คำถาม-คำตอบ ข้อ 1201-1250 |
|
1250. กราบเรียนอาจารย์ค่ะ คำถามที่หนูจะเรียนถามอาจารย์เป็นเหตุการณ์ที่ต่อจากคำถาม ที่ 1241 ค่ะ มีดังนี้ 1. การที่ท้องยุบ(รูป หรือร่างกาย) ตลอดเวลาจนทำให้จิตรับรู้ว่ารูปจะดับหรือเปล่า หรือเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะ ที่ผ่านมา 7 วัน 8 คืนหนูปฏิบัติเคร่งไปทำให้ จิตเป็นสมาธิมากเกินไป จนกระทั่งหลับไม่ได้ร่างกายไม่ได้พักผ่อน มีสมาธิอยู่ตลอดเวลากำหนดอยู่ตลอดเวลาทำให้มีผลต่อ ร่างกายที่ไม่ประสานกับจิตจนทำให้ร่างกายน๊อค จนสุดท้ายจิตบอกตัวเองว่ากำลังจะตาย หรือเป็นเพราะกำลังของสติอ่อนคะ 2. หลังจากนั้นหนูเข้าใจว่า ตัวเองได้ตายจากโลกมนุษย์ (ดูเหมือนว่าจิตเข้าใจอย่างนั้น ) กรณีนี้เป็น เพราะกำลังสติอ่อนทำให้จิตเตลิดหรือเปล่าค่ะ หรือเป็นประเภทจิตวิปลาสค่ะ 3. เมื่อจิตเข้าใจว่าร่างกายดับแล้ว จิตบอกว่าร่างกายคนเราก็เหมือนการที่เราเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เราต้องสละเสื้อผ้าชุดเก่าทิ้งไป ไม่อาลัยอาวรณ์เสื้อผ้าชุดเก่า เป็นเพราะอะไรคะ ? ในช่วงเวลานี้ หนูเหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเองแต่เป็นคนอีกคนหนึ่ง และพูดไม่ได้เหมือนกลับไปเป็นเด็ก แม้ขณะนั่งอยู่เฉย ก็เหมือนมีภาพในหัวตลอดเวลา เหมือนเห็นคนเป็นเด็กแล้วก็เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็แก่แล้วก็ตาย แล้วก็เห็นพระภิกษุสงฆ์เดินตามกันไป เป็นแถวเรียงหนึ่งไปแล้วที่ๆพระภิกษุสงฆ์ไป ก็จะมีเป็นระดับชั้น ที่หนูไม่เข้าใจก็คือว่า มีพระภิกษุอยู่รูปหนึ่งไม่เดินไปไหน แต่เดินเป็นวงกลมอยู่ตลอดเวลา เป็นเพราะอะไรคะ ? 4. เพื่อนเอาของคาวมาให้กิน ไม่อยากกินจะกินแต่ของที่ไม่มีจิตวิญญาณ และจิตตัวเองรู้ว่ากิเลสเป็นสิ่งที่สกปรกมาก จนไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะเปรียบเทียบได้ 5. หลังจากนั้นเพื่อนกลัวว่าหนูจะเป็นบ้า จึงพาหนูไปหาอาจารย์วิปัสนากรรมฐานท่านหนึ่ง และมีคนพูดว่าหนูไม่รับพุทธศาสนา ตอนนั้นหนูไม่ได้พูดกับเขาแต่ชูมือ 3 นิ้วซึ่งตัวหนูเองหมายถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ 6. เพื่อนหนูถามอาจารย์วิปัสนากรรมฐานว่า ต้องพาหนูไปรับขันธ์อะไรหรือเปล่า (ความเชื่อของเพื่อนหนู) อาจารย์บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลยอีก 7 วันหนูจะกลับมาเป็นปกติ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ขณะนี้สำหรับหนูเป็นอดีตไปแล้ว แต่ที่หนูข้องใจก็คือว่า หนูปฏิบัติเคร่งไปจนกลายเป็นวิปัสนูปกิเลสหรือเปล่า เพราะกำลังสมาธิมากไป แต่กำลังสติอ่อนหรือไม่ทำให้เกิดอาการแบบนี้ค่ะ หลังจากครบ 7 วันหนูถึงรู้ว่าตัวเองยังไม่ตายยังอยู่ในโลกมนุษย์ และรู้ว่าตัวเองจะดำรงชีวิตอยู่ เพื่อพัฒนาตัวเองไปสู่ทางพ้นทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับเหตุการณ์ในอดีต ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติที่ผ่านมาเพราะไม่มีค่าอะไรเลย สุดท้ายคนเราก็ไม่ได้อะไรติดตัวไปสักอย่างเดียว ขนตาเส้นเดียวก็นำติดตัวไปไม่ได้มีเพียงบุญ และบาปเท่านั้นที่ติดไปกับดวงจิตที่ยังมีกิเลสอยู่ สิ่งที่หนูค้นพบเป็นเพียงหนทางที่เริ่มต้นเดินเท่านั้น หนทางสายนี้ยังอยู่อีกยาวไกลนัก สุดท้ายนี้ หนูขอให้อาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะว่าหนูควรปฏิบัติอย่างไร จากจริตของหนูๆชอบนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสมอ โดยเฉพาะบทสวด พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธรรมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ ธรรมมัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ตติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ตติยัมปิ ธรรมมัง สะระณัง คัจฉามิ ตติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ขอกราบขอบพระคุณในเมตตาธรรมของอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ ธนพร คำตอบ (๒) ผู้ถามปัญหาเข้าใจเอาเองว่าได้ตายจากโลกมนุษย์ ทั้งๆที่ยังมิได้ตายไปไหน ยังเขียนมาบอกเล่าอาการและยังถามปัญหาได้ อย่างนี้เรียกว่า จิตเกิดจินตนาการที่เพี้ยนไปจากความเป็นจริง ขอแนะนำว่า ควรหาครูบาอาจารย์ที่มีประสบการณ์ตรงในการปฏิบัติธรรมและเข้าถึงอริยธรรมได้แล้ว มาเป็นผู้ชี้แนะและแก้ไขการปฏิบัติที่ผิดทาง แล้วมรรคผลแห่งการปฏิบัติธรรมก็จะเกิดได้ถูกตรง (๓) เป็นการเข้าใจผิด ทั้งๆที่ร่างกายยังคงอยู่ให้จิตใช้งานได้ คนที่จะเห็นร่างกายดับได้ ต้องพัฒนาสมถภาวนาจนจิตเข้าถึงปุพเพนิวาสานุสติญาณได้แล้ว จึงจะเห็นการดับของร่างกายในอดีตได้ ดังนั้นที่บอกเล่าไปจึงเป็นจินตนาการที่ผิดของจิต อนึ่ง การเห็นภิกษุสงฆ์เดินตามกันเป็นแถวเรียงหนึ่ง และเดินเป็นวงกลม เป็นเพียงจินตนาการของจิตที่ขาดสติ (๔) กิเลสคือสิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมอง อาหารคาว อาหารหวาน เนื้อสัตว์และพืช ล้วนต่างเป็นสิ่งสกปรกโสโครก (ปฏิกูล) ฉะนั้นที่บอกเล่าไป จึงเป็นจินตนาการของจิตที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงแท้ (๕) คำว่า บ้า หมายถึง จิตมีสติฟั่นเฟือน คือมีอาการของจิตผิดไปจากจิตของคนปรกติ เมื่อจิตทำหน้าที่สั่งร่างกาย จึงแสดงออกเป็นพฤติกรรมที่ผิดไปจากพฤติกรรมของคนปรกติ ฉะนั้นเพื่อนที่พาผู้ถามปัญหาไปหาอาจารย์ให้ช่วยแก้อาการที่ผิดปรกติให้นั้น เขาเป็นเพื่อนที่ดี (๖) อาจารย์ที่สอนวิปัสสนากรรมฐานพูดถูกแล้ว เมื่อใดปล่อยให้จิตรับสิ่งกระทบภายนอกเข้าปรุงอารมณ์ ก็จะกลับมาเป็นอารมณ์แบบคนปรกติได้ อนึ่ง จิตของผู้ใดมีกำลังของสติอ่อน ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิตผู้นั้น ย่อมอ่อนตามไปด้วย ความศรัทธาในพุทธศาสนาเป็นทรัพย์อันประเสริฐ เพราะบุคคลจะข้ามพ้นการเวียนว่าย-ตายเกิดได้ ต้องมีศรัทธาเป็นตัวนำ และต้องมีปัญญาเห็นถูกตามธรรมเป็นเครื่องส่องนำทางให้กับชีวิต ความบริสุทธิ์ของจิตจึงจะเกิดขึ้นได้ |
|
1249. คำตอบ (๒) สภาวะที่เกิดขึ้น เป็นการตามรู้ของจิตที่ระลึกได้กับทุกสิ่งที่เข้ากระทบ ผู้ใดรักษาสภาวะเช่นนี้ไว้ได้ตลอดไปทุกขณะตื่น ผู้นั้นได้ชื่อว่ามีธรรมรักษาใจ ความดีใดเมื่อเกิดขึ้นแล้ว หากรักษาความดีนั้นไว้ไม่ได้ก็ไม่มีความหมาย การรักษาความดีให้คงอยู่ตลอดไป ต้องเจริญพละ ๕ อยู่ทุกขณะตื่น แล้วจะทำให้ใจมีกำลังรักษาความดีให้คงอยู่ตลอดไปได้ |
|
1248. คำตอบ |
|
1247. คำตอบ |
|
1246. เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2552 หนูได้คลอดลูก และเกิดการแท้ง ทั้ง ๆที่ระมัดระวัง เป็นอย่างดี เด็กอายุได้ 7 เดือน คุณหมอกำลังหาสาเหตุโดยบอก เคร่า ๆ ว่าเกิดจากเชื้อโรค และ น้ำคร่ำรั่ว และจะนัดตรวจอีกครั้งหนึ่ง หนูเสียใจมาก ๆ ๆ เพราะต้องการลูก ( หนูตั้งใจจะมีลูกคนแรก) โดยซื้อของเตรียมไว้ทุกอย่างให้ลูก ปัจจุบันได้สวดมนตร์ ตักบาตรตอนเช้าทุกวันให้ลูกและเจ้ากรรมนายเวร เป็นห่วงลูก..สงสารลูกมาก ..ๆๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง.. อยากเรียนถามว่า..... 1.การแท้งลูกเป็นบาปหรือเปล่า 2.การแท้งลูก อดีตเคยทำกรรมอะไรไว้ 3.แนวทางการแก้ไขตามหลักศาสนาพุทธที่ถูกต้องทำอย่างไร ...... เมตตาช่วยไขปัญหาด้วยค่ะ.... ขอบพระคุณค๊ะ เมตตา แก้วสม จ.สงขลา คำตอบ (๒) ทั้งแม่และลูกเคยร่วมกันทำให้ชีวิตของสัตว์ต้องตกล่วงไปขณะอยู่ในท้องได้เจ็ดเดือน (๓) ดูวิธีบริหารหนี้เวรกรรม จาก website kanlayanatam.com ข้อ 728 |
|
1245. คำตอบ (๒) จริตของมนุษย์มี ๖ อย่าง คือ ราคจริต โทสจริต โมหจริต สัทธาจริต พุทธจริต และวิตกจริต บุคคลมีจริตแบบไหนยังไม่สำคัญเท่ากับ เมื่อนำกรรมฐาน (ดูกรรมฐาน ๔๐) มาบริการรมแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้นั้นสำคัญยิ่งกว่า บทกรรมฐานที่เหมาะแก่การฝึกจิต อาทิ อสุภะ กายคตาสติ ฯลฯ เหมาะกับผู้มีราคจริตนำ พรหมวิหาร ๔ กสิณ อรูป ๔ เหมาะกับผู้มีโทสจริตนำ อานาปานสติ อรูป ๔ ฯลฯ เหมาะกับผู้มีโมหจริตนำ การระลึกถึงคุณ ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณของศีล ฯลฯ เหมาะกับผู้มีสัทธาจริตนำ มรณสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐาน ๔ เหมาะกับผู้มีพุทธจริตนำ อานาปานสติ กสิณ ฯลฯ เหมาะกับผู้มีวิตกจริตนำ (๓) การบรรลุธรรมตามแนวสุกขวิปัสสก มีข้อบ่งชี้ความก้าวหน้าในทางธรรม ที่ผู้เข้าถึงได้แล้วได้ทำเป็นตัวอย่างให้ดู คือจิตเห็นสิ่งที่เข้ากระทบ ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจิตปล่อยวางทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต แล้วทำให้จิตเป็นอิสระจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเมตตา ความมีสติ ความมีปัญญา ฯลฯ (เจตสิกดับ) และไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงความทรงฌานได้ ความเป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสกจึงจะเกิดขึ้น |
|
1244. คำตอบ (๒) ผู้ใดพัฒนาจิต จนบรรลุดวงตาเห็นธรรมได้แล้ว มนุษย์และอมนุษย์ รวมถึงสรรพสิ่งที่เข้ากระทบใจ ย่อมเป็นครูสอนใจที่แท้จริง |
|
1243. หนูเคยได้ยินมาว่า การนั่งสมาธิควรทำ ช่วงตั้งแต่ตะวันขึ้น ถ้าตะวันตกดินไปแล้ว จะมีภูตผี วิญญาณ ต่างๆ มาขอส่วนบุญ และถ้าไม่ได้จะทำให้วิญญาณต่างๆ ไม่พอใจ และจะเป็นเจ้ากรรม นายเวรของผู้ที่กำลังนั่งสมาธินั้น จริงหรือไม่คะ ทำให้หนูไม่กล้านั่งสมาธิหลังตะวันตกดินไปแล้ว คำตอบ |
|
1242. คำตอบ |
|
1241. กราบเรียนอาจารย์ค่ะ ลูกเป็นศิษย์อาจารย์จากการอ่านหนังสือที่อาจารย์เขียน หนูเคยปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานมาประมาณ 3 ครั้ง ครั้งที่1-2 ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนักเพราะมัวแต่ง่วงนอนมากๆ ครั้งที่ 3 ได้มีโอกาสปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานเป็นเวลา 7 วัน 8 คืน สามวันแรกของการปฎิบัติ ทุกข์ทรมานจากการง่วงนอนมากจิตไม่เป็นสมาธิเลย วันที่ 4 ของการปฎิบัติจิตเริ่มเป็นสมาธิมากขึ้น เมื่อจะถอนจากสมาธิตัวแข็งต้องใช้เวลานานมาก ในการถอนจากสมาธิ ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ 1). วันที่ 6 และวันที่ 7 มีอาการเหมือนจิตครองร่างกายไม่ได้ เหมือนจิตจะหลุดออกจากร่าง 2). มีอาการเหมือนจิตเศร้าหมอง จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้น และเหมือนมีคนสองคนอยู่ในตัวของเรา บอกว่าเราผิดที่เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าแต่ไม่ให้อภัยคน ที่ทำไม่ดีกับเรากลับไปอาฆาตพยาบาลเขา รู้สึกเหมือนตัวเองถูกลงโทษอย่างหนัก 3). หลังจากครบ 7 วัน 8 คืน หนูกลับไปพักกับเพื่อน ขณะกำลังกินข้าวเกิดอาการเหมือนมี คนสองคนโต้ตอบกันในจิตของเรา 4).หลังจากนั้น หนูก็ไปนอนเกิดอาการท้องยุบตลอดเวลา ไม่ยอมพองแล้วจิตตัวที่1ก็ถามเราว่า เรากำลังจะตายเราจะเอาอะไรไปด้วยหรือเปล่า จิตตัวที่ 2 บอกว่าไม่เอาอะไร จะเอาแต่บุญกุศลที่ได้สร้างมาไปเท่านั้น หลังจากเหมือนตัวเองปล่อยลมออกจากทวารหนัก และจิตบอกว่าร่างกายของเรากำลัวถูกเผา รู้สึกร้อนตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า และสติดับวุบไป หลังจากนั้นตื่นขึ้นมาเพราะเพื่อนมาปลุก หนูยังไปต่อว่าเพื่อนทิ้งให้หนูอยู่คนเดียว หนูเหมือนได้กลับบ้านแต่ก็ไม่รู้ว่าบ้านที่ไหน และเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์แล้ว เหมือนเราตายแล้วเราได้กลับบ้าน หนูขอเรียนถามอาจารย์เพียงเท่านี้ก่อน เหตุการณ์หลังจากนี้มีอะไรเกิดขึ้นมาก จนหนูเข้าใจว่าตัวหนูเองปฏิบัติเคร่งไปทำให้เกิดอาการแบบนี้ ทำให้ทุกวันนี้ หนูไม่กล้านั่งสมาธิให้จิตมีสมาธิมาก หนูกลัวว่าจะเป็นเหมือนที่เคยเป็น ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง ธนพร คำตอบ (๒) ความผูกใจเจ็บและอยากแก้แค้น (พยาบาท) เป็นกิเลส ผู้ใดเก็บไว้กับจิต ย่อมมีผลเป็นบาป (ร้องไห้) เกิดขึ้น (๓) ผู้ใดพัฒนาจิตจนมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น ย่อมมีโอกาสระลึกได้ในอกุศลกรรมที่ทำไว้แต่อดีต ซึ่งไม่มีใครผู้ใดสามารถแก้ไขอดีตได้ ผู้รู้จึงไม่ประพฤติอกุศลที่เคยทำแล้วให้เกิดซ้ำขึ้นอีก (๔) ผู้ใดระลึกได้ว่า ตัวเองถูกเผาแล้วรู้สึกร้อน นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เคยเผาสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้ตายด้วยความร้อน ผู้รู้จึงไม่ประพฤติตนในชาติปัจจุบัน ให้สัตว์ต้องตายด้วยการเผาอีกต่อไป |
|
1240. คุณพ่ออาจารย์คะ หนูได้ฟังธรรมจากที่คุณพ่อบรรยาย ทำให้หนูกลัวการทำชั่ว และจะระวังตัวอยู่ตลอดค่ะ หนูมีปํญหาเรียนถามค่ะ คุณพ่อกับคุณแม่หนูเลิกกันต่างฝ่ายต่องมีใหม่ คุณแม่มีลูกใหม่ คุณพ่อไม่มี มีแต่ลูกติด หนูได้เรียนน้อยเพราะต้องให้น้องเรียนด้วยแม่ส่งเสียไม่ไหว เมื่อได้ทำงานก็ได้ช่วยเหลือคุณแม่ ส่วนคูณพ่ออยู่กับครอบครัวใหม่ ขณะนี้หนูมีครอบครัวแล้ว หนูรับราชการ คุณพ่อใช้สิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของหนู หนูก็ดีใจนะคะที่ได้ทดแทนบุญคุณ ส่วนคุณแม่นั้นพ่อเลี้ยงรับราชการค่ะ พ่อหนูเอาสมบัติของพวกหนูทั้งหมดไปขายให้กับครอบครัวใหม่และลูกติด ซึ่งพวกเราไม่ได้เลย แต่เวลานี้ครอบครัวพ่อลำบากมากค่ะ หนูคิดว่าแม่เลี้ยงหนูกำลังใช้เวรอยู่ หนูมี ๔ เรื่องเรียนถามด้งนี้ค่ะ 1. การที่พ่อมาขอเงินหนูแล้วเอาเงินไปให้กับแม่เลี้ยง ถ้าหนูไม่ให้คุณพ่อหนูจะบาปไหมคะ 2. หนูไม่ค่อยได้ไปหาคุณพ่อเลย นานๆๆไปครั้ง เพราะว่าเมื่อไป แม่เลี้ยงก็จะเข้ามาว่าคอยดูว่าคุยอะไรกัน ทำให้ไม่อยากไป แต่กับคุณแม่ไปหาทุกเดือน ซื้อของที่คุณแม่ต้องการทุกอย่างไปให้ ตามที่ต้องการคือว่าเลี้ยงดูคุณแม่อย่างดี เพราะพ่อเลี้ยงเค้าก็เลี้ยงดูเรา และไม่เคยเข้ามายุ่งเวลาหนูกับคุณแม่คุยกัน หนูทำผิดไหมคะ และควรจะทำอย่งไรคะถึงจะถูกต้อง 3. หนูแปลกใจตัวเองว่าถ้าให้เงินพ่อหนูจะเสียดายมาก เพราะพ่อเอามาให้ครอบครัวใหม่เค้าหมด หนูเคยคิดว่าเค้ารักพวกเราหรือหรือเปล่า หนูควรทำอย่างไร 4. ถ้าเราไม่ได้เลี้ยงดูคุณพ่อ แต่เลี้ยงดูคุณแม่คนเดียวบาปไหมคะ คำตอบ (๒) ผู้ใดเดินเข้าตลาดแล้วผ่านร้านขายปลาร้า เมื่อจมูกรับสัมผัสกับกลิ่นเหม็น ย่อมเกิดอารมณ์ไม่ดี หากเดินเลี่ยงไม่ผ่านร้านขายปลาร้า ย่อมไม่เหม็น ผู้รู้จึงนิยมไม่ประพฤติเหตุที่ทำให้อารมณ์ไม่ดีเกิดขึ้น (๓) ผู้ใดให้เงินแล้วรู้สึกเสียดาย การให้เช่นนั้นเป็นบาป ตรงข้ามให้เงินแล้วสบายใจถือว่าเป็นบุญ ฉะนั้นผู้ถามปัญหาต้องเลือกด้วยตนเองว่า จะประพฤติแบบไหน เลือกประพฤติได้ตามที่ชอบ (๔) เมื่อใดมีจิตระลึกถึง การมิได้ประพฤติจริยธรรมของลูกที่มีต่อพ่อ เมื่อนั้นบาปได้เกิดขึ้น |
|
1239. คำตอบ (๒) บุคคลตกต่ำด้วยการประพฤติทุศีลไร้ธรรม เหตุที่แม่ชีพูดเช่นนั้น เพราะจิตของแม่ชียังมีโปรแกรมบาปเก็บบันทึกอยู่ |
|
1238. ดิฉันมีความสงสัยอยู่มากว่า ถ้าเรารู้สึกว่า คน หรือสัตว์ต่าง ๆ ที่เราเคยเบียดเบียน เขามาทวงหนี้เรา แล้วเราอยากแผ่เมตตาให้เขา เราจะต้องใช้บทสัพเพ สัตตาฯ หรือว่าบทไหนในการแผ่เมตตาคะ (ถ้าใช้บท สัพเพ สัตตาฯ แล้วเขาจะรู้หรือคะว่าเราให้เขา) ขอรบกวนอาจารย์โปรดเมตตาตอบให้ดิฉันคลายติดขัดในใจด้วยเถิดค่ะ คำตอบ |
|
1237. คำตอบ |
|
1236. กราบเรียน อาจารย์ ดร. สนอง 1. เมื่อนั่งกำหนดไปแล้วรู้สึกสติเริ่มจางๆ จนในที่สุดก็หมดความรู้สึกทางกายและทางจิต จนเมื่อเวลาผ่านไปซักระยะหนึ่ง ความรู้สึกทางกายและทางจิตจึงกลับมาใหม่ รู้สึกเวลาหายไป และเมื่อเลิกกำหนดแล้วรู้สึกสบายทั้งกายและใจ เช่น ถ้าเป็นไข้หวัดตัวร้อนน้ำมูกไหล หลังจากออกจากสภาวะดังกล่าวแล้วรู้ว่าน้ำมูกหยุดไหล ไข้ลดลง สภาวะดังกล่าวนี้เป็นสภาวะที่เรียกว่าเป็นการเข้าภวังค์ หรือเข้าสมาบัติครับ และจะสังเกตุความแตกต่างของสภาวะทั้งสองอย่างไร 2. ก่อนเข้าภวังค์นั้น จะต้องมีความคิด และขณะที่เข้าภวังค์จะต้องมินิตอยู่ด้วย แต่ไม่สามารถรู้สึกตัวได้เนื่องจากสติเบาบางมาก อันนี้ถูกผิดประการใดครับ 3. สภาวะจิตก่อนเข้าภวังค์ สำหรับการทำสมาธิ เหมือนหรือแตกต่างอย่างไรกับกับสภาวะจิตก่อนหลับ หรือก่อนที่จะตายครับ 4. ในบางครั้ง ผมได้ทำเมตตาภาวนาควบคู่ไปกับการเจริญสติปัฎฐานสี่ โดยใช้คำภาวนาว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงมีความสุขกายสุขใจ เมื่อภาวนาไปได้ซักพักหนึ่ง คำภาวนาจะหายไป หลังจากคำภาวนา หายไปแล้วนั้น จะกำหนดจิตอย่างไรและเอาจิตไปไว้ที่ไหนครับ 5. หากผมต้องการทำเมตตาภาวนาให้ได้อัปปมาฌาณ 6. สภาวะของผลสมาบัติ นั้นสามารถมีเวทนาจางๆ และความคิดจางๆ ได้หรือไม่ครับ 