     ( ๓ ) ที่ถามไปเป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด ( อจินไตย ) ขออภัยไม่ตอบ

     ( ๔ ) ผู้ใดเข้าถึงอภิญญา ๕ และญาณ ๑๖ ได้แล้ว กาลามสูตรย่อมศักดิ์สิทธิ์ แล้วความสงสัยใดๆจะไม่เกิดขึ้น

     ( ๕ ) ชมพูทวีป หมายถึง ทวีปที่มีต้นไม้ชมพู ( ต้นหว้า ) ขึ้นอยู่ ซึ่งหมายถึงประเทศอินเดียในปัจจุบัน

     เสตุเกตุเทพบุตร จะจุติลงไปเกิดในโลกมนุษย์ ( ทวีป ) ที่มีความพร้อม ๕ อย่าง คือ
      ก . ในห้วงเวลานั้น มนุษย์ต้องมีอายุระหว่าง ๑๐๐ – ๑๐๐,๐๐๐ ปี

     ข . พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ลงมาเกิดในชมพูทวีป

     ค . ที่ชมพูทวีปมีรัตนบัลลังก์ คือเป็นมัชฌิมประเทศ

     ง . ทวีปนั้นต้องมีตระกูลที่เหมาะสม ( ขัตติยตระกูล หรือ พราหมณตระกูล )

     จ . แม่ที่จะให้ท้องลงมาเกิด ต้องสั่งสมบารมีมานาน ๑๐๐,๐๐๐ กัป และต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์

     หมายเหตุ : อีก ๓ ทวีป ( อมรโคยานทวีป ปุพพวิทเทหทวีป อุตตรกุรุทวีป ) ไม่มีความพร้อมเหมือนกับชมพูทวีป
 

2418.
กราบเรียน ท่านอาจารย์   ดร.สนอง วรอุไร
 
ท่านอาจารย์คะ หลานชายเพิ่งจบปริญญาตรี มีความต้องการอยากจะบวช
 
บ้านอยู่สุรินทร์ค่ะ    หลานชายเป็นเด็กรุ่นใหม่ เรียนคอมไซน์ ชีวิตที่ผ่านมาก็แวดล้อม
ไปด้วยสิ่งแวดล้อมแบบโลก ๆ ค่ะ
ในฐานะอา   เห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้ศึกษาธรรมะเพื่อเป็นหลักนำชีวิต   
หนูขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า วัดแถบอีสานใต้มีวัดใดบ้างคะที่เป็นวัดสอนการปฏิบัติ ตามแนวทางขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ( แถวบ้านหนูว่าเป็นวัดหลวงตาไม่ได้เน้นปฏิบัติเพื่อการศึกษาเรียนรู้ธรรมะเท่าใด)
หนูอยากให้หลานได้ไปเรียนรู้เท่าที่บุญวาสนาของเขาจะอำนวยค่ะ  
 
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
    ควรฝากตัวเป็นศิษย์กับเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้ ชีวิตนี้เกิดมาไม่สูญเปล่า … . แน่นอน
 

2417.
กราบเรียน อาจารย์สนอง วรอุไร

    ดิฉันมีปัญหาและข้อสงสัยในการปปฏิบัติธรรม อยากจะเรียนถามอาจารย์ค่ะ คือดิฉันได้ฝึกนั่งสมาธิโดยบริกรรมพุทธ โธ และถือศีล 5 อย่างเคร่งครัดมาประมาณปีหนึ่งแล้วค่ะ   ทุกคืนดิฉันจะนั่งสมาธิ พร้อมกับการฟังเทศน์ของท่านพระอาจารย์หลวงตามหาบัว จิตจะรวมลงเป็นสมาธิ พอดิฉันฝึกเข้าสมาธิได้สักระยะก็เริ่มเข้าสู่ด้านปัญญาคือเมื่อเกิดทุกข์ เวทนา ก็จะใช้ปัญญาพิจารณาทุกข์ เวทนานั้น แต่ก็พิจารณาได้บ้างไม่ได้บ้าง   จิตจะเข้าพักในสมาธิเป็นพักๆ   ถ้าพิจารณาได้ทุกข์เวทนาก็จะหายไปเอง ถ้าไม่ได้ทุกข์เวทนาจะเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆจนทนไม่ไหวจึงออกจากสมาธิ ขอให้อาจารย์สนอง ช่วยชี้แนะการปฏิบัติของดิฉันด้วยค่ะ   และรบกวนตอบปัญหาด้วยค่ะ

1. ดิฉันได้ไปบวชชีพราหมณ์ ที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ได้อธิษฐานจิตบอกหลวงพ่อขอให้มีดวงตาเห็นธรรมเหมือนกับคนอื่นบ้าง จากที่ดิฉันกำลังฝึกนั่งสมาธิและมีอาการปวดขาอย่างหนักจนเหงื่อท่วมทั้งตัว จู่ๆท่านก็เทศน์ขึ้นมา ดิฉันเย็นวาบไปทั้งตัวเหงื่อก็หายไปและอาการปวดก็หายไป จิตก็ลงดิ่งไปเรื่อยๆเกิดปิติสุขเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นดิฉันก็ปฏิบัติเองที่บ้านตลอด อยากทราบว่าเป็นเพราะหลวงพ่อท่านเมตตาดิฉันให้มีดวงตาเห็นธรรมใช่หรือไม่ค่ะ

2. ทุกคั้งหลังจากดิฉันนั่งสมาธิแผ่เมตตาเสร็จก็บริกรรมพุทธ โธ ตลอดเวลาจนหลับทำให้หลับง่ายมาก แต่ประมาณสองเดือนก่อนพอจะหลับขณะที่ยังรู้สึกตัวเกิดอาการผีอำและก็เป็นทุกคืน ไม่ว่าเราจะนอนท่าไหนรวมเวลาแล้วเดือนกว่าๆ จนดิฉันทนไม่ไหวแม่จึงแนะนำให้ไปถามคนทรงเจ้าสำนักหนึ่ง และได้คำตอบคือเขาบอกว่าดิฉันมีองค์เทพต้องรับขันธ์ถึงจะหาย ดิฉันเห็นว่าการรับขันธ์ผีขันธ์เจ้าต่างๆ มันไม่ได้เป็นหนทางในการพ้นทุกข์ ดีไม่ดีอาจจะถูกหลอกจึงเลิกนึกถึงเรื่องนี้และอาการผีอำก็หายไป ดิฉันอยากทราบว่าอาการผีอำเกิดจากอะไรค่ะ และดิฉันทำถูกหรือไม่ที่ไม่รับขันธ์

3. บางคืนพอจะเข้านอน หลับตาปุ๊บมักเห็นแสงสว่างและปรากฎภาพพื้นหลังสีขาว เป็นภาพพระสงฆ์ลอยไปมาบ้างภาพต่างๆบ้างจนหลับไป และบางครั้งกำลังหลับตาจะนั่งสมาธิก็เห็นเป็นภาพที่อยู่ข้างหน้า เหมือนเรากำลังลืมตา ส่วนใหญ่ดิฉันมักจะคิดว่าคิดมากไปเอง แท้จริงแล้วเกิดจากอะไรค่ะ

4. ระยะหลังมานี้   อารมณ์มันจะทรงตัวค่ะเฉยๆกับทุกสิ่งที่เข้ามากระทบ แต่กลับรู้สึก เบื่อทางโลกมากเลยค่ะ มีความเบื่อหน่ายในสังขารร่างกาย เบื่อการเวียนว่ายตายเกิด อยากออกจากทางโลกเพื่อเข้าสู่ทางธรรม ดิฉันเองยังไม่เคยปรึกษาครูบาอาจารย์ที่ไหน ไม่รู้ตัวเองว่าปฏิบัติถึงขั้นไหนถูกหรือผิด อาจารย์สนองช่วยชี้แนะด้วยค่ะ  

ขอความกรุณาด้วยและขอบพระคุณท่านเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    ความรู้ในพุทธศาสนาไม่มีคำว่า “ถ้า” แต่มีคำว่า “เหตุและผล” เท่านั้น

     เหตุเป็นเพราะจิตมีกำลังสติอ่อน จึงทนทุกข์ทรมานไม่ได้ ใจที่ยังคิดละเมิดศ๊ล ย่อมไม่สามารถตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ ใจที่ไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมเข้าไม่ถึงปัญญาเห็นแจ้ง ดังนั้นการปฏิบัติธรรมจะเข้าถึงมรรคผลแห่งการปฏิบัติ ต้องดำเนินตามหลักไตรสิกขา ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) ให้ถูกตรง

     ( ๑ ) ขณะนั่งสมาธิแล้วมี ปีติ สุข เกิดขึ้น นั้นเป็นอารมณ์ของฌานยังมิใช่ดวงตาเห็นธรรม

     คำว่า “ปัญญาเห็นแจ้ง” หมายถึง จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิดีแล้ว รู้ เห็น เข้าใจ สิ่งที่เข้ากระทบจิตว่า เป็นของที่มิใช่ตัวตน ( อนัตตา )

     คำว่า “ดวงตาเห็นธรรม” หมายถึง จิตที่สามารถ รู้ เห็น เข้าใจ ตามความเป็นจริงแท้ว่า “ สิ่งหนึ่งสิ่งใด มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา” ดังนั้นเมื่ออุปติสสะ ( พระสารีบุตร ) ได้ยินคำกล่าวของพระอัสสชิว่า พระศาสดามีปกติตรัสดังนี้

     พระศาสดา : ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับ ธรรมทั้งปวงย่อมดับไปด้วย

     เมื่ออุปติสสะพิจารณาคำกล่าวโดยแยบคาย ( โยนิโสมนสิการ ) จึงทำให้จิตเป็นอิสระจากสังโยชน์ ๓ ( สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ) จึงเข้าถึงดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน

     ( ๒ ) ผู้ใดมีจิตเป็นสมาธิ ผู้นั้นล้มตัวลงนอนแล้วหลับได้ง่าย หลับแล้วไม่ฝันร้ายอีกด้วย

     อาการที่เรียกว่า “ผีอำ” เหตุเป็นเพราะจิตมีกำลังสมาธิอ่อน และการเอาจิตไปศรัทธาในเดรัจฉานวิชา ( ทรงเจ้า ) หรือนำตัวเข้าไปรับขันธ์กับคนทรงเจ้า เป็นการประพฤติที่สวนทางกับคำสอนของพระพุทธโคดม    
 
     ( ๓ ) การเห็นแสงสว่าง การเห็นรูปพระสงฆ์ลอยไปมา เป็นกิเลสมารที่มีอำนาจเหนือจิต จิตจึงตกเป็นทาสของสิ่งที่ถูกเห็น

