1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 1601-1650

1650.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ที่เคารพ

     การที่อย่างน้อยจะเกิดเป็นมนุษย์และไม่ตกลงไปในอบายภูมินั้น จะต้องมีศีล5 ที่บริสุทธิ์เป็นพื้นฐานใช่ไหมครับ? อย่างไรก็ตาม การที่เรามีแค่เพียงความคิดที่อยากจะได้ของผู้อื่น ยังมีความคิดยินดีในกามอยู่ คิดที่จะเบี่ยงเบนความจริงบ้าง และการดูสิ่งของหรือสื่อที่กระตุ้นในกามทั้งหลาย   จะถือว่าผิดศีลหรือศีลขาดไหม? ถ้ายังไม่มีการลงมือกระทำ

ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
   คำว่า “มีศีล 5” หมายถึง มีศีล 5 ข้อ คุมกาย คุมวาจา และคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น และต้องเป็นศีลที่บริสุทธิ์ไม่มีกิเลสปนเปื้อน

   จากที่บอกเล่าไป ยังมีศีลที่ไม่บริสุทธิ์ ยังเปิดโอกาสให้กิเลสผลักดันจิตสู่อบายภูมิได้
  

1649.
สวัสดีครับ

     ขอรบกวนสอบถามท่าน ดร.สนอง ฯ สั้น ๆ ว่า จำเป็น ไหมครับที่สมถะภาวนา(สมถะกรรมฐาน)จะต้องใช้กรรมฐาน 40 หากใช้วิธีอื่นแต่มีสมาธิได้เหมือนกัน จะมีผลอย่างไรบ้างหรือเปล่าคร้บ

ขอบคุณครับ
   ผู้น้อย

คำตอบ
    นอกจากกรรมฐาน 40 แล้ว บุคคลยังสามารถใช้วิธีการอื่นๆมาบริกรรมให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และมีผลเหมือนกับการใช้กรรมฐาน 40 คือจิตสามารถเข้าถึงสมาธิตั้งสามระดับได้
     

1648.
เรียน ท่านอาจารย์ดร.สนองที่เคารพ

     ดิฉันได้ฟังธรรมของท่านอาจารย์ทางอินเตอร์เน็ตมาประมาณ 2 ปีแล้วค่ะทำให้ก้าวหน้าในทางธรรมมากขึ้น และพึ่งได้พบตัวจริงของอาจารย์เมื่อดิฉันพาลูกๆ 3 คน มาฟังธรรมจากชมรมกัลยาณธรรมครั้งที่ 19 ค่ะ ปัจจุบันดิฉันใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยใช้ธรรมนำชีวิต และอยากให้คนอื่นเป็นสุขด้วยค่ะ

     ดิฉันมีปัญหาอยากเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ ดิฉันเคยผ่าตัด 3 ครั้ง อายุ13 ผ่าไส้ติ่ง อายุ 29 ผ่าทำหมัน ล่าสุด 48 ปีผ่าทอลซิน แต่ละครั้งหมอวางยาสลบและจะสลบประมาณ 3 ชั่วโมง ดิฉันสงสัยว่า 3 ชั่วโมง จิตอยู่ที่ใด เพราะก่อนสลบและฟื้นดิฉันรู้สึกแค่ชั่วพริบตา แต่เมื่อมองนาฬิกาจึงรู้ว่าเวลาหายไป 3 ชั่วโมงค่ะ

     เบญจวรรณ

คำตอบ
     จากเรื่องที่บอกเล่าไป ผู้ถามปัญหามีจิตระลึกรู้ว่า กาลเวลาในการผ่าตัดผ่านไปแค่ชั่วพริบตา นั่นเป็นเครื่องแสดงว่า จิตอยู่ในสภาวะทรงฌาน ไม่รับเอาสิ่งกระทบภายนอกใดๆเข้าปรุงอารมณ์และจิตยังคงอยู่ในร่างกาย
  

1647.
เรียน อาจารย์สนอง

ดิฉันขอรบกวนเวลาอาจารย๋เกี่ยวกับเรื่องทางโลกที่ยังสงสัยอยู่นะค่ะ
     1.สามีดิฉันเค้าทิ้ง ดิฉันและลูกสาว 2คนที่ยังเล็กมากไปอยู่กับหญิงอื่นและไม่เต็มใจจะส่งเสียค่าเลี้ยงดู ทำให้ต้องฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูลูกทั้ง 2 อดีตสามีไม่พอใจที่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูตามฟ้อง จึงพูดแบบผูกใจเจ็บว่าจะจองเวรดิฉันทุกชาติและจะไม่ขอรับบุญที่ดิฉันอุทิศให้ และยังแช่งดิฉันและลูกว่าให้สิ้นเนื้อประดาตัว ดิฉันและลูกๆ จะต้องรับวิบากตามที่อดีตสามีกล่าวไว้หรือไม่อดีตสามีจะตามจองเวรทุกชาติได้หรือไม่ค่ะ

     2.เคยอ่านพบว่าถ้าเราสบายใจ เบิกบานใจก็เป็นบุญ ถ้ามีคนที่เขาสบายใจ เบิกบานใจจากการได้เอาเปรียบผู้อื่น โดยที่เขาไม่ได้คิดว่าเป็นบาปหรือไม่รู้ว่าบาป จะถือว่าได้บุญหรือไม่ค่ะ

     3.ชอบนั่งสมาธิและสวดมนต์ก่อนนอนค่ะ แต่อยากทราบว่าถ้าเราใส่ชุดนอนที่ดูไม่เรียบร้อยแล้วสวดมนต์นั่งสมาธิจะเกิดโทษไหมค่ะ เพราะ ในหนังสือสวดมนต์เขาแนะให้อาบน้ำชำระกายและแต่งกายให้เหมาะสมก่อนสวดมนต์

ขอบพระคุณอาจารย์ที่สละเวลาตอบปัญหานะค่ะ
จากคนหลงทาง

คำตอบ
    (๑). พระพุทธะสอนให้แก่ปัญหาที่ตัวเองว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” การใช้กฎหมายบังคับให้ผู้ละเมิดกฎกติกาของบ้านเมือง ต้องปฏิบัติชดใช้หนี้เวรกรรมที่ตนก่อไว้ มิใช่เป็นการระงับเวร แต่เป็นการผูกหนี้เวรกรรมให้สืบต่อเนื่อง เมื่อผู้ถามปัญหาประพฤติผูกหนี้เวรกรรม โอกาสที่ตนต้องรับอกุศลวิบากนั้น ยังมีได้ เมื่อผู้ถามปัญหาจะแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่ทำไปแล้ว ต้องแก้ด้วยการทำเหตุปัจจุบันให้ถูกตรง คือทั้งแม่และลูกต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนมีกำลังของสติกล้าแข็ง และต้องประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อยู่เสมอ แล้วคำสาปแช่งย่อมทำอะไรไม่ได้

   ส่วนเรื่องการผูกจิตจองเวรทุกชาติ เป็นเรื่องเห็นผิดของเขา หากผู้ถามปัญหาและลูกๆ ปฏิบัติธรรม (วิปัสสนาภาวนา) จนจิตเข้าถึงสภาวะดวงตาเห็นธรรมได้แล้ว โอกาสนำพาชีวิตพ้นไปจากการถูกจองเวร ย่อมเกิดขึ้น

   (๒). ผู้มืดบอดในทางปัญญา นิยมประพฤติบาปจนเคยชิน จึงนึกว่า การประพฤติเอาเปรียบคนอื่นได้แล้ว เป็นบุญ ผู้มีความเห็นผิดเช่นนี้ ย่อมทำชีวิตปัจจุบันให้มีอุปสรรคและปัญหา เมื่อตายทิ้งขันธ์ลาโลกแล้ว พลังบาปที่เกิดขึ้นจากการประพฤติเบียดเบียน ยังมีโอกาสผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปสู่ทุคติภพ

   (๓). ผู้ใดนั่งสมาธิและสวดมนต์ก่อนนอน เมื่อประพฤติแล้วทำให้เกิดเป็นความสบายกาย สบายใจ ถือว่าการนั่งสมาธิและการสวดมนต์ ให้ผลเป็นบุญ ตรงกันข้าม ผู้ใดประพฤติแล้ว เกิดเป็นความสงสัยหรือไม่สบายใจ ถือว่าการนั่งสมาธิและสวดมนต์ ให้ผลเป็นบาป
   

1646.
กราบเรียน ท่าน อจ.ฯ ที่เคารพ

1. ผมไม่เข้าใจ/สับสน ในเรื่องการประพฤติธรรมระหว่างการปลีกตัวออกจากสังคมไปบวชกับการปฏิบัติในเพศฆราวาส อย่างใดจึงจะถูกต้องและสมควรกว่ากัน(ผมสามารถทำได้ทั้ง2ทาง) ตามที่เคยได้ฟังมาว่า" การปฏิบัติธรรมอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อม แม้จะมีสิ่งเร้ามากเราก็สามารถสงบได้ท่ามกลางความวุ่นวาย ซึ่งชีวิตที่อยู่ในวัด/สำนักปฏิบัติฯ ก็เหมือนกับการหันหลังให้ความจริงคือธรรมะและความเป็นธรรมดาสามัญ การอยู่ในที่สงบก็เหมือนการฝึกซ้อม การลงสนามจริงคือการเข้าไปเผชิญกับโลกกว้างและชีวิตในเมืองเเห่งความวุ่นวาย ซึ่งก็คือสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการปฏิบัติธรรม" แล้วทำไมครูบาอาจารย์ทั้งหลายจึงหันหลังสละโลกแห่งความเป็นจริง
โดยการบวชและใช้ชีวิตในป่าเขาที่เงียบสงบไม่วุ่นวาย??

2. ระหว่างการบวชกับการดูแลบุพการีอย่างไหนได้อานิสงฆ์มากกว่ากัน(ผมชอบการบวช แต่บุพการีอยากให้อยู่กับท่าน)
กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
    บวชแล้วปฏิบัติธรรม ก็สามารถเข้าถึงธรรมขั้นสูงได้ อาทิ พระนางมหาปชาบดี (ฆราวาส) ได้บวชเป็นภิกษุณีและมีชื่อว่า พระมหาปชาบดี ได้ปฏิบัติธรรมจนจิตสามารถบรรลุอรหัตตผล นางอัมพปาลี (ฆราวาสโสเภณี) ได้บวชเป็นภิกษุณี (พระอัมพปาลี) แล้วจึงปฏิบัติธรรมจนจิตบรรลุอรหัตตผล ตรงกันข้ามผู้ที่มิได้บวช ยังมีสถานะเป็นฆราวาส สามารถปฏิบัติธรรมจนบรรลุธรรมขั้นสูงได้ อาทิ พระนางเขมา มเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ แล้วโยนิโสมนสิการ จนจิตสามารถบรรลุอรหัตตผลในขณะที่ยังเป็นฆราวาส กาฬุยีมหาอำมาตย์ของพระเจ้าสุทโธทนะได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์แล้วโยนิโสมนสิการ จนจิตบรรลุอรหัตตผลขณะยังเป็นฆราวาส พาหิยะได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ แล้วโยนิโสมนสิการ จนจิตบรรลุอรหัตตผลในขณะยังเป็นฆราวาส ฯลฯ

   ดังนั้น การจะบวชหรือไม่บวช เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว ก็สามารถบรรลุอริยธรรมได้ เว้นไว้แต่ว่า คนที่มีบุญบารมีสั่งสมมาแต่อดีตชาติ ยังมีไม่มากพอ จึงจำเป็นต้องบวชเป็นภิกษุออกปลีกวิเวก หรือเป็นฆราวาสออกปลีกวิเวธ เพื่อทำบารมีให้เต็ม แล้วจึงไปพัฒนาจิต จึงจะมีโอกาสบรรลุอริยธรรม
   

1645.
อยากถามอาจารย์ แบบเด็ก ๆ ครับ สงสัยมานานแล้ว ว่า เวลาที่ชาวต่างชาติตายไปครับแล้วไปพบยมพบาล ท่านยมพบาลท่านจะพูดภาษาอะไรครับ แล้าชาวต่างชาติจะเข้าใจไหมครับ หรือว่าท่านพูดได้ทุกภาษา สงสัยจริง ๆ ครับ

คำตอบ
    ยมบาลสื่อกับจิตวิญญาณอื่น ด้วยคลื่นจิตที่มีขนาดความถี่เดียวกัน และเช่นเดียวกัน ผู้ใดสามารถปรับคลื่นจิต ให้มีความถี่ตรงกันกับคลื่นจิตของสัตว์อื่น ผู้นั้นสามารถสื่อสัตว์เหล่านั้นได้ อาทิ พระพุทธโคดมตรัสมงคล 38 ให้เทวดาที่มาเข้าเฝ้า ณ วัดเชตวันฟัง ท้าวกุเวร ( เทวดา ) ได้นำเอาอาฏานาฏิยปริตร มาถวายพระพุทธโคดม เพื่อประทานให้แก่พุทธบริษัท นำไปสวดคุ้มครองอมนุษย์ในป่าไม่ให้เข้ามารบกวน ท้าวสหับบดีพรหมมากราบทูลพระพุทธโคดมให้แสดงธรรมโปรดสัตว์โลก พระมหาโมคคัลลานะเหาะไปพบกัณฐกะเทพบุตรในดาวดึงส์แล้วสนทนากัน หลวงปู่ชอบสามารถสื่อกับช้างป่าได้ ฯลฯ
  

1644.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนอง

     ก่อนอื่นขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ ที่กรุณาตอบคำถามและช่วยชี้แนะการปฎิบัติในจดหมายก่่อนหน้านี้ หลังจากนั้นไม่นาน หนูได้ไปฎิบัติธรรมที่ยุวพุทธ ในการปฎิบัติแบบวิปัสสนากรรมฐาน โดยใช้หลักสติปะฐานสี่ ควบกับการถือศีลแปด รวมทั้งอธิฐานปิดวาจา ตลอดการปฎิบัติ ประมาณเจ็ดวัน หกคึน เห็นผลดีมากค่ะ โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ รู้สึกสงบ นิ่ง เย็น จะทำอะไรก็มีสติรู้ตัวตลอด มีความตั้งใจว่าจะเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปฎิบัติต่อที่บ้านให้ได้ทุกวัน แต่พอกลับมาปฎิบัติที่บ้านกลับรู้สึกไม่สามารถทำได้เหมือนที่อยู่ที่ยุวพุทธ มีคำถามที่อยากจะเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

   1. การถือศีลที่ต่างกันในระหว่างศีลแปดและศีลห้านั้น มีผลต่อการปฎิบัติธรรมมั้ยค่ะ เช่นการถือศีลแปดจะทำให้จิตนิ่งเป็นสมาธิได้ดีกว่าศีลห้าหรือเปล่าค่ะ

   2. ประมาณวันที่สี่ของการปฎิบัติธรรม ในขณะที่ปฎิบัติอยู่นั้น พอจิตเริ่มนิ่งเป็นสมาธิ ก็มีอาการน้ำตาไหลแบบไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร หนูไม่ได้รู้สึกเสียใจ หรือรู้สึกอะไรเลยค่ะ มีแค่ความนิ่ง สงบ จิตอยู่กับการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก โดยไม่ได้ใช้คำบริกรรมใดๆทั้งสิ้นค่ะ มันเกิดจากอะไรค่ะ แล้วก็ในบางครั้งระหว่างที่ได้ฟังธรรมะบรรยาย จากพระอาจารย์ ก็ได้ไปเห็นจุดดำเล็กบนพื้นจุดหนึ่ง ก็เพ่งมองอยู่สักพัก ก็รู้สึกว่าจิตนิ่งเป็นสมาธิ สามารถฟังธรรมะบรรยายโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบทเลยแม้แต่ครั้งเดียว เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง ไม่รู้สึกปวดเมื่อยที่ขาเลยค่ะ อยากทราบว่า การเิ่พ่งแบบนี้ถือว่าเป็นการเพ่งกสิณหรือเปล่า แล้วจะสามารถนำมาใช้ในการปฎิบัติธรรมได้มั้ยค่ะ

   3. เมื่อกลับมาปฎิบัติที่บ้าน ไม่ว่าจะใช้การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกหรือการลองเพ่งสิ่งของ หรือกำหนดบริกรรมพุธโธ ก็รู้สึกว่าจิตไม่นิ่งอย่างที่เคยเป็น หนูก็มานั่งวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะอะไร เช่นเคยได้ฟังธรรมะบรรยายของอาจารย์ตอนหนึ่งว่าถ้าศีลห้าไม่บริสุทธิ์จิตก็จะไม่นิ่ง หนูก็ถือศีลห้าตลอดค่ะ ทั้งก่อนและหลังไปปฎิบัติธรรม แต่มีข้อสงสัยอีกข้อค่ะ คือตอนนี้หนูเจริญอาหารมาก คุณแม่ทำอาหารอร่อย แล้วพี่น้องก็มักจะมาทานอาหารกันค่อนข้างดึก ไม่ทราบว่าอันนี้จะเป็นอุปสรรคในการที่ปฎิบัติธรรมรึเปล่าค่ะ หนูมักจะูนั่งสมาธิประมาณเที่ยงคืน ตีหนึ่ง หรือตีสองเป็นประจำค่ะเพราะเป็นช่วงที่สงบที่สุดในบ้าน ก่อนนั่งก็จะสวดมนต์ก่อนค่ะ

   4. ตอนเจริญสติอยู่ที่บ้าน เกิดน้ำตาไหลอยู่ครั้งเดียวค่ะ หลังจากที่กลับจากการปฎิบัติธรรมมาใหม่ๆ หลังจากนั้นก็จะมีแค่อาการรู้สึกว่าขนลุก ไปทั้งตัวค่ะ บางครั้งในขณะที่นั่งสมาธิอยู่ก็มีแสงสีขาววาบขึ้นมาในสมอง อยู่สักพักก็หายไป แล้วก็เกิดอีก ดับแล้วสว่าง ดับแล้วสว่าง อยู่สองสามครั้ง บางที่ก็แค่ครั้งเดียวค่ะ อยากทราบว่าที่หนูปฎิบัตินี่มันมาถูกทางหรือเปล่า หนูควรต้องทำอย่างไรต่อไปค่ะ

   5. หลังจบการปฎิบัติธรรม รู้สึกว่าเป็นครอสที่ดีมากเพราะได้ช่วยคนที่มีทุกข์รู้วิธี่ดับทุกข์ได้อย่างถูกตรง ก็เลยตั้งใจที่จะเป็นเจ้าภาพในการปฎิบัติธรรมในครั้งต่อไปที่จะจัดในเดือนมิถุนายน โดยไม่ขอออกนาม หลังจากนั้นก็ได้มาัตั้งจิตอธิฐานว่าขอให้มีงานทำ เพื่ออยากจะเอาเงินเดือน เดือนแรกจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เอามาทำบุญตรงนี้ ไม่ทราบว่าอันถือเป็นบาปมั้ยค่ะ (ตอนนี้ยังหางานทำอยู่ค่ะ มีเรียกไปสัมภาษณ์อยู่สองสามบริษัท แต่ก็ไม่ได้งาน จึงทำให้เกิดวิตกว่า สิ่งที่เราอธิฐานนั้นผิดหรือไม่)

   สุดท้ายนี้ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะที่ สละเวลาตอบคำถามของหนู หนูขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย คุ้มครองอาจารย์และครอบครัวให้มีความสุขกายสุขใจ มีสุขภาพแข็งแรง เพื่อจะได้เผยแผ่ธรรมะของพระพุทธองค์ต่อไปค่ะ

     พรรณทิพา

คำตอบ
    (๑). มีครับ ดีกว่าครับ

    (๒). อาการน้ำตาไหล เรียกว่า ปีติ เกิดจากจิตตั้งมั่นเป็นขณิกสมาธิ ที่ผู้ถามปัญหาเอาจิตไปจดจ่อ (สติ) อยู่กับจุดดำเล็กบนพื้น แล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ถ้าจุดดำมีเหตุเกิดจากธาตุ ดิน เรียกว่าเพ่งกสิณได้ (กสิณ ๑๐ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว แสงสว่าง และที่ว่าง) ดังนั้นผู้ถามปัญหาสามารถใช้จุดดำ มาเป็นตัวกำหนดให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้

    (๓). เป็นเพราะที่บ้านไม่สัปปายะ (ไม่เหมาะสม) เท่ากับปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธฯ

     การถือศีล ๕ ต้องเอาศีลคุมกาย คุมวาจา และคุมใจ ปฏิบัติธรรมแล้วจิตจึงมีโอกาสตั้งมั่นเป็นสมาธิ

     การบริโภคอาหารมาก และบริโภคอาหารในยามวิกาล (หลังเที่ยงวันไปแล้ว) เป็นอุปสรรคให้พัฒนาจิต แล้วเข้าไม่ถึงสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ)

    (๔). การปฏิบัติธรรมถูกทางแล้ว เพียงแต่ว่าต้องกำจัดอาการขนลุกให้หมดไป ด้วยการกำหนด “ขนลุกหนอๆๆๆๆ” เมื่อมีแสงสีขาววาบขึ้นในสมอง ต้องกำหนดว่า “วาบหนอๆๆๆๆ” เมื่ออาการหายไปแล้วให้เอาจิตกลับมาสู่การบริกรรมเดิมที่ทำอยู่

