ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่หน้าสนทนาภาษาธรรม ให้ทุกท่านได้มีโอกาสสนทนาภาษาธรรมกับ ท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ที่เมตตาสละเวลาตอบปัญหา หรือข้อสงสัย ให้ทุกท่านที่มีทุกข์ หรือมีความใฝ่ใจใคร่รู้ในทางธรรม

  ทุกท่านสามารถส่งคำถามหรือข้อสงสัยของท่านได้ที่ question@kanlayanatam.com ท่านอาจารย์จะตอบคำถามทุกคำถาม ของท่านด้วยตัวเอง และแนะนำแนวทางที่ถูกต้องตามธรรมให้ทุกท่าน ด้วยความเมตตา

   ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง

1412.
    สวัสดีคะอาจารย์ หนูติดตามหนังสืออาจารย์ทุกเล่มที่อาจารย์ออกตีพิมพ์มันเป็นประโยชน์มากๆคะ เพราะทำให้หนูสามารถเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีของตนเองไปในทางที่ดีขึ้น (เท่าที่บุญพาไป) แต่หนูก็ขอพรทุกครั้งที่หนูสวดมนต์ภาวนาว่าขอให้หนูและคนที่หนูรักไปทางธรรมมากกว่าทางโลกคะ หนูพยามยามที่จะสวดมนต์และกำหนดสติทุกครั้งที่หนูรู้สึกอย่างไร เช่น กำลังหงุดหงิด , กำลังคิดไม่ดี , พูดไม่ดี (และก็สามาระหยุดการกระทำที่ไม่ดีได้คะ) ให้หนูพยายามรู้ตัวเองอยู่เสมอ พอบางครั้งหนูรู้สึกว่าจะกลับไปเป็นเหมื่อนเดิม เช่นขี้โมโห , โกรธ , หลงกับวัตถุสิ่งของ หนูพยายามเรียกสติกลับคืนมา บางครั้งได้บ้างไม่ได้บ้าง หนูอ่านหนังสือของอาจารย์หนูต้องอ่านหลายรอบ เพื่อสอนและเตือนใจหนูไม่ให้กระทำใส่งที่ไม่ดี บางครั้งหนูอ่านหนังสือของอาจารย์บางตอนมันตรงมากกับตัวหนู หนูร้องไห้ออกมาเลยคะ ยังไงหนูขอให้อาจารย์ผลิตหนังสือดีๆ ออกมาอีกนะคะ หนูมีคำถามรบกวนถามอาจารย์คะ

     1. หนูเป็นคนที่มีลางสังหรณ์มาตั้งแต่วัยรุ่น เช่น ตากระตุก เหมือนมีคนมาดึงหนังตาหนูเลยคะ แล้วหนูบอกแม่ว่าเรื่องบัตรประชาชนหนูไปดูบัตรประชาชนของแม่บอกว่าแม่บัตรจะหมดอายุแล้ว เดียวจะไปต่อบัตรเป็นเพื่อนนะแล้วคุณแม่ก็มาเสียก่อน หรือก่อนเชงเม้งและก่อนวันเกิดคุณแม่หนูจะฝันถึงท่านตลอดเหมือนเตือนหนูว่าใกล้ถึงวันต้องต้องทำบุญแล้วหนูจะผัน , ฝัน เช่นฝันแบบนี้หนูจะเจอคนแปลกหน้า หรือแม้แต่เวลาหนูพูดอะไร(โดยไม่ตั้งใจ)ประเดียวก็จะมีเรื่องทำนองที่หนูพูดคะ บางครั้งหนูก็กลัวว่ามันจะเกิดคะ

     2. หนูเคยสวดมนต์เช้าและเย็นทุกวันครั้งละเกือบ 1 ช.ม คะหนูรู้สึกสงบมากและมีความสุขในจิตขณะนั้น และขณะที่หนูสวดมนต์ในช่วงนั้นหนูจะอธิฐานว่าขอให้หนูไปที่ใดก็เป็นประโยชน์ที่นั้น ช่วงนั้นก็จะมีแต่คนที่มาปรึกษาหนูในความทุกข์ต่างๆ พอหนูเลิกสวดมนต์เหมือนเดิมหนูสวดน้อยลงทุกครั้งที่หนูสวด หนูไม่เคยสวดได้เหมือนแต่ก่อนจิตจะไม่สงบ ไม่ค่อบมีสมาธิจิตไม่จดจ่อเหมือนก่อนคะ อาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยคะ

     3. หนูเป็นคนจีนหนูไม่ได้ไปไหว้ที่สุสานมาประมาณ 5 ปีแล้วหนูจะบาปไหมคะ เพราะทางบ้านสามีเขาถืองว่าต้องให้เด็กอายุ 5 ปี ก่อนถึงไปสุสานได้ แล้วพ่อกับแม่ท่านตายไปเขาจะทราบไหมคะว่า หนูมีลูกแล้วหมายถึงท่านมีหลานแล้ว แต่ก่อนหนูเริ่มตั้งท้องหนุเคยจุดธูปบอกท่านแล้วคะ บางปีที่พี่สาวไปหนูบอกพี่สาวว่าให้ฝากบอกด้วยว่าท่านมีหลานแล้ว

     4. เมื่อก่อนหนูเป็นคนอารมณ์ร้อนและขี้หงุดหงิด แต่ตอนนี้เป็นน้อยมาก หนูพยายามมีสติและรู้ตัวตลอดเท่าที่ทำได้ และทุกครั้งที่หนูนอนหนูจะพยายามสวดมนต์แล้วก็หลับไปเลย ตั้งแต่หนูสวดมนต์และอ่านหนังสือของอาจารญ์ทำให้หนูทราบว่าจิตหนูตลอดมาที่เป็นสามารถทำให้ตกนรกได้ หนูจึงกลัวมาก หนูจะถามอาจารย์ว่าตอนนี้หนูเปลี่ยนแล้วหนูยังจะตกนรกหรือเปล่าคะ เพราะสิ่งที่หนูทำไปตอนที่หนูไม่ทราบว่ามันเป็นระยะเวลานานกว่าที่หนูทำอย่างมีสติกว่าตอนนี้

        หนูขอรบกวนอาจารย์เท่านี้คะ ขอขอบคุณอาจารย์ด้วยนะคะ
  

1411.
เรียน อ.ดร.สนอง วรอุไร ด้วยความเคารพอย่างสูง
 
   หนูมีความไม่สบายใจเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ คือหนูได้ยินข่าวไม่ดีนักที่มีคนพูดถึงนายหลวงในทางที่เสียหายอย่างมาก

   หนูเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ทรงอยู่เหนือการเมืองและเป็นผู้ครองแผ่นดินโดยธรรม แล้วกลับมีคนข้างในมาพูดให้เกิดความเสียหายกับพระองค์ท่านเช่นนี้ เขาไม่เห็นความรับผิดชอบชั่วดีหรือบาปบุญเลยกันเลยค่ะ หนูเกรงว่ามันจะเป็นบ่อนทำลายชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์
 
หนูควรจะวางใจอย่างไรดี กับข่าวที่นับวันยิ่งจะมีแต่ทางลบ ที่บางกลุ่มพยายามล้มล้างสถาบันและประเทศไทยจะต้องเป็นแบบนี้อีกนานเท่าใด
 
ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
  
1410.
สวัสดีครับท่านอาจารย์

ผมมีปํญหาสอบถามต่อนะครับ
อาจารย์เคยกล่าวว่าเวลาใกล้ตาย จิตจะอ่อนกำลังลง
สิ่งที่เคยทำในอดีตเป็นประจำหรือเป็นปมอดีตทั้งดีและไม่ดี
จะถูกแสดงออกมาในรูปของคตินิมิตรหรือกรรมนิมิตร
ส่งผลให้จิตนำไปสู่ภพใหม่ติดตัวไป ช่วงที่คนเราใกล้ตาย (ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อเหตุปัจจัยภายนอกแล้ว เช่นการได้ยิน การเห็น...แต่หัวใจยังเต้นอยู่)
   1. สมองคงยังสั่งงานได้อยู่เพราะหัวใจเต้น แต่ผมอยากทราบว่า จิตยังทำงานได้อยู่ไหมครับ

   2. จะมีความเจ็บปวดอยู่ไหมครับ หากมี จิตไปกำหนดรู้ความเจ็บนั้น หรือ จิตไปรองรับรู้ความเจ็บนั้น สิ่งใดเป็นตัวกำหนดจิตให้กำหนดรู้หรือไปรองรับรู้ความเจ็บปวดครับ
ใช่สติสัมปชัญญะหรือไม่ครับ และ สติสัมปชัญญะ ไม่ได้มาจากสมองแต่มาจากจิตใช่ไหมครับ
และก็จึงวนกลับมาที่เดิมว่าอะไรเป็นสิ่งกำหนดจิตครับ
สมองและจิต แยกออกจากกัน อย่างไรครับ
 
   3. สติสัมปชัญญะยังจะมีได้ในคนที่ใกล้ตายไหมครับ เพราะในทางวิทยาศาสตร์
คนใกล้ตายสมองจะไม่สามารถสั่งงานได้เหมือนเดิม ตอนนั้น สิ่งใดจะกำหนดให้เราคิดดี
ผมนึกถึงวันตาย ว่าในขณะใกล้ตายจิตผมจะไม่มีสิ่งยึดติดและไม่มีสมาธิ
ผมเลยหาสิ่งยึดติดคือการท่องบทสวด เช่น ธัมจักกัปปวัตนสูตร เป็นต้น
แต่ผมเกรงว่าสมองใกล้ตายจะไม่สามารถนึกถึงบทสวดได้
หรือใช้พลังงานที่เหลือน้อยนิดนึกพุทโธ ก็พอแล้วครับ
หรือแท้จริงแล้วจิตสามารถนึกถึงและท่องบทสวดนั้นได้เมื่อจิตใกล้ดับลงครับ
 
  สรุปได้ง่ายๆว่าผมไม่เข้าใจความสามารถของจิตเมื่อใกล้ดับ
จะสามารถกำหนดรู้ถึงสิ่งยึดเหนี่ยวได้ไหมครับ
จิตยังทำงานได้อยู่ด้วยสิ่งใด และสิ่งใดเป็นตัวควบคุม
และเราสามารถควบคุมจิตได้ไหมในช่วงเวลาใกล้ตาย
 
   ผมนึกถึงความตายทุกๆวัน เพราะไม่รู้จะเป็นเวลาใด
เวลาเดินหรือออกกำลังกาย หากว่ายน้ำผมจะท่องบทธัมมจักฯ และชินบัญชร หากวิ่งผมจะฟังเสียงธรรมะในมือถือ น้อยครั้งที่จะบริกรรมพุทโธ (เว้นแต่ตอนนั่งสมาธิ) ผมคิดว่าจะทำอย่างไรก็ได้ให้จิตสงบ ผมคิดและทำถูกแล้วใช่ไหมครับ
ขอบพระคุณในความกรุณาอีกครั้งนะครับ
  
1409.
กราบเรียนอาจารย์ครับ

ผมมีปัญหา 3 ข้อ เรียนถามนะครับ
1. ผมฟังเสียงธรรมของอาจารย์มาก็มากพอควร ได้ยินอาจารย์เคยกล่าวว่า
จิตจุติแล้วก็ไปเกิดใหม่ หาร่างใหม่อยู่ ผมจึงมีความสงสัยว่า
จิตเป็นจิตดวงเดิมหรือไม่ครับ
- หากใช่ จิตก็ไม่ได้ดับไปจริงหรือครับ เพราะมีการเกิดดับไปมาไม่จบสิ้น ไม่ได้ดับจริง จิตก็เป็นของเที่ยงหรือไม่ครับ
- หากไม่ใช่แล้วผลกรรมทั้งดีและไม่ดีของจิต ก็ไม่สืบต่อเนื่องไปยังจิตดวงใหม่หรือครับ
( คำถามอาจจะไม่เป็นไปเพื่อการหลุดพ้น แต่ผมก็ไม่เข้าใจให้ตรงตามหลักไตรลักษณ์)
 
2. การที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดมาในภพปัจจุบันและปรารถนาจะเข้าถึงนิพพาน
เขาสามารถทำได้ในภพนั้นไหมครับ หรือต้องมีกฏเกณฑ์ในอดีตกรรมรองรับ
เช่นการสั่งสมบุญบารมีมา ผมมองว่าการเกิดเป็นความเสี่ยง หากเราได้ปฏิบัติอยู่ในศีลในภพนั้นก็จริง แต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่ตกอบายภูมิ
เพราะความเสี่ยงยังคงมีอยู่อันเกิดจากมิจฉาทิฏฐิในภพนั้นๆ
การตั้งอยู่ในศีลสามารถรับประกันในการมีสัมมาทิฏฐิได้หรือไม่ครับ
เพราะผมมั่นใจว่าหากเราได้เกิดเป็นมนุษย์อีกและมีสัมมาทิฏฐิติดตัวทุกภพชาติ
จะเป็นหลักประกันในการไม่ตกอบายภูมิ จึงมีคำถามข้อที่ 3 ครับ
 
3. การปิดอบายภูมิ คือต้องถึงโสดาบัน ขึ้นไป   แต่บุคคลที่ยังไม่ถึง
เราจะปฏิบัติตนอย่างไรในการที่จะทำให้สัมมาทิฏฐิเกิดกับเราทุกภพทุกชาติไป
จนสามารถเข้าถึงนิพพานได้ในที่สุด เพราะผมกลัวภพใดภพหนึ่งผมอาจจะหลง
และขาดเหตุตรงนี้ไปจนทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิขึ้นมาได้ในระหว่างภพ
 