     ( ๔ ) อาการเบื่อโลก เป็นกิเลสมารที่มีอำนจเหนือใจ แต่หากเมื่อมีอาการเบื่อเกิดขึ้น แล้วปรารถนาใคร่จะพ้นไปจากสภาวะเช่นนี้ แล้วรีบเร่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อาการเบื่อแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นกิเลสมาร
 

2416.
กราบเท้าอาจารย์ ดร สนอง วรอุไร

ลูกเองค่ะ สรันยาผู้โง่เขลา บัดนี้ลูกตื่นจากความโง่เขลานั้นแล้ว ขออาจารย์ได้โปรดเมตตา อโหสิกรรมแก่ความโง่เขลาเบาปัญญาของลูกด้วยเถิด

ขณะนี้เวลาตี ๑ เศษแล้วแต่สติสัมปชัญญะของลูกทำให้ลูกตื่นจากความโง่เขลา และคงมิอาจหลับตาลงได้อย่างสบายใจ  

หลังจากที่ลูกได้อ่านหนังสือของอาจารย์  "ทางสายเอก" จบเมื่อสักครู่นี้

ใช่ค่ะคือ ๑ ใน ๒ เล่มนั้น ถ้าลูกได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก่อนลูกคงไม่โง่เขลาเบาปัญญาเพียงนั้น แต่ลูกกลับเลือกอ่านในสิ่งที่มันไม่ทำให้พ้นทุกข์เสียก่อนกลับเลือกอ่านในสิ่งที่เป็นกิเลส อยากรู้อยากเห็น สิ่งที่ลูกถามไปนั้น ก่อให้เกิดทุกข์ใจเหลือเกินในเวลานี้

นึกปรามาสตัวเองเหลือเกินที่โง่เขลาเบาปัญญานัก หากเวลานี้ยังทันขออาจารย์มิต้องตอบใดๆในคำถามอันโง่เขลาของลูกครั้งที่แล้วด้วยเถิดค่ะ

และในครั้งนี้ลูกขอตั้งสัจจะวาจาว่าลูกจะปฏิบัติสิ่งที่ดี และสิ่งที่ชอบ จะใช้สติและโยนิโสมนสิการ ก่อน พูด และ ทำ จะคิดแต่สิ่งที่ดีโดยใช้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์มาเป็นสรณะ ที่ผ่านมานี้ลูกเคยทำผิดมามาก ลูกจะขอชดใช้กรรมที่ลููกก่อต่อเจ้ากรรมนายเวรของลูก ให้หมดสิ้นในชาตินี้และลูกจะปฏิบัติให้พบหนทางแห่งความพ้นทุกข์ ตามที่ตั้งใจไว้

หากในชาติภพนี้ลูกไม่สำเร็จในมรรคผลที่ตั้งใจไว้ ขอให้ลูกได้เกิดมาในร่มพระพุทธศาสนาทุกภพทุกชาติไป

สุดท้ายนี้ลูกขอกราบแทบเท้าขอขมาอาจารย์ในสิ่งที่ลูกดื้อรั้น ไม่คิดตามในสิ่งที่ท่านได้บอกไว้แล้วทั้งในคำตอบ ข้อ ๒๔๐๐ และทั้งในขณะที่อาจารย์เป็นองค์บรรยายว่าหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ทำให้พ้นทุกข์ หากลูกอ่านหนังสืออีกเล่มหนึ่งใน ๒ เล่มนั้นก่อน  

ขออาจารย์ได้โปรดเมตตา อโหสิกรรมแก่ลูกด้วยเถิด

สรันยา  
คืนวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๖
๐๑.๓๑ นาฬิกา

คำตอบ
     อโหสิให้แล้ว จงมีสติสัมปชัญญะคุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น จงเจริญในธรรมของพระพุทธโคดมยิ่งๆขึ้นไป และท้ายสุดจงนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ในอนาคตอันใกล้
 

2415.
กราบเรียน อ.สนอง วรอุไร
 
     ได้ติดตามการบรรยายของท่าน และ ได้ไปที่วัดป่าที่เชียงใหม่ ศรัทธา และเชื่อมั่น ในการ
ช่วยแก้ปัญหา ให้มนุษย์เป็นอย่างยิ่ง   ฟังบทละ หลาย ครั้ง บางครั้งก็น้ำตาไหลค่ะ
       ประมาณวันที่ 1-10 มิถุนายน ดิฉันได้รับเชิญจากมูลนิธิพุทธบูชา ของประเทศญี่ปุ่นให้ไป เป็นวิทยากร
เพื่อนำความรู้ด้านสมุนไพรและ การใช้ชีวิตด้วยธรรมชาติ และธรรมะ ไปสอน และช่วยเหลือ ฟื้นฟูจิตใจ
ผู้ประสพภัยจากสึนามิ ซึ่งปัจจุบัน ด้วยรัฐบาลญี่ป่น ไม่ได้ดูแลด้านจิตใจเท่าที่ควร ผู้เชิญ ได้มาพบดิฉันด้วย
ตัวเอง ซึ่งดิฉันไม่รู้จักมาก่อน และขอให้เดินทางไปช่วย ดิฉันได้ตัดสินใจไปช่วย ซึ่งมีรายละเอียด ค่อนข้างมาก
       ดิฉัน คิดว่า เราจะเอาอะไรไปช่วยเขาดี นอกจาก การใช้สมุนไพร ที่พอมีความรู้อยู่บ้าง ดิฉัน จึงฟังคำบรรยาย
ของท่านอาจารย์ และของท่านคเวสโก มาตลอด แล้ว คิดว่า เราช่างไม่รู้อะไรเลย จึงตั้งใจว่า ก่อนไป จะต้อง
ขอปฎิบัติ ด้วยจิตรบริสุทธิ หรือขอศึกษา ธรรมจากท่านอาจารย์ เพื่อเป็นแนวทาง ในการไปปฏิบัติภาระกิจนี้
ได้แจ้งกับครอบครัวว่า อยากจะขอไปปฎิบัติธรรม หรือศึกษาธรรม จากผู้รู้ก่อนไป เพื่อนำความรู้นี้ไปใช้
ดิฉันจึง กราบรบกวนท่านอาจารย์ชี้นำ หรือแนะแนวทางของการปฎิบัติ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไป
       จึงกราบเรียนมาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
ดุษฎี สุทธิเลิศ
ผู้ก่อตั้งโครงก่ารดอยน้ำซับ จ.เชียงราย

คำตอบ
     การปฏิบัติธรรมมีอยู่ ๒ เรื่องที่ต้องทำคือ

     ( ๑ ) พัฒนาจิตให้มีสติโดยวิธีสมถภาวนา

     ( ๒ ) พัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง

     คำว่า “ปัญญาเห็นแจ้ง” หมายถึง ปัญญาที่รู้ เห็น เข้าใจ ความจริง ( เหตุผล ) ที่เป็นจริงแท้ และไม่เนื่องด้วยกาลเวลา

     ผู้มีปัญญาเห็นถูกตามความเป็นจริงแท้ย่อมเห็นว่า กายกับจิตมีความสัมพันธ์กัน จิตที่ดีย่อมมีสติระลึกได้ทันสิ่งที่เข้ากระทบจิต จิตที่ดีย่อมมีปัญญารู้ เห็น เข้าใจ ว่าทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต ล้วนดับไป ( อนัตตา ) ตามกฎไตรลักษณ์ จิตไม่รับสิ่งกระทบใดๆเข้าปรุงอารมณ์ จิตจึงว่างเป็นอุเบกขา แล้วความสงบสุขย่อมเกิดขึ้น จิตสงบจากโลกธรรม จากวัตถุ จากกิเลส ตัณหา อุปาทาน ฯ ดังที่ฮิปโปเครติสได้เคยกล่าวไว้ว่า “จะรักษาร่างกายของคนไข้ให้หายป่วย ต้องรักษาใจของคนไข้ให้ได้ก่อน”

     การรักษาใจคือพัฒนาจิตให้มีสติ พัฒนาจิตให้มีปัญญาเห็นแจ้ง ( สติสัมปชัญญะ ) ดังตัวอย่างที่พระอริยบุคคลในพุทธศาสนาได้ทำให้ดูแล้วนั่นเอง

     ดังนั้นการพัฒนาจิต ต้องเอาศีลลงคุมให้ถึงใจ แล้วปฏิบัติสมถกรรมฐานและตามด้วยวิปัสสนากรรมฐาน โดยมีความเพียรเป็นแรงสนับสนุน เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว สติสัมปชัญญะจึงจะเกิดขึ้น ทำให้มีสุขภาพจิตที่ดีและมีผลส่งถึงสุขภาพกายดีอีกด้วย
 

2414.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ครับ

ข้อ 1. ผมไม่มีข้อมูลและไม่แน่ใจเรื่อง พระปัจเจกพุทธเจ้า ในครั้งพุทธกาลรู้มาว่ามีคนใส่บาตให้พระปัญเจกพุทธเจ้าได้ จึงขอความเมตตาคำตอบ เวลาท่านบิณฑบาต และมีผู้คนใส่บาตแล้วสอบถามปัญหาชีวิต ท่านสามารถตอบคำถามเป็นคำสอนตามแนวทางแก้ปัญหาตามธรรมให้ผู้คนที่มาใส่บาตได้หรือไม่ครับ (คือผมทราบมาว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่สามารถสอนธรรมได้ ไม่แน่ใจว่าผมรู้มาถูกต้องตามธรรมหรือเปล่าครับ)

ข้อ 2. และผมจะทราบได้อย่างไรว่าพระองค์ไหนเป็นพระปัญเจกพุทธเจ้าครับ

ข้อ 3. ในยุคปัจจุบันนี้มีพระปัญเจกพุทธเจ้าอยู่หรือเปล่าครับ (ผมเชือว่าน่าจะมีอยู่แต่ไม่แน่ใจครับ)

ข้อ 4. วันที่ไปฟังธรรม ครั้งที่ 25 วันที่ 1 0 มีนาคม พ.ศ. 2556 ผมได้ยินว่ามีผู้ถามว่าถ้าบุคคลได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว เมื่อตายจากชาติปัจจุบันไปเกิดใหม่ ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาหรือสูงกว่านั้น จะยังคงอัตภาพจิตเป็นพระโสดาบันหรือเปล่าครับ วันนั้นผมได้ยินคำตอบไม่ชัดเจนครับ (ผมเชื่อว่าน่าจะยังเป็นจิตที่เป็นพระโสดาบันอยู่ครับ)

ขอความเมตตาอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ช่วยเมตตาตอบคำถามให้ด้วย

ขอแสดงความเคารพและศรัทธาอย่างสูงครับ

คำตอบ
     ( ๑ ) พระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่สามารถสอนธรรมหรือบอกวิธีแก้ปัญหาให้กับผู้ใส่บาตรได้