7. สมถะภาวนานั้น ไม่ว่าจะอยู่ในฌาณระดับไหนก็ตามจะต้องมีนิมิตเสมอ ( เพ่งในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเสมอ หรือจะต้องมีความคิดเสมอ ) ส่วนความรู้สึกทางกาย อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับระดับของฌาณ ใช่หรือไม่ครับ และถ้าเทียบกับสภาวะของผลสมาบัตินั้น จะแตกต่างกันคือความรู้สึกทางกาย และความรู้สึกทางจิตหายไป หมดความรู้สึกนึกคิด เวลาหายไป ใช่หรือไม่ครับ 8. สภาวะในวิปัสนาญาณ เหมือนหรือแตกต่างอย่างไรของสภาวะที่เกิดจากการทำสมถะภาวนา (เช่น ใน มุญจิตุกัมยตาญาณ จะมีสภาวะคันมากเลิกทำแล้วก็ยังคัน บางคืนไม่ได้หลับเลยคันทั้งคืน ในขณะที่ผู้ทำสมถะ บางท่านก็เกิดอาการคันเหมือนกันโดยกล่าวว่าเป็นอาการของปิติ หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ในภังคญาณ ที่กำหนดไปแล้วตัวหาย อาการเช่นเดียวกันนี้ ก็เกิดในผู้ทำสมถะเหมือนกัน) ขอแสดงความเคารพอย่างสูงครับ คำตอบ ส่วนจิตที่เข้าสู่สภาวะของฌานสมาบัติ จิตไม่สามารถรับกระทบข้างนอก (อายตนะภายนอก) ใดๆเข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ แต่อารมณ์ภายใน (อารมณ์ฌาน) ยังคงมีอยู่และจิตสามารถระลึกได้ (๒) ก่อนที่จิตเข้าสู่ภวังค์ จิตยังเกิด-ดับ ยังทำงานได้ ยังคิดได้ ยังมีนิมิตให้ปรากฏได้ การที่จิตไม่สามารถระลึกได้เป็นสภาวะที่ไม่เกิด-ไม่ดับ (๓) สภาวะจิตก่อนเข้าสู่ภวังค์ กับสภาวะจิตก่อนหลับมีสภาวะเป็นอย่างเดียวกัน ซึ่งต่างไปจากสภาวะของจิตก่อนเคลื่อนออกจากร่าง จิตสามารถระลึกได้ชัดเจน เหตุเพราะจิตยังเกิด-ดับ คือยังทำงานได้ (๔) การเจริญเมตตาภาวนา เป็นการระลึกถึงความปรารถนาให้สัตว์อื่นได้ประโยชน์และมีความสุข ซึ่งใช้เป็นฐานให้จิตเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ เมื่อใดที่จิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) จึงจะสามารถนำจิตไปตามดูสติปัฏฐาน ๔ ตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดเห็นว่า องค์กรรมฐานที่นำมาพิจารณาผันเข้าสู่ความมิใช่ตัว มิใช่ตน (อนัตตา) ปัญญาเห็นแจ้ง หรือเห็นถูกตามธรรมก็จะเกิดขึ้น จิตจะปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ทำให้จิตเป็นอิสระและว่างเป็นอุเบกขา นี่คือผลที่เกิดจากการพิจารณาสติปัฏฐาน ส่วนคำภาวนาที่หายไป คือสติระลึกไม่ได้ในคำภาวนา แก้ไขโดยสร้างอิริยาบถใหญ่ให้เกิดขึ้น เช่น เปลี่ยนจากการนั่งภาวนามาเป็นเดินจงกรม เมื่อใดที่จิตมีกำลังสติเพิ่มมากขึ้น คำภาวนาจะไม่หายไป (๕) ขออภัย คำว่า อัปปมาฌาน ไม่เคยปรากฏในจิตสำนึกของผู้ตอบปัญหา จึงแสดงความเห็นไม่ได้ (๖) คำว่า ผลสมบัติ ไม่มีในจิตสำนึก จึงแสดงความเห็นไม่ได้ แต่หากผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงสภาวะที่เรียกว่า นิโรธสมาบัติ หรือ อนุปุพพวิหารสมาบัติ หรืออนุปุพพนิโรธ ได้แล้ว สัญญาและเวทนา ย่อมดับไปจากจิต ผู้ใดยังมีเวทนาจางๆ ยังมีความคิดจางๆ เกิดขึ้นกับจิต ผู้นั้นยังพัฒนาจิตเข้าไม่ถึงสภาวะที่เรียกว่า นิโรธสมาบัติ (๗) คำว่า นิมิต หมายถึง เครื่องหมาย, เค้า, มูล, ลาง, เหตุ ผู้ใดมีปัญญาเห็นผิด ย่อมมีความรู้สึกทางกาย ฉะนั้นผู้ที่พัฒนาจิต จนเข้าถึงรูปฌานได้ ยังมีความรู้สึกทางกายได้ หากพัฒนาจิตจนเข้าถึงอรูปฌานแล้ว ความรู้สึกทางกายย่อมไม่มี ส่วนคำว่า ผลสมาบัติ โปรดดูคำตอบข้อ (๖) (๘) ผู้ใดพัฒนาจิตด้วยวิธีสมถภาวนา จะไม่สามารถเข้าถึงมุญจิตุกัมยตาญาณ (ญาณหยั่งรู้ที่ทำให้ต้องการพ้นไปจากสังขารที่น่าเบื่อหน่าย) ได้ เพราะญาณดังกล่าวจะเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น ส่วนอาการคันเป็นผลมาจากจิตเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ อนึ่ง ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา แล้วเห็นตัวหายไป ไม่เรียกว่า ภวังคญาณ ส่วนผู้ใดปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เมื่อเข้าถึงเฉพาะปรีชาหยั่งรู้เฉพาะความดับของสังขารเด่นชัดขึ้นมา ว่าสังขารทั้งปวง ล้วนต้องแตกสลายด้วยกันทั้งสิ้น อย่างนี้จึงจะเรียกว่า ภังคญาณ หรือ ภังคานุปัสสนาญาณ. |
|
1235. คำตอบ |
|
1234. ดิฉันยังไม่อาจเจริญสติจนเกิดปัญญารู้แจ้งกฎไตรลักษณ์ จึงขอรบกวนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ 1. ถ้ามีคนมาทำกรรมไม่ดีมากๆกับเรา แต่เราต่างอโหสิซึ่งกันและกันแล้ว อยากทราบว่าคนคนนั้นต้องไปรับกรรมจากคนอื่น(ในแบบเดียวกับที่ทำให้เราทุกข์)อีกหรือเปล่าคะ เพราะเคยอ่านเจอว่า แม้เราจะอโหสิให้แล้ว เราจะพ้นวงจรกรรมกับเขา แต่เขาก็ยังคงต้องไปรับผลต่อกับคนอื่นอยู่ดี และกรณีที่เขาเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา กรรมที่เขาทำกลับคืนเรา จะถือว่า"เจ๊า"กันไปหรือเปล่าคะ คือเขาไม่ต้องไปรับผลจากคนอื่นอีก 2. หนังสือยิ่งกว่าสุข เมื่อจิตเป็นอิสระที่อาจารย์เขียน ทำให้ชีวิตของดิฉันเปลี่ยนไปมากๆ (ไม่อย่างนั้นคงลงเหวไปแล้วเพราะความไม่รู้ ก่อนหน้าดิฉันอ่านหลายเล่มก็ยังทำใจกับทุกข์ไม่ได้) 3. ดิฉันรู้จากการอ่าน แต่เนื่องจากยังไม่ปัญญาเห็นจริงด้วยตัวเอง จึงขอถามว่า เวลาที่อยู่บนโลกมนุษย์(ถ้าไม่มีกรรมตัดรอน) ของดิฉันอาจเหลือประมาณ 50 ปี หากไม่มีคู่ ดิฉันจะสามารถทำแต่กรรมดีๆแบบนี้ไปทุกวันๆ โดยไม่รู้สึกโดดเดี่ยวมากได้ไหมคะ พี่ที่ทำงานบอกว่า ถ้าตอนนี้ดิฉันไม่คิดมีคู่ เลยวัยนี้ไปแล้วจะมาเสียใจทีหลัง ขอความเห็นของอาจารย์เรื่องนี้ได้ไหมคะ เพราะบางครั้งดิฉันก็รู้สึกเหงามากๆ แต่ก็ไม่อยากมีทุกข์เพราะความรักอีก 4. เทวดา ท่านสามารถดลจิตใจมนุษย์ให้คิด หรือทำอย่างที่ท่านปรารถนาได้ไหมคะ ถ้าได้ จะไม่เป็นการแทรกแซงกรรมของมนุษย์ผู้นั้นหรือคะ จากที่ดิฉันมีโอกาสไปฟังธรรมครั้งแรก วันที่12 ก.ค. เห็นเด็กๆรุ่นใหม่ไปกันเยอะมาก (ชื่นใจ) แต่ในสายตาคนนอก (ที่ไม่ได้สนใจธรรมะ) กลับมองว่า เพราะคนเหล่านั้นต้องมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งถึงสนใจธรรมะ ดิฉันอธิบายเท่าไหร่ ก็ไม่เชื่อจนดิฉันต้องนิ่งไป คงอย่างที่อาจารย์บอกว่ามีบัวหลายเหล่า และหลวงปู่ดูลย์ บอกว่าธรรมะไม่ใช่ของที่จะไปยัดเยียดให้ใครนะคะ ทุกวันนี้ดิฉันก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองดี ยิ่งกลับคิดว่าขยะยังอยู่ในใจเต็มเลย แต่ดิฉันก็เชื่อว่าได้มาเดินบนหนทางที่ถูกต้อง ดีงามแล้วค่ะ จันทร์นภัส ธีระวิทย์ คำตอบ (๒) การทำความดีย่อมมีมารขัดขวาง ความเหนื่อยกายเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องมี แต่ผู้ใดมีธรรมคุ้มครองใจ ความท้อแท้ใจย่อมไม่เกิดขึ้น ผู้ใดมีพฤติกรรมไม่เหมือนพฤติกรรมของคนปกติทั่วไป เรียกผู้นั้นว่า เพี้ยน ที่มีคนพูดว่าผู้ถามปัญหานั้นเป็นคนเพี้ยน เป็นการพูดถูกของเขา แต่ผู้ที่ถูกพูดถึงมีพฤติกรรมเพี้ยนไปสู่ความสวัสดีของชีวิต ผู้รู้ไม่หยุดเพี้ยน ดีให้ถึงที่สุด ฉะนั้นจงเพี้ยนต่อไป (๓) ผู้ใดมีธรรมะคุ้มครองใจ ความเหงา ความรู้สึกโดดเดี่ยว ย่อมไม่มีกับผู้นั้น อนึ่ง พี่ที่ทำงานพูดถูกตามความเห็นของเขา แต่ไม่ถูกตามความเห็นของผู้รู้จริง พระพุทธะตรัสในทำนองที่ว่า มนุษย์มีทรัพย์สมบัติเป็นห่วงผูกขา มีสามี/ภรรยาเป็นห่วงผูกมือ มีบุตรธิดาเป็นห่วงผูกคอ ผู้ถามปัญหาจะผูกชีวิตไว้กับสิ่งใด เลือกได้ตามใจปรารถนา หรือไม่เอาสิ่งใดมาผูกมัดให้ขาดความเป็นไท อยู่ที่ต้องตัดสินใจเอาเอง เพราะบุคคลมีสิทธิในชีวิตที่ต้องบริหารจัดการด้วยตัวเอง (๔) ผู้ใดมีศีลมีธรรมคุ้มครองใจ ผู้นั้นมีเทวดาคอยคุ้มรักษา เทวดาเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ ฉะนั้นเมื่อเทวดาดลใจ จะไม่ดลใจให้ทำชั่ว แต่จะดลใจผู้มีศีลมีธรรมให้ทำแต่กรรมดี ถือว่าเป็นการแทรกแซงกรรมได้ |
|
1233. อยากเรียนถามอาจารย์ว่าควรแก้ไขวิบากกรรมนี้อย่างไรคะ อยากมีเพื่อนที่ดีๆเข้ามาบ้างค่ะ คำตอบ บุคคลจะรู้ว่าตัวเองดีหรือไม่ดี มิใช่ตัวเองเป็นผู้ดูเป็นผู้ตัดสิน ต้องให้ผู้อื่นเป็นคนดูเป็นคนตัดสิน และต้องดูกันนานๆ จึงจะรู้ว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ ผู้ใดประพฤติตนให้อย่างน้อยมีเบญจศีล (ศีล ๕) มีเบญจธรรม (เมตตากรุณา สัมมาอาชีวะ กามสังวร สัจจะและสติสัมปชัญญะ) คุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น สัตว์เดรัจฉานยังอบอุ่นใจ ไว้วางใจ นำตัวเข้าใกล้ ยังมีเทวดาคุ้มรักษา ผู้ใดพัฒนาตัวเองให้มีความเห็นถูก ย่อมแสวงหาธรรมะมาเป็นมิตรแท้คุ้มครองใจ ตัวอย่างเช่นพระสารีบุตรมีกายคตาสติเป็นมิตรแท้ ฉะนั้นปัญหาที่ถามไปสรุปลงได้ว่า มีความเห็นผิดเป็นเหตุให้เกิด |
