1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 1701-1750
1750.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ที่เคารพค่ะ

     นับเป็นบุญของหนูที่ได้มีโอกาสฟังธรรมบรรยาย และอ่านหนังสือของท่านอาจารย์ค่ะ   ที่ผ่านมา   หนูชอบไหว้พระสวดมนต์ อ่านหนังสือธรรมะ   และ ฟังธรรม   แต่ขาดความเพียรในเรื่องการปฏิบัตินั่งสมาธิ และเจริญวิปปัสนาอย่างจริงจัง   เนื่องจากหนู มียาย และบแม่   ที่รักการทำบุญ ไหว้พระ และสอนลูกๆให้สวดมนต์และไปวัดตั้งแต่เด็กๆ   แต่ท่านทั้งสองเสียชีวิตไปหลายปีแล้วค่ะ

     หลังจากได้ฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์ครั้งแรก ทางอินเตอร์เน็ต เรื่อง ชีวิตหลังความตายเมื่อราวเดือนพฤษภาคม ของปีนี้ ทำให้หนูได้เข้าไปค้นหาตามเวบไซต์ ธรรมบรรยายของทานอาจารย์มาฟัง และได้อ่านหนังสือ เรื่องทางสายเอก เป็นเล่ิมแรก   ความเมตตาของท่านอาจารย์ที่พยายามสั่งสอน ธรรมะของพระพุทธองค์ และบอกเล่าประสบการณ์จากการปฏิบัติธรรมของท่านอาจารย์ ส่งผลต่อหนูมาก ทำให้หนูมีความตั้งใจมากกว่าเดิมที่จะพยายามรักษาศีลให้ครบ 5 ข้อ และนั่งสมาธิค่ะ

     ก่อนหน้าจะเขียนคำถามมารบกวนท่านอาจารย์นี้ หนูได้คิดหลายครั้ง ว่าสมควรจะถามหรือไม่   เพราะทราบดีว่า ความทุกข์ใจที่หนูและพี่ๆประสบอยู่นั้น   เป็นกรรมจากเหตุที่เคยทำมาทั้งนั้นซึ่งหนูควรจะวางใจยอมรับมัน แต่ในที่สุด หนูอยากขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ ช่วยแนะนำหนทางในการแก้ปัญหาของหนูค่ะ  

     ความทุกข์ของหนูและพี่ๆก็คือ   นับตั้งแต่พี่ๆและหนูเรียนจบปริญญาตรี พวกหนูต้องชดใช้หนี้สินของพ่อและแม่ในอดีตเรื่อยมา    หนูและพี่ๆเต็มใจช่วยบ้าน เพราะพวกหนูรักแม่มาก   แม่ เป็นแม่ที่สุดประเสริฐ   เป็นพระอรหันต์ของลูก มี พ่อ ที่เป็นคนใจดี   กินง่ายอยู่ง่าย แต่พ่อ กลับเป็นคนเจ้าชู้ มีเมียน้อยมาแล้วหลายคน ติดต่อเมานานร่วม 30 ปี   และหลังจากแม่เสียชีวิตแล้ว พ่อก็มีภรรยาใหม่อีกคน   แต่พ่อไม่ยอมย้ายออกไปอยู่กับครอบครัวใหม่ค่ะ   หนูกับพี่ๆอยากขายบ้านใช้หนี้ แต่พ่อไม่ยอมให้ขาย จนทำให้หนูต้องตัดสินใจลาออกจากงาน ในกรุงเทพฯ เพื่อมาดูแลบ้าน   และดำเนินกิจกาารค้าต่อจากแม่   ขณะเดียวกัน หนูก็ต้องรับฟังคำตำหนิติเตียนจากผู้คนในสังคม เกี่ยวกับเรื่องพ่อ   ทำให้หนูได้เรียนรู้ถึง ความทุกข์เมื่อต้องทนฟังเสียงนินทาและการถูกถามถึงการกระทำที่ไม่ดีของพ่อ

     ทว่า ช่วง 6 ปีที่ผ่านมา หลังหนูลาออกจากงาน หนูและพี่ๆซึ่งรับราชการก็พยายามช่วยกันใช้หนี้เก่า   และบูรณะร้านค้าของแม่ให้ดีขึ้น   แต่ขณะเดียวกัน เงินทองในร้านก็รั่วไหลตลอดมา เพราะพ่อยังแอบนำเงินของร้านไปดูแลครอบครัวใหม่   หนูกับพี่พยายามตัดใจ ถือว่า เงินที่พ่อเอาไปนั้น เราให้พ่อ   แต่หนูในฐานะที่อยู่และเห็นปัญหา ต้องหมุนเงินทุกวัน ใช้หนี้ธนาคาร ทุกเดือน ทำให้ หนูโกรธและตำหนิพ่อมาก อันนี้เป็นกรรมใหม่ของหนู

    นึกไม่ถึงว่า พ่อ ซึ่งมีคนรู้จักมากมาย จะทำได้ขนาดนี้   ทั้งที่บ้านของเราก็ยังมีหนี้สินอยู่ แต่พ่อกลับเอาเงินบำนาญ และยังเอาเงินจากร้านไปเลี้ยงดูครอบครัวใหม่   ขณะที่ตัวเองก็ลำบาก ไม่มีเงินติดกระเป๋าเลย แต่หนูก็ให้เงินพ่อกินใช้นะค่ะ หนูบอกพ่อตลอดว่า สำหรับพ่อ หนูให้ได้ เท่าไหร่ก็ให้ได้ แต่อย่าเอาเงินของหนูไปให้เมียใหม่และลูกติด

     หนูอยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า   หนูควรจะวางใจยอมรับเรื่องเหล่านี้และอดทนต่อไป ถือว่า เป็นวิบากกรรมของหนู หรือควรจะแก้ไขปัญหาของพ่อด้วยวิธีเด็ดขาดดีค่ะ    จะได้ยุติปัญหาเรื่องหนี้ และเงินรั่วไหลสักที     อย่างการขายบ้านจะได้หมดหนี้ ก็ทำไม่ได้ ไม่อยากให้พ่อเสียใจ และพ่อคงผูกใจเจ็บกับหนูและพี่มาก เพราะไม่ยอมให้ขาย ทั้งที่หนูบอกว่าจะไปปลูกบ้านเดี่ยวอยู่สงบๆ ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามาขายของ แต่พ่อก็ไม่ฟังค่ะ  

   เวลาหนูทำบุญ ก็อธิษฐานขอให้พ่อ หันมาทางธรรมะบ้าง   แต่หนูคงมีกรรมมาก เพราะยังไม่สำเร็จเลยคะ่

   ทุกวันนี้   หนูสวดมนต์ไหว้พระ พยายามนั่งสาธิ ฝึกใจให้เท่าทันความโกรธ   เวลาได้เห็นการกระำทำของพ่อ ที่หนูไม่ถูกใจ   หรือเมื่อเห็นการกระทำที่เอาแต่ความสะดวกของตัวเอง ของลูกค้า  

     ท่านอาจารย์ค่ะ   สำหรับชาตินี้ หนูได้เห็นความทุกข์ใจกับการต้องอยู่กับพ่อที่เป็นคนมิจฉาทิฐิ จะทิ้งไปก็ไม่ได้   เพราะยังมีภาระหนี้สิน และภรรยาใหม่ของพ่อ   เท่าที่หนูทราบมา ไม่ใช่คนดีเลย   ทั้งที่ในวัยเด็ก พ่อเป้นพ่อที่ดีมากสำหรับครอบครัว จนคนชมกันทั้งอำเภอ แต่พ่อกลับเปลี่ยนไปมาก จน แม่ พี่ๆและหนูนึกไม่ถึง   ที่สำคัญ พ่อยังไม่สามารถฉุกคิดและหันมาาสู่เส้นทางสายธรรมได้เลย ทั้งที่อยู่ในวัย 74 แล้ว

     ด้วยความขอบพระคุณและเคารพท่านอาจารย์อย่างสูง

คำตอบ
     ความทุกข์ของมนุษย์มีอยู่สองอย่างคือ ทุกข์ประจำ อันได้แก่ การเกิด การแก่ และการตาย และแบบที่สองคือ ทุกข์จร อันได้แก่ ความเจ็บป่วย และความไม่สมปรารถนา

     ผู้ใดเคยหรือร่วมประพฤติอกุศลกรรมไว้แต่อดีต เมื่อกรรมไม่ดีให้ผล ย่อมเกิดเป็นอกุศลวิบากให้ผู้ที่ทำกรรมไม่ดีไว้ต้องรับ และชดใช้หนี้เวรกรรม

   วิธีบริหารหนี้เวรกรรม
     ๑ . เมื่อกรรมไม่ดีให้ผล ผู้ทำกรรมไม่ดีไว้ต้องชดใช้จนกว่าจะหมดสิ้น
     ๒ . เว้นประพฤติกรรมไม่ดีใดๆให้เกิดขึ้นอีก
     ๓ . กรรมดีใดๆที่ไม่เคยทำ ต้องทำให้เกิดขึ้น
     ๔ . รักษาผลของกรรมดีให้คงอยู่ตลอดชีวิต

   ดังนั้นผู้ถามปัญหา พึงเอาผลของวิบากกรรมนี้ เป็นครูสอนใจตัวเอง แล้วชดใช้ไปจนกว่าจะหมดสิ้น แล้วทำแต่กุศลกรรมให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน ด้วยการเอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก อยู่ทุกขณะตื่น และทำทุกครั้งที่นึกได้ ต้องทำไปเรื่อยๆจนปัญหาต่างๆไม่เข้ามารบกวนจิต และเอาสติมาระลึกอยู่กับการกระทำตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือคนอื่น อุทิศความดีให้คนอื่น ยินดีในการทำความดีของคนอื่น ฟังธรรม เทศน์ธรรม และทำความให้ตรง) อยู่เสมอ โอกาสที่จะพ้นไปจากปัญหาที่กำลังประสบอยู่ จึงจะเกิดขึ้น
  

1749.
รื้อรังนกทิ้งบาปไหมคะ

กราบสวัสดีท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง
 
วันนี้หนูไม่สบายใจอย่างมากๆ เนื่องจากหนูไปดึงรังนกที่นกพิราบกำลังเริ่มก่อรังบนกันสาด ที่ระเบียงหน้าห้องนอนแม่   ก่อนหน้านั้นนกพิราบเคยทำรังบนกันสาดด้านข้างห้องแม่แล้ว และถ่ายอุจจาระบนกันสาดตลอดระยะเวลาเกือบสิบปี จนกันสาดทะลุ   หนูเลยต้องรื้อกันสาดนั้นทิ้งไป นกเลยย้ายที่ทำรังมาที่ใหม่ ตามที่หนูบอกตอนแรก หนูกลัวว่ากันสาดจทะลุอีก และเคยได้ยินว่านกพิราบจะนำเชื้อไวรัสมาแพร่ หนูกลัวแม่จะได้รับเชื้อด้วยเลยตัดสินใจทำไปแบบนั้น หนูอยากจะถามว่า ทำแบบนี้หนูจะบาปไหมคะ และถ้าบาปหนูจขออโหสิกรรมจากนกได้ไหมคะ   ขอรบกวนอาจารย์ช่วยตอบด้วยนะคะ
 
กราบขอบพระคุณ และขอให้อาจารย์มีสุขภาพที่แข็งแรงนะคะ........

คำตอบ
     บาปให้ผลเป็นความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เมื่อรื้อรังนกแล้วเกิดความไม่สบายใจ ถือว่าการประพฤติเช่นนั้นเป็นบาปเกิดขึ้นกับผู้รื้อ

ถามว่า : หนูจะขออโหสิกรรมกับนกได้ไหมคะ

ตอบว่า : ขออโหสิกรรมได้ แต่นกจะเลิกจองเวรหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของนกที่ถูกเบียดเบียน ผู้ถามปัญหาลองคิดดูเองว่า หากมีใครมารื้อบ้านที่อยู่อาศัยของเรา เราจะผูกเวรกับเขาไหม ?
  

1748.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร. สนอง
 
   ตอนนี้หนูนั่งสมาธิ โดยการฟังซีดีของท่านอาจารย์ไปด้วย แล้วภาวนายุบหนอ พองหนอ   ก็รู้สึกว่าจิตนิ่งดีค่ะ ทีนี้หนูไปเจอโหลดซีดีของท่านเจ้าคุณโชดก หนูก้อลองเปลี่ยนมาฟังของท่านเจ้าคุณดูบ้าง เพราะพอหนูได้ยินเสียงท่านก้อจำได้ว่า คุณพ่อกับคุณแม่เคยเปิดวิทยุฟังท่าน ตอนหนูเด็ก ๆ   ทีนี้หนูมีปัญหาว่า   ตอนที่ไม่นั่งสมาธิ รู้สึกว่าใจสงบดีค่ะ (ในช่วงระหว่างวัน) แต่พอหนูจะนั่งสมาธิตอนกลางคืน แล้วเปิดซีดีของท่านเจ้าคุณโชดกไปด้วย ก้อจิตนิ่งเป็นสมาธิค่ะ แต่พอจิตเป็นสมาธิปั๊บ หนูจะหลับไปเลยโดยไม่รู้ตัว พอตื่นอีกทีก็เช้าเลยค่ะ ยังไม่ได้แผ่เมตตาเลยค่ะ
 
   หนูอยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ทำไมหนูถึงเป็นเช่นนี้   หนูจะทำอย่างไรดีคะ หนูยังไม่อยากหลับ เพราะรู้สึกว่านั่งสมาธิ ได้แค่นิดเดียวเองค่ะ
ขอความกรุณาท่านอาจารย์แนะนำหนูด้วยค่ะ
 
กราบขอบพระคุณค่ะ
ต้น

คำตอบ
     เหตุที่หลับเพราะจิตไม่รับเอาสิ่งกระทบใดๆเข้าปรุงอารมณ์ จิตจึงเข้าสู่ภวังค์ ไม่เกิดไม่ดับ และไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น คนทั่วไปเรียกว่า หลับ

     หากผู้ถามปัญหายังไม่อยากหลับ ต้องอธิษฐานจิตโดยมีศีล มีสัจจะคุมใจ แล้วเร่งความเพียรปฏิบัติจิตตภาวนา ความไม่อยากหลับจึงจะเกิดขึ้น
  

1747.
จากคำถาม 1736

กราบเท้าและรบกวนถามเลย จากคำถาม 1736 ที่อจ.ตอบใว้ว่า สัตว์ในภพสวรรค์เสวยกามสุขอันเป็นทิพย์ ที่มีอยู่พร้อมบริบูรณ์ จึงไม่ต้องการบุญที่เกิดจากการอุทิศของใครผู้ใด   ผมทำความดีทั้งกายวาจาใจ   ทั้งก่อนขณะที่ทำและหลัง เมื่อระลึกได้ว่า เป็นบุญแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตามจะน้อมจิตถวายองค์พรหมเทพเทวดา นำส่งผู้มีพระคุณตัวเองเจ้ากรรมนายเวรพญามาร และอุทิศให้ญาติและผู้ที่ไม่ใช่ญาติที่ล่วงลับ สัตว์ที่อยู่ในอบายภูมิและให้สรรพสัตว์ที่มีขันธ์ห้า ขันธ์เดียว สี่ขันธ์ ทุกครั้งและหลายครั้งในแต่ละวัน จากคำตอบของอจ. หมายความว่าท่านไม่ต้องการเลย และไม่อนุโมทนาด้วยใช่หรือไม่ แล้วตัวผมจะได้บุญจากการนี้หรือไม่

คำตอบ
     สัตว์ในอบายภูมิ มีปรทัตตูปชีวีเปรตอยู่ประเภทเดียวที่สามารถมาอนุโมทนาบุญ และได้เสวยผลของบุญที่มีผู้อุทิศให้ สัตว์ที่เป็นสัมภเวสีมิได้เกิดอยู่ในภพภูมิใด จึงเรียกว่า สัตว์รอเกิด มีรูปร่างกายเป็นทิพย์ หากได้รับการสื่อสารให้มารับบุญและต้องมาอนุโมทนาบุญ เขาจึงจะได้เสวยผลแห่งบุญที่มีผู้อุทิศให้

    สัตว์ในภพเดรัจฉานที่อยู่ใกล้ ย่อมสามารถรับบุญ ( วัตถุทาน ) ที่มีผู้อุทิศให้ได้ เช่น นำอาหารไปเลี้ยงสุนัขจรจัด บริจาคทรัพย์เป็นค่าอาหาร เป็นค่ายารักษาโรคให้กับสัตว์ที่เจ็บป่วย ซื้ออาหารไปเลี้ยงปลาในที่สาธารณะ ฯลฯ

     สัตว์เดรัจฉานกายทิพย์ ที่อยู่ในข่ายการสื่อสารให้มารับบุญได้ แล้วตัวเองมาอนุโมทนาบุญ ย่อมได้รับผลแห่งบุญนั้น

     เทวดาและพรหม เมื่อมีมนุษย์ผู้มีความสามารถสื่อสารถึง หากเขารับทราบและมาอนุโมทนาบุญ แม้เขาจะไม่นำไปบริโภคใช้สอยด้วยมีอยู่อย่างบริบูรณ์แล้ว เทวดาและพรหมที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ย่อมได้รับบุญ

     ดังนั้นผู้รู้และมีเมตตาในดวงจิต จึงนิยมผูกไมตรีกับสรรพสัตว์ ด้วยการอุทิศบุญให้อย่างไม่มีประมาณ ผู้ถามปัญหาประพฤติได้เช่นนี้ บุญย่อมเกิดจากการอุทิศได้
  

1746.
เรียน ท่านอาจารย์ สนอง วรอุุไร

   ดิฉันเกิดความทุกข์จากลูกชายป่วย เป็นโรค school phobia   เริ่มจากการย้ายโรงเรียน   โรคนี้ ทำให้แกมีอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย   เป็นจริงๆ   ไม่ได้แกล้ง   เพราะไม่อยากไปโรงเรียน   บางทีก็ทำร้ายร่างกายตัวเอง   เพื่อเรียกร้องความสนใจ   ให้เรายอม ให้แกหยุดเรียน

   อาการเป็นมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน   ดิฉันพาไปหาหมอ หาจิตแพทย์   อาการก็ขึ้นๆ ลง   เวลาที่แกเป็นมากๆ   ไม่ยอมไปโรงเรียน หมอบอกว่า ยังไงก็ต้องให้ไป   แม้ต้องอุ้มไปก็ตาม วันที่เกิดเรื่อง แกก็ไม่ยอมไปโรงเรียน   เราพยายามให้แกไป แกก็ไม่ไปท่าเดียว   

  แกก็เริ่มร้องไห้   พูดจาว่าดิฉัน และสามี ดิฉันก็เข้าใจว่าแกป่วย แกสามารถพูดอะไรก็ได้เพื่อแกจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน   แต่ดิฉันรู้สึกเครียดมานาน นอนไม่ค่อยหลับมานานแล้ว จากโรคนี้ของแก ทุกคืนดิฉันต้องคิดว่าแกจะไปโรงเรียนมั้ย ตอนเช้าแกจะมีอาการอย่างไร   ทำให้วันนั้นดิฉันตีแกค่อนข้างแรง พ่อแกต้องมากันออกไป   แล้วดิฉันก็ยังมีโทสะ จะเอาชนะแก ด้วยการตี   คือดิฉันควบคุมตัวเองไม่ได้   ทั้งที่ไม่เคยตีแกมาก่อนเลย   ตั้งแต่แกเด็กๆ ตอนนี้ แกอายุ 11 ขวบ

   การกระทำของดิฉันไม่ได้ทำให้แกมีอาการดีขึ้น หรือ ทำให้เอาชนะแกได้   ไม่มีผลดีอย่างไรเลย   ดิฉันรู้สึกตัว ขออโหสิกับแก บอกว่า ดิฉันทำไปไม่รู้ตัว   ดิฉันก็ป่วยเหมือนกัน แกบอกว่า ความผิดของแกเอง   แกอโหสิให้ และขออโหสิจากดิฉันเช่นกัน

   ดิฉัน ยังไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้   มักคิดย้ำ ถึงวันที่ตีลูก สงสารลูก   รู้สึกเครียดตลอดเวลา ดิฉันไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้เลย   ในใจรู้สึกแต่ผิด บาป   บางทีก็กลับไปขอโทษลูกอีก   จนลูกโกรธ บอกว่า แม่ทำไม ไม่เลิกพูดเรื่องนี้   แม่เป็นแบบนี้ ทำให้แกเครียดเพิ่มขึ้น  

   ขอรบกวนอาจารย์ให้คำแนะนำ ข้อธรรมะ ที่จะให้ดิฉันผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยเถิด     

   ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ ขอให้อาจารย์และครอบครัว ประสบแต่ความสุข ความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยเถิดค่ะ