    (๕). การปฏิบัติธรรมที่บอกเล่าไป ยังไม่ใช่วิธีการดับทุกข์ แต่เป็นการหนีทุกข์ชั่วคราว

     ประสงค์เป็นเจ้าภาพปฏิบัติธรรม … .. อนุโมทนาด้วย

   อธิษฐานขอให้มีงานทำ สามารถทำได้ แต่ความประสงค์จะสัมฤทธิ์ผลได้ ต้องทำเหตุให้ถูกตรง เหตุที่ถูกตรง คือ
      ๑ . พัฒนาตัวเองให้เก่ง (มีความรู้ + มีความสามารถ) กว่าคนอื่น
      ๒ . พัฒนาตัวเองให้มีคุณธรรมสูงกว่าคนอื่น ด้วยการประพฤติจริยธรรม เช่น จริยธรรมลูก และจริยธรรมพลเมืองของประเทศชาติ
      ๓ . พัฒนาตัวเองให้มีดวงดี (ทาน + ศีล + ภาวนา)
   

1643.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

   1. คือว่าหนูอยู่ต่างประเทศค่ะ ได้ส่งเงินไปทำบุญโดยการให้น้องชายโอนเข้าบัญชีหรือฝากเพื่อนไปทำบุญหยอดตู้ทำบุญต่าง ๆ เช่นมูลนิธิหลวงปู่มั่น หรือวัดพุทธบูชา ซึ่งบางครั้งเค้าไม่ได้บอกว่าหยอดตู้ทำบุญอะไรไปบ้าง จริง ๆ การทำบุญ ทำทานคือการละ หรือสละ แต่ที่สงสัยคือ อานิสงส์จะเหมือนกับเราทำด้วยตนเองหรือไม่ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรคะ ว่าเราได้ทำบุญอะไรและได้อานิสงส์อะไรไปบ้างอ่ะค่ะ

   2. และทุก ๆ เช้าและก่อนนอน หนูจะตั้งจิตขอตั้งใจรักษาศีล 5 ตลอดชีวิตค่ะ และตั้งจิตขอน้อมอนุโมทนาบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ องค์พระปัจจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ องค์พระโพธิสัตว์เจ้า องค์พระอรหันต์ พระอริยะบุคคล พระ แม่ชี และฆราวาสทุก ๆ คนทุก ๆ ท่าน ที่ได้ไปบำเพ็ญบุญ ทาน ศีล สมาธิ ทุก ๆที่ ทุก ๆ วัด อะค่ะ เพราะหนูไม่สามารถไปทำเหมือนคนอื่น ๆ จึงตั้งจิตน้อมไปอนุโมทนากับทุก ๆ ท่านอ่ะคะ ไม่ทราบว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ดี สมควรหรือ ผิดถูกอย่างไรคะ

   3. คือเมือ่ปีที่แล้ว หนูไม่ค่อยสบายอ่ะค่ะ อยู่ ๆ จิตเค้าเกิดมรณานุสติเองอ่ะค่ะ คือคอยระลึกถึงความตายบ่อย ๆ และเป็นมาเรื่อย ๆ ค่ะ จนถึงปัจจุบันนี่ค่ะ และมีอยู่วันหนึ่งค่ะ หนูนั่งผิงไฟอยู่ ก้อนั่งเจริญสติมองเปลวไฟ อยู่ ๆ ก้อคิดขึ้นมาว่า โอ เปลวไฟในนรกคงร้อนกว่านี้อีกนะ พอมีอยู่วัน ระหว่างยืนรอน้ำเดือดต้มไข่ ก้อไปคิดอีกค่ะว่า น้ำในนรกคงร้อนกว่านี้อีกมากมาย หนูมาคิด เอเราจะบ้าหรือปล่าวเนี่ย คิดอะไรแปลก ๆ และมีอยูวันหนึ่งค่ะ น้องสาวมาหา เลยพากันไปเที่ยว sea world คนอื่นเค้าหนุกหนานกัน แต่หนูรู้สึกทุกข์ค่ะ ทุกข์เพราะมองเห็นสรรพสัตว์ที่อยุ่ในกรง ในตู้ แล้วมันคิดเห็นทุกข์ว่ามันคงทรมานกว่าจะตาย ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จิตมันเกิดความหดหู่ ความกลัวที่จะทำไม่ดีอะคะ เรียนขอคำแนะนำท่านอาจารย์ดร. สนอง ด้วยนะคะ

     กราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์มา ณ โอกาสนี้ค่ะ
     กราบสวัสดีท่านอาจารย์ด้วยความเคาพอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
   ( ๑ ). การทำบุญด้วยการเอาเงินหยอดลงในตู้รับบริจาค ปกติที่ตู้จะเขีนบอกไว้ว่า เงินที่หยอดลงในตู้ใบนี้ จะนำไปใช้ทำอะไร ดังนั้นผู้ที่นำเงินหยอดลงในตู้ฯ ต้องทราบเจตนาดีแล้ว แต่มิได้บอกให้ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ทราบ เมื่อเป็นดังนี้ผู้เป็นเจ้าของเงิน ย่อมได้รับอานิสงส์น้อยกว่า ผู้นำเงินไปหยอดลงในตู้ หากผู้เป็นเจ้าของเงินแจ้งเจตนาของการบริจาคให้ชัดเจน ผู้บริจาคย่อมได้อานิสงส์ตามเจตนา อาทิ
     - เจตนาพิมพ์หนังสือเป็นธรรมทาน
           ย่อมได้อานิสงส์เป็นปัญญา

     - เจตนาช่วยค่าน้ำ ค่าไฟส่องสว่าง
          ย่อมได้อานิสง์เป็นผู้มีกายทิพย์และไม่พบกับความขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้

     - เจตนาช่วยค่ารักษษพยาบาลนักบวช
          ย่อมได้อานิสงส์เป็นผู้มีสุขภาพดี
       ฯลฯ

   (๒). ตั้งใจรักษาศีล 5 ตลอดชีวิต แล้วกาย วาจา ประพฤติได้ถูกตรง ตามที่ตั้งใจไว้ อย่างนี้ให้ผลเป็นบุญ เมื่อเห็นคนอื่นทำความดีแล้วตัวเองมีจิตยินดีด้วย (อนุโมนา) อย่างนี้ให้ผลเป็นบุญ ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่ผู้เจริญแล้วนิยมประพฤติ

   (๓). ผู้ใดเอาจิตระลึกอยู่กับปัจจุบันขณะได้แล้ว อารมณ์ฟุ้งซ่านตามที่บอกเล่าไป จะไม่เกิดขึ้น จึงแนะนำให้สวดก่อนนอน หลัวสวดมนต์ให้เอาจิตจดจ่อ อยู่กับลมหายใจเข้า - ออก (อานาปานสติ) เมื่อปฏิบัติกิจกรรมทั้งสองแล้วเสร็จ ให้อุทิศบุญกุศลที่ตนได้ทำแล้วให้กับเจ้ากรรมนายเวร ตลอดจนอุทิศบุญกุศลให้สรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมเกิด – แก่ - ตาย อยู่ในวัฏสงสาร ด้วยการกล่าวว่า “จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด”
  

1642.
กราบเรียนถาม ท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

   1. ผู้สำเร็จเป็นพระโสดาบันในชาตินี้ จะเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาตินั้น
ผมอยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า เมื่อผู้นั้นมาเกิดในครั้งต่อไป ต้องมาบำเพ็ญเพียรเป็นพระโสดาบันอีกหรือไม่ครับ หรือว่า มาบำเพ็ญเพียรเป็นอริยะบุคคลขั้นต่อไปเลยครับ

   2. จิตที่เป็นอกุศล เกิดขึ้นเอง โดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อตามระลึกรู้ได้จะเป็นกุศลแทนได้หรือเปล่าครับ แล้วถ้าระลึกรู้ไม่ทัน จะเป็นอกุศล ที่ให้ผลมากหรือเปล่าครับ มีวิธีแก้ไข จิตที่เป็นอกุศล ที่เกิดขึ้นเองได้บ้างมั้ยครับ

   กรรมอันได้ก็ตาม ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ที่รู้หรือไม่รู้ ที่ได้ล่วงเกินท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ผมขออโหสิกรรมต่อท่านอาจารย์ด้วยครับ

   ขออนุโมทนา ในบุญ ในกุศล ประการต่าง ๆ ที่ท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ได้เพียรปฏิบัติให้เกิดมีขึ้น จนเป็นบารมีอันยิ่งใหญ่ด้วยครับ

     กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
    (๑). เมื่อมาเกิดใหม่ ต้องบำเพ็ญธรรมที่ทำให้เป็นอริยบุคคลขั้นที่สูงขึ้น

   (๒). เมื่อใดจิตระลึกทันสิ่งที่เป็นอกุศลได้ เมื่อนั้นสติได้เกิดขึ้นแล้วในดวงจิต จิตที่ขาดสติย่อมรับเอาสิ่งกระทบอื่นเข้าปรุงอารมณ์ให้เกิดขึ้นกับจิต ถ้าเป็นอารมณ์ไม่ดีและเกิดขึ้นยาวนาน ย่อมให้ผลเป็นบาปเกิดขึ้นอย่างมากกับจิต ตรงกันข้าม ถ้าเป็นอารมณ์ดีและเกิดขึ้นยาวนาน ก็ยังให้ผลเป็นบาปแต่ให้ผลไม่มาก วิธีแก้ไขมิให้จิตปรุงแต่งอารมณ์อกุศล คือต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้มีกำลังของสติรับทันสิ่งกระทบที่ไม่ดี และต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง พิจารณาสิ่งกระทบไม่ดีเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ วิธีนี้สามารถป้องกันบาปมิให้เกิดขึ้นกับจิต
  

1641.
สวัสดีคะอาจารย์

    ดิฉันได้ยินได้อ่านเรื่องราวของอาจารย์จากหลาย ๆ ที่ ช่วงนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรในตัวอาจารย์มากมาย เริ่มเลยนะคะ เมื่อปีที่แล้วดิฉันได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรม 7คืน8วัน ของสายคุณแม่ดร.สิริ กรินชัย ก่อนไป จนกระทั่งไปเราไม่รู้มาก่อนว่าต้องทำอะไรบ้างแต่พอไปแล้ว ปรากฏว่าสิ่งที่เราเตรียมตัวมาถูกต้อง และเมื่อปฏิบัติไปก็เริ่มเห็นบางอย่างขณะลืมตา แต่ไม่ได้บอกอาจารย์สอบอารมณ์เพราะในใจลึก ๆ บอกว่าอย่าไปสนใจ หลังจากที่กลับมาจากปฏิบัติธรรม ก็เริ่มสนใจเกี่ยวกับธรรมะมากขึ้น อ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะเยอะขึ้นแต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติ ตอนนี้ก็ฟังธรรมบรรยายของอาจารย์ทางอินเตอร์เนต จนเกิดศรัทธาอยากปฏิบัติเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดิฉันไม่ชอบสวดมนต์ ไม่ชอบเข้าวัด แต่ก็ทำบุญทุกครั้งที่มีโอกาส วิธีการทำสมาธิของดิฉันก็คือนั่งในท่าสบาย ๆ หรือ นอน แล้วดูที่ลมหายใจเข้าออกแต่ไม่ได้กำหนดอะไรเลย ดูเฉย ๆ จนรู้สึกว่าที่เราหายใจแรง ในช่วงแรกมันค่อยแพ่วลงเรื่อย ๆ ทุกวันนี้ก็ได้แค่นี้ละคะอาจารย์

   อีกเรื่องคือ ดิฉันเป็นคนที่ขี้โมโหขี้น้อยใจมาก ชอบตะโคกลูกอยู่บ่อย ๆ รู้นะคะว่าไม่ดี ควรแก้ไขอย่างไร ดิฉันทำงานเป็นหมอนวดมีอาจารย์เคยสอนว่าเวลานวด มืออยู่ไหนตาอยู่นั่น ท่านบอกว่าเป็นวิปัสสนาอย่างหนึ่งให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ ดิฉันทำทุกครั้งเมื่อนวดแนวทางนี้ได้ไหมคะ

ขอบพระคุณอาจารย์มากคะ
ชวิศา

คำตอบ
    คนที่ชอบตวาดลูก ( ตะคอก ) อยู่บ่อยๆ แล้วรู้ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี คนนั้นมีโอกาสเป็นคนดีได้ เหตุที่ทำให้มีอารมณ์ขี้โมโหและน้อยใจ เป็นเพราะจิตเห็นผิดและมีอัตตาสนับสนุน วิธีแก้ไขพฤติกรรมไม่ดี ต้องแก้ที่ตัวเอง ด้วยการให้อภัยเป็นทานกับลูกที่ทำเหตุขัดใจ ให้อภัยเป็นทานบ่อยๆจนกระทั่งอาการตะคอกลูกไม่เกิดขึ้นอีก

   ที่อาจารย์หมอนวดแนะนำ “มืออยู่ไหนตาอยู่นั่นว่า เป็นวิปัสสนาอย่างหนึ่ง” เป็นคำแนะนำที่ถูกของอาจารย์ท่านนั้น แต่ไม่ถูกตามคำสอนของพระพุทธโคดม ตรงที่ว่า เอาจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ เป็นการฝึกจิตให้มีสติ ( สมถภาวนา ) มิใช่เป็นวิปัสสนาภาวนา ที่ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง
  

1640.
เรียน อ.ดร.สนอง วรอุไร

    ผมเขียนจม.ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ ผมเป็นนักโทษอยู่ที่เรือนจำสมุทรปราการ ไม่รู้ว่าอาจารย์เคยได้อ่าน จม. ขอผมฉบับแรกหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไรครับ ที่ผมเขียนมาครั้งนี้ ก็เพื่ออยากให้อ.ดร.สนอง ช่วยชี้แนะแนวทางปฏิบัติในการนั่งสมาธิหน่อยครับ ผมฝึกนั่งมาได้ ๒๔ วันแล้ว วัน ๓๐ นาที ๒๐ นาที บ้าง เพราะโอกาสและสถานที่ในเรือนจำไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไหร่ แต่ผมต้องนั่งทุกวัน วันไหนไม่ได้นั่งสมาธิ ใจจะกระสับกระส่ายมาก จิตสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง นิมิตเห็นอะไรบ้าง (แต่ไม่นิมิตบ่อย) ตอนแรกๆ ที่นิมิตก็ดีใจ เพราะเป็นนิมิตที่ดี แต่พอได้มาอ่านหนังสือของหลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ ท่านบอกไม่ต้องไปใส่ใจ

   ผมลืมบอกไปผมปฏิบัติสมาธิตามหลักของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน นะครับ ผมอยากได้อาจารย์ที่ดีช่วยสั่งสอนให้ผม บอกตรงๆ เลยผมอยากเป็นเหมือน อ.ดร.สนอง ผมจะบวชไม่สึก จะขอมอบตัวและใจเพื่อพระพุทธศาสนา เพราะผมอยากช่วยเพื่อนนักโทษด้วยกันให้เขาพ้นจากทุกข์ด้วย เขาจะได้ไม่ทำไม่ดีอีก ผมตั้งปณิธานไว้แล้ว ถ้าผมได้เป็นเหมือน อ.ดร.สนอง ผมจะช่วยเหลือพวกนักโทษทั่วประเทศ ให้พวกเขาเห็นว่าศาสนาพุทธ เป็นอย่างไร แต่ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีบารมีถึงขนาดนั้นหรือเปล่า แต่ผมก็เชื่อว่าผมคงพอมีบุญอยู่บ้าง ไม่งั้นผมคงไม่ใส่ใจกับธรรมะมากขนาดนี้

ถ้ายังไงผมขอรบกวน อ.ดร.สนอง ช่วยชี้แนวทางให้ผมด้วยนะครับ ผมจะได้ปฏิบัติได้ถูกต้อง และไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายให้เขาพ้นจากความทุกข์เสียที หวังว่า อ.ดร.สนอง คงเข้าใจเจตนารมณ์ของผมนะครับ สุดท้าย ถ้าข้อความใดไม่สุภาพผมขออภัยด้วยนะครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง
  วุฒิ
    
คำตอบ
     การปฏิบัติธรรมในรอบวัน ต้องทำดังนี้
      ๑. พัฒนาจิตให้มีศีล ๕ (บริสุทธิ์และครบถ้วน)
      ๒. สวดมนต์ บทอิติปิโส..... สวากขาโต....สุปฏิปันโน....
      ๓. บริกรรมตามที่หลวงพ่อจรัญสอนให้ทำ
      ๔. มีสัจจะ
      ๕ เร่งความเพียร ปฏิบัติต่อเนื่องยาวนาน
      ๖ อุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งที่ปฏิบัติแล้วเสร็จ

   เมื่อจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ ให้ต่อด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนเห็นว่าผัสสะที่เกิดขึ้น (กาย เวทนา จิต ธรรม) ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้น

   ที่เน้นย้ำคือ คิด พูด ทำ ต้องเป็นบวกเสมอ และระลึกอยู่เสมอว่า “คำว่าไม่มี ไม่ดี และไม่สบาย จงอย่าได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า” และ “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม” เป็นจริงแท้แน่นอน พิสูจน์สิ
   

1639.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร. สนอง วรอุไร ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

คือไม่ทราบว่าจะมีอุบายวิธีที่ทำให้ลูกได้ทำบุญอย่างไรดีคะ คือ หนูพยายามอยากให้ลูกรู้จักการทำบุญ ทำทาน ขณะนี้อยู่่อเมริกา ทุกเดือนหนูจะส่งเงินไปเมืองไทยเพื่อให้น้องชายโอนทำบุญค่ะ แต่อยากให้ลูกชายได้ร่วมทำบุญด้วย โดยให้เค้านำเศษเหรียญมาร่วมทำบุญด้วย ซึ่งไม่เยอะมากนัก เพราะเค้ายังไม่มีใจตรงจุดนี้มากนักอ่ะค่ะ หนูก้อให้เค้าจบเงินของเค้า แล้วหนูอธิษฐานขอให้เค้าได้มีส่วนในบุญที่หนูได้ทำทุก ๆ บุญ
วิธีนี้ใช้ได้หรือไม่อย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ดร. สนองมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ

คำตอบ
     ผู้เป็นแม่ต้องทำบุญให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง และลูกสามารถสัมผัสได้ถึงอา นิสงส์ของบุญ อาทิ บุญให้สมบัติที่ต้องการได้ทุกอย่าง ปรารถนาสิ่งใดได้สิ่งนั้นก็เพราะบุญ ผิวพรรณงามก็เพราะบุญ มีเสียงไพเราะก็เพราะบุญ เป็นใหญ่ได้ก็เพราะบุญ มีบริวารซื่อสัตย์ได้ก็เพราะบุญ มีมนุษย์สมบัติได้ก็เพราะบุญ ฯลฯ เมื่อใดลูกสัมผัสได้ถึงสิ่งเหล่านี้ที่แม่มีอยู่ เมื่อนั้นลูกจึงจะศรัทธาในการทำบุญ แล้วเขาจะทำบุญด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีใครแนะนำ
  

1638.
กราบเรียนอาจารย์ ดร สนอง ที่เคารพ

ดิฉันได้ มีโอกาส ฟังซีดีบรรยายธรรมของท่าน รู้สึกเกรงกลัวต่อบาปเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก และวันนี้ ดิฉันมีคำถามอยากเรียนถามท่านอาจารย์ให้ช่วยตอบด้วยค่ะ เป็นเรื่อง ของปลวก เนื่องจากช่วงนี้มีฝนตกแผ่นดินไหว บรรดาเหล่าฝูงปลวกจะ โยกย้ายที่อยู่ ระหว่างทางนั้นมันก็ทำเป็นทางยาว แลดูแล้วน่าขนลุก ก่อนหน้านี้ดิฉันเคยนำเหล็กไปขูดออกให้มันร่วงลงพื้นแล้ว กวาดไปทิ้ง จากนั้นก็ฉีดยากำจัดปลวกเพื่อไล่มัน

ครั้งนี้มันก่อตัวเป็นทางยาวจากพื้นสู่เพดาน สูงราวๆ สองเมตรครึ่ง ยาวที่สุดที่เคยเห็นมา ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ ความต้องการของดิฉันคือ ไม่อยากให้มันตายเลยสักตัว อยากให้มัน ไปไกลๆ จากบ้านดิฉัน เพราะ หากทิ้งไว้คุณน้ามาเห็นเข้ามันต้องถูกกำจัดแน่นอน ดิฉันไม่อยากให้คุณน้าต้องรับกรรมที่ทำร้ายปลวก แต่ดิฉันก็ไม่ทราบว่าต้องปฎิบัติอย่างไรเพื่อให้ไม่ก่อให้ผิดศีลข้อที่ หนึ่ง

จึงเรียนถามมาเพื่อโปรดแนะนำ

กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

รุ่งนภา

คำตอบ
    คนที่กลัวบาปย่อมไม่ตกนรก ส่วนเรื่องของปลวกขึ้นบ้าน ไม่ต่างไปจากปลวกขึ้นกุฏิของพระที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า พระป่าป้องกันปลวกขึ้นกุฏิ ด้วยการใช้สบง จีวร ที่นุ่งหุ่มไม่ได้แล้ว นำไปชุบน้ำมันขี้ไต้ให้ชุ่ม แล้วพันไว้รอบโคนเสากุฏิ แล้วปลวกไม่สามารถไต่ขึ้นกุฏิอีกต่อไป
  