|
1232. คำตอบ |
|
1231. - ถ้าหนูจะทำธุรกิจการค้าเกี่ยวกับการซื้อขายทองคำ ไม่ทราบว่า ธุรกิจนี้จะเป็นการสร้างผลกรรมไม่ดีประการใดบ้างหรือเปล่า หรือมีอานิสงฆ์อย่างไร เนื่องจากหนูเคยได้ยินมาว่า ทองคำ เป็นเสมือนทรัพย์ของแผ่นดิน อาจส่งผลกระทบให้คนทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทองคำนี้ มีชีวิตที่ไม่สงบสุข ที่หนูต้องการคำปรึกษาแนะนำนี้ หนูเพียงแต่ไม่ต้องการสร้างอกุศลเพิ่มขึ้นโดยไม่เจตนาค่ะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ คำตอบ |
|
1230. 1.เรื่องศีล ข้อ 3 ดิฉันมีสามีแล้ว แต่บางทีเจอคนถูกใจชอบแอบนำมาคิด หรือจินตนาการทางเพศ อยากทราบว่าถือว่าผิดศีลข้อ3และข้อ 3ในศีล 8 หรือไม่คะ 2. การมีลูกเป็นโรคสมาธิสั้น เพราะชาติที่แล้วดิฉันผิดศีลข้อ 5 ใช่หรือไม่คะ 3.ดิฉันนั่งสมาธิจนนิ่งแล้ว จะผลิกเข้าสู่วิปัสสนาได้อย่างไร ตอนนี้พอจิตสงบ ก็จะนำเหตุการณ์ต่างๆมาคิดตามกฎไตรลักษณ์ เช่นอาการเกิดดับของเหน็บชาที่เกิดขึ้นจริง อารมรณ์โกรธที่หายไป อารมรณ์ที่เกิดขึ้นทั้งวัน ดิฉันทำถูกต้องหรือผิดไปจากหลักกรรมฐานไหมคะ คำตอบ (๒) เป็นไปได้ (๓) ผู้ใดมีจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วใช้จิตตามดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออารมณ์ดับไป (อนัตตา) จิตจะปล่อยวางอารมณ์ แล้วจิตว่างเข้าสู่ความเป็นอุเบกขา หากมีผลถูกตรงตามนี้ ถือว่า วิปัสสนาภาวนาดำเนินไปถูกต้อง |
|
1229. ขอบคุุณมากค่ะ คำตอบ (๒) การประพฤติตนเป็นคนไร้สัจจะ ถือว่าเป็นบาป ผู้ไม่มีสัจจะไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมขั้นสูงได้ ผู้ใดประสงค์แก้ปัญหาความไร้สัจจะให้หมดไป ต้องไปขอขมาต่อพระรัตนตรัยให้ยกโทษให้ และต้องไม่ประพฤติไร้สัจจะให้เกิดขึ้นอีก (๓) ผู้ใดมีศีล ๕ บริสุทธิ์คุมใจ จิตย่อมเข้าถึงความตั้งมั่นได้ง่าย และผู้ใดหมั่นเจริญพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) อยู่เสมอ ความสงสารคิดช่วยเหลือผู้อื่นย่อมเข้าถึงความสำเร็จได้ |
|
1228. คำตอบ ฉะนั้นผู้ถามปัญหาประสงค์แก้ไขสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับชีวิต ต้องหาเหตุให้พบและดับที่เหตุนั้น สิ่งขัดใจเป็นต้นเหตุให้เกิดเป็นความโกรธ สิ่งขัดใจดับได้ต้องให้อภัยเป็นทาน ให้อภัยได้แล้วเมตตาจึงจะเกิดขึ้น ผู้ใดมีเมตตาผู้นั้นไม่มีความโกรธ ความหลงคือรู้ไม่จริง คืออวิชชา ความหลงหมดไปได้ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาความหลงว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดความหลงเข้าสู่อนัตตา ความหลงจึงไม่ใช่ตัวตน จิตจะปล่อยวางความหลง แล้วว่างเป็นอุเบกขา ความหลงก็จะหมดไปจากใจได้ ปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้า มีเหตุมาจาก ๑. อกุศลวิบากตามให้ผล และจิตยังชดใช้หนี้เวรไม่หมด ๒. ศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์ และไม่เอาศีลมาคุมใจ ๓. ความเพียรในการปฏิบัติธรรมย่อหย่อน ๔. ไม่มีสัจจะคุมใจ ผู้ใดดับเหตุทั้ง ๔ นี้ได้ การปฏิบัติธรรมได้ผลก้าวหน้าแน่นอน |
|
1227. เรียนท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพยิ่ง ดิฉันเคยศึกษาเรื่องราวของธรรมะมาบ้าง จากการอ่านและฟังธรรมะจากท่านผู้รู้หลายท่าน รวมถึงหนังสือของท่านอาจารย์สนองด้วยค่ะ ทำให้ได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์มากขึ้น และที่ดิฉันสนใจมากคือเรื่องกฎแห่งกรรม ทำกรรมสิ่งใดไว้ ผลของกรรมนั้นย่อมตามสนอง ไม่ว่าจะกรรมดีหรือกรรมชั่ว แต่มีเรื่องสงสัยบางอย่างที่ต้องเรียนถาม ขอท่านอาจารย์เมตตาให้ความกระจ่างด้วยค่ะ 1 การทำกรรมไว้เพียงครั้งเดียว แต่ผลของกรรมนั้นทำไมจึงมากมายหลายเท่านัก อย่างเช่นนะคะ (ที่เคยอ่านเจอมา) คนที่ฆ่าสัตว์เพียงครั้งเดียว จะต้องไปเกิดในนรกใช้กรรมหลายล้านปี พอขึ้นมาก็ต้องมาถูกฆ่าอีก 500 ชาติ ทำไมมากมายนัก ที่ถามก็เพราะว่าเกิดความกลัว ไม่ทราบว่าฆ่าใครมาแล้วบ้างในอดีตชาติ และชาติปัจจุบันก็เคยฆ่าสัตว์เหมือนกัน และถ้าปัจจุบันเลิกฆ่าสัตว์และตั้งหน้าตั้งตาปฎิบัติธรรม พอที่จะหนีพ้นวิบากกรรมเก่าเหล่านั้นได้บ้างหรือไม่ค่ะ ตอนนี้ดิฉันกำลังฝึกปฏิบัติธรรม ตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช โดยการดูจิตอยู่ค่ะ ก็ทำไปเรื่อยๆเนืองๆ ในชีวิตประจำวันเพราะว่ายังไม่ค่อยได้มีโอกาสไปปฎิบัติธรรมในสถานปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง และก็ใส่บาตรตอนเช้าอยู่ประจำ 2 ดิฉันปรารถนาให้พ่อและแม่ หันมาสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมบ้าง แต่ดิฉันปัญญาน้อย ก็อาศัยอ่านหรือเปิดเทปบรรยายธรรมให้ท่านฟัง ดูเหมือนท่านจะยังไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าที่ควร ดิฉันเคยท้อและเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้มาก แต่ก็ได้คำสอนของพระอาจารย์ปราโมทย์ ก็เลยคลายความทุกข์ได้บ้าง ดิฉันควรทำอย่างไรให้ท่านหันมาสนใจให้มากขึ้น เพราะสิ่งเดียวที่ดิฉันจะตอบแทนท่านได้เต็มที่ ในฐานะลูกก็คงจะมีทางนี้ทางเดียว ขอรบกวนเท่านี้ก่อนนะคะ ขอกราบอนุโมทนาในเมตตาของท่าน ที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้พ้นจากทุกข์ค่ะ คำตอบ ปัจจุบันได้หยุดฆ่าสัตว์แล้ว ถือว่าเป็นการกระทำที่ดี เพราะไม่เติมเชื้อบาปให้เพิ่มมากขึ้น ผู้ถามปัญหาประสงค์หนีไปให้พ้นจากวิบากที่เกิดจากการฆ่า สามารถหนีได้ชั่วคราว ด้วยการพัฒนาใจให้มีศีลห้าอยู่เสมอ และบำเพ็ญทานอยู่เสมอ หรือประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ อยู่เสมอ หรือเจริญอานาปานสติจนจิตตั้งมั่นเป็นฌาน แล้วตายในขณะจิตทรงฌานจะไปเกิดเป็นพรหม หรือจิตทิ้งร่างในขณะมีสติคุมใจ ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้เป็นการกระทำที่สามารถหนีพ้นวิบากจากการฆ่าสัตว์ได้ชั่วคราว และจะดีที่สุด ต้องพัฒนาจิตจนสามารถปิดอบายภูมิได้ ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดสังโยชน์อย่างน้อยสามตัวแรก (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด จึงจะสามารถพ้นจากอกุศลวิบากที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ได้เป็นที่แน่นอน (๒) เมื่อใดผู้ถามปัญหาพัฒนาตัวเอง ให้มีศีล มีธรรมคุ้มครองใจให้ได้ทุกขณะตื่น พฤติกรรมที่แสดงออกทางกาย วาจา ใจ ย่อมดีงาม ความศรัทธาของผู้อยู่ใกล้ย่อมเกิดขึ้น และหากพัฒนาจิตจนเข้าถึงอริยธรรมได้แล้ว ความศรัทธาของพ่อแม่จะเกิดขึ้นได้ง่าย แล้วพ่อแม่จะมีความเห็นถูก หันมาสนใจธรรมเอง |
|
1226. โปรดช่วยชี้ทางสว่างให้กับนักศึกษาคนนี้ด้วยค่ะ ตอนนี้ดิฉันกำลังจะต้องทำวิจัย โดยศึกษาพิษวิทยาของดิน ที่ปนเปื้อนด้วยสารตะกั่วโดยใช้ไส้เดือนค่ะ ซึ่งจากการทดลอง ทำให้ดิฉันต้องฆ่าไส้เดือนหลายร้อยตัว (freeze dry) เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณสารตะกั่วในตัวใส้เดือน ซึ่งงานนี้เป็นงานที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์ที่ปรึกษาค่ะ ดิฉันไม่มีทางเลือกอื่น อยากเรียนถามอาจารย์ว่า 1) ผลกรรมที่จะได้รับจากการกระทำนี้คืออะไรบ้างคะ 2) ถ้าดิฉันกล่าวขอขมาไส้เดือนก่อนที่จะฆ่า จะทำให้เวรกรรมเบาบางลงบ้างไหมคะ หรือหากอาจารย์จะกรุณาชี้แนะวิธีอื่นๆ เพื่อก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ ที่กรุณาสละเวลาและสายตาอ่านและตอบคำถามของดิฉัน คำตอบ (๒) ไส้เดือนเป็นสัตว์ที่มีรูปนาม การขอขมากรรมย่อมทำได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ผู้ถูกแช่แข็งแห้ง (ไส้เดือน) จะยกโทษให้หรือไม่ หากไส้เดือนยกโทษให้ ผู้ที่นำเขาไปแช่แข็งแห้ง ไม่ต้องรับผลของกรรมนั้น ตรงกันข้ามถ้าจิตวิญญาณของไส้เดือนไม่ยกโทษให้ อกุศลวิบากตามข้อ (๑) ย่อมเกิดขึ้นกับผู้กระทำ อนึ่ง การวิจัยที่มีการฆ่าสัตว์ เป็นส่วนประกอบแห่งความสำเร็จในการศึกษา แม้จะรู้ว่าเป็นบาป จงทำต่อไป เมื่อใดความรู้ที่เกิดขึ้น ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก บุญย่อมเกิดขึ้นจากผลของวิจัยนั้น และจะดีที่สุด เมื่อการทำวิจัยจบสิ้นลงแล้ว ผู้ถามปัญหาต้องหยุดประพฤติทุศีลดังที่เคยทำมาก่อน แล้วพัฒนาจิตให้มีบุญสั่งสมมาก จนบาปตามให้ผลไม่ทัน ด้วยการประพฤติทาน ศีล ภาวนา ตลอดชีวิต |
