1

 

 


                                                   
คำถาม-คำตอบ ข้อ 151-200

200.
กราบเรียนอาจารย์สนอง

หนูมีปัญหาอยากถามค่ะ ทุกครั้งที่หนูจะสวดมนต์ไหว้พระ หรือทำอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับพระหรือสิ่งศักดิ์ ระหว่างที่หนูกระทำกิจนั้นอยู่ จิตของจะไม่สามารถควบคุม มันจะว่ากล่าวสิ่งศักดิ์ แต่จะรีบห้ามโดยการด่าตัวเอง หนูทรมานมาก เพราะชอบที่จะสวดมนต์ไหว้พราะและอ่านหนังสือธรรมะ หนูเป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว จนเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาหนูไปไหว้พระที่วัดหนึ่ง แล้วทำบุญและขอสิ่งศักดิ์ว่า ชาติที่แล้วหนูทำกรรมอะไร จากนั้น 3-4 วันหนูฝันว่า ชาติที่แล้วหนูลบหลู่ฟ้าดิน เป็นคนไม่สัจจะ คดโกง ตระหนี่ หนูจึงอยากเรียนถามว่า เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า และถ้าไม่ใช่ หนูควรจะแก้ไขปัญหาการควบคุมจิตนี้ได้อย่างไรค่ะ เพราะหนูอยากเป็นเหมือนคนปกติ หนูอยากมีจิตที่สงบในการไหว้สวดมนต์ นั่งสมาธิ

คำตอบ
    จิตระลึกถึงสิ่งที่ไม่ดีก็แสดงว่ายังมีสิ่งที่ไม่ดียังอยู่ในจิต หากประสงค์จะกำจัดความคิดที่ไม่ดีนั้นให้หมดไปจากใจ ต้องไปสำนึกผิดและขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัย เช่นนำดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาหน้าพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ หรือต่อหน้าพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มีคนเคารพกราบไว้บูชากันมาก เมื่อสำนึกถึงโทษของการปรามาสสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ต้องไม่ละเมิดสัจจะด้วยการไม่ทำกรรมที่เป็นอกุศลนั้นอีก เสร็จแล้วสร้างกำลังใจให้กล้าแข็งด้วยการเจริญพละ 5 (ศรัทธา วิริยา สติ สมาธิ ปัญญา) อยู่เสมอและต่อเนื่องยาวนาน โอกาสที่คุณจะหลุดพ้นไปจากความคิดที่เป็นอกุศลนั้นเกิดขึ้นได้ไม่ยากเลย

199.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

กราบเรียนถามว่า ในการเลี้ยงสุนัข จำเป็นต้องอาบน้ำใส่แชมพูให้สุนัขเพื่อสุขอนามัยของสุนัขและสมาชิกในครอบครัวของผู้เลี้ยงเอง ซึ่งอาจทำให้บรรดาเห็บ หมัดในตัวสุนัขตาย ไม่ทราบว่าจะเป็นบาปหรือไม่ และทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นการสร้างบาปดังกล่าวหากจำเป็นต้องเลี้ยงสุนัข อยากเลี้ยงเพื่อให้สุนัขคอยเห่าเตือนภัยจากผู้บุกรุก และสัตว์ร้าย เช่นงูเป็นต้น

กราบขอบพระคุณค่ะ
จิราภรณ์

คำตอบ
    คนโบราณเลี้ยงสุนัขโดยไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องอาบน้ำ เลี้ยงแบบปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติ บางบ้านเลี้ยงห่านไว้เฝ้าบ้าน แทนสุนัขก็มี ส่วนคนสมัยใหม่ เลี้ยงสุนัขผิดธรรมชาติคือฉีดยาป้องกันเห็บหมัดให้กับสุนัข ก่อนที่เห็บหมัดจะเข้ามาเกาะกินเลือดสุนัข อย่างนี้บาปน้อยกว่าการอาบน้ำแล้วใช้แชมพูเห็บหมัด ถ้ารู้และจำเป็นต้องทำบาปก็ควรสร้างสิ่งที่เป็นบุญกุศลให้มากกว่าบาป เพื่อให้บาปตามให้ผลไม่ทันเป็นการหนีบาปจะหนีพ้นก็เข้านิพพานนั่นแหละ ดูพระองคุลีมาลเป็นตัวอย่างสิ เป็นพระอรหันต์แล้วขณะออกบิณฑบาตยังถูกก้อนหินก้อนอิฐขว้างศีรษะอยู่เลย จึงได้เข้าไปอยู่ในถ้ำ นิพพานในถ้ำ บาปที่เหลือเป็นอันยกเลิก

เลือกเอาเองว่าจะเลี้ยงห่านเฝ้าบ้านแบบคนโบราณ ก็ไม่ต้องอาบน้ำให้ห่านเพราะห่านอาบน้ำเองได้ หรือเลี้ยงสุนัขแบบธรรมชาติ หรือไม่เลี้ยงสุนัขเลยก็สุดแต่ใจปรารถนา คิดมากปวดหมองเดี๋ยวก็ตายจากโลกไปแล้ว เอาเวลาไปพัฒนาจิตวิญญาณตัวเองไม่ดีกว่าหรือ



198.
สวัสดีครับอาจารย์

ผมได้ไปฟังธรรมบรรยายของอาจารย์ที่ เตรียมอุดม12/3/49...กะผมได้เข้าไปกราบอาจารย์ด้วยตอนพักเที่ยงแต่ไม่รู้จะถามอาจารย์อย่างไรดี....ผม email มานี้ขอไห้อาจารย์ตอบผมกลับมาทาง email นี้ก้อได้นะครับ .... คือกระผมเป็นคนสายตาสั้น..ไม่มากหรอกครับ 200-300 ก้อเลยไป ทำ lasik
เป็นหมอที่นับว่าเก่งที่สุดในเมืองไทยเลยก้อว่าได้ พอทำมาแล้วมีปัญหาที่ตามากครับ ตาผมกระพริบอยุ่ตลอดเวลา ไปให้เขาตรวจเขาก้อบอกว่าปกติ ไปหลายที่แล้วก้อบอกว่าปกติ ....ท้ายที่สุดกระผมไปอุดท่อน้ำตา ทั้งใส่ silicon ไปในท่อน้ำตาทั้ง จี้ปิดท่อน้ำตา ตอนนี้ดีขึ้น มาไม่กระพริบตาถี่แล้ว แต่มีอาการตาบวม บ้างปวดหัวบ้าง ผมจะเป็นทุกวันเลยครับ .....ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ขอถามท่านอาจารย์ ตรงๆๆ เลยนะครับ ว่าทำอย่างไรจะหายครับ ..... กระผมฟังธรรมบรรยายของท่านแล้วกระผมเชื่อว่า ตรงเป็นเหตุที่กระผมสร้างเอาไว้แต่ชาติก่อน หรือชาติไหนกระผมก้อไม่ทราบ แต่ผมบอกเลยว่ากระผมเชือ ท่าน 1000% เลยครับ ว่าจิตคือพลังงาน มาอาศัยร่างนี้อยู่พอร่างนี้ดับ ก้อไปจุติใหม่ ตามบุญและกรรมที่เราได้ทำเอาไว้ใจชาตินี้ กระผมเป็นคนพูดไม่ค่อยเป็น จึงอยากขอคำชี้แนะจากอาจารย์เพียงเท่านี้ครับ

ขอบคุณครับ
นาย มงคล คานิโย

คำตอบ
    ถ้าคุณเชื่อเรื่องกรรมและกฎแห่งกรรม อกุศลวิบากที่คุณกำลังได้รับอยู่นั้น เกิดมาแต่เหตุที่เป็นอกุศลที่คุณได้ก่อไว้ เมื่อใดวิบากเกิดแล้วต้องยอมรับความจริง อยู่กับความจริง แล้วใช้หนี้อกุศลเก่าจนกว่าจะหมดไปและต้องไม่สร้างอกุศลกรรมใหม่ขึ้นอีก พระพุทธะชี้แนะวิธีแก้อกุศลวิบากไว้อย่างนี้ ในมุมมองของผู้ตอบปัญหาเห็นว่าคุณเป็นคนที่โชคดีเป็นคนที่เริ่มมีบุญสั่งสม เจ้ากรรมนายเวรจึงมาทวงหนี้ ถ้าจะให้หนี้กรรมหมดเร็ว คุณต้องสร้างบุญใหม่เกี่ยวกับดวงตา เช่นบริจาคดวงตา บริจาคแว่นตา บริจาคโคมให้แสงสว่าง คือสร้างกุศลกรรมที่มีผลเกี่ยวกับดวงตาให้มาก ๆ แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังราวีคุณอยู่ โอกาศที่อกุศลวิบากของคุณจะหมดไปเร็วกว่าที่เขาจองเวรคุณไว้ก็มีความเป็นไปได้

197.
สวัสดีครับอาจารย์สนอง

  อยากทราบว่าแม้ว่าเราไม่ได้เจตนาฆ่าสัตว์โดยตรงแต่เราทำงานอย่างหนึ่งโดยที่เรารู้ว่างานนั้นอาจทำให้สัดว์ต่างๆตายได้อย่างนี้เราผิดศีลข้อ1 หรือไม่คร้บ คือผมจะตัดหญ้าที่สนามหน้าบ้านนะครับ แล้วสนามนั้นมีสัตว์เล็กๆอยู่เยอะทีเดียว ม้นมีสิทธิ์ไปเหยียบไปโดนมันตายได้นะครับ ผมเลยอยากถามอาจารย์สนองว่าควรตัดดีไหมครับ คือชีวิตผมทำไม่ดีมาเยอะแล้วครับเวลาที่เหลือก็อยากรักษาศีล 5 ให้ครบนะครับ

ขอบคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
    ไม่มีเจตนาทำให้สัตว์ตาย แต่รู้ว่างานที่ทำไปนั้น เป็นเหตุต้องทำให้สัตว์ตาย ถือว่าผิดศีลข้อปาณาติบาตได้ ตัวอย่างเช่น ปิปผลิเป็นลูกเศรษฐีชาวมคธ มีที่ดินไร่นามากมาย ขณะกำลังยืนดูบริวารไถนาอยู่ได้เห็นฝูงนกกากำลังจิกกิน หนอน แมลงและสัตว์อื่น ๆ ที่ไต่อยู่บนขี้ไถนั้นปิปผลิได้ถามบริวารว่า บาปนี้จะตกอยู่กับใคร บริวารตอบว่าบาปต้องตกอยู่กับผู้เป็นเจ้าของนก ปิปผลิได้พิจารณาแล้วจึงทิ้งสมบัติเศรษฐีออกบวชกับพระพุทธเจ้า เป็นพระมหากัสสปะไงล่ะ

196.
กราบเรียน อาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

หนูเป็นคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักอาจารย์ในวันบรรยายธรรมที่ วิทยาเขตบพิตรพิมุข หนูดีใจมากที่ได้ร่วมงานดังกล่าวเพราะหนูรู้ว่านี้คือการได้เจอครูบาอาจารย์ในทางธรรมที่ประเสริฐยิ่ง สิ่งที่หนูอธิษฐานไว้ก็เป็นจริง แต่หนูอยู่ระหว่างศึกษาและปฏิบัติในเบื้องต้น ทุกครั้งที่หนูมีคำถามหรือข้อสงสัยเกิดขึ้นก็มักจะได้คำตอบจากครูบาอาจารย์เสมอ (ได้จากการฟังธรรม) ครั้งนี้หนูมีข้อสงสัยอยู่แต่ได้รับคำตอบแล้วก็ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ ขอรบกวนอาจารย์ช่วยตอบข้อสงสัยของหนูด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ

1. สุนัขที่บ้านกัดเด็กข้างบ้าน ซึ่งหนูยอมรับผิดชดใช้ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด โดยขอให้ฉีดวัคซีนที่ศูนย์บริการสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร แต่คู่กรณีไม่ยอมจะรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงมาก หนูไม่จ่ายตามนั้น เนื่องจากเห็นว่าไม่สมเหตุสมผล ตัวยาที่รักษาก็เป็นตัวเดียวกัน แต่ทำไมหนูต้องจ่ายเงินแพงกว่า หนูไม่จ่าย คู่กรณีจึงไปฟ้องตำรวจ เพื่อให้หนูชดใช้ค่าเสียหาย หนูยอมจ่ายเพียงเท่าที่รักษาที่ศูนย์บริการสาธารณสุข หนูคิดว่าหนูทำถูกต้องแล้ว แต่ก็ไม่ถูกต้องสำหรับคู่กรณี หนูรู้สึกถึงการต่อต้านทางความคิดมาก ความคิดหนึ่งก็คิดว่าฉันทำถูกต้อง อีกความคิดหนึ่งก็ว่าให้เขาไปเถอะ เราต้องมีเมตตา ให้กับผู้ที่เดือดร้อน หากเราไม่ลำบาก หนูสับสนใจหนึ่งก็อยากมีเมตตา แต่อีกใจหนึ่งก็ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว วันนั้นหนูอยากพบครูบาอาจารย์มากเพื่อขอปัญญาในการแก้ปัญหา
หนูนั่งสมาธิและตั้งจิดอธิษฐานขอปัญญาในการแก้ปัญหานี้ ระหว่างที่หนูนั่งสมาธินั้น มีความคิดหนึ่งเข้ามาว่า ข้อกำหนดต่าง ๆ เกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลที่ศูนย์สาธารณสุข แตกต่างจาก ร.พ.เอกชน และค่าปรับที่กฏหมายกำหนดนั้น เป็นเพียงของสมมติ ที่มีคนกำหนดขึ้น เงินที่เกินจากที่เราควรจะจ่ายก็เป็นเพียงของสมมติ หากวันนี้เราจ่ายเงินให้เขาไปแล้วเขามีความสุข เราก็มีความสุขด้วยที่ได้ให้ โดยที่เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เงินหาใหม่ได้เรายังมีความรู้ความสามารถในการทำงาน ไม่รู้ว่าจะยึดในความถูกต้องไปทำไม ตายไปก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ไม่ทราบว่าสิ่งที่เข้ามาในความคิดนี้เป็นปัญญาหรือไม่คะ

คำตอบ
    สุนัขไปกัดเด็กเป็นอกุศลกรรม ที่เด็กกับสุนัขเคยก่อเวรกันไว้ คุณรักสุนัขของคุณ แม่เด็กก็รักลูกของเขา เขาจึงคิดหาวิธีที่ดีที่สุดให้กับลูกของเขา หากคุณเชื่อภูมิปัญญาของพระพุทธะว่า “ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ” นั้นเป็นสิ่งถูกต้องและดีที่สุดในการแก้ปัญหา หากมีเงินพอไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินใครให้เขาไปเถิด หนี้เวรหนี้กรรมที่เคยผูกกันไว้ก็จะหมดไปไม่ต้องตามไปแก้ปัญหากันอีกในวันข้างหน้าทรัพย์ภายนอกตายแล้วนำติดตัวไปไม่ได้ นั่นเป็นความเห็นถูกเมื่อทรัพย์พร่องไป เดี๋ยวมันก็กลับมาเติมเต็มได้อีก แล้วทำไมไม่ให้ตามที่เขาต้องการล่ะ คุณจะได้ไม่ไปเสียเวลากับการแก้ปัญหาขยะที่สร้างมลพิษ ให้กับใจของคุณ รักษาใจไว้ดีกว่า ยังมีสิ่งดีๆ ข้างหน้ารอให้คุณต้องทำอีกมาก สร้างและสั่งสมทรัพย์ภายในไว้ไม่ดีกว่าหรือ

2. ตัวหนูเองเป็นครูสอนบัญชี ซึ่งมักถือหลักการและมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ชอบความถูกต้อง เป็นคนมีเหตุผล แต่มีใจเมตตา เมื่อเห็นผู้อื่นเดือนร้อนกว่าก็จะช่วยเหลือ แต่ยังยึดมั่นในความถูกต้องมากเกินไป ทำให้บางครั้งความเมตตาน้อยลงหากเห็นความไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการขัดแย้งภายในจิดใจเสมอ รู้สึกเหนื่อยและเบื่อตัวเองมากที่จะจัดการกับอนุสสัยกิเลสตัวนี้มากค่ะ ขอความเมตตาจากอาจารย์ช่วยแนะนำการกำจัดอนุสสัยกิเลสตัวนี้ด้วยค่ะ

สุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง เป็นร่มโพธิร่มไทรของลูกศิษย์ตลอดไป
ขอแสดงความน้บถืออย่างสูง
ธนกร สมวงศ์

คำตอบ
   
ความถูกต้องในทางโลกมิได้หมายว่าจะถูกต้องในทางธรรม เหตุผลในทางโลกมิได้หมายความว่าเป็นสิ่งเดียวกันกับเหตุผลในทางธรรม ที่กล่าวเช่นนี้เพราะปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรมเห็นสิ่งเดียวกันต่างกัน ใช้ปัญญาทางโลกทำงานให้กับโลกได้ แต่เอาปัญญาทางโลกมาใช้ส่องนำทางให้กับชีวิตมีปัญหา และแก้ปัญหาได้ไม่สิ้นสุด คุณว่าคุณเป็นคนมีเมตตาก็เป็นความเห็นถูกของคุณ แต่อาจเป็นความเห็นผิดของคนอื่นก็ได้ เมตตาในผู้รู้จริง มีจิตเป็นอิสระ จากความโกรธ ความคับข้องใจ ความหงุดหงิด ความเบื่อหน่ายฯลฯ คนมีเมตตาเป็นคนเย็น หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์ เทวดาคุ้มรักษา ไฟ ยาพิษ อาวุธ ไม่กล้ำกราย มีจิตตั้งมั่นได้เร็ว สีหน้าผ่องใส ฯลฯ เหล่านี้เป็นเหมือนมาตรวัดใจ ของคนเย็นคนมีเมตตาอยู่ในจิตใจ ถ้ายังหงุดหงิดอยู่กับเพื่อนบ้าน ยังหงุดหงิดกับคนรอบข้าง อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนมีเมตตาได้อย่างไรล่ะโยม

195.

To respect archarn Sanong,

FIrst of all, would like to thank archarn very deeply for all your lectures, make my life change and be happy. I would like to thank to this website and want to contribute money to continue this website. My husband is American, don't understand sin and Bun, not believe in reincarnation. I told him if you don't stop fishing I will not marry you and he didn't do fishing anymore. But he likes to buy fish and keeps as pets. I don't think it's good anyway. I told him that you limit space to animals. He told me I am crazy. I brought him to temple, he follow me. But he didn't want to learn to do meditation. We live in America. We have different belief and I can't change his belief. What should I do? I gave him Buddhist English book, he never read.
Thank you.