   ( ๒ ) พระปัจเจกพุทธเจ้า มีพฤติกรรม ( คิด พูด ทำ ) เป็นอิสระจากสิ่งสมมุติต่างๆในวัฏสงสาร

   ( ๓ ) ในยุคปัจจุบัน มีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาอุบัติในมนุสฺสโลกได้ แต่มีไม่มากเท่ากับไปอุบัติอยู่ในยุคพุทธันดร

   ( ๔ ) พระโสดาบันที่ตายแล้ว กลับมาเกิดอยู่ในมนุสฺสโลก จะมีสภาวธรรมเป็นพระโสดาบันได้เมื่อมีอายุได้อย่างน้อย ๗ ขวบ ตัวอย่างเด็กหญิงวิสาขา สามเณรที่อุตตมา เด็กชายโสปากะ เด็กชายสุมนะ ฯลฯ แต่พระโสดาบันที่ตายแล้วไปโอปปาติกะอยู่ในเทวโลก มีสภาวธรรมในดวงจิตเป็นพระโสดาบันทันที เช่น นางสิริมาโสดาบัน ตายแล้วไปโอปปาติกะ สิริมาเทานารีโสดาบันในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีทันที
 

2413.
กราบเรียน อาจารย์สนองที่เคารพ
 
ผมขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ
 
คำถามเรื่องศรัทธา เวลา และผลของการทำความดี
1) ผู้ใหญ่กินเหล้า สูบบุหรี่ แล้วสอนเด็กว่ากินเหล้า สูบบุหรี่ไม่ดี อย่าทำ แล้วเด็กจะเชื่อมั้ย เทียบได้กับเรื่องใหญ่ ๆ ในบ้านเมือง เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความสามัคคี ความเป็นธรรม คุณธรรมจริยธรรม
คำถามคือในเมื่อผู้ใหญ่ ผู้นำ ไม่ทำตัวให้เป็นตัวอย่าง ไม่ทำตัวให้เป็นที่ศรัทธาเสียแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาจะมีกำลังใจทำสิ่งดี ๆ ได้อย่างไร และจะตอบคนที่มักจะยกเอาตัวอย่างที่ไม่ดีเหล่านี้มาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ทำสิ่งดี ๆ ได้อย่างไร

2) เวลาที่มีคนดี ๆ ตายไปก่อนเวลาอันควร เรามักจะได้ยินคำพูดว่า "ตายซะแล้ว คนดี ๆ มักอยู่ไม่นาน แต่คนไม่ดีสิทนทาน" คนดี ๆ มักจะตายไว โดนลูกหลงบ้างอะไรบ้าง เป็นซะแบบนี้แล้วใครอยากจะทำดีล่ะ จะอธิบายว่าอย่างไรครับ

3) " คนเรามีเวลาจำกัด ชีวิตนี้สั้นนัก" เจตนาคือต้องการบอกว่า ให้รีบทำสิ่งดี ๆ สิ่งที่ยังไม่ได้ทำซะ แต่กลับมีบางคนคิดตรงข้ามคือ รีบทำชั่วซะเพราะเวลาเหลือน้อยเดี๋ยวไม่ได้ทำ กลับมีคนคิดแบบนี้ด้วย จะอธิบายเค้าว่าอย่างไรดีครับ
 
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง
 
ด้วยความเคารพนับถือ
สุวิทย์ สุวรรณเจริญ

คำตอบ
      ( ๑ ). ผู้รู้จริงแท้สอนว่า จงเลือกผู้มีศีลเป็นผู้นำสังคม แล้วสังคมจะสงบสุข อนึ่ง จริยธรรมของการเป็นพลเมืองที่ดีอันดับแรก ต้องประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีลธรรม คือมีศีลและมีธรรม สังคมจะมีปกติสงบและเป็นสุข สังคมใดประพฤติไปในทางตรงข้ามที่ผู้รู้จริงแท้บอกกล่าว หากผู้อยู่อาศัยในสังคม ปรารถนามีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย ต้องเอาศีลธรรมมาคุ้มครองใจ ดังพุทธวจนะที่ว่า “ธรรมย่อมคุ้มรักษาผู้ประพฤติธรรม” นั้นเป็นความจริงแท้ที่สามารถพิสูจน์ได้

     ( ๒ ). คนดีหมายถึง คนที่มีศีล มีธรรม สถิตอยู่กับใจทุกขณะตื่น คนที่มีอายุยืนยาวมักจะเป็นคนดี คนที่ประพฤติมีศีลมีสติคุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น ย่อมไม่ประสบอุบัติเหตุใดๆ ในครั้งพุทธกาล พระพุทธโคดมได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า “ใครเจริญอิทธิบาท ๔ ให้ยิ่งแล้ว ปรารถนาจะมีอายุยืนยาวถึง ๑ กัปหรือมากกว่าย่อมทำได้” ดังคนที่พูดว่า “คนดีมักจะอยู่ไม่นาน” จึงเป็นคำพูดที่ถูกของผู้พูด แต่ไม่ถูกของผู้รู้จริงแท้ ซึ่งรู้ว่าเหตุที่ทำให้อายุสั้นคือ ประพฤติทุศีลข้อปาณาติบาต และการเจ็บไข้ได้ป่วยเนื่องมาจากการประพฤติเบียดเบียนสัตว์

     กล่าวโดยสรุป ผู้รู้จริงแท้นิยมเอาผู้รู้ไม่จริง มาเป็นครูสอนใจตัวเองว่า เราจะไม่ทำพฤติกรรมเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่ตายไวเหมือนเขา ดังนั้นผู้ถามปัญหาพึงดูตัวเองให้ออก แล้วเลือกเอาตามที่ชอบเถิด

     ( ๓ ). ผู้ที่จะรู้ เห็น เข้าใจ ว่าชีวิตนี้สั้นนัก ผู้นั้นต้องพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) จนเข้าถึงโลกิยญาณ ( อภิญญา ๕ ) แล้วจึงจะรู้ว่าอายุขัยของมนุษย์นั้นสั้นนัก เมื่อเทียบกับอายุขัยของเทวดาหรือพรหม ที่ไปเกิดอยู่ในสุคติภพทั้งสอง

     ดังนั้นหากเขามองชีวิตนี้ด้วยจักขุประสาท จึงเห็นว่าตายแล้วสูญ จึงรีบทำกรรมชั่ว แต่ในความเป็นจริงหากเป็นเช่นนั้นไม่ ผู้ที่มีจิตพัฒนาดีแล้วย่อมเห็นว่า ชีวิตยังต้องสืบต่ออีกยาวไกล ( อนันต์ ) จึงเว้นที่จะประพฤติอกุศล แต่เลือกที่จะประพฤติฝ่ายกุศล ทั้งนี้เพื่อเตรียมปัจจัยเดินทาง สู่การมีชีวิตใหม่ที่ดีในภพหน้า ( สุคติภพ )

   อนึ่ง บุคคลมีชีวิตเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะตน พึงดูเขาเป็นครูสอนใจ ปล่อยให้เขาเลือกดำเนินชีวิตของเขาตามที่เขาชอบเถิด แล้วจงดูว่า เราอยากจะเป็นเช่นเขาไหม ?
 

2412.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูงค่ะ

หนูไม่ทราบค่ะว่าจิตหนูเป็นอะไร บางครั้งก็รู้สึกเบื่อชีวิตมากๆ เบื่อที่จะเรียน เบื่อกับการมีชีวิต. เพราะคิดว่ายังไงๆเราก็ต้องเกิดมาใช้กรรมอยู่ดี จะเรียนและทำงาน มันก็ไม่ได้เข้าถึงหลักธรรมที่แทัจริง และก็คิดท้อไปว่าโตไปเราจะทำงานมีเงินได้รึเปล่าถ้าหากไม่มีบุญเก่า ขอความเมตตาจากอาจารย์ช่วยไขความกระจ่างและมอบทางแห่งปัญญาให้หนูด้วยนะคะ

ครั้งก่อนหนูเคยเผลอสติคิดปรามาสกับอาจารย๋ไว้ หนูขออโหสิกรรมจากอาจารย์นะคะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

สายลมแสงแดด

คำตอบ
     เบื่อแล้วไม่อยากทำอะไร ถือว่าไม่ดี เพราะจิตมีกำลังน้อยกว่ากำลังของกิเลสมาร

     เบื่อแล้วหาทางปลดปล่อยชีวิตให้เป็นอิสระจากเหตุที่ทำให้เบื่อ ถือว่าดี เพราะจิตมีกำลังมากกว่ากำลังของกิเลสมาร

    สุดท้าย อโหสิให้ผู้ถามปัญหา
 

2411.
เล่าสู่กันฟัง

     ผมได้รู้จักคนคนหนึ่ง อดีตเขาเคยทำอาชีพเลี้ยงสุนัขไว้กัดเพื่อการพนัน เขาเล่าให้ผมฟังว่า ในการทำอาชีพนี้เขาไม่ได้หวังรายได้จากการพนัน แต่เขาหวังที่จะทำให้สำเร็จ ชนะคนอื่น มีสุนัขเก่งๆ ไว้ในครอบครอง และเป็นที่รู้จักในวงการ จนปัจจุบันถ้าเอ่ยชื่อเขาในวงการนี้ ไม่ว่าไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น ฯลฯ ต้องรู้จักชื่อเขา

     เขาเริ่มต้นเมื่อวันหนึ่งเขาซื้อวารสารสัตว์เลี้ยง แล้วมีรูปสุนัขพันธ์อเมริกัน พิทบูล มีข้อความว่าเป็นแชมป์จากการแข่งขันกัดกันในต่างประเทศ เขาก็เกิดความสนใจ ศึกษาการเลี้ยงสุนัขไว้กัดกัน แล้วเขาไปลงหุ้นกันคนอื่นอีก 2 คน (ซึ่งค่อนข้างเป็นผู้มีอิทธิพล ตำรวจบ้านเมืองไม่ค่อยอยากไปยุ่งเท่าไร) 3 คนนี้ลงหุ้นทำกิจการเลี้ยงสุนัขเพื่อการกัดแข่งขัน ลงทุนซื้อสุนัขพันธุ์อเมริกัน พิทบูลที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศราคาหลายๆ แสน มาทำการฝึกเพื่อความเป็นแชมป์ จากการที่เคยโดนดูถูกในวงการว่าเป็นหน้าใหม่ ยังไงก็ไม่มีทางขึ้นมาได้ในวงการ เขาจึงมุ่งมั่นอย่างมากในการพัฒนาสุนัขของเขา เขาบอกว่าใครพูดอะไรมาเกี่ยวกับการกัดกันของสุนัข เขาทดลองหมด เพื่อต้องการรู้ด้วยตัวเขาเองจริงๆ เช่น เรื่องโหดๆ ที่เขาเล่าให้ฟัง มีคนพูดว่า อเมริกัน พิทบูล 1 ตัว จะหมาไทยกี่ตัวก็ไม่มีทางล้มพิทบูลได้ เขาก็ทดลอง เขามีสุนัขไทยพันธุ์ทางทั่วๆ ไป   ที่เคยเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนในบ้านอยู่ 9 ตัว วันนั้นเขาจับสุนัขไทยทั้ง 9 ตัวเข้าไปในคอกพิทบูลพร้อมกัน ทั้ง 9 ตัววิ่งเข้าหาพิทบูลเพื่อกัดกัน แต่พิทบูลยืนจังก้าด้วยความมั่นคง กระโดดเข้ากัดหมาไทยตัวแรกบริเวณกึ่งกลางระหว่างเบ้าตาทั้ง 2 ข้าง เขี้ยวฝังเข้าไปในกะโหลก ตายคาปากภายในไม่กี่นาที่ อีก 8 ตัวที่เหลือเห็นดังนั้นก็กลัวมาก ถอยกรูดหนีไปกระจุกอยู่ที่มุมคอก (ขนาดคอกประมาณ 5 x 5 เมตร) พิทบูลก็ละจากตัวที่ตายเข้าไปกัด 8 ตัวที่เหลือ ทีละตัว เข้าจุดสำคัญทั้งนั้น ภายในเวลาไม่เท่าไหร่หมาไทยทั้ง 9 ตัวก็ตายเกลี้ยง