|
1225. ขอบคุณอาจารย์มากคะ คำตอบ |
|
1224. หลังจากที่คุณพ่อบอกว่า คนที่เป็นเบี่ยงเบนทางเพศมีวิบากกรรมมาก ไม่สามารถเข้าสมาธิอะไรได้เนี่ย ทำให้ผมรู้สึกบั่นทอนใจเหมือนกัน คุณพ่อครับ ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมครับว่าผมควรทำตัวอย่างไร คำตอบ |
|
1223. กราบสวัสดีค่ะ อาจารย์ ดร.สนอง ที่รักและเคารพ หนูเคยไปปฏิบัติธรรม 2 ครั้ง ฟังบรรยาย มีเหตุให้ต้องออกมาก่อนทุกครั้ง
|
|
1222. เมตตาช่วยแก้ปัญหาให้ด้วย...ทุกข์ มาก ๆ เป็นทุกข์มาก เมื่อฟังธรรม เรื่องการโกงกินทรัพย์หลวง เขาบอกว่าเป็นกรรมหนักมาก มาก ๆ คำตอบ ผู้รู้ยอมรับความจริง เรื่องกฎแห่งกรรมและบริหารหนี้เวรกรรมดังนี้ ๑. เมื่อใดที่กรรมตามทัน ต้องยอมชดใช้หนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ไปจนกว่าจะหมดหนี้ ๒. เมื่อกรรมตามทัน ต้องพัฒนาตัวเองให้มีบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) แล้วอุทิศบุญใหญ่ใช้หนี้ให้เจ้ากรรมนายเวร ทำให้หนี้เวรกรรมจบลงได้เร็ว ๓. คิด พูด ทำดีทุกขณะตื่น เพื่อหนีหนี้เวรกรรมที่ยังตามให้ผลไม่ทัน ๔. หนีเข้านิพพานได้เมื่อใด หนี้เวรกรรมที่เหลือทั้งหมด เป็นอันยกเลิก พุทธวจนะ : มนุษย์สมบัตินำความคับแค้นใจมาให้ ข้อความข้างต้น ยังคงเป็นจริงอยู่จนทุกวันนี้ ลองดูตัวอย่างของ ปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) อดีตลูกเศรษฐีที่มีมรดกมากมาย มีผืนที่ดินกว้างใหญ่เกือบสองร้อยตารางกิโลเมตร มีเหมืองสูบน้ำอยู่หลายสิบเหมือง มีโรงเรือนเก็บเครื่องมือทำการเกษตร และเก็บผลผลิตอยู่หลายโรง หลังจากพ่อแม่ทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว ปิปผลิมาณพและภรรยา (ภัททกาปิลานี) ได้ยกสมบัติกำพร้าทั้งหมดให้กับบริวารเอาไปบริหารจัดการกันเอง แล้วทั้งสองได้นำตัวเองไปบวชเป็นภิกษุและภิกษุณีอยู่ในพุทธศาสนา บวชได้ไม่นานได้บรรลุอรหัตตผล นำพาชีวิตเข้าถึงสมบัติอมตะ คือพระนิพพานได้เป็นเบื้องสุด |
|
1221. คำตอบ การพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน มิได้ทำให้พ้นทุกข์ เพราะผู้ที่พัฒนาจิตจนบรรลุ ฌานสมาบัติ (รูปฌาน ๔ + อรูปฌาน ๔) เมื่อถอยจิตออกจากฌานแล้ว ความรู้สูงสุดฝ่ายโลกิยะที่เรียกว่า อภิญญา ๕ (อิทธิวิธี ทิพพโสต เจโตปรยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และทิพพจักขุ) ย่อมเกิดขึ้น ความรู้สูงสุดทั้งห้านี้ ไม่สามารถนำจิตเข้าถึงอริยธรรม และยังเป็นตัวถ่วงให้เนิ่นช้า ในการนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ทั้งปวงอีกด้วย จึงไม่แนะนำตามความประสงค์ที่ถามไป .... ขออภัย |
|
1220. ดิฉันมีข้อคำถามจะเรียนถามอาจารย์เพื่อนำไปปฏิบัติดังนี้ค่ะ 1. ดิฉันสัมผัสได้กับวิญญาณ ที่อยู่ตามสถานที่ต่างๆ แต่ก่อนยังไม่สามารถสัมผัสได้มากอย่างปัจจุบัน จึงเกิดปัญหาว่า ดิฉันเหนื่อยมาก(มาปลุกตี 2 ตี 3 ) เพราะเขาจะมาหา มาบอก มาขอ ให้ทำอะไรให้ เนื่องจากเขาไม่สามารถสื่อกับญาติเขาได้ ดิฉันควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร 2. หากดิฉันไม่ต้องการเห็นสิ่งเหล่านี้ ดิฉันจะทำอย่างไร หรือหากต้องทำในสิ่งที่เขาต้องการ ดิฉันควรจะปฏิบัติอย่างไร ดิฉันเกรงว่า หากมากๆเข้า ดิฉันจะเหมือนคนบ้า ดิฉันไม่ต้องการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญณาญกับมนุษย์ สิ่งที่เกิดกับดิฉันเป็นหน้าที่หรือไม่ อาจารย์กรุณาแนะนำด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณในความเมตตา คำตอบ |
|
1219. ผมฝึกปฏิบัติสมถภาวนาด้วยตัวเองอยู่ที่บ้าน โดยการดูลมหายใจแล้วภาวนา พุทธ-โธ ผมมีข้อสงสัยที่จะเรียนถามอาจารย์ดังนี้ 1.ท่านัง นั่งเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ลำตัวตั้งตรง ผมมีข้อสงสัยว่า ลำตัวตั้งตรงนี้ ขณะปฏิบัติเมื่อลำตัวตั้งตรงแล้วนั่งปล่อยสบายๆ หรือต้องเหยียดตัวให้ตรงแล้วเกร็งไว้นิ่งๆ เพราะว่าที่ผมปฏิบัติ ถ้าปล่อยตัวสบายๆ สักพักหนึ่งลำตัวมันจะหย่อนลงมาเองแล้วหลังจะงอเล็กน้อย ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากครับ คำตอบ (๒) ผู้ที่นั่งหลับตาแล้ว ไม่สามารถโฟกัสการมองเห็นไปยังจุดใดได้ แต่ที่บอกว่า มองไปที่ปลายจมูก นั้นหมายความว่า เอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจที่กระทบปลายจมูก และขณะมีจิตระลึกได้ว่าตัวเอียงไปข้างหลัง นั่นแสดงว่า จิตเคลื่อนออกไปจากลมหายใจ (ขาดสติ) แล้ว ไม่มีสติระลึกอยู่กับลำตัวที่เอียงไปด้านหลัง |
|
1218. คำตอบ ฉะนั้นการบูชาเทวดา เจ้าที่ เป็นการแสดงความเคารพสัตว์ที่อยู่ต่างมิติ ทำให้มีเทวดาเป็นเพื่อน เพื่อนย่อมช่วยเพื่อนให้ได้ตามที่มนุษย์ปรารถนา ทั้งนี้ต้องไม่เกินความสามารถของผู้ให้และผู้รับ อีกร้านหนึ่งที่ไม่ได้บูชาเทวดา ย่อมไม่มีเพื่อนต่างมิติคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ร้านที่มีเทวดาสนับสนุนจึงค้าขายดีกว่า ผู้ใดประพฤติตนมีศีลมีธรรม คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา หากเจ้าของร้านทั้งสองมีเทวดาคุ้มรักษาเหมือนกัน ผู้บูชาเทวดาย่อมค้าขายดีกว่า (๒) ผู้มีความพร่องในคุณธรรมและยังมีปัญญาเห็นผิด ย่อมขอบารมีองค์เทพผู้ปุถุชนให้มาคุ้มครอง และช่วยเหลือในสิ่งที่ตนปรารถนา เทวดาเกิดอยู่ในกามภพ พรหมเกิดอยู่ในรูปภพหรืออรูปภพ ซึ่งยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร จึงยังต้องสร้างบุญให้เกิดขึ้น ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น ส่วนการบูชาพระรัตนตรัยหรือบูชาพระอริยะเจ้า เป็นการกระทำของผู้มีความเห็นถูกว่า มนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาตัวเองได้ดีกว่าเทวดาหรือพรหม โดยเอาพระอริยะบุคคลมาเป็นตัวอย่างพัฒนาตัวเองให้เข้าถึงโลกุตรธรรม อันเป็นสมบัติสูงสุด ที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ (๓) คำว่า บุญ หรือ กุศล มีความหมายเป็นสิ่งเดียวกัน ผู้ใดมีบุญ ผู้นั้นสามารถอุทิศบุญที่ตนมีให้กับคนอื่นได้ แต่เขาจะได้รับบุญหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยสามอย่าง คือ มีผู้อุทิศบุญ มีบุญที่อุทิศ และมีผู้มารับบุญ หากปัจจัยสามอย่างนี้ถึงพร้อม การอุทิศบุญจึงจะสัมฤทธิ์ผล อนึ่ง สัตว์ที่ยังต้องการบุญที่เกิดจากการให้ทาน บุญที่ใช้บำบัดความหิว บุญที่ทำให้มีเสื้อผ้าสวมใส่ มีเฉพาะปรทัตตูปชีวีเปรตและสัมภเวสีเท่านั้นที่ต้องการ สัตว์กายทิพย์ เช่น เทวดา พรหม จำนวนหนึ่งยังต้องการบุญจากการฟังธรรม และมีจำนวนน้อยต้องการบุญจากการให้อาหารให้ความช่วยเหลือเป็นทาน ส่วนคำว่า เมตตา หมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข เมตตาเป็นคุณธรรมจะเกิดได้ต้องให้อภัยเป็นทาน อภัยได้ในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ แค้นเคือง ขึ้งเคียด (ปฏิฆะ) เมื่อทำได้เช่นนี้แล้วเมตตาจึงเกิดขึ้นได้ และสามารถแผ่ให้กับผู้อื่นที่ตนปรารถนาแผ่ให้ได้ พูดถึงการแปลงสภาพบุญไม่สามารถทำได้ บุญที่เกิดจากการภาวนามีผลทำให้เกิดปัญญา ไม่สามารถแปรไปเป็นบุญที่เกิดจากให้ทาน บุญที่เกิดจากการรักษาศีล บุญที่เกิดจากการประพฤติอ่อนน้อม ฯลฯ ได้ เพราะทำเหตุต่างกันผลของบุญที่เกิดจึงต่างกัน |
|