คำตอบ
    พ่อแม่เป็นแบบพิมพ์ของลูก หากแบบพิมพ์ไม่ดี ลูกย่อมไม่ดีตามไปด้วย

    ตลอด ๔๕ พรรษาที่ออกเผยแพร่ธรรม พระพุทธโคดมมิได้สอนให้ใครผู้ใด ไปแก้ไขที่คนอื่น แต่สอนให้ปรับปรุงแก้ไขที่ตัวเอง สิ่งที่ผู้ถามปัญหาเขียนบอกเล่าไป จึงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ผิดทาง เป็นการแก้ปัญหาของคนที่มีความเห็นผิด ผลสัมฤทธิ์ในการแก้ปัญหาจึงไกิด ดังนั้นหากผู้ถามปัญหาปรารถนาจะให้ลูกเป็นคนดี เชื่อฟังพ่อแม่ รู้หน้าที่ของตัวเอง มีสุขภาพกายใจดี ฯลฯ พ่อแม่ต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ด้วยการพัฒนาจิตให้มีสติและมีปัญญาเห็นถูกตามธรรม ได้เมื่อใดแล้ว ปัญหาเรื่องลูกย่อมหมดไปโดยปริยาย ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างของ ปฏาจารา หายจากอาการบ้า อิสิทาสี เลิกคิดฆ่าตัวตาย สิริมา เลิกอาชีพโสเภณี ฉันนภิกษุ เลิกประพฤติดื้อรั้น ฯลฯ ได้ด้วยความใกล้ชิดกับผู้ทรงคุณธรรม แล้วหันมาพัฒนาจิตตนเองจนเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้

1745.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ

ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีความเห็นแก่ตัวมาก และอกตัญญูกับผู้มีพระคุณด้วย ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยแนะนำให้ดิฉันให้เลิกนิสัยแบบนี้ด้วยนะคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
      ความเห็นแก่ตัวและความกตัญญูเป็นของคู่กัน นั่นหมายความว่า ผู้ใดประพฤติจริยธรรมที่ได้แล้ว คุณธรรมคือ ความรู้คุณท่าน (กตัญญู) และการประพฤติตอบแทนคุณ (กตเวที) ย่อมเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ความกตัญญูกติเวทีเป็นยอดของคุณธรรม ผู้ใดประพฤติได้แล้ว ผู้นั้นมีชีวิตสวัสดี และมีกิจการงานเจริญรุ่งเรืองจริยธรรมที่ผู้หวังความเจริญ มีดังนี้
   ๑. จริยธรรมบุตร/ธิดา ที่ต้องประพฤติต่อพ่อแม่
     •  ท่านเลี้ยงมา เลี้ยงท่านตอบแทน
     •  ช่วยทำธุรกิจการงานแทนท่าน
     •  ดำรงวงศ์สกุลมิให้เสื่อมเสีย
     •  ประพฤติตนเป็นทายาทที่สมควรได้รับมรดก
     •  เมื่อท่านล่วงลับต้องทำบุญอุทิศให้ท่าน

   ๒. จริยธรรมศิษย์ ที่ต้องประพฤติต่อครูอาจารย์
     •  ลุกขึ้นต้อนรับ แสดงความเคารพ
     •  นำตัวเข้าใกล้ พูดคุยไต่ถาม
     •  ปรนนิบัติรับใช้ในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
     •  เรียนศิลปวิทยา ด้วยความเคารพ

   ๓. จริยธรรมที่ต้องประพฤติต่อเพื่อน
     •  เมื่อเพื่อนประมาทต้องป้องกันรักษา
     •  ช่วยรักษาทรัพย์ของเพื่อน
     •  เป็นที่พึ่งเมื่อคราวมีภัย
     •  ไม่ทองทิ้งในยามทุกข์ยาก
     •  นับถือวงศ์ญาติของเพื่อน

   ๔ . จริยธรรมที่ต้องประพฤติต่อบ้านเมือง
     •  ประพฤติตนให้มีศีลธรรม
     •  ไม่พร่าเวลาให้สูญเปล่า
     •  มีน้ำใจสงเคราะห์
     •  ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์
     •  สุภาพอ่อนโยน
     •  รักษาความสะอาดประณีต
     •  เผื่อแผ่แบ่งปัน
     •  บำรุงพระสงฆ์ผู้ทรงศีล
     •  ใฝ่ธรรม
     •  ฟังมากอ่านมาก
     •  ค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ
          ฯลฯ

   ความเประพฤติที่ดีงามเหล่านี้ ผู้ใดประพฤติแล้ว ผู้นั้นได้ชื่อว่ามีความกตัญญูกตเวที ต่อพ่อแม่ ต่อครูอาจารย์ ต่อเพื่อน ต่อบ้านเมือง คุณธรรมเหล่านี้ส่งผลให้ผู้ประพฤติ มีความสุข มีความเจริญ ทั้งทางโลกและทางธรรมเกิดขึ้นกับชีวิต

    วิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดความเห็นแก่ตัวและความอกตัญญู ได้แก่ การพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) จนเห็นว่า ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา) ได้เมื่อใดแล้ว เมื่อนั้นขันธ์ ๕ ย่อมไม่มีอยู่อย่างแท้จริง เมื่องขันธ์ ๕ ไม่มีอัตตา คือความเห็นแก่ตัว ย่อมดับตามไปด้วย จึงจะเห็นได้จากตัวอย่าง ที่พระอริยบุคคลได้ทำให้พุทธบริษัทดูแล้ว
   

1744.
กราบเรียนถามท่านอ.ดร.สนอง ที่เคารพ

ดิฉันมีปัญหากับเด็กข้างบ้านอยากขอเรียนถามดังนี้ค่ะ

เด็กข้างบ้านชอบมาเตะฟุตบอลหน้าบ้านดิฉัน เตะโดนกระถางแตกไปหลายใบแล้ว   ดิฉัน   เคยพูดว่ากับมันว่า   หนู อย่ามาเตะโดนกระถาง มันก็ตะโกนกลับมาว่า ไม่โดน ทั้งๆที่โดนบ่อย ไม่เคยมาขอโทษเลย   นิสัยมันแย่มาก และหลังจากที่ดิฉัน บอกมันไปแล้ว เหมือนมันจะแกล้งค่ะ มันจะมายืนเตะแบบเล็งกระถางหน้าบ้านดิฉันตรงๆเลยค่ะ หน้าบ้านมันก็มีกระถาง แต่มันไม่เตะหน้าบ้านมัน มันจะต้องมาเตะหน้าบ้านดิฉัน และดิฉันเห็นว่า   ย่ามันจะเตือนมันตอนมันเตะโดนสิ่งของบ้านมันเท่านั้น   แต่ถ้าเตะโดนสิ่งของบ้านคนอื่น เขาจะไม่เตือนเลยค่ะ   ดิฉันควรทำอย่างไรกับบุคคลที่ชอบมาเบียนดเบียนดิฉันดีคะ เพราะรู้สึกแถวนี้มีแต่คนมาเบียดเบียนบ้านดิฉันตลอดเลยค่ะ แต่เบียดเบียนคนละแบบกันไปค่ะ เช่น อีกบ้านก็มาจอดรถขวางหน้าบ้านดิฉันค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูง

คำตอบ
     พระพุทธะสอนพุทธบริษัทว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” ผู้ตอบปัญหาจึงไม่ตอบโต้ แต่ยอมชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดไป ทั้งนี้ถือว่าเป็นการใช้หนี้เวรกรรมที่อดีตเคยเบียดเบียนเขามาก่อน ชดใช้หนี้เวรกรรมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดการผูกพยาบาท ฉะนั้นผู้ถามปัญหาจงดูตัวเองให้ออกว่า กฎแห่งกรรมมีจริง เราจะยอมชดใช้หนี้หรือจะผูกหนี้เวรกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น หากผู้ถามปัญหา เกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรม ย่อมอโหสิกรรมให้กับเด็กด้วยการกำหนดว่า “ช่างมันเถอะๆๆๆๆ” กำหนดทุกครั้งที่เด็กทำกระถางตก แล้วเมตตาย่อมเกิดขึ้น แล้วถูกเก็บสั่งสมเป็นเมตตาบารมีอยู่ในดวงจิตของผู้ถามปัญหา

   จงดูให้ออกว่า เด็กเตะฟุตบอล มีบุญคุณต่อเรา ที่ทำให้เราได้สร้างเมตตาบารมี ฉะนั้น จง “ช่างมันเถอะ” อยู่เสมอ ช่างมันเถอะทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจ แล้วผู้ให้อภัยย่อมเข้าถึงความสวัสดีของชีวิต
   

1743.
กราบเรียน ดร.สนอง ที่เคารพยิ่ง

     หนูเพิ่งทราบว่าตัวเองก้อนเนื้อมะเร็งที่เต้านม ระยะที่ 2 และต้องได้รับการรักษาเป็นการเร่งด่วน ก่อนจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษเพียง 1 อาทิตย์ แผนการทุกอย่างจึงต้องถูกยกเลิกกระทันหัน ทางเลือกที่ดีที่สุดที่คุณหมอแนะนำคือ หนูจะต้องถูกตัดเต้านมข้างขวาออกทั้งหมดและทำเคมีบำบัด ทุกคนในบ้านตกใจ และได้รับผลกระทบจากการป่วยของหนู โดยเฉพาะคุณแม่ไปนั่งฟังผลด้วย หนูเป็นคนที่ภายนอกดูสุขภาพร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์สดใสและไม่มีใครคาดคิดว่า โรคนี้จะมาเกิดขึ้นกับตัวหนู ทั้งคนในครอบครัว คนรอบข้างเพื่อนๆ และแม้กระทั้งตัวหนูเองยังแทบไม่อยากจะเชื่อ ว่ามันเกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะคุณหมอยังบอกว่า เปอร์เซนต์ที่จะเป็นมีน้อยมาก สำหรับคนที่เพิ่งอายุ 28 ปี หนูเป็น 1 ในร้อยคนนั้น

คำถาม
   1) หนูเชื่อว่ามะเร็งเป็นโรคเวรโรคกรรมชนิดหนึ่ง และการที่หนูต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ เป็นชะตากรรมและเวรกรรมของหนูที่ทำมา หนูขอคำแนะนำวิธีการปฎิบัติตัว หลักธรรมและการทำบุญหรือทางใดๆที่จะช่วยผ่อนผัน บรรเทาหรือช่วยให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นอ่อนใจ กับอโหสิกรรมให้หนู

   2) หนูกำลังจะต้องเลือกเส้นทางเดินชีวิตให้กับตัวเอง และเป็นการเลือกที่สำคัญที่สุดในชีวิตของหนู เปรียบเสมือนต้องเอาชีวิตของหนู และความรู้สึกของคนในครอบครัวเป็นเดิมพัน คือวิธีการที่หนูจะรักษาตัวหนึ่งทางคือแผนปัจจุบัน และแนวทางเลือก หนูอธิษฐานต่อหน้าพระรัตนตรัย ขอให้นำทางหนูไปให้ถูกทาง มีวิธีไหนทางใดบ้างที่จะทำให้หนูได้ตอบและไปได้ถูกทาง

   3) หนูมีความคิดที่สับสนว่า จะเลือกแนวทางการรักษาทางไหน คือ การที่หนูต้องถูกตัดเต้านมทิ้ง และทำเคมีบำบัด และการที่หนูจะยอมรับมัน อยู่กับมันโดย "ไม่เลือก" ที่จะรักษาตามแนวทางของหมอแผนปัจจุบัน ก็คือการต้องรับกรรมทั้งสิ้น หนูอยากแก้ไขปัญหานี้ที่ต้นตอของมัน หนูควรจะทำอย่างไรดี และหนูมีความคิดเอนเอียงไปในทางที่ว่า วิธีการรักษาแผนปัจจุบันไม่ใช่วิธีที่แก้จากสาเหตุ และเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เพราะมะเร็งก็ยังไม่มียารักษา ลามไปไหนก็ต้องตัดที่นั้น และปาระเบิดสู่ร่างกายโดยการทำเคมีบำบัด คุณหมอบอกหนูต้องตัดสินใจเรื่องการผ่าตัด ภายใน 3 อาทิตย์ อาจารย์โปรดเมตตาช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

   กราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์เป็นอย่างสูง
     ไอรีล

คำตอบ
     มะเร็งเต้านม เกิดขึ้นด้วยเหตุสองอย่างคือ ประพฤติเบียดเบียน และตั้งโปรแกรมผิดไว้กับจิต

   (๑) กรรม หมายถึง การกระทำ มนุษย์ทำกรรมได้สามทางคือ คิด พูด และทำ หากเป็นอกุศลกรรมเมื่อทำกรรมแล้ว จิตจะเก็บบันทึกผลกรรมไว้ภายใน เมื่อใดที่อกุศลกรรมให้ผล ย่อมให้ผลเป็นบาป ตรงกันข้าม ทำกรรมดีย่อมให้ผลเป็นบุญ ทั้งบุญและบาปที่บุคคลได้กระทำให้สำเร็จลงแล้ว คือ ชะตาชีวิต มะเร็งเต้านมเป็นผลอันเนื่องมาจากบาปให้ผล บุคคลผู้ประพฤติอกุศลกรรมแล้ว จึงต้องเสวยผลแห่งวิบากนั้น ซึ่งจะผ่านหนี้เวรกรรมนี้ได้ ต้องประพฤติบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) ให้เกิดขึ้น แล้วขอความเมตตาผู้ร่วมปฏิบัติธรรม (มีบุญใหญ่ ) ช่วยกันอุทิศบุญที่แต่ละคนมี ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของผู้ถามปัญหา โอกาสชดใช้หนี้ให้หมดได้เร็ว ย่อมเกิดขึ้นได้

   (๒) ผู้รู้เลือกทางชีวิตที่เป็นอิสระจากการถูกจองเวร ด้วยการประพฤติตนให้มีศีล และมีสัจจะคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น คนที่มีศีลและมีสัจจะ เป็นคนศักดิ์สิทธิ์ คิดหวังอย่างใดย่อมเป็นไปตามที่คิด ผู้ใดประพฤติเยี่ยงนี้ได้ ความสมปรารถนาย่อมเกิดขึ้นกับผู้นั้น

   (๓) ผู้รู้ไม่คิดกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย แต่ผู้รู้อยู่กับสิ่งแปลกปลอมฉันท์มิตรที่ดี สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างอยู่โดยไม่คิดกำจัดกันและกัน ดังตัวอย่างชาวอเมริกันเป็นเนื้องอกในสมอง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เซ็นติเมตร หมอชาวอเมริกันปฏิเสธการบำบัดรักษา เพราะคิดว่ารักษาไม่หาย ในที่สุดผู้เป็นเนื้องอกในสมอง จึงได้ลาออกจากงาน แล้วไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่ประเทศธิเบต ผลปรากฏว่าเนื้องอกในสมองลดขนาดลง จนไม่ปรากฏว่ามีหลงเหลืออยู่เลย เมื่อผู้ตอบปัญหาทราบเรื่องราว จึงได้เชิญให้เขาขึ้นเวทีบรรยาย ให้ผู้ฟังธรรมฟังเรื่องราวที่ใช้ธรรมะบำบัดโรค
  

1742.
ขอกราบท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ครับ.
 
     ผมมีเรื่องที่สงสัยมานานมากๆ เรื่องการเจริญกรรมฐาน เมื่อตอนผมอายุประมาณ 14 ปี
ผมนั่งดูลมหายใจ กำหนดพุท โธ อาการที่เกิดกับผมคือ ไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวตนอยู่เลย
ตัวเบามากเหมือนลอยอยู่ที่ใหนก็ไม่รู้ แต่ในจิตใจที่รับรู้รู้สึกมีความสุขมากๆ แล้วอยู่ตรงนี้ได้
ครั้งละนานๆ

     บางคืนอยู่จนถึงเช้า จนไม่ชอบการนอนรู้สึกติดอยู่กับความสุขนี้มากกว่า
ทำอยู่เป็นปี จนเกิดมีความรู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่มาก มาทับตรงที่หน้าตักตรงมือที่ขัดสมาธิ
ทรมานมากเหลือเกิน เป็นอยู่อย่างนี้หลายอาทิตย์จนกลัวที่จะถึงตรงนี้ แต่สุดท้ายวันหนึ่ง
เกิดรู้สึกเหมือนมีความกล้าตอนที่เป็นแบบนี้อีก เลยคิดว่าเป็นไงเป็นกัน สุดท้ายก็รู้สึกกลับ
มาสบายอีกครั้ง แต่ทีนี้แปลกตรงที่มี ธรรมมะ ผุดขึ้นมาเยอะมากบางทีเป็นตัวหนังสือ บางทีเป็นเสียง บางทีเป็นคำเหมือน พระสวดบาลี พออยู่ดูได้นานพอสมควรก็รู้สึกว่าอยากจะออกจากสมาธิ แต่กลับไม่สามารถ ออกมาได้ พยายามลืมตาอย่างไง ก็ลืมไม่ได้ ต้องอยู่ฟังธรรมมะต่อ จนสุดท้ายออกจากสมาธิเอง ตอนนั้นเริ่ม รู้สึกกลัวๆ คับ แต่ก็ยังนั่งต่อมาเรื่อยๆ ทุกอย่างก็มาแบบเดิมๆ แต่ครั้งนี้เพิ่มตรง ที่มีใบหน้าใครก็ไม่รู้ มาคุยด้วย มาถามประมาณว่า นั่งสมาธิทำไม นั่งแล้วได้อะไร ประมาณนี้ครับ ผมก็เลยกลัว แล้วก็เลิกนั่ง

      ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนตอนนี้อายุ 40 แล้วครับ ได้มาฟังธรรมจากท่านอาจารย์ดร.สนอง ผมเกิดศรัทธา เป็นอย่างมาก ผมเลยกลับมานั่งสมาธิ อีกครั้งนั่งจะได้ 1 ปีแล้วครับ แต่คงขอถามไว้แค่นี้ก่อนครับ ว่าสิ่ง ที่เกิดขึ้นตอนผมอายุ 14 เป็นอะไรครับ..

     กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ เป็นอย่างสูง ท่านอาจารย์เป็นเหมือนผู้ชี้ทางสว่าง ให้ผมได้กลับมาเดินในทางที่นำไปสู่ความสงบ นำไปสู่ความหลุดพ้น กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ..