คำตอบ
    พระพุทธะไม่เคยสอนให้ไปปรับปรุงแก้ไขคนอื่น แต่ให้ปรับปรุงแก้ไขที่ตนเอง เมื่อบอกแล้วเขาไม่ศรัทธา ก็ต้องปล่อยวางเพราะชีวิตเป็นของเขาเอง คุณเป็นผู้ร่วมทางชีวิตกับเขาเพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง

194.
สวัสดีครับอาจารย์สนอง

ขอรบกวนถามอาจารย์หน่อยครับ คือถ้าผมตั้งสัจจะไว้ว่าจะทำอะไรอย่างหนึ่งแล้ว ตอนหลังเห็นว่าทำไม่ได้และจะไม่ยึดสัจจะนั้นต่อไปแล้ว ต้องทำพิธีอะไรเพื่อยกเลิกการการตั้งสัจจะนั้นหรือเปล่าครับ หรือก็แค่ปล่อยผ่านไปเลยครับ

ขอบคุณมากครับ

คำตอบ
    คำถามที่ถามไปนั้น ยังตั้งคำถามไม่ถูกตรง ควรตั้งเป็นคำถามว่า ผมได้ตั้งความปรารถนา (อธิษฐาน) ไว้ว่าจะทำอะไรอย่างหนึ่ง แล้วมาตอนหลังเห็นว่าทำไม่ได้ จะขอยกเลิกความปรารถนานั้น (ยกเลิกอธิษฐาน) ก็สามารถทำได้ ตัวอย่างเช่น พระโพธิสัตว์ ขอยกเลิกอธิษฐานเดิมว่าจะนำชีวิตไปในแนวทางของพุทธภูมิ แต่ด้วยหนทางอันยาวไกล และยังมองไม่เห็นความสำเร็จว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด จึงขอยกเลิกอธิษฐานเดิม แล้วตั้งอธิษฐานใหม่ว่าจะนำพาชีวิตไปในแนวทางของ “ สาวกภูมิ ” อย่างนี้สามารถทำได้ และมีตัวอย่างของบุคคลในปัจจุบันทำได้สำเร็จมาแล้ว

ส่วนคำว่า “ สัจจะ ” นั้นคือ จริงใจ จริงวาจา และจริงการ (ทำจริง) เป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง เมื่อทำได้แล้วจะเก็บสั่งสมในจิตวิญญาณเป็นบารมี เป็นหนึ่งในคุณธรรมที่นำสู่จุดหมายสูงสุดของชีวิต สัจจะไม่จำเป็นต้องยกเลิกหรือทำพิธียกเลิก แต่หากผู้ใดไม่มีสัจจะ โอกาสที่จะมีชีวิตเป็นปกติทุกข์เป็นของแน่นอน โอกาสที่จะมีชีวิตเป็นปกติสุข การเข้าถึง (บรรลุ) ธรรมะของพระพุทธะ การเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล การดับสลายหมดสิ้นแห่งรูปและนาม (อนุปาทิเสสนิพพาน) ย่อมไม่พึงเกิดขึ้นได้กับบุคคลผู้ไม่มีสัจจะ

193.
กราบเรียนถาม อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

1. ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามการยืน เดิน นั่ง นอน จะมีอาการเกิด ดับ เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งมันก็จับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไม่เฉพาะเวลานั่งสมาธิ เป็นเวลาที่เราใช้ในชีวิตประจำวันและเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่
ช่วยอธิบายให้ด้วยค่ะ

คำตอบ
    การเกิด-ดับของสรรพสิ่งเกิดขึ้นตลอดเวลา ที่คุณมีสติระลึกได้คุณจะเห็นการเกิดดับนี้เป็นจริง แต่ขณะใดจิตขาดสติ การเกิด-ดับจะไม่ปรากฏให้ระลึกได้ในอิริยาบถที่กำหนดเป็นองค์ภาวนา

มาตรวัดการเห็นแจ้งของการเกิด-ดับ คือการมีจิตปล่อยวางมีจิตเป็นอิสระ จากสิ่งกระทบภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ์) ที่เข้ากระทบจิตแล้วไม่เกิดการปรุงแต่งอารมณ์ แต่จะเป็นอารมณ์สงบและเกิดปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งกระทบนั้น หากเป็นอย่างนี้แล้วถือว่าถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธะ

2. ทำไมเวลาพูด ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงที่สวดมนต์ จะรู้สึกถึงเสียงมันสั่น ๆ ขาดๆ (เกิดอาการสั่นสะเทือนของเสียง) หายไปเป็นช่วง ๆ และ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่กำลังสวดมนต์อยู่นั้น มีอาการขนลุกตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท่าตลอดของการสวดมนต์นั้น หมายความว่าอย่างไร

คำตอบ
    ขณะสวดมนต์แล้วมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้น นั่นเป็นผลมาจากจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ แต่ยังไม่เกิดปัญญาเห็นแจ้งในอาการที่เกิดขึ้น เพราะยังมิได้เอาอาการที่เกิดขึ้นนั้นมาพิจารณาตามกฎไตรลักษณ์

3. กรณีที่เราเจริญสติทุกอิริยาบถ โดยไม่ค่อยได้เดินจงกรมและนั่งสมาธิ ทำได้หรือไม่ และถ้าส่วนใหญ่จะนั่งสวดมนต์เสร็จต่อด้วยนั่งสมาธิเลย ไม่ได้เดินจงกรม มีผลดีผลเสียอย่างไรบ้างค่ะ

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองอาจารย์ให้มีสุขภาพร่างกาย จิตใจ ให้แข็งแรง
อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของลูกโยคีไปอีกนาน ๆ ด้วยค่ะ

คำตอบ
    สิ่งที่ถามไปนั้นสามารถทำได้ ด้วยเหตุที่แต่ละคนมีจริตไม่เหมือนกัน การทำงานของระบบสรีระต่างกัน ประสบการณ์ในการฝึกจิตต่างกัน ฯลฯ ด้วยเหตุนี้บางคนจึงเหมาะต่อการนั่งภาวนา เพราะจะทำให้สมาธิเกิดได้เร็วและตั้งมั่นยาวนาน บางคนเหมาะต่อการกำหนดในอิริยาบถใหญ่ เช่น การเดินจงกรม แล้วทำให้เกิดสมาธิตั้งมั่นได้ดีกว่าการนั่งภาวนา ฉะนั้น เลือกปฏิบัติตามอิริยาบถที่ถูกกับจริต ถูกกับระบบทำงานของสรีระถูกกับประสบการณ์ของตนแป็นดีที่สุด

192.
เรียน อาจารย์ ดร. สนอง ที่เคารพยิ่ง

กราบเรียนถามถึง หน้าที่หลักและเป้าหมายหลัก ในการเกิดมาเป็นมนุษย์ คืออะไรค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    ผู้รู้ว่าการได้กลับมาเป็นมนุษย์หนนี้ หน้าที่หลักก็คือปรับปรุงแก้ไขสิ่งผิดพลาดให้กับชีวิต ไม่ให้จิตวิญญาณตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน ส่วนเป้าหมายหลักของชีวิตคือ นำพาชีวิตของตนเองให้พ้นจากการเวียนตาย – เวียนเกิด ในสังสารวัฏ ด้วยการพัฒนาจิตตนเองให้หมดอวิชชา

191.
ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไรค่ะ

ไม่ทราบว่าจะมีปฏิบัติตนอย่างไรกับคนที่คิดจะแย่งสามีของเราคะ ทุกวันนี้ก็พยายามสวดมนต์แผ่เมตตาให้กับเค้า เวลาทำบุญอะไรก็อุทิศบุญให้เค้า เพราะคิดว่าคงเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมา ไม่ทราบว่าจะช่วยได้มากน้อยอย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ
นิรนาม

คำตอบ
    พระพุทธะเคยตรัสกับพุทธสาวก ที่ไปเห็นอดีตเก่าของตัวเองว่า สีกาผู้นี้เคยเป็นภรรยาของตัวเองในอดีตชาติ พระพุทธะตรัสว่าเมื่อภพชาติเป็นสมมติได้เปลี่ยนไปแล้ว ต้องอยู่กับปัจจุบัน โลกจึงจะสงบ

ในครั้งพุทธกาล ลูกสุนัขที่สุภมาณพเลี้ยงไว้ที่บ้าน อดีตก็คือพ่อของเขาที่อยู่ในชาติปัจจุบัน ได้ตายแล้วไปเกิดเป็นลูกสุนัขนั่นเอง สุนัขบางตัวที่คุณผู้หญิงเลี้ยงไว้ที่บ้าน อดีตชาติเคยเป็นสามีของเขานั่นเอง บางคนที่เคยเป็นสามีภรรยากันในอดีตชาติ ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน แล้วต่างคนต่างมีครอบครัวในอดีตชาติ ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน แล้วต่างคนต่างมีครอบครัวเป็นของตนเอง หรือแม่ในอดีตชาติได้กลับมาเกิดเป็นลูกของตัวเองในปัจจุบัน ฯลฯ ดัวยเหตุนี้ศีล 5 จึงเป็นธรรมที่มนุษย์มีอยู่ (มนุษยธรรม) จึงได้มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน หากผู้ใดละเมิดมนุษยธรรมนี้ โอกาสจะกลับมาเกิดใหม่ในสุคติภพจึงไม่มี

ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างให้เห็นนี้ ผู้รู้ผู้ฉลาด ไม่ยึดเอาสมมติมาเป็นของตน เพราะยึดมั่นถือมั่นเมื่อใดทุกข์เกิดขึ้นเมื่อนั้น ฉะนั้นควรยอมรับความจริง อยู่กับความจริงแล้วปล่อยวางสมมุติให้ได้นั่นแหละคนฉลาด

190.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

ดิฉันมีปัญหาจะรบกวนอาจารย์ช่วยกรุณาตอบด้วยค่ะ แม่สามีป่วยเป้นเบาหวาน, ความดัน, โรคไต แต่มีปัญหาคือแกมักจะนึกอยากกินอาหารที่แกชอบ และต้องเป็นร้านที่แกอยากกินด้วย แต่โรคที่เป็นอยู่นี้ต้องควบคุมอาหารและน้ำ แกก็จะดื้อ ไม่ได้ดั่งใจก็พาลด่าคนรอบข้าง ไม่ยอมกินอาหารและยาที่จัดให้ จะกลับไปอยู่บ้านเดิมเพื่อกินตามใจปาก (ปัจจุบันเอาแกไปอยู่กับบ้านน้องชายสามีที่เขาควบคุมอาหารแก) พวกเรากลัวว่าถ้าปล่อยให้กินตามใจปากแกจะโคม่า
คำถามคือ

1.เราจะปล่อยให้แกกลับไปกินอาหารตามใจปากที่บ้านแกดีหรือไม่ หากไปกลัวเบาหวานหรือโรคอื่นๆจะกำเริบแล้วเป็นอะไรไปจนอาจเสียชีวิตได้ ดิฉันกลัวว่าจะเป็นบาปที่ส่งแม่สามีไปตาย และ หากไม่ส่งไปแล้ววาระสุดท้ายจะหิว อยากกิน กลัวไม่ได้ไปดีนะคะ

คำตอบ
  พระพุทธะมิได้สอนให้ไปแก้ปัญหาที่คนอื่น แต่สอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ท่านเป็นเพียงผู้ชี้ทางแก้ปัญหา เมื่อผู้มีปัญหารับฟังแล้วเกิดศรัทธาและแก้ไขปัญหาตามที่ได้รับคำแนะนำ ปัญหาจะหมดไป ในกรณีที่ถามไปเมื่อท่านรับฟังเหตุผลแล้วไม่ศรัทธา ไม่ทำตามคำแนะนำมันเป็นเรื่องของท่านเป็นการทำเหตุไม่ดีไว้ก่อน จึงต้องมารับผลของอกุศลวิบากด้วยตัวท่านเองสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม คุณต้องปล่อยวาง ท่านประสงค์จะกลับไปบ้านเดิมเพื่อไปกินอาหารที่ถูกปาก (ถูกใจ) แล้วเป็นเหตุให้ต้องตายเร็ว หากคุณรั้งท่านไว้ ให้อยู่ที่บ้านของน้องชายของสามีและกินอาหารไม่ถูกปาก ในที่สุดท่านก็ต้องตายเหมือนกันนั่นแหละ เพราะการตายเป็นเรื่องของธรรมชาติ คุณเกรงว่าจะเป็นบาปหากส่งท่านกลับไป นั่นเป็นการเห็นผิด ที่ไปเอากรรมของคนอื่นมาเป็นกรรมของตัวเอง แล้วทำให้ไม่สบายใจ อย่างนี้สิที่เรียกว่าบาป


2.แม่สามีทำกรรมอะไรไว้ถึงคอยแต่พะวงนึกถึงแต่อาหาร และเราพอจะช่วยทำอะไรให้มันดีขึ้นได้หรือไม่ ก่อนป่วยหนักคุณแม่จะเป็นคนที่ใส่บาตรพระทุกเช้า โดยใส่เป็นกับข้าวพร้อมกาแฟปาท๋องโก๋ที่แกขาย

ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ
กัลยา หอเนตรวิจิตร

คำตอบ
   แม่สามีทำกรรมอะไรไว้จึงพะวงนึกถึงแต่เรื่องของอาหาร คุณก็บอกไปแล้วไงว่า ท่านชอบเอาอาหารใส่บาตรพระทุกเช้า นั่นแหละเป็นกุศลกรรมของท่าน ท่านได้ทำเพื่อสั่งสมทรัพย์ภายใน ให้คุณดูเป็นตัวอย่างไงล่ะ เพราะทรัพย์ภายนอกแล้วเอาติดตัวไปไม่ได้ แต่ทรัพย์ภายในสามารถใช้เป็นปัจจัยเดินทางในปรโลกได้

189.
เรียนท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ

ตอนเรียนมัธยมผมเป็นลูกศิษย์วัดครับ ด้วยความเป็นเด็กที่ยังไม่รู้จักเกรงกลัว บาปกรรม ผมได้ลักทรัพย์ในตู้บริจาคโดยใช้ไม้ที่เขาใช้คีบแบงค์เขี่ยออกมาใช้ แต่ ก็ไม่กี่ครั้งประมาณสัก 3-4 ครั้งจำไม่ค่อยได้แล้ว และเคยเอาพวกสมุดดินสอปากกา ที่แขวนบนต้นไม้ในกระถางที่คนเขาถวายแล้วมาใช้ (แต่อันนี้รู้สึกหลวงพี่หรือ สามเณรจะอนุญาติ มีบางครั้งอาจถือวิสาสะ) ต่อมาวันนี้เมื่อเริ่มมาศึกษาธรรมะพบ ว่าที่ทำไปมันบาปมาก ตายไปต้องตกนรกหรือเกิดเป็นเปรต อาจารย์ครับบาปที่เราทำไป แล้วอย่างนี้เราสามารถแก้ไขโทษให้ทุเลาเบาบางลงได้ไหมครับ อาจารย์ช่วยสงเคราะห์
ให้คำแนะนำด้วยครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    ทรัพย์ที่มีผู้ศรัทธาใส่ไว้ในตู้รับบริจาคนั้นเป็นของวัด สมุด ปากกา ดินสอ เขาบริจาคให้กับหมู่สงฆ์ การไปเอาวัตถุสิ่งของของผู้อื่นมาใช้ โดยเจ้าของมิได้อนุญาตถือว่าละเมิดศีลข้ออทินนาทาน แม้จะทำเพียงครั้งเดียว ตายแล้วมีโอกาสลงไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิได้ คนที่เคยทำผิดมาก่อนแล้วสำนึกผิดได้เป็นคนดี คนที่กลัวนรกมักจะไม่ตกนรก

หากคุณประสงค์จะหนีผลจากอกุศลกรรมที่ทำไว้ ก็สามารถทำได้ด้วยตัวคุณเอง โดยกลับไปที่วัดเดิมที่คุณเคยอยู่สมัยเป็นเด็กวัด เอาดอกไม้ ธูปเทียนไปไหว้พระในโบสถ์ สารภาพผิดแล้วกล่าวคำขอขมาต่อพระรัตนตรัยให้กับเจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ที่ร่วมเวียนตายเกิดในสังสารวัฏ ทำเรื่อยไปตลอดชีวิต คุณสามารถหนีผลของอกุศลกรรมในอดีตได้ และหากคุณสามารถพัฒนาจิตวิญญาณตัวเอง จนเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคล ก็สามารถปิดอบายภูมิได้

188.
สวัสดีครับ อ.สนอง

ผมเคยเรียนถามอาจารย์ข้อ 173.

สมมุติว่าผมไปเบียดเบียนคนๆหนึ่งหรือพระองค์หนึ่งแต่คนๆนั้นหรือพระท่านรูปนั้นไม่ผูกเวรกับเรา
อโหสิให้เราแล้วเรายังต้องรับกรรมจากการทำร้ายเปียดเบียนอยู่ไหมครับ


ท่านอาจารย์ตอบว่า
"กรรมเบียดเบียนเมื่อถึงเวลาให้ผลจะเป็นอกุศลวิบาก กลับมาตอบแทนผู้ก่อกรรมนั้น หากผลกรรมเบียดเบียนยังไม่แสดง และผู้ทำกรรมเบียดเบียนไปขอขมาโทษแล้ว ท่านยกโทษให้ เป็นอันว่ากรรมที่ทำไว้เลิกให้ผล เป็นอโหสิกรรมไป ปัญหามีอยู่ว่า คุณไปเบียดเบียนท่านแล้วบริวารของท่านอาจจะเดือดร้อนจึงได้ผูกพยาบาทจองเวรได้ ท่านยกโทษให้แต่บริวารไม่ยกโทษให้ คุณยังจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นอยู่ "

คือผมอยากทราบว่าถ้าบริวารของท่านยังเดือดร้อนอยู่ และยังไม่ยกโทษให้ ผมควรจะทำอย่างไรต่อไปครับ

ขอบคุณครับอาจารย์ที่แนะนำ

คำตอบ
    คุณก็อุทิศบุญกุศลให้กับบริวารของเขาที่ยังผูกเวรกับคุณอยู่สิ ลองทำดูนะครับ

187.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

ขอบพระคุณสำหรับคำตอบจากท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง ขออนุญาตเรียนถามข้อสงสัยเพิ่มเติมกับท่านอาจารย์ดังต่อไปนี้

1. ผู้ที่บริจาคทานโดยไม่ประสงค์จะออกนามจะได้บุญเท่ากับผู้บอกชื่อ-สกุลหรือไม่? เพราะไม่มีนามปรากฏให้ทราบเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

คำตอบ
    ผู้บริจาคทานแล้วไม่เอ่ยนาม เปรียบได้กับการปิดทองหลังพระได้บุญเต็มร้อย เหตุที่ไม่เอ่ยชื่อเพราะผู้บริจาคประสงค์ได้บุญมากนั่นเอง

2. การเล่นดนตรีไทยหรือสากลเป็นบาปหรือไม่?