1637.
กราบ อาจารย์ สนอง วรอุไร ที่เคารพ

   หนูเดินจงกลม เมื่อเกิดเวทนาก็หยุดเดิน หยุดภาวนาอาการปวดนั้น อาการปวดมากขึ้น เรื่อย ๆ จนรู้สึกว่า เหมือนร่างกายกำลังจะถูกหลอมละลาย หน้าตึง ๆ ตัวสั่น เหงื่อออก ภาวนาว่ารู้หนอ รู้หนอ จิตก็อ่อนลง ผายลม ท้องไส้ปั่นป่วน มีอาการปวดท้องหนัก อาการทั้งหมดนี้เกิดพร้อมกัน หนูก็ภาวนารู้หนอบ้าง ปวดหนอบ้าง การอธิษฐานยอมตายเพื่อให้เข้าถึงธรรมนั้นจะเป็นอย่างไรคะ หนูรู้สึกว่าจิตยังอ่อนเกินไปคงไปไม่ถึงขั้นนั้น หนูก็กลัวว่าจะถ่ายราดลงตรงนั้น เดี๋ยวคนที่อยู่ด้วยจะว่าได้ว่านั่งสมาธิประสาอะไรถ่ายเรี่ยราดอะไรแบบนี้ รู้ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยกำหนดไปเข้าห้องน้ำดีกว่า แล้วกลับมานั่งสมาธิ

   เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดตอนที่หนูปฏิบัติที่วัด ตอนนั้นเกิดเวทนาตอนเดินก็เลยหยุดเดินเพื่อกำหนดปวดหนอ ๆๆๆ ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ตัวสั่น เหงื่อออกเยอะมาก แล้วมีแสงส่องมาทางศีรษะถึงลำตัวรู้ถึงความอุ่นของแสงนั้น หนูก็กำหนดรู้หนอ ๆ ๆ แล้วมีอาการปวดท้องเหมือนท้องจะเสีย จะอาเจียนแต่ไม่ออก ไม่ได้มีอาการเวียนหัวเลย มีอาการทางท้องเสียซะมากกว่า ก็เลยกำหนดไปห้องน้ำ แล้วมานั่งสมาธิ

   ทั้งหมดนี้หนูปฏิบัติถูกผิดอย่างไร อาจารย์ช่วยแนะนำด้วยนะคะ

คำตอบ
    กำลังของสติยังไม่กล้าแข็งพอ การอธิษฐานยอมตายจะยังทำไม่ได้ผล การทำตามที่ร่างกายร้องเตือน เมื่อเสร็จแล้วค่อยมานั่งบริกรรมใหม่ ที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไปทั้งหมด เป็นการปฏิบัติธรรมที่ดำเนินมาถูกทางแล้ว เพียงแต่ทำตามคำชี้แนะให้ถูกตรง แล้วการปฏิบัติธรรมจึงจะดำเนินก้าวหน้าได้
  

1636.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

   ผมมีเรื่องจะรบกวนถามอาจารย์ว่า ความเข้าใจคำว่า อนัตตาหรือความไม่มีตัวตน ของผมถูกต้องหรือไม่ครับ โดยการประมวลความคิดจากสมอง ไม่ได้ใช้ปัญญาเห็นแจ้งครับ

   มีคนที่นั่งกรรมฐานแล้วไปพบเจอกับภพภูมิอื่น แล้วมาถามพระผู้รู้ คำตอบที่ผมได้รับการบอกเล่าอยู่บ่อยๆ คือ "ที่ไปเห็นนั้นได้เห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง" นี่ก็คือข้อมูลอย่างหนึ่งที่ใช้ในการทำความเข้าใจของผม ผมเข้าใจว่า ถ้าไม่มีมนษย์แล้วโลก ดวงจันทร์หรือดวงดาวต่างๆ ที่มองเห็นกันอยู่นี้ก็จะไม่มี ที่มันมีก็เพราะมนุษย์มีความถี่ของประสาทสัมผัสที่สัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้ เหมือนกับที่มนุษย์ไม่สามารถสัมผัสภพภูมิสวรรค์ได้เนื่องจากความถี่ของประสาทสัมผัสไม่ตรงกัน ก็จะบอกว่าสวรรค์ไม่มีอยู่จริง คงเช่นเดี่ยวกับเทวดาหรือสัตว์ในภพภูมิอื่นๆ ที่ไม่เห็นโลกมนุษย์ก็จะบอกว่าโลกมนุษย์ไม่มีอยู่จริง นอกเสียจากว่าเขาเหล่านั้นปรับความถี่ของประสาทสัมผัสให้ตรงกับภพภูมิมนุษย์ จึงจะรู้ว่าโลกมนุษย์มีอยู่จริง ซึ่งในเวลาเดียวกันเขาเหล่านั้นก็คงไม่เห็นภพภูมิของตัวเอง

   สรุปว่า ความเข้าใจของผมคือ ภพภูมิต่างๆ รวมถึงโลกมนุษย์ มันไม่ได้มีอยู่จริง แต่ที่คิดว่ามีอยู่จริงก็เพราะสัตว์ในภพภูมินั้นๆ มีความถี่ของประสาทสัมผัสที่รับรู้ได้ แล้วไปยึดมั่นว่ามันมีอยู่จริง จริงแท้แล้วมันไม่มีตัวตน (ถ้าไม่มีสัตว์ ก็ไม่มีภพภูมิ ทุกอย่างล้วนไม่มีตัวตน)

   จากทั้งหมดข้างต้นผมมีความเห็นถูกไหมครับ ...

   ขอบพระคุณอาจารย์มากครับที่ช่วยชี้ทาง
     ด้วยความเคารพ

คำตอบ
    ไม่ถูกครับ คำว่า “ อนัตตา ” หมายถึง สัตว์ (รูปนาม) ที่เป็นทั้งกายหยาบและกายทิพย์ ล้วนต้องเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือ รูปนามเป็นของไม่เที่ยง (อนิจจตา) รูปนามเป็นภาวะที่คงทนอยู่ไม่ได้ (ทุกขา) และรูปนามต้องแตกสลายไปในที่สุด (ไม่มีอยู่จริง) รูปนามจึงมิใช่ตัวมิใช่ตน ( อนัตตตา) ผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง หรือปัญญาเห็นถูกตามความเป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ได้แล้ว ผู้นั้นย่อมเห็นสรรพสิ่ง เกิดขึ้นแล้วดับไป คือ สิ่งที่ถูกเห็นไม่มีอยู่จริงนั่นเอง
   

1635.
กราบ อาจารย์.ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

กระผมขออนุญาติเรียนถามเรื่องการปฏิบัติของผม จิตของผมชอบที่จะรู้กายรู้ใจมากกว่าการมานั่งสมาธิ หลับตาให้จิตสงบ ซึ่งการนั่งสมาธิของผมมักจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ นั่งประมาณ 10-15 นาที ก็มักจะง่วงนอน แต่ในชีวิตประจำวันผมจะมีสติรู้ทันจิตอยู่เสมอ และมักรู้ทันเวทนาขันธ์ในการปรุงแต่งจิตเสมอๆ แล้วเมื่อคืนก็ได้นั่งสมาธิ แล้วก็ลองไม่ท่องอะไรเลย หายใจเข้า-ออก ไม่ท่องพุท-โธ ตามลมหายใจ ผมรู้สึกจิตผมสงบมากกว่าการนั่งท่องพุท-โธ ผมจึงมีคำถามรบกวนสอบถามอาจารย์หน่อยครับว่า

1.การใช้ชีวิตประจำวันแบบรู้ทันกาย รู้ทันใจ เป็นการเจริญกรรมฐาน แบบวิปัสนากรรมฐานใช่หรือไม่ครับ

2.การที่ผมนั่งสมาธิโดยที่นั่งเฉยๆไม่ท่องพุท-โธ หรือการภาวนารูปแบบใดๆเลยก็ตามแล้วจิตสงบสามารถทำแบบนั้นได้หรือไม่ครับ เพื่อให้เข้าถึงอัปปนาสมาธิ

3.จิต"ผู้รู้" หรือจิตที่รู้ทันเวทนาขันธ์ต่างๆนั้นเป็นจิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นมารับรู้ทันอารมณ์ความรู้สึกต่างๆของจิต"ตัวเก่า" หรือว่าเป็นอย่างอื่นครับ

4.คำว่าวิญญาณในนามขันธ์ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเลยครับ ใช่จิตที่รวม เวทนา สัญญา สังขาร หรือไม่ครับ

5.ผมสามารถใช้วิปัสนากรรมฐานนำจิตโดยไม่ค่อยปฏิบัติสมถกรรมฐานได้หรือไม่ครับ

ขอกราบอโหสิกรรมจากอาจารย์ด้วยนะครับ ถ้าผมได้ล่วงเกินอาจารย์ไม่ว่าทางใดก็ตาม ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี และขออนุโมนาสาธุในบุญที่ได้ร่วมถาม-ตอบปัญหาธรรมจากอาจารย์ด้วยครับ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไรครับ ที่ได้เมตตาในการชี้ทางสว่างแก่ดวงจิตที่มืดมนในวัฏสงสารไม่รู้กี่ภพชาติมาแล้ว มาในภพชาตินี้ได้รู้ ได้เห็นธรรม ได้ฟังธรรมจากอาจารย์แล้วทำให้จิตผมได้ตื่นขึ้นมาอย่างมากครับ

คำตอบ
   (๑). รู้ทันกาย รู้ทันใจ แล้วจิตไม่ยึดติดในกายและใจ .... ตอบว่าใช่ครับ

   (๒). ตอบว่า ได้ครับ

   (๓). จิต “ ผู้รู้ ” คือ จิตที่เห็นแจ้ง ส่วน จิต “ ตัวเก่า ” เป็นจิตที่มีกิเลสปรุงแต่งอยู่ภายใน

   (๔). คำว่า “ วิญญาณ ” หมายถึง จิต หรือจิตที่รู้อารมณ์ เช่น จิตที่มีเวทนา จิตที่สามารถจำ (สัญญา) สิ่งต่างๆที่ผ่านมาแล้วได้ จิตที่รับเอาสิ่งกระทบเข้าปรุงแต่ง (สังขาร) อารมณ์ ดังนั้นสิ่งที่เข้าใจนั้น ถูกต้องแล้ว
  

1634.
เรียนอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร

   ชาวพุทธมีวิธีป้องกันตัวจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันได้อย่างไร ช่วยอธิบายให้เข้าด้วย เพราะจากเทปคำบรรยาย เรื่อง "พ้นทุกข์แบบฆราวาส" ในช่วงสุดท้าย อาจารย์ได้พูดถึงภัยพิบัติที่บอกว่าเร็วนี้จะเกิด แล้วคำว่า"บุญรักษาใจ" ที่บอกเล่าไปในช่วงนั่งสมาธิ ช่วยอธิบายอย่างละเอียดด้วยได้ไหมครับ และถ้าเป็นไปได้ (อาจารย์ไม่ตอบก็ได้) เมืองไทยจะเกิดภัยพิบัติอะไรอีกบางครับ ถึงไม่เกิดเราก็ควรดำรงตนไว้ในความไม่ประมาณใช้ไหมครับขอบคุณมากครับ

ด้วยความเคราพ

คำตอบ
  ชาวพุทธเชื่อไหมว่า พุทธวจนะเป็นเรื่องจริง และเป็นหนึ่งไม่มีสอง ผู้ใดพัฒนาจิตให้เข้าถึงความตั้งมั่นแน่วแน่ (ฌาน) และพัฒนาจิตให้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ผู้นั้น ย่อมรู้ เห็น เข้าใจ ด้วยตัวเองว่า “ ธรรมย่อมคุ้มรักษาผู้ประพฤติธรรม “ เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน

คำว่า “ บุญรักษาใจ ” เป็นเรื่องจริง ผู้ถามปัญหาจะพิสูจน์ไหมว่า ผู้พัฒนาจิตจนมีบุญคุ้มรักษาใจได้แล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ดังนี้ ใครแย่งชิงบุญไม่ได้ บุญติดตามทุกย่างก้าว บุญติดตามข้ามภพข้ามชาติได้ ผู้มีบุญตกน้ำไม่ไหล (ไม่ตาย) ตกไฟไม่ไหม้ โจรลักขโมยบุญไม่ได้ บุญให้สมบัติที่ต้องการได้ทุกอย่าง ผู้มีบุญปรารถนาสิ่งดีงามใดย่อมได้สิ่งนั้น บุญทำให้ได้มนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ ฯลฯ

ถาม : เมืองไทยจะเกิดภัยพิบัติอะไรอีกบ้าง ?

ตอบ : ขออภัยไม่ตอบ แต่บอกเล่าว่า ผู้ใดเอาธรรมะมาคุ้มครองใจได้แล้ว จะไม่วิบัติ ตามภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และที่จะเกิดมาในอนาคต
   

1633.
เรียน อาจารย์ สนอง วรอุไร ที่เคารพ

คือดิฉันมีปัญหา เรื่องของการปฏิบัติ นั่งสมาธิ ฝึกมาประมาณ 2 ปีกว่า ตอนแรกๆเครียดมาก
คือตั้งใจมากเวลาปฏิบติ คล้ายๆสมถมากไป ช่วงปีแรกนั่งสมาธิวันละ 5 นาที และค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆใน 3 เดือน เพิ่มขึ้นเป็น 20 นาที ใน 20 นาที นั้นช่วงแรกปวดขาทรมานมาก ใจคิดว่าทุกข์จริงๆคนเราเกิดมามีแต่ทุกข์ แต่อยู่มาวันหนึ่งนั่งๆมีอาการวาบๆในร่างกายและใจก็สบายขึ้นอย่างมากและคิดว่าการไม่ไปยึดหรือปล่อยวาง นี้เป็นสุขมากๆ หลังจากนั้นมาสามมารถนั่งได้ครั้งละ 1 ชั่วโมงอย่างสบายโดยใจและกายรับรู้เกือบตลอดเวลา มีบางวันที่อยากลองนั่งนานๆเกิน 1 ชั่วโมงครึ่ง (อ่านหนังสือที่อาจารย์เขียนว่ายอมตายทำให้มีความเพียรขึ้น) แต่เมื่อนั่งสมาธิมากไปรู้สึกว่าไม่มีความสุขเวลามาอยู่ในสังคม จิตใจไม่ค่อยจะมีความสุข รู้สึกหงุดหงิด จิดอ่อนแอ ลงไปมาก ทำให้ทุกข์ ไม่ทราบดิฉันต้องปฏิบัติอย่างไรอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยนะคะ

ตอนนี้ดิฉันปรับโดยการนั่งสมาธิครั้งละ 1 ชั่วโมง นั่งๆไปเวลามีความสุขมากๆ เย็นไปทั้วตัว
ตลอดในลำไส้ ในสมองเย็นไปทั่ว ใจก็รับรู้ไม่ทราบว่าดิฉันปฏิบัติถูกหรือผิดคะ

และเมื่อมีอาการตามที่เล่าข้างต้น คือเมื่อมีความสุขมาก ดิฉันจะง่วงนอนมาก ถ้านอนจะหลับเลย
และหลับสบาย ตื่นมาทำงานอย่างมีความสุข จิตใจมีเมตตา แต่ถ้านั่งสมาธิต่อไปอีกอย่างที่เล่าให้อาจารย์ฟังว่า เกิน 1 ชั่วโมง จะรู้สึกจิตตื่น เมื่อนอนหลับจะตื่นเร็วในตอนเช้า (ตื่นเอง) ในวันนั้นรู้สึกจิตใจอ่อนแอ หงุดหงิด มีความทุกข์ ไม่ทราบว่าดิฉันควรปฏิบัติอย่างไรดีคะ อาจารย์ช่วยแนะนำด้วยนะคะ

ดิฉันขอรบกวนอาจารย์แค่นี้นะคะ ขอบพระคุณอาจารย์มาก และดิฉันขออโหสิกรรมด้วยะคะ
ที่รบกวนอาจารย์

กราบขอบพระคุณคะ
ศิวิมล

คำตอบ
   ปฏิบัติธรรมมาถูกทางแล้ว จงทำต่อไป อย่าได้ท้อแท้ในการทำความดี การอธิษฐานยอมตายเพื่อให้เข้าถึงธรรมขั้นสูงนั้น ยังไม่ถึงเวลา เพราะสมาธิยังมีกำลังไม่มากพอ การนำตัวเข้าอยู่ร่วมกับสังคมแล้วไม่มีความสุขนั้น เพราะจิตยังมีกำลังสติไม่กล้าแข็ง จึงไปรับเอากิเลสกามในสังคมมาปรุงอารมณ์ทุกข์ หากเมื่อใดผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติมากกว่านี้ มากจนกระทั่งจิตไม่รับเอากิเลสในสังคมมาปรุงอารมณ์กามได้แล้ว ปัญหาไม่มีความสุขจึงจะหมดไป

   ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนาแล้วรู้สึกมีความสุข เหตุเป็นเพราะจิตสงบจากอารมณ์ปรุงแต่งนั่นเอง และเมื่อใดเกิดความรู้สึกเย็นไปทั่วตัว ต้องกำหนดว่า “เย็นหนอๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการเย็นจะดับไป แล้วนำจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมที่ใช้อยู่ วิธีการเช่นนี้เป็นการทำให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้จิตมีกำลังของสมาธิเพิ่มตามมา เมื่อใดที่จิตมีกำลังของสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) จึงจะเริ่มพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ไปสู่การเกิดของปัญญาเห็นแจ้งได้ในภายหลัง ผู้ถามปัญหาปฏิบัติธรรมมาถูกทางแล้ว จงดำเนินต่อไป
  

1632.
เรียนท่านอาจารย์สนอง วรอุไรที่เคารพ

   พี่สาวของหนูมีปัญหาร้อนใจมากมากมาเป็นเวลานานและได้ขอร้องให้หนูขอความกระจ่างจากท่านอาจารย์ค่ะ พี่สาวเป็นคนดีค่ะ ทำการค้ามาหลายอย่างไม่เคยประสบความสำเร็จ จนเมื่อได้มาค้าขายพระเครื่องซึ่งเป็นธุรกิจที่พี่น้องคนอื่นทำอยู่และประสบความสำเร็จกันทุกคน
(หนูไม่ได้ทำค่ะ) เธอกลัวบาปค่ะ ทุกวันนี้เธอพยายามรักษาศีล ๕ และศีล ๘ ในวันพระ ทำบุญสังฆทานและอื่นๆ อย่างไม่คิดเสียดาย สวดมนต์ และศึกษาธรรมะ พี่สาวเครียดและกลัวบาปมากมาก แต่ยังมีความจำเป็นต้องทำเพราะต้องหาเลี้ยงครอบครัว

   ขอท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาตอบคำถามและแนะแนวทางออกให้ด้วยค่ะ

      กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    ผู้ใดรู้ว่า การประกอบอาชีพที่ทำให้คนอื่นยึดติดอยู่กับวัตถุสิ่งของ อานิสงส์คือ ความหลงหรือโมหะ ซึ่งเป็นผลของบาปที่ทำให้ผู้ประกอบอาชีพต้องได้รับ หากยังมีความจำเป็นต้องประกอบอาชีพนี้เพื่อเลี้ยงปากท้องและครอบครัว ก็ยังต้องดำเนินต่อไป แต่ควรประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อยู่เสมอ เพื่อให้บุญมีกำลังมากกว่าบาป แล้วชีวิตก็จะดำเนินต่อไปได้ แต่หากเมื่อใดได้บริจาคมหาทานให้เกิดขึ้นแล้ว และประสงค์จะพ้นไปจากอาชีพที่เป็นบาปเช่นนี้ ต้องอธิษฐานให้ตนได้มีอาชีพที่เป็นสัมมาอาชีวะในวันข้างหน้า
   

1631.
เรียนอาจารย์ดร.สนอง ที่เคราพ

   ผมไม่มีโอกาสไปปฎิบัติธรรมกับวัดที่อาจารย์แนะนำครับ เพราะ พ่อ แม่ ไม่เห็นด้วย แต่ผมก็มาคิดว่า ธรรมะที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ที่ตัวเรา เพราะไปใส่บาตรทุกเช้า อธิษฐานบุญถึง เจ้ากรรมนายเวร พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ญาติ พี่น้อง และเจ้ากรรมนายเวรของผมเขา ผมอธิษฐานว่า ขอให้เขาถึง อัปปนาสมาธิ และ เป็นพระโสดาบันครับ จึงเขียนจดหมาดมาขอคำแนะนำครับ แต่ว่า ผมมีเวลาของผม ใน 1 วัน อาทิ วัน จันทร์ พุธ ศุกร์ ต้องไปเรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ 9.30-11.00 จึงอยากเขียนจดหมายมาขอคำแนะเพราะ ถึงกระผมอธิษฐานไปยังงั้น แต่พอถึงเวลาจริง ชอบไปฟังเพลง ใน Youtube อยู่บ่อยๆ คือคิดว่ามีเวลาทั้งวัน ไปฟังเพลงไม่กี่ เพลง คงไม่เป็นอะไรหรอก

   ปล.ผมอยากจะรู้จักความสุข จาก อัปปนาสมาธิ แต่ว่าผมต้องไม่อยากซึ่งผมก็ทำได้ แต่ยังไม่ตั้งใจทำ ผมจะตั้งใจทำให้ได้ครับ ไม่ว่าอาจารย์จะตอบคำถามนี้หรือไม่ก็ตาม ผมเชื่อว่าผมต้องตั้งใจทำให้สำเร็จให้ได้ครับ..............