1217. ดิฉันชอบปฏิบัติธรรม และทำบุญอยู่เสมอ ทั้งที่พยายามทำความดีทุกทาง มีสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างดี แต่ชีวิตการงานไม่รุ่งเรือง (ทำธุรกิจขายตรง ) จนสามีคิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี หันมาดื่มเหล้า ทุกวัน จนดิฉันกลุ้มใจเพราะการเงินก็ไม่ค่อยจะดี ชวนคุณแม่ไปวัดทำบุญ แม่ก็ไม่ไปด้วย บอกว่าทำไปเถอะ ทุกคนคงไม่เชื่อในสิ่งที่เราทำ เพราะชีวิตของดิฉันยังย้ำแย่ เป็นหนี้เป็นสิน ทุกวันนี้ก็พยามทำความดี และเชื่อมั่นในความดี ทั้งที่เห็นบางคนทำงานแบบเอาเปรียบเบียดเบียนคนอื่น แต่เขากับมีเงิน ได้กำไรจากคนอื่นมากมาย ดิฉันทำงานแบบไม่เคยเบียดเบียนใคร ซื่อสัตย์กับลูกค้าเสมอมากว่า 7 ปี หรือมีกรรมอะไร ชาตินี้ที่เกิดมาก็ไม่เคยสร้างกรรมหนักอะไร จะมีก็บางทีตบยุง มีผึ้งมารุมต่อย ก็ฆ่าผึ้ง ตอนทำบุญหรือตอนบวชเนกขัมมะ ก็อุทิศบุญขออโหสิปล่อยๆ รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรด้วย จะเรียนถามอาจารย์ว่า 1. ดิฉันจะต้องแก้ไขที่ตัวเองอย่างไร 2. ทำอย่างไรสามีถึงจะเลิกเหล้า และถ้าเลิกไม่ได้ดิฉันจะต้องทำใจอย่างไร 3. ความตั้งใจสูงสุด ดิฉันอยากจะประสบความสำเร็จในงานที่ทำ มีรายได้ปลดหนี้สิน ช่วยทุกคนในครอบครัว ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี แล้วดิฉันจะไปถือศีล ปฏิบัติ ไปตามทางที่ใจคิดว่าป็นสิ่งที่เบาสบาย และไม่อยากเกิดแล้ว เห็นแล้วว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ สิ่งที่ดิฉันปารถนานี้ ไม่ทราบว่าจะสำเร็จได้อย่างไร หรือถ้าดิฉันมีกรรมแล้วไม่สำเร็จ แล้วดิฉันจะอยู่กับความทุกข์นี้ได้อย่างไร คำตอบ (๒) พระพุทธะสอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง มิได้สอนให้ไปแก้ปัญหาที่ผู้อื่น ลองพิสูจน์สัจจธรรมนี้ ด้วยการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีบุญสุดๆ เมื่อใดเขาศรัทธาในตัวผู้ถามปัญหา ปัญหาจึงมีโอกาสหมดไปได้ ตรงกันข้ามหากเขาไม่ศรัทธา จงยกเขาขึ้นเป็นครูสอนใจตัวเองว่า เมื่อมีการดื่มสุราเกิดขึ้น ต้องมีการหยุดดื่มสุราเป็นธรรมดา เพราะสรรพสิ่งดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จงตามดูไปเรื่อยๆ หากผู้ดูไม่ทิ้งขันธ์ลาโลกไปเสียก่อน อาจเห็นสัจจธรรมของการดื่มสุราก็ได้นะ (๓) ผู้ใดพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่ง (มีความรู้ มีความสามารถ) และพัฒนาตัวเองให้เป็นคนดี (มีคุณธรรม) ได้แล้ว ความสำเร็จของชีวิตย่อมเกิดขึ้น และจะยั่งยืนได้ต้องพัฒนาตัวเองให้มีดวงดี คือประพฤติทาน ศีล ภาวนา จนให้ผลได้เมื่อใดแล้ว ความสำเร็จที่ยั่งยืนย่อมเกิดขึ้น ดังนั้นผู้ใดอยากดี อยากมีความสำเร็จในงาน ไม่อยากเกิดอีก ธรรมวินัยของพุทธศาสนาช่วยได้ |
|
1216. คำตอบ (๒) หากผู้บวชอยู่ในเพศนุ่งห่มผ้าขาว แล้วประพฤติบุญให้เกิดขึ้นกับตัวเองได้ แล้วอุทิศบุญให้กับบิดามารดา เขาทั้งสองจะได้รับอานิสงส์แห่งบุญได้ ต้องอยู่ในเงื่อนไข ตามที่ระบุไว้ในข้อ (๑) (๓) ผู้ใดมีศรัทธาเกิดขึ้นแล้ว ถือว่าผู้นั้นได้หงายภาชนะที่คว่ำ พร้อมที่จะรองรับสิ่งดีงาม (ธรรมวินัย) ของพุทธศาสนา มาเติมเต็มให้กับใจตัวเอง และยิ่งผู้ถามปัญหา มีศีล มีสัจจะ และมีความเพียรสนับสนุนด้วยแล้ว การเติมเต็มธรรมวินัยให้กับใจ ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย อนึ่ง ผู้ถามปัญหาปรารถนาเผยแพร่ธรรม ตามวัตถุประสงค์ที่บอกไปอนุญาตให้ทำได้ แต่ควรแจ้งชมรมกัลยาณธรรมด้วย ก็จะเป็นมารยาทที่ดี |
|
1215. คำตอบ (๒) ผู้ใดประสงค์ไม่พบกับสิ่งที่ไม่ปรารถนา แต่ประสงค์พบกับสิ่งที่ปรารถนา ต้องพัฒนาจิตตัวเองให้มีบุญคุ้มรักษาอยู่ทุกขณะตื่น โดยเฉพาะพัฒนาจิตให้มีทาน มีศีล มีการเจริญจิตภาวนา คุ้มรักษาใจได้ตลอดไป ความปรารถนาในสิ่งที่ต้องการย่อมสำเร็จ |
|
1214. คำตอบ |
|
1213. คำตอบ ลักษณะคนพาลดูได้จาก เวลาเราประพฤติผิดกฎหมาย ทุศีล ไร้ธรรม เขาไม่ป้องกันขัดขวาง ซ้ำยังชักนำเราให้ประพฤติชั่วอีกด้วย ฉะนั้นคนโบราณจึงแนะนำให้อยู่ห่างคนพาลให้ไกลลับตา พุทธศาสนามิได้สอนให้คนหนีปัญหา สอนให้อยู่กับปัญหาแล้วใช้ปัญญาแก้ปัญหา ปัญญาเห็นถูกเห็นว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ฉะนั้นเรื่องที่ผ่านไปถือว่าเป็นบทเรียน เอาไว้สอนใจตัวเองว่า จะดูใครว่ามีนิสัยเป็นอย่างไรต้องดูนานๆ และจะแก้ปัญหาบาปที่ฝังอยู่ในใจให้หมดไป ต้องแก้ที่ใจของตัวเอง ด้วยการให้อภัยเป็นทาน ทุกครั้งที่มีจิตระลึกถึงเรื่องนี้ ต้องบริกรรมคำว่า ช่างมันเถอะๆๆๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าความระลึกถึงเรื่องไม่ดีจะดับไป หากมีโอกาสควรนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม แล้วใช้สติและปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) จนดับไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อขันธ์ ๕ ดับ อัตตาย่อมไม่มี ปัญหาความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ย่อมไม่มีเช่นกัน ปัญหาก็จะหมดไป อนึ่ง ผู้รู้บอกว่า ผู้ถามปัญหาเป็นผู้มีโชคดี หากคิดได้ว่า บาปที่เกิดขึ้นแล้วกับใจ เป็นเหตุนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณให้สูงยิ่งขึ้น |
|
1212. 1. เมื่อก่อนหนูเคยทำบาป ด้วยการทำแท้ง พยายามฆ่าตัวตาย และเคยมีส่วนในการทำให้คนรักที่กำลังบวชอยู่สึกออกมา ทราบว่าทั้งหมดเป็นกรรมหนัก ปัจจุบันนี้ถือศีล พยายามทำบุญทำกรรมดี แต่ยังคงมีความหวาดกลัวต่อผลกรรมของตนเองอยู่ หนูไม่อยากตกนรก มีทางใดบ้างที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ บุญกุศลใดที่ที่ทำแล้วจะช่วยได้บ้าง บาปกรรมเหล่านี้สามารถแก้ไขได้มั๊ยคะ 2. หนูอยาหทราบว่าทำอย่างไรจึงจะได้ไปเกิดในยุคพระศรีอารย์คะ แล้วคนที่มีบาปอย่างหนูจะมีโอกาศหรือเปล่า ขอความกรุณาช่วยชี้ทางให้ด้วยเถิด ขอบพระคุณค่ะ คำตอบ |
|
1211. คำตอบ |
|
1210. คุณแม่หลงลืมๆ ได้ทานยาบำบัดอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้น เป็นห่วงที่คุณแม่จะต้องจากด้วยอาการดังกล่าว กราบเรียนขอข้อแนะนำอาจารย์ว่า คุณแม่ควรเจริญสติอย่างไร กราบขอบพระคุณครับ คำตอบ |
|
1209. ผมได้รับมอบหนังสือสวดมนต์จากเพื่อจำนวน180 เล่ม เพื่อช่วยแจกต่อ แต่เมื่อมาเปิดดูพบว่า นอกจากบทสวดมนต์แล้ว ยังมีเนื้อหาธรรมะบางส่วนด้วย ซึ่งอ่านแล้วเกรงว่า อาจจะไม่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่กล้าแจกต่อ หากจะทิ้งก็เห็นว่าไม่สมควร เพราะมีรูปพระพุทธรูปและมีบทสวดมนต์อยู่ จึงเรียนขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่า ผมควรดำเนินการอย่างไรกับหนังสือเหล่านี้จึงจะเหมาะสมครับ คำตอบ |
|
1208. หลังจากตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะผมไม่เคยไปภาคเหนือและไปถวายเทียนพรรษาด้วยก็ทำให้ดีใจและตั้งใจมากขึ้น ผมยังคงไหว้พระสวดมนต์ทุกคืนจนกระทั่งผมสวดมนต์พระประจำวันเกิดวันจันทร์ 15 จบ แล้วนอนหลับไป วันนั้นผมฝันเห็นว่า ตัวเองเดินอยู่ในวัดร้างแห่งหนึ่ง เห็นพระปรางค์สีแดงอิฐใหญ่มาก ที่วัดร้างเงียบมากมีผมเดินคนเดียว ผมชอบมากๆๆๆๆๆ เพราะผมไม่เคยมีโอกาสไปเที่ยวโบราณสถานที่ไหนเลย แต่เดือนที่แล้วผมได้ไปไหว้พระเก้าวัดที่ อยุธยามา ผมมีความสุขมาก ผมชอบมาก ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเห็นวัดร้าง หรือโบราณสถานแล้วใจผมจะมีความสุขเสมอ ตื่นมาก็เล่าให้อาม่าฟังอาม่าบอกว่าเป็นฝันที่ดีแล้ว และทุกคืนผมจะสวดมนต์บูชาพระสารีริกธาตุทุกครั้ง เล่าให้เพื่อนรุ่นพี่ฟัง เขาว่าผมดูหนังมากไปป่าว ผมก้เลยไม่พูดเลย อาจารย์ครับสิ่งที่ผมพุดทั้งหมดเป็นเรื่องจิงนะครับ ทุกวันนี้ผมรักษาศีล 5 ทุกวันทั้งตื่นนอน และเข้านอน ที่สำคัญผมมีอาม่าที่ผมต้องดูแล อาบน้ำ อาบท่า เปลี่ยนผ้าฉี่ให้ทุกครั้ง พูดจากับแกเพราะทุกอย่าง ไม่เคยพูดจาให้อาม่าช้ำใจเลยมีแต่พี่ชายผมชอบพูดกระโชก ตะคอกแกผมเห็นแล้วร้องไห้แทน ทำอะไรไม่ได้ ผมก้เลยปล่อยเขาไปผมทำคนเดียวก็ได้ เหนื่อยอะเหนื่อย แต่ผมไม่เคยลืมสมัยเด้กที่อาม่าเลี้ยงผมมาตั้งแต่เล็กๆหลังจากที่พ่อกับแม่เลิกกัน ทุกวันนี้ผมก็ตอบแทนท่านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมแอบร้องไห้ครั้งนึงวันที่ผมจูงอาม่าไปใส่บาตรที่หน้าบ้าน อาม่าอธิษฐานออกมาพอได้ยินว่า ขอชาติหน้าฉันใด ขอให้เจอหลานดีๆแบบนี้ไปทุกชาติ ผมไม่ได้อวดตัวเองนะครับ แต่ผมดีใจที่สุดท้ายของชีวิตอาม่า อาม่ามีความสุขกับหลานคนนี้ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีอาม่าแล้ว ผมก็ไม่รู้จะรอตอบแทนท่านเมือไร ผมมักเตือนตัวเองเสมอว่า พรุ่งนี้ผมอาจจะตายก็ได้ ดังนั้นในวันนึงๆ ผมพยายามจะทำบุญ ทำทานให้มากกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมแอบดีใจนะครับที่โชคดีที่ได้อาม่าดูแลมาตั้งแต่เด้ก พาเข้าวัด เข้าวาและสอนสิ่งดีๆเสมอ เดี๋ยวนี้แกไปวัดไม่ไหว ก็เลยเอาหนังสือธรรมมะอ่านให้แกฟังบ้าง เรื่องกรรมเวรให้แกฟังบ้างแกก็มีความสุขดีครับ แหม ฝอยมาเสียนานแล้วเดี๋ยวอาจารย์หาว่าโม้ แค่นั้นละครับที่ผมอยากทราบว่า คำตอบ |
|
1207.