     เขามุ่งมั่นจากที่ไม่เป็นที่รู้จักจนไปอยู่ในแถวหน้าของวงการนี้ เป็นที่รู้จักของวงการทั้งในและต่างประเทศ เมื่อเขาถึงจุดหมายที่หวังไว้ เขาก็เริ่มคิดได้ว่า สิ่งที่เขาทำอยู่นั้นเป็นบาป เขาก็คิดจะเลิก แต่ก็เลิกไม่ได้เพราะเขาได้ให้สัจจะไว้กับหุ้นส่วนอีก 2 คนว่า "เขาจะไม่พูดคำว่าเลิกก่อนคนอื่น" เขาจึงต้องอยู่ต่อไปในวงการอีกประมาณ 2 ปี หุ้นส่วนเขาอีกคนหนึ่งจึงมาบอกเขาว่า เราเลิกกันเถอะ ทำบาปมามากแล้ว เขาบอกว่าเมื่อเพื่อนพูดอย่างนั้น เขาโล่งใจมากเพราะจะได้เลิกแล้ว

     ปัจจุบัน ชีวิตเขาอยู่กับธรรมะ รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ใจบุญ จากการคุยกัน ผมคิดว่าเขาน่าจะปฏิบัติเข้าถึงธรรมได้พอสมควร น่าจะมีอภิญญาทางโลกเกิดขึ้นแล้วด้วย

     จากที่เล่ามาทั้งหมด ก็เพื่อเล่าถึงเรื่องราวทางโลกอีกมุมหนึ่ง ที่คนทั่วไปไม่เคยได้รับรู้ว่ามีสิ่งแบบนี้อยู่ด้วย ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ

     และสุดท้าย อยากจะเรียนถามอาจารย์ ดร.สนอง เพียงสั้นๆ ว่า เมื่อรู้ว่าทำบาปอยู่ แต่ต้องรักษาสัจจะที่ให้ไว้กับเพื่อน จึงต้องทนทำบาปต่อไป อันไหนจะดีกว่ากันระหว่าง เสียสัจจะเพื่อเลิกทำบาป กับยอมทำบาปเพื่อรักษาสัจจะ

     ขอขอบพระคุณมากครับ

ขอแสดงความเคารพ

คำตอบ
     จากเรื่องที่บอกเล่าไปในย่อหน้าที่หนึ่งและย่อหน้าที่สอง ผู้รู้จริงแท้จะไม่กล่าวคำว่า … . สาธุ เพราะป้องกันมิให้บาปเกิดขึ้นกับตัว

     ส่วนเรื่องที่บอกเล่าในย่อหน้าที่สาม ผู้รู้จริงแท้ย่อมกล่าวคำว่า … . สาธุ เพราะเป็นเหตุให้บุญเกิดขึ้นกับผู้เห็นดีด้วย

     เรื่องที่บอกเล่าไปทั้งหมดนั้นเป็นเครื่องยืนยันคำกล่าวที่ว่า “ต้นคดปลายตรง” มีอยู่จริงในสมัยปัจจุบัน ตายแล้วมีโอกาสไปเกิดอยู่ในสุคติภพ เพียงแต่ว่า หนีบาปให้ทันก็แล้วกัน

     สุดท้าย
      : เสียสัจจะเพื่อเลิกทำบาป มีอานิสงส์เป็นบุญ … . จึงดีกว่า

     : ยอมทำบาปเพื่อรักษาสัจจะ มีอานิสงส์เป็นบาป … . จึงไม่ดี
 

2410.
กราบเรียนอาจารย์สนอง วรอุไร

ข้าพเจ้าเป็นผู้ถามปัญหาข้อที่ 2401. ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ให้ความกรุณาตอบปัญหาของข้าพเจ้า   เมื่อได้อ่านแล้วยังมีปัญหาที่ยังไม่เข้าใจอยากเรียนถามอาจารย์คะ

จากข้อที่อาจารย์ได้บอกว่า ( ๓ ). การสื่อสารด้วยภาษาที่แตกต่างกันทางสมมุติ ยังไม่สำคัญเท่ากับการพัฒนาจิตตัวเองให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลที่สามารถเข้าฌานได้ เพราะผู้ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ย่อมมีความแตกฉานในภาษา ( นิรตติปฏิสัมภิทา ) ที่สามารถสื่อสารกันได้กับสัตว์ ( รูปนาม ) ที่ใช้สมมุติที่ต่างกันได้

1. ความเป็นอริยบุคคล ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นผู้ที่ต้องบรรลุโสดาบันเป็นอย่างน้อยใช่หรือไม่

2. สามารถเข้าฌานได้ เพราะผู้ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ย่อมมีความแตกฉานในภาษา ( นิรตติปฏิสัมภิทา ) ควรปฏิบัติอย่างไร (เช่นการอธิษฐาน การกำหนดระหว่างนั่งสมาธิ)

( ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติโดยการเดินจงกรม และภาวนายุบหนอ   พองหนอแต่ปัจจุบันไม่ได้ปฏิบัติทุกวัน เพียงแค่สวดมนต์และนั่งสมาธิหรือภาวนาก่อนนอนเท่านั้น)

3 วันหนึ่งข้าพเจ้าได้เดินจงกรมและนั่งสมาธิ หลังจากออกจากสมาธิไปเข้าห้องน้ำ ได้มองไปที่เงาของลูกบิดประตู ได้เห็นเงานั้นเลื่อนไปจากที่มีอยู่เลื่อนหดไปหดไป จนหายไปเหลือเพียงแค่ลูกบิดประตูห้องน้ำ เมื่อลองหลับตาและมองอีกครั้ง ยังคงเป็นเหมือนเดิมจนคิดว่าฝันไปจึงหลับตา และสลัดศรีษะแล้วลืมตามองอีกครั้ง เงาก็ไม่ได้หดเหมือนสองครั้งแรก

จึงอยากจะถามอาจารย์ว่าควรกำหนดอย่างไร ตอนนั้นความคิดของข้าพเจ้ามีความสงสัยว่าฝันไป ควรกำหนดว่าสงสัยหนอ หรือว่าเห็นหนอ

4. สมถภาวนาคือการเดินจงกรม การนั่งสมาธิ การกำหนดอิริยาบถใหญ่ มีสติรู้ตัวตลอดเวลาและอิริยาบถย่อย   ส่วนวิปัสสนาคือ การพิจารณาเห็นสิ่งต่างๆ เกิด ตั้งอยู่ และดับไปในระหว่างการเดินจงกรม การนั่งสมาธิ การกำหนดอิริยาบถใหญ่และอิริยาบถย่อย ตัวอย่างเช่นข้อ 3. ใช่หรือไม่

  ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง

   ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
     ( ๑ ) ตอบว่า ใช่

     ( ๒ ) ต้องปฏิบัติสมถภาวนา จนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ ( ฌาน ) ได้แล้ว ความแตกฉานในภาษา ( นิรุตติปฏิสัมภิทา ) จึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

     ( ๓ ) ต้องกำหนดว่า “เห็นหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนสิ่งที่ถูกเห็นหายไป แล้วจึงเอาจิตกลับมาที่องค์ภาวนาเดิมที่ทำอยู่

     ( ๔ ) การเดินจงกรมเป็นอิริยาบถใหญ่ การนั่งสมาธิเป็นอิริยาบถย่อย ทั้งสองมีจุดประสงค์เดียวกันคือ เพื่อการพัฒนาจิตให้มีสติ จิตที่มีสติจึงตั้งมั่นเป็นสมาธิได้

    ส่วนวิปัสสนานั้นเป็นการปฏิบัติให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ด้วยการเอาจิตที่มีสติจวนแน่วแน่ ( อุปจารสมาธิ ) ไปพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ( สติปัฏฐาน ๔ ) ตามกฎไตรลักษณ์ ผัสสะใดเข้ากระทบจิตแล้วดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จนจิตเห็นเป็นของว่างเปล่า ( อนัตตา ) ได้ ปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะย่อมเกิดขึ้น