ป.ล. ในภพนี้ จิตใจผมปกติเป็นคนที่เข้าหาธรรมะได้ง่าย ผมชอบที่จะอ่านเรื่องราวธรรมะ
แต่ก็บางช่วงที่จิตใจผมหลุดไปจากธรรมะ คือไม่ได้ข้องแวะอ่านและนึกถึง
ช่วงนี้เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ผมกลับเข้ามาศึกษาและจริงจังอีกครั้ง เพราะเหตุได้ไป
พบกับการเสียชีวิตของคนรู้จัก ทำให้เกิดจิตคล้อยตามคิดได้ว่า ชีวิตคนเราไม่เที่ยง
อายุเพิ่ง 17 จากโลกไปไวเกิน บุญยังไม่ได้ทันสร้างมากเท่าที่ควรเป็น  
ผมคิดไปแล้วเราจะมารอหวัง ให้มานึกถึงบุญในเวลาบั้นปลายคงไม่ทัน
ผมจึงกลับมานึกถึงธรรมะอีกครั้งและดูเหมือนจะดีกว่าทุกครั้งที่ผมทำมา
ผมอยากมีสัมมาทิฏฐิแบบตอนนี้ ณ ปัจจุบันนี้ ไม่เสื่อมคลาย จนไปถึงทุกๆภพเลยครับ
ขอความเมตตาจากอาจารย์ด้วยนะครับ
กราบขอบพระคุณครับ
 
1408.
กราบเรียนท่านอาจารณ์สนองที่เคารพ

     ประมาณสักสามปีมาแล้วผมมีโอกาสได้รู้จัก "ดร.สนอง วรอุไร" จากการอ่านและฟังการบรรยายธรรมะ ในเว้ปไซต์กัลยาณธรรม ก็เกิดความเคารพ เลื่อมใส ศรัทธา ได้ติดตามอ่านหนังสือและการบรรยายธรรมะ   และได้ยึดเอาคำบรรยาย คำปรึกษาแนะนำ การตอบคำถามมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต

   ผมมีคำถามดังนี้

พ่อแม่ผมเสียไปประมาณสัก ๓และ๔ ปี (ผมอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย พ่อและแม่เสียที่เมืองไทย) ผมไม่ได้ปรนณิบัติพ่อแม่เท่าที่ควรหลังจากเผาพ่อและแม่ ผมได้เอากระดูกส่วนหนึ่งไว้บูชาและเป็นที่ระลึกถึง ผมเอาน้ำและอาหารไหว้อยู่เสมอทุกๆวันที่เจริญภาวนา ก็อุทิศผลบุญกุศลให้ และไปทำบุญที่วัดให้บ่อยๆ

  แต่บางครั้งผมรู้สึกว่าจะเป็นการกักกันหรือ "ถ่วง" การดำเนินไปตามธรรมชาติของชีวิตพ่อแม่รึเปล่า ที่ผมเอากระดูกมาเก็บไว้ จนถึงขณะนี้ผมจะร้องไห้ พร่ำเพ้อ คิดถึงพ่อและแม่ตลอด จะมีผลเป็นไปในทางลบกับ "วิญญาน" พ่อแม่หรือไม่อย่างไรครับ และผมควรจะเก็บกระดูกไว้หรือจัดการอย่างไร

กราบขอบพระคุณ

มนัส แป้นแก้ว

ปล.ผมอายุ ๕๐ พ่อและแม่อายุ ๘๔ และ ๗๕  

คำตอบ
    หากจิตวิญญาณของผู้ล่วงลับ กับจิตวิญญาณของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีขนาดความถี่คลื่นจิตเป็นแบบเดียวกัน ผู้อยู่หลัง (บุตร) มีจิตเศร้าหมองเป็นทุกข์ด้วยเหตุใดก็ตาม ผู้ล่วงลับย่อมได้รับสื่อแห่งความเศร้าหมองเป็นทุกข์นั้นด้วย

กระดูกถือว่าเป็นธาตุดิน มีแหล่งที่มาจากดิน บรรพบุรุษได้หยิบยืมธาตุดินมาใช้ประกอบเป็นรูปร่างกายชั่วคราว เพื่อให้จิตวิญญาณได้ใช้เป็นเครื่องมือประกอบกรรม เมื่อหมดอายุการใช้แล้ว ผู้รู้นิยมส่งคืนสู่ดินแหล่งเดิม ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์ให้สรรพสิ่งดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติแล้ว ควรนำอัฐิหรือกระดูกที่เผาแล้ว กลับคืนสู่ดิน (ฝังโคนต้นไม้) ตามภูมิลำเนาของบรรพบุรุษที่มีชีวิตอยู่ก่อนตาย
  

1407.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

   เคยฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์ แล้วได้ความรู้ดีครับ
   แต่ผมยังมีข้อสงสัยบางประการดังนี้   เรื่อง..

      * อาจารย์บอกว่าคน ทำผิดศีล ผิดธรรม จะปฎิบัติไม่ได้ คือไม่ได้ผล

      * คนมีศีล มีธรรม อาจารย์ว่า มี ธรรมะคุ้มครอง ? มีเทวดาคุ้มครอง

      * คนเราทะเลาะกันนั้นบางทีก็ไม่มีใครทำผิดต่อกันแต่เป็นเพราะ เข้าใจผิดกัน    ทีนี้มีไหมครับที่มีคนมาอาฆาต พยาบาทจองเวรเรา แบบเข้าใจผิด เช่น ฆ่ากันตาย แต่ผีมันเข้าใจผิด ว่าเราไป ฆ่า เขาตาย   อะไรทำนองนี้

ขอเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้  
   1. กระผมว่า คนในโลกนี้ ไม่เคยกระทำความผิด ศีล ผิดธรรม คงไม่มี มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป จะมากหรือน้อยแล้วแต่มีขอบเขต และ อะไรเป็นตัวกำหนดครับ หากถือตามอาจารย์ว่า คนผิดศีล 5  จะปฎิบัติธรรมไม่ได้ แต่อาจารย์ก็เคยยกตัวอย่าง พระอริยบุคคลท่านหนึ่ง ในยุคนี้ ซึ่งอดีต ทำผิดศีล ข้อใหญ่เลย คือ ปาณาติ...ฆ่าสัตว์ คือฆ่าภรรยาตนเอง ยังบรรลุธรรมได้ หรือ แม้ในอดีต ท่านองคุลีมาล ท่านทำบาป ฆ่าคนมามากมาย แต่สุดท้ายท่านก็บรรลุธรรมได้ หรือ เพราะบุญเก่าท่านมาก ??    มันไม่ขัดกันหรือครับ   ขอให้อาจารย์ช่วย ขยายความข้อนี้ค้วยครับ ด้วยความเคารพ.

   2.  อาจารย์ว่า คนมีศีลบริสุทธิ ย่อมได้รับความคุ้มครอง จากเทวดา และ ธรรมะ มีขอบเขตเพียงใดครับ   ผมเห็นว่าอาจารย์ต้องมีศีล 5 คลุมใจ และ ถือเป็นเวลานานแล้วด้วย   อาจารย์เคยบรรยายเล่าว่า ถวายนวดพระ..ต่อมาอาจารย์กลับต้องรับเคราะห์ปวดเมื่อยแทนพระ...หรือ มีตัวอย่างจากเรื่องที่อาจารย์บรรยาย เช่นเรื่อง อาจารย์ว่า คนที่ช่วยเหลือคนอื่น แล้วตัวเองกลับต้องมารับ ความอาฆาต หรือ การจองเวร จากเจ้ากรรมนายเวร จากผู้ที่เราเข้าช่วยเหลือ หมอตา เป็นโรคตา หมอกระดูกเป็นโรคกระดูก...    อย่างงี้การช่วยเหลือบุคคลอื่นเราก็ต้องหลีกเลี่ยงซิครับ   ซึ่งผมดูแล้วมันน่าจะไม่ถูกต้องนะครับ     อาจารย์ช่วยขยายความเพื่อเราจะเข้าช่วยบุคคลใดให้เราปลอดภัยด้วยครับ

   3.  เราถูกคนเกียจชัง ทำร้ายเราเพราะ มีการเข้าใจผิดกันมีได้ แต่เรื่องเจ้ากรรมนายเวร ที่มาจองเวรผิดคน มีไหมครับ

   ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เคารพ....

คำตอบ
    ผู้ตอบปัญหาพูดไว้อย่างนี้

•  คนที่ประพฤติทุศีล ไร้ธรรม สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ

•  คนที่อย่างน้อย มีเบญศีล และมีเบญจธรรม สถิตอยู่กับใจทุกขณะตื่น ย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา

•  คำว่า “ บางที ” ไม่เกิดขึ้นกับจิตของผู้รู้ในพุทธศาสนา เพราะสรรพสิ่งเกิดขึ้นได้ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด

   ฉะนั้นคนที่ทะเลาะกัน เนื่องมาจากเหตุที่คนทั้งสองต่างมีจิตรู้ไม่จริงแท้ และคนที่เข้าใจผิด คนที่ฆ่ากันตาย ย่อมมาจากเหตุในอดีต เคยผูกเวรกันไว้ ผู้ใดประสงค์พิสูจน์สัจธรรมที่กล่าวมานี้ ผู้นั้นต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติกรรมฐาน จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้เมื่อใดแล้ว เหตุและผลดังกล่าวจึงจะเป็นจริงได้

   (๑). มนุษย์ที่เกิดมาล้วนมีบุญและบาปสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของทุกคน เพียงแต่ว่าแต่ละคนสั่งสมบุญและบาปมาไม่เท่ากัน เหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องมาจากแต่ละคนทำกรรมไว้ไม่เหมือนกัน กล่าวยืนยันซ้ำอีกครั้งว่า คนที่ประพฤติผิดศีล ๕ สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ เช่นปฏิบัติสมถกรรมฐาน แล้วจิตเข้าไม่ถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิขั้นสูงได้ หรือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แล้วปัญญาเห็นแจ้งไม่เกิดขึ้นกับจิต

   ยกเว้น ผู้ใดหยุดประพฤติทุศีลอย่างเด็ดขาด แล้วหันมาประพฤติทาน ศีล ภาวนา โดยมีบุญบารมีเก่าที่ทำไว้แต่อดีตชาติส่งผล การบรรลุธรรมที่เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล ย่อมเกิดขึ้นได้ ดังตัวอย่าง สิริมาโสเภณี อัมพปาลีโสเภณี จอมโจรองคุลีมาล ฯลฯ หยุดประพฤติทุศีล แล้วหันมาบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา จนจิตเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้ สิริมาโสดาบัน ตายแล้วไปเกิดเป็นสิริมาเทพนารีโสดาบัน อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวตี อัมพปาลีอรหันต์ และองคุลีมาลอรหันต์ ทิ้งขันธ์ลาโลก ดับรูปดับนามแล้วไปสู่นิพพาน เวรกรรมที่ยังมีเหลืออยู่ในจิตเป็นอันถูกยกเลิกให้ผล (อโหสิ) ผู้ใดประพฤติได้เช่นนี้ กรรมชั่วที่เหลืออยู่ในจิตวิญญาณ ย่อมยกเลิกให้ผล ..... พิสูจน์ไหมครับ

   (๒). ฟังผิด ฟังใหม่ได้ ผู้ตอบปัญหามิเคยพูดว่า คนมีศีลบริสุทธิ์ย่อมได้รับความคุ้มครองจากเทวดา แต่พูดว่า คนที่มีอย่างน้อยศีล ๕ และมีธรรม ๕ สถิตอยู่กับใจทุกขณะตื่น ย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา คำว่า มีธรรมอย่างน้อยได้แก่ มีเบญจธรรม (เมตตากรุณา สัมมาอาชีวะ กามสังวร สัจจะ สติสัมปชัญญะ)

   อนึ่ง การเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนกรรมของคนอื่น ผู้เข้าร่วมต้องได้รับอานิสงส์ของกรรมนั้นด้วย อาทิ บุคคลผู้ร่วมกุศลกรรมกับอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้รับอานิสงส์ของกุศลกรรมดังนี้

•  อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีจิตบรรลุ โสดาบัน

•  กาฬะ (บุตรชาย) มีจิตบรรลุ โสดาบัน

•  มหาสุภัททา (ลูกสาวคนโต) มีจิตบรรลุ โสดาบัน

•  จูฬสุภัททา (ลูกสาวคนที่สอง) มีจิตบรรลุ โสดาบัน

•  สุมนาเทวี (ลูกสาวคนสุดท้าย) มีจิตบรรลุ สกิทาคามี

•  นางปุณณา (ลูกทาสเกิดในเรือน) มีจิตบรรลุ อรหันต์

ตรงกันข้าม บุคคลผู้ร่วมกระบวนอกุศลกรรม กับพระพระเทวฑัต ได้รับอานิสงส์ของอกุศลกรรมดังนี้

•  พระเทวฑัต ถูกธรณีสูบไปเกิดเป็นสัตว์ อยู่ในอเวจีมหานรก

•  พระเจ้าอชาตศัตรู (ศิษย์พระเทวฑัต) ตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในโลหกุมภีนรก

ดังนั้นการช่วยเหลือบุคคลอื่น ผู้ให้การช่วยเหลือย่อมได้รับผลเป็นบุญจากผู้ถูกช่วยเหลือ และยังต้องรับผลบาป ที่เจ้ากรรมนายเวรของผู้ถูกช่วยเหลือ ได้ผูกพยาบาทไว้ แม้ความเป็นจริงกฎแห่งกรรมเป็นเช่นนี้ บุคคลผู้มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ ต้องทำหน้าที่ให้ถูกตรงตามที่สังคมกำหนด แม้ว่าการช่วยเหลือนั้นได้ทั้งบุญและบาป แต่อานิสงค์ของบบุญมีมากกว่าบาป ผู้รู้ไม่เว้นประพฤติ ผู้รู้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว ยังต้องประพฤติตนให้มีบุญคุ้มรักษา ด้วยการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือคนอื่น อุทิศความดี อนุโมทนาความดี ฟังธรรม สั่งสอนธรรม ทำความเห็นให้ตรง) อยู่เสมอ