ด้วยความเคราพ

คำตอบ
    ผู้ใดอธิษฐานขอให้ตนเองเข้าถึงอัปปนาสมาธิ แล้วไม่ทำเหตุให้ถูกตรง คือไม่พัฒนาจิตตามแนวของสมถกรรมฐาน ผู้นั้นย่อมเข้าไม่ถึงสิ่งที่ตนได้อธิษฐานไว้

   การพัฒนาจิตให้มีสภาวธรรมเป็นพระโสดาบัน ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้นในดวงจิต แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง ไปกำจัดสังโยชน์ ๓ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด โสดาปัตติผลซึ่งเป็นสภาวธรรมของพระโสดาบัน ย่อมเกิดขึ้นกับดวงจิต

   ผู้ถามปัญหาได้เขียนบอกเล่าถึงสิ่งที่คิดเอาเองว่า “คงไม่เป็นอะไรหรอก” แท้จริงแล้ว เป็นอะไรแน่นอน คือเข้าไม่ถึงธรรมที่ตั้งความปรารถนาไว้
  

1630.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง

   ตั้งแต่ปีใหม่ ได้สวดมนต์เกือบทุกคืน(ยกเว้นวันที่อยู่เวร และสังขารไม่ไหวจริงๆประมาณ 1ครั้ง/เดือน) และตามด้วยการนั่งสมาธิ อีกประมาณ 30 นาที

    ขอรบกวนท่าน ดร.สนอง ดังนี้
   1.ได้อ่านเจอว่าการระลึกถึงกรรมที่ดีก่อนจิตจะหลุดไป มีผลต่อภพภูมิที่จะไปเกิดใหม่ จึงขอทราบว่าหากเราระลึกถึงองค์พระปรินิพพาน เมืองกุสินารา จะมีผลให้ต้องไปเกิดในอินเดียด้วยหรือไม่ เพราะทุกวันนี้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้พบพระพุทธศาสนาทุกชาติ( แต่ไม่ประสงค์จะเกิดในอินเดีย)

   2.ได้ไปวัดทับทิมแดงตามที่ท่านอาจารย์แนะนำแล้ว สงบ ร่มรื่น แต่ยังต้องรอให้เหตุปัจจัยลงตัว จึงจะสามารถไปปฏิบัติธรรมได้ เพราะที่วัดเข้มงวดในการปฏิบัติครั้งแรกมาก ต้องอยู่ได้ถึง7วันเต็ม ซึ่งในความเป็นจริงยังมีงานภายนอกที่ต้องรับผิดชอบอยู่ อาจารย์มีข้อแนะนำเพิ่มเติมมั้ยค่ะ

   3.มีลูกชายเป็นห่วงผูกคอ ปีหน้าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ลูกเรียนฟิสิกส์ไม่ค่อยเข้าใจ ก็ให้ไปเรียนเพิ่มเติม แต่เป็นเด็กที่ไม่ถาม เคยหยิบหนังสือลูกมาอ่านแต่แม่ก็ไม่เข้าใจ ไม่สามารถสอนลูกได้(ตอนอายุเท่าลูก ทำคะแนนวิชานี้ได้ดี) คิดจะไปลงเรียนด้วยก็คิดว่าไม่ง่ายนักเพราะตัวเองก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบ ขอข้อแนะนำ เพื่อที่เมื่อเวลาผ่านไป แม่จะได้ไม่รู้สึกเสียใจต่อการตัดสินใจว่าได้ช่วยลูกอย่างเต็มที่แล้ว ลูกบอกก่อนนอนไม่ได้สวดมนต์แต่ทำยุบหนอพองหนอ แต่ชวนไปวัดไม่ไป บอกว่าถ้าไปก็จะเป็นบาป เพราะไม่ได้เต็มใจไป

   4.ดิฉันเป็นคนที่ร้องไห้ง่ายมาก ได้ฟังเรื่องดีๆ ก็ร้องไห้ ไปวัดทับทิมแดง พระมหาสมัยท่านเทศน์ ดิฉันนึกถึงลูกชายเพราะเรามีความคาดหวังกับเขา บางครั้งไม่เป็นดังหวัง ก็น้ำตาไหล ควรแก้ไขอย่างไรดีค่ะ

   กราบขอบพระคุณอย่างสูง แม่ลูกหนึ่ง

คำตอบ
    (๑). ผู้ไม่ประสงค์เกิดในประเทศอินเดีย ข้อมูลกรรม “ไม่เกิดในอินเดีย” ย่อมถูกบันทึกไว้ในดวงจิตเป็นสัญญา เมื่อใดที่จิตหลุดออกจากร่างนี้ เพื่อไปหาร่างใหม่อยู่อาศัย หากเป็นร่างมนุษย์จะไม่เป็นมนุษย์ที่อยู่ในประเทศอินเดีย

   (๒). คนส่วนใหญ่ไม่รู้วันตายของตัวเอง ฉะนั้นจงทำวันนี้ให้ดีด้วยความไม่ประมาทเถิด นี่คือข้อแนะนำ

   (๓). ผู้ใดปฏิเสธสิ่งดีงาม ผู้นั้นย่อมไม่ได้รับสิ่งดีงามตอบแทน ดังนั้น การปฏิเสธเหตุของการเรียนรู้ให้เข้าใจ ย่อมไม่ได้รับความเข้าใจในวิชาที่เรียน

   (๔). ผู้ใดเจริญสติและปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้นได้แล้ว ผู้นั้นจะไม่ร้องไห้ในทุกกรณีที่มีสิ่งกระทบเข้าสัมผัสจิต
  

1629.
กราบท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร

กระผมมีคำถามว่า หากบิดามารดาเจ็บป่วย (ไม่ว่าทางกายหรือจิตใจ) ได้รับทุกเวทนาแรงกล้า แม้รักษากับแพทย์อย่างไรก็ไม่ดีขึ้น และหากสาเหตุการเจ็บไข้นั้น มาจากเจ้ากรรมนายเวรหรือเป็นผลกรรม ผู้เป็นลูกจะสามารถสร้างความดีแล้วอุทิศผลบุญหรือแผ่เมตตาแด่ท่านเพื่อหวังจะบรรเทาทุกเวทนาให้ท่านบ้างจะได้หรือไม่ และหากอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรของท่านด้วยเขาจะได้รับหรือไม่

กราบอาจารย์สามครั้งครับ
มารุต

คำตอบ
   การแผ่เมตตให้กับแม่ แล้วทุกขเวทนาของแม่จะบรรเทาลงได้ แม่ต้องอนุโมทนาในคุณธรรมที่ลูกแผ่ให้ และเช่นเดียวกัน การอุทิศความดี (บุญ) ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของแม่ หากเป็นบุญใหญ่และเจ้ากรรมนายเวรยอมรับ เมื่อเจ้ากรรมนายเวรมาอนุโมทนาแล้ว โอกาสยกเลิกการจองเวรกับผู้เป็นแม่ ย่อมเกิดขึ้นได้
  

1628.
สวัสดีคะอาจาย์สนอง

หนูได้อ่านหนังสือ ทางสายเอก หนูไปงานไทยที่จังหวัดที่หนูอยู่ มีพระสงฆ์ไทยในลอนดอนตั้งเต็นท์ในงานนี้ แล้วหนูพาลูกไปกราบท่าน แล้วหนูเห็นหนังสือของอาจาย์ มีวางอยู่เล่มเดียวคะ พอหนูอ่านแล้ววางไม่ลง ต้องอ่านให้จบ ต้องขอขอบคุณอาจารย์มาก ๆ คะที่มีหนังสืออย่างนี้ออกมา

หนูอยู่ที่ประเทศอังกฤษคะ ทำงานดูแลคนแก่ อยากจะเรียนถามอาจารย์ดังนี้คะ

1.งานบริการคนแก่เป็นงานที่หนักและปัญหามาก แต่คนแก่บางคนเรื่องมาก ถ้าเค้าต้องการอะไรแล้ว เราต้องทำให้ได้ แต่บางครั้งคนแก่คนอื่นก็ต้องการเราด้วย แต่เราไม่สามารถที่จะให้เวลาเค้าได้มาก อย่างเช่น คนแก่บางคนต้องการคุยหรือให้เราทำอะไรนาน ๆ บางครั้งหนูรำคาญมากคะ จะมีวิธีทำอย่างไรคะให้ใจเย็นและมองทุกสิ่งให้เป็นอุเบกขา

2 หนูพยายามที่จะไม่นิททาเพื่อนที่ทำงาน แต่บางครั้งก็มีหลุดบาง เพราะเค้าทำให้หนูโมโห เพราะเรามองกันต่างมุมคะ หนูพยายามที่จะไม่เข้าร่วมกลุ่มกับเพื่อนมาก อาจารย์ว่าหนูทำถูกหรือเปล่าคะ ตอนพักหนูก็เอาหนังสือของอาจารย์มาอ่าน ทำจิตสงบเพราะไม่อยากไปยุ่งกับใครมาก

3 ถ้ามีศีล 5 ไม่ครบ แล้วต้องการที่จะทำให้ครบ คือพยายามที่จะทำให้ครบ แต่ก็หลุดบ้าง ดีบ้าง ต้องทำอย่างไรคะ

4 ถ้าสามีทุศีล แล้วเราบอกเค้า เค้าไม่ฟัง เราจะเป็นบาปด้วยหรือเปล่าคะ

5 หนูสวดมนต์และนั่งสมาธิทุกวัน แต่สามีไม่ได้ปฏิบัติ แล้วเค้าจะอยู่กับหนูได้นานหรือเปล่าคะ

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    (๑). คนที่เกิดมาเพื่อปรับปรุงแก้ไขชีวิตให้ดีขึ้น ย่อมพึงพอใจที่จะทำงานอยู่กับความยากลำบาก มากกว่าที่จะทำงานอยู่กับความสบาย เพราะเขาจะได้มีโอกาสพัฒนาจิตตนเองให้มีคุณธรรมเพิ่มขึ้น อาทิ มีความอดทน ( ขันติบารมี ) เพิ่มขึ้น มีความเพียร ( วิริยบารมี ) เพิ่มขึ้น มีการเรียนรู้คน ( ปัญญาบารมี ) เพิ่มขึ้น มีการให้อภัยในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ ( เมตตาบารมี ) เพิ่มขึ้น ผู้รู้ย่อมไม่ปฏิเสธที่จะทำงานในลักษณะนี้ จงดูผู้ตอบปัญหาเป็นตัวอย่าง แล้วทำตาม หากปรารถนาความเจริญของชีวิต ต้องไม่ท้อแท้ไม่ท้อถอยกับงานที่กำลังทำอยู่

   (๒). จงเอาคนที่ชอบนินทาผู้อื่นเป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าเราจะไม่ประพฤติอย่างเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นเหมือนเขา ผู้ใดดูให้ออก แล้วทำให้ได้ ดังที่แนะนำมา ย่อมทำให้มีคุณธรรมเพิ่ม คนที่มีศีลมีธรรม ย่อมไม่รวมเข้ากลุ่มกับคนที่ทุศีลไร้ธรรม เพราะเส้นทางเดินของชีวิต เป็นคนละทางกัน ฉะนั้นจงดูให้ออก แล้วเลือกเอาตามที่ชอบ

   (๓). ทำตนให้เป็นผู้มีสัจจะ สวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน หลังสวดมนต์ เอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง หรือจนกว่าจะหลับไป วิธีการเช่นนี้เป็นเหตุทำให้มีศีลห้าข้อ กลับมาคุมใจทุกขณะตื่น

   (๔). ถือว่าเป็นบาป แต่หากเมื่อใดสามีศรัทธาในตัวของผู้ถามปัญหา แล้วเขาประพฤติตามที่เราบอก จึงจะถือว่าไม่เป็นบาป

( ๕ ). จะอยู่ด้วยกันได้นาน เท่าที่จิตของผู้ทรงคุณธรรม กับจิตของผู้ด้อยในคุณธรรม ยังไม่ปฏิเสธที่จะอยู่ร่วมครอบครัวเดียวกัน หรือพลังที่มีอยู่ในดวงจิตผลักให้ห่างจากกัน ด้วยเหตุนี้ พระพุทธโคดมจึงได้ตรัสในทำนองที่ว่า คนที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสงบสุข ต้องมีคุณธรรมสี่อย่างใกล้เคียงกัน คือ สมสัทธา สมสีลา สมจาคา และสมปัญญา
  

1627.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร.สนอง ที่เคารพ

คือช่วงปิดเทอมนี้ผมอยากไปเข้าปฏิบัติธรรม จึงอยากทราบสถานที่ปฏิบัติที่ถูกต้องร่องรอย ตามคำสอนของพระพุทธองค์ ได้อยู่ใกล้บารมีพระอริยเจ้า แถวบริเวณไม่ไกลจาก จ.ชัยนาท มีไหมครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
   มีครับ เช่นสถานปฏิบัติธรรมวัดอัมพวัน จังหวัดสิงหบุรี หรือที่วัดมเหยงคณ์ จังหวัดอยุธยา
   

1626.
เรียน อ.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

   หนูกราบขอบพระคุณ อ.สนอง มากนะคะที่กรุณาตอบคำถามของหนู อ. ช่วยให้หนูเข้าใจมากขึ้น และมีแนวทางที่จะปฏิบัติธรรมต่อไป หนูขอรบกวนถาม อ.สนอง เพิ่มเติม ดังนี้

    1) หนูจะกลับมาใช้วรรณกสินมาเป็นองค์บริกรรมอีก ตามที่ อ. แนะนำว่า เหมาะกับจริตของหนู หนูเป็นคนโมโหง่ายมากค่ะ แต่ตอนนี้ดีขึ้น เพราะพยายามฝึกสติเวลาโกรธก็รู้ว่าโกรธไม่ลืมตัวและหายโกรธเร็วขึ้น ความจริงหนูหยุดใช้กสินสีไปนานแล้ว เพราะมีคนบอกว่าไม่ใช่แนวทางของสติปัฏฐาน 4 ไม่สามารถทำให้บรรลุธรรมได้ ถึงแม้ว่าหนูจะรู้สึกว่า เวลาหนูใช้กสินสี จิตจะตั้งมั่นได้เร็วมาก บางครั้งใช้เวลาสั้นมาก ประมาณ 10 กว่านาที ถึงหนูจะไม่ได้ฝึกกสินสีแล้ว แต่บางครั้งก็เกิดขึ้นเองโดยไม่ตั้งใจ ในขณะที่เดินจงกรมหรือนั่งสมาธิก่อนที่จิตจะตั้งมั่น แบบว่า มาเองค่ะ จิตรวมจะพุ่งทะลุวงสี ทำให้วงสีที่เกิดขึ้นเพียงวูบเดียวหายไป กลายเป็นจิตรวมและนิ่งเอง หนูขอถาม อ. ว่า กรณีนี้เป็นของเก่าหรือเปล่าคะ คือมีคนเคยบอกว่า ถ้าเคยฝึกมาก่อนในอดีตชาติ ก็จิตจะจำได้ และทำได้เอง

   2) หนูอยากให้ อ. ช่วยแนะนำว่า เมื่อจิตรวมแล้ว จะต้องทำอย่างไรต่อไป หนังสือหลายๆ เล่มที่เคยอ่านอธิบายแค่ว่า ญาณขั้นไหนมีอาการอย่างไรเท่านั้น

   3) หนูไม่แน่ใจว่าจะสามารถเลี้ยงไก่เพื่อจะแก้ปัญหาเรื่องปลวกที่บ้านได้ เพราะตอนนี้ หนูรับภาระในการดูแลบ้าน ดูแลครอบครัวซึ่งมีลูกเล็กๆ กำลังซน และธุรกิจส่วนตัว คือมีงานล้นมือมาก กลัวว่าจะดูแลไก่ได้ไม่ดีพอ จะเป็นการสร้างกรรมใหม่ อ.คิดว่า ถ้าหนูย้ายไปอยู่คอนโดซึ่งไม่ต้องฉีดปลวกอีกเลย จะเป็นการแก้ปัญหาแบบถาวรได้หรือเปล่าคะ เพื่อนหนูบอกว่า เป็นการหนีปัญหา

   4) รบกวน อ.ช่วยแนะนำว่า ถ้าเราไปบนแล้วลืมไปแก้บน รวมถึงลืมว่าเคยไปบนที่ไหน เราควรจะทำอย่างไรดีคะ กลัวแรงสินบนค่ะ

   ขอบพระคุณ อ.สนองมากค่ะ ที่กรุณาตอบคำถามของหนู ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
    (๑). ผู้ที่บอกว่าฝึกกสิณ ไม่ใช่แนวทางของสติปัฏฐาน ๔ เป็นการบอกเป็นการพูดที่ถูก เพราะการฝึกกสิณมีเป้าหมายอยู่ที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และมิใช่เป็นการทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ที่นำไปสู่การบรรลุธรรมที่นำพาชีวิตไปสู่การพ้นทุกข์ ผู้ถามปัญหาใช้กสิณมาเป็นองค์บริกรรม แล้วทำให้จิตตั้งมั่นได้เร็ว เป็นเพราะเคยปฏิบัติสมถภาวนา (กสิณ) มาก่อนนั่นเอง แต่ต้องไม่ลืมว่า การปฏิบัติธรรมในแนวทางนี้ ปัญญาเห็นแจ้งไม่เกิด

   (๒). ญาณ หมายถึง ความรู้ยิ่งยวด หรือความรู้สูงสุด ที่เกิดขึ้นกับจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ความรู้ยิ่งยวดมีสองอย่างคือ โลกิยญาณ (อภิญญา ๕) และ โลกุตตรญาณ (วิปัสสนาญาณ) การไปรู้สมมุติบัญญัติของความรู้สูงสุด ด้วยการอ่านหรือฟังผู้อื่นบอกเล่า มิได้ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการพัฒนาวิปัสสนาญาณ แต่สภาวธรรมที่เกิดขึ้นในดวงจิตของผู้ปฏิบัติธรรม เป็นตัวบ่งชี้ความก้าวหน้าในการพัฒนาจิต

   (๓). ที่เพื่อนบอกว่าหนีปัญหานั้น เขาพูดถูกต้องแล้ว เมื่อใดใช้ปัญญาทางโลกแก้ ปัญหาย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ผู้ที่เข้าถึงความเห็นถูก สามารถใช้ปัญญาป้องกันมิให้เกิดปัญหาขึ้นกับตัวเอง ผู้ที่เข้าถึงความเห็นถูก สามารถใช้ปัญญาป้องกันมิให้เกิดปัญหาขึ้นกับตัวเอง ด้วยการไม่นำตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหา ที่เป็นเหตุนำมาซึ่งบาปได้ ด้วยวิธีการที่เสนอมา หากมีศักยภาพที่จะทำเช่นนั้นได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต่างจากการนำตัวเองให้พ้นไปจากความทุกข์

   (๔). การขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถแก้ปัญหาที่ถามไปได้ เมื่อขอขมากรรมแล้ว ต้องไม่ประพฤติซ้ำให้บาปเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก ด้วยการพัฒนาตนเอง ให้มีศีลธรรมห้าข้อคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น และต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติกล้าแข็งอยู่เสมอ
  

1625.
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ

   หนูมีปัญหาเรื่องเรียนหนังสือค่ะ คือหนูเรียนในระดับบัณฑิตศึกษาค่ะ เงื่อนไขในการสำเร็จการศึกษาคือ ต้องตีพิมพ์งานวิจัยในระดับนานาชาติค่ะ หนูส่งไป 3 ที่แล้วเขาไม่รับเลยนะค่ะ พอดีหมดเวลาลาศึกษาต่อ เลยต้องกลับมาทำงาน ทำงานประจำไปซึ่งงานค่อนข้างมาก แล้วก็ต้องแบ่งเวลามา คิดเรื่องเรียนด้วย เลยรู้สึกว่าไม่ได้ดีสักเรื่อง งานวิทยานิพนธ์ไม่ก้าวหน้า งานที่จะต้องตีพิมพ์ก็ไม่ก้าวหน้า
   อยากจะขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ ช่วยชี้แนะแนวทางเพื่อสำเร็จการศึกษา หนูอยากเรียนจบก่อนเดือนกันยายนปีนี้ เนื่องจากหมดเวลาเรียนจริงๆ (ครบ 6 ปี) ต้องเสียเงินเพื่อจะคืนสภาพนิสิตใหม่อีกจำนวนมาก และที่สำคัญแม่กับเตี่ยเป็นห่วงมาก หนูเป็นอาจารย์สอนหนังสือ หนูจะได้สอนและทำงานวิจัยอย่างเต็มที่ มีเวลาได้ดูแลแม่กับเตี่ยและน้องสาวได้มากกว่านี้