    ดังนั้นควรดำเนินปฏิปทาให้ถูกตรง แล้วความสงสัยจะไม่เกิดขึ้น
 

2409.
เรียน อ. สนอง

มีโอกาสอ่านงานเขียนของอาจารย์บ้าง สนใจ เรื่อง ธรรม และ พยายามปฏิบัติ ตามกำลัง

มีเรื่องที่รบกวนใจ ทั้งๆ ที่พยายามปล่อยแล้ว แต่ในฐานะของคนที่ยังใช้ชีวิตในทางโลก บางครั้งมันก็กวนตะกอนในใจให้ฟุ้งได้ จึงรับรู้ได้ว่าตัวเองยังวางไม่ลง คือ สามีของดิฉันไม่ได้ทำงานมาแล้ว 7-8 ปี แต่งงานมาแล้วประมาณ 10 ปี ไม่ใช่เค้าไม่มีความรู้ จบปริญาตรี วิศวกรรม โท นิด้า แรกๆที่คบกันทำงานบริษัทเอกชน เค้าก็บอกว่า เงินเดือนไม่ดีบ้าง อะไรบ้าง ลาออกอยู่สองสามบริษัท จนล่าสุด ก็ไม่ได้หางานใหม่อีก ตอนนี้อยู่บ้าน พยายามหาลู่ทาง แต่ดิฉันคิดว่า มันไม่ถูก แต่พูดไม่ได้ เค้าจะโกรธ แล้วทะเลาะกันดิฉันเลยเลี่ยงที่จะพูด เช่น เค้าเชื่อว่า สามารถติดต่อกับอีกโลกหนึ่งได้ มีพลังพิเศษ แต่ไม่ได้ผิดปกติทางจิตนะคะ เพราะดิฉันเองเป็นพยาบาล พอจะมีความรู้บ้าง แต่ก็จนใจไม่รู้จะช่วยเค้าได้อย่างไร เลยอยากเรียนปรึกษาอาจารย์เรื่องสามีนี่แหล่ะค่ะ ว่าทำอย่างไร จะสามารถทำมาหาเลี้ยงชีพได้ไม่ติดขัด ปัจจุบันดิฉันมีโอกาสมาศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ส่วนสามีดูแลลูกชายอายุแปดขวบที่เมืองไทย โดยไม่ได้ทำงานเหมือนเดิมดิฉันช่วยเรื่องค่าเล่าเรียนลูกบ้าง แต่ไม่ได้อยากชื่อว่าเลี้ยงดูสามี เค้าก็ใช้เงินส่วนของเค้าที่ได้จากพ่อแม่เค้า เค้าเป็นสามีที่ใช้ได้ เป็นพ่อที่ใช้ได้ ดิฉันก็พยายามทำใจจนผ่านมาจะสิบปีแล้วนี่ล่ะค่ะ

รบกวนอาจารย์ช่วยให้คำแนะนำด้วยค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

ฐิติกานต์

คำตอบ
      ผู้รู้จริงแท้รู้ว่าไม่มีใครช่วยใครได้ นอกจากต้องช่วยตัวเองด้วยการทำเหตุให้ถูกตรง จากงานวิจัยทางโลก ดร . โกลแมนพบว่า คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ใช้ปัญญาทางโลก ( ไอคิว ) 20% แต่ใช้คุณธรรม ( อีคิว ) ถึง 80% แต่ผู้รู้จริงแท้ทำดวงให้ดีด้วยการปฏิบัติทาน ศีล ภาวนาอยู่เสมอ ดังนั้นผู้ถามปัญหาจึงเอาสามีเป็นครูสอนใจตัวเองว่า เขาได้ทำให้เราได้สร้างขันติบารมี จงอดทนต่อไปอีก ๑๐ ปี เมื่อขันติบารมีแก่กล้าแล้ว ปัญหาจึงจะหมดไป
   

2408.
กราบแทบเท้าท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูงค่ะ

         ลูกและพี่น้องในครอบครัว เคารพนับถือท่านอาจารย์มานานมากสิบกว่าปีแล้ว ลูกมีอาชีพเป็นครู สอนวิชาเคมี วันนี้รู้สึกเป็นบุญอย่างมากเป็นพิเศษ ที่พบเฟสบุ๊คของท่านอาจารย์    ลูกมีศรัทธามั่นคงต่อพระรัตนตรัยหนักแน่นหลายปี   .... 8 ปีแแล้วที่ตั้งใจอบรมจิตตนเอง จนพบสุขที่ประณีตขึ้นมากตามสมควร   มีเมตตาจิตไม่น้อย   ละความยึด ความโง่ต่าง ๆ ได้มากขึ้น    แม้ความรักสนใจเพศตรงข้ามก็พิจารณาจนเห็นอาการดับหายไป จนค้นหายากขึ้นมาก   จึงดีใจมากค่ะ     คงเพราะตั้งใจไม่ต้องการกลับมาเกิดอีกในโลกนี้อีก.......วันนี้ต้องขออนุญาติรบกวนท่านอาจารย์ด้วยนะคะ

         คือ ช่วงปิดเเทอมปีนี้ ลูกอยากทดลองฝึกทางสมถะ ให้จิตนิ่งที่สุดดูสักทีค่ะ (อย่างที่ท่านอาจารย์ก็เคยทดลองฝึก 1 เดือนไงคะ ) เพราะที่ผ่านมา...ลูกมุ่งแค่บ่มปัญญา ใช้อารมณ์คิด   ใช้สมาธิแค่เล็กน้อย ใช้สติ ๆ ทุกขณะไปทุกวันเท่านั้น .แต่ลูกก็เคยฝึกอาณาปานสติได้สมาธิระดับปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานหยาบบ้างค่ะ   เคยทำสมาธิวันละสองสามชั่วโมง แบบได้ผลก็ทำ    ง่วงก็ทำอยู่หลายปี...   แต่ ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ลูกนั่งสมาธิได้สาม สี่ ชั่วโมง โดยขาแทบไม่ชา...ลุกเดินได้ทันที (ไม่ทราบเพราะอะไร)

         เป้าหมายของการฝึกครั้งนี้ เพื่อพบคุณพ่อได้คล่องขึ้น  ซึ่งท่านจากโลกนี้ไปแล้ว และเผื่อได้อภิญญา พูดคุยกับเทพ พรหมได้เป็นประจำ  เพราะคุยกับคน แล้ว   ไม่ดื่มด่ำเลย.....   ( ชาตินี้ อย่างน้อย ลูกปรารถนาถึงอนาคามีผล    และมีอภิญญาบ้าง เลยอยากเน้นสมาธิลองดูค่ะ )

อยากขอเรียนถามท่านอาจารย์   ถึงเทคนิคการทำจิตนิ่ง จนได้ฌานสี่ ดังนี้

1. เราต้องได้ฌานระดับไหนคะ จึงจะเห็นนรก สวรรค์ได้คล่อง เคยทราบว่าต้องได้ ฌานสี่ใช่หรือไม่คะ เห็นใคร ๆ ว่าทำได้ยากมาก แต่ลูกเองกลับไม่มีความกลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้   แปลกมั้ยคะ   ที่จิตลูกมีแต่ความกล้าหาญ   ไม่รู้สึกว่าอะไรทางธรรมนั้นยากเกินใจเราจะไขว่คว้าและอดทน     แต่อาการเชื่อมั่นนี้.... เพิ่งเป็นได้หกเดือนมานี่เอง หลังจากลูกพิจารณาจนตัดความอาลัยว่าความรักเป็นเรื่องดีได้ค่ะ    

2. ในเวลานั่งสมาธิ ลูกดูลมหายใจที่จุดเดียว คือ ที่ปลายจมูก แต่เวลาเดินจงกรม ลูกไม่ถนัดดูลม แต่กลับไปรู้ที่เท้าเคลื่อนไหวแทนมากกว่าเห็นลม
ลูกควรดูแค่ลมหายใจอย่างเดียวใช่หรือไม่ค่ะ ไม่ว่าจะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน จึงจะจิตนิ่งได้ฌานสี่       และถ้าได้ฌานสี่แล้วต้องถอยออกมาที่อุปจาระสมาธิ   ใช่หรือไม่   จึงจะหยั่งรู้ ขอรู้ได้

3. ถ้าลูกระลึกดูภาพพระพุทธเจ้าองค์สีขาวสว่างไสว(ที่ลูกเคยเห็นในนิมิต)   เป็นหลักแต่ดูลมหายใจเป็นรอง แล้วบริกรรมภาวนาคู่ไปด้วย จะดีกว่าดูลมหายใจอย่างเดียวไหมคะ หรือเป็นภาระจิตมากไป      คำบริกรรม พุท โธ    หรือ   นะมะ   พะธะ แบบไหนควรเลือกใช้ฝึกฌานสี่คะ   หรือแล้วแต่เราชอบลูกถนัดทั้งสองแบบ ค่ะ

4. ลูกเคยฝึกมโนมยิทธิ ตามเทคนิคของหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง โดยทำสมาธิอุปจาระสมาธิ พบว่ากำหนดจิตรู้เห็นเหตุการณ์ปัจจุบันได้ถูกต้องแม้ขณะลืมตาค่ะ ... และ ลูกเคยเห็นพ่ออยู่บนสวรรค์ 3 ครั้งแล้ว...   ทำไม ดูง่ายจังคะ บทจะทำได้ก็ไม่ยาก       แต่ลูกยังต้องการลองฝึกระดับฌานสี่ อย่างท่านอาจารย์ค่ะ เพราะหลวงพ่อฤาษีบอกว่าฌานสี่จะรู้เห็นได้แจ่มชัดกว่ามาก    และจากพุทธวัจนะก็ว่า ...การได้ฌานนั้นถือเป็นณานฤทธิ์   ที่พลังจิตอธิษฐานจะมีกำลังมากพิเศษ ...     หากลูกทำได้   คิดว่าจะขอให้ชีวิตมีความคล่องตัวทางการเงินโดยไม่ต้องทุลักทุเลอีก   และอยากติดต่อคุณพ่อ เทพ พรหม วิญญาณ ได้ทุกขณะ    เพราะจริตลูกไม่ชอบคลุกคลีผู้คนนานหลายปีแล้ว    เป็นความฝันที่อยากทำได้ค่ะ....

   5. ลูกมีอาการกลัวเสียงดังๆ เช่น   ปะทุ   ประทัด   เสียงปืน   ตกใจง่ายมาตั้งแต่วัยเด็ก   อุปาทานติดตัวมา   จะแก้ไขอย่างไรคะ    ถ้าวันไหนกำลังสมาธิสูง ๆ จึงไม่ตกใจค่ะ   แต่ทำยากมาก

            จึงเรียนมา เพื่อขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ จะรายงานผลการฝึกจิตนิ่ง ให้ท่านอาจารย์ทราบหากได้ผลดี   หากมีคำตอบที่เกี่ยวข้องที่ลูกไม่ได้เรียนถาม   ก็โปรดสงเคราะห์ตอบลูกได้เลยนะคะ     ลูกเกิดมาชาตินี้มีใจใฝ่พระนิพพานมาตั้งแต่จำความได้ บาปอกุศลแทบไม่เคยสร้าง   มีใจใฝ่ดีมอมา   แต่ชีวิตกลับไม่ราบรื่น อย่างที่ควรจะเป็น    คงเพราะวิบากกรรมในอดีตชาติมีมากไม่น้อย     จึงอยากเพิ่มแรงบุญเต็มที่ในโอกาสปิดเทอมนี้ค่ะ

 

                                                         ขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง
                                                               ลูก ...ธัญธรณ์

คำตอบ
     ผู้ถามปัญหาได้พัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) จนมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น อาการที่ขาจึงได้หายไป

     ผู้ที่ปรารถนาจะพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) ให้เกิดโลกิยอภิญญา ต้องพัฒนาจิตให้มีศีลคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ให้ทานอยู่เสมอ และเจริญจิตภาวนาโดยใช้อย่างใดอย่างหนึ่งในอรูป ๔ มาบริกรรมทุกครั้งที่นึกได้ บริกรรมทุกครั้งที่ว่างจากงาน แล้วจิตย่อมมีโอกาสเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นฌาน เมื่อถอนจิตออกจากความทรงฌานแล้ว อภิญญา ๕ จึงจะเกิดขึ้นได้