คำตอบ
      การเล่นดนตรีไทยหรือสากล ขณะเล่นมีจิตจดจ่อ (สติ) อยู่กับท่วงทำนองหรือตัวโน๊ต ทำให้จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่ถือเป็นบาป แต่หากนำสมาธิไปใช้ในทางผิด (มิจฉาสมาธิ) ถือว่าเป็นบาป

3. การที่ท่านอาจารย์ปฏิบัติได้ผลเร็วเป็นเพราะขณะนั้นท่านอาจารย์อยู่ในเพศบรรพชิตซึ่งมีวินัยและศีลครบถ้วนใช่หรือไม่? การครองเพศฆราวาสหากจะปฏิบัติให้ได้ผลแบบท่านอาจารย์คงต้องใช้ความเพียรและเวลามากกว่าใช่หรือไม่?
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างมากที่กรุณาเสียสละเวลาตอบข้อสงสัยดังกล่าว
ด้วยความเคารพ
ผู้สงสัย

คำตอบ
    ขณะบวชเป็นบรรพชิต และปฏิบัติธรรมได้ผลรวดเร็วมีเหตุส่วนหนึ่งมาจาก ไม่ต้องทำงานภายนอก (งานของครอบครัว) ทำแต่งานภายในคือพัฒนาจิตตัวเอง ดังนั้นจึงอุทิศเวลาให้กับการปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน อีกเหตุหนึ่งคือเมื่ออยู่ในเพศบรรพจิตมีความสัปปายะในด้านที่อยู่ อาหาร การพูดและบุคคลดีกว่าอยู่ในครอบครัวดังนั้น การอยู่ในเพศฆราวาสจึงต้องใช้เวลามากใช้ความเพียรมากดังที่เข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว

186.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนองที่เคารพ..
ได้มีโอกาสอ่านหนังสือหลายเล่มของอาจารย์ รู้สึกปลาบปลื้มดีใจ รู้สึกว่าเรื่องพวก spiritual เราเองก็คงมีหวังที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ถ้าปฏิบัติสมถะถึงระดับ

หนูมีเรื่องเรียนถามอาจารย์ ดังนี้ค่ะ

การเห็นภาพต่างๆ รับรู้สิ่งต่างๆ แม้แต่คิด สมองคือเครื่องมือรับรู้และหลั่งสารเคมี ดังนี้แล้ว
A) พลังสมาธิมีอยู่นอกสมองจริงๆหรือ วัดเป็นพลังงานได้จริงหรือ? แล้วเรื่องอิทธิฤทธิ์กสิณ เนรมิตไฟ เรียกลม เปลี่ยนสี อะไรพวกนี้มันเป็นไปได้หรือ??? เช่นทำให้อากาศแข็งแล้วเดินบนนั้น ตามหลักวิทย์มันคือการเดินบนโมเลกุลโปร่ง..?

คำตอบ
    พลังสมาธิเกิดที่จิตไม่ใช่เกิดที่สมอง แต่ส่งพลังกระทบถึงสมอง ทำให้ความถี่คลื่นสมอง มีการเปลี่ยนแปลงขนาดความถี่ของคลื่นจิต ปัจจุบันยังไม่มีเครื่องมือตรวจวัดได้ เพราะเป็นพลังงานที่มีความถี่คลื่น เล็กมาก ๆ ๆ ๆ ๆ เมื่อเทียบกับขนาดความถี่ของคลื่นอิเล็กตรอนที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพัฒนาขึ้นมาใช้งานได้

ที่ถามเรื่องอิทธิฤทธิ์เรียกลม เนรมิตไฟ หรือเดินบนอากาศ ถามว่าเป็นไปได้หรือ ขอตอบว่าเป็นไปได้ ถ้าใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์จะเข้าไม่ถึงความจริงเรื่องนี้ วิทยาศาสตร์ยอมรับความจริงว่าที่ใดมีพลังงานที่นั่นทำให้เกิดงานได้ ยกตัวอย่างเช่นโมเลกุลของน้ำในทะเลสามารถขึ้นไปลอยอยู่ในอากาศได้ ก็มิด้วยเหตุแห่งการทำงานของพลังงานหรือ เครื่องบินซึ่งหนักมากยังขึ้นไปลอยอยู่บนอากาศได้ก็มิใช่มาจากเหตุแห่งการทำงานของพลังงานหรือ จิตที่พัฒนาขึ้นมาได้นั่นเองทำให้ตัวลอยได้ เหตุผลระดับนี้สูงกว่าเหตุผลของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เป็นเหตุผลในระดับเมต้าฟิสิกซ์ ผู้พัฒนาจิตจนถึงฌานสมาบัติ ๘ สามารถทำได้


B) จิตนิ่งก็คือคลื่นสมองนิ่งนี่เอง การปฏิบัติธรรมก็คือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเนื้อสมอง?

คำตอบ
    จิตนิ่งคือจิตที่มีความถี่คลื่น ที่มีขนาดความถี่คลื่นต่างจากความถี่คลื่นของจิตที่ไม่นิ่ง เป็นการเปลี่ยนด้าน Quality ของความถี่คลื่นจิต คลื่นสมองไม่ใช่คลื่นจิต คลื่นสมองมีการเปลี่ยนความถี่ จากความถี่คลื่นปกติไปเป็นความถี่คลื่นอีกขนาดหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์สมมติเรียกว่า คลื่นอัลฟ่า เบต้า เธต้า ฯลฯ

การปฏิบัติธรรม เป็นการปรับเปลี่ยน Quality ของจิตแต่ด้วยเหตุที่เป็นพลังงาน จึงส่งผลกระทบถึงการเปลี่ยนโครงสร้างของเนื้อสมอง


C) ที่เขาว่าเจตนาที่ถูกกระทำในแต่ละครั้ง อาศัยหลายขณะจิตที่ต้องต่อๆกันมาจนกว่าการกระทำจะเริ่ม เทียบกับภาษาวิทย์ คือ neurotransmitter หลายๆตัวส่งต่อกันมา ข้าม threshold ขึ้นระดับบนขึ้นไป ใช่หรือไม่? ดังนั้นที่พุทธองค์ทรงเรียกว่า "จิต" แท้จริงแล้วทรงหมายถึงโมเลกุลเหล่านี้?

คำตอบ
    คำว่าหลายขณะจิต คือหลายขณะการเกิด-ดับ ของคลื่นจิต เอาไปเปรียบเทียบกับ Neurotransmitter ซึ่งเป็นการส่งผ่านโมเลกุลเคมีหลาย ๆ โมเลกุล จึงไม่สามารถเทียบกันได้ เพราะขณะจิตเป็นเรื่องของพลังงานจิต แต่ Neurotransmitter เป็นเรื่องของโมเลกุลเคมี และพระพุทธะไม่เคยตรัสเลยว่า จิตคือโมเลกุล

เรื่องบุญ
X) บุญคือพลังงานหรือ

คำตอบ
    บุญเป็นพลังงานแน่นอน เพราะทำงานได้ แต่เป็นพลังงานละเอียดอ่อน ที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าถึงความจริงของพลังบุญได้


Y) การทำบุญของคนไทยนี่ คือให้ทาน กรวดน้ำ เขาว่าผู้ให้ก็ได้บุญ ผู้รับก็ได้รับ.. หนูไม่เข้าใจว่า energy (ถ้าสมมุติว่าบุญคือพลังงาน) จู่ๆมันออกมาจากไหน energyดังกล่าวทวีคูณได้อย่างไร ถ้าบุญเป็นทรัพย์ภายในจริงตามความเชื่อ ทำไมไอ้ถังเหลืองๆที่ให้แก่ชายที่หุ้มตัวด้วยผ้าสีเหลือง จึงได้แปรรูปเป็นenergy ซึ่งผู้ยินดีด้วยกับเราก็พลอยได้รับ ดีไม่ดีถ้าเราตายไปเป็นเทวดาเราก็จะไม่ขาดของใช้ทิพย์ มันโยงใยกันได้อย่างไร แปลกจริงๆที่การให้ไม่ได้จบอยู่แค่นั้น

คำตอบ
    ที่ถามไปขอยกตัวอย่างดังนี้ สมมติว่คุณเห็นคนถูกรถยนต์ชนจนบาดเจ็บ แล้วคุณเข้าช่วยเหลือนำคนบาดเจ็บส่งโรงพยาบาล คุณจะได้คนบาดเจ็บเป็นเพื่อน คุณจะได้ญาติพี่น้องของคนบาดเจ็บเป็นเพื่อน คุณจะได้เพื่อนเหล่านี้ ความเป็นเพื่อนถูกฝังไว้ในดวงจิตของเขาเหล่านั้น ถามว่าคุณจะได้รับปฏิสัมพันธ์ที่ดีตอบกลับมาหาคุณไหม? อย่าคิดให้เปลืองพลังสมองและสูญเวลาเปล่า ลองพิสูจน์ด้วยการทำบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ ๑๐) ด้วยตัวของคุณเองดีกว่า

Z) เรื่องแบบนี้ ถ้าถามผีถ้วยแก้ว เขาจะรู้ไหม.. ชั่วชีวิตนี้ไม่รู้จะไปถามใคร

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างยิ่งค่ะ
และกราบขออภัยที่ถามมาก.. เกิน

ลี ภิญฯ


คำตอบ Z)
    ถามใครก็ไม่แจ่มแจ้งเท่ากับการพัฒนาจิตตนเอง จนสามารถใช้งานได้คือ รู้ เห็น เข้าใจ ด้วยตัวเอง มีประสบการณ์ตรงกับตัวเอง คือพัฒนาจิตให้เกิดสติและปัญญาเห็นแจ้ง เมื่อใดที่คุณเข้าถึงธรรมที่พระพุทธะตรัสไว้ คุณไม่ต้องไปเสียเวลากับความคิดที่ก่อประโยชน์น้อยเช่นนี้

185.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง

หนูเพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรมเมื่อไม่นานมานี้ค่ะ โดยการสวดมนต์ และนั่งสมาธิทุกวัน ระหว่างวันก็จะพยายามเจริญสติโดยการกำหนดดูลมหายใจ เข้า ออก ค่ะแต่มีข้อสงสัยบางประการดังนี้คะ ในขณะที่กำหนดดูลมหายใจเข้าออกอยู่ ถ้าขณะนั้นกำลังทำกิจกรรมอื่น ๆ อยู่ด้วยเช่น เดิน หรือขยับร่างกาย ไม่ทราบว่าเราต้องกำหนดจิตให้ดูไปที่การเดิน หรือกิจกรรมที่กำลังทำด้วยหรือไม่คะ ถ้าใช่เราต้องกำหนดลมหายใจไปด้วยพร้อม ๆ กันเลยหรือเปล่าคะ เพราะบางครั้งทำหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกันทำให้กำหนดรู้ไม่ถูกว่าต้องดูที่ส่วนไหนค่ะ

ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะที่กรุณาสละเวลาตอบคำถามนี้ค่ะ

คำตอบ
    การเจริญสติคือ การเอาจิตจดจ่อกับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบัน ฉะนั้นการเดินเป็นอิริยาบถใหญ่ จิตต้องจดจ่ออยู่กับการเดิน เท้าจะได้ไม่ไปสะดุดก้อนหิน หรือไปเหยียบอ่างกะปิของแม่ค้า (เดินในตลาด) ถ้ากำลังทำกิจกรรมจิตต้องจดจ่ออยู่กับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ จึงจะเรียกว่าเป็นการเจริญสติ และไม่ต้องกำหนดลมหายใจ เพราะอิริยาบถใหญ่อยู่ที่เท้ากำลังก้าวเดิน หรืออิริยาบถอยู่ที่กิจกรรมที่กำลังทำ ให้จิตจดจ่ออยู่ที่อิริยาบถใหญ่เพียงหนึ่งอย่าง จิตจึงจะมีกำลังสติเพิ่มขึ้น

184.
สวัสดีครับอ.สนอง
ไม่ทราบว่าสีลพตปรามาสคืออะไร หมายความว่าอะไรครับ ผมยังไม่เข้าใจดีครับ
ขอบคุณครับ

คำตอบ
    ปัญหานี้คิดว่าเคยตอบแล้ว หากยังไม่เข้าใจก็ไม่ต้องไปคิดอะไรให้มาก ไม่ต้องไปหาความหมายอะไรให้มันรกสมอง คงไม่ได้เอาไปตอบเพื่อเพิ่มวุฒิทางความจำ จึงขอตอบอย่างนักปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมว่า รักษาใจของคุณให้มีศีลมั่งคง ไม่บกพร่องมีศีลอยู่ครบบริบูรณ์ในใจตลอดเวลาทุกขณะตื่น ความประพฤติดีทางกายและวาจาก็จะเกิดขึ้น คุณก็ไม่เป็นผู้มีสีลัพพตปรามาสโอกาสพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ที่นำไปสู่ความหมดไปของกิเลส ความสิ้นไปแห่งอวิชชา ก็มีได้เป็นได้

183.
กราบเรียน อาจารย์สนอง ที่เคารพ

หนูมีปัญหาสงสัยและขอความกรุณาอาจารย์เมตตาแนะแนวทางให้ด้วยค่ะ คือคุณพ่อท่านมีฟาร์มไก่เพื่อส่งไก่ขาย และหนูทราบว่าอาชีพนี้ไม่ควรทำแต่ก็ไม่สามารถทัดทานได้ และอีกทั้งคุณพ่อท่านก็ชอบวิจารณ์พระองค์นั้นองค์นี้บ่อย จนหนูไม่กล้าพาคุณพ่อไปทำบุญที่ไหนด้วยกันอีกเลยเพราะกลัวท่านจะบาปมากขึ้น ส่วนคุณแม่เองในขณะนี้ก็เป็นโรคหลายอย่าง เช่น โรคไต เบาหวาน ความดันโลหิตสูง บางครั้งท่านจะแน่นหน้าอกราวกับว่าจะหายใจไม่ออก แต่ทุกครั้งท่านที่มีอาการนี้ท่านก็จะนึกเคียดแค้นคุณพ่อทุกครั้ง ทั้งนี้เพราะคุณแม่ท่านชอบทะเลาะกับคุณพ่อเป็นประจำเรื่องหึงหวง หนูพยายามเปิด CD ธรรมะให้คุณแม่ฟังแต่ท่านก็รับไม่ได้ บอกว่าจะอาฆาตคุณพ่อไปในชาติหน้า

หนูรู้สึกกลุ้มใจมาก อยากให้ท่านทั้งสองมีสัมมาทิฏฐิในบั้นปลายชีวิต เพราะหนูอยากให้ท่านไปสู่สุคติภูมิเมื่อถึงเวลาที่จิตดับไปแล้วนะคะ เวลาที่หนูปฏิบัตธรรมหรือสวดมนต์และแผ่เมตตา หนูจะอุทิศให้ท่านทั้งสองให้เป็นสัมมาทิฏฐิตลอด ไม่ทราบวิธีนี้จะช่วยได้ไหมค่ะ หรือมีวิธีอื่นอีกบ้างไหมค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ
อาภานันท์

คำตอบ
    ในมุมมองทางพุทธศาสนา การเลี้ยงไก่ขายเป็นอาหารเป็นมิจฉาอาชีวะ การเบียดเบียนชีวิตสัตว์เป็นอกุศลกรรม เมื่อใดที่กรรมให้ผล จะให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ตกไปยังผู้กระทำ หรือตกไปยังบริวารหรือผู้เห็นด้วยกับการทำอกุศลกรรมนั้น เช่นเดียวกับการวิจารณ์ผู้อื่น เป็นการกล่าววาจาที่เป็นอกุศล หากผู้ถูกวิจารณ์มีคุณธรรมสูง อกุศลวิบากจะกลับมาหาผู้วิจารณ์เร็วและรุนแรง การอาฆาตจองเวรเป็นอกุศลกรรมเมื่อกรรมให้ผล ผู้อาฆาตจองเวรต้องได้รับอกุศลวิบาก

การคิดช่วยเหลือพ่อแม่ เป็นความคิดที่ดีควรทำ ลูกมีบุญกุศลอยู่ในจิตใจแล้ว อุทิศให้พ่อแม่ หากท่านทั้งสองรู้และอนุโมทนาบุญท่านก็สามารถรับบุญกุศลที่คุณส่งให้ แต่จะให้พ่อแม่มีสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่ต้องเชื่อและปฏิบัติตามคำบอกกล่าวจากลูก ว่าการเลี้ยงไก่ขายเป็นบาป การวิจารณ์พระเป็นบาป การอาฆาตเป็นบาป หากท่านเชื่อแล้วหยุดกระทำบาปท่านก็เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิได้ หากไม่เชื่อและไม่ทำตาม ท่านก็ยังเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิเหมือนเดิมยังมีบาปอยู่ เมื่อช่วยไม่ได้ต้องปล่อยวาง ผู้รู้บอกว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ใครทำกรรมใดไว้ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น

182.
เรียน ท่านอาจารย์สนอง
ผมมีปัญหาดังนี้ครับ
ตั้งแต่เด็กจนโต30กว่าปีเห็นบิดากินแต่เหล้าเล่นการพนันทำร้ายมารดางานไม่ทำมารดาต้องเป็นหัวเรือหลัก จนวันหนึ่งที่ทุกคนในบ้านรู้สึกไม่ไหวแล้วจึงพามารดาออกจากบ้านมาอยู่ที่ใหม่ปล่อยให้บิดาอยู่ลำพังอยากทำอะไรก็ให้ทำไป(ยังแข็งแรงบ้านช่องก็มีให้อยู่)

ผมก็อยากดูแลทั้งบิดามารดาตามหน้าที่ลูกที่ดีแต่ทุกคนในบ้าน(มารดาพี่สาวผม)ทนกับสิ่งที่บิดาทำไม่ได้เลยใช้วิธีการปล่อยให้อยู่คนเดียวดีกว่า พอจะมีทางที่ดีกว่านี้อีกไหม บิดาไม่ฟังใคร กินเหล่า งานไม่ทำ..
ผมขอรบกวนอาจารย์ช่วยตอบด้วยครับ
ขอบคุณครับ

คำตอบ
   สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม (การกระทำ) กรรมเป็นผู้จำแนกสัตว์ให้ ละเอียด ประณีต ดี ชั่ว เลว หยาบ ฯลฯ ผู้ประพฤติตนทุศีลและจิตตกเป็นทาสของอบายมุข นอกจากชีวิตนี้จะเสื่อมแล้ว ชีวิตหน้าอาจต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์โลกในอบายภูมิอีกด้วย หากไม่มีกุศลกรรมอื่นมาให้ผลแซงหน้า คือ เสื่อมในชีวิตนี้และอาจเสื่อมในชีวิตหน้า

บิดาจะประพฤติไม่ดีอย่างไรเป็นเรื่องของเขา ในฐานะที่คุณเป็นลูกต้องไม่มีปฏิสัมพันธ์ในทางลบกับผู้มีพระคุณที่ทำให้คุณได้เกิดมาและต้องปฏิบัติจริยธรรมลูกที่ดี ต่อบุพการีคือ ท่านเลี้ยงคุณมาคุณต้องเลี้ยงดูท่านตอบแทน ช่วยทำธุรกิจการงานของท่าน (หากมี) ดำรงวงศ์สกุลให้คงอยู่ ทำตนเป็นทายาทที่ดี หากเมื่อใดท่านล่วงลับ ต้องทำบุญอุทิศให้ท่าน ทำสิ่งเหล่านี้ให้ดีที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้ ซึ่งเป็นการสำนึกในบุญคุณและตอบแทนคุณ (กตัญญูกตเวที) ต่อผู้เป็นบุพการีแล้วชีวิตและงานของคุณจะก้าวหน้ารุ่งเรืองไม่เกิดอุปสรรคและปัญหาหากคุณเชื่อคำแนะนำจากผู้รู้แล้วปฏิบัติตามได้...สาธุ ๆ ๆ บิดาเป็นครูดีที่สอนลูกไม่ให้ประพฤติตามที่ท่านทำ