(๓). ผู้ใดพัฒนาปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญาแบละจินตามยปัญญา) ย่อมรู้เห็นเข้าใจว่า การจองเวรผิดคนมีอยู่จริง แต่คนที่พัฒนาปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) และเข้าถึงได้แล้ว ย่อมรู้เห็นเข้าใจว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุที่ทำให้เกิด ดังนั้นการจองเวร ย่อมมีเหตุมาจาก ผู้ถูกจองเวรเคยประพฤติเหตุเบียดเบียนผู้อื่นมาก่อน
  

1406.
กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพครับ

   ผมได้ตามอ่านจากหนังสือและจากเวปกัลยาณธรรม จึงอยากจะปฏิบัติกรรมฐาน ลองดูกับเขาบ้าง แต่ว่าเท่าที่ทราบแถวๆบ้านผมไม่มีการสอนกรรมฐาน บ้านผมอยู่ เขาหลัก จ.พังงา  ตามที่อาจารย์เคยบอกในหนังสือว่า จะต้องมีครูบาอาจารย์คอยสอน เพื่อไม่ให้หลงเดินทางผิดจึงอยากจะรบกวนให้อาจารย์ช่วยแนะนำการปฏิบัติกรรมฐาน หรือแนะนำครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐาน ให้ผมหน่อยคับ  

   ตอนนี้ผมหาสื่อต่างๆ ของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ที่สอนกรรมฐาน ไม่ทราบว่า ผมจะนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติกรรมฐานได้หรือไม่ครับ

   กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
  ทำตามคำสอนของหลวงพ่อจรัญให้ถูกตรง ย่อมเข้าถึงธรรมได้ อนึ่งในยุคปัจจุบัน คนมีบุญมากมาเกิด มีไม่มาก จึงต้องการครูผู้มีประสบการณ์มาชี้แนะ อยู่จังหวัดพังงาทำไมไม่ฝากตัวเป็นศิษย์ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเอี้ยน สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต (วังเนียง) อ.เมือง จ.พัทลุง
    

1405.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง
 
   ผมมีแฟนคนหนึ่งซึ้งนับถือศาสนาคริสต์(ยังไม่ได้แต่งงานกัน) ตัวผมเองให้ความเคารพพระเจ้าในฐานะเทพบุตรองค์หนึ่ง แต่เมื่อวันก่อนผมได้ไปบ้านของแฟน ครอบครัวของแฟนได้มีการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ในทำนองที่ว่าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งซึ่งในใจของผมเห็นแย้งอยู่ เมื่อมีการร้องเพลงและอธิษฐาน ขอพรพระเจ้าผมรู้สึกอึดอัดแต่ก็ได้ภาวนาในใจว่าพุธโธๆ ไม่ได้ร่วมร้องเพลงและอธิษฐานตามพิธีกรรมนั้น นอกจากนั้นญาติๆบางคนของแฟนผมยังกล่าวว่าพระพุทธศาสนาในทางไม่ดี ซึ่งผมไม่ชอบใจอย่างมาก ผมมีคำถามดังนี้
1. การที่ผมนับถือพระเจ้าในฐานะเทพบุตรองค์หนึ่ง เป็นการเห็นถูกหรือไม่ พระเจ้าเป็นผู้สมควรแก่การเคารพบูชาหรือไม่

2. เมื่อครอบครัวของแฟนได้มีการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ผมควรทำอย่างไรเมื่อไม่สามารถหลีกออกมาจากพิธีกรรมนั้นได้

3. เมื่อมีคนว่าร้ายพระพุทธศาสนา ผมควรจะทำอย่างไรไม่ให้บาปเกิดขึ้นกับตัวผม

4. ตัวผมเองเชื่อในพระพุทธศาสนาว่าเป็นทางที่ถูกต้องและอยากให้แฟนเห็นถูกอย่างที่ผมเห็น ผมทราบว่าเรื่องนี้ไม่ควรไปบังคับใจกันเนื่องจากจะทำให้เกิดบาป แต่ผมก็ได้พยายามบอกแฟนไปว่าพระพุทธศาสนามีหลักธรรมว่าอย่างไรบ้าง แฟนผมเองก็แลกเปลี่ยนความเชื่อกันกับผม โดยผมไม่ได้บังคับแต่อย่างใด อยากทราบว่าควรทำอย่างไรให้แฟนของผมเห็นถูกตามวิถีทางของพระพุทธศาสนาครับ
 
   สุดท้ายนี้ขอขอบคุณท่านอาจารย์สนองที่เมตตาสอนหลักธรรมต่างๆ ถ้าหากจดหมายฉบับนี้เป็นการรบกวนผมต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

คำตอบ
    (๑). เห็นถูกหรือเห็นผิด ต้องใช้ปัญญาเป็นตัวตัดสิน ผู้ใดพัฒนาปัญญาได้เพียงสองระดับต้น (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) ย่อมเห็นว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง และหากผู้ใดพัฒนาปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) ให้เกิดขึ้น ย่อมเห็นว่าคำกล่าวข้างต้น ยังไม่ถูกตรงตามธรรมชาติที่เป็นจริงแท้ ด้วยเหตุนี้ผู้ใดบูชาสิ่งที่ด้อยค่า ย่อมเข้าไม่ถึงสิ่งที่สูงค่า .... เลือกบูชาตามศรัทธานะครับ

   (๒). ผู้ใดนั่งฟังแล้วใช้ปัญญาวิเคราะห์หาเหตุผล การได้ยินได้ฟังนั้นจะเป็นครูสอนใจของผู้ฟังให้เกิดปัญญา

   (๓). ผู้ใดไม่เอาใจเข้าร่วมกับการได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ บาปย่อมไม่เกิดกับผู้มีสติระลึกทันเสียงให้ร้ายที่ได้ยินนั้น

   (๔). ผู้ใด คิด พูด ทำ ได้ถูกตรงตามธรรมวินัยในพุทธศาสนาได้แล้ว สิ่งดีงามย่อมเกิดขึ้นกับผู้นั้น ผู้มีสิ่งดีงามคุ้มครองใจ ย่อมได้รับความเชื่อถือ จากบุคคลผู้มีจิตใฝ่อยู่ในความดี การสอนผู้อื่นด้วยการกระทำดีให้เขาดู ดีกว่าการพูดดีให้ผู้อื่นได้ยินได้ฟัง เพราะอย่างแรกย่อมทำให้ศรัทธาและทำตามเกิดขึ้นได้ง่าย
  

1404.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

ผมอยากเรียนถามอาจารย์ว่า การเอาตุ๊กตาช้าง ม้า หรือ ชาย หญิง ไปถวายที่ศาลเจ้าที่เพื่อให้ท่านใช้เป็นพาหนะ และข้าบริวาร ในเมื่อตุ๊กตาเหล่านั้นเป็นแค่สิ่งของ ไม่ได้มีจิต เจ้าที่ซึ่งเป็นเทวดา จะขี่ม้าที่เป็นสิ่งของ หรือจะเรียกใช้ข้าทาสที่เป็นแค่สิ่งของชิ้นหนึ่งได้อย่างไร

ขอขอบพระคุณอาจารย์สำหรับคำตอบครับ

คำตอบ
   คนมีพลังปัญญามาก ย่อมนำวัตถุมาทำให้เกิดประโยชน์กับชีวิตได้มาก เช่น มนุษย์นำวัตถุมาทำเป็นพาหนะ นำพาตัวเองไปในที่ต่างๆได้ เช่นเดียวกัน เทวดามีพลังมากกว่ามนุษย์ จึงย่อมเนรมิตวัตถุให้เกิดประโยชน์แก่เขาได้เช่นกัน หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะพิสูจน์สัจจธรรมนี้ ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนสามารถเข้าฌาน และเกิดปัญญาสูงสุดที่เรียกว่า อภิญญา ๕ ได้เมื่อใดแล้ว ย่อมเข้าถึงความจริงในสิ่งที่กล่าวนี้ได้ .... พิสูจน์ไหมครับ
  

1403.
กราบเรียนท่านอาจารย์ดร.สนองที่เคารพ

    หนูมีเรื่องอยากกราบเรียนถามอาจารย์ว่า การที่เราจะปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้านั้น ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แต่การประกอบอาชีพในชีวิตประจำวันนั้น มีบางครั้งต้องพูดจาโกหก พูดปดกับลูกค้า (หนูเป็นพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับการค้าขาย) และบางครั้งต้องทำการหลีกเลี่ยงภาษี (ขายใบกำกับภาษีเพื่อให้ลูกค้าไปใช้ในการหลบเลี่ยงภาษี) ซึ่งหนูก็รู้ว่าเป็นการผิดศีลข้อลักทรัพย์ และบางทีหนูก็รู้สึกว่าเรากำลังโกงแผ่นดินหรือเปล่า แต่หนูต้องทำตามหน้าที่ลูกจ้าง ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้

หนูเลยอยากถามอาจารย์ดังนี้ว่า
1. สิ่งที่หนูทำอยู่บาปมากไหมค่ะ

2. และจะมีทางแก้ไขและปฏิบัติอย่างไร(บางทีหนูคิดจะเปลี่ยนอาชีพ แต่ความรู้น้อย และงานที่ทำอยู่ก็มีเงินเดือนพอที่จะเลี้ยงตัวเอง และพ่อแม่พี่น้องได้)

    ปัจจุบันหนูพยายามขวนขวายในธรรม หนูอ่านหนังสือธรรมะ หนูฟังธรรมทุกครั้งที่มีโอกาสไป หนูเข้าอบรมปฏิบัติธรรมทุกครั้งที่มีโอกาส เวลาอยู่บ้านก็สวดมนต์เช้าเย็น นั่งสมาธิและก็แผ่เมตตา หนูอยากเจริญก้าวหน้าในทางธรรมค่ะ อยากเป็นผู้รู้ที่สามารถปลดทุกข์ให้ตัวเองได้ และอยากเป็นผู้รู้บอกกล่าวคนที่ไม่รู้ได้

หนูขอให้อาจารย์เมตตาตอบคำถามให้หนูด้วยนะค่ะ    
กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    (๑). สิ่งที่บอกเล่าไป เป็นการสร้างบาปให้เกิดขึ้นในชาติปัจจุบัน เมื่อใดที่กรรมให้ผล ย่อมถูกกล่าวตู่ โภคะพินาศ ปฏิบัติธรรมแล้วจิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ฯลฯ ตายแล้วบาปยังผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิได้

   (๒). หากยังจำเป็นต้องทำอาชีพนี้อยู่ จงทำต่อไป แต่ต้องประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อยู่เสมอ เพื่อให้จิตมีบุญสั่งสมมากกว่าบาป แล้วบาปตามให้ผลไม่ทัน ชีวิตจะดำเนินอยู่ได้โดยยังไม่วิบัติ อนึ่งสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน จงทำต่อไปตลอดชีวิต
  

1402.
เรียน ดร.สนอง ที่เคารพ
              1. ทุกวันนี้พยายามรักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัด แต่มีข้อสงสัยว่า ยังต้องไหว้เจ้าและบรรพบุรุษด้วยเหล้า แต่ไหว้แล้วก็ไม่ได้ให้ไครดื่ม จะเป็นบาปหรือไม่

              2. ชอบมีความคิดว่าตัวเองกระทำไม่ดีต่อพระสงฆ์ เช่น ใช้เท้าเหยียบ ทุกวันนี้สวดมนต์บทขอขมาทุกวัน ก็ยังมีความคิดนี้ค้างอยู่ รู้สึกแย่มาก จะแก้ไขอย่างไรดีค่ะ
                                                                               ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

คำตอบ
   (๑). ผู้ใดมีเจนาให้เครื่องดื่มที่เป็นสุราเมรัยแก่ผู้อื่น (รูปนามอื่น) ผู้นั้นเป็นต้นเหตุให้รูปนามอื่นประพฤติทุศีล ถือว่าเป็นบาป

   (๒). นำตัวไปขอขมากรรมต่อหน้าเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ต่อหน้าอุทเทสิกเจดีย์ (พระพุทธรูป) ต่อหน้าบริโภคเจดีย์ของพระพุทธเจ้า ฯลฯ ด้วยการสวดมนต์บทสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย แล้วสารภาพผิดที่มีจิตคิดอกุศล ล่วงเกิน ด้วยการกล่าววาจาให้อริยสงฆ์ยกโทษให้ แล้วต้องไม่ทำเหตุที่เป็นอกุศลเช่นนี้ให้เกิดซ้ำขึ้นอีก จากนั้นต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง ด้วยการเจริญอานาปานสติ โดยมีความเพียรและสัจจะเป็นแรงสนับสนุน
  

1401.
สวัสดีค่ะ อาจารย์สนอง
 
       ปัจจุบันนี้หนูได้ไปปฎิบัติธรรม ที่วิเวกอาศรม จ.ชลบุรี อาทิตย์ละ 2 วัน ครั้งละ 3-4 ชม. นอกนั้นปฎิบัติที่บ้าน
ประมาณ 1 ชม. นั่ง 30 นาที่ เดิน 30 นาที แนว พอง- ยุบ ค่ะ วันนี้ขณะเริ่มปฎิบัติ   เริ่มเดินจงกรมได้กลิ่นเหม็นสาป
แต่ไม่ได้ตกใจ ไม่มีอาการกลัวก็ แผ่เมตตาทันทีไม่ทันจบ กลิ่นหายไป ก็ปฏิบัติต่อ เดิน- นั่ง นาน 4 ชม.สลับกัน
ก็ไม่ได้กลิ่นอีกเลย  ตลอดเวลา 4 ชม. นี้มีความรู้สึกเงียบมากไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งที่มีพระปฏิบัติอยู่ รู้ตัวกำหนดตลอด  
และรู้ว่าเหมือนจิตกำลังมองตนเองนั่งสมาธิอยู่ สงัดมากทั้งที่กลางวัน และตนเองนิ่งมากไม่กระดุกกระดิกเลยค่ะ
ทั้งที่กำหนดอยู่ตลอดเวลา แต่ เหมือนจิตใจตนเองเต้นเร็วจนปวดใจบอกไม่ถูกพอกำหนดก็หายไป  
เลย เคยเป็นแบบนี้หลายครั้ง หนูอยากรู้ว่า   
 