     ผู้ปรารถนาเข้าถึงความเป็นพระอนาคามี ต้องมีศีล ๘ ลงคุมให้ถึงใจ แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดสังโยชน์ ๕ ให้หมดไปจากใจ ความเป็นพระอนาคามีจึงจะเกิดขึ้นได้

     ผู้ใดปรารถนาเห็นนรกสวรรค์ ต้องพัฒนาจิตจนเข้าถึงอย่างน้อยรูปฌาน ๔ และยิ่งเอาชนะใจตนเองได้แล้ว การเห็นนรกสวรรค์ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย

     ผู้ปรารถนาเข้าถึงความเป็นพระอนาคามี ต้องเอาศีล ๘ คุมใจ แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดสังโยชน์ ๕ ได้เมื่อใด ความสมปรารถนาย่อมเกิดขึ้นได้เมื่อนั้น

     ( ๑ ) อยากเห็นนรกสวรรค์ ต้องพัฒนาจิตจนเข้าถึงอย่างน้อยรูปฌานที่ ๔ ส่วนเรื่องความรักจะเกิดเป็นผลดีได้ ต้องมีเมตตาเป็นแรงสนับสนุน

     ( ๒ ) ขณะนั่งบริกรรมต้องเอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก นั่นทำถูกต้องแล้ว แต่ขณะเดินจงกรม ต้องเอาจิตจดจ่ออยู่กับเท้าที่กำลังก้าวย่าง มิใช่เอามาจดจ่ออยู่กับลมหายใจที่กำลังเข้า - ออก อนึ่ง ผู้ใดใช้ฌาน ๔ โดยลดกำลังของสมาธิให้มาตั้งมั่นอยู่ในระดับอุปจารสมาธิได้แล้ว จึงจะสามารถนำจิตไปพัฒนาให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้นได้ ทั้งนี้เพราะอัปปนาสมาธิ ( สมาธิหัวตอ ) ไม่สามารถรับสิ่งกระทบภายนอกใดๆมาปรุงจิตให้เกิดอารมณ์ จึงไม่สามารถนำไปพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ได้

    ( ๓ ) จะเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้ ต้องเอาจิตไปจดจ่ออย่างใดอย่างหนึ่งกับการดูรูปพระพุทธเจ้า หรือดูลมหายใจที่กำลังเคลื่อนที่ แล้วใช้จิตพิจารณาสิ่งที่ถูกเห็น ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดที่สิ่งที่ถูกเห็นเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นพึงเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งมาพิจารณาตามที่ตนถนัด

    ( ๔ ) การเห็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดในปัจจุบัน มิได้เป็นเหตุนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ดังนั้นผู้รู้จริงแท้จึงไม่เอาจิตไปข้องอยู่กับสิ่งที่ถูกเห็น ตรงกันข้าม เอาจิตไปพิจารณาสิ่งที่ถูกเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จนเห็นว่า สิ่งที่ถูกเห็นเป็นอนัตตา แล้วจิตจึงจะเข้าถึงความเป็นอิสระ ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะสามารถนำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏสงสารได้

    อนึ่ง ผู้ที่พัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) จนเข้าถึงฌาน ๔ แล้วใช้กำลังของฌาน ๔ เป็นฐานพัฒนาจิต ไปสู่ความเป็นพระอริยบุคคลย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย

     ( ๕ ) ได้ยินเสียงดังแล้วสะดุ้ง เป็นอาการของจิตที่ขาดสติหรือมีกำลังสติอ่อน จึงรับเอาสิ่งกระทบ ( เสียงดัง ) เข้าปรุงเป็นอารมณ์ อาการสะดุ้งจึงได้เกิดขึ้น ส่วนความกลัว มีสาเหตุมาจากไม่รู้จริงในสิ่งที่กลัว ผู้ปรารถนาจะผ่านพ้นความกลัว ต้องพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ปัญหาความกลัวก็จะไม่เกิดขึ้น

     คติธรรม : ผู้ขาดสติย่อมเอาจิตไประลึกอยู่กับอดีตและอนาคต

     : ผู้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม เห็นว่ามนุษยสมบัติหรือสวรรคสมบัติเป็นสิ่งด้อยค่า แต่นิพพานสมบัติเป็นสิ่งสูงค่า ผู้ชนะใจตนเองสามารถเข้าถึงได้

     : คนโง่ชอบดูคนอื่นแล้วเอากิเลสมาทับถมใจ คนฉลาดชอบดูตัวเองแล้วปรับแก้ไข
 

2407.
กราบเรียน อาจารย์ ดร. สนองที่เคารพ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่เสียสละเวลาอันที่ค่าตอบปัญหาให้ดิฉัน ดิฉันมีอีกคำถามที่อยากจะเรียนถามค่ะ   ได้เคยมีท่านผู้หนึ่งสอนวิธีนั่งสมาธิแบบของพราห์มแบบจักระ ตอนวัยรุ่นโดยกำหนดจุดแรกของจักระคือ ตรงตำแหน่งของผู้หญิง และให้ความรู้เรื่องของศาสนาพราหมณ์ ดิฉันได้ปฏิบัติตาม    แต่เมื่อหมายปีที่ผ่านมา ดิฉันได้พบวิถีวิสุทธมรรคของพระพุทธเจ้า ก็แน่ใจว่านี่คือของจริงแท้ สิ่งที่เราได้ทราบไม่ใช่เส้นทางของเรา เส้นทางนี้คือทางที่เราควรจะไป  

ดิฉันขอเรียนถามคำถามค่ะ คือเวลาปฏิบัตินั่งสมาธิ บางครั้งจิตก็จะไปจับอยู่ที่จุดนั้น โดยที่มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศอันใดเลย ดิฉันมีความละอายค่ะ อยากจะขอคำแนะนำแก้ไขค่ะ

กราบขอบคุณอาจารย์อีกครั้ง ขออำนาจพระรัตนตรัยคุ้มครองอาจารย์ให้สุขภาพแข็งแรง สามารถปฏิบัติเผยแผ่ธรรมะให้กับคนที่ยังอยู่ในวังวนไปอีกนานค่ะ และกราบขอขมากรรมใดๆ ที่ดิฉันได้กระทำต่ออาจารยืไปโดยเจตนา ไม่เจตนา หรือรู้เท่าไม่ถึงกาลตั้งแต่อดีตมาจนถึงขณะนี้ด้วยค่ะ  

ด้วยความเคารพสูงสุด

เบญจวรรณ

คำตอบ
     ผู้มีศรัทธาในคำสอนของพระพุทธโคดม ต้องเอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก ( มรณสติ ) ว่าหายใจเอาลมเข้าร่างกาย แล้วไม่หายใจเอาลมออกก็ตาย หายใจเอาลมออก แล้วไม่หายใจเอาลมเข้าก็ตาย อย่างนี้เรียกว่า เจริญอานาปานสติ ผู้ใดมีศีลและมีสัจจะอยู่ทุกขณะตื่น ย่อมทำให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มขึ้นได้ แล้วโอกาสเกิดปัญญาเห็นแจ้งจึงจะมีได้
 

2406.
กราบอาจารย์สนองครับ กระผมมีปัญหาอยากจะรบกวนอาจารย์สนองขอความเมตตาตอบคำถามกระผมด้วยครับ หากคำถามใด เป็นการล่วงเกินอาจารย์ทั้งทาง กาย วาจา ใจ กราบขออโหสิกรรม อาจารย์สนองครับ

อาจารย์ครับ ผมมีคำถามอยากจะเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ  

1. คำว่าบังเอิญไม่มีในโลกของผู้รู้แจ้งในทางธรรมใช่ไหมครับ นั่นหมายความว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราถ้าเป็นเหตุที่ไม่ดี นั่นหมายความว่า เราต้องเคยสร้างเหตุแห่งทุกข์นั้นไว้และเมื่อกรรมให้ผล เจ้ากรรมนายเวรเขาก็ต้องมาทวงคืนใช่ไหมครับ

2. ตัวกระผม โดนผู้รับเหมาก่อสร้าง เอาเปรียบและในความรู้สึกของผม ผมคิดว่าเขาโกง แต่ผมก็สามารถฟ้องร้องและไม่จ่ายค่างวดงานได้ แต่ผลที่อาจจะตามมาคือความยุ่งยากในทางโลก และหากผู้รับเหมาคนนี้เป็น เจ้ากรรมนายเวรผม ในอดีตกาล อาจจะทำให้การจองเวรนี้ ต้องติดตามกันต่อไปอีก อยากถามอาจารย์ว่า เขาคือเจ้ากรรมนายเวรผมใช่ไหมครับ และถึงคราที่กรรมให้ผลคือเจ้ากรรมคนนี้มาทวงคืนแล้วใช่ไหมครับ (หากคำถามนี้เป็นการรบกวน อาจารย์ ต้องกราบขออโหสิกรรม อาจารย์ด้วยครับ)

                                                            กราบขอบพระคุณอาจารย์สนองครับ

คำตอบ
     ( ๑ ). ใช่ครับ … . ใช่ครับ เมื่อมีเหตุปัจจัยลงตัว และไม่ใช่ครับ หากบุคคลพัฒนาจิตจนสามารถกำจัดสังโยชน์ทั้งสิบให้หมดไปจากใจได้แล้ว ดับรูปดับนามเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน หนี้เวรกรรมที่ยังมีเหลืออยู่ในดวงจิตทั้งหมด ย่อมเลิกแล้วต่อกัน ( อโหสิกรรม ) เป็นอัตโนมัติ

    ( ๒ ). ใช่ครับ และใช่ครับ
 

2405.
ผมควรทำอาชีพเสริมนี้ดีหรือไม่ครับ

ผมมีงานประจำอยู่แล้วครับ ทำงานธนาคาร แต่มองหารายได้เสริม. พอดีเห็นเพื่อนร่วมงานเขาร้อยมาลัยคริสตัล และรูปสัตว์ต่างๆด้วยเม็ดคริสตัล เป็นพวงกุญแจ หรือไม่ก็ร้อยเป็นสร้อยข้อมือ ลงทุนไม่มากครับ. แต่ผมไม่กล้าทำ ถ้าให้ทำก็อาจจะเป็นมาลัยถวายพระส่วนอื่นๆไม่กล้า. กลัวเป็นเหตุให้ผู้อื่นมีจิตลุ่มหลงกับเม็ดคริสตัลนั้นๆ ว่าเป็นของสวยงามเอามาประดับประดา. มีราคะ และโมหะ กับของที่ซื้อไปเช่นสร้อยข้อมือ เพราะกลุ่มที่ซื้อจะเป็นเด็กวัยรุ่น หรือวัยทำงาน. ขอความกรุณาตอบคำถามให้ผมด้วยครับ ผมไม่อยากสร้างกรรมกับใคร หรือจะทำเฉพาะมาลัยคริสตัลถวายพระอย่างเดียวครับ.