181.
ถาม
คนที่ละทิ้งครอบครัว เพื่อไปแสวงหาความสุขสงบหรือความหลุดพ้นส่วนตัว
จะถือว่าเป็นคนดีหรือเปล่าครับ
   กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ

คำตอบ
    คำว่าคนดีหรือคนไม่ดี เป็นสมมติบัญญัติของคนในสังคมบัญญัติขึ้นเพื่อใช้เรียกบุคคลผู้มีการกระทำที่คนในสังคมเห็นพ้องด้วยว่าเป็นคนดี และไม่เห็นพ้องด้วยว่าเป็นคนไม่ดี ในสังคมมิจฉาชีพหากไม่ออกไปลักขโมย คนในสังคมมิจฉาชีพจะมองว่าเป็นคนไม่ดี แต่คนในสังคมสัมมาชีพมองว่าเป็นคนดี ดังนั้นดีและไม่ดีจึงมีอยู่ในบุคคลคนเดียวกัน คนขี้เกียจถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนไม่ดี คนขยันถูกมองว่าเป็นคนดี ผู้ที่ถามปัญหาไปนั้นมีสองสิ่งนี้อยู่ในใจตัวเองหรือเปล่า...ลองย้อนดูตัวเองสิ

ในมุมมองทางพุทธศาสนา มองว่า คนที่เกิดมามีทั้งสิ่งดี (บุญ) และสิ่งไม่ดีคือกิเลส (บาป) เป็นของตัวเอง การละทิ้งครอบครัว เพื่อไปเอาสิ่งไม่ดีออกจากตัว แล้วเอาสิ่งดี ๆ เข้าไว้ในตัว คนในสังคมที่ใฝ่กิเลสมองเพียงครึ่งเดียวว่า เป็นคนไม่ดี แต่คนในสังคมที่ใฝ่ธรรมมองไกลกว่านั้น และเห็นตรงกันข้าม ตัวอย่างเจ้าชายสิทธัตถะละทิ้งครอบครัว เพื่อไปขจัดความไม่ดีทิ้ง แล้วแสวงหาความดีใส่ตัว เมื่อได้ความดีมาแล้ว นำมาบอกกล่าวกับคนในครอบครัว รวมทั้งคนในสังคมอื่นให้ทำความดี จนในที่สุด คนในครอบครัวและคนในสังคมอื่น เห็นดีด้วยแล้วทำตาม จนมีความดีสั่งสมอยู่ในตัวถ้วนทั่วกัน คนดีเหล่านั้นได้พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น จนอยู่เหนือความดีความไม่ดี ที่เรียกว่า เหนือบุญเหนือบาปหรือหลุดพ้นจากบุญบาป ดังนั้นการละทิ้งครอบครัวไปเพื่อความหลุดพ้นส่วนตัว แล้วกลับมานำคนอื่นให้หลุดพ้นตามด้วย ในมุมมองของพระเรียกว่าเป็นคนดี แต่ในมุมมองของมาร(คนบาป) เรียกว่าเป็นคนไม่ดี...แล้คุณล่ะมองจากมุมไหน

180.
สวัสดีครับอ.สนอง  
อยากถามอาจารย์ว่าเทพบางองค์เช่น พระพิฆเนศ เจ้าแม่กวนอิมมีจริงหรือไม่
และชาวพุทธสมควรกราบไว้หรือไม่ครับ
   ขอบคุณครับ

คำตอบ
    ก่อนตอบคำถามขออธิบายคำที่เกี่ยวข้องกับที่ถามไป

คำว่ากราบไหว้ มีความหมายว่า เคารพบูชา

คำว่าเคารพ มีความหมายว่า ไม่ล่วงเกิน , ไม่ล่วงละเมิด , แสดงอาการนับถือ

คำว่าบูชา มีความหมายว่า แสดงความเคารพบุคคล , ยกย่องเทิดทูนด้วยความนับ ถือ , เลื่อมใสในความรู้ความสามารถ ฯลฯ

   ถ้าอ่านและเข้าใจความหมายของคำที่เกี่ยวข้องแล้ว จึงขอตอบว่า

พระพิฆเนศเป็นชื่อสมบัติของเทวดาองค์หนึ่ง ที่มีความสามารถในด้านศิลปะ หากชาวพุทธประสงค์จะกราบไหว้ (เคารพบูชา) ด้วยความเลื่อมในในนความรู้ความสามารถของการเป็นครูศิลปะ ก็ไม่ต่างไปจากการกราบไหว้ครูอาจารย์ที่มีอัตภาพเป็นมนุษย์ ผู้มีความรู้ความสามารถในด้านศิลปะสามารถกราบไหว้ได้ ไม่เสียหายตรงไหน กราบไหว้แล้วดี กราบไหว้แล้วยังเป็นมงคลแก่ตัวเองอีกด้วย (บูชาจ ปูชะนียา นัง เอตัมมัง คะละ มุตตะมัง)

ส่วนเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งมีอัตตภาพอยู่ในรูปนามของเทพ เป็นพระโพธิสัตว์คือผู้ตั้งความปรารถนาให้ได้ตรัสรู้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้ข้ามพ้นสังสารวัฏให้ได้เสียก่อน ตนเองจึงจะนิพพาน ควรกราบไหว้อย่างยิ่ง หากคุณปรารถนาความหลุดพ้นจากอาสวกิเลส ต้องเคารพบูชาและปฏิบัติตามธรรมที่ท่านชี้นำให้ได้และเช่นเดียวกัน กราบไหว้แล้วยังเป็นมงคลอุดมแก่ตนเองอีกด้วย

179.
เรียน ท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ
ขออนุญาตเรียนถามข้อสงสัยกับท่านอาจารย์ดังต่อไปนี้
1. ในชีวิตประจำวัน หากมีอาการคันตามร่างกาย ควรกำหนด คันหนอ คันหนอ... ไปจนกว่าจะหายคัน หรือพอรู้ว่าคัน ก็กำหนด คันหนอ คันหนอ... แล้วก็เกาพร้อมกับกำหนดเกาหนอ เกาหนอ... จนหายคัน

คำตอบ
    ถ้ายังไม่ปฏิบัติจิตตภาวนาแล้วเกิดอาการคันตามร่างกาย แนะนำให้ใช้มือเกาหรือใช้วัตถุช่วยเกา หากยังไม่หายคัน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทางโรคผิวหนัง หากอยู่ตามปกติไม่คันแต่ปฏิบัติจนได้สมาธิแล้วเกิดอาหารคันตามหน้า คันที่แขนหรือลำตัวให้กำหนดคำว่า “ คันหนอ ๆ ๆ ” เรื่อยไปจนกว่าจะหายคัน แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม

2. การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ที่กล่าวว่าควรเดินจงกรมไม่เกิน 45 นาที สลับกับนั่งสมาธิ 45 นาที นั้น ถูกต้องหรือไม่? หากใช่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เวลามีส่วนสำคัญต่อการปฏิบัติดังกล่าวหรือไม่?

คำตอบ
    การเดินจงกรม สลับกับการนั่งภาวนา แต่ละคนใช้เวลาไม่เหมือนกัน บางคนนั่งได้นิ่งเป็นสมาธิในระยะเวลาสั้น ๆ บางคนนั่งได้ยาวนาน ทังนี้เป็นเพราะคุณภาพจิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผ่านประสบการณ์การฝึกจิตมาต่างกัน บางคนฝึกจิตมามาก ฝึกมายาวนานข้ามภพข้ามชาติ ฝึกมาหลายชาติ โอกาสที่นั่งแล้วจิตเข้าสมาธิยาวนั้นมีได้เป็นได้บางคนเพิ่งเริ่มฝึกหัดใหม่ จะให้นั่งบริกรรมแล้วเกิดนิ่งเป็นสมาธิได้ยาวนานจะยังเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นการใช้เวลา 45 นาทีเป็นเกณฑ์วัดกับทุกคนคงไม่ถูกต้อง แต่ปฏิบัติอย่างนี้สิถูกต้อง คือเมื่อนั่งภาวนาให้สังเกตความตั้งมั่น (สมาธิ) ของจิตเริ่มเกิดขึ้นแล้วค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นจนสูงสุดและสมาธิจะเริ่มคลายที่ละน้อย ลดลงเรื่อย ๆ ขณะที่สมาธิกำลังจะลดลงให้เปลี่ยนอิริยาบถไปฝึกสมาธิแบบเดินจงกรมแทน เดินจงกรมแล้วเกิดสมาธิเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนสูงสุดและเริ่มลดลงให้เปลี่ยนอิริยาบถเดินจงกรมจะได้ผล

3. มีผู้ปฏิบัติที่เป็นฆราวาสบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลระดับอรหันต์หรือถึงนิพพานโดยไม่ได้ครองเพศบรรชิตหรือไม่?
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างมากที่กรุณาเสียสละเวลาตอบข้อสงสัยดังกล่าว
ด้วยความเคารพ
ผู้สงสัย

คำตอบ
    ฆราวาสที่ปฏิบัติธรรมหรือโยนิโสมนิการธรรมจนจิตบรรลุอรหัตถผลแล้ว หากยังต้องการมีชีวิตอยู่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพศจากฆราวาสไปอยู่ในเพศของนักบวช ดูตัวอย่างของพระนางเขมา มเหสีองค์หนึ่งของพระเจ้าพิมพิสาร เสด็จไปฟังธรรมจากพระโอษฐ์ที่วัดเวฬุวันโยนิโสมนิการจนจิตบรรลุอรหัตผล เข้าสู่ความเป็นอรหันต์บุคคลยังต้องบวชเป็นภิกษุณีจึงจะมีชีวิตอยู่ได้

178.
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์

ผมอยากเรียนถามอาจารย์ว่า

ความเป็นโสดาบันสามารถบรรลุโดยใช้แค่สุตะหรือจินตมยปัญญา ได้หรือไม่ครับ เช่น อ่านหนังสือหรือฟังธรรมแล้ว สามารถเข้าใจในความหมายของสังโยชน์ 3 ตัวแรกได้ และเมื่อบรรลุแล้วเขาจะรู้ตัวไหมครับว่าได้โสดาบันแล้ว

ด้วยความนับถืออย่างสูง

คำตอบ
    การอ่านหนังสือและฟังธรรมนำไปสู่การเกิดของสุตมยปัญญาและจินตมยปัญญา สามารถรู้และเข้าใจความหมายของสังโยชน์ 3 ตัวแรกก็จริง แต่เข้าใจในระดับสภาวะ ยังไม่สามารถเข้าถึงความจริงแท้ของสังโยชน์ 3 ได้ ฉะนั้นจิตยังไม่สามารถบรรลุความเป็นโสดาปัตติผลได้ ความเป็นโสดาบันบุคคลจะยังไม่เกิด ผู้ที่บรรลุโสดาบันแล้วจะรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะมีจิตมั่นคงอยู่ในธรรมที่ละได้แล้ว คือละความเป็นตัวตนความเป็นของตัวของตนได้เด็ดขาด ไม่สงสัยในองค์คุณของพระรัตนตรัย ไม่สงสัยในกฎแห่งกรรม ฯลฯ และเป็นผู้มั่นคงอยู่ในศีลไม่ด่างพร้อยหรือพร่อง

177.
เรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพ

การที่คนสองคนแต่งงานกัน และมีเพศสัมพันธ์ในฐานะสามีภรรยา ถือว่าเป็นการดึงจิตใจให้ต่ำลงโดยการสนองต่อกามารมณ์หรือไม่ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทั้งคู่กำลังพยายามถือศีลและละอารมณ์และกิเลสทางโลกออกเพื่อยกระดับจิตใจของตนให้สูงขึ้น แต่ยังปราถนาที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอยู่

ขอบกราบพระคุณครับ

คำตอบ
    หากทั้งสองคน (สามี-ภรรยา) สมาทานศีล 5 และมีเพศสัมพันธ์กันในฐานะสามีภรรยา ในฐานะฆราวาสมิได้เสียหายตรงไหน นางวิสาขาเป็นโสดาบันแต่งงานแล้วยังมีลูกได้ แต่หากฆราวาสสมาทานศีล 8 แล้วยังมีเพศสัมพันธ์กัน เป็นการละเมิดศีลที่สมาทานไว้การปฏิบัติธรรมไม่สามารถยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นได้ เพราะไม่มีสัจจะ

176.
เรียนถาม อ.สนอง วรอุไรครับ

ผมสงสัยว่าคนที่เกิดมารับวิบากกรรมเนื่องจากเคยผิดศีลข้อกาเม ทำให้มีความเบี่ยงเบนทางเพศ เป็นตุ๊ด เกย์ ทอม ดี้ นั้น หากปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 มีโอกาสบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล เช่นพระโสดาบัน ได้ในภพชาตินี้หรือไม่ เหตุที่ผมถามคำถามนี้เนื่องจากได้อ่านกระทู้ถามตอบในพันธ์ทิพย์กระทู้นึง โดยมีการยกคำกล่าวของพระรูปหนึ่งว่า บุคคลที่มีความผิดปกติเหล่านี้ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่สามารถปฏิบัติธรรมโดยสูงสุดได้แค่สุขคติโลกสวรรค์ เท่านั้น เป็นจริงหรือไม่ครับ

ขอกราบขอบพระคุณอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้ครับ

คำตอบ
    บุคคลประเภทต่าง ๆ ที่ยกเป็นตัวอย่างถามไปนั้น ยังต้องเสวยอุศลวิบากอันเนื่องมาจากประพฤติผิดศีลข้อ 3 มาแต่อดีต จิตยังหวั่นไหวต่อโลกธรรมและยังมีความเห็นไม่ถูกตรง (มิจฉาทิฏฐิ) ดังนั้นโอกาสบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันจะยังเป็นไปไม่ได้ แม้จะปฏิบัติตามมรรค 8 ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงความเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิตามมรรค 8 เพราะสัมมาทิฏฐิตัวนี้เป็นปัญญาเห็นถูกระดับโลกุตระ

อนึ่งจิตทิ้งร่างแล้วประสงค์ไปเกิดในโลกสวรรค์ ต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีคุณสมบัติของชาวสวรรค์ คือจิตดวงสุดท้ายก่อนหลุดออกจากร่าง ต้องพร้อมไปด้วยทานและศีลอยู่ครบสมบูรณ์จึงจะไปเกิดในโลกสวรรค์ได้

175.
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์

ผมอยากเรียนถามอาจารย์ว่าเมื่อเรากล่าวคำสมาทานศีล 5 เกิดเผลอพูดโกหกหรือทำประการใดๆก็ตามทำให้ศีลขาดไป มีคนบอกว่าในขณะนั้นถือว่าเราไม่มีศีลแล้ว ให้รีบวิรัติศีลจะได้กลับมามีศีลบริสุทธิ์ดังเดิม ผมเมื่อตอนเริ่มต้นรักษาศีลใหม่ๆก็ต้องวิรัติวันหนึ่งหลายครั้ง ต่อมาพอชำนาญในการควบคุมกาย วาจามากขึ้น ก็วิรัติน้อยครั้งลง บางวันไม่แน่ใจว่าวันนี้ได้ทำผิดศีลบ้างหรือเปล่าก็กล่าวคำสมาทานก่อนนอน วัตถุประสงค์คือต้องการให้มีศีลตลอดเวลา การทำอย่างนี้ถือว่าถูกต้องมั้ยครับหรือเป็นสีลพตปรามาสหรือเปล่าครับ

ด้วยความนับถืออย่างสูง

คำตอบ
   คำว่าสมาทานหมายถึง การรับเอามาเป็นข้อปฏิบัติ สมาทานศีล 5 หมายถึง รับเอาศีลทั้ง 5 ข้อมาปฏิบัติ เมื่อใดเผลอ (ขาดสติ) ไปกล่าววาจาเป็นเท็จ (โกหก) ศีลยังมีอยู่แต่มีไม่ครบ 5 ข้อ เรียกว่าศีล 5 บกพร่อง

ส่วนคำว่า วิรัติ หมายถึง ความเว้น , งดเว้น , เจตนาที่งดเว้นจากการความชั่ว ตัวอย่างเช่นคำว่า มังสวิรัติ มีความหมายว่าการงดเว้นกินเนื้อสัตว์ ส่วนคำว่า วิรัติศีล หรือศีลวิรัต ไม่มีในพจนานุกรมฯ มีแต่คำว่าศีลสมาทานคือการถือศีล การทำตามข้อบัญญัติ ดังนั้นก่อนนอนกล่าวคำสมาทานศีล คือรับเอาศีลมาเป็นข้อปฏิบัติ ก็ไม่น่าเสียหายตรงไหน

ที่ถามว่าเมื่อสมาทานศีล 5 แล้ว ปฏิบัติได้ไม่ครบ 5 ข้อถือว่าเป็นสีลัพพตปรามาสหรือไม่ ก่อนตอบคำถามนี้ ขออธิบายตามภูมิธรรมภูมิปัญญาของผู้ตอบปัญหาว่า คำว่าศีลหมายถึง การรักษากาย วาจา และใจให้เรียบร้อย พรต หมายถึง ความประพฤติ ปรามาส (ปะ-รา-มาด) หมายถึงความยึดมั่น , การลูบคลำ ฯลฯ คุณสมบัติของพระโสดาบัน (บรรลุโสดาปัตติผล) ต้องละสังโยชน์ 3 ได้ คือ

1. ละสักกายทิฏฐิได้

2. ละวิจิกิจฉาได้

3. ละสีลัพพตปรามาสได้

ดังนั้นผู้จะบรรลุธรรมขั้นเป็นอริยบุคคล ต้องมีศีลอยู่ครบในใจ กายและวาจาจึงจะมีพฤติกรรมเรียบร้อย ด้วยเหตุนี้จึงขอตอบว่า สมาทานศีล 5 แล้วยังรักษาได้ไม่ครบ ศีลยังบกพร่องถือว่าเป็นสีลัพพตปรามาสได้