คำตอบ
   ผู้ใดเอาสิ่งที่ตาเห็น (ตัวหนังสือ) มาพิจารณาด้วยจิตว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา) แล้วเห็นว่าตัวหนังสือเป็นอนัตตา ตัวหนังสือมิใช่ตัวตนที่แท้จริง จิตย่อมปล่อยวางตัวหนังสือ แล้วจิตว่างเป็นอุเบกขา ปัญญาเห็นแจ้งในตัวหนังสือย่อมเกิดขึ้น

   เช่นเดียวกัน เสียงพระสวดมนต์และความกลัว ให้พิจารณาเช่นเดียวกันนี้ ทุกครั้งที่มีผัสสะเกิดขึ้นกับจิต ต้องพิจารณาผัสสะจนเห็นว่า ทุกผัสสะเป็นอนัตตา แล้วปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะย่อมเกิดขึ้น
  

1741.
ปัญหาคำพูด

     ตอนนี้แม่ของดิฉันอายุ 60 ปลาย ๆ แล้ว ท่านมักจะชอบพูดว่าคนอื่น ๆ อยู่เรื่อย ๆ แต่พออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็จะพูดจาดี แต่กับคนในครอบครัวจะพูดจาไม่ดีเลย บางทีก็เจอคำพูดหยาบคายมาก ๆ ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้ ท่านมักจะบอกว่ามีคนคอยขับรถตาม บอกว่าคนที่ขับรถตามชอบเปลี่ยนรถหลาย ๆ คัน ทั้ง ๆ ที่ดิฉันก็เห็นว่าไม่มีอะไรเลย เมื่อ อาทิตย์ที่ผ่านมา ท่้านก็มาพูดกับดิฉันว่ามีผู้ชายขับรถตามดิฉัน แล้วก็พูดว่าต่าง ๆ นา ๆ ว่ามีผู้ชายมานั่งเฝ้าหน้าบ้าน ความหมายหยาบคายไม่ดีเลย ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่มีอะไร จนคนในครอบครัวไม่มีใครอยากพูดอะไรกับท่านแล้ว พูดกันก็ทะเลาะกัน ไม่ยอมฟังคำอธิบายเลย ใครบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อ ดิฉันก็ได้แต่นิ่ง ๆ ทน ๆ ไป

     จนวันนี้ดิฉันเจอจดหมายไม่ได้จ่าหน้าซองเขียนชื่อเล่น ใส่ไว้ที่หน้าบ้าน ภายในจดหมายมีข้อความที่แม่เคยพูดว่าดิฉัน แต่บอกว่าคนเขียนคือเป็นคนที่รู้จักดิฉันและมาขอเตือน มีแต่คำพูดที่แย่ ๆ ดิฉันคิดว่าคงเป็นแม่แน่ ๆเพราะแม่เคยทำแบบนี้กับคนอื่นด้วย ดิฉันควรทำอย่างไรดี ในตอนนี้คะ เครียดมากคะ

คำตอบ
     พระพุทธโคดมไม่เคยสอนให้ไปแก้ปัญหาที่คนอื่น แต่สอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ดังนั้นเรื่องที่เขียนบอกเล่าไปก็เป็นเรื่องของแม่ ให้เอาแม่มาเป็นครูสอนใจตัวเองว่า เมื่อใดที่เรามีอายุเท่าแม่ เราจะไม่ประพฤติอย่างแม่ และวิธีแก้ปัญหาที่ถูกตรงทำได้ ๒ แนวทาง คือ

   ๑. ให้อภัยเป็นทานทุกครั้งที่ได้ยินแม่พูดไม่ดี และผู้ถามปัญหาต้องมีสัจจะ คือ แม่ไม่เลิกพูดไม่ดี ผู้ถามปัญหาต้องไม่เลิกให้อภัย และไม่โต้ตอบใดๆทั้งสิ้น ทำตัวให้เหมือนก้อนหินใหญ่ คือ นิ่งๆๆและนิ่งอยู่ตลอดเวลา หากทำได้ดังนี้จิตจะสงบและจะเห็นว่าแม่เป็นผู้มีพระคุณ ทำให้ลูกได้พัฒนาเมตตา แล้วเก็บสั่งสมอยู่ในดวงจิตเป็นเมตตาบารมี ที่ให้ผลเป็นความสงบและเย็น

   ๒. ผู้ถามปัญหาต้องนำตัวเองไปปฏิบัติธรรม เมื่อใดจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ และเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ให้ใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาคำพูดที่ไม่ดีของแม่ ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดคำพูดที่ไม่ดีหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ก็จะรู้แจ้งด้วยใจตัวเองว่า คำพูดที่ไม่ดีนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนที่แท้จริง แล้วจิตจะปล่อยวางสิ่งที่ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ทำให้จิตว่างเป็นอุเบกขา แล้วจิตย่อมเป็นอิสระ ต่อเสียงที่เข้าทางหู วิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกตรงที่สุด ผู้รู้จริงแท้ (พระอริยบุคคล) ในพุทธศาสนา นิยมปฏิบัติต่อสรรพสิ่งที่เข้ากระทบจิตเช่นนี้
  

1740.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร. สนอง ที่เคารพอย่างสูงครับ
 
ที่ผ่านมาผม เคยปรามาส พ่อแม่ ครูอาจารย์ และพระสงฆ์   ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ผมได้กราบขอขมากับ พระพุทธรูป และ พระบรมธาตุ ที่คนกราบไหว้ มาก ๆ แล้ว
ตามคำแนะนำที่อาจารย์ ได้แนะนำให้ท่านอื่น ๆ ตามหัวข้อด้านล่าง
ผมควรทำอย่างไรดี   เพื่อให้หายฟุ้งซ่าน หายจากอาการคิดไม่ดี ที่มันเกิดขึ้นในหัวเองครับ
 
  กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ
 
  ขอบคุณทีมงานด้วยนะครับ

คำตอบ
     เมื่อขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ต้องไม่ประพฤติปรามาสให้เกิดซ้ำขึ้นอีก และต้องพัฒนาจิตให้มีศีล ๕ คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น หลังจากนั้นต้องสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเสร็จต้องกำหนดลมหายใจเข้า - ออก โดยมีความเพียรและมีสัจจะเป็นแรงสนับสนุน ปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่อยไปจนกว่าความฟุ้งซ่านของจิตจะหมดไป
  

1739.
เรียนถามท่านอาจารย์ดร.สนองครับ

     คือผมได้เจริญกรรมฐานดูลมหายใจเข้าออก ก็รุ้สึกว่าจะมีอาการมีความสุข ตัวใหญ่ขึ้นตัวหายไปแต่พอผมออกจากสมาธิ กำลังจะไปกราบรูปพระพุทธเจ้าก็มีความคิดขึ้นมาว่า เรานี่ท่าทางจะเก่งแล้ว พระพุทธเจ้าท่านจะมีแบบนี้ไหมนะ แต่ผมก็รู้สึกแย่มากๆว่าทำไมต้องคิดแบบนั้นกับพ่อใหญ่ด้วยทั้งๆที่เคารพและรักพ่อใหญ่เหนือเศียรเกล้าตลอดเวลา ก็กราบท่านอยุ่แบบนั้นมันก็ยังไม่หยุด อารมณ์มันเบาๆ ตื้อๆ กราบขอขมาท่านเท่าไรก็ไม่ลึกซึ้งถึงใจ ผมร้อนใจมากกับการไปคิดเปรียบเทียบท่านแบบนั้น หรือคิดว่าตัวเองสูงกว่าท่าน ผมจะแก้ไขยังไงดีครับ ขอท่านอาจารย์ช่วยเมตตาแนะนำให้ผู้หลงผิดผู้นี้ทีนะครับ ขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
     ต้องแก้ไขด้วยการพัฒนาจิต ให้มีกำลังของสติกล้าแข็งมากยิ่งขึ้น ด้วยการกำหนดทุกครั้งที่คิดจะไปกราบพระพุทธเจ้าว่า “คิดหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ และต้องมีสัจจะ คือไม่เลิกคิดฯ ต้องไม่เลิกกำหนด กำหนดไปจนกว่าความคิดฯ จะหยุดไป แล้วจึงดึงจิตกลับมาจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก ( อานาปานสติ ) ดังเดิม วิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาจิตขาดสติให้กลับมามีสติอีกครั้ง และมีกำลังของสติมากยิ่งขึ้น
  

1738.
เรื่องสังฆทาน

     เมื่ออดีตผมยังเด็กๆอยู่ ที่บ้านมีการเคารพนับถือพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่งซึ่งท่านน่าเคารพเลื่อมใสมาก แต่ท่านก็ได้ยกชุดสังฆทานที่อยู่ในกุฏิท่านกับลุกหลานมา ทางบ้านผมก็รับกลับมาด้วยความที่ไม่รู้เรื่อง ท่านยกให้ก็รับกลับมา แล้วผมเองเป็นเด็กจึงได้นำของในนั้นมากินบ้างอะไรบ้าง แต่พอมาตอนนี้ผมได้มาปฏิบัติธรรม ศึกษาพระธรรมมากขึ้น ผมจึงเกิดอาการร้อนใจว่า มันจะเป็นกรรมหนักไหม แล้วเราจะบาปไหมที่เอาของสงฆ์มากินแบบนั้น แล้วกระผมจะต้องแก้ไข หรือทำอย่างไรดีครับ

ขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ดร.สนอง ด้วยนะครับ

คำตอบ
     เมื่อเจ้าของสังฆทานมีจิตอุทิศ (ยกให้) ในสิ่งที่เป็นของตนแก่ผู้อื่น ผู้รับ (ปฏิคาหก) สามารถนำไปบริโภคใช้สอยได้อย่างสบายใจ ไม่ถือว่าเป็นบาป
  

1737.
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง
 
   หนูเป็นชาวพุทธคนหนึ่งที่มีความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะคนรอบตัวหนูถือเรื่องโชค ราง ฤกษ์ยาม และ พิธีรีตรอง มากจนหนูสงสัยว่านั่นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนหรือ ดังนั้นหนูจึงเริ่มหาคำตอบ แต่ก็ไม่มีใครทำให้หนูเข้าใจได้ชัดแจ้ง จนมาวันหนึ่งหนูเริ่มฝึกการนั่งสมาธิผ่านทางอินเตอร์เนต เริ่มแรกหนูฝึกจากหลวงพ่อจรัล ฝึกจากท่านเจ้าคุณโชดก ผ่านทางอินเตอร์เนต โดยไม่รู้จักว่าท่านเป็นใคร เพียงแต่ใช้ความรู้สึกว่าน่าเราชอบและน่าจะถูกต้อง ตามทางที่พระพุทธเจ้าสอน แล้ววันหนึ่งหนูก็ได้พบอาจารย์สนอง ผ่านทางอินเตอร์เนต หนูฟังทุกหัวข้อที่ อาจารย์บรรยาย และ ฟังซ้ำหลายครั้ง หนูอ่านสนทนาภาษาธรรม และปัจจุบันนี้หนูได้คำตอบแล้วคะ   กราบขอบพระคุณที่อาจารย์สนองอธิษฐานจิต ว่าจะช่วยให้เพื่อนมนุษย์ไม่ลงอบายภูมิคะ รวมทั้งหนูด้วยคะ  ปัจจุบันนี้การฝึกนั่งมาธิของหนูค่อยๆดีขึ้น หนูมีข้อสงสัยดังนี้คะ
 
1. หนูมีอาการขนลุกบ่อยมาก ไม่ว่าจะนั่ง เดิน ยืน หรือนอน เกิดขึ้นตอนไม่ได้นั่งสมาธิ
    เกี่ยวข้องกับการฝึกสมาธิของหนูหรือเปล่าคะ.
 
2. เวลาหนูนั่งสมาธิ หนูไม่เห็นอะไร แต่ถ้านอนหลับ กลับเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้
    และได้ไปเห็นในที่ๆหลายคนไม่มีโอกาสได้ไป เป็นเพราะอะไรคะ

คำตอบ
      ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมออกเผยแพร่ธรรมวินัยในครั้งพุทธกาล พระองค์ไม่เคยสอนให้พุทธศาสนิกผู้ใด เอาจิตไปศรัทธา เลื่อมใส ในฤกษ์ยาม โชคลาง หรือพิธีกรรมใดๆ แต่สอนให้บุคคลทำเหตุให้ตรงตามธรรมวินัย เพื่อนำพาชีวิตไปสู่จุดหมายที่ดีงาม

     (๑) อาการขนลุกเป็นปีติอย่างหนึ่ง เกิดขณะจิตเริ่มมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ดังนั้นอาการขนลุก จึงเกิดขึ้นจากเหตุแห่งการฝึกจิต (สมถภาวนา)

     (๒) ขณะหลับไม่จริง จิตสามารถเกิดนิมิตไปเห็นสิ่งต่างๆล่วงหน้าได้ ผู้รู้ไม่เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ถูกเห็น เพราะไม่เป็นเหตุให้พ้นทุกข์
  

1736.
เรียนอาจารย์สนองค่ะ
 
อยากเรียนถามอาจารย์ว่าทุกศาสนาเวลาที่คนตายเขาจะมีนรก สวรรค์แยกกับของเราหรือว่ารวมกันคะ เขา สามารถจะไปเกิดเป็นเทพหรือเทวดาได้เหมืือนพวกเราชาวศาสนาพุทธ หรือเปล่าคะ
แล้วถ้าเราทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้คนที่ต่างศาสนากัน เขาจะได้รับบุญนั้นหรือเปล่าคะ เนื่องด้วยสามีของหนู เป็นชาวต่างชาติเพิ่งเสียชีวิตไม่นานหนูกลัวว่าเขาจะไม่ไปสุคติ
 
รบกวนอาจารย์เมตตาช่วยตอบด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
 
สุกานดา

คำตอบ
     สวรรค์และนรกเป็นสมมุติบัญญัติที่ใช้เรียกสถานที่อยู่ (ภพ) ของสัตว์ที่มีสภาวธรรมไม่เหมือนกัน คือ สวรรค์เป็นที่อยู่สัตว์ผู้เสวยกามสุขที่เป็นทิพย์ ส่วนนรกเป็นที่อยู่ของสัตว์ผู้เสวยกามทุกข์อันเนื่องจากการถูกทรมาน

     สวรรค์และนรกของแต่ละความเชื่อมีสมมุติที่ต่างกัน และสัตว์ในภพนรกต้องถูกทรมานอยู่ตลอดเวลา จึงไม่สามารถมาอนุโมทนาบุญที่เกิดจากการอุทิศได้ ส่วนสัตว์ในภพสวรรค์เสวยกามสุขอันเป็นทิพย์ ที่มีอยู่พร้อมบริบูรณ์ จึงไม่ต้องการบุญที่เกิดจากการอุทิศของใครผู้ใด
  

1735.
กราบเรียน ดร.สนองที่เคารพ

  หนูมีปัญหาอยากถามดังนี้ค่ะ

1. หนูมีอาการปวดท้องประจำเดือนเกือบทุกเดือน มีอยู่วันหนึ่งหนูนอนหลับไปแต่คืนนั้นไม่ได้ทำกรรมฐานปรากฏว่า หนูรู้สึกตัวขึ้นมา รู้สึกที่ท้องและขาเหมือนกับตอนที่ได้รับความเจ็บปวดอยู่ คือความรู้สึกมันบอกแต่มันกลับไม่ได้เจ็บปวดเหมือนกับตอนตื่น หนูก็นอนดูอาการอยู่พักหนึ่งก็หลับไป   อันนี้ใช่การแยกรูปแยกนามหรือเปล่าคะ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรเพราะหนูไม่ได้ทำสมาธิก่อนนอน แต่ปกติทำเป็นประจำมากบ้างน้อยบ้าง

2. การเห็นอาการเจ็บปวดของร่างกาย แต่เราไม่เจ็บเหมือนกับปกติใช่สมาธิระดับอุปจารสมาธิหรือไม่ เมื่อเราเฝ้ามองดูอาการเหล่านั้น จะทำให้เราเห็นไตรลักษณ์ได้อย่างไร

     กราบขอบพระคุณสำหรับคำตอบค่ะ

คำตอบ
     (๑) ที่ถามไปมิใช่ญาณแยกรูปนาม (นามรูปปริจเฉทญาณ) แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากสัญญาที่ส่งเข้ากระทบจิตขณะอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ญาณแยกรูปนามจะเกิดได้ จิตต้องไม่เข้าไปมีส่วนในภวังค์ คือ จิตต้องตื่นหรือมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา

     (๒) เมื่อใดที่จิตไม่อยู่ในภวังค์ แล้วจิตเห็นอาการเจ็บปวดของร่างกาย ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ นั่นเป็นเครื่องหมายบ่งชี้ว่า จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ)
  

1734.

บาปจากการทำแท้ง หากสำนึกผิดจริงๆ และตั้งใจปฏิบัติธรรม จะมีโอกาสรอดพ้นจากอบายยภูมิและเข้าถึงธรรมได้หรือป่าว ขอความกรุณาให้คำตอบด้วยครับ
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
     หากสำนึกผิดและไปขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ หรือพระธาตุเจดีย์ที่มีคนกราบไหว้บูชาอยู่เสมอ เมื่อขอขมากรรมแล้ว ต้องไม่ประพฤติบาปเช่นนั้นให้เกิดขึ้นอีก แล้วหันมาปฏิบัติที่สมควรแก่ธรรม โอกาสหนีพ้นหรือปิดอบายภูมิย่อมเกิดขึ้น ในครั้งพุทธกาล อัมพปาลีและอัฑฒกาลี ยังบรรลุอรหัตตผลได้ ส่วนสิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธ เลิกประพฤติมิจฉาชีพ แล้วหันมาปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา ยังสามารถบรรลุโสดาปัตติผล ขณะยังเป็นฆราวาส ซึ่งสามารถปิดอบายภูมิได้ ตายเกิดอีกไม่เกิดเจ็ดชาติ ย่อมเข้าสู่นิพพานได้
  

1733.
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง

       ตัวหนูเองก็มีปัญหาเยอะค่ะแต่วันนี้ขอถามหนึ่งข้อ คือต้องทำงานร่วมกับคนที่มีโทสะมาก เรื่องที่สำหรับเราไม่มีอะไรแต่สำหรับเธอใหญ่เท่าฟ้า บางทีก็ข้างปาข้าวของทั้งคนและสัตว์กระเจิงคนละทางที่จริงเขาก็มีเมตตาคนและสัตว์อยู่บ้าง โดยเฉพาะสัตว์เขาไห้อาหารทุกวัน แต่ถ้าขัดใจเขาเขาอาจจะทำร้ายได้เหมือนกัน หนูไม่รู้จะทำจิตยังไงจึงจะไม่ทุกข์มากจนเกินไปคะ ?

      ทุกวันนี้ต้องทำงานด้วยกันเกี่ยวข้องตลอดเวลา.หนูเองก็นั่งสมาธิบ้าง สวดมนต์แทบทุกวัน เจริญสติด้วยค่ะ แต่ว่าสติหนูมันยังไม่กล้าแข็งดี เมื่อได้ยินถ้อยคำกระทบหูบางครั้งหลายๆครั้ง มันกำหนดไม่ทันค่ะ กลายเป็นว่าเรารับมันมาปรุงเป็นอารมณ์ แต่ก็ยังดีที่หนูยังสามารถควบคุมไม่ไห้มันกลายเป็นโทสะหยาบออกมา พอโกรธเกิดก็จะรู้ตั้งแต่อาการตั้งต้นของมัน   บางทียินหนอๆๆๆ แต่หนูกลัวว่าแบบนี้จะกลายเป็นเราไปกำหนดเจริญฟังเขาหรือเปล่าคะ ตอนนี้หนูเริ่มสังเกตและรู้สึกว่า ตัวเองเริ่มมีความคิดที่หยาบกระด้าง และควบคุมไม่ได้มากขึ้น

      อันนี้พอสังเกตได้ค่ะ หรือว่ามันจะเป็นการทดสอบ ที่พอเราเริ่มทำดีก็จะมีมารแต่ถึงกระนั้นที่หนูกลัวมากกว่า คือการเปลี่ยนแปลงไปทางที่ไม่ดี โบราณว่าอยู่กับไครก็จะเป็นอย่างนั้น จะหาวิธีการไดรับมือกับเรื่องนี้ดีคะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงที่ส่องทางปัญญา แก่ผู้ที่ห่างไกลเทียน แต่ก็ยังพอมีโอกาศจะได้เห็นแสงเทียนที่อยู่บนภูเขาที่ไกลลิบได้

ขอกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยดูแลอาจารย์อีกทางหนึ่งให้ท่านได้มีอายุยืนยาว เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้เรานานๆค่ะ

คำตอบ
     ตลอด ๔๕ พรรษา ที่พระพุทธโคดมเผยแพร่ธรรม ท่านไม่เคยสอนให้แก้ปัญหาที่คนอื่น แต่สอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ฉะนั้นเรื่องที่บอกเล่าไป มันเป็นเรื่องของเขา เขามีโทสะ เท่ากับเขากำลังทำเหตุลงไปเกิดเป็นสัตว์นรก มิใช่เป็นเรื่องของเรา แต่เราโง่เอง ( ขออภัยที่พูดตรง ) จึงไปรับเอากิเลสของคนอื่นมาเป็นของเรา แล้วทำให้ไม่สบายใจ หากปรารถนาจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ ต้องเจริญสติและปัญญาเห็นถูกตามธรรมให้เกิดขึ้น ตามวิธีการที่บอกเล่าไปนั้นทำได้ถูกต้องแล้ว แต่ต้องปรับให้มีศีลบริสุทธิ์ และมีสัจจะคุมใจ แล้วเร่งความเพียรให้มากขึ้น ทำจนกว่าตัวเองจะหายโง่ และทุกครั้งที่ได้ยินเสียงขัดใจเข้ากระทบประสาทหู ต้องกำหนดว่า “เรื่องของเขาๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอารมณ์ไม่สบายใจจะหมดไป

     คนที่มีความเห็นผิด ย่อมเข้าร่วมกลุ่มกับคนที่มีความเห็นผิดด้วยกัน ซึ่งเป็นจริงตามคำกล่าวของคนโบราณ แต่ไม่เป็นความจริงของคนที่มีสติและปัญญาเห็นถูกตามธรรมกล้าแข็ง หากผู้ถามปัญหาจำเป็นต้องทำงานร่วมกับคนที่มีโทสะ โดยไม่ทำให้ตัวเองหวั่นไหว ต้องทำใจให้ได้ตามที่บอกเล่ามา แล้วให้อภัยในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจได้แล้ว ย่อมมีเมตตาเกิดขึ้น และทำให้มีอารมณ์สงบและเย็น
  

1732.
กราบเรียนท่านอาจารย์ สนอง วรอุไร

ไม่ทราบว่าผมเป็นอะไรถึงได้มีปัญหาทางด้านความคิดที่จะต้องย้ำคิดอยู่เสมอ รวมถึงวิตกจริตเกินเหตุ มีกรรมเก่าอะไรหรือป่าวครับ ผมอยากมีความคิดที่ปกติไม่ฟุ้งซ่านกังวลเหมือนทุกวันนี้ มีวิธีบ้างหรือไม่ครับ

คำตอบ
     กรรมเก่าของผู้มีวิตกจริตได้แก่ การขาดสติและไม่มีสัจจะเป็นฐานรองรับใจ ผู้รู้แก้ปัญหาวิตกจริต ด้วยการเจริญอย่างใดอย่างหนึ่งในกสิณ (เว้นวรรณกสิณ) หรือ เจริญอานาปานสติ หรือนำเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในอรูป ๔ มาเป็นองค์บริกรรม โดยมีศีลคุมใจ มีสัจจะคุมใจ และมีความเพียรเป็นแรงสนับสนุน เมื่อมรรคผลแห่งการปฏิบัติเกิดขึ้นแล้ว จิตย่อมสงบระงับจากอารมณ์ฟุ้งซ่านได้
  