กราบขอความเมตตาท่าอาจารย์ให้การชี้แนะด้วยค่ะ
กราบขอบพระคุณค่ะ
นฤมล

คำตอบ
    วิทยานิพนธ์เป็นการเขียนรายงานผลงาน ที่เป็นความจริงมีเหตุผลรองรับ ความจริงที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย คือเริ่มจากเหตุที่ทำ แล้วไปรอดูผลว่าจะมีปรากฎการณ์ใดบ้างเกิดขึ้น ตรงกันข้าม ความจริงที่เข้าถึงได้ยาก เริ่มจากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ไปค้นหาหรือสืบดูว่า มีเหตุอะไรที่ทำให้เกิด คนที่มีเวลาจำกัด นิยมทำวิจัยอย่างแรกมากกว่าการทำวิจัยในรูปแบบที่สอง

   นอกจากจะเลือกวิธีทำวิจัยแล้ว ผู้ใดพัฒนาตนเองให้มีความรู้มีความสามารถ ให้รู้มากกว่า ให้มีความสามารถมากกว่า ผู้ตรวจผลงานวิจัย (advisor) และพัฒนาตัวเองให้มีคุณธรรมสูงกว่าผู้ตรวจสอบผลงานวิจัยได้แล้ว ย่อมประสบกับความสำเร็จได้ง่าย จากผลงานวิจัยที่ทำในต่างประเทศพบว่า คนที่ประสบความสำเร็จใช้ปัญญา (IQ.) เพียง 20% และใช้คุณธรรม (EQ.) มากถึง 80% ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์จะผ่านพ้นอุปสรรคให้ได้ ต้องดูตัวเองแล้วพัฒนาตัวเองให้มีคุณภาพดังที่กล่าวมานี้ให้ได้ แล้วความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
  

1624.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ที่เครพอย่างสูง

กระผมมีปัญหาอยากถามอาจารย์ว่า การเพราะพันธุ์ลูกสุนัขเพื่อจำหน่าย มีความผิดในทางศิลและทางธรรมอย่างไรบ้างครับ และมีโทษหนักหนาในทางธรรมมากไหม กระผมกำลังจะเพราะพันธุ์ลูกสุนัขเพื่อขาย อาจารย์มีข้อแนะนำอะไรบ้างเพื่อผมจะได้ ตัดสินใจได้ถูกต้องในการทำ เพื่อจะได้ไม่ผิดศิลและไม่ผิดธรรม

จึงขอขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
     การเพาะพันธุ์สุนัข แล้วเอาลูกของเขาไปขาย ถือเป็นการกระทำที่เบียดเบียน พรากลูกไปจากแม่ ย่อมทำให้แม่สุนัขเสียใจ แล้วผูกเวรกับผู้กระทำ เมื่อใดที่บาปกรรมให้ผล ผู้กระทำกรรมไม่ดี ย่อมไม่มีทายาทสืบตระกูล ดังนั้นเมื่อทราบเหตุและผลของกรรมนี้แล้ว พึงเลือกทำอาชีพตามที่ชอบเถิด
  

1623.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร.สนองที่เคารพ

หนูมีเรื่องอยากรบกวนเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ
ที่บ้านหนูมีโต๊ะหมู่บูชาซึ่งหนูจัดวางไว้ในห้องต่างหาก ซึ่งหนูทำเป็นห้องพระ แต่เผอิญว่าห้องที่หนูทำเป็นห้องพระ เป็นห้องที่ติดอยู่กับห้องน้ำ (ที่บ้านเป็นทาวเฮ้าค่ะ)ซึ่งเป็นกำแพงเดียวกัน โต๊ะหมู่บูชาหนูวางติดกับผนังกำแพงด้านเดียวกับที่เป็นผนังห้องน้ำ น้องหนูเค้าไปดูตำราการจัดวางโต๊ะหมู่จากอินเตอร์เน็ต เค้าก็บอกหนูว่า หนูวางผิด โต๊ะหมู่ห้ามอยู่ผนังเดียวกับห้องน้ำ แต่หนูเถียงเค้าว่าไม่จำเป็น มันอยู่กับการที่เราปฏิบัติมากกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องพิธีกรรม ไม่ได้สอนเรื่องฤกษ์ยาม ไม่ได้สอนเรื่องฮวงจุ้ย แต่น้องหนูเค้าก็ยังคาใจ เพราะเขาเชื่อตามตำราที่อ่านมา หนูเลยอยากรบกวนอาจารย์ช่วยตอบให้ด้วยนะค่ะ หนูจะได้ให้น้องหนูอ่าน เพราะน้องหนูเค้านับถืออาจารย์มากจากการได้อ่านหนังสือของอาจารย์ และการได้ฟังอาจารย์บรรยายธรรมที่กัลยาณธรรมค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    เทวดาเป็นสัตว์ (รูปนาม) ที่อยู่ต่างภพกับมนุษย์ ยังมีเทวดาที่นับถือพุทธศาสนาและมีสภาวะของจิตเป็นปุถุชน เขาย่อมมากราบไหว้บูชาพระในห้องพระเหมือนมนุษย์ แต่มากระทำสักการะต่างเวลากัน ดังนั้นหากมีความจำเป็นต้องใช้ห้องดังกล่าวเป็นห้องพระ ทำไมไม่ทำผนังห้องพระให้แยกออกจากผนังห้องน้ำล่ะครับ จะได้มีความรู้สึกว่า เป็นคนละส่วนกัน
  

1622.
สวัสดีครับ อาจารย์สนอง

   หลายปีที่ผ่านมาผมได้อ่านหนังสือ ทางสายเอก ของอาจารย์ ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นจุดเริ่มต้น ในการสร้างความศรัทธา และความเข้าใจในพระพุทธศาสนาให้กับผมเป็นอย่างมาก ผมมีความประสงค์จะบวชเป็นพระสงฆ์ รวมถึงอยากปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามพระวินัยอย่างเคร่งครัดและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในระหว่างนั้นด้วย

     ผมมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการบวชเป็นพระสงฆ์ เงินทำบุญและเกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานดังนี้ครับ

    1. การบวชเข้าเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายและมหานิกาย เหมาะสมกับผู้ที่มีแนวทางที่คิดจะบวชแตกต่างกันอย่างไร หากมีความเห็นความศรัทธาที่จะปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในพระวินัยและข้อวัตร ควรจะเลือกบวชเข้าฝ่ายธรรมยุติกนิกายหรือไม่ และทั้ง 2 ฝ่ายมีความแตกต่างกันในข้อวัตรที่จะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้างครับ

    2. คำถามข้อนี้ขอถามเกี่ยวกับการทำบุญด้วยเงิน อยากขอความเมตตาอาจารย์อธิบายถึงสิ่งที่ถูกต้องของทั้งฝ่าย "ธรรมยุติกนิกายและมหานิกาย" ด้วยครับ ว่าแตกต่างกันหรือไม่ ผมคิดว่าข้อนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สงสัยและจะได้ทำบุญได้อย่างถูกต้องด้วยครับ

     2.1 การนำเงินใส่ลง "บาตร หรือ ย่าม ของพระที่บวชใหม่" จากผู้ที่มาร่วมงานบวชเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ครับ หากผู้มาร่วมงานต้องการทำบุญควรทำอย่างไร เช่น นำไปให้เจ้าภาพ หากเจ้าภาพรับอุปัฏฐากขณะพระสงฆ์ยังไม่ลาสมณเพศ เป็นต้น เรื่องนี้แตกต่างกันทั้งฝ่ายธรรมยุติกนิกายและมหานิกายหรือไม่ครับ

     2.2 เงินที่ถวายพระไปแล้ว หากพระนำไปให้โยมบิดามารดาด้วยมีเจตนาว่าสมควรให้ด้วยเป็นผู้มีพระคุณ ไม่ได้คิดว่าให้นำเงินนั้นเก็บไว้เพื่อให้ตัวเองใช้หลังจากลาสมณเพศไปแล้ว การทำอย่างนี้ถือเป็นบาปและผิดพระวินัยหรือไม่ครับ (ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำในข้อนี้ แต่อยากถามเพื่ออยากทราบความถูกต้องสำหรับตนเองและผู้อื่นที่คิดจะบวชด้วยครับ)

     2.3 เงินที่ผู้มีศรัทธานำมาถวายพระรูปใดรูปหนึ่งโดยเฉพาะ หากไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าจะนำไปให้พระทำอะไร เช่น เพื่อนำเงินให้โยมผู้รับอุปัฏฐากไปซื้อปัจจัยอันสมควรในยามจำเป็น หากครบกำหนดที่ต้องการบวชแต่เงินที่ผู้ศรัทธานำมาถวายนั้นยังไม่ได้ถูกใช้ไปจนหมด พระผู้รับถวายเงินมานั้น หากประสงค์จะนำเงินที่เหลือนั้นถวายให้แก่วัดเพื่อเป็นประโยชน์ในเรื่องต่างๆ ต่อไป สามารถทำได้หรือไม่ครับ เคยฟังธรรมบรรยายตอนหนึ่ง เรื่องที่อาจารย์ได้พูดว่า "หากนำเงินไปใช้ไม่ตรงตามจุดประสงค์ของผู้ทำบุญจะเป็นการเปลี่ยนฐานเจดีย์" ด้วยเหตุนี้จะเหมาะสมกว่าใช่ไหมครับที่จะใช้ "ปาวารณาบัตร" เพื่อเป็นการใช้เงินได้อย่างถูกต้องและเต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นครั้งคราวไป หรือให้มีการบอกกล่าวกันก่อนที่จะทำบุญในทำนองว่า "หากเงินที่ทำบุญเพื่อพระสงฆ์รูปนี้ ยังคงเหลือหลังจากพระสงฆ์ผู้นั้นได้ลาสมณเพศไปแล้ว เงินที่เหลือนั้นขอยกให้แก่วัดต่อไป หากยินดีในข้อกำหนดนี้ ขอเชิญร่วมทำบุญในครั้งนี้ได้"

   3. อยากให้อาจารย์แนะนำวัดที่มีการสอนวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกต้องตามหลักสติปัฏฐาน 4 ในกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใกล้เคียง (เช่น นนทบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ฯลฯ) หรือวัดอื่นๆในประเทศไทย ที่อาจารย์เห็นสมควรด้วยครับ

ขอขอบพระคุณที่อาจารย์เมตตาตอบคำถามที่ค่อนข้างยาวที่ผมได้ถามไปด้วยครับ

คำตอบ
    (๑) จุดประสงค์หลักของการบวชเป็นภิกษุแบบธรรมยุติ ก็ด้วยมีเจตนาควบคุมความประพฤติให้เคร่งครัดตามวินัย มากกว่าการบวชเป็นภิกษุแบบมหานิกาย แต่ต้องไม่ลืมว่า ทั้งสองนิกายสามารถเปลี่ยนสภาวธรรมในดวงจิต จากความเป็นปุถุชนไปเป็นอริยบุคคลได้เหมือนกัน ฉะนั้นพึงเลือกเอาตามที่ถูกกับจริตของตนเอง ส่วนรายละเอียดในการประพฤติวินัยที่แตกต่างกันนั้น โปรดถามผู้มีประสบการณ์ตรงในทางนี้ด้วยตัวเอง

   (๒) แตกต่างกันในรูปของการปฏิบัติ ถ้าบวชเป็นภิกษุฝ่ายธรรมยุติ มีวินัยหลักห้ามใช้มือสัมผัสเงินโดยตรง ต้องเขียนใบปวารณาบอกจำนวนเงินที่ถวาย แล้วถวายใบปวารณาให้ท่านรับประเคน ส่วนภิกษุฝ่ายมหานิกาย สามารถใช้มือจับเงินได้โดยไม่ต้องเขียนใบปวารณา แต่ทั้งสองนิกาย หากภิกษุมีจิตเป็นทาสของทรัพย์ (เงิน) จะรับเงินโดยวิธีใด ก็เปรียบเท่ากับว่า ถูกงูพิษกัดเหมือนกัน

     (๒.๑) นำเงินใส่ลงในย่าม เป็นสิ่งที่ควรกระทำกว่าการนำเงินใส่ลงในบาตร เพราะบาตรเป็นภาชนะสำหรับรับอาหาร บางคนมักง่าย จึงเอาเงินใส่ลงในบาตร

   การให้ทรัพย์เป็นทานแก่ผู้ใด ผู้ให้ย่อมได้บุญ ฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ให้ว่า จะทำบุญกับผู้ใด หากประสงค์จะทำบุญกับภิกษุบวชใหม่ (ทั้งสองนิกาย) โดยให้ไว้กับโยมอุปัฏฐาก ผู้ให้ต้องระบุเจตนาให้ชัดว่า เงินที่ให้นี้ ใช้สำหรับอุปัฏฐากภิกษุบวชใหม่ หากผู้รับนำเงินไปใช้ไม่ตรงกับเจตนาของผู้บริจาค หลวงพ่อฤษีลิงดำเรียกว่า ย้ายฐานเจดีย์ มีอานิสงส์สร้างความเป็นเปรตให้กับผู้ที่นำเงินไปใช้ที่ผิดเจตนา

     (๒.๒) หากผู้ถวายเงิน มีเจตนาถวายให้กับภิกษุไว้ใช้เป็นการส่วนตัว ภิกษุผู้รับเงินสามารถนำไปให้โยมมารดา - บิดาได้ โดยไม่เป็นบาป

     (๒.๓) ตามที่เขียนถามไปสามารถทำได้ และไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนฐานเจดีย์ เพราะปุคคลิกทานนั้น ผู้รับถวายเป็นเจ้าของทรัพย์โดยตรง จะนำไปใช้ในทางที่ถูกต้องชอบธรรม ไม่ถือว่าผิดวินัย แต่ถ้าสงฆ์ประพฤติตนเป็นผู้ขอ หรือพูดเป็นอย่างอื่นที่ส่อให้เข้าใจว่า ขอบริจาคสงฆ์ที่ปฏิบัติถูกตรงตามธรรมวินัยจะไม่ประพฤติ ดูพระสารีบุตรเป็นตัวอย่าง แม้จะมีโยมปวารณาให้ขอได้ แต่ไม่ขอจากใครผู้ใดทั้งสิ้น

   (๓) การสอนวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกตรง เมื่อนำไปปฏิบัติแล้ว ต้องมุ่งสู่มรรคผล ดังนี้

     ๑. ปฏิบัติสมถกรรมฐาน มรรคผลที่ถูกตรงคือ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

     ๒. ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มรรคผลที่ถูกตรงคือ จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาญาณ)

     ๓. พฤติกรรม (คิด พูด ทำ) ของทั้งผู้สอนกรรมฐาน และผู้นำวิธีการไปปฏิบัติถูกตรงตามธรรมวินัยที่ระบุไว้ในพุทธศาสนา (ปฐมสังคายนา)

   วัดที่มีการสอนกรรมฐานได้ถูกตรงตามธรรมวินัย มีอยู่หลายวัด อาทิ วัดอ้อน้อย (นครปฐม), วัดมเหยงคณ์ (อยุธยา), คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ (กรุงเทพ), วัดป่าสุนันทวนาราม (กาญจนบุรี), วัดป่าหมู่ใหม่ (แม่แตง เชียงใหม่), วัดอุตรดิตถ์ธรรมมาราม (อุตรดิตถ์), วัดป่าสุคโต (ชัยภูมิ) ฯลฯ
   

1621.
เรียน อ.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

หนูมีปัญหาอยากขอความกรุณาให้ อ.สนอง ช่วยชี้แนะดังนี้ค่ะ

   1) หนูนั่งสมาธิเองที่บ้านค่ะโดยปฏิบัติตามคำสอนจากหนังสือของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวันค่ะ คือ ตามดูลมหายใจเข้าออก แต่ไม่ได้นั่งสมาธิทุกวันนะคะ หนูรักษาศีลทุกวัน สวดมนต์และทำบุญเป็นประจำ หนูพยายามปฏิบัติเองอยู่หลายปี วันหนึ่ง ขณะที่กำลังนั่งสมาธิ จิตของหนูรวมไปอยู่ที่หน้าผาก เป็นวงกลม และต่อมาก็เคลื่อนลงมารวมที่ท้อง พอมารวมที่ท้อง หนูก็เห็นอวัยวะภายในของตัวเอง คือ หลอดลมและปอดเป็นภาพสี ชัดเจนยิ่งกว่าฟิมล์เอ็กซเรย์ หนูเห็นปอดและหลอดลมของตัวเองขยับตามลมหายใจเข้าออกอยู่นาน หนูกำหนดว่าเห็นหนอ และพิจารณาสังขาร ธาตุ 4 สักพักหนูก็ออกจากสมาธิในขณะที่ยังเห็นภาพอยู่ ต่อมาหนูไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับกสิน ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และรู้สึกว่าเข้าใจ ก็เลยลองฝึกกสินสีเองดู และจิตรวมที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่เห็นอะไรค่ะ เพราะต้องออกจากสมาธิเลยเนื่องจากถึงเวลาโบสถ์จะปิด หนูรบกวนให้ อ.สนอง ช่วยชี้แนะด้วยนะคะว่า หนูปฏิบัติมาถูกทางแล้วหรือไม่ และควรจะทำอย่างไรต่อไป

   2) เมื่อหลายวันก่อน หนูนั่งสมาธิไปได้สักพักก็มีอาการปวดขา พอกำหนดว่าปวดหนออยู่ 3 ครั้ง อาการปวดขาก็หายไป หนูไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน เมื่อก่อนพอปวดขาก็กำหนดว่าปวดหนออยู่นานมากกว่าจะหายไป อยากให้ อ.สนองช่วยแนะนำด้วยค่ะ เพราะไม่เคยสอบอารมณ์กับพระอาจารย์ท่านใดเลยค่ะ

   3) ระยะหลัง หนูเห็นภาพในหัวบ่อยๆ (คือไม่ได้เห็นด้วยตาค่ะ) ในขณะที่คุยเรื่องต่างๆกับคนอื่น (แต่ไม่ทุกคน) และพยายามพิสูจน์ว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และพบว่าเป็นเรื่องจริง เมื่อสองปีก่อนหนูไปตรวจร่างกายประจำปี คุณหมอพบว่าเป็นเนื้องอกและตัดออกให้เลย พอกลับมาบ้านหนูรู้สึกแย่มาก กังวลไปหมด หนูเห็นภาพในหัวฉายให้ดูว่า ที่หนูเป็นเนื้องอกเพราะไปฉีดปลวกเมื่อวานนี้ เป็นภาพเปรียบเทียบให้เห็นเลย หนูกลัวมาก และรู้สึกผิด ไปทำบุญให้ปลวกด้วยค่ะ แต่ดูเหมือนว่า จะไม่ได้อโหสิกรรมให้ เพราะตอนนี้หนูกลับมาเป็นอีกแล้ว ตรงที่เดิมด้วยค่ะ พอรู้จากคุณหมอก็มึนมาก พอตั้งสติได้ก็เข้าใจหลักธรรมเกี่ยวกับสังขารที่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ของเรา และความทุกข์ประจำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ทำให้หนูหายทุกข์ใจและรู้สึกโชคดีทีทำให้เข้าใจพระธรรมมากขึ้น หนูเคยเขียนมาถาม อ.สนองหลายครั้งแล้วค่ะ อ. บอกว่า หนูเป็นพวกจิตเริ่มบริสุทธิ เลยได้รับผลบุญและบาปทันที หนูอยากถาม อ.ว่าหนูควรทำอย่างไร จึงจะสามารถขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรนี้ได้ หนูไม่อยากจะทำร้ายพวกปลวกเลย ทุกครั้งที่เรียกบริษัทกำจัดปลวกมาหนูก็ป่วยตลอด อ.มีวิธีไล่ปลวกให้ออกไปจากบ้านถาวรได้ไหมคะ คือพอเพื่อนบ้านหนูฉีดยาฆ่าปลวกบ่อยมาก พวกปลวกก็เลยอพยพมาที่บ้าน หนูไม่อยากสร้างกรรมใหม่ค่ะ

   4) เวลาสวดมนต์เสร็จ หนูก็จะแผ่บุญกุศล แผ่เมตตาเป็นประจำ ตามบทในหนังสือที่ชอบ บางครั้งก็รู้สึกว่าท่านเหล่านั้นมารับบุญ หนูขอถามว่า การแผ่บุญกุศล แผ่เมตตาหลังจากสวดมนต์เป็นสิ่งที่ถูกต้องไหมคะ คือ หนูสัมผัสได้ถึงวิญญาณที่มาขอส่วนบุญบ่อยๆ บางครั้งก็เห็นเลย หนูมักจะขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย อุทิศบุญกุศลที่เคยทำมาให้กับคนที่มาขอเลยถ้าเจอข้างนอก เพราะรู้สึกอึดอัด แบบหายใจไม่ออก ไม่สามารถรอจนกลับบ้านมาสวดมนต์ นั่งสมาธิหรือไปทำบุญให้ในขณะนั้นได้ มีคนมาบอกว่าสิ่งที่ทำนี้ไม่ควรจะทำก็เลย เริ่มไม่แน่ใจ รบกวน อ.สนองช่วยแนะนำสิ่งที่ถูกต้องด้วยค่ะ ว่าควรจะทำอย่างไร