174.
    กราบเรียน ดร.สนอง วรอุไร
หนูขออนุญาติ เรียนถาม ว่ากรณีที่หนูมีพี่เขย ซึ่งมีเหตุให้ต้องไปรับโทษในคุก และ หนูคิดว่าหากเป็นคนที่มีกรรมน้อย หรือมีเงินมาก ไม่น่าจะติดคุก แต่เขาก็ต้องติดด้วย ปัจจัยหลายอย่างที่พ้องกัน ในขณะเดียวกันเขาและภรรยา (พี่สาวหนู) ลูก พ่อแม่ และ คนใกล้ตัวหลาย ๆ คน ทุกข์มากกกก เพราะคิดไม่ถึงว่าความผิดของเขาจะทำให้เขาติด คุกได้นานถึง 12 ปี อีกทั้งกลัวว่าเขาไปอยู่ในคุกจะลำบาก ได้รับความทุกข์ต่าง ๆ เช่น เจอคนคุมไม่ดี เจอเพื่อนร่วมคุกไม่ดี เวลาจะทำอะไรที เช่น ไปเยี่ยม ฝากของไปให้ ก็ กลัวว่าคนในคุกด้วยกันจะอิจฉาแล้วทำร้ายให้เขาเดือดร้อน ในขณะที่พอไม่ฝาก หรือไม่ ไปเยี่ยมก็กลัวว่าจะหมดกำลังใจ หรืออยู่อย่างยากลำบากขาดแคลน
   
    ในขณะเดียวกันพี่สาวหนูต้องรับภาระเลี้ยงดูครอบครัวต่อในขณะที่ขาพิการ แต่ต้องทำงานหนักเลี้ยงดูลูก ๆ และต้องส่งเงิน ส่งของไปให้พี่เขยในคุก

    1. หนูอยากช่วยเขาบ้าง หนูอยากทราบว่าหนูสามารถทำบุญ หรือทำความดีอะไร ที่จะสามารถส่งผลบุญให้พี่เขยสามารถอยู่ในคุกได้อย่างสงบสุข และพ้นโทษได้เร็วกว่ากำหนดมาก ๆ และตัวเขาเองต้องทำอย่างไร

คำตอบ
   ขณะที่อกุศลวิบากให้ผล ต้องยอมรับและชดใช้วิบากนั้นจนหมด คุณคิดอุทิศบุญกุศลให้เขา สามารถทำได้แต่เขาจะยังไม่ได้รับในตอนนี้ หากต้องการให้เขาพ้นโทษเร็ว ต้องทำตัวเองให้เป็นนักโทษชั้นดี ปฏิบัติตามกฎระเบียบของเรือนจำ และขณะเดียวกันต้องปฏิบัติบุญกิริยาวัตถุ 10 ทำเฉพาะข้อที่สามารถทำได้ เช่น ทำตัวเองให้เป็นคนอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ อ่อนน้อมตนต่อผู้คุม ช่วยทำงานให้กับส่วนรวม ยินดีเมื่อคนอื่นทำความดี รักษาศีล 5 ให้มีอยู่ในใจ สวดมนต์ภาวนา อุทิศบุญกุศลที่ทำแล้วให้เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ สรุปแล้วคือทำตัวเป็นนักโทษชั้นดีได้แล้ว โอกาสได้รับการพิจารณาลดหย่อนโทษเป็นไปได้

   2. หนูอยากช่วยพี่สาวให้มีชีวิตที่สงบสุขบ้าง เพราะเท่าที่ผ่านมา ชีวิตมีแต่ความทุกข์ซ้ำซ้อน เช่น พอจะสบายก็มีเหตุให้ลำบาก หนูต้องทำอย่างไร และพี่สาวต้องทำอย่างไร

คำตอบ
    ถ้าอยากให้พี่สาวมีชีวิตที่สงบสุข ต้องทำให้พี่สาวมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาและทำตัวเองให้อยู่ในศีลในธรรม เช่นรักษาศีล 5 สวดมนต์ เจริญภาวนา ทำทุกวันเรื่อยไปตลอดชีวิตโอกาสพบกับความสงบสุขเป็นได้

   3. พ่อแม่หนูฝากความหวังไว้ที่หนู ว่าหนูน่าจะสามารถช่วยวิ่งเต้นหาคนโน้น คนนี้ให้ช่วยพี่เขยได้ ในขณะที่หนูเองไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะยังมองไม่เห็นช่องทางว่าเขาจะช่วยอย่างไรได้ อีกอย่างหนูไม่กว้างขวางพอ ในขณะเดียวกันหนูไม่กล้าบอกพ่อแม่ว่าหนูช่วยไม่ได้ แต่หนูกลับบอกว่าหนูจะช่วยอย่างเต็มที่เท่าที่หนูจะสามารถช่วยได้ หนูบาปหรือไม่ที่หลอกให้พ่อแม่มีความหวัง ในขณะที่หนูเองยังไม่รู้เลยว่าหนูจะช่วยอย่างไรได้ และหนูต้องทำอย่างไร

    ขอกราบขอบพระคุณที่เมตตาตอบคำถาม

คำตอบ
    สามารถช่วยพี่เขยได้แน่นอน ด้วยการพูดบอกกล่าวแนะนำให้พี่เขยทำความดีด้วยตัวของเขาเอง ดังที่ได้แนะนำไว้ในข้อ (1) อย่างนี้เรียกว่าช่วยเหลือได้แล้ว มิได้ผิดวาจาที่ให้ไว้กับพ่อแม่แต่อย่างใด ทำไมไม่ลองบอกให้พี่เขยพิสูจน์ด้วยตัวเขาเองล่ะ หากเขาเชื่อในผลของบุญกุศลแล้วลงมือกระทำด้วยตัวเอง อานิสงส์แห่งบุญแห่งการทำความดีจะกลับมาหาตัวของพี่เขยเอง กาลเวลาเมื่อผ่านไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนได้ ทำไมไม่หาเวลาในคุกมาทำประโยชน์ให้กับตัวเองล่ะ

173.
เรียนถาม อ.สนอง วรอุไรครับ
สวัสดีครับ ขอรบกวนถามอ.สนองว่า
สมมุติว่าผมไปเบียดเบียนคนๆหนึ่งหรือพระองค์หนึ่งแต่คนๆนั้นหรือพระท่านรูปนั้นไม่ผูกเวรกับเรา
อโหสิให้เราแล้วเรายังต้องรับกรรมจากการทำร้ายเปียดเบียนอยู่ไหมครับ
ขอบคุณมากครับ

คำตอบ

    กรรมเบียดเบียนเมื่อถึงเวลาให้ผลจะเป็นอกุศลวิบาก กลับมาตอบแทนผู้ก่อกรรมนั้น หากผลกรรมเบียดเบียนยังไม่แสดง และผู้ทำกรรมเบียดเบียนไปขอขมาโทษแล้ว ท่านยกโทษให้ เป็นอันว่ากรรมที่ทำไว้เลิกให้ผล เป็นอโหสิกรรมไป ปัญหามีอยู่ว่า คุณไปเบียดเบียนท่านแล้วบริวารของท่านอาจจะเดือดร้อนจึงได้ผูกพยาบาทจองเวรได้ ท่านยกโทษให้แต่บริวารไม่ยกโทษให้ คุณยังจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นอยู่

172.
กระผมได้เคยอ่านหนังสือที่ท่านได้สนทนาตอบปัญหากันกับญาติธรรมทั้งหลาย

กระผมมีความสงสัยในการปฏิบัติดังนี้ครับ
กระผมปฏิบัติธรรมโดยการนั่งสมาธิ บริกรรมภาวนา พุทโธ เรื่อยมา จนจิตสงบ นิ่ง ว่าง สว่าง จนกระผมเริ่มเบื่อ ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไรต่อ ทำทีไรก็ถึงแค่ตรงนี้ กระผมจึงได้เริ่มศึกษาการเจริญสติปัฐฐาน โดยเมื่อก่อนกระผมมุ่งไปที่ความสงบอย่างเดียว แต่ตอนนี้ตอนนั่งสมาธิกระผมจะค่อยๆรับรู้ลมหายใจไปเรื่อยๆว่ากระทบตั้งแต่จมูก อก ท้อง จากลม หยาบ ไปจนถึงลม ละเอียด ในที่สุด จนลมหายใจหายไป ก็นิ่ง จากนั้นกระผมจึงมาดูที่ตัวผู้รู้ คือดูที่ตัวรับรู้ความว่าง หรือสงบนั้นถูกต้องหรือไม่ครับ ก็พิจารณาดูไปเรื่อยๆ ก็ปรากฏว่าจิตนั้นไม่ได้รับรู้อยู่ที่ความว่างอย่างเดียวแต่กวัดแกว่งไปๆมาๆครับ

หลังจากออกจากการนั่งสมาธิแล้วกระผมก็เจริญสติทั้งวันหน่ะครับ คือรับรู้อารมณ์สักแต่ว่ารู้ เห็นความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไปเช่นนี้ แล้วมาวันหนึ่งกระผมได้เจริญสมาธิ จนจิตสงบ โดยวันนั้นสามารถวางอารมณ์ของจิตแบบเป็นกลางได้มากเลยครับ ก็เลยเจริญสมาธิ เมื่อพอจิตสงบปุ๊บ จิตมันก็เหมือนกับทบทวนอะไรสักอย่างโดยกระผมไม่ได้ตั้งใจนึก กลับไปกลับมา ซึ่งผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเช่นไรเพราะมันไม่มีภาษาที่จะเรียก จากนั้นก็เห็นในจิตว่ามีลำแสงสีขาวพุ่งออกมาบนศีรษะผม แล้วสติที่รับรู้อยู่นั้นเหมือนถูกดูดเข้าไปลึกมากเหมือนกับใจจะขาดปานนั้นครับ แต่กระผมก็มีสติตามดู ว่าตายเป็นตาย จากนั้น สติของกระผมก็ขาดไปครู่หนึ่งซึ่งเร็วมาก แล้วมื่อได้สติจิตซึ่งไม่ได้มีความตั้งใจอะไรมาก่อนเลย
กลับอฐิษฐานจิตของมันเอง ว่าขอถึงซึ่งพระนิพพาน หลังจากออกมาจากสภาวะนั้น กระผมก็มีความอิ่มเอมใจมากครับไปหลายวันและเหมือนกับเราไม่ค่อยยึดอะไรมากเหมือนเมื่อก่อน กระผมไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร จิตฟุ้งมากไปรึเปล่าก็ไม่รู้ ซึ่งกระผมเองก็ไม่ได้ยึดติดว่ามันจะเป็นอะไรรู้แล้วก็แค่นั้น

จึงใคร่ความเมตตาท่านกรุณาชี้แนะ แนะนำการปฏิบัติของกระผมเพิ่มเติมว่าถูกต้องหรือไม่ อย่างไรควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อไปจึงจะก้าวหน้า ถูกวิปัสนูปกิเลสหลอกหรือไม่

ขอขอบพระคุณท่านที่เมตตามา ณ โอกาสนี้

คำตอบ
    ที่บอกเล่าและถามไป ผู้ตอบได้อ่านและเข้าใจแล้ว ขอตอบในฐานะที่เคยผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนเกือบจะทั้งหมดที่เขียนไป
   อาการจิตสงบที่นิ่งว่างสว่าง ปฏิบัติทีไรก็จบลงตรงนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกแล้วเริ่มมีอาการเบื่อเกิดขึ้น ผู้ตอบคำถามได้รับคำแนะนำให้แก้ไขได้ทันท่วงทีด้วยเหตุอยู่ใกล้ครูผู้รู้นั่งเอง คำว่าเบื่อ (หน่าย ไม่อยาก จิตหน่ายเอาใจ) ตัวนี้เป็นกิเลส ที่เข้ามากวนใจให้ขุ่นมัว ไม่ใช่เบื่อที่เรียกว่านิพพิทาญาณ หากเป็นนิพพิทาเกิดขึ้น จะมีผลตามมาคือ จิตเร่งความเพียรหาทางให้พ้นไปจากกองทุกข์คือความเบื่อที่เป็นเหตุให้จิตเศร้าหมองนี้ ส่วนที่บอกไปเป็นความเบื่อที่มีเหตุจากการปฏิบัติสมถกรรมฐาน ซึ่งยังไม่รู้ทันสภาวะความเป็นจริงของความเบื่อ

หากต้องการแก้ปัญหาความเบื่อของคุณที่เกิดขึ้น คุณต้องเปลี่ยนเป้าหมายของการปฏิบัติธรรม เสียใหม่ว่า “ จะมุ่งไปสู่ปัญญารู้แจ้งในสรรพสิ่งตามความเป็นจริงและมีจิตปล่อยวางเป็นอิสระ ” มิใช่มุ่งไปที่ความสงบเพียงอย่างเดียว ใช้พื้นฐานจิตสงบของคุณนั้นมากำหนดพิจารณา กาย เวทนา จิต และธรรม ให้รู้เห็นถูกตรงตามสภาวะที่เป็นจริง ในที่สุดจะเห็นว่า กาย เวทนา จิตและธรรม จบลงที่อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา (กฎไตรลักษณ์) คือเป็นลักษณะที่มุ่งให้เห็นอย่างถ่องแท้ว่า จะเป็นกายก็ดี เป็นเวทนาก็ดี เป็นจิตก็ดี หรือเป็นธรรมก็ดี เป็นของมิใช่ตัวตน เป็นสิ่งที่ว่างเปล่าจากการเป็นสัตว์บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่เป็นของใครจริง ไม่ขึ้นอยู่กับการบังคับของใคร เป็นเพียงสภาวธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย ฯลฯ ในที่สุดเมื่อจิตเห็นเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า เป็นสมมติที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว จิตจะปล่อยวาง จิตเป็นอิสระ เกิดอุเบกขา และเกิดปัญญารู้เท่าทันสรรพสิ่ง นี่คือหนทางแห่งพุทธะ ที่อยู่เหนือความเบื่อความอยากอยู่เหนือความกวัดแกว่งของจิตใจ อยู่เหนือความยึดติด เหนือความอิ่มเอมใจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เกิดได้ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น

อย่าปลงใจเชื่อ ... ควรพิสูจน์ดูให้เห็นด้วยตัวเอง แล้วจะเห็น ว่าสัจธรรมของพระพุทธะนั้น ยังคงเป็นความจริงมาจนทุกวันนี้

171.
สวัสดีค่ะท่านอาจารย์สนองที่เคารพ

เรียนถามอาจารย์ ดังนี้ค่ะ

1.
ดิฉันนั่งสมาธิโดยกำหนดยุบพองและดูจิตพร้อมกันไปด้วยค่ะ
ขณะที่นั่งสมาธิได้ประมาณ 10 นาที จิตในขณะนั้นรู้สึกได้ว่ามีความสุข มีความสงบ แต่สักครู่หัวใจก็เต้นแรงขึ้น หายใจแรงขึ้น ตาที่หลับอยู่ก็กระพริบแรงขึ้น จากนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นไหวแบบขึ้นลงทั้งตัวแรงขึ้น ๆ ลักษณะคล้ายการทรงเจ้าค่ะ ดิฉันเกิดความกลัวแต่ก็ตามดูอาการทั้งหมดนี้จนมันหายไปค่ะ ใช้เวลา3-5 นาทีค่ะ จากนั้นก็เข้าสู่ภาวะปกติของการนั่งสมาธิ ออกจากสมาธิแล้วยังรู้สึกกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ค่ะ อาการนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 4 ครั้งค่ะ ก่อนจะเกิดสภาวะเหล่านี้จิตมีความสุขและสงบทุกครั้งค่ะ แต่ในครั้งที่ 4 นี้ ดิฉันมีความรู้สึกว่ามีเงาดำผ่านไปมาหน้าดิฉัน 2 เที่ยว ทั้งที่นั่งหลับตาอยู่ แล้วจึงเกิดอาการข้างต้นค่ะ แต่คราวนี้ดิฉันออกจากสมาธิทันทีเลยค่ะไม่รอให้ร่างกายสั่นไหว แล้วก็แผ่บุญเหมือนทุกครั้งค่ะ จึงอยากทราบค่ะว่าอาการข้างต้นนั้นเป็นอาการของอะไรคะ? เป็นไปได้ไหมคะว่ามีจิตอื่นต้องการร่างของดิฉัน?
ขออาจารย์แนะนำการปฏิบัติที่ถูกต้องให้ด้วยค่ะ

คำตอบ
    การฝึกจิตให้มีสติด้วยการนั่งกำหนด “ พองหนอ-ยุบหนอ ” ควรฝึกควบคู่กับการเดินจงกรม สลับกันไป การเดินจงกรมเป็นอิริยาบถใหญ่เหมาะกับผู้เริ่มฝึก เพราะจะทำให้การเจริญสติเกิดได้ง่าย และทำให้จิตเป็นสมาธิตั้งมั่นได้ยาวนาน ดีกว่าการนั่งภาวนาเพียงอย่างเดียว

วิธีแก้ปัญหาเรื่องอาการสั่นไหวของร่างกาย ที่บอกไปนั้นทำได้ถูกทางแล้วให้รักษาปฏิปทานี้ไว้ ส่วนเรื่องที่ไปคิดว่า จะมีจิตวิญญาณอื่นต้องการใช้ร่างของเรานั้น ไม่สมควรคิดแต่หากความคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อใด ให้กำหนดจิตตามดูความคิดที่เกิดขึ้นว่าเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อความคิดอนัตตาไปแล้วให้ดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม


2. ขออาจารย์แนะนำด้วยค่ะว่า
ทำอย่างไรจิตจึงจะมีความหนักแน่น และไม่โลเลในบุญที่ได้ทำไปแล้ว? ไม่ให้คิดว่า ทำทานมากหรือน้อยไป ไม่ให้คิดเสียดายทานที่ได้ให้ไปแล้ว ฯลฯ
รบกวนเรียนถาม 2 ข้อค่ะ
ขออาจารย์เมตตาตอบคำถามและให้คำแนะนำเพื่อนำไปปฏิบัติด้วยค่ะ

ขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    ถ้าต้องการให้จิตมีความหนักแน่นในบุญหรือความดีใด ๆ ที่ได้ทำไว้แล้ว คือต้องการรักษาความดีให้คงอยู่นั่นเอง ต้องเจริญพละ 5 (ศรัทธา-วิริยา-สติ-สมาธิ-ปัญญา) ให้จิตมีกำลังกล้าแข็ง ทำอยู่เสมอ ๆ แล้วมารหรืออกุศลกรรมใด ๆ จะไม่สามารถเข้ามายึดพื้นที่ใจของเราไปครอบครองได้ ความดีหรือบุญที่คุณได้ทำไว้แล้ว จะยังคงอยู่ในใจของคุณตลอดไป

   เพราะจิตคนเรามีลักษณะพิเศษคือ สามารถรับอารมณ์ได้ทีละอย่าง ขณะใดที่จิตมีสติคุม กิเลสก็จะไม่สามารถเข้ามามีอิทธิพลในจิตใจได้ แต่ขณะใดที่ขาดสติ ขณะนั้นเป็นช่วงจังหวะที่อกุศลหรือกิเลสเข้ายึดพื้นที่ได้