1731.
สวัสดีค่ะ อ. ดร.สนอง

     มีความสงสัยว่าการศึกษาในทางโลกช่วยเหลือเราในโลก พร้อมกับทำให้เรายิ่งหลงมากขึ้นหรือไม่ค่ะ แล้วที่เห็นมาคนที่ประสบความสำเร็จทางโลกก็จะมาจบด้วยการค้นหาทางธรรมอีกและบอกว่านั้นคือทางที่แท้จริง ตอนนี้เมื่อเรารู้อย่างนั้นทำไมเราไม่ศึกษาทางธรรมก่อนไปเลยค่ะ ทำไมเราต้องมาประสบความสำเร็จทางโลกก่อนแล้วค่อยมารู้ว่าไม่ใช่ค่ะ   ในตัวของหนูหนูกลับรู้สึกว่าทำไมหนูต้องเรียนอะไรที่มันยุ่งเหยิงไปหมด แทนที่ทำไมไม่ศึกษาแต่เฉพาะเรื่องที่จำเป็น ส่งตรงกับชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายแทน ทำไมพอหนูไปเรียนหนูกลับรู้สึกว่า อันนี้ทำไมเราเรียนไกลตัวมากขึ้นไปเรื่อยๆๆ จนเริ่มสงสัยว่าฉันศึกษาเธอเพื่ออะไรกันแน่ อะไรคือคำตอบของชีวิต พอหนูคิดอย่างนั้นแล้ว หนูก็เริ่มคิดว่าไอ้ที่เรียนเรียนแค่รอดพอ แล้วหนูหันไปศึกษาธรรมแทน อย่างนี้ถือว่าหลงไปมากไมค่ะ ทำไมหนูถึงไม่สามารถมองเห็นทางที่เป็นอิสระทั้งสองฝ่ายได้ค่ะ ทำไมหนูไม่สามารถทำให้ทั้งสองอย่างไปได้พร้อมกัน  

ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยตอบให้หนูเห็นความเป็นจริงด้วยค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     ทุกสถาบันเกือบทั่วโลก สอนให้บุคคลแสวงหาความรู้อยู่ ๒ ระดับ คือ ความรู้จากการฟัง และความรู้จากการอ่าน (สุตมยปัญญา) และสอนให้แสวงหาความรู้จากการคิด วิเคราะห์ วิจัย (จินตามยปัญญา) ความรู้ทางโลกเช่นนี้เข้าถึงความจริงได้เพียงชั่วคราว (สภาวะสัจจะ) เมื่อกาลเวลาผ่านเนิ่นนานออกไป ความจริง (เหตุผล) ที่เคยเป็น กลับแปรเปลี่ยนไปเป็นความไม่จริง ไม่มีเหตุผลรองรับ ผู้รู้เรียกความรู้เช่นนี้ว่า เป็นความรู้ที่ไม่จริง หรือเป็นความไม่รู้จริงแท้ (อวิชชา) ผู้ใดยึดความรู้เช่นนี้ไว้กับตัว เรียกผู้นั้นว่า มีความหลง (โมหะ) ตรงกันข้าม ผู้รู้จริงแท้ แสวงหาความรู้สูงสุดที่เกิดจากการพัฒนาจิต (ภาวนามยปัญญา) ที่เป็นปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้น ความรู้เช่นนี้เข้าถึงความจริง ที่กาลเวลาไม่สามารถมาแปรเปลี่ยนให้เป็นความไม่จริงได้

     ความรู้ทางโลกเหมาะที่จะใช้แก้ปัญหา หรือสร้างเครื่องมือขึ้นมาช่วยแก้ปัญหาให้กับโลกได้ชั่วคราว แต่หากนำมาใช้แก้ปัญหาให้กับชีวิตแล้ว ย่อมนำพาชีวิตไปสู่ความหลงและความวิบัติ

     ผู้ตอบปัญหาเห็นด้วยกับผู้ถามปัญหาว่า การเรียนรู้ทางโลกทำให้เราเรียนรู้สิ่งที่ไกลตัวมากยิ่งขึ้น ผู้ถามปัญหายังหลงทางชีวิตไปไม่มากเท่ากับผู้ตอบปัญหา ผู้รู้จริงสามารถศึกษาความรู้ทางโลก เพื่อช่วยเหลือคนในโลกได้ชั่วคราว แต่ผู้รู้จริงยังได้ศึกษาหาความรู้สูงสุดเพื่อใช้นำพาชีวิตไปสู่อิสรภาพที่แท้จริง

     ผู้ใดมีศีล มีสัจจะ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น แล้วเร่งความเพียรในการพัฒนาจิตให้เข้าถึงปัญญาสูงสุด โดยมีครูบาอาจารย์ผู้เข้าถึงธรรมได้แล้ว เป็นผู้ชี้นำการพัฒนาจิต ผู้นั้นมีโอกาสนำพาชีวิตไปสู่อิสรภาพที่แท้จริงได้
  

1730.
สวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์ ดร.สนอง

ดิฉันขอรบกวนถามค่ะ ว่า เวลาเรานั่งสมาธิจนจิตนิ่งๆมาก แล้วเราจะกำหนดอะไรต่อไปค่ะ

ขอพระคุณอย่างสูง

คำตอบ
    เมื่อใดที่นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการจิตนิ่ง นิ่งมากจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ให้ใช้จิตตามดูอารมณ์นิ่งว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ คืออารมณ์นิ่งมีสภาพไม่คงที่ (อนิจจัง) อารมณ์นิ่งเป็นภาวะที่คงทนอยู่ไม่ได้ ( ทุกขัง ) และอารมณ์นิ่งมิใช่ตัวมิใช่ตน (อนัตตา) หากจิตรู้ เห็น เข้าใจได้ถูกตรงเช่นนี้ ปัญญาเห็นแจ้งในความนิ่งของจิตย่อมเกิดขึ้น แล้วจิตจะปล่อยวางความนิ่ง จิตว่างเข้าสู่ความเป็นอุเบกขาพร้อมกับมีปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้น

    ตรงกันข้าม หากนั่งสมาธิแล้วเกิดอารมณ์จิตนิ่งเป็นสมาธิแน่วแน่ (อารมณ์ฌาน) จิตที่อยู่ในภาวะเช่นนี้ ไม่อาจรับสิ่งกระทบภายนอกใดๆเข้าปรุงอารมณ์ให้เกิดขึ้นได้ จึงต้องปล่อยให้กำลังของฌานเสื่อมลง และกำลังของสมาธิลดต่ำลงมาอยู่ในระดับจวนแน่วแน่ จึงจะนำจิตไปพัฒนาให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
  

1729.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง

หนูมีหลานสาวตอนนี้อายุ 19 ปี เรียนมหาวิทยาลัย ปี 1 เมื่อตอนอยู่ ม.6 โรงเรียนพาไปปฎิบัติธรรมที่วัดอัมพวันค่ะ เขาบอกว่าขณะเริ่มนั่งปฎิบัติตามที่แม่ชีสอน ภาวนายุบหนอ พองหนอ จะมีความรู้สึกว่าเหมือนตัวถูกดีดออกมา ตัวกระเด้งไปข้างหลังค่ะ พอภาวนาอีกก็เป็นอีก แต่เวลาเดินจงกรมไม่เป็นค่ะ ล่าสุดมหาลัยพาไปเข้าค่ายปฎิบัติที่ มหาจุฬาฯ วังน้อย พระนิสิตนำปฎิบัติโดยให้ตามดูลมหายใจเฉยๆ พอเริ่มทำเขาก็โดนดีดออกมาอีก ตัวกระเด้งไปข้างหลังค่ะ รู้สึกปวดหัวด้วยค่ะ ทำให้เขาไม่อยากนั่งปฎิบัติธรรม เขาชอบเดินมากกว่า

ขอเรียนถามอ.สนองค่ะว่า สาเหตุนี้เกิดจากอะไร และมีวิธีแก้ไขอย่างไรค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    อาการเหมือนตัวถูกดึงแล้วกระเด้งไปข้างหลัง เป็นผลจากจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ วิธีแก้ปัญหานี้คือ ต้องบริกรรมว่า “กระเด้งหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการตัวกระเด้งดับไป แล้วจึงดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม คือ พองหนอ - ยุบหนอ

   ผู้ใดประพฤติเหตุให้ถูกตรงตามที่ชี้แนะได้แล้ว มรรคผลในการปฏิบัติสมถภาวนาจึงจะก้าวหน้าได้   
  

1728.
สวัสดีคะอ.สนอง วรอุไร

   หนูลภัทชญา อายุ 31 ปี มีคำถามเกี่ยวกับการทำสมาธิคะ คือมีวันหนึ่งหนูนั่ง พองหนอ ยุบหนอ แล้วรู้สึกตัวเบามากท่อนบนไม่รู้สึก มือ แขนมันเบามาก ไม่รู้สึกเลยคะ และปิติมาก แปลว่าอะไรคะ แล้วต่อไปหนูควรทำอย่างไรต่อคะ คือปัจจุบันนี้หนูพยายามสวดมนต์เกือบทุกวัน ได้วันละ 1.30 ชม. สวดยาวหลายบท และสมาธิด้วยก็ประมาณวันละ 2 ชม.ได้ แต่บางวันอาจน้อยลง 30 นาทีถ้างานเยอะนะคะ

  หนูมีโรคประจำตัว ms multiple schelosis เกี่ยวระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไขสันหลัง เป็นที่แขนขาชาแข็งไม่มีแรง ต้องใช้ยาสเตอรอย 3,000 mg สูงมากเลยคะ เป็นที 3-4 เดือน หนูป่วยโรคนี้มาได้ 5 ปีแล้ว ช่วงแรกเป็น 3 ครั้งต่อปี 2 ปีหลังมานี้เป็นปีละ 1 ครั้ง พยายามปฏิบัติธรรมหนักขอปีนี้อย่าเป็นเลย เว้นช่วงบ้างให้ร่างกายหนูได้พักบ้าง หนูมีอาการข้างเคัยงด้วยคือ ถ่ายอุจจาระไม่ออก ถ่ายเองไม่ได้ ต้องกินยาระบายมาได้ 3 ปีแล้วคะ ไม่ชอบเลย ทรมานจัง

   ปัจจุบันแต่งงานแล้วคะ สามีี เป็นสถาปนิก จบจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เค้ารับเรื่องที่หนูป่วยได้ เค้ารู้ก่อนแต่งแล้วคะ หนูไม่ต้องทำงานหนักมาก เป็นแม่บ้าน ช่วยงานสถาปัตย์บ้างเพราะหนูก็จบสถาปัตย์เช่นกัน เลยโชคดีมีเวลาปฏิบัติธรรมได้พอสมควรเลยคะ

ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางชีวิตให้หนูด้วยนะคะ

ขอบพระคุณคะ
แอ้ม
ลภัทชญา  

คำตอบ
    นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการตัวเบา แขนเบา และมีปีติมาก ซึ่งเป็นผลมาจากจิตเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ เป็นเครื่องชี้วัดว่า การปฏิบัติสมถภาวนาดำเนินมาถูกทาง และเป็นธรรมดาที่ผู้ปฏิบัติธรรมบางคน จะต้องพบกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งเป็นตัวขัดขวางมิให้สมาธิก้าวหน้า วิธีแก้ปัญหานี้คือ เมื่ออาการตัวเบาปรากฏขึ้น ต้องกำหนดว่า “ตัวเบาหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการตัวเบาจะหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม คือพองหนอ - ยุบหนอ เมื่อรู้สึกว่าแขนเบา ต้องกำหนดว่า “แขนเบาๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ ฯ และเมื่อมีปีติเกิดขึ้นกับจิต ต้องกำหนดว่า “มีปีติหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ ฯ

   การประพฤติเช่นนี้มีจุดประสงค์เพื่อดึงจิตที่ไประลึกอยู่กับอาการตัวเบา อาการแขนเบา และอารมณ์ปีติ ให้กลับมาระลึกอยู่กับพองหนอ - ยุบหนอ

   วิธีแก้ปัญหาสุขภาพ เรื่องภูมิคุ้มกันบกพร่อง สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำเหตุให้ถูกตรงอย่างน้อย ๖ อย่าง ดังนี้
     (๑) พัฒนากาย วาจา ใจ ให้มีศีลคุมอยู่ทุกขณะตื่น
     (๒) พัฒนาจิตให้มีสติระลึกอยู่กับปัจจุบันขณะ เช่น ลมหายใจเข้า - ออก
     (๓) ทำจิตให้เป็นอิสระโดยไม่เอาเรื่องของคนอื่นเข้ามามีอำนาจเหนือใจตน
     (๔) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
     (๕) ตั้งโปรแกรมจิตให้ถูกตรงว่า ใครเจ็บป่วยเป็นเรื่องของเขา แต่เรามีสุขภาพดีอยู่เสมอ
     (๖) ทุกครั้งที่สวดมนต์และทำจิตตภาวนาแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร

   ทั้ง ๖ ข้อนี้ หากผู้ถามปัญหาประพฤติเหตุได้ถูกตรง การมีสุขภาพดีย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ … พิสูจน์ไหมครับ

   ส่วนเรื่องการขับถ่ายที่เป็นปัญหา แก้ไขได้ด้วยการทำเหตุให้ถูกตรง ๓ อย่าง
     (๑) ดื่มน้ำให้มาก อย่างน้อยวันละ ๘ แก้ว
     (๒) ทานผักให้มากกว่าการทานเนื้อสัตว์
     (๓) ทำจิตให้สงบจากอารมณ์ที่ไม่จำเป็น
  

1727.
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ ดร.สนอง 

ดิฉันขออนุญาตถามคำถามนะคะ การทานอาหารเจหรือมังสวิรัต ในวันพระคือการได้บุญอย่างหนึ่งหรือเปล่าคะ และเวลา่ใส่บาตรจำเป็นต้องจบไหมคะ   เพราะได้ตั้งใจแล้วนี่คะ  

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    การประพฤติอย่างใดอย่างหนึ่งตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือผู้อื่น มีความดีแล้ะอุทิศให้ผู้อื่น ยินดีในการทำความดีของผู้อื่น ฟังธรรม สั่งสอนธรรม และทำความเห็นให้ตรง) ซึ่งผู้ใดประพฤติได้แล้ว ย่อมมีบุญเกิดขึ้น

    ดังนั้นการรับประทานอาหารเจหรืออาหารมังสวิรัติ หากมีเจตนาให้ชีวิตสัตว์เป็นทาน หรือมีเจตนาไม่เป็นเหตุให้เกิดการฆ่าสัตว์ การมีเจตนาเช่นนี้ถือว่าเป็นบุญ อนึ่ง การจบก่อนนำอาหารใส่ลงในบาตร เป็นการเน้นย้ำเจตนาให้เด่นชัด ผู้ใดมีเจตนามั่นคงแล้ว ไม่จำเป็นต้องจบ
  

1726.
เรียนอาจารย์ ดร สนองด้วยความเคารพอย่างสูง

ดิฉันมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติมานานแล้วดังนี้

     - มีอยู่ครั้งหนึ่งระหว่างนั่งสมาธิแล้วปวดขามาก ปวดไปถึงกระดูกข้างใน แต่ก็อดทนไม่เลิกปฏิบัติ และยังเข้าใจว่าเป็นการปวดที่ขาอยู่  ได้นึกถึงข้อความในหนังสือของอาจารย์ว่า มีคนปวดขาแต่เค้ารู้สึกว่าปวดที่ใจ ซึ่งก็สงสัยว่าตนเอง ปวดขามากจะปวดที่ใจได้อย่างไร แต่ระหว่างช่วงที่ปวดขามากนั้น สลับกับใจกระวนกระวายอยากให้เลิกปฏิบัติ แว่บหนึ่งตนเองได้เห็นว่าใจที่ร้อนรน และเห็นว่าการที่ปวดนั้น   จริงแล้วปวดที่ใจนี่เอง และก็เห็นใจที่ทุรนทุรายก็ดับไป จึงย้อนไปดูที่ขาก็ยังปวดมากอยู่เช่นเดิม พอมาดูใจอีกก็เห็นว่ารู้สึกเฉย ๆ   อยู่

   ณ ตอนนั้นดิฉันเห็นได้ชัดเลยว่า การแยกกันระหว่างใจกับขาที่ปวดอยู่นั้น มันเป็นเช่นนี้เอง ขาก็ยังปวดมากอยู่ถึงกับแทบจะขยับไม่ได้เลยแต่ใจกลับรู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้ร้อนรน ทุรนทุรายอะไรไปด้วยเลยค่ะ   ไม่ทราบว่าอาการนี้เป็นการเกิดปัญญาเห็นแจ้ง หรือไม่คะอาจารย์ถ้าใช่เป็นปัญญาเห็นแจ้งอะไรคะ

     - ครั้งที่สองไม้หนักประมาณเกือบสิบกิโลกรัม ได้หล่นทับที่เท้าอย่างแรง แต่พอหล่นโดนเท้าปั๊ป ใจปวดมากทันที แต่ก็มีตัวนึงวิ่งมาตัดความรู้สึกเจ็บที่ใจนั้นทันทีเช่นกัน (มาเองค่ะและก็เร็วมาก ๆ ด้วยค่ะ) จึงเหลือแค่ความรู้สึกว่าเท้าเจ็บมากเฉย ๆ   แต่ใจเหลือแค่เฉย ๆ ค่ะ

     - ครั้งที่สามนั่งทานอาหารและดูทีวีไปด้วย   เป็นรายการแนะนำร้านอาหาร ขณะที่ตาดูทีวีอยู่ด้วย แว่บนึงดิฉันรู้สึกว่า อาหารที่เค้ากำลังนำมาปรุงนั้น   จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่มันเป็นแค่การนำมาตกแต่ง ให้เป็นอาหารที่ทาน ๆ กันเท่านั้น จากที่รู้สึกเช่นนั้น ดิฉันทานอาหารต่อไม่ได้เลย มันผะอืดผะอม และอยากจะอาเจียนออกมา ต้องหยุดทานทันที  อาการเช่นนี้ไม่ทราบว่าคืออะไรคะ

     - มีอยู่หนึ่งครั้งระหว่างนั่งสมาธิ ช่วงที่กำลังเห็นความสับสน ฟุ้งซ่านของใจนั้น แว่บหนึ่งความฟุ้งซ่านนั้นหายไป แต่กลับเห็นเหมือนตัวเองหลุด หรือแยกออกมาจากความรู้สึกว่าตัวเองนั่งอยู่ และรู้สึกฟุ้งซ่านนั้น อธิบายได้ว่าเห็นตนเองนั่งเหมือนเป็นแค่เงา แต่ความรู้สึกมันหลุดออกมาจากตัวเอง (ไม่ใช่หลุดออกมายืนและเห็นตนเองนั่งอยู่นะคะ) คล้ายกับว่าตอนแรกใจที่ฟุ้งซ่านเป็น "เอ"   กายเป็น "บี"   ( มีแค่ 2 อย่างเท่านั้น) แต่ตอนหลุดหรือแยกออกมาเหมือนมีตัวนึง เพิ่มมา เป็น "ซี" ค่ะโดยยังเห็นกายนั่งอยู่ และก็มีความรู้สึกที่ไม่ได้ฟุ้งแล้วเป็นเหมือนโล่ง ๆ โบ๋ ๆ ยังไงบอกไม่ถูกค่ะ ตอนแรก ๆ เข้าใจว่าดี เพราะมันโล่ง ๆ ว่าง ๆ   คล้ายว่าไม่รู้สึกอะไร แต่สงสัยว่าถูกหรือไม่ เพราะระหว่างเดินเหมือนตนเองไม่มีความรู้สึกของเท้าที่กำลังก้าวอยู่อย่างที่เคยเป็นเลย และก็ทำของหล่น คล้ายเบลอ ๆ   เหมือนคนไม่มีความรู้สึก จึงบอกตนเองว่าคงไม่ถูกแน่ จึงพยายามเรียกความรู้สึกตนเองกลับคืนมาให้ได้ภายในวันนั้น   ไม่ทราบว่าอาการนี้ใช่จิตแยกออกมาจากกายหรือไม่คะ และดีหรือไม่ดีอย่างไรคะอาจารย์ จริง ๆ แล้วดิฉันมีประสบการณ์เกิดขึ้นมากกว่าที่เรียนถาม   แต่ขอยกตัวอย่างที่เด่น ๆ เพียงเท่านี้ค่ะ

ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างแก่ดิฉันด้วยนะคะ   เพราะทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ดิฉันสงสัยมานานแล้ว   แต่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้เลยค่ะว่าคืออะไร และไม่ทราบว่าจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับดิฉันนี้ การปฏิบัติของดิฉัน ณ ตอนนี้อยู่ในช่วงใดของการเดินทางเพื่อให้พ้นจากอบายภูมิคะ   ซึ่งดิฉันมีความปรารถนาไว้ว่าอย่างน้อยชาตินี้ขอให้พ้นจากอบายภูมิให้ได้ค่ะ

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

คำตอบ
    - เรียกว่าเกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรม คือเมื่อใดที่เอาสติมาจดจ่ออยู่ที่ใจแล้ว อาการปวดที่ขาย่อมไม่มี ตรงกันข้าม ผู้มีสติอ่อนหรือขาดสติ ย่อมเอาใจไปจดจ่ออยู่ที่ขา อาการปวดขาจึงเกิดขึ้น