หนูกราบขอบพระคุณ อ. สนองมากค่ะที่เมตตาตอบคำถามในครั้งนี้
ขอให้ อ.มีความเจริญก้าวหน้าทางธรรมยิ่งขึ้นไป
   ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
    (๑) การใช้วรรณกสิณ มาเป็นองค์บริกรรมนั้น เหมาะกับผู้มีโทสจริตเด่นกว่าจริตอย่างอื่น บริกรรมแล้วไม่เห็นอะไร แต่มีจิตรวมเป็นสมาธินั้นถูกต้องแล้ว ควรใช้วรรณกสิณเป็นองค์บริกรรมต่อไป

   (๒) นั่งสมาธิแล้วปวดขา จึงกำหนดว่า “ปวดหนอๆๆ” แล้วทุกขเวทนาดับไป ถือว่าเป็นการบริกรรมที่ถูกทาง ฉะนั้นทุกครั้งทีมีอาการปวดเกิดขึ้นให้ปฏิบัติเช่นนี้ จนกระทั่งมีสติกล้าแข็งได้แล้ว อาการปวดจะไม่เกิดขึ้น จิตจะว่างเป็นอุเบกขา แล้วปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งกระทบเกิดขึ้น นั่นแหละดีที่สุด

   (๓) ผู้ถามปัญหาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริง เพราะต้องดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ อนึ่งการอุทิศบุญให้กับปลวก ต้องปฏิบัติบุญใหญ่ให้เกิดขึ้น หลังปฏิบัติแล้วทุกครั้งต้องอุทิศบุญให้กับปลวก จนกระทั่งเนื้องอกไม่ปรากฎขึ้นมาอีก และไม่นึกถึงปลวกอีกต่อไป นั่นจึงจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า หมดหนี้เวรกรรมกับปลวก คนโบราณนิยมเลี้ยงไก่ปล่อยไว้รอบบ้าน แล้วไม่มีปลวกขึ้นบ้าน

   (๔) ผู้ใดประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ( ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ขวนขวายรับใช้ เฉลี่ยความดีให้คนอื่น ยินดีในความดีของคนอื่น ฟังธรรม สั่งสอนธรรม และทำความเห็นให้ตรง ) ให้เกิดขึ้นแล้ว ผลที่เกิดตามมาคือ ผู้ประพฤติมีบุญสั่งสมอยู่ในจิต ผู้มีบุญสามารถอุทิศบุญให้กับผู้อื่น หรือให้กับเจ้ากรรมนายเวรได้ทุกเวลาที่ปรารถนาจะให้
  

1620.
เรียน ดร.สนอง วรอุไร ที่นับถือ
  
   ดิฉันได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์หลายเล่มค่ะ มีความรู้สึกมีกำลังใจ มีความรู้ จากที่ไม่เคยรู้ และ มีคำถามอยากขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่าง ดังนี้ ค่ะ

1. เมื่อประมาณ 20 กว่าปี มาแล้ว ดิฉันไปว่ายน้ำ แล้วจมน้ำ ขณะที่จมน้ำ อยู่ ๆ ก็มีน้องสาว (ลูกของน้าชาย) มาดึงขึ้น ช่วยไว้จึงรอดพ้นจากการจมน้ำตาย อยากถามว่าการจะตอบแทนบุญคุณควรเป็นอย่างไร เพื่อจะได้ไม่ต้องตามชดใช้กันหลายภพหลายชาติ

2. เดิมเคยปฏิบัติแบบพุธโธ มาประมาณ 10 กว่าปี แต่ไม่ก้าวหน้า เพราะศีลข้อ 3 ไม่บริสุทธิ์ แต่ปัจจุบันได้พยายามทำให้ศีลบริสุทธิ์แล้ว จึงรู้คุณของศีลที่บริสุทธิ์ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกจริง มาปัจจุบันได้มาปฏิบัติแบบพองหนอ ยุบหนอ ก็ไม่แน่ใจว่าจะเลือกแบบใด เหมือนไม่รู้ว่าจริตของตนเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะถ้าจะทดลองไปเรื่อย ๆ คงเสียเวลา หรือตายก่อนแน่ จึงขอความกรุณาจากท่านอาจารย์ ช่วยให้ความกระจ่างด้วยค่ะ จะเป็นพระคุณอย่างสูง

กราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ค่ะ
 ณัฐชนันท์พร

คำตอบ
    (๑) ทำทุกอย่างที่เป็นความดีให้กับน้องชาย โดยไม่ต้องคิดว่าเป็นการชดใช้หนี้บุญคุณ จึงจะถือได้ว่า เป็นการตอบแทนพระคุณของน้องสาวอย่างแท้จริง

   (๒) การนำเอาบทกรรมฐานใดมาบริกรรมแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็วและยาวนาน กรรมฐานบทนั้นแหละที่เหมาะกับจริตของผู้ถามปัญหา ทำไมไม่ลองเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในอรูป ๔ มาเป็นองค์บริกรรมดูบ้างล่ะ เพราะอรูป ๔ ใช้ได้กับทุกจริต
  

1619.
กราบเรียน ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

ผมมีคำถามสงสัยเกี่ยวกับการแผ่เมตตาครับ
1. หลังจากสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ ผมจะแผ่กุศลนี้ให้พ่อแม่เป็นประจำ
แต่ท่านไม่รู้ว่าผมทำให้อยู่เกือบทุกวัน ผมเคยทราบมาบ้างว่าเราควรจะ
บอก พ่อแม่จึงจะได้รับกุศลนั้น แต่ผมเกรงว่าถ้าบอก พ่อแม่จะเกิดทุกข์เล็ก ๆ ในใจ
ผมคาดว่าท่านไม่อยากให้ผมหลงทำบุญเหมือนย่ากับยายที่มีเงินเท่าไรก็มัก
จะถวายวัดเสียหมด ผมควรทำอย่างไรดีครับเพื่อให้ท่านได้รับบุญที่ผมทำ
ให้เต็ม ๆ

2. แล้วกรณีรูปนามใด ๆ ที่ผมไปบอกเค้าไม่ได้ว่าผมแผ่เมตตา ให้เป็นประจำ
เพราะเค้าไม่มีชีวิดอยู่แล้ว ทำอย่างไรครับให้เค้าได้กุศลนี้

ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ

คำตอบ
    (๑) ควรบอกท่านว่า “ผมนั่งสมาธิแล้ว อุทิศบุญให้พ่อแม่เป็นประจำครับ” เมื่อใดพ่อแม่อนุโมทนาสิ่งที่ท่านรับทราบ พ่อแม่จึงจะได้บุญที่ลูกส่งให้ ตรงกันข้าม หากพ่อแม่ทราบแล้วแต่มิได้อนุโมทนา ท่านก็ไม่ได้รับบุญจากลูก จงคิดเสียว่า คนที่มีความเห็นผิด ( มิจฉาทิฏฐิ ) ย่อมเป็นเช่นนี้ แล้วต้องปล่อยวาง เพราะชีวิตเป็นเอกสิทธิ์ของผู้เป็นเจ้าของชีวิต ต้องบริหารจัดการด้วยตัวเอง

   (๒) ผู้ถามปัญหาต้องทำจิตให้นิ่ง แล้วจึงกล่าววาจาอุทิศบุญให้กับผู้ล่วงลับว่า “บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำให้เกิดขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าอุทิศบุญให้กับท่าน จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด”
  

1618.
กราบเรียน ดร.สนอง ที่เคารพ

ขอกำลังใจค่ะ
หนูกำลังเผชิญกับคนในครอบครัวที่มี มิจฉาทิฐฐิ แรง
หนูรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงมากๆค่ะ ตอนนี้หนูเกิดบาปขึ้นแล้ว
ความคิดที่เป็นอกุศลต่างๆเลยตามมาเป็นพรวน รู้สึกไม่เบิกบาน
แจ่มใส สลดหดหู่มากๆค่ะ หนูก็พยายามก้มหน้าก้มตาดูจิต(ตก)อยู่ค่ะ
เหนื่อยค่ะ เหนื่อยมากๆ อาจารย์แผ่เมตตาให้หนูด้วยนะคะ
และขอคำอวยพรให้หนูได้ไปอยู่ในที่ๆหนูควรอยู่ด้วยนะคะ

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    พระพุทธโคดมมิได้สอนให้พุทธบริษัทประพฤติตนหนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหาและแก้ปัญหาที่ตัวเอง และยิ่งกว่านั้นพุทธบริษัท เอาธรรมวินัยมาคุมใจตัวเองได้เมื่อใด เมื่อนั้นพรย่อมเกิดขึ้น และไม่ต้องประพฤติตนเป็นผู้ขออีกต่อไป

    การแก้ปัญหาในเรื่องที่บอกเล่าไป ผู้ถามปัญหาต้องพัฒนาจิตตัวเอง ให้มีสติรับทันสิ่งที่เข้ากระทบจิต และมีปัญญาเห็นถูกตามธรรม คือเห็นว่า สิ่งที่เข้ากระทบจิต ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ได้เมื่อใด จะเห็นว่าคนในครอบครัวผู้มีความเห็นผิด ( มิจฉาทิฏฐิ ) นั้นเป็นเรื่องของเขา “ความรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงมาก” เป็นเพราะเหตุ เราโง่เอง ( ขออภัยพูดตรง ) ที่ไปรับเอาสิ่งไม่ดีของเขามาเป็นของเรา ทั้งๆที่เขาเป็นครูผู้มีอุปการคุณ สอนเรามิให้ประพฤติอย่างเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นเช่นเขา ด้วยเหตุนี้พระพุทธโคดจึงสอนให้อยู่กับปัญหา แล้วแก้ปัญหาด้วยการพัฒนาจิตตนเองให้มีความเห็นถูก แล้วปัญหาจึงจะหมดไปได้

    อนึ่ง ผู้ใดพัฒนาจิตตนเองจนมีธรรมวินัยสถิตอยู่กับใจตัวเองไว้แล้ว ผู้นั้นจะไม่ประพฤติตนเป็นผู้ขอ ตรงกันข้าม ประพฤติเหตุให้ถูกตรง แล้วพรก็จะเกิดขึ้นกับตัวเอง การแก้ปัญหาเบื้องต้น หมั่นให้อภัยเป็นทานในทุกเหตุที่ทำให้ขัดใจ แล้วความเมตตาจะเกิดขึ้นและสั่งสมอยู่ในดวงจิต เป็นเมตตาบารมี อารมณ์จะสงบและเย็น จะให้ดีที่สุดต้องพัฒนาจิตตนเอง ให้เกิดสติและปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้คุณธรรมทั้งสองที่พัฒนาได้ ส่องนำทางให้กับชีวิต จิตจึงจะมีโอกาสเป็นอิสระจากสิ่งเศร้าหมองทั้งปวงได้
   

1617.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

หนูได้มีโอกาสไปเข้ารับฟังการบรรยายของอาจารย์ที่ตึกสงฆ์ ร.พ.สวนดอกเป็นประจำ
และติดตามอ่านหนังสือของอาจารย์ทุกเล่ม จึงมีความศรัทธาและเชื่อมั่นในองค์ความรู้ของอาจารย์
อย่างสนิทใจ จึงขออนุญาตเรียนถามอาจารย์เลยนะคะ

เคยมีผู้ปฏิบัติธรรมที่สำเร็จฌาณบอกกับหนูว่า การให้ผู้มีฌาณใช้กำลังสมาธิตรวจสอบอดีตชาติ
หรืออนาคตหรือสาเหตุของวิบากกรรมในปัจจุบัน (ที่คนในสังคมเรียกว่า "เปิดกรรม") นั้นหากกระทำ มากครั้งจะเป็นเหตุให้เรา ต้องเสวยวิบากกรรมที่เป็นอกุศลเร็วขึ้น และปริมาณมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น มิหนำซ้ำวิบากกรรมที่เป็นกุศล จะปรากฏล่าช้าหรือไม่ปรากฏเลย แต่บางท่านก็แย้งว่าข้อมูลนี้ไม่เป็น ความจริง

ขอความกรุณาอาจารย์ไขข้อข้องใจให้หนูทีค่ะ เนื่องจากหนูมีความเข้าใจว่าวิบากกรรมของมนุษย์
จะส่งผลตามวาระของมัน แต่หนูสังเกตว่าตั้งแต่ได้รับความเมตตา จากพระสงฆ์และผู้สำเร็จฌาณเปิดกรรมให้ นับสิบท่าน (เฉพาะในปี 2552) ก็ประสบแต่สิ่งที่สร้างความทุกข์ยากลำบากทั้งกายใจอยู่เนืองๆ ทั้งๆที่ หนูสวดมนต์นั่งสมาธิเช้าเย็นมิได้ขาด ไม่เกียจคร้านในการปฏิบัติ อีกทั้งนอกจากทำบุญทุกวันพระ แล้วหนูก็ยังชักชวนคุณพ่อคุณแม่ทำบุญช่วยเหลือสังคมอีก เป็นต้นว่า บริจาคเงินซื้อโลงศพแก่ศพไร้ญาติ ไถ่ชีวิตโคกระบือ บริจาคเครื่องอุปโภคบริโภคแก่คนชราและเด็กกำพร้า ปล่อยปลาหน้าเขียง ฯลฯ

ส่วนการดำเนินชีวิตประจำวันหนู ก็ปฏิบัติตามที่อาจารย์แนะนำ คือนำสิ่งที่จะสร้างกิเลสเครื่องเศร้าหมอง เข้ามาสั่งสมในจิตให้น้อยที่สุด ซึ่งเป็นความโชคดีของหนู ที่ไม่ชอบโทรศัพท์คุยเรื่อยเปื่อยกับเพื่อน ไม่ชอบ เดินห้างฯ ไม่อ่านนิตยสารผู้หญิง เพราะชอบแต่อ่านหนังสือ และฟังซีดีธรรมะมาหลายปีแล้ว ทั้งในระหว่างวัน และก่อนนอนทุกคืน ดูรายการทางโทรทัศน์วันหนึ่งอย่างมากสุด 2 ชม. หนูจึงสับสนและข้องใจมากว่า หนูปฏิบัติตนไม่ถูกไม่สมควรอย่างไร

หนูต้องปรับปรุงการปฏิบัติอะไรเพิ่มเติมอีกบ้างคะ โปรดเมตตาให้คำแนะนำและไขข้อสงสัยที่หนูเรียนถามไปเบื้องต้นทีนะคะ

ท้ายนี้ ขอกราบอารธนาคุณพระศรีรัตนตรัย คุ้มครองให้อาจารย์และครอบครัว ประสบแต่ความสุขความเจริญ สุขภาพแข็งแรง เพื่อที่จะสามารถมีกำลังทำตามปณิธาณของอาจารย์ ในการเผยแผ่คำทรงสอนของพระพุทธองค์ เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่อไปนานๆนะคะ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าเป็นอย่างสูงค่ะ

ขอแสดงความนับถือ
ปิยพัชร์

คำตอบ
     การ “เปิดกรรม” ตามที่ผู้มีความหลงนิยมเรียกกันนั้น พระพุทธโคดมมิได้สอนให้พุทธศาสนิกประพฤติ โดยเฉพาะนักบวชในพุทธศาสนาประพฤติแล้ว ถือว่าละเมิดวินัย

    ผู้ตอบปัญหาไม่เคยแนะนำผู้ใด ให้สร้างกิเลสเครื่องเศร้าหมองเข้ามาสั่งสมในจิตให้น้อยที่สุด แต่แนะนำให้กำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจให้มากที่สุด

    สิ่งที่ผู้ถามปัญหาควรปฏิบัติเพิ่มเติมคือ พัฒนาจิตให้มีกำลังของสติกล้าแข็ง และพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง เมื่อใดที่คุณธรรมทั้งสองเกิดขึ้น และสถิตอยู่กับใจได้ทุกขณะตื่นแล้ว จิตย่อมเป็นอิสระจากโลกธรรม วัตถุ กิเลส ( โลภ โกรธ หลง ) ตัณหา อุปาทาน เป็นเบื้องต้น และที่สุดสามารถกำจัดกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ( สังโยชน์ ) ได้
   

1616.
อาจารย์สนองที่เคารพ

นั่งสามาธิแล้วรู้สึกดิ่งๆๆครับทุกครั่งพอถึงตรงนี้ที่ไรผมกลัวทุกที
แนวทางการแก้ไขอย่างไรครับ

คำตอบ
   ความกลัวเกิดขึ้นเพระเหตุไม่รู้จริงในสิ่งที่กลัว ดังนั้นทุกครั้งที่นั่งทำสมาธิ แล้วมีอาการดิ่งๆๆเกิดขึ้นกับจิต ต้องเอาจิตที่ใช้บริกรรมมากำหนดว่า “ดิ่งหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการดังกล่าวจะยุติลง แล้วดึงเอาจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมที่ทำอยู่
   

1615.
กราบเรียน : อาจารย์สนองที่เคารพและนับถือ

หนูอยากเรียนถามว่า
   เมื่อก่อนหนูไปสวดมนต์-ไหว้พระ นั่งสมาธิ นำพาตนเองไปเรียนรู้เพื่อนำมาปฏิบัติที่บ้าน ได้ติดตามผลงานของอาจารย์และได้นำพาตนเองเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน สายท่านเจ้าคุณโชดก

   ขณะนี้ หนูไม่ค่อยได้สวดมนต์-ไหว้พระเลยค่ะ เพียงแต่ระลึกถึงคุณ ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในจิตตนเอง (ต้องสวดมนต์ไหว้พระเพิ่มไหมค่ะ ได้แต่นั่งสมาธิเช้า-เย็น ครั้งละครึ่งชั่วโมง ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะบางวันฟุ้ง บางวันไม่ฟุ้ง) ณ ตอนนี้ก็ได้ภาวะจิตนิ่งระดับนึงค่ะและในระหว่างวันก็กำหนดอิริยาบถย่อย ไปเรื่อยๆ ทำไปทำไป กำหนดไป ให้มีสติประมาณนั้นน่ะค่ะ แล้วทำไมความคิด ถึงคอยพิจารณาข้อธรรมอยู่เรื่อยค่ะ แล้วจิตมันก็รู้ว่า เดี๋ยวมันก็เกิด-ดับ คือมันไม่มีอะไรเที่ยงน่ะค่ะ (คือมันคิดของมันเองน่ะค่ะ) ซึ่งไม่ได้มาจากการ “ ภาวนามยปัญญา ” หนูต้องปฏิบัติอย่างไรต่อค่ะ

ด้วยความเคารพ
    ลูกศิษย์คนหนึ่ง

คำตอบ
    การสวดมนต์ไหว้พระ เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้มีจิตระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ผู้ใดระลึกได้ในคุณความดีของพระฯ อยู่เสมอ ผลที่เกิดขึ้นกับจิตย่อมไม่ต่างไปจากการสวดมนต์ไหว้พระ

   วันใดจิตมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน วันนั้นเป็นวันที่จิตมีสติอ่อน หรือมีจิตขาดสติ ผู้ที่เจริญได้ในวันข้างหน้า ย่อมพัฒนาจิตให้มีสติกล้าแข็ง แล้วเอาสติมารักษาจิต ไม่ให้กิเลสเข้ารบกวนใจให้เกิดเป็นอารมณ์ฟุ้งซ่าน และยิ่งมีสติระลึกได้ทันทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต แล้วเห็นสิ่งกระทบดับไป ( อนัตตา ) ได้ จิตย่อมปล่อยวางสิ่งกระทบที่มิใช่ตัวตน แล้วจิตว่างเป็นอุเบกขา จิตเป็นอิสระและมีความสุขเกิดขึ้น นี่คือสภาวธรรมที่เกิดขึ้นกับจิตของผู้มีความเห็นถูก ดังนั้น หากผู้ถามปัญหาหวังความสวัสดีของชีวิต ต้องปฏิบัติให้ได้ผลตามคำแนะนำนี้
   

1614.
เรียน อาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพยิ่งค่ะ

   ดิฉันมีเรื่องรบกวนขอคำปรึกษา รบกวนช่วยด้วยนะคะ คนรักของดิฉันเพิ่งฆ่าตัวตาย
อันเป็นความเครียด จากเรื่องงานและหนี้สินที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นเร็วๆนี้ เขาคุยกับดิฉันเรื่องนี้มาสักระยะก่อนเกิดเรื่องค่ะ
และตัวเขาเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาระยะหนึ่ง หมอให้หยุดงานทันที แต่ญาติเขาไม่เข้าใจเรื่องโรคนี้ และเขาหาคนทำงานแทนไม่ได้ และเขากินยาคลายเครียดมาตลอด 2 ปี แต่ดิฉันเพิ่งรู้เพราะ เราไม่ได้อยู่ด้วยกันค่ะ

   ดิฉันพาเขาหาหลวงพ่อเป็นระยะๆ ทำบุญร่วมกันบ้างไม่บ่อยเพราะดิฉันทำงาน 2 ที่ 7 วันและพี่น้องเขาไม่โอเคกับดิฉัน มาจากฐานะและความโลภในอดีตของดิฉัน กาลเวลาผ่านทำให้ดิฉันวางโลภได้บ้าง รู้ว่าคนที่อภัยเสมอห่วงใยตลอดมาคือเขา