อีกคำถามหนึ่งครับขณะทำสมาธิ เมื่อจิตผมแน่วแน่แล้วผมไม่ค่อยอยากไปพิจารณาอะไร เพราะเมื่อดูไปแล้วทุกอย่างมันก็เป็นไปตามพระไตรลักษณ์อยู่แล้ว. จึงไม่เห็นประโยชน์อะไรจะไปดู เมื่อดูอะไรๆก็ไตรลักษณ์เหมือนเดิม. ก็เลยทำจิตให้นิ่งๆ และดูลมหายใจไปเรื่อยๆ บางครั้งก็มีภาพบางอย่างมาให้เห็น. มาเร็ว จนลืมตัว พอนึกขึ้นมาได้ว่ากำลังเห็นอะไรภาพๆนั้นจะหายวับไปเลย จะเป็นแบบนี้บ่อยมากครับ.

มีคนเคยบอกกับผมว่าผมนั่งสมาธิได้ระดับขั้น 7. ผมไม่รู้ว่านั่งสมาธิต้องมีขั้นด้วยหรือ เขาบอกว่าขั้นสมาธิทั้งหมดมี 9 ขั้น เขาเป็นร่างทรงของพญานาค มีคนพาให้รู้จักเขาไม่ได้ดูดวงแต่เขาจะจับมือ และบอกว่าได้เกิดอะไรกับตัวเรามาบ้างซึ่งจะตรงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต เขาบอกว่าเขานั่งสมาธิจนระดับหนึ่ง และท่านพญานาคที่มาอยู่ที่ร่างของเขาบอกให้ช่วยเหลือคน เขาจึงมาคอยช่วยเหลือคนที่มาให้เขาจับมือเพื่อดูดวงว่าจะทำอะไรต่อๆไปในสิ่งที่คิดและจะเกิดขึ้น.   

สมัยเด็กผมจะเป็นคนฝันเห็นพญานาคบ่อยมากๆ และพบงูตัวใหญ่ตามทางเดินขณะเดินทางบ่อยๆ. บางครั้งก็เคยฝันว่านั่งอยู่บนเรือพายกลางทะเล แต่ในทะเลมองลงไปมีแต่พญานาคเต็มไปหมด ปัจจุบันไม่ฝันเห็นแล้ว. ผมเลยถามร่างทรงพญานาคท่านนี้ว่า ผมมีอะไรเกี่ยวพันกับพญานาคหรือเปล่า เขาบอกว่ามี แ ต่ผมไม่ได้ถามอะไรลึกมานัก เพราะน่าจะไม่เป็นประโยชน์. ผมอยากถามว่า การที่เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะแล้ว การที่เราให้ความเคารพ ต่อสิ่งอื่นด้วยในฐานะผู้ที่มีมาก่อน หรือ ผู้เสวยบุญที่สูงกว่าเรา เช่น เทวดา และสิ่งศักดิ์ต่าง จะผิดไหม เพราะผมสวดมนต์ไหว้พระแล้วทุกครั้ง จะอุทิศบุญถึงเทวดาเทพพรหมต่างๆ ตามคำอุทิศเราส่งบูญให้เขาอย่างเดียวหรือครับ แต่ถ้าจิตเรามีความิคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ที่อยู่ร่วมกันกับเราแต่ต่างภพต่างภูมิกัน จะผิดต่อศาสนาหรือเปล่าครับ. แต่ก่อนผมจะไม่ค่อยไหว้เทพองค์ใด เพราะมีแต่พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เท่านั้น แต่มีคนรู้จักบอกว่าเราควรเคารพเทพองค์อื่นในฐานะผู้ใหญ่. ด้วย ผมก็เลยยอมรับในข้อนี้ ผมควรคิดและปฏิบัติอย่างไรกับกลุ่มของเทพเทวาครับ หรือรวมถึงนาคที่ผมมักฝันเห็นบ่อย ๆเมื่อตอนเป็นเด็กดีครับจึงจะเหมาะสม

คำตอบ
    มนุษย์มีงานต้องทำอยู่สองอย่าง คืองานภายนอกที่ทำให้กับสังคม และงานภายในที่ทำเพื่อตัวเอง ซึ่งเป็นการเตรียมปัจจัยเดินทางไปเกิดใหม่

    งานภายนอกทำแล้วได้ปัจจัยมาเลี้ยงชีวิตให้คงอยู่ได้ในสังคม หากเป็นงานที่ทำแล้วไม่ผิดกฎหมาย หรือไม่ผิดศีล หรือไม่ผิดธรรม ถือว่าเป็นงานดีที่ผู้หวังความสวัสดีในชีวิต เลือกที่จะกระทำ ส่วนการร้อยพวงมาลัยคริสตอลเพื่อให้มีคนซื้อหาไปถวายพระ เป็นงานภายใน ทำเพื่อเตรียมบุญไปเกิดใหม่ในสุคติภพ ผู้หวังความเจริญในชีวิตหน้าสามารถทำได้

     ผู้ใดเห็นสรรพสิ่งดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ สรรพสิ่งย่อมไม่ใช่ตัวตน ( ว่างเปล่า ) แล้วจิตจะไม่ยึดเอาสิ่งที่ว่างเปล่า เข้ามามีอำนาจเหนือใจตน อิสรภาพของชีวิตย่อมเกิดขึ้น หากเป็นเช่นนี้แล้ว ปัญญาเห็นแจ้งย่อมเกิดเป็นอัตโนมัติ ตรงกันข้าม หากจิตยังยึดติดอยู่กับสรรพสิ่งอันเป็นของว่างเปล่า ปัญญาที่เกิดขึ้นไม่เรียกว่าเป็นปัญญาเห็นแจ้ง แต่เรียกว่าเป็นปัญญาวิปัสสนึก คือใช้สมองคิดเอาเองว่าสรรพสิ่งดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ คิดเอาเองว่าสรรพสิ่งเป็นของว่างเปล่า อิสรภาพที่แท้จริงของจิตย่อมเกิดขึนไม่ได้

     ส่วนเรื่องที่ใครจะพูดอะไร จะพูดอย่างไร เขามีสิทธิ์พูดได้ทั้งนั้น แต่สิ่งที่เขาพูดออกไปจะเป็นจริง หรือเป็นเท็จ ต้องใช้กาลามสูตรมาเป็นเครื่องคัดกรอง ในครั้งพุทธกาล พระพุทธโคดมได้เสด็จไปยังหมู่บ้านเกสปุตตนิคมในแคว้นโกศล และได้ตรัสสอนชาวกาลามะ มิให้ปลงใจเชื่อในเรื่องสิบอย่าง ( กาลามสูตร ) ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้ตอบปัญหา ผู้ใดพัฒนาจิต ( สมถภาวนา ) จนเข้าถึงอภิญญา ๕ และพัฒนาจิต ( วิปัสสนาภาวนา ) จนเข้าถึงญาณ ๑๖ ได้แล้ว กาลามสูตรย่อมศักดิ์สิทธิ์ สามารถใช้เป็นเครื่องคัดกรองความไม่จริงออกจากความจริงได้อย่างถูกตรง ด้วยเหตุนี้ผู้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม จึงไม่เอาจิตเข้าไปผูกติดเป็นทาสของชะตาชีวิต ไม่เอาจิตเข้าไปผูกติดเป็นทาสของสัตว์กายทิพย์ ( พญานาค ) ทั้งนี้เพราะไม่เป็นเหตุนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ เช่นเดียวกับผู้มีจิตเห็นแจ้งจนเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล ย่อมมีความศรัทธามั่นคง ไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น พระอริยบุคคลจึงเห็นธรรมวินัยในพุทธศาสนาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีสิ่งอื่นใดศักดิ์สิทธิ์ยิ่งไปกว่า และอริยบุคคลผู้เข้าฌานสมาบัติได้ ย่อมเห็นว่าเทวดา พรหม พญานาค ฯลฯ มีอยู่จริงในวัฏสงสาร ไม่เอาสัตว์เหล่านั้นมาเป็นสรณะ และไม่ปรามาสหรือลบหลู่สัตว์ทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายในวัฏสงสาร ซ้ำยังมีจิตคิดช่วยเหลืออุทิศบุญกุศลที่ตนมี ให้กับสรรพสัตว์เหล่านั้นด้วย
 

2404.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

       ในขณะที่ผมเดินจงกรม จิตของผมส่งไปที่เท้าแต่ละข้างที่กำลังก้าวเดินไป รับรู้ลักษณะการก้าว ยกรู้ ย่างรู้ สัมผัสกับอากาศรู้สึกเย็นรู้ เท้าเหยียบสัมผัสลงพื้นก็รู้
และจิตก็ส่งไปที่เท้าอีกข้างหนึ่งแล้วก็ทำเหมือนกันคือ เท้ายก - ย่าง - เหยียบ ก็ระลึกรู้ตลอด อย่างนี้ผมปฏิบัติถูกต้องมั๊ยครับ และที่ผมสงสัยอีกอย่างหนึ่งก็คือคำว่า " รู้ตัวทั่วพร้อม" นั่นหมายความว่าอย่างไรครับ อย่างการเดินจงกรมเมื่อระลึกรู้เท้าที่กำลังก้าวไป แล้วต้องมารู้ว่ากายกำลังเคลื่อนไปตามเท้าที่ก้าวไปหรือไม่ครับถึงจะ เรียกว่า "รู้ตัวทั่วพร้อม" ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจด้วยครับ

        ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง ด้วยความเคารพครับ สาธุ

คำตอบ
     ปฏิบัติได้ถูกตรงแล้ว … . สาธุ จงดำเนินปฏิปทาเช่นนี้ทุกครั้ง ที่ปรารถนาจะพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น

    คำว่า “รู้ตัวทั่วพร้อม” หมายถึง การมีจิตระลึกรู้อยู่กับอิริยาบถที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ เช่น กำลังยืน กำลังเดิน กำลังนั่ง กำลังนอน กำลังดื่ม กำลังพูด กำลังทำ ฯลฯ จิตที่มีกำลังสติกล้าแข็งเท่านั้นที่จะระลึกได้ ดังนั้นจึงมิใช่ความเข้าใจที่ว่า ขณะเท้ากำลังย่างก้าว แล้วเอาจิตมาจดจ่ออยู่กับตัวที่กำลังเคลื่อนที่ อย่างนั้นไม่เรียกว่ารู้ตัวทั่วพร้อม
 

2403.
กราบเรียน ดร.สนอง
 
หนูอยากเรียนถามอาจารย์ว่าถ้าเราหน้าตาดีแต่โง่ จะต้องทำอย่างไรให้
หนูมีสติปัญญาเพิ่มขึ้นค่ะ.
 