   คำว่า “ปัญญาเห็นแจ้ง” หมายถึง เห็นความเป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ที่ไม่เนื่องด้วยกาลเวลา เช่น เห็นว่าอาการปวดที่แท้จริง มิได้เกิดขึ้นที่ขา แต่เกิดจากจิตขาดสติ จึงเห็นผิดไปว่า อาการปวดนั้นเกิดขึ้นที่ขา

   - ดังที่บอกเล่าไป เป็นเพราะสติรับทันสิ่งกระทบ (ไม้หนัก) ที่ตกใส่เท้า … . สาธุ

   - เมื่อใดจิตขาดสติ จึงไปรับเอาสิ่งที่ตาเห็นมาปรุงเป็นอารมณ์ติดลบ แล้วส่งผลถึงร่างกาย ( อยากอาเจียน ) จึงทำให้ร่างกายมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป อาการเช่นนี้มีต้นเหตุมาจากจิตที่ขาดสติ

   - อาการที่บอกเล่าไปเป็นเรื่องของจิตที่มีสมาธิ จึงเห็นจิตที่มีกิเลสแยกออกจากกายหยาบ ถามไปว่าดีหรือไม่ดี ตอบว่าดี ในแง่ที่เห็นความจริงสมมุติและเป็นสภาวะสัจจะ แต่ไม่ดีตรงที่การเห็นนั้น มิได้ทำให้พ้นทุกข์

   ผู้ใดพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง (โลกุตตรญาณ) ได้แล้ว โอกาสที่จะพัฒนาจิตให้พ้นไปจากอบายภูมิหรือพ้นไปจากวัฏฏะ ย่อมมีได้เป็นได้
  

1725.
กราบเรียนอาจารย์ สนอง ที่เึคารพ

หนูมีความทุกข์ใจเป็นอย่างมากค่ะ เนื่องจากทุกคนที่บ้านหนูบอกว่าแฟนหนูเขาไม่ค่อยดี เป็นคนขี้โม้มากและผู้ใหญ่ก็บอกด้วยว่าต่อไปแฟนหนูเขาจะเป็นเกย์ค่ะ   คุณแม่ก็บอกว่า ยังไงๆเขาก็ต้องเป็นเกย์แน่ๆไม่เกิน 5 ปี และน้าๆก็บอกด้วย แต่ตอนนี้หนูทำใจไม่ได้เลยค่ะ เสียใจมาก หนูไม่รู้หนูควรทำยังไงดี กราบเรียนอาจารย์ช่วยหนูด้วยนะคะ

ขอบพระคุณอย่างสูง
  จิตตานันท์

คำตอบ
     สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง หรือคำพูดที่ออกจากปากคนอื่น ย่อมมีทั้งที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ในครั้งพุทธกาลพระพุทธโคดม จึงได้ตรัสกับพระเจ้าปเสนทิ ในทำนองที่ว่า “จะรู้ว่าใครเขาเป็นเช่นไร ต้องอยู่ร่วมและสนทนากับเขานานๆ” ด้วยเหตุนี้คนอื่นจะมีพฤติกรรมเป็นเช่นไร ขึ้นอยู่กับกรรมที่บุคคลนั้นได้ทำไว้ก่อน ผู้รู้ไม่ไปแก้ปัญหาที่คนอื่น แต่ผู้รู้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ด้วยการพัฒนาจิตให้มีสติและมีปัญญาเห็นถูกตามธรรม แล้วปัญหาที่ได้ยินได้ฟังจากปากของคนอื่น ย่อมไม่เข้ามารบกวนใจให้หวั่นไหวได้
  

1724.

ขอรบกวนถาม ดร.สนอง ฯ ว่าถ้าหากมีคนมาแช่งเรา เราควรจะทำอย่างไรครับ แล้วการแช่งนั้น คนที่แช่งจะได้รับผล อย่างไรหรือไม่
 
จาก   ผู้ศรัทธา

คำตอบ
      เมื่อมีคนมาสาปแช่ง ผู้รู้ไม่สาปแช่งตอบ ผู้รู้เอาศีลและสติลงคุมใจ แล้วคำสาปแช่งนั้น ย่อมไม่ทำให้เกิดความวิบัติขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้รู้ยังให้อภัยกับผู้ประพฤติสาปแช่งอีกด้วย
  

1723.
เรียน อาจารย์ดร.สนอง ที่นับถือ

  ผมปฏิบัติธรรมแบบอานาปานสติในชีวิตประจำวันมาประมาณ 3 ปี อ่านหนังสือธรรมมะ ฟังธรรมมะหลายรูปแบบเพื่อหาแนวทางที่ถูกกับจริต ปฏิบัติศีล 5 แต่ยังไม่สมบูรณ์นัก ยังติดความกำหนัดในทางเพศ โกรธบ้างแต่รู้ทัน กินน้อย นอนน้อยประมาณ 4-6 ชั่วโมงต่อวัน มีความรู้ ความเข้าใจ ในหลักธรรมคำสอนพอสมควร การปฏิบัติมีความก้าวหน้าพอสมควร เมื่อต้นเดือนกค. ได้ไปปฏิบัติธรรมหลักสูตร 10 วันมา เวลาส่วนใหญ่ที่ทำคือนั่งสมาธิแบบไม่บริกรรม ประมาณวันละ 12 ชั่วโมง สิ่งที่ได้ตอนปฎิบัติธรรม 7 วันแรกคือมีความรู้สึกร้อนในอก เหมือนหายใจไม่พอ นอนไม่หลับ แต่ก็ไม่กังวลเฝ้าตามรู้ตามดู สำรวจความรู้สึก(เวทนา)ในกายหัวจรดเท้า เท้าจรดหัว คืนวันที่ 6 ตอนที่นอนอยู่มีความรู้สึกอึดอัดมาก ก็นอนสำรวจเวทนา ปรากฏว่าขนลุกและสั่นไปทั้งตัวนานประมาณนาทีกว่าๆ เป็นความรู้สึกที่พึ่งเคยเจอ ความร้อนความอึดอัดค่อยๆหายไป ตอนวันท้ายๆ สามารถนั่งสมาธิได้นานโดยไม่เปลี่ยนท่าเลย มีอาการขนลุกเป็นระยะๆ เห็นว่าตัวเองดีใจที่นั่งได้นาน วันสุดท้ายมีน้ำตาไหลโดยเฉพาะตอนที่ระลึกถึงพ่อ แม่ และอาจารย์ผู้สอน อาการเจ็บปวดตามร่างกายบรรเทาลงมาก เวลาที่นั่งสมาธิทุกครั้ง จะรู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือนตามร่างกาย เมื่อกลับมาที่ทำงานได้ขอเจ้านายทำงาน 2 ตำแหน่งกลางคืน 8 ชั่วโมง กลางวัน 8 ชั่วโมง เป็นงานที่ไม่หนักมากนัก ก็สามารถทำได้ ไม่ได้สวดมนต์ แต่ตอนนั่งสมาธิได้พนมมือระลึกพุทโธ ธรรมโม สังโฆ อธิฐานจิตขอนั่งสมาธิขอพระคุ้มครอง เมื่อนั่งสมาธิก็จะรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนภายในกาย และจะปวดตรงคอและไหล่ขวา ซึ่งอาการนี้เริ่มเป็นมาตั้งแต่ต้นปี (อาจเป็นเพราะจับเมาส์คอมพ์มากไป) เวลานั่งดูทีวีก็จะนั่งท่านั่งสมาธิ และไม่เปลี่ยนท่านั่งให้ได้นานที่สุด เพื่อเป็นการฝึกไปในตัวก่อนนั่งจริง

   เรียนถามอาจารย์ว่าการที่นั่งแล้วรู้สึกแค่ความสั่นสะเทือนในกาย ไม่มีนิมิต มีขนลุกเป็นระยะ หายใจเข้าสั้นแต่หายใจออกยาวมาก และเหมือนจะไปกดตรงหัวใจ รับรู้ได้ว่าจุดที่ทำให้ขนลุกอยู่ใกล้ๆหัวใจ บางครั้งลองสั่งให้กายขนลุกก็ทำได้ บางครั้งนั่งสมาธิแล้วรู้ว่าเหงื่อไหลตามแขนและลำตัว แต่ไม่รู้สึกร้อนเลย อาการปวดจะหายไปสักครุ่เมื่อกลืนน้ำลายแล้วก็กลับมาปวดอีก แต่ปวดไม่มาก สามารถนั่งได้นานขึ้น อาการเหล่านี้เป็นเพราะจิตทำงานร่วมกับกายใช่ไหมครับ จะเป็นนานไหมครับกว่าจะหาย และขอคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติเพิ่มเติมด้วยครับ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ
สุทิตย์   พาลี

คำตอบ
     อารมณ์ต่างๆที่ปรากฏขึ้นขณะนั่งสมาธิ เป็นการทำงานระหว่างกายกับจิต เช่น รู้สึกว่าสะเทือนในกาย รู้สึกว่ามีขนลุก รู้สึกว่ามีเหงื่อไหลตามแขนและลำตัว รู้สึกว่าปวด ฯลฯ เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะจิตขาดสติ จิตมิได้จดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก จึงไประลึกรู้ถึงอารมณ์ดังกล่าวข้างต้น วิธีนำจิตกลับสู่องค์ภาวนาเดิม (อานาปานสติ) ต้องกำหนดรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น รู้สึกสะเทือนในกาย ต้องกำหนดว่า “สะเทือนหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการสั่นสะเทือนจะหยุดไป (ไม่เลิกสะเทือนไม่เลิกบริกรรม) แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิมคือ อานาปานสติ เมื่อใดที่รู้สึกว่าขนลุก ต้องกำหนดว่า “ขนลุกหนอๆๆๆๆ” เมื่อใดที่รู้สึกมีเหงื่อไหล ต้องกำหนดว่า “เหงื่อไหลๆๆๆๆ” ฯ และเมื่อใดที่รู้สึกว่าปวดต้องกำหนดว่า “ปวดหนอๆๆๆๆ” ฯ

     ผู้ใมีศีลบริสุทธิ์ลงคุมให้ถึงใจและมีสัจจะ ย่อมทำให้กายศักดิ์สิทธิ์และจิตศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ปฏิบัตธรรมโดยเร่งความเพียรแล้ว จิตย่อมเข้าถึงธรรมได้ง่าย
  

1722.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองค่ะ
 
หนูได้สูยเสียสามีประมาณ สามเดือน รู้สึกทุกข์ใจเป็นที่สุด หนูอยากรู้ว่าตอนนี้สามีเป็นสุขสบายไหม อยู่ในภพในภูมิที่ดีหรือไม่คะ มีวิธีคิดอย่างไรคะเมื่อสูญเสียคนที่รักอย่างไม่มีวันกลับ ทุกวันนี้หนูทุกข์เพราะความคิดถึง สุดหัวใจ

หนูพยายามอ่านหนังสือของอาจารย์ หนังสือธรรมมะแล้วคิดตาม ในแต่ละวันบางเวลาหนูเหมือนทำใจได้เป็นสัจธรรม บางเวลาเศร้ามากเพราะความคิดถึงและโหยหา เป็นเหมือนคลื่นที่ขึ้นๆๆลงๆๆ
 
เรียนรบกวนอาจารย์เมตตาช่วยแนะนำด้วยค่ะ
สุกานดา

คำตอบ
     คนฉลาดเอาจิตจดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะ แล้วความทุกข์ย่อมไม่เกิดขึ้น และหากเมื่อใดนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมรู้ เห็น เข้าใจความจริงที่ว่า “ทุกคนที่เกิดมาล้วนตายหมดเป็นธรรมดา” ผู้ใดเข้าถึงความจริงแท้เช่นนี้ได้แล้ว ใจจะไม่หวนกลับไปคิดถึงอดีตที่ผ่านไป เพราะไม่มีใครผู้ใดแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังเรียกกลับคืนมาไม่ได้

     ฉะนั้น จงอยู่กับความจริงและยอมรับความจริง ใจย่อมไม่เป็นทุกข์
   

1721.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร. สนอง

หนูได้เคยเรียนถามท่านอาจารย์มาแล้ว ว่าหนูดูลมหายใจแล้วมันฟุ้งซ่านได้ง่าย ต้องใช้วิธีฟังซีดีของอาจารย์ แล้วทำให้ไม่ไปคิดเรื่องอื่น

หนูมีเรื่องเรียนถามดังนี้ค่ะ

พอหนูนั่งฟังซีดีของอาจารย์ นั่งหลับตาแล้วเอามือประสานกันไว้ พอนั่ง ๆ ไปสักระยะหนึ่ง รู้สึกเหมือนว่ามือของตัวเองหายไป ไม่รู้สึกว่ามันประสานกันอยู่ หมายความว่ายังไงคะ แล้วหนูต้องทำอย่างไรต่อไป มีบางช่วงรู้สึกว่ามันเมื่อยขาด้วย ก็เลยกำหนดว่า เมื่อยหนอ ๆ

ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างกับหนูด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณมากค่ะ
ต้น

คำตอบ
      เมื่อใดที่รู้สึกว่า มือหายไป ต้องกำหนดว่า “หายหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเห็นว่า มือกลับมาประสานกันเหมือนเดิม แล้วจึงจะฟังซีดีต่อไป

     เช่นเดียวกัน เมื่อมีอารมณ์เมื่อยที่ขาเกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า “เมื่อยหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอารมณ์เมื่อยที่ขาจะหายไป แล้วจึงกลับมาฟังซีดีต่อไป
  

1720.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์ ดร สนอง นะคะ

คำถาม   1. เมื่อทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์นั้นไม่มี เป็นเพียงสภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดำเนินไป   ดับไป เป็นธรรมดา ความเห็นเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ค่ะ เมื่อหนูกำหนดเช่นนั้นเห็นตามจริงนั้นมันก็ดับคะ   
           2. เคยฟังธรรมจากท่านอาจารย์ท่านบอกว่าให้ลองเข้าฌานดูเข้าฌานทำอย่างไรค่ะ
           3. หนูมีลูกสาวตอนนี้อายุ 6 ขวบสวดมนต์มาประมาณ 2 ปีทุกวัน ตอนนี้จะเพิ่มบทสวดให้นานขึ้นจะได้ดียิ่งขึ้นกว่านี้อีกคะ ฝึกเค้าให้เดินจงกรมแล้วตั้งใจว่าจะให้ทำทุกวัน แต่นั่งสมาธินั้นควรทำไหมค่ะเพราะเค้ายังเด็ก เกรงว่าจะพิจารณาสภาวะไม่เป็นจะไม่ดี หรือให้นั่งเพียง 5-10 นาทีได้ไหมคะ
           4. ขอคำแนะนำการตื่นนอนขึ้นมาแล้วทำ บุญกิริยาวัตถุ 10 ให้ครบ ควรทำอย่างไรดีค่ะ เพราะปกติก็ทำแบบตามสภาวะในแต่ละวัน ไม่เจาะจงเวลาแต่จะครบ 10 ในวันหนึ่งๆ แต่ถ้าจะทำตอนตื่นมาให้ครบเลย 10 ประการ ควรทำอย่างไรค่ะ
           5. เมื่อเราจำเป็นต้องกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความอยากหรือกิเลสต่างๆจะเกิดขึ้น เมื่อเราพิจารณามันเห็นตามจริงดับแล้ว ถามว่า
                5.1 เราควรทำสิ่งนั้นต่อไป (เพราะไม่อยากแล้ว) หรือ
                5.2 ละไว้ก่อนแล้วทำในเวลาต่อมา หรือ
                5.3 ทำอีกแบบหนึ่งไปเลยค่ะ
           6. จะฝึกลูกสาวให้เป็นโสดาบัน เค้าจะได้ไม่ไปอบายภูมิ ขอคำแนะนำด้วยนะคะ สำหรับเด็กควรเริ่มและทำอย่างไรดีค่ะ   แม่จะได้ฝึกด้วยคะ ทุกวันนี้ก็สุขใจดีจะเดินนั่งนอนก็ดีคะ แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองถึงขั้นไหน

   นานมามากๆแล้ว ตอนเป็นเด็กหนูเคยพิสู จน์ เพราะสงสัยว่า ท่านเจ้าแม่กวนอิมและพระเยซูมีจริงไหม ก็ได้คำตอบจากนิมิตฝันและจากได้ของจริง แต่ก็คิดได้ทันทีว่าพระพุทธเจ้านั้น สอนต่างที่ให้เห็นตรงตามจริง ท่านสอนในเรื่องให้ดับทุกข์ได้อันเป็นเรื่องที่สูงสุดของกายสังขารทุกๆคน แต่ไม่ลบหลู่เทพองค์ใด ยินดีและอนุโมทนา ในคุณความดีของเทพทุกท่านจริงๆคะ สุดท้ายก็พระพุทธเจ้านั้นประเสริฐสูงสุดค่ะ
 
ข้าพเจ้ามีเจตนาอันดี สุดท้ายนี้หากการกระทำใดๆที่ข้าพเจ้า กระทำไปทั้งก่อนกาลขณะกาล และหลังกาลที่ได้เกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์นั้น หากผิดพลั้งสิ่งใดทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ขอท่านอาจารย์โปรดอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วยเทอญ

ด้วยความศรัทธาและเคารพอย่างสูง
ภณทรษ

คำตอบ
     (๑) ผู้ใดคิดว่า ความทุกข์ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วยังมีความทุกข์เกิดขึ้นกับใจ นั่นเป็นเครื่องแสดงว่า รู้แบบจำ (สัญญา) แต่ยังเข้าไม่ถึงความจริงของการดับของความทุกข์ ตรงกันข้าม เมื่อใจเข้าถึงความดับของความทุกข์ ใจย่อมไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นอีก อย่างนี้จึงจะเรียกว่า “เข้าถึงความดับทุกข์”

     (๒) ผู้ใดปรารถนาพัฒนาจิตให้เข้าถึงความทรงฌาน ต้องปฏิบัติสมถกรรมฐาน จนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) จิตที่มีสภาวธรรมเป็นอย่างนี้เรียกว่า จิตทรงฌาน จิตทรงฌานไม่สามารถทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ จึงไม่ใช่ทางแห่งความดับทุกข์

     (๓) การทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ สามารถปฏิบัติได้ในทุกอิริยาบถ ฉะนั้นพึงเลือกวิธีปฏิบัติที่เหมาะสม (สัปปายะ) กับผู้ปฏิบัติ

     (๔) ทุกขณะตื่น ผู้ใดมีสติกำกับใจ ผู้นั้นสามารถประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ได้

     (๕) ถามถึงความอยาก (ตัณหา) ซึ่งเป็นกิเลสขวางกั้นจิตมิให้เข้าถึงธรรม
       (๕.๑) ผู้หมดความอยาก (ไม่มีตัณหาเหลือตกค้างอยู่ในใจ) ประพฤติแต่สิ่งที่เป็นกุศลธรรมเมื่อใด ผลดีย่อมเกิดตามมาในวันข้างหน้าเมื่อนั้น
       (๕.๒) หมดอยากเมื่อไร ทำได้เมื่อนั้น ผู้รู้ไม่รอในการทำความดี แต่มักมากในการทำความดี งดเว้นทำชั่ว
      (๕.๓) คนที่เคยตั้งใจทำสิ่งอันเป็นกุศลแล้วไม่ทำ เลี่ยงไปทำอย่างอื่น ถือว่าเป็นคนไม่มีสัจจะ ปฏิบัติธรรมแล้วเข้าไม่ถึงธรรม
    
      (๖) ผู้ใดปรารถนาเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ผู้นั้นต้องมีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น และมีจิตมั่นคง ไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ผู้มีลักษณะเช่นนี้เมื่อนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม โดยมีความเพียร มีสัจจะ เป็นแรงสนับสนุน ย่อมมีโอกาสพัฒนาจิตให้เข้าถึงสภาวธรรมของพระโสดาบันได้
  

1719.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร.สนองที่เคารพ ,

   พ่อขอดิฉันอายุ 80 ปีและแม่อายุ 78 ปี แต่ยังแข็งแรงอยุ่มาก   และดิฉันก็ปฏิบัติธรรมทางอายตนะทั้ง 6 ตั้งแต่เช้าถึงหลับ   ทุกข์ก็มีอยุ่เป็นระยะ แต่ไม่เกาะติดใจ เกิดและก็ดับทันที  เรื่องงาน เจ้าของบริษัทฯก็เห็นความสามารถให้ตำแหน่งสูงขึ้นโดยที่ไม่ได้ร้องขอ   ก็รู้สึกว่ามันคือทุกข์ก้อนใหญ่   ต้องดูแลพนักงาน 300 กว่าคนให้ทำงานทันไม่ให้ตกวันส่งออก

   พ่อแม่ของดิฉันอยู่กับพี่สาวคนโต มีอยู่ด้วยกันหลายคนในบ้าน ซึ่งก็อบอุ่นดูแลพ่อแม่ของดิฉันได้.   ทุกเดือนดิฉันจะมีเงินเดือนให้พ่อแม่ ไม่มาก ไม่น้อย เพราะค่าใช้จ่ายข้าวของและค่ารักษาพยาบาลดิฉันรับผิดชอบต่างหาก.