(๑) วิธีแก้ปัญหาที่บอกเล่าไป ต้องประพฤติตนให้มีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน เจริญอานาปานสติก่อนนอน หลังภาวนาแล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งที่การปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ (๒) ธรรมย่อมคุ้มรักษาผู้ประพฤติธรรม เป็นคำกล่าวที่เป็นจริงแท้ ปัญหาจึงมีอยู่ว่า ผู้ถามปัญหาสามารถเอาธรรมมาคุ้มใจได้ทุกขณะตื่นเมื่อใด อันตรายและความเห็นผิด ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกกับผู้ถามปัญหา (๓) ทำดีแล้วย่อมมีบุญเกิดขึ้น คนมีบุญย่อมถูกเจ้ากรรมนายเวรติดตามทวงหนี้ให้ต้องชดใช้ ผู้รู้ยอมรับความจริง ผู้รู้จะอยู่กับความจริงไม่คิดเบี้ยวหนี้ และผู้รู้ยอมชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น แล้วหนี้เวรกรรมย่อมหมดไปเอง การปฏิบัติธรรมเป็นบุญใหญ่สุด มนุษย์และเทวดาสามารถประพฤติได้ สัตว์ในอบายภูมิไม่สามารถทำบุญใหญ่เช่นนี้ได้ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม ทุกข์ย่อมลดลงเป็นธรรมดา นี่คือสัมมาทิฏฐิ |
|
1206. ผมอายุ 56 ปี และ early retire ตัวเองจากธุรกิจส่วนตัวหลังจากที่ลูกสาวคนโต (32) เข้ามาช่วยดูแลกิจการเมื่อ 7 ปีก่อน ตอนนี้เลยว่างและใช้เวลาไปกับการศึกษาและปฎิบัติไปตามความเข้าใจ และตามระดับสติปัญญาเท่าที่มีครับ หลังจากที่ได้มีโอกาสฟังบรรยายของท่าน ดร.สนอง จาก You Tube และจากสื่ออื่นๆบ้าง เห็นว่าท่าน ดร.สนอง มีข้อคิด และคำอธิบายที่แตกต่างไปจากท่านอื่นๆ ที่ผมรู้จักหรือเคยศึกษามา จึงใคร่ขออนุญาตถามท่าน ดร.สนอง ในเบื้องต้น ซึ่งผมเคยถามท่านผู้รู้ท่านอื่นๆมาแล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน ดังนี้ครับ 1. หากพรหม เทพ เทวดา ผี เปรต สัมภเวสี อยู่ในรูปของพลังงาน ไม่มีกายแบบมนุษย์ ทำไมเวลาคนทำพิธีไหว้ต้องมีเครื่องเซ่นไหว้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ต้องผ่านขบวนการย่อยสลายแบบ digestive system แบบมนุษย์จึงจะใช้ประโยชน์ได้ครับ แล้วทำไมยังต้องมีดอกไม้ธูปเทียนอีกมากมาย ที่ผมไม่เห็นว่าสิ่งที่อยู่ในรูปของพลังงานต้องการหรือใช้ประโยชน์อะไรจากเครื่องเซ่นไหว้พวกนี้ได้ นี่มันเป็นเพียงความคืดความเชื่อของมนุษย์ว่าต้องมีเครื่องเซ่นไหว้ หรือ พรหม เทพ เทวดา สัมภเวสี สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องเซ่นไหว้เหล่านั้นได้จริงๆครับ 2. เวลาทำบุญ พอพระสวด สัพภีฯ ทำไมต้องเทน้ำลงดินครับ น้ำมันทำหน้าที่อะไรครับ เกี่ยวข้องกันอย่างไร หากไม่เทน้ำลงดินแล้วการแผ่เมตตาจะสมบูรณ์ไหมครับ หากเราตั้งจิตอุทิศผลบุญให้ไปแล้วก็น่าจะจบตรงนั้น ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเทน้ำลงดินด้วยครับ 3. การจุดธูปจุดเทียนไหว้พระไหว้เจ้าไหว้ผี เป็นสิ่งจำเป็นหรือมีผลอะไรจริงๆไหมครับ หรือเป็นเพียงความนิยม ตามที่ท่านหลวงวิจิตฯกล่าวไว้ว่า...พิธีการสร้างความยิ่งใหญ่... และเวลาจุดธูปไหว้พระบอกว่าต้องจุด 3 ดอก เพื่อไหว้พระพุธ พระธรรม พระสงฆ์ 9 ดอกเพื่อไหว้เทพ 16 ดอกเพื่อไหว้พรหม 1 ดอกเวลาไหว้คนตายในงานศพ แต่พอจุดเทียนทำไมจุดแค่ 2 ดอกครับ ไม่ว่าจะไหว้อะไร ดูแล้วไม่ make sense เลยครับ หากทุกอย่างอยู่ที่จิต จะไหว้อะไรก็จุดธูป 1 ดอก เทียน 1 เล่ม แล้วตั้งจิตไหว้ก็น่าจะพอครับ หรือไม่ต้องมีธูปหรือเทียนเลยก็ได้ ไม่เปลืองดีครับ บางคนแพ้ควันธูปและมีสารก่อมะเร็งอีกต่างหาก เราจำเป็นต้องจุดธูปเทียนไหมครับ 4. ตามที่ผมเคยได้ฟังจากผู้รู้หลายๆท่าน บอกว่ากรรมต่างๆเป็นของใครของมัน จำหน่ายถ่ายโอนกันไม่ได้ และกรรมไม่ใช่ Credit/Debit ที่จะสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ แล้วการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อขอขมากรรมขออโหสิกรรม หรือให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้ว เพื่อให้ได้ใช้บุญนั้น มันจะเกิดผลอะไรได้จริงหรือครับ หรือเป็นเพียงความเชื่อ 5. หากการปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานเป็นทางนำไปสู่ ฌาณ และปัญญา ซึ่งผู้ปฎิบัติอ้างว่าเป็น ปัจจัตตัง ของใครของมัน พิสูจน์หรือแสดงให้คนอื่นดูหรือเห็นหรือเข้าใจไม่ได้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าที่เราคิดว่าเป็น ฌาณหรือปัญญา นั้น ไม่ใช่เพียงจินตนาการณ์ของท่านเหล่านั้นครับ 6. จากข้อคิดของท่านผู้รู้หลายๆท่านที่ผมเคยสัมผัสมา มักพูดกันว่ามี สวรรค์ โลกมนุษย์ และ นรก ทำดีไปสวรรค์ ทำชั่วไปนรก และมีแต่ในโลกมนุษย์เท่านั้นที่คนเราจะทำดีหรือทำชั่วได้ แล้วกฏแห่งกรรมนี้ใครกำหนดครับ หากจะบอกว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติ หมายความว่า มันเป็นไปของมันเองโดยไม่มีวัตถุประสงค์อะไรใช่ไหมครับ 7. ทำไมคนที่ปฎิบัติจนบอกว่าตนพบทางนิพพาน หรือรู้วิธีที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มาใช้ปัญญาที่ตนมีช่วยให้คนทั้งโลกหลุดพ้นหรือไปนิพพานกันให้หมดไปเลยทีเดียวละครับ มันจะได้ไม่ต้องมีเรื่องวุ่นวายใน 3 โลกอีกต่อไป ไม่น่าปล่อยให้คน 6 พันกว่าล้านคนต้องทุกข์อีกต่อไป 8. หาก นรก เป็นที่ที่มีสภาพเลวร้าย ไม่น่าอยู่ แล้วบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมนรก เช่น ท่านยมบาล ท่านยมฑูต ท่านอยู่ได้อย่างไรครับ ท่านเหล่านั้นไม่คิดอยากไปอยู่ที่อื่นเช่นบนสวรรค์หรือบนโลกมนุษย์หรือไปนิพพานบ้างหรือครับ หากท่านเหล่านั้นไปไหนไม่ได้มันเพราะอะไรครับ 9. คนที่ศึกษาและปฎิบัติ มีศิลและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม แต่เกิดเบื่อและยังไม่สามารถเข้าถึงนิพพานได้ แล้วฆ่าตัวตายผิดหรือบาปไหมครับ 10. สำหรับคนที่ปฎิบัติ แต่จิต สมาธิ หรือ บารมี ยังเข้าไม่ถึงระดับที่จะเห็น สวรรค์ นรก น่าจะมีผู้ที่มีจิตและสมาธิที่สูงกว่าพาไปเห็นสวรรค์นรกได้บ้าง เพื่อจะได้เป็นกำลังใจให้มุ่งมั่นปฎิบัติต่อไป ท่าน ดร.สนองจะสามารถพาจิตผมไปเห็นสวรรค์นรกได้ไหมครับ คำตอบ (๑) สัตว์ที่กล่าวถึงทั้งหมด มิได้อยู่ในรูปของพลังงานล้วนๆ แต่อยู่ในรูปของสสารและพลังงานที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน สสารหรือรูปที่ละเอียด เช่น จุลินทรีย์แบคทีเรีย ประสาททางตาสัมผัสไม่ได้ แต่กล้องจุลทรรศน์ขยายรูปของจุลินทรีย์แบคทีเรียให้ใหญ่ขึ้นประมาณ ๘๐๐-๑๐๐๐ เท่า ประสาททางตาสามารถสัมผัสได้ กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ขยายรูปของอนุภาคไวรัสให้ใหญ่ขึ้นประมาณหมื่นเท่า ประสาททางตาสามารถสัมผัสได้ ผู้ใดพัฒนาจิตจนถึงระดับฌานได้ เมื่อนำจิตออกจากความทรงฌาน ทิพพจักขุย่อมเห็นเทวดาและผีข้างถนนได้ ผู้ใดพัฒนาจิตจนสัมผัสกับรูปนามที่เป็นทิพย์ได้ ก็จะรู้ว่าการเซ่นไหว้เป็นการกระทำที่มีเหตุผล (๒) การเทน้ำลงดินหรือไม่เทน้ำลงดินย่อมทำได้ หากผู้มีบุญแสดงเจตนาอุทิศบุญให้กับอมนุษย์ที่ตนปรารถนาจะให้แล้ว ย่อมสำเร็จผลตามปรารถนาได้ ตัวอย่างเช่น พระเจ้าพิมพิสาร ถวายผ้าและภัตตาหารแก่พระสงฆ์ แล้วได้เทน้ำลงดิน (หลั่งน้ำทักษิโณทก) พร้อมกับกล่าววาจาว่า ขอทานนี้จงถึงแก่ญาติทั้งหลายของเรา ทันใดนั้นสระโบกขรณีก็บังเกิดแก่เปรต (ญาติในอดีต) ได้อาบกันและสวมใส่พัสตราภรณ์อันเป็นทิพย์ พระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า อยู่บนดอย หลังจากประพฤติบุญแล้ว ได้อุทิศบุญให้กับสรรพสัตว์ที่ตนปรารถนาจะให้ ผลสำเร็จของการอุทิศบุญย่อมเกิดได้เช่นกัน (๓) การบูชามีสองอย่าง การจุดธูปเทียนเป็นอามิสบูชา บุญได้เกิดขึ้นจากการประพฤติอ่อนน้อม จุดธูปกี่ดอก จุดเทียนกี่เล่ม เป็นเพียงพิธีกรรมที่มนุษย์สมมุติขึ้น อามิสบูชามีผลอย่างมากแค่สวรรค์สมบัติ การบูชาอย่างที่สองไม่จุดธูปเทียน แต่บูชาด้วยการไหว้พระ สวดมนต์ ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ถือเป็นปฏิบัติบูชา มีผลส่งถึงพรหมสมบัติและนิพพานสมบัติ พระพุทธะสรรเสริญการบูชาอย่างหลังนี้มากกว่า (๔) การอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ถือว่าเป็นการใช้หนี้เวรกรรมให้แก่เจ้ากรรมนายเวรได้ อุทิศบุญให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้ว หากท่านอยู่ในฐานะที่มาอนุโมทนาบุญได้ ท่านย่อมได้รับบุญที่มีผู้อุทิศให้ ดูข้อ (๒) ประกอบ ฉะนั้นการอุทิศบุญให้กับผู้ตาย จึงเป็นความเชื่อที่มีเหตุผลสนับสนุน (๕) ผู้ใดปฏิบัติสมถกรรมฐานจนจิตบรรลุความเป็นฌาน ย่อมเข้าใจความเป็นจริงของฌานได้ ผู้ใดปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ ย่อมเข้าใจความเป็นจริงของโลกุตตรญาณได้ เพราะสภาวะทั้งสองเป็นของเฉพาะตัว (ปัจจัตตัง) ของผู้เข้าถึง ผู้ตอบปัญหามีประสบการณ์ตรงในเรื่องทั้งสอง ด้วยการนำตัวเองเข้าไปปฏิบัติธรรม จึงบอกว่า ฌานและญาณโลกุตตระมิใช่เป็นจิตนาการของจิต อย่างที่ท่านผู้ถามปัญหาเข้าใจ (๖) ผู้ใดบอกว่า การทำดีทำชั่วมีแต่ในโลกมนุษย์เท่านั้น เป็นคำบอกกล่าวที่ถูกของผู้นั้น แต่ไม่ถูกตามที่ผู้รู้จริงบอกกล่าว นันทยักษ์ (เทวดา) ใช้กระบองวิเศษตีศีรษะพระสารีบุตร ขณะกำลังนั่งเข้านิโรธสมาบัติ ผลปรากฏว่านันทยักษ์ถูกธรณีสูบลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพนรก ลิงป่ารักขิตวัน (เดรัจฉาน) นำรวงผึ้งป่ามาถวายพระพุทธะ ตายแล้วไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธ (มนุษย์) เลิกอาชีพโสเภณีแล้วหันมาบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ตายแล้วไปเกิดเป็นสิริมาเทพนารีโสดาบันอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงสุด กฎแห่งกรรม (ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว) มีธรรมชาติเป็นตัวกำหนด ผู้ถามปัญหาทดลองได้ด้วยตัวเอง เมื่อเดินผ่านบ้านที่มีสุนัขดุ แล้วใช้ก้อนหินขว้างปาสุนัขเช้าเย็นเป็นเวลาหนึ่งเดือน ตรงกันข้ามเดินผ่านบ้านที่มีสุนัขดุอีกบ้านหนึ่ง แล้วใช้น่องไก่ทอดโยนให้สุนัขเช้าเย็นเป็นเวลาหนึ่งเดือน แล้วบอกเจ้าของบ้านทั้งสองให้เปิดประตูปล่อยสุนัขออกมาให้พบกับคนที่ขว้างปาสุนัขด้วยก้อนหิน และพบกับคนที่โยนน่องไก่ทอดให้ ลองดูว่า ให้ผลเหมือนหรือต่างกันอย่างไร (๗) มนุษย์แบ่งได้ ๔ จำพวก (บัว ๔ เหล่า) ๑. ผู้ที่รู้เข้าใจธรรมได้ฉับพลัน (อุคฆฏิตัญญู) ๒. ผู้ที่รู้เข้าใจธรรมได้เมื่อขยายความ (วิปัตตัญญู) ๓. ผู้ที่พอจะแนะนำต่อไปได้ (เนยยะ) ๔. ผู้ที่ไม่อาจแนะนำได้ เพราะพูดชี้แจงแสดงเหตุผลอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ (ปทปรมะ) คนประเภทนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากในโลก ฉะนั้นคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่ถามจะจบลงได้ เมื่อผู้ถามปัญหาประเมินจำนวนคนประเภทที่สี่นี้ออกมาได้ (๘) กรรมคือการกระทำ ยมบาล ยมทูต ทำกรรมเพื่อไปทำงานอยู่ในยมโลก ผลจึงเป็นไปตามกรรมที่ทำ หากมีโอกาสและประสงค์จะเรียนรู้เรื่องนี้ให้มาก ควรนำตัวเองเข้าไปพูดคุยไต่ถามกับตำรวจ อัยการ ทนายความ ผู้พิพากษา และผู้คุมนักโทษในเรือนจำ แล้วจะรู้ว่าบุคคลที่กล่าวถึงได้ประพฤติกรรมเช่นใดไว้ จึงต้องไปทำหน้าที่เช่นนั้น และอย่าลืมถามเขาว่าอยากไปเกิดเป็นเทวดาไหม? อยากเข้านิพพานไหม? (๙) บุคคลฆ่าตัวตาย เพราะมีบาปเป็นแรงผลักดัน เมื่อจิตหลุดออกจากร่าง พลังบาปจะผลักดันจิตวิญญาณ ให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรก (๑๐) พระพุทธเจ้าเคยพาพระนันทะ (พุทธอนุชา) เหาะไปดูนางฟ้าใสสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อพระนันทะเห็นนางฟ้าแล้วว่านางฟ้าสวยงามกว่านางชนบทกัลยาณีเป็นร้อยเท่า จึงทำให้จิตคลายความคิดถึงนางลงได้ อนึ่งหลวงพ่อบางองค์ชำนาญในมโนมยิทธิ เคยพาศิษย์ไปดูนรกดูสวรรค์มาก็มาก แต่เมื่อไปเห็นสวรรค์แล้วมีจิตเป็นทาสของสิ่งที่ถูกเห็น จึงมิใช่ทางพ้นทุกข์ เจ้าคุณโชดกจึงมิให้ผู้ตอบปัญหาประพฤติเช่นนั้น แต่ปัจจุบันยังมีพระโพธิสัตว์บางองค์ยังประพฤติอยู่ |
|
1205. คำตอบ (๒) สามารถตั้งศาลเองได้ แต่ต้องสื่อให้อมนุษย์ทราบว่า เราได้สร้างศาลให้เขาแล้วเชิญเขาเข้าไปอยู่อาศัยได้ (๓) ผู้ใดประพฤติตนเป็นผู้ให้สิ่งดีงามกับผู้อื่นอยู่เสมอ ผู้ให้ย่อมมีเพื่อนดี มีบริวารดี คนที่มีเพื่อนดีมีบริวารดีที่เป็นอมนุษย์ เขาย่อมช่วยเหลือในสิ่งที่เราปรารถนาได้ |
|
1204. ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ คำตอบ (๒) การที่ภิกษุรับอาหารใส่บาตรเสร็จแล้วแวะเข้าร้านขายล๊อตเตอรี่ แล้วถามหาใบหวย เป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่าภิกษุนั้นประพฤติไม่ถูกตรงตามธรรมวินัย อนึ่งหากผู้ใส่บาตรพัฒนาตัวเองให้มีศีลและสัจจะ หรือพัฒนาตัวเองให้มีศีลธรรม หรือมีเทวดาคุ้มรักษาได้แล้ว ก่อนใส่บาตรในวันถัดไปควรอธิษฐานให้ภิกษุผู้ประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัย มารับอาหารบิณฑบาตจากข้าพเจ้า |
|
1203. ขอขอบพระคุณอาจารย์ สำหรับคำแนะนำในครั้งก่อน ผมได้นำไปปฏิบัติจนสามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว ผมมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฝึกสมาธิแบบอาณาปานสติ ดังนี้ ผมมีความเข้าใจเรื่องศีลสิกขาและสัจจะ ตามที่ท่านได้ให้แนวทางไว้ ได้นำมาปฏิบัติ รู้สึกว่าจิตใจมั่นคงมากขึ้น ไม่ซัดส่ายไปมา นิ่งและเข้าสู่สมาธิได้ดีขึ้น แต่ยังมีปัญหาเดิมๆ ดังนี้ ผมมักจะกลืนน้ำลายในระหว่างนั่งสมาธิดูลมหายใจ ติดนิสัยนี้มาตั้งแต่ยังฝึกสัมมาอรหังเพ่งลูกแก้วแล้วครับ ช่วงนี้มันกลับมาเป็นอีก เมื่อจิตนิ่งได้สักครู่ ก็จะเห็นความอยากโผล่มาก่อน ล่าสุดผมก็สู้กับมัน ไม่ยอมกลืนน้ำลาย นั่งดูใจที่ดิ้นและอาการทางกายที่เหมือนกับมีก้อนจุกอยู่ที่คอหอย จนทนไม่ไหว ยอมแพ้กลืนน้ำลาย แล้วก็เห็นอาการทางกายหายไป เห็นว่าจิตใจที่ดิ้นรนเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเบาสบาย คำถามคือ 1. ผมควรจะสู้กับมัน ไม่ยอมแพ้ความต้องการ หรือ ใช้มันเป็นอารมณ์พิจารณาอย่างที่ทำอยู่ครับ ต่อไปคงต้องเจอสภาวะนี้อีก 2. หลังจากยอมแพ้แล้ว ผมก็ยังรู้สึกว่า สมาธิไม่ได้หายไปไหน นั่งต่อมาลมหายใจก็เริ่มละเอียดมากขึ้นจนเกือบมองไม่เห็น จนกระทั่งหมดเวลาต้องอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน 3. ถ้าควรฝืนสู้กับสภาวะ ขอคำแนะนำ หรือวิธีการด้วยครับ กราบเรียนอาจารย์ด้วยความเคารพ นายนพพร ศิลาภิรัตพงศ์ คำตอบ (๒) จริงอยู่สมาธิไม่ได้หายไปไหน แต่กำลังของสมาธิยังด้อยกว่าอารมณ์ติดลบที่เกิดขึ้น จึงยอมแพ้ ฉะนั้นต้องเน้นสร้างบารมีสองตัวในข้อ (๑) ให้มีกำลังมากขึ้น (๓) ไม่ควรฝืนสู้กับสภาวะที่เกิดขึ้น แต่ควรอย่างยิ่งพัฒนาจิตให้มีศีลและสัจจะให้มีกำลังมาก เป็นศีลอุปบารมี เป็นสัจจอุปบารมี และดีที่สุดต้องพัฒนาให้ถึงปรมัตถบารมี |
|
1202. คำตอบ อนึ่ง จะตั้งศาลเดี่ยวแล้วเชิญเจ้าที่หลายตนอยู่อาศัยก็ได้ หรือจะตั้งหลายศาล แล้วเชิญแต่ละเจ้าที่เข้าอยู่คนละศาลก็สามารถทำได้ ผู้ถามปัญหาจะตั้งกี่ศาล จะเชิญเจ้าที่กี่องค์เข้าอยู่อาศัย .... ตามอัธยาศัยครับ (๒) ถูกต้องแล้วครับ สำหรับผู้ประสงค์อยู่ร่วมกับเจ้าที่อย่างสงบและมีความสุข |
|
1201. คำตอบ อนึ่ง การนั่งภาวนาจนเห็นธรรมกาย (พระนามของพระพุทธะ) มิได้หมายความว่า ผู้เห็นมีจิตพ้นไปจากกิเลสที่เป็นเหตุทำให้เวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสารได้ ผู้ใดพิจารณาสิ่งที่ถูกเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) จนเห็นด้วยจิตว่า สิ่งที่ถูกเห็นมิใช่ตัวมิใช่ตน จิตปล่อยวางสิ่งที่ถูกเห็น แล้วจิตว่างเป็นอิสระ ปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนา) จึงจะเกิดขึ้นกับผู้นั้น (๒) ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา จนจิตนิ่งเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วใช้จิตนิ่งระดับนี้ไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจิตเป็นอิสระได้ ปัญญาเห็นแจ้งย่อมเกิดขึ้น การพิจารณาการเกิดดับของสภาวธรรมโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) เป็นวิธีการหนึ่งของการเกิดปัญญาเห็นแจ้ง อนึ่ง การคิดไม่ดีเป็นอารมณ์จิตที่ขาดสติ แล้วกำหนดว่า คิดหนอๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ เป็นวิธีการกำจัดความคิดไม่ดีให้หมดไป ทำให้จิตกลับมามีสติอยู่กับคำภาวนาเดิม ที่ใช้ปฏิบัติเพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ การปล่อยความคิดให้ผ่านไปโดยมิได้พิจารณา ถือว่าเป็นการส่งเสริมให้จิตหลง (โมหะ) เป็นบาปได้ (๓) การปฏิบัติธรรม (สมถภาวนา) แล้วทำให้จิตนิ่งหรือเข้าถึงความนิ่ง (สมาธิ) ได้ ต้อง - ทำตัวเองให้เหมือนคนโง่ ปฏิบัติตามคำชี้แนะของครูผู้สอนจนเกิดผล - ปฏิบัติธรรมด้วยการเอาศีลลงคุมใจ - ปฏิบัติต่อเนื่องยาวนาน - มีสัจจะเป็นแรงสนับสนุน |