   1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ คืออะไรคะ แล้วทำไมถึงเกิด (กลิ่นเหม็น) เป็นความก้าวหน้าหรือไม่คะ
 
   2. ที่หนูแผ่เมตตาหนูทำถูกหรือไม่คะ
 
   3. อาการปวดใจ จากเหตุการณ์นี้คืออะไรคะ
 
ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงทุกทุกวันค่ะ
    ด้วยความเคารพ ค่ะ
      รวมฤดี

คำตอบ
    (๑). ผู้ใดพัฒนาจิตด้วยการปฏิบัติธรรม ผู้นั้นได้ทำบุญใหญ่ให้เกิดขึ้น สัตว์ (รูปนาม) ที่ประสงค์บุญจากการอุทิศย่อมแสดงนิมิต (กลิ่นเหม็น) ให้ผู้มีบุญใหญ่สัมผัสได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นความก้าวหน้าระดับหนึ่งในการพัฒนาจิต แต่ยังไม่ก้าวหน้าจนถึงระดับที่นำให้พ้นไปจากความทุกข์ได้

   (๒). ทำถูกแล้วครับ

   (๓). เป็นทุกขเวทนา (ขันธมาร) ที่มาทดสอบกำลังใจ ว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ หากแก้ปัญหาได้ถูกตรง อาการดังกล่าวจะหายไป
   

1400.
เรียน อ สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

   เสียดาย เพิ่งมารู้จักอาจารย์ได้ไม่นาน โดยเปิดเจอในเวป และ ติดตามไปฟังอาจารย์ ที่หอประชุม มช     ตอนนี้เสียดายเวลาที่ผ่านมาในอดีตมาก ที่ไม่ทำตัวให้เป็นสาระกับชีวิต ตอนนี้อยากปรารถนา จะสร้างตนเองให้เป็นคนที่มีสาระให้มากที่สุด แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำยังไงครับ กับเวลาที่ผมเหลืออยู่  

   วันนี้ ผมเพิ่งไปตรวจร่างกายมา และเพิ่งทราบจากหมอท่านว่าผมเป็นมะเร็ง ไม่รู้ว่าระยะใดแล้ว หมอไม่ได้พูดถึง แต่ตำหนิผมเพิกเฉยกับอาการที่เป็นอยู่ ที่จริงแล้วอาการของผมเรียกว่า โรคกรรมครับ เพราะเป็นแต่เกิด และ คนจะเป็นโรคนี้น้อยครับ กล่าวคือ ผมมีลูกอัณฑะไม่ลงถุงทั้งสอง และตอนขณะอายุน้อย คุณแม่ท่านก็ไปให้หมอดู และ    ผ่าตัด แต่ปรากฎว่า หมอท่านทำไม่สำเร็จครับ เพราะเหตุผลไรไม่ทราบ บอกว่าสายมันสั้น พ่อ แม่ และ ผม ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะไม่มีความรู้เท่าได ต่อมาปรากว่า ผมทำงานยกของต่างๆ มันจะมีโอกาสกระทบกับ อัณฑะ ที่บริเวณท้องน้อย บ่อย มันเจ็บ ไปหาหมอ หมอท่านให้ผ่า ปรากฎว่า ok ทำได้ตอนนี้ แต่ก็ใม่ใช่ว่าผลเลิศนัก มีข้อบกพร่องทั้งสองข้าง ข้างหนึ่ง โตกว่าปกติ ข้างหนึ่งเล็กกว่าปกติ เหตุการณ์ผ่านมาประมาณ 20 ปี ทีนีมันก็ค่อยค่อยเปลี่ยนแปลง แข็ง และ บางครั้งก็เจ็บ แต่ผมก็ไปให้หมอท่านตรวจดูอยู่   หมอท่านว่าไม่น่าใช่มะเร็ง อักเสบธรรมดา

    ก่อนหน้านี้ใจผม เป็นอะไรไม่ทราบ เหมือนระแวงว่าผมอาจเป็นโรคร้ายครับ เวลาสวดมนต์ เวลาอธิษฐาน จิตส่วนหนึ่งเหมือนแช่งตัวเองว่า เป็นโรคนี้

   ที่ประหลาดอีกประการหนึ่งคือ มีคนแนะนำลูกความอยู่คน เป็นคนบ้านนอก มาปรึกษาคดีเกี่ยวกับมรดกกับผม เราก็คุยกัน ปรากฎว่าแกดันเล่าให้ฟังว่า ตัวแกเป็นมะเร็งลูกอัณฑะ ทั้งที่ผมไม่ได้เล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวผมให้เขาทราบ   ทำให้ใจผมกระเพื่อมมาก ทำไมคนเป็นโรคนี้น้อยมาก ทำไมมาเจอกับผม สดุดใจจริง  

  ผมจึงตัดสินใจ มาพบคุณหมออีก ทั้งที่ผมก็ไม่เจ็บ หรือ รู้สึกผิดปกติมากนัก   แต่ทำให้ผมน้ำตาไหล เพราะผม อาจเป็นไปได้ว่าเราจะมีเวลาเหลืออีกเท่าไร   เรายังทำอะไรให้คุณแม่ได้ไม่มากเลย ชีวิตที่ผ่านมาไร้สาระมามากแล้ว    

   ผมขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ครับ ทำอะไรดีครับ ให้คุ้มกับเวลาตอนนี้ที่สุด

   ทุกวันนี้ผมก็ พยายาม รักษาศีล ให้ทาน และ เจริญภาวนา ( แบบทำเอง) อาจไม่ถูกต้อง

   ไม่รู้ว่าจะได้รับคำตอบเมื่อใด อาจารย์งานแยะ อยากมีความรู้ ที่สามารถเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้เช่นท่านอาจารย์

คำตอบ
    โปรแกรมจิตที่ตั้งไว้ผิด ว่าตัวเองเป็นมะเร็งที่ลูกอัณฑะ เป็นสัญญาเก่าที่สืบมาแต่อดีตที่เคยตัดสินคดีความไม่ถูกตรงตามความเป็นจริง ผลของกรรมจึงผลักดันจิตให้ระลึกเป็นเช่นนั้น หากยังคงปล่อยให้จิตระลึกติดลบอยู่เช่นนี้ ตายแล้วพลังของอกุศลกรรม ยังมีโอกาสผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์ที่มีลูกอัณฑะใหญ่อยู่ในอบายภูมิได้

                        อนึ่ง ผู้ใดประสงค์นำพาชีวิตให้พ้นไปจากแรงผลักของกรรมบาปเช่นนี้ ต้องหยุดกระทำกรรมที่ไม่ซื่อตรงอย่างเด็ดขาด แล้วหันมาพัฒนาจิตวิญญาณ ประพฤติทาน ศีล ภาวนา จนสามารถปิดอบายภูมิได้แล้ว ความปลอดภัยของชีวิตหน้าจึงจะเกิดขึ้นได้
  

1399.
เรียนถามท่านอาจารย์ สนอง วรอุไร

กระผมใคร่รบกวนสอบถามปัญหาดังต่อไปนี้

ขณะที่นั่งกรรมฐานมี ปัญหาที่พบ คือขณะนั่งสมาธิเกิดรู้สึกเหมือนมีมดแมลงมาไต่หน้า ไต่ตัวหรือขา ซึ่งบางครั้งลืมตามาดูก็จะพบบ้างไม่พบบ้าง จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นของจริงหรือเป็นเวทนา

ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
    สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสภาวสัจจะ ผู้มีปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) สามารถสัมผัสได้ว่ามีอยู่จริง แต่หากผู้ใดพัฒนาปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว จะเห็นว่าอาการดังกล่าวไม่มีอยู่จริง
  

1398.
เรียนถามท่านอาจารย์ที่เคารพ

   1. สงสัยว่าเมื่อครั้งพุทธกาลที่มีเปรตซึ่งเป็นญาติของพระเจ้าพิมสารมาขอส่วน บุญซึ่งพระองค์ก็ได้ทำบุญและอุทิศให้โดยกรวดน้ำ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยดังนี้
      1.1 เคยได้ยินมาว่าการทำบุญเสร็จไม่จำเป็นต้องกรวดน้ำก็ได้ ซึ่งผมเคยกรวดน้ำแบบเกาะต่อๆกันไป ซึ่งก็ถูกตำหนิ เพราะดูแล้วไม่สมควร ท่านว่าหากกรวดเองไม่สะดวกก็ให้ใช้วิธีสาธุหรืออธิษฐานให้ญาติที่ล่วงลับแทน ก็ได้ เช่นนี้เป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่
     1.2 มีคนบอกว่าการที่บุพการีล่วงลับไปแล้ว หากเราเป็นบุตรทำบุญ แม้ไม่กรวดน้ำบุพการีนั้นก็ได้เช่นกัน จึงอยากทราบว่าเหตุใดกรณีของพระเจ้าพิมสารทำไมพระองค์จึงต้องใช้วิธีกรวดน้ำ ทำไมถึงใช้อฐิษฐานจิตไม่ได้
     1.3 จริงหรือไม่ที่เราเป็นบุตรเมื่อทำบุญแล้วบุพพการีที่ล่วงลับไปแล้วจะได้รับ ผลนั้นไปด้วย

   2. อยากทราบที่มาดวงวิญญาณมากมายที่มาเกิดยังโลกมนุษย์นี้ มากมายเหลือไม่ทราบว่าจากไหน
   ( หรือจะแนะนำชื่อหนังสือให้ไปค้นคว้าต่อก็ได้นะครับ)

   3. การทำบุญเราควรจะเลือกหรือไม่ว่าควรทำกับใครและหากเราเลือกผลบุญที่ได้จะได้ เท่ากับที่เราไม่เลือกไหม

   4. การที่เราเห็นผู้ทรงศีลบางท่านประพฤติไม่เหมาะสมแล้วเราพูดคุยถึง เหตุการณ์ดังกล่าวให้ผู้อื่นฟังด้วยใจที่ไม่ได้อคติและเป็นเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นจริงอย่างนี้เราจะบาปหรือไม่ครับ

คำตอบ
    (๑.๑). ถูกต้องครับ

   (๑.๒). ผู้ใดมีบุญ แล้วอุทิศบุญให้ผู้อื่น และผู้อื่นมาอนุโมทนาบุญ การอุทิศบุญนั้นย่อมสัมฤทธิ์ผล

   อนึ่งการอุทิศบุญ ด้วยการกรวดน้ำหรือไม่กรวดน้ำ เป็นสิ่งที่ทำได้ตามศรัทธาเพราะให้ผลเป็นอย่างเดียวกัน ในกรณีของพระเจ้าพิมพิสารอุทิศบุญด้วยการหลั่งทักขิโณทก (กรวดน้ำ) ตามศรัทธาที่พระองค์มี

   (๑.๓) จริง หากบุตรมีบุญ แล้วอุทิศบุญให้บุพการีที่อยู่ในวิสัยที่จะรับบุญได้ และต้องมาอนุโมทนาบุญนั้น ตรงกันข้าม ไม่จริงหากบุพการีไม่อยู่ในวิสัยที่จะมาอนุโมทนาบุญได้ การอุทิศบุญย่อมไม่สัมฤทธิ์ผล

   (๒). พระพุทธโคดมสอนชาวกาลามะ แห่งเกสปุตตนิคม แห่งแคว้นโกศลว่า อย่าปลงใจเชื่อด้วยเหตุ ๑๐ อย่าง (คัมภีร์ติกนิบาตร อังคุตตรนิกาย) ดังนั้นผู้ตอบปัญหาจึงบอกว่า ดวงวิญญาณที่โคจรมายังโลกมนุษย์ใบนี้ มาจากการทิ้งรูปขันธ์ของสัตว์ที่อยู่ในภพต่างๆของวัฏสงสาร จึงอย่าปลงใจเชื่อตามหลักกาลามสูตร แต่หากประสงค์พิสูจน์สัจจธรรมนี้ ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความตั้งมั่นแน่วแน่ (ฌาน) แล้วถอยจิตออกจากความทรงฌาน ความรู้สูงสุดระดับโลกิยะ (อภิญญา ๕) ย่อมยืนยันคำตอบนี้ได้

   (๓). ขึ้นอยู่กับปัญญาและความศรัทธาของผู้ทำบุญ อาทิ ทำบุญโดยไม่เลือกผู้รับ (ปฏิคาหก) ย่อมได้บุญน้อยกว่าทำบุญให้กับผู้ทรงไว้ซึ่งคุณธรรม ทำบุญกับผู้มีคุณธรรมหมู่มาก ย่อมได้บุญมากกว่า ทำบุญกับผู้ทรงคุณธรรมเพียงคนเดียว ทำบุญด้วยการให้ปัญญาเป็นทาน ย่อมได้อานิสงส์สูงสุด ฯลฯ

   (๔). ผู้ใดรับฟังเรื่องราวแล้วเกิดเป็นความไม่สบายใจ ถือว่าผู้พูดเป็นต้นเหตุทำบาปให้เกิดขึ้นกับผู้ฟัง ผู้พูดต้องได้รับบาปนั้นด้วย
  

1397.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์ดร. สนอง วรอุไรด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

   1. หนูอยู่ประเทศอเมริกาค่ะ หนูอยากทราบค่ะว่า   การทำเราทำงานเสริฟที่ร้านอาหารไทย และส่วนมากเจ้าของร้านจ่ายเงินพนักงานเป็นเงินสด โดยไม่มีการหักภาษีใด ๆ ไว้เลยค่ะ    ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายของประเทศอเมริกาค่ะ ทีนี้หนูก็สงสัยค่ะว่า ถ้าผิดกฎหมายแล้ว   ก็น่าจะผิดศีลธรรมด้วยเช่นกัน เพราะถือว่าเป็นการโกงประเทศชาติ หรือปล่าวคะ พอดีหนูศึกษาธรรมะ หนูค่อย ๆ พิจารณาดูแล้วว่าถ้าอยากจะพ้นทุกข์ ควรจะหลีกเลี่ยงการทำไม่ดีให้มากที่สุด กระทำความดีให้ถึงพร้อม ทำจิตให้ผ่องใส ดั่งที่พระพุทธองค์ได้บอกทางไว้อ่ะค่ะ เพื่อนบางคนบอกว่า เจ้าของร้านเค้าทำแบบนี้จะให้ทำอย่างไร