   คำถาม - ถ้าดิฉัน มีความตั้งใจสูงสุดที่จะปลีกวิเวก ทิ้งบ้านที่กำลังผ่อนอยู่ ไม่ต้องการอยู่กับสามีที่ไม่มีศีล   ละทิ้งพ่อแม่ให้อยู่กับพี่สาว   และไปอยู่สถานที่ปลีกวิเวก ทรัพย์สินทองหยอง ก็ทิ้งให้หลาน ๆ ไปเลย

            ถ้าดิฉันละทิ้งอย่างนี้   จะถือว่าเป็นการ "อกตัญญูพ่อแม่" หรือไม่ค่ะ ?

   ดิฉันตั้งจิตอธิษฐาน มุ่งมั่นในการที่จะก้าวเดินในหนทางธรรมอย่างแรงกล้า ด้วยความที่ยังกลัว ห่วงพ่อแม่ ? เพราะเคยพูดอย่างนี้กับพี่สาว ๆ บอกว่า จะเป็นคนอกตัญญู ดิฉันเลยงดที่จะคิดอย่างนี้ไปประมาณเกือบ 2 ปี.

   จึงขอความกรุณาท่านอาจารย์ ช่วยแนะนำทางสว่างให้ด้วยค่ะ

     ขอบคุณค่ะ
       ญา

คำตอบ
     มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจึงต้องทำงาน ๒ ประเภทคือ ทำงานภายนอกให้กับหน่วยงาน ให้กับครอบครัว ( งานเลี้ยงดูพ่อแม่ ) และยังต้องทำงานภายใน คือพัฒนาจิตตนเองให้มีบุญสั่งสม เพื่อใช้เป็นปัจจัยเดินทางสู่ภพหน้าที่ดีงาม ( สุคติภพ ) ตราบใดที่งานภายนอก ( เลี้ยงดูพ่อแม่ ) ยังมีอยู่ แล้วละทิ้งการทำหน้าที่ของลูกไป ถือว่าเป็นความอกตัญญู เว้นไว้แต่ว่า จากไปเพื่อพัฒนาจิตตนเองจนบรรลุธรรม แล้วกลับมาตอบแทนบุญคุณของผู้มีอุปการคุณ ดังที่พระพุทธโคดมและพระสารีบุตรได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

     หลังตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธโคดมจึงได้กลับไปตอบแทนบุญคุณ คือ สอนธรรมให้สมเด็จพ่อ ( พระเจ้าสุทโธทนะ ) จนเป็นพระอรหันต์ สอนธรรมะให้แม่นม ( พระมหาปชาบดี ) จนเป็นพระอรหันต์ สอนธรรมะให้พระมเหสี ( ยโสธรา ) จนเป็นพระอรหันต์ สอนธรรมะให้ลูก ( พระราหุล ) จนเป็นพระอรหันต์ และเสด็จขึ้นไปสอนธรรมะให้พุทธมารดา ( สิริมหามายาเทพบุตร ) ในดาวดึงส์จนบรรลุโสดาบัน หรือในกรณีของพระสารีบุตร เมื่อบรรลุธรรมสูงสุดแล้วและใกล้จะเข้านิพพาน ได้กลับไปบ้านเก่าที่ตัวเองเกิด แล้วสอนธรรมะให้นางสารี ( แม่ ) จนบรรลุพระโสดาบัน

     ใครผู้ใดมิได้ประพฤติตอบแทนผู้มีอุปการคุณมาก่อน แต่ภายหลังได้กลับมาตอบแทนบุญคุณได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ไม่ถือว่าเป็นความอกตัญญูแต่อย่างใด
  

1718.

กราบเรียน ดร.สนอง   วรอุไร

   เมตตาให้คำตอบกับหนูด้วยนะค่ะหนูเพิ่งได้อ่านหนังสือ สนทนาภาษาธรรม และได้ดูวีซีดีจากชมรมกัลยาณธรรม หนูมีปัญหาที่จะขอสอบถามอาจาร์ยค่ะ เกิดจากเมื่อสองปีที่แล้ว หนูเกิดความรู้สึกแปลกๆคือ อยู่ๆหนูมีอาการหวาดกลัวของมีคมขึ้นมาค่ะ คือถ้าเห็นมีดหนูจะกลัวว่าตัวเองจะเอามีดไปทำร้ายคนอื่น ซึ่งบางครั้งหนูก็สงสัยว่าถ้าได้ทำร้ายคนอื่นจะมีความรู้สึกอย่างไร ซึ่งทำให้หนูกลัวมากๆ กลัวว่าตัวเองจะเป็นบ้า กลัวตัวเองจะทำร้ายคนอื่น

    หนูไม่ทราบว่าหนูมีอาการทางจิตหรือเปล่าค่ะ ซึ่งเมื่อหนูรู้สึกแบบนี้หนูก็เริ่มสวดมนต์ จากเมื่อก่อนก็สวดบ้างไม่ได้สวดบ้าง มาเป็นสวดทุกวันค่ะเช้าเย็น ซึ่งก็ดีขึ้นค่ะ แต่ก็มีอาการนึกถึงบ้างแล้วก็ไม่สบายใจ และหวาดกลัวจนนอนร้องให้เลยค่ะ ต่อมาหนูได้ลองนั่งสมาธิ ซึ่งก็นั่งได้ไม่นานค่ะ ประมาณวันละ10-15 นาทีก็ดีขึ้นค่ะแต่ก็ยังไม่หาย คือหนูก็ยังคิดอยู่คือมันชอบคิดขึ้นมาเองค่ะ

   หนูขอเรียนถามท่านอาจาร์ยว่า หนูจะทำเช่นไรถึงจะหายจากอาการเช่นนี้ค่ะ เป็นโรคเวรกรรมหรือจิตหนูคิดไปเองค่ะ ซึ่งหนูก็เคยคิดว่า อาจเกิดจากที่หนูเมื่อก่อนหนูเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย คิดอะไรเป็นอกุศลไปหมด ซึ่งทุกวันนี้หนูพยายามมองโลกในแง่ดี และไม่โกรธผู้อื่นหรือขี้หงุดหงิด แต่อาการดังกล่าวก็ยังเป็นอยู่ หนูขอความกรุณาช่วยตอบคำถามเพราะหนูทุกข์ใจมากเลยค่ะ

ด้วยความศรัทธาและเคารพอย่างสูง

อรุณวิภา

คำตอบ
    วิธีการที่บอกเล่าไปนั้น ปฏิบัติได้ถูกทางแล้ว จงทำต่อไป โดยเพิ่มเวลาของการภาวนาให้นานขึ้น หลังจากนั้นต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งที่นั่งภาวนาแล้วเสร็จ และครั้งใดที่ความคิดอันเป็นอกุศลเกิดขึ้น ต้องบริกรรมว่า “คิดหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าความคิดดังกล่าวจะหมดไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิมที่ทำอยู่ นี่คือการแก้ปัญหาสำหรับผู้เริ่มต้นพัฒนาจิต
  

1717.
เรียนท่านอาจารย์สนอง

   ผมได้ฟังการบรรยายธรรมของอาจารย์ผ่านทางเวปไซต์แล้วรู้สึกเกิดศรัทธา ผมได้ลองทำตามที่อาจารย์แนะนำ โดยตั้งใจว่าจะไม่ดื่มสุรา และพยายามดูลมหายใจเข้าออกของตัวเอง
ปัญหาที่ผมเจอคือ เวลาเราอยู่กับคนกลุ่มเล็กหรืออยู่คนเดียว ก็พอจะประคองให้มีสติอยู่กับตัวได้บ้าง แต่พอเจอเรื่องที่ขัดใจมากๆ ใจมันเกิดหงุดหงิดง่าย พองานยุ่งๆก็เป็นกังวล
ผมอยากถามอาจารยว่าผมควรทำอย่างไรดีครับ ตอนนี้ผมศึกษาต่ออยู่ต่างประเทศไม่มีครูบาอาจารย์อยู่ใกล้ๆ เกิดอะไรที่ผมไม่เข้าใจแล้วไม่รู้จะถามใคร
   ผมควรทำอย่างไรดีเพื่อไม่ให้หลงผิดทาง ขออาจารย์ช่วยแนะนำแนวทางในการปฏิบัติให้ผมด้วยครับ

ขอบพระคุณอย่างสูง
นัท

คำตอบ
      ทั้งความหงุดหงิดและความกังวล มีสาเหตุมาจากสิ่งเดียวกันคือ จิตมีกำลังของสติอ่อน เมื่อมีสิ่งขัดใจเข้ากระทบจิตแล้ว จิตระลึกไม่ทันจึงรับเอาสิ่งขัดใจเข้าปรุงเป็นอารมณ์หงุดหงิด เช่นเดียวกัน งานยุ่ง หมายถึง กิจที่ทำมีมาก จิตระลึกไม่ทันจึงรับเอาปัญหาของงานหลายอย่าง เข้าปรุงเป็นอารมณ์กังวล

     ผู้ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาความหงุดหงิดและความกังวล ต้องมีศีลคุมใจอยู่ทุกขณะตื่นและมีสัจจะ ทั้งศีลและสัจจะเป็นคุณธรรมที่ทำให้กายศักดิ์สิทธิ์ และทำให้จิตศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีความศักดิ์สิทธิ์สวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเสร็จ หายใจเข้ากำหนดว่า “พุธ” หายใจออกกำหนดว่า “โธ” ประมาณ ๓๐ นาทีหรือมากกว่า เมื่อกิจกรรมทั้งสองแล้วเสร็จ อุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง

     ผู้ใดปฏิบัติตามคำชี้แนะจากผู้มีประสบการณ์ตรง โดยไม่ล้มเลิกกลางคัน ความสำเร็จในการแก้ปัญหาดังกล่าวย่อมเกิดขึ้น
     

1716.
เป็นpcจำหน่ายสินค้าผลิตภัณยาสระผม สบู่ หรือน้ำยาล้างจานผิดศีลไหม

คือกระผมเองมีความทุกข์ใจมากทุกครั้งที่ล้างจานเพราะสงสัยว่าเราฆ่าสัตว์หรือเปล่า แต่ก็มองแล้วมองอีกก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตมีแต่ความสกปรกและก็ล้างสิ่งสกปรกออก แล้วทีนี้กระผมกำลังจะหางานทำ เป็นงานตัวแทนขายของพวกสบู่ ยาสระผม เลยสงสัยอีกว่าเอ้ะแล้วมันจะผิดศีลข้อ 1 ไหม แล้วจะเป็นการส่งเสริมการฆ่าสัตว์ไหม ยินดีไหม มันเป็นแบบนี้วนไปวนมาในหัว ขอความเมตตาช่วยชี้แนะให้กระผมด้วยครับ

ขอบพระคุณอาจารย์ที่เคารพเป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
   งานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และงานที่จะทำในวันข้างหน้า ไม่ถือว่าเป็นการประพฤติผิดศีล และไม่เป็นมิจฉาอาชีวะ
  

1715.
กราบเรียน ท่าน อ.ดร. สนอง
 
มีปัญหาจะเรียนถามดังนี้ค่ะ
 
หนูมีโอกาสได้ฟัง ซีดีของอาจารย์ ตอนนี้ หนูอยากขออโหสิกรรมกับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะทำอย่างไรคะ
 
หนูเคยได้พูดประชดกับคุณพ่อ (ครั้งเดียวนะคะ) แต่มันติดอยู่ในใจหนูตลอด เพราะรู้ว่าพูดไปแล้วทำให้คุณพ่อเสียใจ หนูก็รู้สึกว่าเสียใจยิ่งกว่า หนูไม่ได้ขออโหสิกรรมกับคุณพ่อตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่อย่างอื่นหนูปฏิบัติดีกับคุณพ่อตลอด ไม่เคยทำให้ท่านเสียใจ ดูแลท่านเวลาท่านเจ็บป่วย จนกระทั่งเสียชีวิต พอหนูมาฟังซีดีของท่านอาจารย์ ทำให้หนูอยากขออโหสิกรรมกับท่าน
 
อยากเรียนถามว่าหนูจะต้องทำอย่างไรคะ
 
กราบขอบพระคุณค่ะ
ต้น

คำตอบ
   ความดีงามเริ่มเกิดขึ้นใจของผู้ถามปัญหา จึงอยากขออโหสิกรรมกับผู้ล่วงลับไปแล้ว หากประสงค์เช่นนี้ต้องไปสวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วกล่าววาจาขอขมาโทษที่เคยล่วงเกินผู้ล่วงลับ และให้ผู้ล่วงลับโปรดยกโทษให้ เมื่อขอขมาแล้ว ต้องไม่ประพฤติล่วงเกินผู้มีพระคุณให้เกิดขึ้นอีก
  

1714.

อยากรบกวนถาม ดร. สนอง สั้น ๆ ครับว่าผลของการทำบุญและอยากได้บุญเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเป็นการยากที่จะไม่คิดสิ่งใดเลยในการที่อยากทำดีและละชั่ว โดยส่วนใหญ่ก็เพราะการรักสุขและเกลียดทุกข์ทั้งนั้น
 
 
ขอบคุณครับ
ผู้ศรัทธา

คำตอบ
    ผู้ถามปัญหาจะพิสูจน์ไหมว่า กฎแห่งกรรมที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เป็นเรื่องจริงมีเหตุผลรองรับจริง แต่เรื่องความอยาก (ตัณหา) เป็นกิเลสที่ทำให้จิตยึดมั่นถือมั่น มีผลเป็นบาป คือทำให้ไม่สบายกายไม่สบายใจ (ยากที่จะคิด)

   ส่วนการกระทำที่ให้ผลเป็นบุญต้องทำดังนี้ บุญเกิดได้ด้วยการให้ทาน บุญเกิดได้ด้วยการรักษาศีล บุญเกิดได้ด้วยการเจริญจิตภาวนา บุญเกิดได้ด้วยการรับใช้ในกิจที่ชอบธรรม บุญเกิดได้ด้วยการประพฤติอ่อนน้อม บุญเกิดได้ด้วยการอุทิศส่วนบุญ บุญเกิดได้ด้วยการอนุโมทนาบุญ บุญเกิดได้ด้วยการแสดงธรรม บุญเกิดได้ด้วยการฟังธรรม และบุญเกิดได้ด้วยการทำความเห็นให้ตรง

   ส่วนผลที่เกิดจากบุญ (อานิสงส์) มีหลายหลาย อาทิ ใครทำใครได้ ใครแย่งชิงบุญไม่ได้ บุญไม่เป็นสาธารณะแก่โจร แก่น้ำ แก่ไฟ แก่พระราชา บุญให้สมบัติที่ต้องการได้ทุกอย่าง ปรารถนาสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น มีผิวพรรณดีก็เพราะบุญ มีเสียงไพเราะก็เพราะบุญ มีรูปทรงงดงามก็เพราะบุญ ได้เป็นใหญ่เป็นโตก็เพราะบุญ มีบริวารซื่อสัตย์ก็เพราะบุญ ได้มนุษยสมบัติ ได้สวรรคสมบัติ ได้นิพพานสมบัติก็เพราะบุญ ฯลฯ
  

1713.
กราบเรียน   ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง
 
   หนูได้รู้จักท่านอาจารย์จากหนังสือ ที่ท่านเป็นผู้เขียนโดยกัลยาณมิตรคือหัวหน้างานซื้อให้อ่าน    จากนั้นก็ได้ติดตามผลงานบรรยายธรรมของอาจารย์เรื่อยมา   และได้มีโอกาสได้พบกับท่านบรรยายธรรมของชมรมกัลยาณธรรม และของคุณสุรัตน์ค่ะ   ทุกครั้งที่พบหรือได้เห็นท่านอาจารย์หนูจะรู้สึกอบอุ่นเป็นสุข มีกำลังใจ เข้มแข็ง และปลื้มปีติมาก   ทุกวันนี้ก็จะเปิดซีดีธรรมบรรยายของท่านเวลาขับรถ   และพยายามรักษาสติ   ปฏิบัติธรรมตามที่อาจารย์สั่งสอน แต่บางวันก็จะทำไม่ได้ดีนัก เพราะพร่องศีลข้อ 4 คือชอบพูดเฮฮาสนุกสนานกับเพื่อน ๆ ค่ะ    แต่ก็จำคำสอนของอาจารย์ว่าทำเต็มที่ตามสติกำลัง มีกำลังมากทำมากมีกำลังน้อยทำน้อย เหมือนการตักน้ำใส่ตุ่ม
 
   อาจารย์คะหนูขออนุญาตอาศัยบารมี ปัญญาและเมตตาอันสูงส่งและบริสุทธิ์ของท่านอาจารย์ โดยขอเรียนปรึกษาปัญหา   ดังนี้ค่ะ
1.  หนูได้ตั้งใจจะทำบุญทอดกฐิน เพื่อให้พ่อกับแม่ได้อนุโมทนาในบุญใหญ่   ในปลายปีนี้    โดยขอความร่วมมือญาติสนิท ที่ทำงานบริษัทต่าง ๆ   และที่บ้านต่างจังหวัดเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธา เพื่อนฝูงในที่ทำงานบริจาคเพื่อทำบุญร่วมกันในครั้งนี้    สำหรับการเลี้ยงรับรองแขกในวันงานบุญ หนูแรกทีเดียวหนูต้องการเลี่ยงไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลย แต่ไม่สามารถขัดทางบ้านได้หลังได้พยายามถกเถียงด้วยเหตุผลแล้ว   จึงกำหนดไว้ในใจว่า เมื่อหลังเสร็จงานบุญแล้วจะอุทิศบุญกุศลไปให้สัตว์เหล่านั้นเป็นการตอบแทน    ทั้งสองประเด็นคือ การเชิญชวนทำบุญและการเลี้ยงรับรองหนูคิดถูกมั้ยคะ   ถ้าไม่แล้วหนูควรทำอย่างไรจึงจะเป็นการดีและได้บุญบริสุทธิ์มากที่สุด

2.  หลังเสร็จงานบุญใหญ่แล้ว หนูจะอธิษฐานขอให้เป็นคนมีสัมมาทิฐิ และสามารถปฏิบัติธรรมจนปิดประตูอบายได้ในชาตินี้   อาจารย์ว่าสมควรแล้วหรือยังคะ ได้โปรดชี้แนะด้วยค่ะ

3.  หนูมีน้องสาวที่มีมิจฉาทิฐิ เรื่องคู่ครองและการคบบุคคลเพศตรงข้าม เพราะคนที่เธอคบจะเป็นคนที่มีตำหนิบ้าง   ติดการพนัน อบายมุข กินเหล้าสูบบุหรี่ ติดหนี้   ศีลไม่ครบบ้าง ทำให้พ่อแม่และญาติเสียใจอยู่บ่อย ๆ   และที่สำคัญคือเธอไปก่อหนี้โดยกู้ยืมเพื่อนำไปให้บุคคลเหล่านี้   ต้องเดือนร้อนทางบ้านเอาโฉนดไปกู้เงินเพื่อมาใช้หนี้ และนำเงินบางส่วนของหนูมาช่วยเธอเป็นระยะ ๆ   ซึ่งหนูในฐานะที่อยู่ใกล้ชิดเธอมากที่สุด ก็ได้ใช้สติปัญญาตามประสาปุถุชนที่คิดว่าดีที่สุดแล้วตักเตือน อบรม ชวนพาไปสถานที่อบรมธรรมะ หาหนังสือหรือสื่อธรรมะให้เธอได้ซึมซับ   แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เธอเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่นัก    เพราะเธอจะเชื่อฟังคนที่เธอคบมากกว่าญาติ (ไม่ว่าจะเป็นหนูหรือญาติคนอื่น ๆ)   จนในที่สุดขณะนี้เธอเป็นหนี้ก้อนโต เพื่อผู้ชายคนที่เธอคบในแต่ละช่วงสมัย   หนูเคยเป็นทุกข์กับเธอมามาก   จนท้ายสุดก็พอจะทำใจให้ยอมรับที่จะให้เธอดูแลตัวเอง รับผิดชอบการปฏิบัติตัวเอง ด้วยการเฝ้าดูห่าง ๆ   โดยตั้งไว้ในใจว่าได้ทำหน้าที่พี่ดีที่สุดแล้ว ต่อไปนี้ด้วยวัยและวุฒิเธอสมควรจะดูแลตัวด้วยตัวเอง

   แต่ล่าสุด หนูได้รับทราบข่าวที่ไม่ดีมาก ๆ ว่าเธอกู้หนี้ยืมคนอื่นไปทั่วและผิดสัญญา จนเกิดเรื่องไม่งามในที่ทำงาน หนูได้พูดคุยสอบถามก็ทราบว่าเป็นด้วยความคิดเดิม ๆ ของเธอ   ปัจจุบันเธอเป็นคนที่มีประวัติเสียในที่ทำงานไปแล้ว (ถ้านอกเหนือปัญหาเรื่องการคบเพศตรงข้ามแล้ว เธอมีบุคลิกที่เรียบร้อย น่าเอ็นดูค่ะ)