  สิ่งใดที่หนูเคยปรามาสท่าน ดร.สนองไม่ว่าจะตั้งใจก็ดีหรือไม่ได้ตั้งใจก็ดีหนูอโหสิกรรมกับท่าน ดร. สนอง ด้วยนะค่ะ
 
คุณแม่ลูกสอง

คำตอบ
    มีหน้าตาดีเหตุเป็นเพราะมีศีลคุมใจ ไม่ฉลาดหรือโง่ เหตุเป็นเพราะไม่เข้าใกล้แล้วพูดคุยไต่ถามกับผู้รู้หรือผู้มีธรรมคุ้มรักษาใจ ดังนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์ให้มีสติปัญญาเพิ่มขึ้น ต้องประพฤติเหตุให้ถูกตรง คือพัฒนาจิตตนเองด้วยการบำเพ็ญทานอยู่เสมอ มีศีลคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น แล้วเจริญจิตตภาวนา ( ปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้เมื่อใด โอกาสเป็นคนมีสติปัญญารู้เท่าทันความเป็นจริงแท้ จึงจะเกิดขึ้นได้

สุดท้ายอโหสิให้แล้ว
 

2402.
เรียน ดร.สนอง

ดิฉันมีข้อคำถามว่า
1. เวลาที่ดิฉันทำผิดศีลข้อ 4. เรื่องนินทาผู้อื่นที่เป็นผู้ทำร้ายดิฉัน แต่ดิฉันเกิดความรู้สึกเกลียดตัวเอง และร้องไห้ เสียใจทีเล่าเรื่องที่เขาทำร้ายดิฉันให้ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องฟัง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง แต่ดิฉันกลับรู้สึกผิด และเกลียดตัวเองมาก จนสับสนว่าตัวเองก็ปฏิบัติธรรม แต่กลับทำผิด แบบนี้เรียกว่าดิฉันเกิดมิจฉาทิฐิหรือเปล่าค่ะ

2. เวลาที่นั่งสมาธิ รู้สึกว่าตัวพองขึ้นๆ ตกใจมากคะ แต่ก็ยังไม่ออกจากสมาธินะคะ ถามตัวเองว่านี้จิตเราปรุงแต่งอยู่หรือเปล่า แล้วพยายามกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก แต่ตัวก็ยังไม่หยุดพอง กลับพองมากขึ้นๆ จนดิฉันเห็นร่างตัวเองพองเกือบติดหน้า แล้วดิฉันก็อธิฐานจิตขอพึ่งอำนาจบุญบารมี ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนทำสมาธิที่ถูกต้องให้แก่ลูกด้วยเทอญ หลังจากนั้นไม่นานตัวดิฉันก็เล็กลงๆ จนกลับสู่สภาพปกติ แต่ก่อนหน้าตัวจะพองดิฉันพิจารณาสังขาร ผม เล็บ ฟัน หนัง กระดูก แบบนี้จะเรียกว่าจิตปรุงแต่งหรือเปล่าค่ะ แล้ววิธีที่ดิฉันระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผิดไหมค่ะ ถ้าหากมีแนวทางอื่นที่จะเจริญสติให้ดีกว่านี้ โปรดชี้แนะด้วยนะคะ

ขอบคุณมากคะ

คำตอบ|
     ( ๑ ). เรื่องที่บอกเล่าไปถือได้ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ

     ( ๒ ) จิตที่ขาดสติจึงเคลื่อนออกไปรับเอาสิ่งกระทบภายนอก มาปรุงให้เกิดเป็นอารมณ์ตัวพอง ผู้ถามปัญหาได้อธิษฐานขอพึ่งบารมีของผู้อื่นช่วยเหลือ เป็นการแก้ปัญหาที่ผิดธรรม ผู้ใดปฏิบัติธรรม ( สมถภาวนา ) แล้วจิตไประลึกอยู่กับอารมณตัวพอง ต้องกำหนดว่า “พองหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนอารมณ์ดังกล่าวหายไป แล้วจึงเอาจิตไปบริกรรมกับองค์กรรมฐานเดิมที่ทำอยู่ การเห็น ผม เล็บ ฟัน หนังกระดูก เนื่องมาจากจิตขาดสติ ต้องกำหนดว่า “เห็นหนอๆๆๆๆ” จนการเห็นหายไปเช่นกัน
 

2401.
กราบเรียนอาจารย์สนอง วรอุไร

1. ข้าพเจ้ามีความสนใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เนื่องจากอยากจะพ้นจากทุกข์ไม่อยากจะเกิดอีก และอยากจะเป็นพระอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป

ขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ อีกประมาณหนึ่งถึงสองเดือนก็จะจบการศึกษา และอยากจะบวชชีพราหมณ์ประมาณ 7 เดือน แต่ส่วนใหญ่สถานที่ปฏิบัติธรรมจะอยูได้นานไม่เกิน 1 เดือน

จึงอยากจะทราบสถานที่ปฏิบัติธรรม ที่สามารถอยู่ได้นาน 7 เดือน และมีอาจารย์สอนที่ถูกต้องตรงตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

2. ข้าพเจ้ามีปัญหาติดอยู่ในใจอีกอย่างหนึ่งคือ แม่ไม่อยากให้บวชชีพราหมณ์ เพราะกลัวว่าบวชแล้วไม่สึก แต่ถ้าไม่บวชช่วงหลังสำเร็จการศึกษาแล้ว ก็คงยากที่จะหาเวลาบวชได้เนื่องจากต้องทำงานและดูแลพ่อแม่ หากบวชตอนแก่ ร่างกายก็ทรุดโทรมลง ทำให้ยากในการปฏิบัติธรรม อีกทั้งได้ตั้งสินใจแล้วว่าจะไม่แต่งงาน เพราะคิดว่าไม่ได้เป็นสาระของชีวิต ทำให้พ่อแม่เป็นห่วงมากขึ้นไปอีก

อยากเรียนถามอาจารย์ว่า ควรจะบวชช่วงหลัง สำเร็จการศึกษาหรือตอนที่พ่อแม่อนุญาติให้บวช ดี แต่ได้สัญญากับแม่แล้วว่าจะสึกมาทำงานและดูแลพ่อแม่แน่นอน

3. ขณะนี้มีสตรีชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ที่ข้าพเจ้ารู้จัก มีความสนใจอยากที่จะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ได้ให้ข้าพเจ้าสอน   แต่ข้าพเจ้ายังไม่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งการปฏิบัติและยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม อีกทั้งภาษาญี่ปุ่นของข้าพเจ้ายังไม่ดี และไม่สามารถอธิบายได้ละเอียดได้    และภาษาอังกฤษของข้าพเจ้า และสตรีท่านนี้รู้ไม่มากนัก ทำให้ลำบากในการสื่อสาร

จึงอยากจะถามอาจารย์ว่า ถ้าใจเราอยากจะบอกวิธีการปฏิบัติขั้นต้น เช่นการทำกิจวัตรประจำวันในการปฏิบัติธรรม และสตรีผู้นี้อยากจะทราบขั้นตอนในการปฏิบัติ แต่จากอุปสรรคทางภาษาทำให้บ้างครั้งอาจเข้าใจคาดเคลื่อน ไม่ตรงกับสิ่งที่จะพูด จะผิดหรือไม่ ควรจะทำอย่างไร เพราะอยากจะอธิบายมากแต่ไม่สามารถทำได้

และสตรีท่านนี้อยากจะฝึกวิปัสสนากรรมฐานที่ไทย สามารถอยูได้ประมาณ 7 วัน ภาษาอังกฤษพอรู้บ้าง อยากจะสอบถามสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ต้องตามธรรมว่า มีที่ไหนพอจะไปได้บ้างคะ

อยากจะให้หนังสือเกี่ยวกับการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ที่ชมรมกัลยาณธรรมมีให้สำหรับชาวต่างชาติได้ศึกษา หากข้าพเจ้าขอแล้ว ส่งต่อไปที่ญี่ปุ่นจะถือว่าผิดศีลหรือไม่คะ

สุดท้ายนี้ หากข้าพเจ้าไม่ล่วงเกินอาจารย์สนอง ไม่ว่าจะทางกาย วาจา ใจ ตั้งแต่อดีตชาติทุกๆชาติที่ผ่านมาจนถึงชาติปัจจุบัน ขอให้อาจารย์อโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วย

ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
      ( ๑ ). ผู้ใดปรารถนาเป็นพุทธอุปัฏฐากในพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ต้องเกิดเป็นผู้ชาย และได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ซึ่งนับย้อนหลังไปถึง ๑๐๐ , ๐๐๐ กัปมาก่อน ความสมปรารถนาจึงจะมีความเป็นไปได้ หากไม่ได้ทำเหตุให้ถูกตรงดังนี้ ความปรารถนานั้นย่อมเป็นโมฆะ

     ปรารถนาจะบวชชีพราหมณ์นาน ๗ เดือน ต้องติดต่อด้วยตัวเองที่วัดแพร่ธรรมาราม อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ แม้จะมีครูสอนกรรมที่ถูกตรงตามธรรมอย่างไร ยังไม่สำคัญเท่ากับตัวเองว่า ปฏิบัติธรรมได้ถูกตรงตามคำสอนนั้นหรือไม่

     ( ๒ ). ก่อนบวชต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ก่อน การบวชจึงจะไม่มีปัญหาเกิดตามมาภายหลัง

     ( ๓ ). การสื่อสารด้วยภาษาที่แตกต่างกันทางสมมุติ ยังไม่สำคัญเท่ากับการพัฒนาจิตตัวเองให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลที่สามารถเข้าฌานได้ เพราะผู้ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ย่อมมีความแตกฉานในภาษา ( นิรตติปฏิสัมภิทา ) ที่สามารถสื่อสารกันได้กับสัตว์ ( รูปนาม ) ที่ใช้สมมุติที่ต่างกันได้

     ชาวต่างชาติที่ปรารถนาจะปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา สามารถติดต่อด้วยตัวเองได้ ที่ศูนย์ศึกษาและปฏิบัติธรรมนานชาติ อาคารเบญจมราชวรานุสรณ์ วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ เบอร์โทรศัพท์ ๐๒ - ๒๒๓ - ๖๘๗๘ หรือทางโทรสารเบอร์ ๐๒ - ๒๒๓ - ๖๘๗๙

     การส่งต่อหนังสือให้ผู้อื่นอ่าน ไม่ถือว่าผิดศีลในกรณีที่มิได้ขโมยหนังสือนั้นมา … . สุดท้ายอโหสิให้แล้ว     |   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

browser stats