   ส่วนปัญหาเรื่องการที่ต้องเสริฟเครื่องดื่มแอลออฮอล์ให้ลูกค้า หนูสงสัยเหมือนกันค่ะ แต่บังเอิญได้มาอ่านคำตอบของท่านอาจารย์ก่อนค่ะ

   2.  หนูอยากทราบว่าอันนี้คือผลของการเจริญมรณานุสติหรือปล่าวอ่ะค่ะ คือช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา   หนูเจริญมรณานุสติค่ะ    หนูมองเห็นว่าพอหนูจะหลงระเริงไปกับความสุขทางโลก เช่น การไปเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า   พอจิตหนูไประลึกถึงความตาย มันหยุดชะงักไปค่ะ ไม่สนุกสนานเลย แต่หนูมาค่อย ๆ พิจารณาดู ในทางกลับกันว่า เวลาที่หนูไปเจอความทุกข์ หรือโกรธ หนูไม่ค่อยได้ไปคิดถึงเรื่องความตายเลยอ่ะค่ะ ไม่ทราบว่าผิดถูกอย่างไร อาจารย์ช่วยกรุณาแนะนำหนูด้วยนะคะ

   สุดท้ายนี้หนูขอกราบขอขมาท่านอาจารย์ดร .สนอง วรอุไร มา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ ถ้าหนูเคยได้ล่วงเกินท่านอาจารย์จะด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี จะอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติก็ดี ต่อหน้าหรือลับหลังก็ดี รู้เท่าถึงการณ์หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี หนูขอกราบขอขมาท่านอาจารย์ด้วยค่ะ ขอท่านอาจารย์ดร.สนอง ได้โปรดอโหสิกรรมให้หนูด้วยเทอญค่ะ

   กราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ที่มีเสมอมาด้วยค่ะ

     ผู้ใฝ่ธรรมแห่งทางพ้นทุกข์

คำตอบ
    (๑). การทำกิจการค้าใดๆในประเทศที่มีความเจริญทางโลก ทางร้านหักเงินเป็นภาษี ณ ที่จ่าย ส่งให้กับรัฐแล้วโดยส่วนรวม แต่ควรมีใบกำกับฯ มอบให้พนักงานเสิร์ฟอาหารเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย หากเจ้าของร้านประพฤติทุจริต ก็ไม่ใช่หน้าที่ของผู้เสิร์ฟอาหาร จะไปก้าวล่วงในการดำเนินชีวิตของผู้อื่น ผู้ถามปัญหาประสงค์นำพาชีวิตของตัวเองไปสู่ความพ้นทุกข์ ต้องไม่นำตัวเข้าร่วมกระบวนกรรมที่ข้องเกี่ยวกับธุรกิจทางโลก แล้วหันมาปฏิบัติธรรม ความเป็นอิสระจากกิเลสหรือพ้นไปจากความทุกข์ จึงจะเกิดขึ้นได้

   (๒). ผู้ใดมีจิตระลึกถึงความตาย แล้วหยุดซื้อหาของที่เกินความจำเป็นแก่การดำเนินชีวิต นั่นคือผลที่เกิดจากการเจริญมรณานุสติ และหากยังรักษาจิตให้จดจ่อ (สติ) อยู่กับความตาย ความทุกข์อันเนื่องมาจากความโกรธย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นพึงเร่งความเพียร และมีสัจจะพิจารณามรณานุสติอยู่เสมอ แล้วความสุขจากมีจิตระงับ (สงบสุข) ย่อมเกิดขึ้น .... สุดท้ายผู้ตอบปัญหาอโหสิกรรมให้แล้ว
   

1396.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง
 
       ดิฉันเคยเขียนมาเรียนถามท่านอาจารย์หลายครั้งแล้ว   คราวนี้ดิฉันมีเรื่องมาขอรบกวนสอบถามท่านอาจารย์อีกดังนี้ค่ะ
 
    1. CD เพลง , VCD ภาพยนตร์/ Concert ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งบันเทิง หรือหนังสือที่สอนในสิ่งที่ไม่ดี เช่น สอนทำไวน์ ซึ่งเราไม่อยากเก็บรักษาแล้ว เราควรจะทำอย่างไรดีกับมันจึงจะสมควรที่สุดคะ ยกตัวอย่าง
        ข้อ 1 บริจาคแก่ห้องสมุด เพื่อประโยชน์ในการศึกษาวิชาการทางด้านนั้นๆ
         ข้อ 2 นำไปขายต่อ/ให้คนที่สนใจ เพื่อส่งต่อให้แก่คนที่อยากได้จริงๆ
        ข้อ 3 นำไปทิ้ง เพื่อให้คนเก็บขยะได้ประโยชน์ เช่น ขายต่อหรือเอาไป Re-cycle ( เขาจะเก็บไปทำอะไรต่อ ก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว ไม่เกี่ยวกับเรา)
        ข้อ  4  ทำลายทิ้ง   เนื่องจากเป็นสิ่งที่มอบเมาผู้คน
               หรือ หากไม่ใช่ตามด้านบน ควรจะทำอย่างไรดีคะ       
 
     2. ระยะหลังมานี้ ดิฉันได้ฟังธรรมบ่อยมากขึ้น และพยายามเจริญสติอย่างต่อเนื่องตลอดเวลามากขึ้นไม่ว่าจะอยู่ในที่ใด สถานการณ์ใด รู้สึกกิเลสคือตัวทุกข์เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะได้สมอยากหรือไม่สมอยาก รู้สึกถึงใจที่ดิ้นไปมา หาความสงบไม่ได้ และวันนี้ อยู่ๆ ก็เกิดปัญญารู้ความจริงอย่างหนึ่งเมื่อชีวิตผ่านพ้นมาหลายสิบปีแล้วว่า ว่าดิฉันเป็นผู้ที่มีนิสัยอิจฉาริษยาเป็นอย่างมากนอกเหนือจากเป็นคนอ่อนไหวมากกับท่าทีของคนอื่น (ชอบเป็นกระสอบทรายตลอดเวลา)   เมื่อได้รู้เห็นคนอื่นทำสิ่งที่เหลวไหล   ไร้สาระ   ดิฉันจะรู้สึกสงสารในความเป็นมนุษย์ปุถุชน แต่เพิ่งรู้ว่าจริงๆแล้ว แอบสะใจอยู่ในที แอบรู้สึกว่าเราเหนือกว่าเขา ดีกว่าเขา แต่ตอนที่ดิฉันเห็นคนเดียวกันนั้นทำดีและได้ดี มีความสุข   ดิฉันกลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจคับแค้นใจ และอิจฉา ว่าทำไมดิฉันด้อยกว่าเขา ทำไมดิฉันจึงไม่เก่ง ไม่ดี ไม่เจริญก้าวหน้าอย่างเขาบ้าง ทั้งที่ดิฉันเป็นคนดี ชอบทำความดีต่างๆ

   ดิฉันเกิดความรู้ขึ้นว่าควรจะปล่อยวาง ไม่ควรยินดียินร้ายในความรู้สึกเหล่านั้น ไม่ว่าจะความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หรือความรุ้สึกอันเป็นต้นเหตุ คือความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อย่างคนอื่นเขา และพยายามมีสติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบันบ่อยๆ ตั้งใจทำหน้าที่ของตนเท่านั้น สร้างเหตุปัจจัยต่อโดยไม่หวังผลอะไรทั้งสิ้น ก็รู้สึกว่าผ่านเวลาแห่งความรู้สึกร้ายๆ นั้นมาได้งดงามขึ้นกว่าในอดีต   และคาดหวังว่าจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต   และการเรียนรู้ที่จะปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นในความคิด ความรู้สึกของตัวเอง กลับทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเจริญสติได้ดีขึ้น   ส่วนในเวลาที่ดิฉันไม่ต้องคิดอะไร ก็จะดูลมหายใจเข้าออก หรือดูการเคลื่อนไหวของกาย แล้วแต่ว่าเห็นอะไรชัดค่ะ ถ้ามีเวลาก็จะนั่งสมาธิเพื่อฝึกให้จิตมีความตั้งมั่นเพื่อเจริญสติได้ดีขึ้น รู้ตัวบ่อยขึ้น แต่ก็ไม่ค่อยได้นั่งเท่าไหร่ค่ะ    การฟังธรรมแต่ละครั้ง แม้ว่าจะเคยฟังแล้ว แต่ดิฉันกลับรู้สึกเข้าใจชัดเจนมากขึ้น มองในแง่มุมใหม่ๆ ได้จนน่าแปลกใจ ดิฉันถือศีล 5 ค่ะ แต่ก็มีหม่นหมองบ่อยๆ ในข้อกาเม (แอบชอบแฟนคนอื่น) และมุสา   ค่ะ แต่ดิฉันคิดว่าเมื่อมีสติรู้ตัวมากขึ้น ก็จะรักษาศีลได้ดีขึ้นตามลำดับ

         ท่านอาจารย์คะไม่ทราบว่าแนวทางที่ดิฉันเล่ามานี้ถูกต้องหรือไม่ นำไปสู่ความหลุดพ้นหรือไม่ค่ะ ดิฉันต้องการบรรลุธรรมโดยเร็วที่สุด อย่างน้อยก็ขอให้เข้าถึงโสดาบันในชาตินี้ค่ะ เพื่อให้พ้นอบายค่ะ
 
      กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยปกปักรักษาท่านอาจารย์ให้ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มุ่งสู่จุดหมายอันเป็นที่หวังโดยเร็วที่สุดค่ะ

คำตอบ
    (๑). ผู้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรมในพุทธศาสนา เลือกกระทำตามข้อย่อยที่สี่ ผู้ประสงค์ได้ทั้งบุญได้ทั้งบาป เลือกกระทำตามข้อย่อยที่สาม ผู้ที่ยังมีความโลภและยังชื่นชมยินดีอยู่กับบาป เลือกกระทำตามข้อย่อยที่สอง ผู้ที่ยังมีโมหะส่องนำทางให้ชีวิต นิยมสร้างกรรมนำสู่การเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เลือกกระทำตามข้อย่อยที่หนึ่ง ดังนั้นเลือกตามที่ชอบครับ

   (๒). ผู้ใดทำความดี แล้วยังหวังให้คนอื่นชื่นชมยินดีกับความดีที่ตนทำ ผู้นั้นยังมีอัตตา ยังไม่ใช่คนดีในพุทธศาสนา คนดีในพุทธศาสนา คิด พูด ทำ ต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม นิสัยชอบอิจฉาริษยา ความสมอยากหรือไม่สมอยาก (ตัณหา) เห็นสิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความรู้สึกด้อยกว่าเขา เป็นผลที่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว (อัตตา) เมื่อถึงวาระที่ต้องทิ้งขันธ์ลาโลก โทษสมบัติเหล่านี้มีพลังผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ

   ดังนั้นผู้ใดหวังความเจริญให้เกิดขึ้นกับชีวิต ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติรับทันสิ่งกระทบ (ผัสสะ) ที่เกิดขึ้นกับใจ และต้องพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นถูกตรงตามธรรม คือเห็นผัสสะดับไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วอารมณ์ตามที่บอกเล่าไป จะไม่เข้ามารบกวนใจให้ขุ่นมัวได้อีก

   ดังนั้นสิ่งที่บอกเล่าไป ดำเนินมาถูกทางแล้วจงปฏิบัติต่อไป ด้วยการสวดมนต์บทสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วกำหนดลมหายใจเข้า-ออก (อานาปานสติ) และสุดท้ายอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร โดยมีความเพียรและสัจจะเป็นแรงสนับสนุน โอกาสที่ศีลข้อสามและศีลข้อสี่ จะกลับมาคุ้มครองใจ แล้วส่งผลให้เกิดความสงบสุข และมีจิตเป็นอิสระจากสิ่งกระทบใดๆ ย่อมเกิดขึ้นได้
  

1395.
กราบเรียนถาม อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูงค่ะ

     ดิฉันปฏิบัติธรรมมาประมาณ ๕ ปีแล้วค่ะ ติดตามผลงานอาจารย์ และปฏิบัติตามคำแนะนำดี ๆ ของอาจารย์ให้ได้มากที่สุดค่ะ ครั้งแรกที่เห็นอาจารย์ในงานชมรมฯ ที่บพิตรพิมุข ดิฉันน้ำตาไหลโดยไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ ตอนเลิกงาน ก็รอส่งอาจารย์ที่บันได อาจารย์ยังแตะหัว และบอกว่า โชคดีนะลูก ปิติใจมาก ๆ ค่ะ ต่อไปเป็นคำถามค่ะ

     ๑) ๕ ปีที่ผ่านมาดิฉันชอบนั่งสมาธิ เดินจงกรมน้อยมาก การนิ่งในสมาธินาน ๆ เวลามาเจอปัญหาในชีวิตประจำวัน ดิฉันก็ร้อนเลยนะคะ ทำให้ที่บ้านปรามาสบ่อย ๆ ได้แต่คิดว่าเป็นวาสนา อาจารย์มีอะไรจะแนะนำตรงนี้บ้างคะ

     ๒) ทำบุญ นั่งสมาธิ เห็นคนทำ แล้วบอกว่ารวยขึ้น แต่ธุรกิจของดิฉันก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เลย แต่นั่นไม่ใช่