   ดิฉันรักเขามาก บอกเขาไว้ก่อนเสีย 6วันยังคุยกันดี ยังคุยกับพระก่อนเสียราว 10 วันเขายังหัวเราะอยู่เลย บอกเขาว่าถ้าเขาเสร็จงานจากต่างจังหวัดแล้ว ก็จะโทรไป วันนี้ อยากขอวิธีตัดกรรมจากการฆ่าตัวตายให้เขาค่ะ รู้สึกว่าเขาอยู่กับดิฉันตลอด ดิฉันเป็นศิษย์วัดอัมพวัน ทราบจากพ่อบุญธรรมว่า เขาเคยฆ่าตัวตายมาแล้วในชาติก่อน ทำให้เขาคิดแบบนี้อีก ดิฉันอยากช่วยเขาให้ได้ บางครั้ง รู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุเล็ก ที่ทำให้เขาเคยฆ่าตัวตายมาก่อน ดิฉันเคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าตอนล้มละลาย เขาก็หาทาง ช่วยสำเร็จ เขาไปคุยกับจิตแพทย์ให้ด้วย ปัจจุบันก็ดีขึ้นมาก ขณะนี้รับว่าไม่รู้สึกอยากมีชีวิตอีกเป็นบางครั้ง แต่ภาระและยัง ห่วงน้องที่เหลือตัวคนเดียวอย ู่ถ้าดิฉันตายไป ท้ายสุดก็คิดว่าคงจะบวชชีในที่สุดตามที่เคยตั้งใจและเคยบอกเฮียไว้

   ดิฉันอยากขอวิธีจากอาจารย์จริงๆ มันอาจต้องใช้เวลา แต่ดิฉันจะตั้งใจให้สำเร็จให้ได้เพราะเชื่อเสมอว่าเขาอยู่กับดิฉันเสมอ และดิฉันต้องส่งเสบียงให้เขา รวมทั้งบุพการีที่สิ้นไปแล้วของดิฉันต่อไป ขอความกรุณาด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

   อุ้ย

คำตอบ
   กัมมุนา วัตตตีโลโก สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม บุคคลมีกรรมเป็นของตน เมื่อกรรมไม่ดีให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ผู้ทำธรรมไม่ดี ย่อมได้รับผลไม่ดีนั้น ส่วนผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ พึงเอาคนตายเป็นครูสอนใจ ดูแลรักษาชีวิตของตนมิให้เป็นเช่นเขา ด้วยการเอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก ปัญหาที่เกิดแล้วในอดีตและจะเกิดตามมาอีกในอนาคตย่อมหมดไป ผู้ฉลาดไม่เอาจิตไปผูกติดเป็นทาสกับใครผู้ใด ไม่เอาวิกฤตของชีวิตผู้ใดมาทำจิตตัวเองให้ตกต่ำ แต่เอาวิกฤตของเขามาเป็นโอกาส พัฒนาจิตวิญญาณของตนให้เป็นอิสระจากปัญหา ที่คนอื่นได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง แล้วชีวิตย่อมเจริญงอกงามได้
  

1613.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง

   ดิฉันได้อ่านหนังสือที่ท่านเขียน 4 เล่ม หนังสือ 4 เล่ม ราคาไม่กี่บาทได้เปลี่ยนชีวิตของดิฉันมากมาย ขอขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ มีปัญหาอยากรบกวนถาม จริง ๆ แล้วเพื่อน ๆ ที่ใส่บารตตอนเช้าถามดิฉันและหลาย ๆ คนแต่ก็ไม่ได้คำตอบ คือ ถ้าเราเอากล้วย 1 หวี ไปถวายพระพุทธแล้ว เรานำกล้วยนั้นมาทำของหวานใส่บารตพระสงฆ์อีกได้หรือไม่ บาปหรือไม่ บาปเพราะอะไร

ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
   อมราวรรณ

คำตอบ
    ผู้ถามปัญหาอ่านหนังสือธรรมมะ แล้วทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะผู้อ่านหนังสือ มีความสามารถวิเคราะห์หลักธรรมจของพระพุทธโคดมได้ถูกตรง มิได้เนื่องมาจากผู้เขียนหนังสือ ซึ่งเป็นเพียงผู้ถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธะ ออกมาในคำพูดที่คนในยุคปัจจุบันสามารถเข้าใจได้เท่านั้น ผู้ตอบปัญหาอนุโมทนาผู้อ่านหนังสือ ที่ดอกบัวในใจของท่านเริ่มแย้มกลีบ

   ส่วนปัญหาที่ถามไปนั้นสามารถทำได้ แต่จะบาปหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในใจของผู้กระทำ เมื่อนำของหวานไปใส่ลงในบาตรของพระสงฆ์ แล้วเกิดความสบายใจ อิ่มใจ ถือว่าได้บุญ แต่หากมาคิดย้อนหลังแล้วทำให้ไม่สบายใจ ตะขิดตะขวงใจ ถือว่าเป็นบาป ฉะนั้นผู้ใดระลึกได้ในสัญญาเก่าเช่นนี้ จึงไม่ควรกระทำ
  

1612.
กราบเรียน ดร.สนอง ที่เคารพ

เกี่ยวกับเรื่องความเพียร 4 อย่าง ที่บอกว่า
1. เพียรทำให้อกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิด (อันนี้ทำง่ายค่ะ)
2. เพียรละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ให้หมดไป (พอทำได้ค่ะ)
3. เพียรทำให้กุศลที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น (พอทำได้ค่ะ)
4. เพียรทำให้กุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ยิ่งๆขึ้นไป (ยากสุดๆค่ะ)

ความเพียรข้อสุดท้ายทำไมมันหนักหนาสาหัสสำหรับหนูก็ไม่รู้ค่ะ
พยายามตีตก..ให้อยู่กฎไตรลักษณ์..แล้ว ได้บ้างไม่ได้บ้างค่ะ
ตอนที่ทำได้..(มีคำผุดขึ้นมา คือ ช่างแม่ง ตัวใครตัวมันโว้ย) ก็เหมือน ตัวเองใจร้ายใจดำกับคนในครอบครัว(พ่อแม่ ญาติพี่น้อง)
ตอนที่ทำไม่ได้ ก็เหมือน ตัวเองจะเดินอยู่ขอบ อบายภูมิ จะพลัดตกลงได้ตลอดเวลา
สรุป ระยะเวลาความไม่สบายใจมันนานขึ้นเรื่อยๆค่ะ แทนที่มันจะสั้นลง
(หนูอดทนน้อยไปรึเปล่าคะ กำลังศรัทธาของหนูอ่อนแรงใช่ไหม๊คะ
ทำไงดีคะ ไม่มีกัลณมิตรที่เห็นไปทางเดียวกันเลยค่ะ)

ขอคำแนะนำจากอาจารย์ค่ะและอุบายทางธรรมจากอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
    ความเพียรตามที่เขียนบอกเล่าไป เรียกว่า “ปธาน ๔” โดยเฉพาะข้อที่สี่มีปัญหาเกิดขึ้นกับผู้ถามปัญหา เหตุเป็นเพราะคุณธรรมในพละ ๕ ( สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ) ยังมีกำลังอ่อน ผู้ใดเจริญพละ ๕ อยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นย่อมมีกำลังใจกล้าแข็งที่สามารถต้านอำนาจของมาร แล้วความเพียรทุกข้อที่ระบุไว้ในปธาน ๔ ย่อมปฏิบัติได้ง่าย
  

1611.
กราบเรียน ดร.สนอง

วันนี้หนูได้เข้าฟังบรรยายธรรมที่ ตึกสงฆ์ รพ.สวนดอก เชียงใหม่ เรื่อง กำลังใจ
รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมามากเลยค่ะ อยากเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

ใจของหนูอยากทำงานสืบทอดพระพุทธศาสนา เหมือนกันกับที่อาจารย์ทำอยู่ค่ะ
โดยที่ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอดเลยค่ะ (พร้อมลงอบายตลอดเวลา)
อาชีพการงานทางโลก ก็ไม่อยากจะทำ (ยังเกาะครอบครัวกินอยู่ค่ะ)
อยากที่จะไปไกลๆจากคนในครอบครัวตลอดเวลาค่ะ (ไปอยู่ต่างประเทศ)

หนูจะเป็นแบบนี้อีกนานไหม๊คะ ควรทำอย่างไรคะ
(เหมือนตัวเองอยู่ผิดที่ ผิดทาง ยังไงก็ไม่รู้ค่ะ)
แล้วอาการของใจแบบนี้มันเป็นบุญหรือว่าบาปค่ะ?

คำตอบ
    ฟังธรรมแล้วจิตสามารถระลึกได้ในสิ่งดีงาม ถือว่าเป็นบุญ และหากประสงค์จะมีบุญมากขึ้น พึงอย่าปลงใจเชื่อตามหลักกาลามสูตร แต่หากนำตัวไปปฏิบัติธรรม จนเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติได้แล้ว นั่นแหละดีที่สุด

   ผู้ถามปัญหาอยากทำงานสืบทอดพระพุทธศาสนา ต้องเอาคำสอน ( ธรรมวินัย ) มาปรับชีวิตของตัวเองให้มีพฤติกรรมดีงามให้ได้ก่อน ผู้ที่เข้าใกล้จึงจะศรัทธา แล้วการสืบทอดพระพุทธศาสนา ย่อมเป็นผลสำเร็จ

   อนึ่ง หากผู้ถามปัญหามีสติ และมีปัญญาเห็นถูก ย่อมมีชีวิตอยู่กับครอบครัว อยู่กับสังคม แล้วทำงานให้ดีที่สุด จึงจะถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธโคดม ส่วนจะอยู่กับสังคมได้อีกนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับแรงผลักของคุณธรรมที่ตนเข้าถึงจะเป็นตัวบ่งชี้

   เมื่อใดบุคคลมีบาปเกิดขึ้นในใจ ความคิดที่เป็นอกุศลย่อมเกิดขึ้น การคิดที่จะหนี ออกจากสังคมหนึ่งไปอยู่ในอีกสังคมหนึ่ง เป็นความคิดที่เป็นอกุศล
   

1610.
กราบเรียน ดร.สนอง ที่เคารพ

     เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2554 หนูต้องสูญเสียลูกชายที่อุ้มท้องมาได้ห้าเดือนกับอีกสองสัปดาห์ จากการมีน้ำเดินเด็กออกมาก็ร้องเล็กน้อย 2 ชม.ก็ขาดใจตาย หนูสงสารลูกมากแต่ตอนนั้นไม่มีแรงจะคิดอะไรเจ็บปวด เสียใจ เจ็บท้อง กังวล ธรรมะที่เคยร่ำเรียนมาก็ดึงมาใช้ไม่ได้เลย เนื่องจากไม่มีสติโดนความปวดเข้าครอบงำ จนเวลาผ่านไปก็มานั่งเสียใจ ที่ไม่ได้คุยกับลูกก่อนเขาจะจากไปไม่ได้เช็ดตัวให้เขาเลย หนูก็เลยไปนั่งวิปัสสนาที่วัดอัมพวันให้ลูก ไม่ทราบว่าลูกจะได้รับบุญมั้ยคะ กรรมใดหนอที่ทำให้หนูสูญเสียลูก หนูไม่อยากทำมันอีก แต่ตอนนี้หนูก็อุเบกขาได้แล้ว ไม่มีทุกข์ใดคงอยู่ตลอด และสุขก็เช่นกัน ปลงเลยค่ะ หนูไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จะได้อ่านเมลล์ของหนูหรือเปล่า คงแล้วแต่บุญค่ะ

ขออภัยที่รบกวนอาจารย์ ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
   การเกิดการตายเป็นเรื่องกฎธรรมชาติ ทุกคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้หรือโลกไหนๆ เมื่อเกิดแล้ว ต้องแก่และตายในที่สุด เพียงแต่ว่าอายุขัยของชีวิต ยืนยาวต่างกันตามกฎแห่งกรรมที่แต่ละชีวิต ทำไว้เป็นเหตุ การประพฤติทุศีลข้อแรก ( ปาณาติบาต ) ทำให้อายุสั้น ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาไม่ประสงค์พบกับเหตุการณ์ดังกล่าว ต้องประพฤติศีล ๕ คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วความสมปรารถนาย่อมเป็นผลเกิดตามมา
  

1609.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าเกิดการกระทำในอดีตอย่างไร และจะมีการารักษาให้ายอย่างไรโดย ไม่ต้องใช้ยาบำบัด

ขอแสดงความนับถือ
ประสิทธิ์

คำตอบ
    โรคซึมเศร้า มีเหตุมาจากการไม่เข้าหาผู้รู้ (สมณะหรือพราหมณ์) และไม่สนทนากับผู้รู้ เมื่อโรคซึมเศร้าเกิดขึ้น ผู้ทำเหตุต้องเสวยอกุศลวิบากนั้นจนกว่าจะจบสิ้น โรคดังกล่าวจึงจะหมดไปได้โดยไม่ต้องใช้ยาบำบัด
   

1608.
กราบเรียน ท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพ

ขณะนี้ดิฉันมีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวและการประกอบกาชีพการงานค่ะ
ใคร่ขอคำชี้แนะสั่งสอนจากท่านอาจารย์ด้วยค่ะ

ปัจจุบันดิฉันไม่ได้ทำงานค่ะ เนื่องจากคุณพ่อ คุณแม่
ต้องการให้ดิฉันอยู่ช่วยทำงานที่บ้าน ดูแลบ้าน และช่วยเหลือดูแลท่าน
เพราะท่านทั้งสองอายุมากแล้วค่ะ

คุณพ่ออายุประมาณ 70 กว่าปี ( เป็นความดันโลหิตสูงนิดหน่อย ) ส่วนคุณแม่ประมาณ 60
กว่าปี ( เป็นความดันโลหิตสูง ไขมันสูง ) แต่ท่านทั้งสองยังทำงานอยู่ค่ะ

มีอาชีพค้าขายซึ่งทำมานานแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ดิฉันเคยทำงานมาหลายปีแล้วค่ะ
แต่ครั้งหลังสุดที่ออกจากที่ทำงานเดิมช่วงที่ยังหางานใหม่ไม่ได้
ก็อยู่บ้านช่วยทำงานบ้านทุกอย่าง ดูแลบ้าน ดูแลพ่อแม่

ช่วยทำงานและธุระต่างๆแทนท่านทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ และก็พยายามหางาน Part
Time ทำ เพราะคิดว่าจะได้มีเวลามาช่วยทำงานบ้าน ดูแลบ้านและดูแลพ่อแม่
แต่ก็หาไม่ได้เลยค่ะ

เคยลองทำงานประเภทขายประกัน ประมาณ 1 ปี
แต่พอทำแล้วรู้สึกไม่ถนัดและไม่ชอบจึงหยุดทำ อยากจะกลับไปทำงานประจำพยายามคุยกับคุณพ่อคุณแม่แต่ท่านทั้งสองก็ไม่เห็นด้วย

เพราะท่านต้องการให้ดิฉันอยู่ช่วยทำงานบ้านและช่วยดูแลท่านค่ะ คุยกันที่ไรก็จะต้องทะเลาะกันทุกทีเพราะท่านไม่ยอมเข้าใจและไม่ยอมฟังเหตุผลของดิฉันเลย

บางครั้งอยากจะไปศึกษาอบรมวิชาการหรือดูงานต่างๆที่ต่างจังหวัดท่านก็ไม่ยอมให้ไปเลย หรือเคยลองพูดเปรยๆว่าอยากจะไปปฏิบัติธรรมที่ต่างจังหวัดท่านก็ไม่ยอมให้ไป

ทุกวันนี้ดิฉันรู้สึกท้อแท้ใจมากค่ะไม่รู้จำทำอย่างไรดี
เพราะไม่อยากทำให้คุณแม่โกรธหรือไม่พอใจมากๆ
เพราะว่าท่านมีโรคประจำตัวอยู่กลัวว่าท่านจะเป็นอะไรไป

ดิฉันคงจะบาปมาก และคงจะเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ๆ แต่ดิฉันก็อยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะอนาคตข้างหน้า เมื่อไม่มีท่านทั้งสองดิฉันต้องพึ่งพาอาศัยตนเอง จึงต้องรีบทำตอนนี้ ก่อนที่จะอายุมากหรือแก่ตัว จนไม่สามารถทำในสิ่งที่ต้องการและควรทำได้อีก


ดิฉันมีพี่ชาย 1 คน ไปทำงานที่ต่างประเทศค่ะ นานๆจะกลับมาบ้านสักครั้งหนึ่ง
ไม่เคยสนใจที่จะมาดูแลคุณพ่อคุณแม่เลย เค้าบอกกับคุณแม่ว่าเค้าต้องการความก้าวหน้าใน อนาคต ไม่สามารถมาอยู่ดูแลคุณพ่อกับคุณแม่ได้

ขอให้คุณพ่อกับคุณแม่ดูแลตัวเองค่ะ และเค้าบอกกับคุณแม่ว่าในอนาคต ถ้าต้องกลับมาอยู่ประเทศไทย จะแยกตัวออกไปซื้อบ้านอยู่เองกับแฟน เพราะที่บ้านคับแคบเกินไป และไม่อยากมาอยู่รวมกันหลายๆคนค่ะ

ใคร่ขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่าดิฉันควรจะตัดสินใจทำอย่างไรดีค่ะ

1. ดิฉันควรจะดูแลคุณพ่อ คุณแม่ไปก่อนตามที่ท่านต้องการ ไม่ต้องไปทำงานข้างนอก
ซึ่งดิฉันคิดว่าคงจะตลอดไปแน่ๆจนกว่าท่านจะไม่อยู่แล้ว
2. ดิฉันควรจะเลือกตัดสินใจทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ คือ
ออกไปหางานประจำทำและไปทำสิ่งต่างๆที่ต้องการและควรทำ
แต่คงต้องเกิดปัญหาต่างๆตามมาภายหลังแน่นอนค่ะ
3. เพราะเหตุใดชีวิตของดิฉันจึงต้องประสบกับชะตากรรมเช่นนี้ค่ะ
4. ดิฉันควรจะวางใจและปฏิบัติตัวอย่างไรดีค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงสำหรับความเมตตาให้คำสั่งสอนและชี้แนะและการเสียสละเวลามาช่วยตอบปัญหาให้ค่ะ

คำตอบ
   มนุษย์มีงานหลักที่ต้องทำอยู่สองงาน คือ งานภายนอก ที่ทำให้กับสังคม หน่วยงาน ครอบครัว ฯลฯ และงานภายในที่ทำให้กับตัวเอง เช่น ใส่บาตร ไหว้พระสวดมนต์ ฟังธรรม ฯลฯ

   การดูแลบ้าน ช่วยพ่อแม่ทำงาน ดูแลสุขภาพของพ่อแม่ ฯลฯ ถือว่าเป็นงานภายนอก ประพฤติได้แล้วเป็นบุญเกิดขึ้นกับผู้เป็นลูกอีกด้วย

   การทำงานภายนอก มีจุดประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยที่ใช้เลี้ยงดูชีวิต ผู้ใดไม่มีความจำเป็นในเรื่องนี้ ผู้นั้นไม่ต้องออกไปแสวงหางานภายนอกอื่นใดมาทำอีก คิดให้ไกล เมื่ออายุขัยเวียนบรรจบ ทรัพย์ภายนอกต้องทิ้งไว้กับโลกเอาติดตัวไปไม่ได้ แต่บุญและบาปที่เกิดขึ้นจากการทำงานภายในเท่านั้น ที่ติดตามข้ามภพชาติได้ ผู้รู้สามารถทำงานภายในขณะอยู่ที่บ้าน ด้วยการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ( ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือคนอื่น แบ่งความดีให้คนอื่น อนุโมทนาเมื่อเห็นคนอื่นทำความดี ฟังธรรม สั่งสอนธรรม และทำความเห็นให้ตรง )

   ผู้ถามปัญหามีโชคดี ที่ได้อุปการระเลี้ยงดูพ่อแม่ ถือได้ว่าเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ผู้มีคุณธรรมข้อนี้ เป็นผู้มีความเจริญในชีวิตและในกิจการงาน ( ธุรกิจ ) ทั้งในชีวิตปัจจุบัน ตลอดไปถึงชีวิตหน้า

   (๑). ควรเอาใจใส่ดูแลพ่อแม่ดังเช่นที่ประพฤติอยู่ และในวันข้างหน้าเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ยังต้องทำบุญอุทิศให้ท่านอีกด้วย ทำได้เช่นนี้แล้วจึงจะเรียกได้ว่า เป็นลูกกตัญญูฯ

   (๒). ผู้รู้ไม่เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของคนอื่น ผู้รู้เป็นได้เพียงผู้ชี้ทาง จึงชี้ว่า ทำงานให้พ่อแม่นั้นดีกว่า ทิ้งพ่อแม่แล้วไปหางานภายนอกอื่นมาทำ ฉะนั้นพึงตัดสินใจด้วยตัวเอง

   (๓). สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน การได้อยู่ร่วมและทำงานตอบแทนพ่อแม่ มีผลทำให้ลูกได้สร้างและสั่งสมบารมี ผู้เห็นผิดคือผู้ไม่รู้จริงแท้ ย่อมปล่อยโอกาสอันดีงามให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ และมีบาปเท่านั้นที่จะเป็นตัวถ่วงชีวิตให้ตกต่ำ

   (๔). ผู้ตอบปัญหาได้ชี้ทางเจริญและตกต่ำของชีวิตให้แล้ว ฉะนั้นพึงเลือกบริหารจัดการชีวิตของตัวเอง ตามที่ชอบๆเถิด
   