   อาจารย์คะหนูควรจะทำอย่างไรกับเธอดี   หนูควรจะวางเฉยโดยยึดหลักว่าผู้รู้จริง (ซึ่งหนูก็ยังไม่รู้จริง) ไม่ควรไปก้าวก่ายกับชีวิตคนอื่น (หนูจำได้ประมาณนี้ ถ้าผิดไปหนูต้องขออภัยท่านอาจารย์นะคะ)   เพราะตอนนี้หนูก็สับสนในการปฏิบัติกับเธอพอสมควร ในฐานะชีวิตหนึ่งและฐานะญาติร่วมตระกูล เพราะส่วนหนึ่งหนูก็ไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด เพราะมักจะรู้ทีหลังว่าเธอพูดเท็จอยู่บ่อย ๆ   เรื่องการเงินถ้าเป็นจำนวนไม่มากนัก และพิจารณาว่าจะช่วยแบ่งเบาให้เธอคลายบ้างหนูก็จะช่วย
 
   ขออนุญาตรบกวนอาจารย์โปรดกรุณาตอบคำถามดังกล่าวด้วยนะคะ    
 
    ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    (๑) การทอดกฐินมิใช่เป็นบุญใหญ่ เพราะอานิสงส์ของการทอดกฐิน ทำให้ได้แค่สวรรคสมบัติ

   ทั้งสองประเด็นที่ถามไปเป็นความเห็นถูกทางโลก แต่ในทางธรรมแล้วยังไม่ถูกต้อง หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะทำการที่ให้เกิดเป็นบุญบริสุทธิ์มากที่สุด ต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึงการมีดวงตาเห็นธรรม

   (๒) ที่ถามไปเป็นการสมควรอย่างยิ่ง การอธิษฐานให้เป็นคนมีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) ตามธรรม ซึ่งบุคคลจะเข้าถึงความสำเร็จในสิ่งที่ตนอธิษฐานได้ ต้องทำเหตุให้ถูกตรง คือนำตัวเข้าปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม

   (๓) ในครั้งพุทธการ กาฬะ ลูกชายของอนาบิณฑิกเศรษฐีมิได้สนใจธรรมอย่างบิดา จึงได้ถูกบิดาว่าจ้างให้ไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จนจิตบรรลุดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน และในสมัยปัจจุบันมีแพทย์หญิงท่านหนึ่ง ชนะคำท้าของเพื่อน สามารถอยู่ปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธิกสมาคมจนครบกำหนดเวลา และยิ่งไปกว่านั้นจิตของเธอได้ปริวรรตมาเป็นผู้มีความเห็นถูกตามธรรมอยู่จนทุกวันนี้

ผู้ถามปัญหาทำไมไม่ลองจ้างน้องสาว หรือท้าพนันให้ไปปฏิบัติธรรมจนครบกำหนดเวลาดูบ้างล่ะ
  

1712.
เรียนอาจาย์สนอง

    ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่ได้มีโอากาสมาฟังธรรมบรรยายที่หอประชุม ม.ช. ในวันที่ 31 กรกฏาคม ที่ผ่านมากับคุณแม่ เนื่องจากว่าวันนั้นเป็นวันเกิดของดิฉันจึงมองว่าเราน่าจะให้อะไรกับตัวเองและแม่บ้าง ซึ่งกัลยาณมิตรของดิฉันเป็นผู้ชักชวน

   ดิฉันขอรบกวนปรึกษาเลยนะคะ พ่อดิฉันเสียไปแล้วตอนวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยหลังจากที่ดิฉันเรียนจบป.ตรี พ่อก็บวช ดิฉันก็เรียนต่อ ป.โท จนจบระหว่างนั้นดิฉันก็ดูแลพ่อเป็นอย่างดี พ่อเป็นเบาหวานและมันจะมีแผลที่เท้า เพราท่านมักเดินบิณฑบาทโดยไม่สวมรองเท้า ท่านมักไม่รู้ตัวว่าเท้าตัวเองเป็นแผล ดิฉันต้องนำคุณพ่อนั่งรถพ่วงข้างไปสถานีอนามัยในตำบลอยู่เป็นประจำ ชาวบ้านละแวดนั้นบางคนก็ชื่นชม บางคนก็ตำหนิว่าเป็นผู้หญิงแล้วให้พระสงฆ์ซ้อนมันไม่สมควร แต่ดิฉันคิดว่าทำเพื่อพ่อคงไม่ผิดอะไร(มั้ง) จนท่านหายป่วย

   จากนั้นเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ก่อนที่ท่านจะเสียท่านประสบอุบัติเหตุรถชน ดิฉันก็ไปดูแลท่านจนหายดี กลับมารักษาตัวที่บ้านเนื่องจากท่านไม่ยอมเดิน (เกิดจากใส่น๊อตยึดบริเวณที่กระดูกแตกบริเวณเชิงกราน) ทำให้เกิดแผลจากนั้นพ่อก็ทรุดลงเรื่อยๆทางญาติคุยกันว่าอยากให้ท่านลาสิขาบท (ดิฉันเคยคุยกับท่านนานแล้วว่า ท่านจะตายในผ้าเหลืองจึงไม่ยอม ) ท่านต้องใส่สายฉี่พ่อมักจะไม่รู้สึกตัว มักจะเอามือมาดึงสายฉี่ออก จนดิฉันต้องมัดมือท่านให้ติดกับเตียง (เห็นพยาบาลที่โรงพยาบาลทำ)

   ก่อนท่านใกล้จะเสียท่านครางเสียงดังมาก และมีเหงื่อเต็มตัวจนบางครั้งดิฉันควบคุมอารมร์ไว้ไม่ได้ส่งเสียงดังไป ซึ่งดิฉันไม่เคยทำกับพฤติกรรมอย่างนั้นกับท่านเลย จนวาระสุดท้ายที่ท่านจะไม่ไหว ดิฉันและญาติๆก็ไปปรึกษาเจ้าอาวาสวัด ท่านบอกว่าพ่อคงอยากมาเสียที่วัดเพราะขณะที่ท่านรู้ตัวเองดี ท่านก็บอกตลอดว่าท่านอยากกลับวัด เราจึงได้พาท่านมาที่วัด ท่านไม่สามารถทานอะไรได้อีกเป็นเวลาสามวัน จนท่านสิ้นใจระหว่างนั้น ดิฉันได้นั่งคิดอะไรหลายๆอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บางครั้งก็คิดว่าอยากให้ท่านไปเสียเพราะไม่อยากให้ท่านทรมาณ เมื่อท่านสิ้นดิฉันไม่ร้องไห้เลย มีหลายๆคนถามดิฉันว่าร้องไห้ไหม ดิฉันตอบตรงกับใจที่คิดไปว่าดิฉันคิดว่าดิฉันทำดีที่สุดแล้ว จึงไม่ได้ร้องไห้ถามว่าเสียใจไหมที่เสียพ่อ เสียใจมากแต่ไม่อยากให้ท่านเป็นห่วง ให้ท่านไปดีไม่รู้ว่าสิ่งที่คิดนั้นถูกหรือเปล่า และการตะคอกตอนท่านเพ้อต้องเป็นสิ่งที่ผิดแน่ๆ เพราะเราไม่สบายใจ เราจะทำอย่างไรดีคะให้ความรู้สึกผิดนี้หมดไป

คำตอบ
    สิ่งที่บอกเล่าไปเป็นความกตัญญูกตเวทีที่ลูกมีต่อพ่อ มิได้เป็นการประพฤติผิดแต่ประการใด ที่ให้พ่อ (พระสงฆ์) นั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ เมื่อท่านอาพาธ ลูกผู้มีความกตัญญูฯจับต้องตัวท่าน ก็มิได้ผิดที่ลูกปฏิบัติต่อพ่อผู้มีอุปการคุณ หรือจับมัดมือให้ติดกับเตียง ด้วยเจตนามิให้ดึงสายฉี่ออกก็ไม่ผิด แต่มาผิดเอาตอนที่ท่านเพ้อแล้วลูกไปตะคอกใส่ท่าน ผู้หวังความเจริญในชีวิตจึงต้องขอขมากรรม ด้วยการสวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูป แล้วกล่าววาจาขอขมากรรมที่ลูกประพฤติตะคอกใส่ท่าน หากท่านสามารถรับสื่อที่ลูกขอขมาและท่านให้อภัย ความผิดบาปนั้นก็จะหมดไป แต่ต้องไม่ลืมว่าลูกที่ดีต้องทำบุญอุทิศให้พ่อผู้ล่วงลับ ทุกครั้งที่นึกได้หรือทุกครั้งที่โอกาสเปิดให้ทำบุญ
  

1711.
กราบท่านอาจารย์ ที่เคารพ

กระผมป่วยเป็นโรคประจำตัวมาเป็นระยะเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว รักษาที่ใดก็ไม่ดีขึ้น เป็นอุปสรรคพอสมควรต่อการปฏิบัติธรรม มีเพื่อนแนะนำว่าให้ไปทำพิธีแก้กรรม ขออโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวร โดยตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้วผมควรจะปฏิบัติต่อสถานการณ์นี้อย่างไรครับ

ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
   ให้เอาศีล ๕ คุมใจ แล้วไหว้พระสวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยก่อนนอนทุกวัน หลังสวดมนต์เจริญอานาปานสติ ๓๐ - ๖๐ นาที แล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกครั้งที่ทำกิจกรรมดังกล่าวแล้วเสร็จ

   การปฏิบัติข้างต้นมีอานิสงส์เป็นบุญ คนมีบุญปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้นตามความปรารถนา
  

1710.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพเป็นอย่างสูง

   หนูได้เคยเขียนมาขอคำปรึกษาจากท่านอาจารย์มาหลายครั้ง และขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ ที่ได้ชี้ทางกระจ่างให้แก่หนูทุกๆครั้ง

   ณ ขณะนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของหนูก็เป็นไปได้ด้วยดี หนูก็ได้สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำ และในช่วงเข้าพรรษานี้หนูก็ได้อฐิษฐานจิต ขอสวดธรรมจักรและเมตตาพรหมวิหาร ตลอดเข้าพรรษานี้

   หลัวจากที่ได้ปฏิบัติธรรม และฟังธรรมะของท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน หนูมาสังเกตเห็นได้ว่า ปัญหาในชีวิตนั้นมันก็ยังเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่อยู่ที่ว่าเราจะวางใจเห็นว่า มันก็เป็นตามธรรมชาติของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ว่าไม่มีใครไม่มีปัญหาในโลกนี้ แต่จิตเราจะรับเอาปัญหาเหล่านั้นเข้ามาปรุงแต่งอารมณ์ ให้จิตใจเราเศร้าหมองหรือไม่  

   มีหลายอย่างในการดำเนินชีวิตเป็นตัวทดสอบ ความแข็งแกร่งของสติที่หนูได้เพียรพยายามฝึกมา ตัวอย่างเช่น หนูได้ทำธุรกิจขายของบนอินเตอร์เนท แล้วก็ขายให้กับผู้ขายส่ง ช่วงปีที่ผ่านมากิจการก็ไปได้ด้วยดียอดขายดีไปได้ แต่พอมาในเวลาช่วงนี้ ยอดขายตกลงไปมากอย่างน่าใจหาย หนูก็ได้พยายามสังเกตจิตใจของตนเองว่าเป็นอย่างไร

    หนูได้เห็นถึงความเป็นอนิจจัง ของสรรพสิ่งแล้วก็ถามตัวเองว่ายอมรับได้ไหม แต่ว่าใจนึงมันเห็นแล้วก็บอกว่า ไม่เป็นไรมันก็เป็นอย่างนั้นมีขึ้นแล้วก็มีลง แต่อีกด้านนึงจิตก็ยังมีการวิตกกังวลว่าจะทำอย่างไรดี ในเมื่อเราก็ได้พยายามทุกวิถีทางแล้ว แล้วก็เห็นความกังวลสับสนวุ่นวาย ดิ้นรนของจิตใจ และแล้วก็มาพิจารณาถึงคำอาจารย์ ได้เคยสอนไว้ว่าทุกอย่างมันเป็นไปเพื่อความพลัดพราก กิจการของเรา เราสร้างขึ้นมา มันไม่สามารถเป็นนิจจังได้ วันนึงมันก็ต้องถึงความเสื่อมไปตามเวลา หากเราเอาจิตใจไปรับเอาความอยากได้ อยากมีอยากเอาชนะคู่แข่งมาเป็นสรณะ เราก็จะไม่สามารถพ้นจากวังวนของกิเลสเหล่านี้ได้ ความคิดทั้งด้านโลกุตระและโลกีย มันสลับกันไปกันมา

   บางทีก็เห็นความเห็นทางธรรม มันเหมือนเอาหินทับหญ้า ใจมันยังไม่อยากจะยอมรับมันตรง ยังมีความกลัว กลัวความพลัดพราก กลัวความลำบาก เจืออยู่ ความรู้สึกนี้เหมือนกับตอนที่หนูไปฝึกนั่งสมาธิ แล้วสามารถเห็นถึงความกลัวความเจ็บปวดขา แล้วพยายามเอาสมาธิเข้าข่ม แต่มันไม่ดับมันไม่ได้เห็นความจริงว่าความเจ็บปวดนั้นมันก็เป็นธรรมดาของรูปขันธ์ เมื่อฝึกอยู่ได้ประมาณ 3-4 วัน เมื่อมีปัญญาสามารถเข้าใจถึงความเป็นไปของสรรพสิ่ง หลังจากนั้นก็สามารถนั่งวิปัสสนา ได้อย่างไม่มีความปรุงแต่งและเป็นกลางอย่างเป็นกลางจริงๆ และความรู้สึกนี้เมื่อนำมาประยุกต์กับเหตุการณ์ ณ ปัจจุบันนี้ของหนู หนูก็เห็นว่าสิ่งที่หนูคิดมันยังเป็นแค่ความคิด ปลอบใจตัวเอง แต่ใจลึกๆ มันยังเจืออยู่ด้วยความกลัว หนูเห็นถึงความกลัวเหล่านั้น แล้วหนูก็เลยถามตัวเองว่าหนูจะกลัวอะไร สมบัติเหล่านี้มันเป็นกำพร้าทั้งนั้น หากต้องตายไปใน ณ เวลานี้ ก็ไม่สามารถเอาอะไรไปได้ซักอย่างเดียว  

   ตอนนี้หนูก็พยายามเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่เที่ยง วันนึงเราก็ต้องเลิกทำ ถ้าหากมันจะต้องเลิกในวันนี้ มันก็ต้องเป็นอย่างนี้   มันเห็นเจ้าคะอาจารย์แต่ว่ามันยาก เพราะตัวกิเลส ตัวความกลัว มันยังเข้ามาท้าทายอยู่ตลอดเวลา บางทีจิตมันก็ไหวไปตามมันเจ้าคะ

   และอีกตัวทดสอบหนึ่งของหนูก็คือ หนูมีบ้านให้กับคนฝรั่งที่นี่เช่า แต่เค้าต้องใช้ benefit ของรัฐบาลมาจ่ายค่าเช่าเรา ตอนนี้ถึงเวลาที่เค้าต้องมาจ่ายค่าเช่า แต่เค้าก็บอกว่าทางรัฐยังไม่ได้โอนเงินมาให้ หนูกับแฟนก็ไม่ได้เคร่งครัด เพราะว่าก็พยายามช่วยเค้าด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านมาตอนนี้เค้าก็ให้มาบางส่วน ตอนที่เค้ายังไม่จ่ายค่าเช่าเรา หนูเห็นจิตใจอันเป็นอกุศล คิดไปต่างๆนานา แต่เมื่อมาคิดถึงว่าหากเราต้องเป็นอย่างเขา เราก็คงลำบากเช่นกัน หนูก็ให้โอกาสเค้านะคะ เพราะว่าคนเราก็เกิดมาช่วยเหลือกัน หากเราไม่คิดโกงเค้า เค้าก็คงไม่คิดโกงเราเช่นกัน มันดูเหมือนคิดแบบโง่ๆ ถ้าไปบอกคนอื่น เค้าก็ว่าเราทำไมปล่อยให้เขาเอาเปรียบ แต่คนเราถ้าเขามี เขาก็คงจ่ายได้ถูกต้องตามเวลาในความคิดของหนู ก็มาสำรวจใจตัวเองว่าเรากลัวอะไร กลัวไม่ได้เงิน กลัวไม่มีเงินมาผ่อน แต่ว่าพอมาดูถึงตรงนี้ หากเราไม่โลภ เราก็ขายบ้านหลังนี้ทิ้งเสียหากมีปัญหามาก แต่ที่เรายังไม่ยอมขาย เพราะเรายังโลภหวังในค่าเช่าอยู่ แต่หนูก็ไม่ได้โกรธ ไม่ได้ไปทวง ได้แต่แค่บอกเค้าให้เข้าใจว่า หากไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้เราก็คงต้องขายบ้านหลังนี้ไป โดยที่ไม่มีความรู้สึกเสียดายแต่อย่างใด เพราะมันก็คืออนิจจัง ธรรมชาติของโลกนี้เอง

   การใช้ชีวิต และการดำเนินชีวิต หากเรามีธรรมะแล้วนั้น มันทำให้เราเห็นแง่มุมต่างๆได้มากมาย บางทีมันเป็นความเบื่อหน่ายกับความเป็นไปของโลก ที่มีทั้งการแข่งขัน เอาชนะคะคานกัน มีการเอารัดเอาเปรียบกัน ทั้งๆที่ของทุกอย่างนี้มันเป็นสมบัติของโลก แต่ใจของหนูถึงแม้จะได้ศีกษาธรรม แต่มันยังมีกิเลสเจือปน มันโผล่ๆ ผลุบๆ มันก็เป็นปัญหาทางโลกอีกคะ ที่ว่าหากเรามีความเพียรที่จะพัฒนาจิตของเราอย่างเอาจริงเอาจัง แล้วเราจะดำเนินชีวิตอย่างไร จะมีเงินใช้ไหม มันเป็นภยาคติ เป็นความกลัว ถึงได้เข้าใจว่าทำไมพระภิกษุสงฆ์ถึงได้ไม่มีกังวลใดๆ เพราะอยู่ได้โดยการบริจาค มีเครื่องแต่งกายก็แค่จีวร ไม่ต้องมีเงินมีทรัพย์ ซึ่งเป็นการพยายามปรับให้ตัด เอาตัวการที่จะก่อให้เกิดกิเลส ความอยากที่จะเกิดขึ้น  หนูก็พยายามรักษาศีลให้ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะท่านอาจารย์เคยสอนไว้ว่า คนเราถ้าทำอะไรติดขัด แสดงว่าศีลของเรายังไม่สมบูรณ์พอ  

   และสิ่งที่ติดอยู่ในสัญญาของหนูก็คือ สิ่งที่อาจารย์สอนก็คือต้องทำเหตุให้ตรง และผลก็ได้ตรงตามเหตุ หนูก็พยายามอยู่คะ ถึงแม้ว่าบางทีทำเหตุไปเยอะ แต่ยังไม่ได้รับผลของมันก็ตาม ณ เวลานี้

   ตอนนี้หนูเริ่มเข้าใจแล้วคะว่า ความไม่มีเป็นความสุขเป็นอย่างยิ่ง เพราะ เมื่อมีสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมนำมาซึ่งความทุกข๋ เพราะเราจะไปยึดว่ามันเป็นของเรา

   หากท่านอาจารย์มีคำแนะนำชี้นำ หนูขอความกรุณาท่านอาจารย์แนะนำหนูด้วยนะคะ  

     สุธีรา ฤทธีราวี (ฤทธิ์)

คำตอบ
    คนที่กำลังว่ายอยู่ในน้ำ ขณะใดศีรษะโผล่พ้นผิวน้ำ ก็สามารถหายใจเอาอากาศเข้าสู่ร่างกายได้ ขณะใดที่ศีรษะจมอยู่ใต้ผิวน้ำ ก็ไม่สามารถหายใจได้ ฉะนั้นจงพัฒนาจิตให้มีสติและปัญญากล้าแข็ง ให้เหมือนกับนำศีรษะโผล่พ้นผิวน้ำอยู่ตลอดเวลาได้แล้ว นั่นแหละจึงจะนำพาชีวิต หลุดพ้นไปจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งอันเป็นกำพร้าได้เมื่อใด ความทุกข์ย่อมหมดไปจากใจ เมื่อนั้น
  

1709.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร. สนอง
 
มีปัญหาจะเรียนถามดังนี้ค่ะ
 
1.  ถ้าตอนทำสมาธิไม่กำหนดลมหายใจ แต่เปิดเทปธรรมะ หรือเทปสวดมนต์ แล้วเอาใจไปจดจ่อกับเสียงนั้นได้ไหมคะ
 