     จุดมุ่งหมายที่ดิฉันปฏิบัติธรรมนะคะ เท่าที่มีอยู่ ก็คิดว่ากินไม่ไหวใช้ไม่หมดแล้ว และบั้นปลายชีวิตอยากไปอยู่วัดเงียบ ๆ ต่างจังหวัดเลยค่ะ เคยแต่งงานและสามีทิ้งไป เจ็บไม่น้อยเลยคะ เคยคิดจะฆ่าตัวตาย แต่ธรรมรักษาค่ะ ไม่อยากโดดตึกตายอีกห้าร้อยชาติ จึงเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส อยู่ตัวคนเดียวก็มีโอกาสปฏิบัตธรรมมากขึ้น ไม่มีห่วง บ้านที่ดิฉันอยู่ตอนนี้ก็เงินสองคนช่วยกันซื้อก่อนแต่ง เขาว่าจะฟ้อง แต่ไม่เห็นทำซะที และเขาไม่เคยกลับมาเลย ไม่ติดต่อมาเลย (ถึงวันนี้ก็สองปีกว่าแล้วค่ะ) แล้วดิฉันจะคืนได้ยังไงคะ นั่งภาวนาเสร็จทุกครั้งก็จะอุทิศบุญกุศลไปให้เขา ขออโหสิกรรม และอโหสิกรรมให้เขา ให้เจอกันชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายเท่าที่เจอกันมา อย่าเจอกันอีกเลยทั้งภพนี้และภพไหน ไม่อาฆาตเลย ความรู้สึกทุกอย่างจบไปแล้ว ดิฉันต้องทำอะไรอีกมั้ยคะ

     ๓) สุดท้าย ขอถามเรื่องคำอธิษฐานค่ะ ทุกครั้งที่นั่งสมาธิเสร็จ จะอธิษฐานจิตว่า ขอให้บุญกุศลนี้จงเป็นพลวปัจจัยให้ข้าพเจ้าปิดอบายได้ในชาตินี้ ขอให้ถึงพระโสดาบันในชาตินี้ ขอให้บรรลุพระนิพพานในอนาคตกาลโดยเร็วเทอญ อยากทราบว่าอธิษฐานเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ถ้าปฏิบัติไม่ถึงโสดาบัน อธิษฐานเช่นนี้ก็จะเป็นโมฆะไปทั้งหมดหรือป่าวคะ หรือถ้าปฏิบัติได้มากกว่าโสดาบัน แต่อธิษฐานชาตินี้ขอแค่นี้ ทำให้เราติดอยู่แค่โสดาบันหรือป่าวคะ เคยได้ยินมาว่า อธิษฐานถึงพระนิพพานไปเลย ขอใหญ่ ๆ ไว้ก่อน แต่ดิฉันเกรงว่าจะไม่ถึงค่ะ ดิฉันรับฟังและจำแม่นจากอาจารย์ว่าโสดาบันต้องละสามข้ออะไรได้บ้าง ดิฉันพากเพียรปฏิบัติอย่างยิ่งเลยค่ะ

    ขออนุโมทนาสาธุในบุญกุศลที่อาจารย์ได้ปฏิบัติแล้ว ทุกภพทุกชาติ ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วนแห่งบุญนั้นทั้งสิ้นด้วยเทอญ

    ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรงตลอดไปค่ะ เพื่ออยู่เป็นกำลังใจ เป็นแสงสว่างให้กัลยาณชนทั้งหลายไปนาน ๆ เลยค่ะ

    ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
   (๑). ผู้ใดฝึกจิตจนมีกำลังของสติกล้าแข็งได้แล้ว ผู้นั้นย่อมระลึกทันสิ่งกระทบ (คำปรามาส) แล้วไม่ทำให้เกิดอารมณ์หวั่นไหว (ร้อนเลยค่ะ) หากผู้ถามปัญหาปรารถนามีอารมณ์สงบเย็น สามารถทำได้สองทางคือ ให้อภัยเป็นทานกับคำปรามาสที่ได้ยิน ด้วยการภาวนาว่า “ ช่างมันเถอะๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอารมณ์หวั่นไหวจะสงบลง แล้วความเมตตาก็จะเกิดขึ้นในจิตใจ ส่วนวิธีที่สอง ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง แล้วใช้จิตพิจารณาคำปรามาสว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดคำปรามาสหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน) จิตย่อมไม่รับเอาสิ่งที่ไม่มีตัวตนเข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ จิตจะปล่อยวางคำปรามาส แล้วว่างเป็นอุเบกขาด้วยตัวของจิตเอง วิธีนี้เป็นการบริหารจัดการกับสิ่งที่เข้ากระทบจิตที่ดีที่สุด

  (๒). ผู้ถามปัญหามีโชคดีที่ห่วงผูกมือ (สามี) หลุดไปได้ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามกระทำด้วยตัวเอง แต่ยังมีห่วงผูกขา (บ้าน) ที่เขายังไม่มาปลดให้เรา และยังมีทรัพย์ของตัวเอง ที่ตายแล้วต้องทิ้งเป็นทรัพย์กำพร้าไว้กับโลก ดังนั้นสิ่งที่น่ากระทำที่สุดในขณะปัจจุบันคือ พัฒนาจิต (ปฏิบัติธรรม) ให้เป็นอิสระจากโลกธรรม วัตถุ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ได้เมื่อใดแล้ว ชีวิตข้างหน้าดีแน่นอน

  (๓). ที่บอกเล่าไปเป็นการอธิษฐานที่มีปัญญาเห็นถูกตามธรรมสนับสนุน .... สาธุ แต่เมื่ออธิษฐานแล้วต้องทำเหตุให้ถูกตรงกับคำอธิษฐานคือ พัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง กำจัดอย่างน้อยสังโยชน์สามตัวแรก (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด ความเป็นอริยบุคคลขั้นต้นย่อมเกิดขึ้นได้ และหากใครผู้ใดเร่งความเพียร โดยมีศีลและสัจจะเป็นแรงสนับสนุนด้วยแล้ว การกำจัดอวิชชาให้หมดไปจากใจ (นิพพาน) ย่อมเกิดขึ้นได้

  อนึ่ง ผู้ใดประพฤติเหตุถูกตรง แต่ยังเข้าไม่ถึงผลที่ตนปรารถนา คำอธิษฐานยังคงมีอยู่ครับ
  

1394.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

    ดิฉันมีเรื่องไม่สบายใจ จากการประกอบอาชีพ ขายเครื่องดื่มม กาแฟ และไอศกรีมค่ะ ทั้งนี้เพราะมีพระท่านมาซื้อ เครื่องดื่มกาแฟ และไอศกรีม ซึ่งมีนม เป็นส่วนประกอบ พระท่านจะมาซื้อทุกวัน และจำนวนมากๆ และให้แบ่งบรรจุแยกน้ำแข็งเพื่อนำกลับไปฝากที่วัดด้วย ทั้งในช่วงบ่ายและค่ำ ทั้งนี้ดิฉันก็ต้องขาย เพราะไม่ทราบว่าจะปฎิเสธท่านอย่างไร ขายไปก็กลุ้มใจไป

    ไม่ทราบว่าการขายเครื่องดื่มและไอศกรีมเช่นนี้ เป็นบาปหรือไม่คะ ถ้าบาปแล้วดิฉัันควรทำเช่นไรดีคะ ที่ผ่านมาดิฉัน พยายามถือศิลห้า อะไรไม่ถูกไม่ควร จะไม่ทำเด็ดขาด มาเจอเหตุการณ์ แบบนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจคะ รบกวนขอคำแนะนำจาก อาจารย์ด้วยค่ะ

     กราบขอบคุณคะ

คำตอบ
   ผู้ใดมีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ตายแล้วคุณธรรมที่เกิดจากการเว้นทำลายชีวิต เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการเสพของมึนเมา ย่อมผลักดันจิตวิญญาณให้โคจรไปเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุบุญมีพลังผลักดันไปสู่สุคติภพ ดังนั้นอาชีพของผู้ถามปัญหา จึงมิได้เป็นการสร้างบาปให้เกิดขึ้นกับชีวิต แต่จะมีบาปตรงที่ว่า ตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมให้ภิกษุประพฤติละเมิดวินัย ดังนั้นหากยังมีความจำเป็นต้องทำอาชีพนี้อยู่ ต้องประพฤติตนให้เป็นผู้มีบุญ (บุญกิริยาวัตถุ ๑๐) คุ้มรักษาอยู่เสมอ แล้วบาปจะตามให้ผลไม่ทัน และจะยิ่งเป็นการดีหากประพฤติบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) ให้เกิดขึ้น แล้วสามารถปิดอบายภูมิได้ จะทำให้ชีวิตมีความปลอดภัย ไม่ลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพที่ปราศจากความเจริญ (อบายภูมิ) อีกต่อไป
  

1393.
กราบเรียนถามท่าน อจ. ดร. สนอง ด้วยความเคารพยิ่ง

   ข้าพเจ้าและครอบครัว ได้ปลูกต้นไม้พญาสัตบัน ไว้ตั้งแต่ปี 2536 อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยจากระยะเวลาที่ปลูก และความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำ (แทงค์น้ำเก็บของบ้าน) ทำให้ต้นไม้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้บ้านของข้าพเจ้าทรุด รวมทั้งพื้นผิวของบ้านเกิดความเสียหาย เนื่องจากรากของต้นไม้ที่เติบโต

   ทำให้ในเดือนธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา คุณแม่ของข้าพเจ้าได้ตัดต้นไม้ออก ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้มีการไหว้ใด ๆ ซึ่งหลังจากที่บ้านของข้าพเจ้าไม่มีต้นไม้ใหญ่นี้ ก็มีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับคนในบ้านทุกคน รวมถึงสุนัขที่เลี้ยงไว้ก็ถึงแก่กรรมในช่วงระยะเวลาเพียง 1 เดือนหลังจากตัดต้นไม้ใหญ่

   จึงอยากกราบเรียนถามอจ. ดร.สนอง ถึงวิธีการที่สมควรที่ข้าพเจ้าควรกระทำ เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวนะคะ

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
   มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ที่อุบัติขึ้นท่ามกลางสิ่งแวดล้อมของผิวโลกใบนี้ หากมนุษย์ประพฤติตนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับสิ่งที่อยู่แวดล้อม ย่อมมีชีวิตอยู่อย่างสงบและมีความเป็นปกติสุข ตรงกันข้ามหากประพฤติเบียดเบียน ย่อมทำให้เกิดการผูกจองเวรกับสัตว์ (รูปนาม) ที่มีกายหยาบและมีกายเป็นทิพย์ เมื่อใดผลของการผูกเวรเกิดขึ้น ผู้ประพฤติเบียดเบียนย่อมได้รับผลของกรรมนั้น เป็นความไม่สบายกายไม่สบายใจ ผู้รู้ยอมรับความจริงในกฎแห่งกรรม และยอมชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น และหากประพฤติบุญใหญ่ (จิตตภาวนา) ให้เกิดขึ้น แล้วเอาบุญใหญ่ใช้หนี้ ผลแห่งการผูกจองเวรย่อมหมดสิ้นได้เร็ว
  

1392.
กราบเรียนถามท่านอจ. ดร. สนองด้วยความเคารพยิ่ง

   ปัจจุบันหนูประกอบอาชีพเป็นลูกเรือสายการบิน ซึ่งมีการบริการเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ให้แก่ผู้โดยสารบนเครื่องด้วยใจหนูปรารถนาที่จะรักษาศีลห้าให้ได้ในใจทุกข้อ และไม่ได้มีใจยินดีในการที่จะเสริฟเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ให้ผู้โดยสารเลยถ้าเป็นไปได้ก็จะคอยเลี่ยง และบอกตัวเองในใจว่ามิได้ยินดีหรือเห็นดีในการเสพเครื่องดื่มแอลกอฮอร์เหล่านั้น

   ที่หนูประกอบอาชีพดังกล่าวก็เพราะเห็นว่าเป็นอาชีพสุจริต และช่วยให้หนูมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถเก็บเงินให้คืนพ่อแม่ได้เร็วขึ้นขณะเดียวกันหนูก็รู้ว่าใจหนูใฝ่ธรรมะ ต้องการความเจริญในธรรม และข้ามให้พ้นไปจากกองทุกข์และอบายภูมิทั้งหลาย

   จึงอยากกราบเรียนถามอจ. ขอความเมตตาจากท่านอจ.กรุณาชี้ทางให้ด้วยว่า ในกรณีนี้หนูควรทำอย่างไร   หรือ จะมีทางที่จะลดวิบากได้อย่างไร จากการที่หนูไปข้องเกี่ยวในการผิดศีลห้า เช่นบริการสุรา และการดื่มสุราของผู้โดยสาร โดยที่ใจหนูมิได้มีความยินดีในการผิดศีลห้าดังกล่าวแม้แต่น้อย

   ขอกราบพระคุณท่านอจ.เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     การให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนเครื่องบิน เป็นอาชีพที่ประพฤติชอบ (สุจริต) ในทางโลก ของผู้เป็นลูกเรือของสายการบิน แต่เป็นการประพฤติชั่ว (ทุจริต) ที่เป็นต้นเหตุ ทำให้ผู้ใช้บริการของสายการบินขาดสติ เมื่อใดที่กรรมให้ผลเป็นบาป ผู้ร่วมในอกุศลกรรมต้องรับผลแห่งบาปนั้นด้วย

    วิธีแก้ปัญหา คือ ทำหน้าที่ (งานภายนอก) ให้ดีที่สุด และพัฒนาตัวเอง (งานภายใน) ให้เป็นผู้มีบุญคุ้มรักษาอยู่ทุกขณะที่ปฏิบัติงาน ด้วยการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือผู้อื่นในทางชอบธรรม แบ่งความดีให้ผู้อื่น ยินดีในความดีของผู้อื่น ฟังธรรม สั่งสอนธรรม และทำความเห็นให้ตรง) อยู่เสมอ โดยเฉพาะประพฤติบุญใหญ่ (ภาวนา) ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญอานาปานสติ แล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ ผู้ใดพัฒนาตนเองให้มีบุญคุ้มใจจนบาปตามให้ผลไม่ทัน การดำเนินชีวิตของผู้นั้น จะยังคงความสะดวก ความราบรื่น และปลอดภัยได้
  

1391.
เรียนถามท่านอาจารย์ที่เคารพ

   จากคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องหน้าที่ของบุตร ข้าพเจ้ามีความสงสัยในข้อที่มีความว่า บุตรควรสืบทอดกิจการของบิดามารดา