1607.
กราบเรียนท่าน ดร. สนอง วรอุไร

หนูอยากทราบว่าทำไมหนูถึงมีศัตรูเยอะจังเลยคะคือคนที่เกียจหนูน่ะค่ะทั้ง ๆที่หนูไม่ได้
ทำอะไรให้เขาเลย เขาก็นินทาว่าเราในทางไม่ดีอ่ะค่ะ มันทำให้เราเจ็บใจ อยากแก้แค้น
หนูควรจะทำอย่างไรดีคะ และ หนูมีคำถามอยากรบกวนถามอาจารย์ค่ะ
1. การที่เราอยากทำบุญตลอดเวลานี้ ถือว่าเป็นความโลภไหมคะ
2. หนูอยากมีเพื่อนสนิทและจริงใจสักคนควรจะทำอย่างไรดีคะเพราะเวลาไปไหนมาไหนหนูมักไปคนเดียวอ่ะค่ะ
3. หนูเป็นคนดื้อและหน้าด้านค่ะ และไม่ค่อยเคารพผู้ใหญ่ใครบอกไรไม่ค่อยเชื่อ ตามใจตัวเองมากกว่า หนูควรทำอย่างไรจะหายดื้อคะ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
  เจ็บใจ อยากแก้แค้น เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากจิตที่มีความเห็นผิด เอาตัวเอง ( อัตตา ) เป็นที่ตั้ง เมื่อไม่เป็นไปตามที่ตนคาดหวัง อารมณ์ดังกล่าวจึงเกิดขึ้น และถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต เป็นบาป ผู้ใดปรารถนาให้บาปในลักษณะนี้หมดไปจากใจ ผู้นั้นต้องให้อภัยเป็นทานในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ เมื่อทำได้แล้ว เมตตาจะเกิดขึ้น ทำให้มีอารมณ์สงบเย็นและมีความสุข

  (๑). การอยากทำบุญในทางโลก ไม่ถือว่าเป็นความโลภ แต่ในทางธรรมแห่งการพ้นทุกข์ ใจต้องไม่มีความอยากในบุญเกิดขึ้น

  (๒). คำว่า “เพื่อนสนิท” หมายถึง เพื่อนที่รักใคร่ชอบพอกันอย่างมาก และไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ

     ผู้ใดปรารถนามีเพื่อนที่จริงใจ ผู้นั้นต้องทำตนเป็นผู้ให้สิ่งดีงามแก่ผู้อื่น และต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีความจริงกาย จริงวาจา จริงใจ ได้เมื่อใดแล้ว โอกาสมีเพื่อนสนิทที่จริงใจย่อมเกิดขึ้นได้

  (๓). ปรารถนาไม่ดื้อและไม่หน้าด้าน ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีบุญ โดยเฉพาะในข้อที่ว่า อปจายนมัย ( ประพฤติอ่อนน้อม ) และต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีความเห็นถูก ( หิริโอตตัปปะ ) แล้วความหน้าด้านจึงจะหมดไปได้
   

1606.
เรียน ดร.สนอง ที่เคารพ

ขอเรียนถามคำถามที่เกี่ยวกับสุนัขดังนี้ค่ะ
  ดิฉันอยากตัดวงจรความทุกข์อันเกิดจากการจากลาสัตว์เลี้ยง แต่ที่บ้านจำเป็นต้องเลี้ยงสุนัข พอเลี้ยงแล้วก็เหมือนเป็นการผูกพัน มีอันจะต้องดูแลรักษาใกล้ชิดกันในตอนป่วยทุกตัว พอเขาตายก็ทุกข์แสนสาหัส แม้จะพยายามบอกตนเองถึงความอนิจจังก็ตาม

ขอบคุณสำหรับเวลาของท่านค่ะ

คำตอบ
   ประสงค์ตัดความทุกข์ที่สุนัขตายจากไป เจ้าของสุนัขต้องพิจารณาดูด้วยตนเองจนเห็นว่า สรรพชีวิตเมื่อเกิดแล้ว ต้องแก่ เมื่อแก่แล้ว ต้องตาย ไม่มีชีวิตใดเกิดแล้วไม่ตาย แม้แต่เจ้าของสุนัขเอง ย่อมมีชีวิตดำเนินไปเช่นนี้ นี่คือสัจธรรมของชีวิต ผู้ใดรู้ เห็น เข้าใจได้ถูกตรงเช่นนี้ จึงจะรู้ว่า การตายเป็นเรื่องของธรรมชาติ … .
   เราโง่เองที่ไปทุกข์อยู่กับการจากไปของสุนัข … . ขออภัย พูดตรง
   

1605.

กราบเท้าอาจารย์ที่เคารพ

       ผมเป็นคน จ.ศรีสะเกษ มาเรียนที่เชียงใหม่ ได้เกือบปีแล้ว ผมเคยเห็นอาจารย์ 2 ครั้งครับ โดยทั้ง 2 ครั้งเจอที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในงานแสดงธรรมครั้งที่ 2 และ 3 ของชมรมพุทธศิลป์ , สารธรรมล้านนา(ไม่แน่ใจ)   ครั้งแรกอาจารย์บอกผมหลังจากที่ผมเข้าไปจับที่เท้าว่า " เดี๋ยวได้หนีไปบวช " ครั้งที่สองอาจารย์บอกให้ผมรักษาสุขภาพ เนื่องจากมือเย็น เพราะผมขอสัมผัสมืออาจารย์และอาจารย์ยังบอกให้ไปพิสูจธรรม(ปฏิบัติ)อีกด้วย เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาอันมีค่าในการโปรดสัตว์โลกของอาจารย์ ผมขอถามเลยนะครับ

   1. ผมมีปัญหาเรื่องการเรียน คือผมสอบไม่ผ่านอยู่วิชาหนึ่งซึ่งเป็นวิชาปฏิบัติ ถ้าไม่ผ่านวิชานี้ก็ไม่จบ   ผมคิดว่ามันยากมากสำหรับคนนิสัยอย่างผมที่จะทำให้ผ่าน มันทำให้ผมท้อ เลยคิดอยากดร็อปแล้วหนีไปพักผ่อนกาย ใจ ด้วยการหนีไปบวชเสียอย่างอาจารย์ว่า ผมจึงอยากถามว่ามันเหมาะสมกับกาละ เทศะหรือเหมาะสมกับกรรมแล้วหรือยังครับ

   2. ผมสวดมนต์ก่อนนอน(เกือบ)ทุกวัน จะมีอานิสงค์อย่างไรครับในชาตินี้และชาติหน้า และจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีสมาธิขณะสวดมนต์ หากไม่มีจะทำอย่างไรให้มีสมาธิขณะสวดครับ

   3. ผมเคยลองปฏิบัติมาหลายสาย ทั้งพุทโธและแบบธรรมกาย    เลยไม่รู้ว่าจะเลือกสายไหนจึงจะถูกจริตและจะรู้ได้อย่างไรว่าถูกจริตเรา

   4.  อยากให้อาจารย์แนะนำครูบาอาจารย์แถว จ.ศรีสะเกษด้วยครับ

  5. ผมเคยคิด พูด ทำ ไม่ดีต่อศาสนบุคคล ศาสนสถาน ศาสนวัตถุและพ่อแม่ครูอาจารย์ จะมีวิธีขอขมาอย่างไรและจะมีวิธีป้องกันไม่ให้เป็นอีกอย่างไรครับ

  6. เคยอ่านหนังสืออาจารย์ เรื่องพระภูมิหรือเทวดาชั้นล่างที่ว่าศาลพังและการถวายช้างม้าปั้น จึงอยากถามว่าการสร้างสารเล็กให้อย่างนั้นเขาได้อยู่จริงหรือไม่ การถวายช้าง , ม้า , ไก่ไม้หรือปูนปั้นเขาได้ใช้หรือไม่ แล้วช้างม้าไก่เหล่านั้นมีวิญาณครองหรือ ถ้าหากศาลนั้นตั้งไม่ถูกวิธีของพรามณ์จะมีเทวดาอยู่หรื่อไม่และจะรู้ได้อย่างไรว่ามีเทวดาครองอาศัยครับ

คำตอบ
   (๑). การคิดว่ายากมาก เป็นการตั้งโปรแกรมจิตที่เป็นลบ คนไม่รู้จริงชอบคิดเช่นนั้น เมื่อใดผลเกิดตามมาย่อมยากมาก ตรงกันข้าม ผู้รู้นิยมตั้งโปรแกรมจิตไว้เป็นบวก ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจึงง่ายมากเมื่อทำเหตุให้ถูกตรง

พระพุทธโคดมไม่เคยสอนให้ใครแก้ปัญหา ด้วยการทำตัวหนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา หาเหตุที่ถุกตรงให้พบ แล้วดับที่ต้นเหตุนั้น ปัญหาจึงจะหมดไปได้อย่างแท้จริง

   (๒). การสวดมนต์เป็นการภาวนา ซึ่งเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ หากทำได้ถูกตรงแล้ว จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิเกิดขึ้นในชาติปัจจุบัน และส่งต่อไปจนถึงชาติหน้า

   คำว่าจิตเป็นสมาธิ หมายถึงจิตที่มีสติจดจ่อ หรือระลึกอยู่กับบทมนต์ที่สวด โดยจิตไม่ไปรับเอาสิ่งกระทบอื่นมาปรุงอารมณ์ อย่างนี้เรียกว่า สมาธิ

  (๓). เมื่อเลือกเอากรรมฐานใดมาใช้เป็นองค์บริกรรม แล้วมีจิตจดจ่ออยู่กับกรรมฐานนั้น ถือว่ากรรมฐานนั้นถูกจริตของผู้บริกรรม

  (๔). แนะนำหลวงปู่เณรคำ

  (๕). ผู้ใดเคยปรามาสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ บาปย่อมเกิดขึ้นมีผลทำให้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม หากประสงค์จะก้าวข้ามบาปนั้น ต้องไปขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ พระพุทธรูป หรือ พระบรมธาตุเจดีย์ ที่มีคนนิยมกราบไหว้บูชากันมาก หลังจากขมากรรมแล้ว ต้องมีสัจจะไม่กระทำปรามาสให้เกิดขึ้นอีก โดยพัฒนาจิตให้มีสติกล้าแข็ง หากทำได้ถูกตรงเช่นนี้ปัญหาย่อมหมดไป

  (๖). พระพุทธโคดมไม่เคยสอนให้พุทธสาวกประพฤติพิธีกรรม และผู้ใดปรารถนารู้ เห็น เข้าใจในสิ่งที่ถามไป ผู้นั้นต้องมีศีลบริสุทธิ์คุมใจ และปฏิบัติธรรม ( สมถภาวนา ) จนเข้าถึง โลกิยญาณ ( อภิญญา ๕ ) ได้แล้ว ปัญหาที่ถามย่อมกระจ่างด้วยตนเอง
   

1604.
เรียนอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

กระผมเป็นเด็กอายุราวๆ 15 ปี อยากทราบว่าจะตัดกามารมณ์ไปจากใจได้อย่างไร และสามารถเข้าคอร์สปฎิบัติธรรมได้ไหม

คำตอบ
   คำว่า “กามารมณ์” เป็นอารมณ์ที่เกิดจากกามคุณ ๕ ( รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย อันน่าใคร่ ) เข้ากระทบจิตแล้วจิตรับเข้าปรุงเป็นอารมณ์ของกาม ( กามารมณ์ ) ผู้ใดปรารถนานำจิตให้พ้นไปจากอารมณ์ของกาม ต้องปฏิบัติสมถกรรมฐานจนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน ขณะจิตทรงฌานอารมณ์ย่อมไม่เกิด หรือผู้ใดปรารถนาพ้นไปจากอำนาจของกาม ผู้นั้นต้องปฏิบัติธรรม จนเกิดสติและปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ปัญหาดังกล่าวจึงจะหมดไปได้
    

1603.
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

  ผมได้ยินมาว่า มีผู้นั่งสมาธิเข้าณานหรือเข้าถึงธรรมเบื้องต้น แล้วพบพระพุทธเจ้า กับพระสาวก

ผมอยากทราบว่า นั่นเป็นเพียงนิมิตหรือเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ ครับ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ จะเป็นไปได้อย่างไรครับ เพราะท่านได้ดับแล้วซึ่งรูปและนาม ขออาจารย์ ดร. สนอง ช่วยอธิบายให้กระผมด้วยครับ

   หากผมได้คิด พูด สิ่งใดล่วงเกินกับท่านอาจารย์ ดร สนอง ผมขอขมาด้วยครับ

คำตอบ
    คำว่า “นิมิต” หมายถึง เครื่องหมาย , เค้ามูล , ลาง , เหตุ ฯลฯ บุคคลปฏิบัติธรรมแล้วนิมิตเห็นพระพุทธเจ้ากับพุทธสาวก ผู้นำพาชีวิตพ้นไปแล้วจากวัฏฏะ
   เรื่องนี้พระป่าผู้ปฏิบัติธรรม เคยบอกเล่าให้ผู้ตอบปัญหาฟัง ถึงการไปเห็นพระพุทธโคดมและพุทธสาวก มาปรากฏในนิมิตให้ท่านสัมผัสได้ เป็นรูปที่มิได้ประกอบด้วยธาตุขันธ์แบบสัตว์ในวัฏสงสาร และเป็นนามขันธ์ที่บริสุทธิ์ ไม่มีโลภ โกรธ หลง เมตตา สติ ปัญญา ฯลฯ ปนเปื้อนอยู่ในนามขันธ์นั้น … อ่านแล้วงง แต่หากผู้ใดปฏิบัติธรรมจนสามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงอริยธรรมได้แล้ว ผู้นั้นย่อมเห็นครรลองแห่งธรรม เป็นดังเช่นที่พระป่าได้กล่าวไว้
   

1602.
กราบเท้าคุณพ่อ สนอง ที่เคารพ

กระผมมีเรื่องขอปรึกษาดังนี้
ปัจจุบันผมอายุ 46 ปีทำงานในบริษัทเอกชน ตั้งแต่ผมเริ่มสนใจในพระธรรมเกิดความเบื่อหน่ายในวงจรชีวิตของการทำงาน ที่ต้องการผลกำไรสูงสุดและผลประโยชน์สูงสุด และที่สำคัญ ผมไม่มีความมุ่งมั่นในการแข่งขัน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นที่จะทำให้เป้าหมายของบริษัทสำฤทธิ์ผล ทำให้เป็นทุกข์ใจในปัจจุบัน จึงคิดที่วางแผนจะลาออกมาบวชอย่างน้อย 1 เดือนเพื่อบำเพ็ญบุญกุศลแล้วจึงคิดอ่านที่จะทำมาหากิน อื่นต่อไป  
คำถาม

1. ช่วยแนะนำด้วยครับว่าผมตัดสินใจผิดหรือถูก

2. มีข้อแนะนำในการดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร

ด้วยความเคารพอย่างสูง
วิษณุ

คำตอบ
   กำไรสูงสุดและผลประโยชน์สูงสุดในทางโลกคือ กิเลส ที่ผู้ไม่รู้จริงแท้ (อวิชชา) มีปรารถนายิ่งนัก
     (๑). เป็นการตัดสินใจผิดของผู้ที่หลงโลก ตรงกันข้าม เป็นการตัดสินใจถูกของผู้รู้จริงตามธรรม ฉะนั้นพึงเลือกทางชีวิตให้กับตนเอง

     (๒). พระพุทธะได้ชี้ทางเดินของชีวิตว่า มีอยู่ ๗ สาย ดังนี้
          ๑ . โทสะ เป็นเหตุผลักดันจิตวิญญาณ สู่ภพนรก
          ๒ . โลภะ เป็นเหตุผลักดันจิตวิญญาณ สู่ภพเปรต
          ๓ . โมหะ เป็นเหตุผลักดันจิตวิญญาณ สู่ภพติรัจฉาน
          ๔ . ศีล ๕ เป็นเหตุผลักดันจิตวิญญาณ สู่ภพมนุษย์
          ๕ . ทานและศีล / กุศลกรรมบถ ๑๐ * เป็นเหตุผลักดันจิตวิญญาณ สู่สวรรค์
          ๖ . ฌาน เป็นเหตุผลักดันจิตวิญญาณ สู่พรหมโลก
          ๗ . วิปัสสนาญาณ เป็นเหตุผลักดันจิตวิญญาณ สู่นิพพาน
   ท่านผู้ถามปัญหาต้องเลือกทางเดินของชีวิตด้วยตัวเอง

     * กุศลกรรมบถ ๑๐ หมายถึง กรรมดีอันเป็นทางนำไปสู่สุคติ มีสิบอย่างดังนี้คือ
           ๑ . เว้นทำลายชีวิต
          ๒ . เว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้
          ๓ . เว้นจากประพฤติผิดในกาม
          ๔ . เว้นจากพูดเท็จ
          ๕ . เว้นจากพูดส่อเสียด
          ๖ . เว้นจากพูดคำหยาบ
          ๗ . เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ
          ๘ . ไม่โลภคอยจ้องอยากได้ของเขา
          ๙ . ไม่คิดร้ายเบียดเบียนเขา
         ๑๐ . เห็นชอบตามคลองธรรม
   

1601.
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ครับ
 
ถ้าปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?
          ผมได้ฟังเทปปี พ.ศ. 2548 ของท่านอาจารย์ ดร.สนองแล้ว มีประโยคหนึ่งท่านพูดว่า "คนธรรมดา อย่างเรา ก็สามารถอธิษฐานจิตเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่ห้ามกำหนดเวลา (ว่าจะได้เป็นเมื่อไร) เพราะต้องใช้เวลายาวนานมาก"   

ผมมีคำถามสงสัยดังนี้ครับ
            ถ้าผมอธิษฐานจิตเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้จริง ระยะเวลาเกิดผม ต้องใช้เวลาอีกหลายล้านชาตินับไม่ถ้วน ข้อนั้น ผมไม่กลัวครับ แต่ผมกลัวเผลอลงอบายภูมิในชาติใดชาติหนึ่ง แต่ อาจารย์บอกว่า การปิดอบายภูมิ ก็ต้องบรรลุโสดาบันให้ได้   แต่การบรรลุโสดาบัน ก็จะทำให้เราเกิดได้อีกเพียง 7 ชาติ นั่นหมายความว่าเมื่อบรรลุโสดาบัน ก็จะทำให้ผมเหลือเวลาอีก 7 ชาติ (ซึ่งการจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาอีกเป็นล้านๆชาติ) แต่ถ้าไม่เพียรให้บรรลุโสดาบัน ก็จะทำให้อาจเผลอลองอบายภูมิได้ในชาติถัดๆไป ข้อนี้ผมสงสัยจังครับ ว่าควรจะอธิษฐานจิตอย่างไร เพื่อให้ในอนาคตชาติถัดไป ไม่เผลอลงอบายภูมิไปครับ
 
         เพราะในชาตินี้ ผมเป็นตำรวจ และพึ่งจะมาเข้าทางธรรมะเมื่อตอนอายุ 40 ปีนี่เอง แต่ก่อนหน้านี้ได้ทำบาปไว้หลายอย่าง แต่พอมาได้ฟังท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องสี่อาชีพเสี่ยงนรก คือ ผู้พิพากษา , ทนาย , อัยการ และตำรวจ ก็เริ่มกลัวบาปครับ จึงคิดว่า ถ้าในชาติต่อไป ผมทำกรรมไม่ดีไว้ แล้วพึ่งมาคิดได้เมื่อตอนอายุ 40 ปี เหมือนในชาตินี้อีก กลัวจะแก้บาปไม่ทันครับ

     วิษณุ

คำตอบ
   ผู้ใดปรารถนานำพาชีวิตดำเนินไปตามทางของพุทธภูมิ ผู้นั้นต้องประพฤติตนตามแบบอย่างพระโพธิสัตว์ ต้องบำเพ็ญบารมีนานนับอสงไขยแสนกัป บารมีขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูงสุด จึงจะครบถ้วย ๓๐ ทัศ แล้วโอกาสตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นบุคคลผู้ปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีจิตไม่หวั่นไหวที่จะไปเกิดเป็นสัตว์ ( รูปนาม ) อยู่ในภพใดๆของวัฏฏะ และในระหว่างที่สั่งสมบารมีอยู่นั้น ต้องไม่บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลอย่างเด็ดขาด จนกว่าจะถึงพระชาติสุดท้ายที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ

   ด้วยเหตุนี้ หากผู้ตอบปัญหา ปรารถนาไม่ลงไปเกิดเป็นสัตว์ ( รูปนาม ) อยู่ในอบายภูมิอีกต่อไป ต้องเลิกปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และต้องพัฒนาจิตจนกระทั่งอย่างน้อยบรรลุโสดาปัตติผลได้แล้ว จึงจะปิดอบายภูมิได้ นับแต่วันที่บรรลุอริยธรรมนั้น จะไม่ต้องลงไปเกิดอยู่ในภพที่ปราศจากความเจริญ ( อบายภูมิ ) อีกต่อไป และอีกไม่เกิน ๗ ชาติ ย่อมนำพาชีวิตไปสู่ความทุกข์ทั้งปวงได้

   หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เคยบอกกับผู้ตอบปัญหาว่า คนที่กลัวนรกย่อมไม่ตกนรก แต่คนที่ไม่กลัวนรกย่อมตกนรก ฉะนั้นเลือกเอาตามที่ชอบ
   

 

 

 

 

 

 

 

browser stats