170.
ดร.สนองครับผมมีปัญหาจะถามดร.สนองครับ คือ

บาปรึป่าวครับ
ผมอยู่ดีๆมันเหมือนในจิตเรามันแบ่งเป็น 2 ตัวครับคือตัวหนึ่งดีอีกตัวหนึ่งไม่ดีเหมือนตัวไม่ดีมันแทรกขึ้นมาเลยคอยด่าพระบ้าง ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือบ้าง จิตด้านดีก็ค่อยบอกว่าไม่ดีนะ คอยขอโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าไม่มีเจตนาลบหลู่เคยฟัง CD ของดร.สนองว่าเดี๋ยวมันก็หายตามกฎ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่ไม่หาย กลัวมากเลย จะนั่งสมาธิก็ไม่กล้ากลัวมันกลับมาอีก จะนอนก็นอนไม่หลับต้องรอให้ง่วงจัดครับ อยากถามดร.สนองว่าจะบาปรึป่าวครับที่จิตอีกตัวคอยด่าสิ่งต่างๆ และจะทำอย่างไรให้หายครับทำไมคนอื่นไม่เป็นครับหรือเป็นบาปติดตัวมาครับ

ขอความกรุณาด้วยครับ

คำตอบ
    ทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มีทั้งส่วนดี (กุศล) และส่วนไม่ดี (อกุศล) ฝังลึกอยู่ในจิตใจ เมื่อกุศลกรรมให้ผลเป็นกุศลวิบาก จะมีอารมณ์ดี คิดพูดทำแต่สิ่งดีงาม แต่เมื่อใดที่อกุศลกรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบากอารมณ์จะไม่ดี คิดพูดทำแต่สิ่งไม่ดี วิธีแก้ไขสิ่งไม่ดี ต้องปรับแก้ไขที่จิตใจตนเอง โดยทำตามคำแนะนำของผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ ด้วยการนำตัวเองเข้ารับการฝึกจิตให้มีกำลังของสติกล้าแข็ง สามารถระลึกทันสิ่งกระทบภายนอกที่ไม่ดี และระลึกได้ทันสิ่งกระทบภายในที่ฝังอยู่ในจิตทำให้เกิดความคิดที่ไม่ดี ใช้จิตที่สงบตามดูความคิดที่ไม่ดีว่าในที่สุดดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ การฝึกต้องใช้ความอดทน ฝึกฝนต่อเนื่องในทุกอิริยาบถ ไม่ปล่อยให้จิตว่าง ต้องฝึกจิตอยู่ทุกขณะที่นึกได้ ฝึกทุกขณะที่ว่างจากกิจการงานภายนอก ฝึกตลอดไป บางคนบางกรณีอาจต้องใช้เวลาฝึกฝนยาวนาน กว่าอกุศลวิบากคือความคิดที่ไม่ดีหมดสิ้นไป

169.
สวัสดีครับ
มีเรื่องอยากจะรบกวนถามอ.สนองครับ
คือไม่ทราบว่านักบวชหรือฆราวาสฝ่ายมหายานซึ่งมีอยู่หลายๆนิกายนี้โดยทั่วไปไม่ทราบว่าจะมีผู้ที่เป็นอริยบุคคลไหมครับ
คือถ้ามีอภิญญาผมคิดว่ามีแน่
แต่ผมไม่แน่ใจว่าถ้าถ้าเป็นระดับอริยบุคคลระดับโสดาบันขึ้นไปจะมีหรือเปล่าเพราะผมคิดว่าข้อปฏิบัติเพื่อความเข้าสู่ความเป็นอริยะบุคคลดูเหมือนจะเป็นฝ่ายเถรวาทเท่านั้นครับ
เลยอยากจะถามความเห็นของอาจารย์ครับ
ขอบคุณครับ

คำตอบ
    นักบวชหรือฆราวาสฝ่ายมหายาน หากประพฤติปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 หรือโยนิโสมนสิการ แล้วเกิดปัญญาเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้นล้วนมีเหตุที่ทำให้เกิด เมื่อเหตุเหล่านั้นดับสรรพสิ่งย่อมดับไปด้วย แล้วจิตปล่อยวางเป็นอิสระได้ โอกาสเข้าเข้าถึงความเป็นอริยบุคคล มีได้เป็นได้ (
อ่านเรื่องเหลี่ยวฝานสอนลูกเป็นส่วนประกอบ)
   การเกิดอภิญญาขั้นโลกียะ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเถรวาทหรือมหายาน หากสามารถมีจิตนิ่งเป็นฌานได้ โอกาสเข้าถึงอภิญญามิได้เป็นได้เช่นกัน นิกายทั้ง 2 มีวิธีการปฏิบัติแตกต่างกันได้

168.
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์

ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ

1. ผมมีอาชีพที่ต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์และต้องซื้อแผ่นโปรแกรมเถื่อนมาใช้งาน อย่างนี้ถือว่าผิดศีลข้ออทินนามั้ยครับ

คำตอบ
การไปซื้อแผ่นซีดีเถื่อนมาใช้งาน เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ในแง่ที่ว่ารับซื้อของโจรหรือของที่ขโมยมา และยังเป็นการสนับสนุนให้คนอื่นประพฤติผิดศีลข้อ 2 (อทินนาทาน) ถือได้ว่าผู้ซื้อมีส่วนร่วมในการละเมิดศีลข้อ 2 นั้นด้วย

2. ตามข้อ 1 ถ้าผิดศีล แล้วถ้าผมใช้งานโปรแกรมหรือเพลงที่ผมซื้อมาก่อนหรือมีอยู่ในเครื่องก่อนที่จะสมาทานศีล ถือว่าผิดมั้ยครับ

คำตอบ
การไปซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งาน แต่มีโปรแกรมหรือเพลงติดอยู่ในเครื่องก่อนแล้ว เจตนาในการทำกรรมคือการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มิได้มีเจตนาซื้อโปรแกรมหรือเพลงที่ติดมากับเครื่องไม่ถือว่าเป็นกรรม จึงไม่ผิดศีลข้ออทินนาทาน

3. ได้ยินมาว่า อุโบสถศีลมีอานิสงส์มากแต่ก็บาปมากถ้าเราทำผิดศีล จริงมั้ยครับ และถูกต้องตัวผู้หญิงได้ไหมครับในวันที่เราถืออุโบสถศีล

คำตอบ
จริงครับ อุโบสถศีลมีอานิสงส์มากกว่าเบญจศีล เพราะจะรักษาได้ยากกว่า ใช้ความพยายามมากกว่า จึงมีอานิสงส์มากกว่าในวันที่ถืออุโบสถศีล ถ้าเป็นฆราวาสถูกต้องตัวสตรีได้ หากคุณไม่มีเจตนาประพฤติผิดพรหมจรรย์ คือเว้นจากการร่วมประเวณี

4. การพูดจาหยอกล้อกันหรือพูดเล่นแบบเว่อๆ สนุกๆ โดยในใจไม่เจตนาจะส่อเสียดหรือให้คนฟังต้องเสียใจ จะผิดข้อมุสา มั้ยครับ

ขอบคุณครับ

ด้วยความนับถืออย่างสูง

คำตอบ
การพูดจาหยอกล้อ หรือพูดเล่น แบบเวอร์ ๆ สนุก ๆ ถือว่าไม่ผิดศีลข้อ 4 (มุสาวาท) เว้นจากการพูดเท็จ พูดโกหก ไม่ตรงตามความเป็นจริง แต่ผิดกุศลกรรมบถ (กรรมดีอันนำไปสู่สุคติ) ข้อวจีกรรม 4 ได้แก่ เว้นพูดเท็จ เว้นพูดส่อเสียด เว้นพูดหยาบ เว้นพูดเพ้อเจ้อ การพูดที่กล่าวถึงข้างต้น ถือว่าเป็นการพูดเพ้อเจ้อ จึงผิดวจีกรรมข้อที่ 4

167.
สวัสดีปีใหม่ ค่ะ

ตอนช่วงก่อนปีใหม่ได้มีโอกาสไปฝึกวิปัสสนากรรมฐาน แล้วนำมาปฎิบัติตต่อที่บ้าน อาการพองยุบ จะค่อนข้างรุนแรง พองสุด สุด และ ยุบ สุด สุด จะพยายามกำหนดรู้ให้เท่าทัน และจะมีอาการผงะ เข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดาตามกฎไตรลักษณ์ แต่ การปฏิบัติเองคนเดียวจะไม่มีอันตรายใช่มั้ยค่ะ เกรงว่าคนข้างนอกเวลามาเห็นเราทำกรรมฐานแล้วจะตกใจกับอาการดังกล่าว จริงๆแล้วยังมีความรู้เรื่องนี้น้อยนิดมาก สุดท้ายจะขอเป็นกำลังใจในการทำงานของอาจารย์ ค่ะ

คำตอบ
    อาการพอง – ยุบเกิดขึ้นรุนแรง ให้กำหนดหรือมีจิตจดจ่อ (สติ)อยู่กับคำบริกรรมว่า “ รุนแรงหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ” เรื่อยไปจนกว่าอาการพองยุบที่เกิดขึ้นรุนแรงนั้นดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ และเช่นเดียวกัน อาการผงะเป็นความปรกติของจิตที่มีสติอยู่ในระดับหนึ่ง ต้องกำหนดหรือมีจิตจดจ่อ (สติ) อยู่กับคำบริกรรมว่า “ รู้หนอ ๆ ๆ ๆ ” เรื่อยไปจนกว่าอาการผงะดับไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจึงดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม คือพองหนอ-ยุบหนอ

   วิธีดังกล่าวนี้ เป็นการดึงจิตกลับมาให้มีสติจดจ่อ อยู่กับอาการที่เกิดขึ้น เมื่อใดที่สติระลึกได้ทันอาการดังกล่าวจะหายไป (อนัตตา) ที่ถามไปนั้นในทางปฏิบัติแล้วเป็นการส่งอารมณ์ให้กัลยาณมิตรช่วยตรวจสอบแก้ไข หากผู้ปฏิบัติกรรมฐานมีศรัทธาในคำชี้แนะ แล้วปฏิบัติตามที่ผู้มีประสบการณ์แนะนำ ปัญหาที่เกิดขึ้นจะหมดไปไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้น

166.
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์

ผมอยากเรียนถามอาจารย์ว่า
1. การรักษาศีลจำเป็นจะต้องสมาทานหรือไม่ หรือแค่คิดในใจว่างดเว้นตามข้อห้ามให้ได้ครบก็ใช้ได้หรือเปล่าครับ ผมสงสัยว่าชาวต่างชาติหรือแม้แต่คนไทยเองถ้าไม่ได้สมาทาน แต่ไม่ได้ทำผิดศีลเลยอย่างนี้ถือว่ามีศีลหรือไม่ครับ

คำตอบ
    ถ้าเป็นฆราวาสและมีศีลทั้ง 5 ข้อ อยู่ในจิตใจครบถ้วน กายและวาจาจะมีศีลคุ้มครองโดยอัตโนมัติ จึงไม่จำเป็นต้องสมาทานศีลจากพระสงฆ์

2. มีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่าการถวายซอง(เงิน)พระเป็นบาป เพราะเราทำให้พระอาบัติ
ถูกต้องหรือไม่ครับ
   ปัจจุบันมีหลายๆอย่างที่อาจารย์แต่ละท่านสอนไม่เหมือนกัน ผมก็พยายามค้นคว้าจากหลายที่เช่นพระไตรปิฏก แต่ก็ยังไม่เข้าใจ
   วันหลังอาจจะรบกวนถามอาจารย์อีกหลายข้อครับ ขอบคุณครับ
    ด้วยความนับถืออย่างสูง
         วุฒิศักดิ์ จองระหงษ์

คำตอบ
    ในครั้งพุทธกาล พระพุทธะ บัญญัติมิให้สงฆ์สาวกรับเงินทองที่ฆราวาสถวาย ด้วยเหตุนี้กระมังภิกษุสงฆ์ไทยสายธรรมยุคจึงบัญญัติมิให้สงฆ์รับทรัพย์ด้วยมือตนเอง แต่อนุญาตให้รับใบปวารณาได้

ในความเห็นส่วนตัวของผู้ตอบคำถาม ซึ่งตอบในฐานะฆราวาสผู้ปฏิบัติธรรม ภิกษุรับปัจจัย (ทรัพย์) ด้วยมือตนเองเมื่อรับแล้วเอาเข้าไว้เป็นส่วนกลางแก่หมู่สงฆ์ นั่นคือมีจิตไม่ตกเป็นทาสของทรัพย์ ไม่น่าจะถือว่าเป็นอาบัติ

165.
เรียน ดร.สนอง

บาปมั้ย?
ถ้าหากลูกบวชไม่ยอมสึกทั้งๆ ที่ครอบครัวมีความลำบากต้องการคนมาช่วยดูแลและพยุงฐานะทางครอบครัว การปฏิบัติเช่นนี้ถือว่าบาปมั้ยครับ หรือมีทั้งบาปและบุญครับ ที่ถามเพราะผมเห็นมาหลายกรณีที่พ่อแม้ไปร้องไห้อ้อนวอนขอให้ลูกสึก แต่ก็มีทั้งที่ครอบครัวลำบากจริง ๆ ต้องการให้ลูกกลับมาช่วยกันทำงานหาเงิน และทั้งที่ตัดใจไม่ได้อยากให้ลูกออกมาอยู่ที่บ้านตามปกติ

ขอบคุณครับ

คำตอบ
    การบวชเป็นภิกษุ หากได้รับความยินยอมจากครอบครัวก่อนบวชไม่ถือเป็นบาป แต่เมื่อบวชแล้วจิตใจยังห่วงกังวลอยู่กับความยากลำบากของครอบครัวถือว่าเป็นบาป
   หากบวชแล้วปฏิบัติธรรมจนกระทั่งจิตใจเป็นอิสระจากสิ่งเศร้าหมองได้ถือว่าเป็นบุญ

164.
เรียน อาจารย์สนองที่เคารพ

ฝึกกรรมฐานมาประมาณ 3 เดือน แล้ว ในวันธรรมดาจะนั่งสมาธิ 1 ครั้ง 1 ชั่วโมง ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์จะปฏิบัติวันละ 2-3 ครั้ง แต่ 3 เดือนที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าไม่ก้าวหน้าเลยครับ บางครั้งจิตก็สงบมาก แต่บางครั้งก็เหมือนวุ่นวายไปหมดเลยครับ ผมจะต้องทำอย่างไรจึงจะถูกวิธี ศึกษาจากหนังสือบางครั้งไม่เข้าใจเลย ผมขอความกรุณาอาจารย์ช่วยแนะนำวิธิปฏิบัติหรือมีหนังสือเล่มใดที่ผมจะศึกษาได้บ้างครับ

ขอขอบพระคุณอาจารณ์ไว้นะโอกาสนี้ด้วยครับ
จักรพันธ์ อริยะวงศ์

คำตอบ   

  ปฏิบัติธรรมมาแล้ว ๓ เดือน บางครั้งจิตสงบมาก ก็แสดงว่าการปฏิบัติในบางครั้งดำเนินไปถูกทาง แต่รักษาความสงบของจิตไว้ไม่ได้ เกิดจาก ๒ สาเหตุใหญ่คือการปฏิบัติส่วนใหญ่ดำเนินไปผิดทาง หรือเหตุเกิดเพราะใจมีกำลัง (พละ๕) ไม่กล้าแข็งถ้าจะให้ความสงบคงอยู่ได้ต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ คือเจริญพละ 5 (สัทธา วิริยา สติ สมาธิ ปัญญา) อยู่ทุกขณะตื่นที่ว่างจากกิจการงานและต้องเจริญพละ 5 ทุกครั้งที่ฝึกได้ ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอและยาวนาน กำลังของใจจึงจะกล้าแข็งรักษาความดี (ความสงบ) ไว้ได้ และหากต้องการให้ได้มรรคผลเร็ว ควรอุทิศเวลาให้กับการปฏิบัติด้วยการนำตัวเองไปเข้าครอส์ปฏิบัติอย่างน้อย 7-10วัน โดยมีครูอาจารย์คอยชี้ทางแนะนำแก้ไข จะทำให้การปฏิบัติธรรมได้ผลเร็วยิ่งขึ้น

  การอ่านหนังสือได้เพียงความจำ ไม่สามารถเข้าถึงความจริงแห่งธรรมของพระพุทธะได้ ฉะนั้นควรงดการอ่าน แล้วเร่งภาคปฏิบัติให้เข้มข้นขึ้นจะดีกว่า

163.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไรที่เคารพ
เมื่อเร็ว ๆ นี้กระผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับหลวงพ่อพุธ ฐานิโย (พระราชสังวรญาณ) วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสิมา มีความตอนหนึ่งว่า "ถ้าพุทธศาสนาเสื่อมจากประเทศไทยจะไปเจริญที่รัสเซีย ตอนนี้เขาก็เริ่มค้นคว้าทางจิตกันมาก แม้ว่าจะมีจุดประสงค์ไว้ใช้ประโยชน์ในทางโลก แต่การทำสมาธิพอถึงจุดหนึ่งก็จะถึงจุดสันติเหมือนกัน เขาจะมีความศรัทธาในพุทธศาสนา และเนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศมหาอำนาจ เขาจะสามารถเผยแผ่พุทธศาสนาได้กว้างไกลมาก คอยดูกัน ถ้าใครอยู่ได้ถึง 200 ปีข้างหน้า ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ ศพหลวงพ่ออยู่ที่ไหนเยี่ยวรดได้เลย"

หมายเหตุ หลวงพ่อ ชาตะ 4 กพ. 2464 มรณภาพ 15 พค. 2542 พระราชทานเพลิงศพ 31 พค. 2543

กระผมขอเรียนถามความคิดเห็นของท่านอาจารย์เกี่ยวกับความข้อนี้
ขอกราบขอบพระคุณอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้ครับ
สอ (#4800572)

คำตอบ
ถามว่าผู้ตอบมีความคิดอย่างไร เกี่ยวกับข้อความที่บอกเล่าไป
   ขอตอบว่า 200 ปี ข้างหน้าเป็นเรื่องของอนาคต คนตอบคำถามและคนถามคำถาม คงไม่มีอายุยืนยาวจนถึงเวลานั้น ถามไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ตอบมาก็ไม่เกิดประโยชน์ สู้เอาเวลาปัจจุบัน ไปพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเอง ไม่ให้ตกเป็นทาสของ กิเลส ตัณหา อุปาทานไม่ดีกว่าหรือได้ประโยชน์เกิดขึ้นจริงกับผู้พัฒนา    

อนึ่งคำว่าศพ หมายถึง ซากผีหรือร่างของคนที่ตายแล้ว ศพของหลวงพ่อ ถูกพระราชทานเพลิงไปแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2543 ปัจจุบันจึงไม่เหลือซากร่างกายของหลวงพ่อ ให้ใครต้องไปทำกิริยาที่น่ารังเกียจได้อีก ไม่ต้องรอถึง 200 ปีหรอก

162.
เรียนถามอาจารย์เรื่องการปฏิบัติธรรม
ผมปฏิบัติธรรมมานาน 8 ปีครับทั้งสมถภาวนา และวิปัสสนา ในชีวิตประจำวันสามารถกำหนดได้ค่อนข้างดี เริ่มเผลอน้อยลง ความ โกรธ โลภ หลง น้อยลงครับ บางช่วงเวลาปฎิบัติได้ดีการเข้าสมาธิ การหลับ ตื่น ได้ เอง แทบ ไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก อยากถามอาจารย์ครับ