2. ในชีวิตประจำวันช่วงใดที่ว่างใช้วิธีฟังเทปธรรมได้ไหมคะ เพราะตอนกำหนดลมหายใจ รู้สึกว่ามันฟุ้งซ่านได้ง่าย แต่เวลาฟังเทปธรรมะ มีความรู้สึกว่าไม่ฟุ้งซ่าน เพราะใจไปจดจ่อกับการฟังตลอดเวลา
 
กราบขอบพระคุณมากค่ะ
ต้น

คำตอบ
    (๑) ได้ครับ

    (๒) ได้ครับ
  

1708.
กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพครับ

    ผมมีปัญหาเรื่องการปฏิบัติ ครับ

   เวลาผมเริ่มกำหนดยืนหนอ มีอาการหน้าตึง ผมกำหนดตึงหนอได้ 3 ครั้ง อาการตึงได้ค่อยๆคลายลง ผมกำหนดคลายหนอได้ 3 ครั้ง อาการตึงก็กลับมาอีก ทำเช่นนี้ วนไปมาอยู่นานมาก ไม่หายครับ ผมเลยไม่สนใจกำหนดยืนหนอ และเดินหนอ จนถึงกำหนดนั่ง ก็มีอาการตึงและคลายที่ใบหน้าอีก กำหนดจนนานไม่หาย ก็ไม่สนใจครับ สนใจแต่กำหนดพองยุบดีกว่า ถึงเวลานอนก็มีอาการดังกล่าวอีกครับ

   ผมควรปฏิบัติอย่างไรต่อดีครับ จึงเขียนมารบกวนถาม อาจารย์ ดร.สนอง ครับ

    กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ
      ฌานวัฒน์ ทองแฉล้ม

คำตอบ
    การกำหนดว่า “ตึงหนอ” แล้วอาการตึงที่ใบหน้าหายไปชั่วคราว ผู้ถามปัญหากล่าวว่า ภายหลังอาการตึงได้กลับมาอีก และได้กำหนดอีกนานก็ไม่หายจากอาการใบหน้าตึง

   คำว่า นาน ของผู้ถามปัญหานั้นนานเท่าไร กำหนดเป็นสิบๆครั้ง เป็นร้อยๆครั้ง เป็นหลายร้อยครั้งหรือไม่ ผู้ตอบปัญหาบอกว่า “สัจจะ” มีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อใดเกิดอาการตึงที่ใบหน้า ต้องกำหนดว่า “ตึงหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ ไม่หายหน้าตึงไม่เลิกกำหนด จะยอมตายเพื่อเอาชีวิตเข้าแลกกับสัจธรรมนี้ … .. พิสูจน์ไหมครับ
  

1707.
กราบเรียนถามปัญหาท่านอาจาย์ดร.สนอง วรอุไรค่ะ

   1. การสร้างมหาทานตามที่ท่านอาจารย์ดร.สนองได้แนะนำไว้ ถ้าเราไม่มีโอกาสได้ทำอาหารถวายพระเอง จะส่งเงินไปทำบุญแทน ได้มั้ยคะ

   2.  คนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอบายมุข เช่นเสริฟเหล้า หรือเป็นบาร์เทนเดอร์ จะต้องเข้าไปรับวิบากกรรมของตนเองทั้งสิ้น หนูเลยหลีกเลี่ยงที่จะทำอาชีพที่ต้องมารับวิบากกรรมค่ะ และอาชีพเป็นพนักงานแจกไพ่ในคาสิโน หรือทำความสะอาดในคาสิโน จะถือว่าเป็นอาชีพที่ไม่เหมาะสมหรือต้องรับวิบากกรรมใด ๆ หรือไม่คะ (อยู่ต่างประเทศอ่ะค่ะ)

   3. หนูปรารถนาความพ้นทุกข์ค่ะ อยากปฏิบัติธรรมที่ถูกจริตกับตนเอง สิ้นปีหนูจะกลับเมืองไทย 3 เดือนค่ะ อยากขอความเมตตาขอคำแนะนำของท่านอาจารย์ดร. สนอง เกี่ยวกับครูบาอาจารย์ที่จะไปฝึกปฏิบัติธรรมเพื่อความก้าวหน้าทางธรรมค่ะ

   กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร มาด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
      เบญญาภา

คำตอบ
    (๑) ได้ครับ แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องมีศรัทธาอย่างมากที่จะทำบุญ ต้องทำบุญให้กับหมู่สงฆ์ และต้องทำให้ต่อเนื่องทุกวันยาวนาน ไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน

   (๒) เรื่องที่บอกเล่าไปยังถือว่าเป็นอาชีพที่ไม่เหมาะสม กับผู้ที่ปรารถนานำพาชีวิตไปในทางธรรม เมื่อใดที่กรรมให้ผล ผู้ร่วมกระบวนกรรมยังต้องรับอกุศลวิบากนั้นด้วย

   (๓) ผู้ใดประพฤติมิจฉาอาชีวะมาก่อน แล้วปรารถนานำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ยังมีโอกาสเป็นไปได้ หากเลิกประกอบมิจฉาอาชีวะนั้น แล้วหันมาปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา ดังที่สิริมาโสเภณีได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เธอสามารถปิดอบายภูมิได้ ( พระโสดาบัน ) ตายเกิดอีกไม่เกิดเจ็ดชาติพ้นทุกข์ได้ และควรไปปฏิบัติธรรมที่นิโรธาราม อ . จอมทอง จ . เชียงใหม่
  

1706.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนองที่เคารพ

หนูขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า หากตอนกลางคืน เราเปิดวิทยุฟังพระท่านเทศน์จนหลับไป ประพฤติแบบนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร
ถ้าเราตายไปตอนนั้น จะทำให้ไปเกิดเป็นหมูหรือเปล่าคะ (หรือว่าเปลี่ยนเป็นฟังบทสวดต่าง ๆ จะดีกว่า)

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    การฟังธรรมจากวิทยุ หากฟังแล้วพิจารณาธรรมโดยแยบคาย ( โยนิโสมนสิการ ) โอกาสที่จิตจะเกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรม ย่อมมีได้ ตรงกันข้าม หากฟังแล้วไม่พิจารณาโดยแยบคาย จิตจะรับสิ่งที่ได้ฟัง เก็บไว้เป็นสุภสัญญา ตายแล้วมีโอกาสไปเกิดในสวรรค์ได้ จะไม่ไปเกิดเป็นหมูครับ ดังตัวอย่างในครั้งที่พระพุทธกัสสปะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า งูเหลือมฟังภิกษุท่องบ่นอายตนกถาไม่รู้เรื่อง แต่ถือเอานิมิตในเสียง ตายแล้วยังไปเกิดในสวรรค์ได้
  

1705.
สวัสดีค่ะ อ.สนอง

     หนูมีเรื่องที่สงสัยค่ะ
หนูป่วยเป็นโรค panic disorder หนูสามารถปฏิบัติธรรมได้ไหมค่ะ
แล้วตอนที่หนูไม่สบาย แม่พาไปหาพระสงฆ์ที่วัดใกล้บ้าน ท่านบอกหนูว่า มีเทพ คือ พระแม่อุมาจะเอาหนูเป็นร่างทรง แล้วให้หนูไปตั้งขันยอม หนูก็ไม่เข้าใจ หนูไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรืองมงาย อาจารย์ช่วยกรุณาอธิบายโดยละเอียดด้วยนะคะ เพราะหนูไม่อยากยึดติดค่ะ แต่หนูมีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา หนูคิดว่าหนูคงเป็นบัวเหล่าที่ 3 แต่หนูก็เชื่อว่า หากพยายาม
     สักวันหนูต้องมีดวงตาเห็นธรรม ลดละทิฐิมานะได้ เพราะทุกครั้งที่อกุลจิตเกิดขึ้น จะมีเสียงความคิดที่ไม่ดีดังอยู่หัว หนูกลัวมาก หนูทรมานมากช่วงก่อน เพราะเกิดความสงสัย ทุกครั้งที่เกิดความสงสัย หนูรู้สึกตนเป็นคนเลว และต้องเจอแต่สิ่งร้ายๆแน่ จนบางหนูยังคิดอยากตาย หนูไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือเป็นเพราะหนูป่วย หนูอยากจะขอขมาพระรัตนตรัยค่ะ หนูควรทำอย่างไร หนูจะหายไหมค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    การรับขันดอก เท่ากับเป็นการอนุญาตให้จิตวิญญาณอื่นมาใช้ร่างกายของเราได้ เมื่อใดที่จิตวิญญาณเขามาใช้ร่างกายของเราทำกรรม ผลที่เกิดตามมาคือ โรค panic disorder ย่อมเกิดขึ้นกับผู้ที่เป็นเจ้าของร่างที่แท้จริงได้ ผู้ใดประสงค์จะยกเลิกการรับขันดอก สามารถทำได้โดยนำดอกไม้ธูปเทียน ไปกราบคารวะหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น ต่อหน้าพระพุทธรูป ต่อเจดีย์บรรจุพระธาตุ ฯลฯ แล้วสวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย เมื่อสวดมนต์จบ แล้วกล่าววาจาขอยกเลิกการรับขันดอกที่เคยทำไว้ และทุกวันก่อนสว่าง และก่อนมืดต้องสวดมนต์บูชาคุณพระรัตนตรัย (อิติปิโส … . ฯ สวาขาโต … . ฯ และสุปฏิปันโน … . ฯ ไปจนจบ) แล้วต่อด้วยบทมนต์โมรปริตร ผู้ใดมีศีล มีสัจจะ ทำได้ถูกตรงดังนี้ ปัญหาโรค panic disorder ย่อมหมดไปได้
  

1704.

   1. หนูส่งเอกสารถึงเพื่อนๆของผู้ที่โกงเงินหนู เป็นเอกสารที่เป็นความจริงทุกประการไม่มีการเสริมเติมแต่งประการใด เพราะถ้าไม่ทําเช่นนั้นหนูก็จะไม่ได้เงินคืน เพราะคนโกงเขาไม่อายที่จะโกง แต่เมื่อผู้อื่นรู้จึงอายและคืนเงินหนู หนูทําเช่นนี้เพราะตระหนักว่าไม่ผิดศีล5จึงทํา แต่ผิดธรรมหรือไม่คะอาจารย์

   2. หนูอยู่อเมริกา แฟนต้องการให้หนูเปลี่ยนเป็นคริสต์ หนูจึงพูดจากใจจริงไปว่า แม้โลกใบนี้มีหนูคนเดียวเหลืออยู่บนโลกที่เป็นพุทธ หนูก็จะยึดมั่นในพระรัตนตรัยไม่เสื่อมคลาย ไม่อายและภูมิใจที่ตนเกิดเป็นชาวพุทธ หนูสวดมนต์อธิฐานจิตทุกวันให้หนูพ้นไปจากวัฏสงสาร แฟนหนูร้องไห้ หนูบอกเขาว่าอย่าร้องเลยหนูเวทนาแฟนมากและปลง จึงบอกเขาว่า เป็นดังที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ไม่มีผิดที่นํ้าตาของมนุษย์นั้นมากกว่านํ้าในมหาสมุทธเสียอีก หนูบอกให้เขาไปคิด ทุกวันนี้หนูไปโบสถ์กับเขาได้ ทําศาสนกิจคริสต์ได้ หนูรักษาศีล5 มา2ปีแล้ว หลังจากที่ได้ฟังอ.สนองผู้มีพระคุณล้นพ้นเมื่อ2ปีก่อน ให้หนูได้พบทางสว่าง หนูอยากทราบว่าจิตของหนูเข้าสู่กระแสโสดาบันหรือยังคะ สํารวจอย่างไร

   3. หนูอยู่อเมริกามีพร้อมทุกอย่าง แต่มีความทุกข์เพราะต้องเป็นคนเก็บค่าเช่าบ้านให้แม่ที่อยู่เมืองไทย ทุกเดือนจะมีฝรั่งที่ไม่จ่ายค่าเช่า หนูต้องเป็นคนตามหนี้ ตามซ่อมบ้าน ตามทวง หนูเบื่อมากเพราะต้องเป็นทาสของเงินเพราะทําธุรกิจ หนูอิจฉาพี่ๆที่ได้อยู่ใกล้ชิดพ่อแม่มากกว่าหนู ไม่รู้หนูทํากรรมอะไรจึงต้องจากบ้านมานาน10ปียังไม่มีวี่แววจะได้กลับ แต่หนูสวดมนต์นั่งสมาธิปลอบใจตัวเองเสมอว่าอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน   อ.มีคําแนะนําใดที่จะทําให้หนูไม่จิตตกคิดถึงบ้านและไม่เป็นทาสของเงินไหมคะ เพราะหนูไม่ชอบโดนโกงเพราะหนูไม่ไปโกงเขา

   4. หนูนั่งสมถะ ต้องการเปลี่ยนไปเป็นวิปัสสนา หนูจะติดอาการนิ่งดิ่งลึกเพราะมันสบาย ทุกวันนี้หนูยังมีราคะ โทสะ โมหะ แต่เบาบางลงและคิดได้ว่าเออโกธรอยู่นะแล้วมันก็จางลงมา หรือเวลาคิดไม่ดีเกิดขึ้นก็บอกว่าอย่าคิดเลยทําให้ใจเราสกปรกเปล่าๆ หนูฝันถึงหลวงพ่อคูณมาทักทายถามไถ่และอวยพรให้หนูโชคดี หนูไม่รู้จักหรือเคยเจอท่านหรอกคะ แต่หนูเคยเจอปู่เณรคํา หนูถามท่านว่าหนูจะนั่งได้ไหม ในใจคิดแต่ไม่ได้บอกท่านว่าหนูไม่อยากเกิดอีก ท่านตอบว่า ได้เพราะมีบารมีนะ   ล่าสุดหนูฝันว่ามีพระมาบอกให้ทําสติปัฏฐานสิ อ.สนองมีทางอี่นๆที่จะนําจิตเข้าสู่วิปัสนาไหมคะ หรือจะต้องนั่งสมถะแลัวถอนมาเป็นวิปัสสนาเท่านั้น

   ล่าสุดหนูนําคําบรรยายของอ.สนองอัดใส่ซีดีแจก จึงอยากกราบเรียนให้อ.ทราบและร่วมอนุโมทนา กราบขอบพระคุณอ.สนองอย่างสูงที่เมตตาตอบคําถามให้หนูและมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นไปจากกองทุกข์ค่ะ  

คำตอบ
    (๑) พฤติกรรมที่บอกเล่าไปไม่ผิดศีล แต่ผิดธรรมตรงที่ว่า เวรไม่ระงับเพราะยังต้องทวงหนี้อยู่

    (๒) ผู้ใดจิตเป็นอิสระจากความเห็นว่าเป็นตัวของตน (สักกายทิฏฐิ) มีจิตเป็นอิสระจากความเคลือบแคลงในกุศลธรรมทั้งหลาย (วิจิกิจฉา) และผู้ใดมีจิตเป็นอิสระจากความยึดถือว่า บุคคลจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วยศีลและวัตร (สีลัพตปรามาส) ความเป็นอิสระใน ๓ ข้อนี้ เป็นสภาวธรรมที่มีอยู่ในดวงจิตของพระโสดาบัน ฉะนั้นจงดูจิตของตัวเองให้ออก แล้วคำถามที่ถามไป จึงจะรู้ได้ด้วยตนเอง

    (๓) ผู้ใดมีจิตเป็นทาสของวัตถุ (ทรัพย์) ผู้นั้นมีทุกข์จรเกิดขึ้น ผู้ใดเห็นวัตถุเป็นทรัพย์กำพร้า ตายแล้วต้องทิ้งไว้กับโลก ผู้นั้นมีจิตไม่เป็นทาสของทรัพย์ และมีจิตเป็นอิสระจากบ้านที่อยู่อาศัยในโลกนี้

    (๔) ผู้ใดหวังพ้นทุกข์ ต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามแนวของสติปัฏฐาน ๔ โอกาสนำพาชีวิตพ้นไปจากความทุกข์ทั้งมวลย่อมเกิดขึ้นได้

     อนุญาตและอนุโมทนาที่อัด CD แจกผู้สนใจ
  

1703.
กราบสวัสดีครับผม
ผมมีคำถามขอความเห็นจากอาจารย์สนองครับว่า...
 
ถ้าหากเราไปยืนอยู่ระหว่างอันตราย
โดยทางขวามือมีเสือร้ายคอยตะครุบจะกัดกินเราอยู่
ทางซ้ายเป็นหุบเหวสูงชันตกลงไปแล้วต้องตาย
ทางหน้ามีแม่น้ำใหญ่จระเข้ร้ายฝูงใหญ่
ทางหลังเป็นลานโคลนกำลังเดือดปุดๆ เพราะเป็นปล่องภูเขาไฟ
เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองจะเลือกทำอย่างไร
 
หากอาจารย์อยู่ในสถานการณ์นี้ อาจารย์มีความเห็นว่าอย่างไรครับผม
 
กราบขอบพระคุณครับผม

คำตอบ
     ผู้ใดมีธรรมะคุ้มรักษาใจ ผู้นั้นย่อมอยู่รอดปลอดจากภัยอันตรายทั้งปวง หากสมมุติที่ตั้งขึ้นเป็นความจริง ผู้รู้จริงย่อมนำพาชีวิตผ่านพ้นวิกฤต ด้วยการเอาชีวิตเข้าแลกกับธรรมะของพระพุทธองค์
  

1702.
กราบสวัสดีอาจารย์ครับ

    ผมมีคำถามองค์คุณพระโสดาบันครับ ในตอนที่พระสารีบุตรปรินิพพานลง พระอานนท์โศกเศร้าร่ำไห้ จนพระพุทธเจ้าต้องตรัสเรียกหาและกล่าวว่า "สารีบุตรปรินิพพานไปก็ไม่ได้เอาศีลสมาธิปัญญาและวิมุติไป ตนแลควรมีตนเป็นที่พึ่ มีตนเป็นสรณะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ"
   ผมสงสัยว่า พระอานนท์สามารถละเรื่องการเห็นขันธ์เป็นกองทุกข์ มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา (สักกายทิฏฐิ) แต่ทำไมระดับพระโสดาบัน จึงยังคงเสียใจในเรื่องขันธ์ที่แตกดับไป ของพระสารีบุตรครับ พระอานนท์เสียใจด้วยเรื่องใดกันครับ

   กราบขอบพระคุณครับ

คำตอบ
    เหตุที่พระอานนท์ (โสดาบัน) ยังเสียใจเพราะ กามราคะยังมีอำนาจเหนือจิตของพระโสดาบัน
  

1701.
กราบเรียนดร.สนอง วรอุไร ครับ

     ผมมีปัญหาคือในเดือนธันวาคม 54 นี้ ผมจะจัดงานแต่งงานที่กทม.ครับ ผมเป็นสมาชิกชมรมกัลยาณธรรม เลยเป็นกังวลว่าในงานเลี้ยงจะหลีกเลี่ยงการเลี้ยงเหล้าในงานได้อย่างไร เนื่องจากในสังคมบริษัทฯที่ผมทำงานอยู่คนส่วนใหญ่กินเหล้า รวมถึงผู้บริหารด้วยครับ ส่วนเจ้าสาวของผมก็นับถือศาสนาคริตส์ซึ่งไม่กังวลในเรื่องนี้ครับ ถ้าในกรณีที่ต้องมีเหล้าในงาน ผมจะพยายามไม่ตั้งขวดเหล้าในงาน แต่ให้พนักงานของร้านอาหารชงให้สำหรับผู้ที่ขาดเหล้าไม่ได้ ผมจะผิดศีลข้อ 5 ไหมครับ ถ้าผิดจะเป็นโทษสถานเบาไหมครับ แต่ถ้าไม่มีเหล้าในงาน จะต้องมีเสียงครหา เชิงต่อว่าสำหรับผู้ที่ขาดเหล้าไม่ได้อาจรวมถึงผู้บริหาร(เจ้านาย)ด้วยครับ

รบกวน ดร.สนอง ช่วยชี้แนะผมด้วยครับ ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
     เรื่องที่ถามไปผิดศีลข้อ ๕ ถือเป็นจำเลยบาปคนแรกที่เป็นเหตุให้มีการดื่มสุรา

    ในครั้งพุทธกาล พระเจ้ามหานามะ ได้สนทนาธรรมอยู่กับพระพุทธเจ้าโคดม

     พระเจ้ามหานามะ : เ จ้าสรการนิศากยะ เป็นผู้ทุศีล เสวยแต่น้ำจัณฑน์ (เหล้า) เหตุใดตถาคตจึงพยากรณ์ว่า เขาเป็นพระโสดาบัน

     พระพุทธโคดม : มหาบพิตร บุคคลในโลกนี้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ไม่มีปัญญา ไม่ประกอบด้วยวิมุตติ แต่เขามีศรัทธาในตถาคต เขามีความรักในตถาคต ย่อมไม่ไปสู่อบายภูมิ และเขายังได้กระทำในบริบูรณ์ในสิกขา ในเวลาใกล้สิ้นพระชนม์อีกด้วย สภาวธรรมในจิตของเขาจึงเป็นพระโสดาบัน
  

 

 

 

 

 

 

 

browser stats