   หากบุตรมีความต้องการที่จะทำธุรกิจส่วนตัวของตนเอง และไม่สืบทอดกิจการของบิดามารดา อันซึ่งบิดามารดาต้องการให้สืบทอดต่อ ถือว่าอกตัญญู และเป็นอกุศลกรรมหรือไม่

   ขอขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบจากท่านอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
   หน้าที่ของบุตรตามหลักจริยธรรมของลูกหนึ่งเรื่องคือ ช่วยพ่อแม่ทำงาน ซึ่งมิได้หมายความว่าให้สืบทอดกิจการ ผู้รู้ไม่ประพฤติก้าวล่วงในชีวิตของผู้อื่น ชีวิตเป็นของตัวเอง จึงต้องบริหารจัดการด้วยตัวของเจ้าของชีวิตเอง การไม่ประพฤติตามความต้องการของผู้ก้าวล่วง ไม่ถือว่าเป็นความอกตัญญู และไม่บาปด้วย
  

1390.
เรียนท่านอาจารย์ที่นับถือ

     อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆในมุมมองของคนอื่นทั่วไปนะคะ แต่สำหรับดิฉันมันรบกวนจิตใจมานานแล้วค่ะขอรบกวนขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ว่า หากต้องการรักษาศีลข้อสองให้บริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อยจะทำอย่างไรคะ ที่จะไม่เป็นการเอาเวลาทำงานของบริษัทมาใช้ทำเรื่องส่วนตัว เพราะที่ทำงาน มีเวลาว่างค่อนข้างมาก
(ไม่ใช่งาน routine ) อ่านหนังสือที่เป็นองค์ความรู้เกี่ยวกับงานหรือศึกษางานเพิ่มเติม ก็ซ้ำๆเพื่อนร่วมงานคนอื่นดูหนัง ฟังเพลง เล่น net ( หัวหน้างานก็ไม่ว่า เนื่องจากเค้าก็ทำ เพราะมันค่อนข้างว่างจากงานจริงๆค่ะ)โดยนำ Notebook ส่วนตัวมาใช้ไฟของบริษัท (เพราะเครื่องคอมฯที่ฝ่ายมีน้อยค่ะ)

     ทุกวันนี้ดิฉันซื้อชม. internet เอง   ใช้ Notebook ส่วนตัวเหมือนกัน แต่ charge battery จนเต็มมาจากบ้าน และใช้งาน Notebook ในเรื่องส่วนตัวแค่แบตหมดค่ะ (ไม่ได้ใช้ไฟขององค์กร) และเข้า net ก็ในส่วนของการอ่านธรรมหรือบางที ดิฉันก็นำหนังสือธรรมมาอ่านที่ทำงานตอนว่างน่ะค่ะแต่ลึกๆแล้ว ก็คิดว่ามันยังเป็นการละเมิดศีลข้อสองอยู่อาจารย์ช่วยแนะนำทางออกด้วยนะคะ (ทุกวันนี้เพื่อนร่วมงานมองว่าดิฉันเคร่งครัดเรื่องศีลเกินไป) ไม่อยากสั่งสมสิ่งไม่ดีในจิตค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

จันทร์นภัส

คำตอบ
   ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีสติและปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ทุกขณะตื่นย่อมมีงานให้จิตได้ทำ ดังนั้นปัญหาที่ถามไปต้องแก้ด้วยสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเสร็จ ต้องเจริญอานาปานสติ โดยมีความเพียรและสัจจะเป็นเครื่องสนับสนุน เมื่อใดจิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ให้พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจะเห็นว่า จิตมีงานให้ทำอยู่ทุกขณะตื่น

   คำพูดติเตียนที่ได้ยิน ต้องนำมาพิจารณาตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดคำพูดติเตียนหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา จิตจะปล่อยวางคำพูดนั้น แล้วจะเห็นว่า คนพูดติเตียนเป็นครูสอนใจให้เราได้พัฒนาจิตได้อีกทางหนึ่งด้วย
  

1389.
กราบสวัสดีท่านอาจารย์สนองครับ
 
   เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ฉบับนี้ผมมีข้อสงสัยต่าง ๆ มาสอบถามอาจารย์ดังต่อไปนี้
 
     1. ปกติเป็นคนที่มีภวตัณหาน้อยกว่าคนทั่วไป แต่มีวิภวตัณหาแรง โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นพื้นฐานที่ดีให้ได้มาสนใจธรรมะ เพราะอย่างน้อย วิภวตัณหาไม่ทำให้เราเพลิดเพลินกับโลกธรรม และมองโลกแบบถอนตัวเองออกมาเพื่อให้รับรู้ได้อย่างเป็นกลางได้ง่ายกว่าคนมีภวตัณหา   แต่ก็อยากลดตรงส่วนนี้ แล้วก็ไม่ได้คาดหวังให้กลายเป็นคนคิดบวก มองโลกเป็นสีชมพู แต่ขอให้ไปสู่ความไม่ยินดียินร้าย ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์จะแนะนำให้ต้องปฏิบัติภาวนาในรูปแบบใด อย่างไรเป็นพิเศษ ? เพื่อแก้ไขตรงส่วนนี้โดยเฉพาะ
 
     2. การฝึกสมถกรรมฐานของผมเป็นการดูหน้าท้องยุบพองเสียส่วนมาก แต่สถานปฏิบัติธรรมที่ใกล้ที่สุดจะฝึกแบบดูลมหายใจ ไม่ทราบว่าควรจะปฏิบัติควบคู่กันไป หรือเจาะจงเลือกเฉพาะที่ตัวเองฝึกแล้วรู้สึกว่าได้สติเจริญดีกว่า ? ( ถึงจะฝึกดูหน้าท้องเป็นหลัก แต่ผมกลับรู้สึกว่าการดูลมทำให้จิตผมตั้งมั่นได้ง่ายกว่าครับ สันนิษฐานว่าจุดที่เราเพ่งจิตไปมันอยู่ใกล้ศีรษะมากกว่า) แล้วหากเลือกจะเข้าร่วมปฏิบัติธรรมที่วัดแล้ว ควรไปปฏิบัติธรรมกับครูบาอาจารย์บ่อยเพียงไร ?
 
     3. ได้อ่านหนังสือของศาสนาอื่นเล่มหนึ่ง ที่มุ่งหมายชวนเชิญชาวพุทธให้มาเข้าศาสนา   เนื้อหาโดยหลักจะเกี่ยวข้องกับพระศรีอารยเมตตรัย ว่าเป็นคนคนเดียวกันกับศาสดาของพวกเขา   ซึ่งจะกลับมาโปรดชาวโลกอีกในอนาคต   มีการกล่าวอ้าง พระธรรมมูลปัญหาคัมภีร์ขอม โดยคัดมาจากพระธรรมไตรปิฎกวัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ และได้มีการรับรองความถูกต้อง ต่าง ๆ นา ๆ แต่สะกิดใจข้อความตอนหนึ่งโดยอ้างว่าเป็นพุทธวัจนะ ที่มีเนื้อหาในทำนองที่ว่า ในยุคพระศรีอารย์ ทางปฏิบัติสู่ความพ้นทุกข์เดิมของพระศากยโคดมจะไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกต่อไป ซึ่งขัดกับความเข้าใจเดิมที่ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก   จึงอยากเรียนถามท่านอาจารย์ซึ่งได้ศึกษาพระไตรปิฎกมามากกว่าว่า ข้อความนี้น่าเชื่อถือมากเพียงไร ? หรือเกิดจากการบิดเบือนเนื้อหา และตีความผิด ?  มุมมองส่วนตัวของผม คิดว่าในเมื่อมีน้ำบ่อนี้อยู่ แล้วได้สัมผัสถึงความเย็นฉ่ำมาพอสมควร ก็มุ่งมั่นขุดบ่อนี้ต่อไป อย่าไปคาดหวังอะไรกับน้ำบ่อหน้า
 
     4. ในอนาคตผมวางแผนไว้ว่าจะไม่สร้างครอบครัว แล้วบวชในพุทธศาสนา เพื่อแสวงหาปัญญาเห็นแจ้งตามทางของอาจารย์สนอง แต่ยอมรับว่าส่วนหนึ่งของความคิดนี้เกิดจากวิภวตัณหาของตัวเองที่มีต่อทางโลก และความหวังในการหาความสุขที่ประณีตกว่าทางโลก บวกกับแรงบรรดาลใจจากเรื่องที่เคยเล่าเอาไว้ในคำถามที่ 1342 ที่ได้เคยลิ้มลองความสุขที่เป็นอิสระจากโลกธรรม ( ?- ไม่แน่ใจว่าอิสระจริงหรือไม่ แต่มั่นใจว่าประณีตกว่าความสุขทางโลก) มาแล้วเป็นเวลาสั้น ๆ   เลยอยากสอบถามว่าความหวังในความสุขอันประณีตนี่ใช่โลภะหรือไม่ ? แล้วการมีครอบครัวในความเห็นของผู้เห็นถูกตามธรรม เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติและเข้าถึงธรรมหรือไม่ ?
 
  ฉบับนี้รบกวนอาจารย์เพียงเท่านี้ก่อนครับ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ล่วงหน้าด้วยครับ  

คำตอบ
    (๑). ตัณหา หมายถึง ความทะยานอยาก แม้จะเป็นวิภวตัณหาก็ยังเป็นกิเลสอยู่ดี การทำใจให้พ้นจากกิเลสตัวนี้ได้ชั่วคราว ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ ตัณหาย่อมไม่รบกวนใจให้หวั่นไว ตราบใดที่จิตยังทรงอยู่ในสภาวะเช่นนี้ วิธีที่สอง คือ พัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาวิภวตัณหาว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดวิภวตัณหาดำเนินสู่ความเป็นอนัตตา จิตจะปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน (วิภวตัณหา) แล้วว่างเป็นอิสระจากตัณหาได้ตลอดไป

   (๒). ผู้ไม่รู้เอาจิตไปผูกติดอยู่กับสถานที่ฝึกกรรมฐาน ผู้รู้เอาปัจจุบันขณะที่ต้องพอง-ต้องยุบ มาเป็นตัวกำหนดจิตให้จดจ่ออยู่กับอาการดังกล่าว มาเป็นองค์บริกรรม ทำที่บ้านก็ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปฝึกยังสถานที่อื่นใด

   อนึ่ง บทกรรมฐานใดนำมาเป็นองค์ภาวนา แล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว ให้เลือกใช้องค์ภาวนานั้นเพียงอย่างเดียว โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการอื่น ทั้งนี้เป็นเพราะผลที่เกิดจากการฝึกเป็นอย่างเดียวกัน คือ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ควรฝึกจิตภาวนาทุกขณะตื่น หรือฝึกจิตภาวนาทุกครั้งที่นึกได้ และฝึกจิตภาวนาทุกครั้งว่างจากการทำงานภายนอก

   (๓). พระพุทธโคดมสอนภาวนา กาลามะแห่งเกสปุตนิคม ชนบทแห่งแคว้นโกศลว่า อย่างปลงใจเชื่อด้วยเหตุสิบอย่าง (กาลามสูตร) ผู้ใดประสงค์พิสูจน์คำกล่าวอ้างที่ยกขึ้นมาปุจฉา ว่าเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องหรือไม่ ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว จะเห็นว่ามรรคมีองค์แปด เป็นทางดำเนินสู่ความพ้นทุกข์ โดยไม่มีกาลเวลามาเป็นปัจจัย ทำให้มรรคมีองค์แปดแปรเปลี่ยนไปเป็นความไม่จริงได้

   (๔). ปัญญาเห็นแจ้งเป็นปัญญาสูงสุด มีอยู่สองระดับ คือ เห็นแจ้งระดับที่เป็นมรรค (ญาณกำหนดแยกรูปนาม – ญาณหยั่งรู้อริยสัจจ์) กับปัญญาเห็นแจ้งระดับที่เป็นผล (ญาณข้ามพ้นภาวะปุถุชน – ญาณทบทวนกิเลสที่ละได้กับกิเลสที่ยังเหลืออยู่) ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธโคดมค้นพบ (ไม่ใช่ของอาจารย์สนอง) แล้วทำเผยแพร่ให้ชาวโลกได้รู้จัก

   อนึ่ง ความสุขอันประณีตได้แก่ ความสุขที่มีจิตสงบจากอารมณ์ปรุงแต่ง อันเนื่องมาจากสิ่งกระทบภายนอก ได้แก่ ความสุขที่จิตเข้าถึงฌานสมาบัติ และยังไม่ใช่ความสุขสูงสุด (วิมุตติสุข) ที่มนุษย์สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงได้
   

1388.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

    หนูชื่อขนบพร   ตั้งตระกูลวนิช   กำลังศึกษา ปริญญาเอก ที่   University of Nebraska ,  Lincoln,  USA  สาขา Entomology.   หนูมีปัญหาที่เป็นทุกข์   อยากกราบเรียนถามวิธีแก้ไขปัญหาจากอาจารย์ค่ะ

    หนูมาเรียนที่นี่ช่วงแรกด้วยทุนส่วนตัว(ทุนของสามี)   อยู่ไปได้ช่วงหนึ่งก็ได้รับทุนสนับสนุนการเรียน ( graduate assistanceship ) จาก อาจารย์ที่ปรึกษาที่เป็น Americans ที่นีี่   ทำให้ไม่ต้องเสียค่าเรียน หนูกำลังทำ dissertation และ ต้องทำการวิจัยซึ่งเป็นการทดลอง ที่จำเป็นต้องฆ่าแมลง   พยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะฆ่าให้น้อยที่สุดเท่าทีีจะน้อยได้ เพราะทราบดีว่า ผิดศีลข้อปาณาติบาต   แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้เพราะมิฉะนั้นก็จะไม่สำเร็จการศึกษา เพราะต้องการกลับไปสมัครทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่ อเมริกานี้ ก็ได้ download ธรรมะบรรยาย ของอาจารย์ผ่านทาง web site กัลยาณธรรม     เมื่อปิดเทอม ช่วง Christmas ที่ผ่านมาก็กลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย และได้ไปบวชชีพรามณ์ 3 วัน   และ ปฏิบัติ กรรมฐาน   เพื่ออุทิศให้แมลงที่ได้ฆ่าไป   ช่วงที่กำลังปฏิบัติอยู่นั้น เวลาเดินจงกรมในโบสถ์ ก็ จะมีผึ้ง   ผีเสื้อ   มด   แมลงวัน และ แมลง ต่าง มาบินตามตลอด แต่พวกเขาก็ไม่ได้มากัด อะไร ก็ได้อุทิศบุญให้พวกเขาตลอด   พอกลับมาที่ อเมริกาเพื่อศึกษาต่อ   ช่วงเปิดเทอม ก็ต้องฆ่าแมลงวันที่ทำการทดลองเพื่อ ทำ dissertation   