1. เคยหลายครั้งกำหนดยุบพองขณะเข้านอน ตัวตรึงแข็งแล้วคล้ายตัวลอยขาทั้งสองยกลอย อยู่นาน เกิดจากสมถะ มากไปหรือเปล่าครับ

คำตอบ
    อาการที่เกิดขึ้นเป็นปีติชนิดหนึ่ง เกิดจากการปฏิบัติสมถกรรมฐาน ที่สติยังมีกำลังไม่กล้าแข็งเท่าไร ควรทำปีติที่เกิดขึ้นให้หายไป ด้วยการกำหนดว่า รู้หนอ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการดังกล่าวหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม คือ พองหนอ – ยุบหนอ ๆ ๆ เรื่อยไป วิธีนี้จะทำให้จิตมีสติเพิ่มขึ้น แล้วสมาธิจะมีกำลังมากขึ้น

2. บางครั้งจิตนิ่งไวมาก นอน ฝันก็ รู้ กำหนด ได้ดี เวลาตื่นนอน มีอาการตัวเบา จิตรับรู้ทุกสัมผัสทุกขณะจิตจากนอนไปนั่งโดยไม่ได้ตั้งใจกำหนด ไม่ว่านิ้ว งอ แขนยกทุกขั้นตอนละเอียดมาก แต่เป็นประมาณ สอง สามนาทีแล้วหายไป เป็นสองถึง สามครั้ง อยากเรียนถามอาจารย์ถามว่าเกิดจากอะไร และช่วยแนะนำการปฏิบัติเพื่อทำต่อไปด้วยครับ ผมจะมุ่งมั่นทำต่อไป
กราบขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าครับ
จาก ศุภฤกษ์

คำตอบ
    คนที่พัฒนาจิตจนมีกำลังของสติดีแล้ว จะไม่นอนฝันเห็นโน่นเห็นนี่ อาการตัวเบาเมื่อตื่นนอน ก็คือปีตินั่นเอง ต้องปรับปรุงแก้ไขวิธีปฏิบัติเสียใหม่ ด้วยการทำตามข้อ (1)

161.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพอยางสูง
มีปัญหาที่ต้องการเรียนถามดังนี้ค่ะ
1) มีน้องที่รู้จักคนหนึ่งคุณพ่อเป็นมะเร็ง ซึ่งคุณหมอบอกว่าถึงทางตันของการรักษาแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน โดยคุณหมอให้ลูกเซ็นต์ยินยอมว่าหากมีอาการกลับมาที่โรงพยาบาลนี้อีก คุณหมอจะไม่ทำการเจาะคอ ใส่ท่อ หรือปั๊มหัวใจ เพราะจะเป็นการทรมานคนไข้เปล่า ๆ คุณหมอจะให้ยาที่ทำให้คนไข้จากไปอย่างสงบ (คงเป็นยาประเภทคลายกล้ามเนื้อหรือ ประเภทมอร์ฟีนก็ไม่ทราบ)ขอทราบความเห็นอาจารย์ค่ะ ว่าผู้เป็นลูกจะตัดสินใจอย่างไร

คำตอบ
    ลูกที่ดีต้องรู้คุณของพ่อ และต้องตอบแทนคุณท่าน (กตัญญูกตเวที) เช่นการพาพ่อไปหาหมอรักษาโรคทางร่างกายนั้นถูกต้องแล้วแต่ต้องไม่ลืมว่าต้องรักษาใจของท่านให้ดีด้วยให้พ่อมีสติได้ก่อนที่จะทิ้งร่างกายที่ชำรุดนี้เพื่อไปเกิดใหม่ ถ้าใจไม่เศร้าหมอง ใจมีสติระลึกรู้ว่าจิตกำลังจะออกจากร่าง ท่านจะไปเกิดใหม่ได้ร่างใหม่ในสุคติภูมิ วิธีช่วยพ่อให้ใจไม่เศร้าหมอง และมีสติระลึกรู้อยู่แต่สิ่งดีงาม ถ้ายังสามารถสวดมนต์ได้ให้เจริญพุทธมนต์เช้า-เย็น (ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น) ถ้ายังกำหนดลมหายใจเข้า-ออกได้ให้ภาวนา พุท-โธ ถ้าหูยังได้ยินเสียง ให้ฟังเสียงพระสวดมนต์เสียงพระบรรยายธรรม สนทนาธรรม ฯลฯ ปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จะดีกับผู้ปฏิบัติเอง หากมีทุกขเวทนาเกิดขึ้นให้พิจารณาเวทนาที่เกิดขึ้นเป็นตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) เมื่อเวทนาเข้าสู่อนัตตา ความไม่มีตัวตน จิตจะคลายความยึดติดเวทนาได้เอง จิตจะเป็นอิสระและสงบ

2) กรณีมีหน้าที่ต้องให้ยาฆ่าเหา,พยาธิ กับเด็กเล็กๆ จะหลีกเลี่ยงการผิดศีลข้อ 1 อย่างไรค่ะ

คำตอบ
    เมื่อยังต้องรับจ้างทำงาน รับเงินเดือนจากหน่วยงาน ด้วยการทำหน้าที่ให้ยาฆ่าเหา ฆ่าพยาธิ ต้องยอมรับความจริงว่าได้ทำบาป สร้างเจ้ากรรมนายเวรให้เกิดขึ้น หากมีช่องทางเลิกไปหางานที่ไม่เบียดเบียนทำควรเลิก แต่ถ้ายังเลิกอาชีพนี้ไม่ได้ ต้องสร้างบุญใหญ่ เช่น สร้างโบสถ์ ศาลา ทอดกฐินประพฤติปฏิบัติธรรม ฯลฯ แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับทุกชีวิตที่คุณไปเบียดเบียนเขา ทำบุญให้มากกว่าทำบาปแล้วบาปจะตามให้ผลไม่ทัน ทำเรื่อย ๆ ไป หากคุณพัฒนาจิตวิญญาณจนหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารได้ บาปทั้งปวงเป็นอันยกเลิกไป
   
3) การที่เราว่าจ้างบริษัทกำจัดปลวกเป็นประจำทุกปี โดยตั้งใจไว้ว่าเพื่อป้องกันไว้ก่อนที่ปลวกจะมาอยู่ ถือว่าเข้าข่ายผิดศีลข้อ1 หรือไม่เพราะเวลาบริษัทมาฉีดยาจะมีแมลงอื่นๆ ตายให้เห็น ทำให้ไม่ค่อยสบายใจที่จะทำต่อ แต่ถ้าปล่อยไว้จนบ้านพังค่อยซ่อมก็อาจจะต้องทำร้ายปลวกมากมายตอนซ่อม

ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
กราบขอบพระคุณอย่างสูง

คำตอบ
    หากมีเจตนาป้องกันปลวกมิได้มีเจตนาฆ่าปลวก ไม่ถือว่าผิดศีลข้อ 1 แต่เมื่อบริษัทมาฉีดพ่นยาแล้วทำให้แมลงอื่นตาย ถือว่าผิดศีลข้อ 1 กับแมลงอื่น ฉะนั้นก่อนให้บริษัทกำจัดปลวกมาฉีดพ่นยาควรอธิษฐานล่วงหน้า 2-3 วันว่า “ ขอให้สรรพสัตว์ที่อยู่ในบริเวณที่จะฉีดพ่นยานั้น จงอพยพออกไปให้พ้นรัศมีของยา ” แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับแมลงอื่นสัตว์อื่นที่ตายเพราะการฉีดพ่นยา จากนั้นทำตามข้อ (2)

160.
สวัสดีครับ อ.สนอง
ผมขอเรียนถามอาจารย์ว่าลำพังสุตมยปัญญาและจินตมยปัญญานั้นละกิเลสหรือคลายความยึดมั่นถือมั่นได้ไหมครับ
ขอบคุณครับ

คำตอบ
    สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา เป็นปัญญาที่สามารถรู้เห็นเข้าใจความจริงชั่วคราว (สภาวะสัจจะ) ยังเข้าไม่ถึงความจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) หากนำปัญญาทั้ง 2 มาใช้ละกิเลสหรือใช้คลายความยึดมั่นถือมั่นของจิต ก็สามารถละกิเลสได้ชั่วคราว ใช้คลายความยึดมั่นถือมั่นได้ชั่วคราว

   หากผู้ใดสามารพัฒนาปัญญาตัวที่ 3 คือภาวนามยปัญญาได้แล้ว ปัญญาตัวนี้สามารถรู้เห็นเข้าใจความจริงแท้ได้ คนที่เข้าถึงภาวนามยปัญญา มีทั้งสติ (ความระลึกได้) มีทั้งสัมปชัญญะ (ความรู้ตัวทั่วพร้อม) อยู่ในดวงจิตของผู้นั้น สติระลึกทันสิ่งเศร้าหมอง (กิเลส) ที่เข้ากระทบจิต สัมปชัญญะ เห็นสิ่งที่เข้ากระทบดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จึงไม่รับสิ่งกระทบเข้าปรุงเป็นอารมณ์ จึงไม่มีกิเลสให้ละ จิตไม่ถูกกิเลสครอบงำ หรือกิเลสเข้าครอบงำจิตไม่ได้จึงไม่มีความจำเป็นต้องคลายความยึดมั่นถือมั่น จิตมีแต่ความเป็นอิสระ มีความสงบและเป็นสุข

159.
เรียน อาจารย์สนอง วรอุไร

   ดิฉันเคยฟังการบรรยายธรรมของอาจารย์เกี่ยวกับเรื่อง "ครูบาศรีวิชัย" และเลื่อมใสมากค่ะ ส่วนตัวดิฉันมีความสนใจ ไฝ่ใจในการฟังธรรมะ แต่อ่อนปฏิบัติ แต่ก็พยายามมีสติอยู่กับตัวเองตลอดวัน

   ปัญหาของดิฉันคือเป็นห่วงคุณแม่ค่ะ อายุ 60 ปี 3 ปีที่ผ่านมาชอบไปบ่อนคาสิโนบ่อยๆ และระยะหลังไปแทบทุกวัน คนที่บ้านพูดก็ไม่ฟัง บอกว่าไปแล้วกลับมาสบายใจ สอนหลับสบายดีกว่าอยู่บ้านอีก ซึ่งปกติก่อนหน้านี้คุณแม่จะไม่ค่อยชอบไปไหน ชอบอยู่บ้านด้วยซ้ำ ดิฉันกลัวว่าสักวันหนึ่งผีพนันเข้าสิง แล้วจะเลิกไม่ได้

   ขอถามอาจารย์ว่า คุณแม่ดิฉันทำกรรมอะไรมาจึงชอบเล่นพนันตอนแก่ และจะทำอย่างไรถึงจะทำให้เลิกได้ค่่ะ อยากให้คุณแม่ไปสุขคติภูมินะค่ะ เคยชวนไปสมาิธวิปัสนาก็บอกว่าไม่ชอบไป
   เจนจิรา

คำตอบ
    การพนันเป็นหนึ่งในอบายมุข 6 เป็นทางแห่งความเสื่อมของชีวิตนี้และชีวิตหน้า จึงไม่ควรนำจิตเข้าไปข้องเกี่ยวและเป็นทาสการพนัน
       1. ปล่อยเวลาให้ว่างเปล่า โดยไม่หางานในตัวเองทำ
       2. ได้เพื่อนไม่ดีมีคนชั่วเป็นมิตร
       3. จิตเดิมยังมีความหลง (โมหะ) ค้างมาแต่อดีต
    วิธีแก้พระพุทธะสอนให้แก้ที่ต้นเหตุคือ
  ที่ดี  1. เจ้าตัวต้องมีศรัทธา พร้อมจะปรับปรุงแก้ไขชีวิตตัวเอง ศรัทธาเกิดขึ้นได้ ผู้อยู่ใกล้มีอิทธิพลอย่างมาก คือผู้อยู่แวดล้อมต้องเป็นคนสะอาดเป็นคนดี มีศีลธรรมคุ้มครองใจให้ได้ก่อน
       2. เจ้าตัวต้องไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ต้องหางานดี (สัมมากัมมันตะ) ทำ งานดีคืองานที่ทำแล้วเกิดประโยชน์กับชีวิต งานดีคืองานที่ทำแล้วไม่เบียดเบียนตัวเองไม่เบียดเบียนผู้อื่น
       3. เจ้าตัวต้องคบหาแต่กัลยาณมิตร เพราะกัลยาณมิตรจะขัดขวางไม่ให้ทำชั่วแต่จะชักชวนให้ทำแต่สิ่งดีงาม
       4. เจ้าตัวต้องพัฒนาจิตวิญญาณให้เป็นผู้มีสติและสัมปชัญญะ อยู่พร้อมทุกขณะตื่นแล้วใช้สิตสัมปชัญญะ ส่องนำทางให้กับชีวิต
   
    หากลูกได้ชักนำแม่ให้เกิดศรัทธา และปรับปรุงแก้ไขเหตุที่กล่าวข้างต้นได้แล้ว ปัญหาเรื่องการเล่นพนันจะหมดไป และยังเป็นความกตัญญูกตเวทีที่ดีที่สุด ที่ลูกพึงมีต่อแม่ผู้มีพระคุณอีกส่วนหนึ่งด้วย

158.
อาจารย์ครับ
   ผมพยายามฝึกสมาธิด้วยตนเอง (สรุปความรู้ แนวทางจากการอ่านหนังสือของอาจารย์ ๆ ทั้งหลาย) สวดมนต์และจึงนั่งสมาธิ (ประมาณ ๑๕ – ๒๐ นาที จะปวด เมื่อย ชาขาก็เลิกครับ) เวลานั่งสมาธิจะพยายามสำรวมจิตให้นิ่ง (ยุบหนอ พองหนอ) จะทำจิตให้ความคิดค่อย ๆ เล็กลง ๆ คล้าย ๆ กับการรับรู้ว่าตัวตนของเราหดเล็กลง จนกลายเป็นจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งบริเวณหน้าท้อง จะจับจิตไว้ตรงนั้น แต่ไม่ค่อยเกิดบ่อยนัก อาจจะเพราะไม่ค่อยทำสม่ำเสมอ

๑. แนวทางที่ปฏิบัตินี้ใช้ได้ไหมครับ

คำตอบ
    แนวทางปฏิบัติกรรมฐานแบบ “ พองหนอ-ยุบหนอ ” ที่มานั้นยังไม่ถูกต้อง เหตุเพราะคุณใช้จิตกำหนดให้ความคิดค่อย ๆ เล็กลง เป็นการใช้พลังจิตบังคับให้เป็นไปตามที่คุณต้องการ แต่การภาวนา “ พองหนอ-ยุบหนอ ” เป็นการใช้จิตตามระลึกรู้ (สติ) อาการพองยุบที่ผนังหน้าท้อง คือจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เกิดอยู่ในปัจจุบัน หากจิตสามารถจดจ่ออยู่กับการพอง-ยุบของผนังหน้าท้องตลอดเวลา จิตจะเข้าสู่การตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่เคลื่อนออกไปจากหน้าท้องไม่ออกไปรับสิ่งกระทบภายนอกอื่นมาปรุงแต่งอารมณ์ การปฏิบัติกรรมฐานแบบพองหนอ-ยุบหนอจึงจะถูกทาง

. ผมเกิดวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๙๙ เคยอ่านพบว่าคนเกิดราศีนี้จะมีสัมผัสพิเศษ เกี่ยวกับวิญญาณ ไม่ทราบว่าเป็นจริงไหม เวลาที่ไปสถานที่ต่าง ๆ บางครั้งผมจะรับรู้ด้วยอาการขนหัวลุก เช่น เมื่อปลายเดือนตุลาคม ผมไปทำเรื่องขอพระราชทานเพลิงศพพ่อ เป็นกรณีพิเศษ ก่อนไปได้จุดธูปบอกพ่อว่าขอให้ราบรื่น เมื่อทำเรื่องเสร็จจะมีอาการขนหัวลุก ขนแขตั้ง เหมือนว่าพ่อรับรู้ในเรื่องนี้แล้ว อาจารย์คิดว่าเป็นเรื่องของการติดยึดไหมครับ แบบคิดเอง เออเอง

คำตอบ
    เหตุแท้จริงที่คุณมีสัมผัสพิเศษ อยู่ที่ความถี่คลื่นจิตของคุณไปตรงกับความถี่ของคลื่นจิตของรูปนามอื่นที่เป็นทิพย์ จึงสัมผัสกันได้ มิได้มาจากเหตุที่ว่า เวลาเกิดของคุณไปตกอยู่ในราศรีไหน

. ผมจะมีอาการปวดหลัง และปวดเมื่อยเท้า ข้อเท้าบ่อยมาก ๆ ไม่ทราบว่าเกิดจากวิบากกรรมใดครับ ขอให้อาจารย์มีพลังกายที่แข็งแรง พลังใจที่แข็งแกร่ง เผยแผ่ธรรมตลอดไปครับ
   รบกวนอาจารย์มากแล้วครับ
    นาย อดุลย์ ไทรเล็กทิม
    ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๘

คำตอบ
    เกิดจากอกุศลกรรมของคุณเป็นต้นเหตุ คุณจึงต้องรับอกุศลวิบากคือ ปวดหลัง ปวดเมื่อยเท้าข้อเท้าบ่อย ๆ วิธีหาต้นเหตุคุณลองทำจิตให้นิ่ง ลองสืบหาเหตุที่คุณทำในปัจจุบัน เช่นท่านั่ง ท่านอน ที่เป็นอุปนิสัยทำอยู่บ่อย ๆ การสวมใส่รองเท้า การเดิน ตลอดจนการรับประทานอาหารประเภทที่ย่อยสลายแล้วปลดปล่อยกรดยูริกออกมามาก ลองไปปรึกษาผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ เช่น แพทย์แผนปัจจุบัน นักกายภาพบำบัด หรือผู้มีทักษะในการฝึกโยคะ ฯลฯ อาจแก้ปัญหาให้กับคุณได้

157.
ขอกราบเรียนถามท่าน ดร.สนอง ดังต่อไปนี้
1. เมื่อในอดีตประมาณ ปี 32 ได้เคยทำแท้ง โดยรู้ไม่เท่าถึงการณ์และไม่รู้ว่ามันบาป ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าสู่การปฏิบัติธรรม แต่หลังจากได้เข้าสู่การปฏิบัติธรรมหลักสูตรของคุณแม่สิริ กรินชัย นั้น ขณะปฏิบัติเกิดมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง นั้นหมายถึง เหตุทำแท้งจึงปวดใช่หรือไม่ และ หากต้องตายไปเราจะตกไปอยู่ในทีใด ซึ่งทุกวันนี้ก็แผ่เมตตาให้ทุกครั้งที่ทำกุศล ตรงนี้ช่วยให้เบาบางได้มั้ยค่ะ

คำตอบ
    การที่ได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติธรรม จนจิตสงบเป็นสมาธิได้แล้วจิตหวนกลับไประลึกถึงอกุศลกรรมที่ทำไว้แต่อดีต ส่งผลกลับมาให้คุณได้รับอกุศลวิบาก คือทุกขเวทนาที่บอกไปนั้นถูกต้องแล้ว
   คำว่าเมตตาคือความรักความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข คนที่มีเมตตาเป็นคนมีอารมณ์เย็น เมื่อใดที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้นแล้วต้องไม่โกรธ ไม่มีโทสะ ไม่หงุดหงิด จึงจะเรียกได้ว่าผู้นั้นมีเมตตา ถ้ามีเมตตาอยู่กับใจตัวเองได้ก่อนแล้ว สามารถแผ่เมตตาให้กับคนอื่นสัตว์อื่นได้ คนอื่นสัตว์อื่นเมื่อได้รับเมตตา จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตรงกันข้ามถ้าไม่มีเมตตาอยู่กับใจตนเองแล้วยังไม่แผ่เมตตาให้กับคนอื่นสัตว์อื่นอยู่อีก ถือว่าการแผ่เมตตานั้นโมฆะ ไม่มีผลเพราะคนอื่นสัตว์อื่นไม่ได้รับ ยังต้องมีการเบียดเบียนกันอยู่เหมือนเดิม
   ส่วนคำว่ากุศล แปลว่า หรือหมายความว่า ความดี , บุญ , ฉลาด ฯลฯ หากคุณได้สร้างบุญกุศลตามบุญกริยาวัตถุ 10 หากใครได้ทำแล้วเป็นผู้มีบุญและสามารถอุทิศบุญกุศลให้คนอื่นสัตว์อื่นได้
   ฉะนั้นที่ถามว่าจะช่วยให้อกุศลวิบากที่ได้รับนั้นเบาบางลงหรือไม่ต้องตอบว่า ถ้าทำได้ถูกตรงตามที่ได้แนะนำและหากเมตตาและบุญกุศลมีมากพอ และผู้รับการอุทิศเห็นด้วย รับรองว่าอกุศลวิบากที่ได้รับจะเบาบางหรือหมดไปได้แน่นอน


2. ทุกวันนี้ไม่มีงานทำ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ตรงนี้เป็นสาเหตุด้วยใช่หรือม่

คำตอบ
    คนที่ไม่มีงานทำ คนที่ทำอะไรไม่สำเร็จ อกุศลกรรมแต่อดีตเป็นเหตุส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดผลเช่นนี้

3. วิธีแก้ไข ควรทำอย่างไรบ้าง
ขอบพระคุณเจ้าค่ะ

คำตอบ
    วิธีแก้ไขต้อพัฒนาศักยภาพ ด้านสัมมาสติ และปัญญาเห็นถูกด้วยการนำตัวเองเข้าฝึกกรรมฐาน กับครูฝึกที่เป็นกัลยาณมิตรในทางธรรมเมื่อได้ผลแล้ว ต้องใช้สติและปัญญาเห็นถูกหยุดการสร้างอกุศลกรรมทุกชนิดและสร้างบุญกุศลให้เกิดขึ้นกับตัวเองให้มากที่สุด และในขณะปฏิบัติหรือฝึกกรรมฐานควรขอความเมตตาจากผู้ร่วมฝึกฯ ช่วยอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณ ทำบ่อย ๆ แล้วอกุศลวิบากจะเบาบางหรือหมดไป การมีงานทำและความสำเร็จของชีวิตจะเกิดขึ้นแทนที่

156.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร
คำถามมีหลายข้อช่วยตอบให้ด้วยนะค่ะ
1. เมื่อปี 2541 เคยฝึกพองยุบ หลายปี แต่จับพองยุบ ไม่ได้เลย เคยได้ยินจาก อาจารย์บางท่านบอกว่า ถ้าคนที่มีปัญหาเคยผ่าตัดเกี่ยวกับช่องท้อง อาจจะจับพองยุบไม่ได้ นั้นจริงหรือไม่อย่างไร (เพราะตัวดิฉันเคยผ่าตัดมาแล้วทั้งหมด 4 ครั้ง)

คำตอบ
    การฝึกจิตให้มีสติทำได้หลายวิธี ดูกรรมฐาน 40 ในหนังสือพุทธธรรมของท่านปยุตโต
ควรลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับจริตของตน สติจะเกิดขึ้นได้ง่าย ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว
ผู้ตอบคำถามเคยใช้วิธีภาวนาอื่นแต่ไม่สำเร็จ เมื่อใช้วิธี “ พองหนอ-ยุบหนอ ” ได้ผลเกิดเร็ว ฉะนั้นแนะนำให้ใช้กรรมฐานที่เหมาะกับจริต
   การผ่าตัดหน้าท้อง อาจมีส่วนทำให้ความไว ในการสื่อสารความรู้สึกถดถอยลงไป เนื่องจากระบบประสาทถูกรบกวน ควรเลือกใช้วิธีอื่นจะดีกว่า


2. หลังจากที่จับพองยุบไม่ได้มาหลายปี เลยเปลี่ยนมาจับลมหายใจเข้าออก ก็ยากอีก เพราะมีปัญหาเรื่องการหายใจ มีปัญหาสุขภาพส่วนตัวเป็น ภูมิแพ้และหอบหืด ทำให้หายใจไม่ชัด เบามาก ๆ ทำอย่างไรดีค่ะ

คำตอบ
      แนะนำให้ทำตาม ข้อ (1) เหตุเพราะเครื่องมือคืออวัยวะของร่างกายไม่แหมาะสมที่จะให้จิตได้ใช้พัฒนาสติ ควรเลือกใช้เครื่องมืออื่นหรือวิธีอื่นจะดีกว่า

3. ตอนนี้สับสนตัวเองว่าควรทำวิธีไหนดี และ อาจารย์ที่สอนอยู่ปัจจุบันบอกว่าต้องทำสมถกรรมฐานให้แน่นก่อนจนกว่าจิตจะเข้าสู่วิปัสสนาเอง มิใช่การนึกคิดเอาเองโดยการกำหนด โดยไปฝืนธรรมชาติ
ขอขอบพระคุณในความกรุณาตอบคำถามเหล่านี้ค่ะ

คำตอบ
    อาจารย์ที่สอนอยู่ในปัจจุบันได้แนะนำว่าต้องปฏิบัติสมถกรรมฐานให้แน่นได้ก่อนนั้นถูกต้องแล้ว คำว่าให้แน่น นั้นคือฝึกจนกระทั่งจิตมีกำลังของสติกล้าแข็ง ที่ถามไปในข้อ (1) และ (2) นั้นแสดงว่า การฝึกสมถกรรมฐานยังสอบไม่ผ่าน จิตยังไม่มีกำลังสติมากพอ ที่จะนำไปใช้พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ดังนั้นต้องแก้ไขที่ต้นเหตุให้ได้ก่อน
   การฝึกจิตให้มีสติและฝึกจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ขอเน้นย้ำว่าต้องไม่ใช้วิธีนึกคิดเอาเอง แต่ใช้จิตจดจ่อกับอิริยาบถที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน และใช้จิตตามดูผัสสะ (การกระทบ) ที่เกิดกับ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) หรือสรุปลงได้ว่าทุกสิ่งที่เข้ากระทบมีเกิดขึ้นแล้วดับไปไม่มีตัวตน จิตจะเกิดปัญญาเห็นแจ้ง นั่นคือเกิดวิปัสสนาญาณขึ้นแล้ว กับจิตของผู้มีความเห็นถูกตรงตามธรรม (สัมมาทิฏฐิ)

155.
เรียนอาจารย์สนองที่เคารพ
ผมมีคำถามอยากถามอาจารย์เพื่อความกระจ่างในการปฏิบัติครับ
   1. ความคิด, จิต และ สติ มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร?
   2. ความคิด, จิต และ สติ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

คำตอบ
    - จิตหรือใจ หรือจิตใจ คือสิ่งที่มีหน้าที่รู้ คิด นึก
   -  สติคือความระลึกได้ , นึกได้
   -  ความคิดคือการใคร่ครวญ , ไตร่ตรอง
      ทั้งสามมีความแตกต่างกัน


   3. การทำจิตนิ่งคือการทำให้สติรู้เท่าทันความคิด ใช่หรือไม่ครับ ถ้าใช่ เราจะทำอย่างไรให้สติรู้เท่าทันความคิดตลอดเวลา?
        ขอขอบพระคุณ อาจารย์เป็นอย่างยิ่งครับที่เมตตา ขอขอบคุณ กลุ่มกัลยาณธรรม เป็นอย่างยิ่งในการเผยแพร่ธรรมะที่ถูกต้องและตรงยิ่ง
         เจริญในธรรมครับ
           กลยุทธ

คำตอบ
    •  การทำจิตนิ่งคือการทำให้จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ สมาธิจะเกิดได้จิตต้องมีสติ สามารถระลึกได้ทันสิ่งกระทบ ภายนอกที่เข้าทางทวารที่ 6 คือระลึกทันเสียงที่เข้ากระทบหู ระลึกทันรูปที่เข้ากระทบตา ระลึกทันกลิ่นที่เข้ากระทบจมูก ระลึกทันรสชาติที่เข้ากระทบลิ้น ระลึกทันเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่เข้ากระทบกาย และระลึกทันสิ่งที่ใจนึกคิด หรือความคิดที่เกิดขึ้นในใจ (ธรรมารมณ์)
    ผู้ถามมีความปรารถนาให้ตัวเองมีจิตระลึกได้ทันสิ่งกระทบ ต้องฝึกสมถกรรมฐาน (อุบายสงบใจ) และปรารถนาให้จิตรู้ทันสิ่งกระทบตามความเป็นจริง ต้องฝึกวิปัสสนากรรมฐาน (อุบายเรืองปัญญา) ด้วยตนอง จนกว่าจิตใจของผู้ฝึกมีสติและปัญญาเห็นแจ้ง แล้วความปรารถนานั้นจะสัมฤทธิ์ผล

154.
อาจารย์ครับช่วยผมด้วยครับ ผมมีปัญหามากเลย
คือว่าผมมีปมด้อยครับ คือว่า ตัวเตี้ย แล้ว ก็อ้วนด้วย ไปไหนมาไหน ใครๆก็
ชอบพูด ว่า อ้วนแล้วยังเตี้ยอีก ไรทำนองเนี้ยครับ ผมไม่ชอบมากเลย
ได้ฟังทีไรแล้ว รู้สึกหนักใจมาก เป็นทุกข์ครับ
ทำไงดีครับจึงจะช่วยให้หาทุกข์ได้ครับ ช่วยชี้แนะด้วยครับ

ขอให้อาจารย์มีความสุขนะครับ

คำตอบ
    คุณต้องแก้ปัญหาที่ตัวคุณเอง ด้วยการพัฒนาจิตใจให้มีกำลังกล้าแข็ง คือต้องเจริญพละธรรม 5 (ศรัทธา วิริยา สติ สมาธิ ปัญญา) อยู่เสมอ แล้วใช้กำลังสติกำลังปัญญาเห็นแจ้ง ส่องนำทางให้กับชีวิตจิตของคุณจะเป็นอิสระอยู่เหนือคำสรรเสริญ คำตำหนิติด่าหรือคำพูดล้อเลียนที่ออกจากปากของคนอื่นได้แน่นอน เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกตรง แก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนตามแนวทางของพระพุทธะ

153.
 ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ

1. คนเราก่อนตายมีหลายรูปแบบ การตายแบบธรรมดาหรือแก่ตายนับวันจะน้อย ดังนั้นโอกาสที่จะเตรียมตัวเตรียมใจก่อนตายจึงน้อยเพราะปัจจุบันมีภัยต่างๆมากมาย บ้างก็ป่วยตาย บ้างก็อุบัติเหตุตาย บ้างก็ถูกฆ่าตาย เหล่านี้ ส่วนใหญ่จิตจะมีสติจึงน้อยจึงคิดว่าส่วนใหญ่ตายแล้วคงไม่ไปสู่สุขคติแน่ ดังนั้นอยากให้ท่านอาจารย์ช่วยแนะนำในเรื่องนี้ด้วย

คำตอบ
   การตายของคนส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไรและไม่รู้ว่าจะตายแบบไหน ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาทจึงควรต้องพัฒนาจิตใจตนเองให้เป็นผู้มีสติ คือมีจิตระลึกรู้อยู่กับขณะกำลังจะตาย เมื่อใดที่จิตมีสติเป็นสัมมาสติ จิตที่หลุดออกมาจากร่างไปแล้ว จะไปปฏิสนธิหรือโอปปาติกะใหม่ในร่างที่อยู่ในสุคติภูมิ
   สัมมาสติคือ ใจที่จดจ่ออยู่กับสิ่งดีงาน เช่นจดจ่ออยู่กับการรักษาศีลเนืองนิตย์ จดจ่ออยู่กับการบริจาคทานอยู่เนืองนิตย์แล้วสัมมาสติจะถูกเก็บฝังไว้ในดวงจิต ตายแล้วจิตไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี

2. คำสอนหรือหัวใจของพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ต่างกันหรือไม่ และมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือพระนิพพานใช่หรือไม่

คำตอบ
   คำสอนในพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ สอนเรื่องธรรมและวินัยเหมือนกัน มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือสอนฆราวาสให้มีธรรมะคุ้มครองใจ สอนพุทธสาวกให้มีจิตพ้นไปจากอาสวะกิเลสและเข้าสู่พระนิพพานเป็นเบื้องสุด
   ส่วนวิธีการสอนแตกต่างกันตามยุคสมัย ของผู้ที่ได้อบรมสั่งสมบารมีมาแตกต่างกันที่มาเกิดร่วมสมัย เช่นพระพุทธะบางองค์สอนเน้นในเรื่องความเพียร บางองค์สอนเน้นด้านศรัทธาและบางองค์สอนเน้นด้านปัญญา
   หมายเหตุ : คำตอบนี้พึงอย่าปลงใจเชื่อ ด้วยเหตุที่เป็นคำตอบที่เป็นไปตามครรลองแห่งธรรม อริยบุคคลไม่เชื่อคำตอบหรือคำพูดที่ออกจากปากมนุษย์แต่เชื่อเหตุและผล

3. ทำไมคนทั่วไปไม่สามารถมองชาติภพในอดีตได้ ที่ถามเพราะหากทุกคนสามารถรู้ชาติภพในอดีตได้ ทุกคนคงเชื่อเรื่องกรรม และไม่ทำความชั่วอีก

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

ธนู เศวตศรถวัลย์

คำตอบ
    คนส่วนใหญ่ที่เกิดในยุคนี้ เป็นคนที่มีจิตใจเป็นทาสของโลกธรรมและวัตถุ เป็นคนที่มีกำลังของสติอ่อนทำให้มีจิตตั้งมั่น (สมาธิ) ไม่ยาวนาน จึงปิดโอกาสของจิตใจที่จะเข้าถึงความเป็นฌานและอภิญญา (ปัญญาสูงสุด) ดังนั้นการจะไปรู้เห็นเข้าใจในเรื่องของภพชาติของอดีตจึงเป็นไปไม่ได้
   เรื่องระลึกชาติได้นั้นมิได้ปิดกั้น สำหรับผู้ที่มีความประสงค์จะพิสูจน์ด้วยตนเอง ขอเพียงแค่ต้องปรับแก้ไขตัวเองให้มีเหตุปัจจัยลงตัว เช่นทำตัวเองให้มีศีลคุมใจ เข้าหากัลยาณมิตรทางธรรม ปฏิบัติสมถกรรมฐานเร่งความเพียร มีสัจจะ ฯลฯ ได้แล้ว โอกาสยังเปิดเสมอให้พิสูจน์ได้

152.
    ดิฉันได้ไปฟังการบรรยาธรรมของท่านอาจารย์ หลายครั้ง ก่อนที่ดิฉันจะไปฟังบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ ดิฉันได้ถูกเพื่อนชักชวนให้นับถือพระศรีอารย์ เขาบอกว่าพระศรีอารย์ได้ลงมาแล้วให้ไปทำพิธีที่ศาลศรีอารย์จังหวัดนครปฐม ดิฉันก็เชื่อเพื่อนได้ไปทำพิธีที่นั่น เข้าให้ดิฉันไม่ต้องบูชาพระพุทธรูป แต่ให้ตั้งศาลพระศรีอารย์แทนเรียกว่าข้าราชการไสยศาสตร์ ต่อมาได้มีเรื่องลงหนังสือพิมพ์ว่าเป็นเรื่องหลอกลวงไม่เป็นความจริง ดิฉันของเรียนถามท่านอาจารย์ว่า

    ที่ดิฉันได้ตั้งศาลพระศรีอารย์ที่บ้านแล้ว ดิฉันจะรื้อศาลออกไม่บูชาแล้ว จะเป็นอะไรไหมคะ และจะตั้งโต๊ะบูชาพระพุทธแทน ถึงแม้ปัจจุบันนี้ดิฉันก็ยังสวดมนต์อยู่ทุกวัน แต่สวดมนต์อยู่ในห้องนอน และที่บ้านก็ไม่พระพุทธรูปบูชา แต่ดิฉันใช้เป็นรูปภาพแทน

    ดิฉันขอความกรุณาช่วยชี้แนะและแนะนำให้ปฎิบัติให้ถูกต้องด้วยคะ ขอขอบพระคุณอย่างสูง
          สุวรรณา

คำตอบ
    เมื่อได้ตั้งศาลแล้ว หากจะรื้อศาลทิ้งถ้าคุณมีคุณธรรมสูงกว่า สามารถทำได้ด้วยการ
จุดธูป 1 ดอกปักที่ศาลแล้วบอกว่า หากมีรูปนามใดที่เป็นทิพย์มาสิงสถิตอยู่ที่ศาลนี้ โปรดย้ายออกไปอยู่ที่อื่นตามที่เห็นสมควร
   ผู้ตอบคำถามโดยมีปัญหาลักษณะนี้ และได้ทำอย่างที่แนะนำก็ยังมีชีวิตที่ปกติสุขมาจนทุกวันนี้

151.
สวัสดีครับ ดร.สนอง
มีคําถามอยากถามครับ
1.ถวายเงินพระบาปไหม หากต้องถวายเงินพระต้องทําอย่างไรถึงไม่บาป

คำตอบ
    ถวายเงินให้พระสงฆ์เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 คือการให้ปัจจัยเป็นทาน ก่อนถวายเต็มใจ ขณะถวายสบายใจ ถวายแล้วอิ่มใจอย่างนี้เป็นการถวายเงินที่มีอานิสงส์เป็นบุญ
   

2.ซื้อผลไม้ที่มีเมล็ดไปถวายพระ เช่น ส้ม ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
   ซื้อผลไม้ที่มีเมล็ด เช่น ส้มไปถวายพระสงฆ์ สามารถทำได้แต่ควรปอกเปลือกเอาเมล็ดออกให้เรียบร้อยเสียก่อน หรือทำเครื่องหมายให้รู้ว่าได้ทำกัปปิยะ (สมควรแก่สมณะบริโภค) แล้ว

 

 

 

ส่งคำถามถึง ดร. สนอง วรอุไร => question@kanlayanatam.com

สอบถาม ให้คำแนะนำที่ => webmaster@kanlayanatam.com