    เกือบทุกเดือน หนูจะส่ง Check ให้วัดที่ California ซึ่งเป็นวัดสาขาของหลวงปู่ชา   ทุกคืนหนูจะ สวดมนต์   แผ่เมตตา   นั่่งสมาธิ ขออโหสิกรรม ต่อแมลงวันได้ฆ่าไป แทบทุกคืน    เพื่อเพิ่มกุศลกรรมให้มากขึ้นเพื่อหนีวิบากกรรมนี้ แต่รู้ดีว่าอย่างไรก็ต้องชดใช้    เนื่องจากผิดศีลข้อหนึ่ง    ทำจิตให้นิ่งค่อนข้างลำบาก   จิตจะคิดถึงแมลงที่ฆ่าตลอด   สงสารพวกเขา แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  
   กราบเรียนถามอาจารย์ว่าพอจะมีวิธีใดที่จะทำให้จิตนิ่งได้มากกว่านี้ได้บ้างหรือไม่คะ

  หนูควรจะต้องปฏิบัติธรรมหมวดใดให้มากขึ้น ตอนบวชชีพรามณ์นั้นจะนิ่งมากกว่านี้มาก   หนูจะทำอย่างไรให้เข้าถึงธรรมให้ได้มากกว่านี้คะ

ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ
  ขนบพร

คำตอบ
   มนุษย์เป็นสังคม เกิดมามีงานให้ทำอยู่สองงาน คือ งานที่ทำให้กับสังคมส่วนรวม เพื่อให้ได้ปัจจัยมาเลี้ยงชีวิต กับงานภายในที่ทำให้กับตัวเอง เพื่อเตรียมบุญเป็นปัจจัยเดินทางสู่โลกหน้า

   การศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้ได้ปริญญาสูงขึ้น และนำมาใช้ทำงานให้กับสังคมได้มากขึ้นเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ความรู้เช่นนั้นนำเอาบาปติดมาด้วย จึงต้องชดใช้ด้วยการอุทิศบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) ให้กับเจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ ตราบใดที่การประพฤติทุศีลข้อปาณาติบาตยังจำเป็นต้องกระทำอยู่

   ผู้ใดยังมีศีลที่ขาด ทะลุ ด่าง พร้อย ไม่สามารถพัฒนาจิต ให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับที่จะใช้พัฒนาปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้นได้ แต่หากเมื่อใดหยุดประพฤติทุศีลได้แล้ว เมื่อการพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิย่อมเกิดขึ้นได้ หมวดธรรมที่สำคัญคือ ศีล เป็นพื้นฐานนำจิตสู่สมาธิ สมาธิเป็นฐานนำสู่การเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ตามหลักของไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) นั่นเอง
  

1387.
เรียนอาจารย์สนอง

หนูเกิดมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์
แต่ตอนนี้หนูอยากบวชในศาสนาพุทธ

พ่อคิดว่าหนูทำไม่เหมาะ เพราะ เป็นการไม่ไว้หน้าญาติๆ และพ่อรู้สึกไม่ดีที่ลูกไม่ได้บวชในพระเป็นเจ้า ส่วนกับแม่นี่ หนูยังไม่กล้าคุย  

หนู ควรหรือไม่ควร บวช หรือ โน้มน้าวพ่อแม่ ต่อไปคะ
ตอนนี้หนูก็ชักเริ่มจะรู้สึกว่า เราอยากบวชเพราะโลภ คือคิดว่าบวชแล้วจะต้องสุขอย่างนั้นอย่างนี้ อยู่กับโลกต่อไป เป็นบ้า เป็นทุกข์หาสุขไม่เจอแน่

ตอนแรก แค่คุยกับแม่ชีท่านนึง แล้วท่านบอกให้มาอยู่ที่วัด แค่นี้หนูก็ดีใจแล้ว
แต่หนูไม่ได้บอกท่านว่า ครอบครัวหนูเป็นคริสต์..

หนูเลยไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองเป็น เป็นกิเลส หรือ กุศลกันแน่
แล้วเราควรใช้ชีวิตอย่างไรต่อจากนี้


ขอบพระคุณอาจารย์คะ

คำตอบ
   บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ผู้รู้จริงไม่เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของผู้อื่น ดังนั้นที่พ่อไม่เห็นด้วยกับการเลือกทางชีวิตของลูก จึงเป็นความเห็นผิดของผู้เป็นพ่อ คือยังรู้ไม่จริงแท้และยังมีความเห็นแก่ตัว จึงอยากให้ลูกเป็นอย่างที่พ่อคาดหวังได้

   บุคคลในโลกส่วนใหญ่แสวงหากามสุข คือความสุขที่เกิดจากประสาทสัมผัส เป็นความสุขที่หยาบ มีความทุกข์เป็นของคู่ มาเร็วไปเร็วและซื้อหาได้ด้วยราคาแพง แต่ความสุขที่ทำจิตให้สงบจากอารมณ์ เป็นความสุขที่ละเอียด ประณีต ยืนยาวกว่ากามสุข และลงทุนเพียงน้อยนิด ก็สามารถหาความสงบสุขได้ และยิ่งได้เข้าถึงความสุขที่จิตเป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุได้แล้ว ก็นับได้ว่าประสบความสำเร็จในชีวิตปัจจุบันที่เข้าถึงความสุขเช่นนี้ได้ ดังนั้นพึงเลือกเอาตามที่ใจปรารถนา
   

1386.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพ
 
         ดิฉันอยากเรียนถามว่าถ้าดิฉันตายไปแล้ว   และติดต่อให้ทางโรงพยาบาลมารับศพไปเป็นอาจารย์ใหญ่เลยโดยไม่ต้องจัดพิธีสวดศพเลย   ดวงจิตที่ออกจากร่างของดิฉันแล้ว จะสามารถไปในภพภูมิที่จิตดวงสุดท้ายกำหนดได้หรือไม่   จะผิดหลักการตามศาสนาพุทธหรือไม่ เพราะดิฉันคิดว่าการที่คนตายไปแล้วไม่อยากให้วุ่นวาย   และจะบอกกับลูกว่าถ้าต้องการจะจัดงานศพให้จริง ๆ ก็ไปถือศีลปฏิบัติธรรมให้แม่สัก 7  วันก็พอแล้ว   เพราะเป็นการไม่รบกวนคนอื่นด้วยและดิฉันคิดว่าผู้ตายน่าจะได้ผลบุญมากกว่าใช่หรือไม่ค่ะ
 
         ขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาที่ให้ความกระจ่างล่วงหน้านะค่ะ และขออนุโมทนาในผลบุญที่อาจารย์ได้เผยแผ่ให้ความรู้เป็นธรรมทานแก่คนทั่วไปค่ะ

คำตอบ
   ผู้ใดปรารถนามีชีวิตในวันข้างหน้าเป็นเช่นไร ต้องทำเหตุให้ถูกตรง อาทิ

     •  ประพฤติศีล ๕ อยู่เสมอ เป็นเหตุให้เกิดเป็นมนุษย์

     •  ประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ หรือให้ทาน + รักษาศีล เป็นเหตุให้เกิดเป็นเทวดา

     •  เข้าฌานแล้วตายในฌาน เป็นเหตุให้เกิดเป็นพรหม

   อนึ่ง ผู้ใดพัฒนาจิตจนบรรลุอย่างน้อยโสดาปัตติผล ตายแล้วไปเกิดอยู่ในสุคคติภพ และไม่ต้องการบุญที่เกิดจากมีผู้อุทิศให้ ฉะนั้นการให้ลูกไปถือศีลปฏิบัติธรรมจึงเป็นความเห็นที่ถูก และผู้ใดยินดี (อนุโมทนา) ในการทำความดี (ปฏิบัติธรรม) ของผู้อื่น ผู้อนุโมทนาได้บุญด้วย
  

1385.
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง
                
            หนูติดตามผลงานอาจารย์มานานมากเลยค่ะ แต่ยังมีข้อสงสัยดังนี้
 
1 ตามประเพณีของคนพื้นเมืองเหนือ เมื่อจัดงานศพ เจ้าภาพจะจัดหาปราสาทสวยๆเพื่อนำโลงศพมาประดับและอุทิศให้ผู้ตาย และได้สมบัติเป็นปราสาทใช้บนสวรรค์ไม่ทราบว่าเป็นจริงไหมคะ

2 ถ้าไม่เป็นจริงเมื่อจัดงานศพ ควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ

 
                                    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงและขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
 
                                                                   ดอกบัวค่ะ

คำตอบ
    (๑). มนุษย์ผู้ประพฤติปาณาติบาต ตายแล้วมีโอกาสลงไปเกิดอยู่ในภพนรก ไม่มีสัตว์นรกตนใดมีปราสาทอยู่อาศัย ตรงกันข้าม นันทิยะมาณพ สร้างศาลาจตุรมุขถวายพระพุทธโคดมไว้ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ปรากฏว่ามีวิมานร้างเจ้าของ รออยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทั้งนี้เพราะนันทิยะมาณพยังไม่ตายจากภพมนุษย์ ฉะนั้นประสงค์พิสูจน์สัจจธรรมในเรื่องนี้ ผู้ถามปัญหาต้องเข้าฌานให้ได้ แล้วอธิษฐานขอเห็นด้วยทิพพจักขุ

   (๒). ผู้ใดประสงค์มีวิมานเป็นของตัวเองอยู่อาศัย ต้องประพฤติเหตุให้ถูกตรง ด้วยการบำเพ็ญทานและรักษาศีลตลอดชีวิต หรือประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ตลอดชีวิต หรือพัฒนาจิตจนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน แล้วตายลงในขณะจิตทรงอยู่ในฌาน ตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม ทั้งเทวดาและพรหมมีวิมานอยู่อาศัย
  

1384.
กราบสวัสดิ์ดีท่านอ.ดร.สนอง วรอุไร ครับ  
ขอเรียนถามปัญหาธรรม ขอความกรุณาดังนี้ครับ

---- ถ้าเราหายใจแบบเอาสติตามไปดูพองหนอ-ยุบหนอ-พองหนอ-ยุบหนอ แบบนี้เป็นการหายใจเข้าทางช่องท้อง เช่นนี้ทำให้ได้สุขภาพ ด้วยใช่ไหมครับ เพราะเคยอ่านหนังสือสุขภาพเขาบอกว่าถ้าเราหายใจเข้าช่องท้องช้าๆ ลึกๆ เช่นนี้จะทำให้สุขภาพดี  

   ... ปัญหาของกระผมที่อยากเรียนถามอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเราฝึกสติตามดู โดยตามลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก แบบนี้อากาศมันจะไปกักอยู่ที่ปอด ไม่ลงไปในช่องท้องเต็มที่ แบบนี้สุขภาพจะไม่ดีเท่ากับหายใจเข้าช่องท้อง (เหมือนเด็กทารกตอนเกิดมาใหม่ๆ จะหายใจเข้าช่องท้อง) ดังนี้.....ถ้าเราอยากฝึกสติเราควรฝึกดูลมหายใจเข้าออก พองหนอ-ยุบหนอ , หรือดูที่ลมที่กระทบปลายจมูกดีครับ ??? บ่อยครั้งที่สลุบไปสลับมา    ..  .
( เพราะเข้าใจว่าถ้าเลือกอันใดอันหนึ่งไปเลยน่าจะดีกว่า )

*** กราบขอบพระคุณท่านอ.ดร.สนอง วรอุไรเป็นอย่างยิ่ง ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพดี ช่วยเหลือผู้คนไปนานๆ ยิ่งๆขึ้นไป ขอบคุณครับ

*** และขอบคุณพี่ๆทีมงานชมรมกัลยาณธรรมเป็นอย่างสูงเช่นกัน ขอบคุณครับ .

คำตอบ
  
เป็นการหายใจเอาอากาศเข้าทางจมูกอย่างมาก แล้วไปมีผลทำให้หน้าท้องพองขึ้น เซลล์ที่บุผนังหน้าท้องได้รับออกซิเจน ทำให้มีสุขภาพดีได้ ตรงกันข้าม หากหายใจเอาอากาศเข้าทางจมูกเพียงปริมาณน้อย เซลล์ที่บุผนังหน้าท้องอาจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ สุขภาพจึงไม่ดีได้ ฉะนั้นการหายใจเข้าลึกๆและปล่อยลมออกจากร่างกายยาวๆ จึงทำให้การฝึกจิตทั้งสองแบบ มีสุขภาพดีได้ จึงควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมาะกับจริตมาใช้ฝึกจิต ก็สามารถทำให้จิตมีสติตั้งมั่นเป็นสมาธิและมีสุขภาพจิตดีได้
  

1383.
เรียน อ.ดร.สนอง   วรอุไร   ที่เคารพ
      ดิฉันมีปัญหาว่าเมื่อนั่งสมาธิแล้วมีอาการเมือนสมองเบาๆ เย็นที่ลูกตา และรู้สึกเหมือนชาๆที่ลิ้น และตามผิวเนื้อตัวเย็นๆและเบาๆ และคล้ายๆจะถึงจุดสุขมากๆ แต่ไปไม่ถึง ไม่ทราบต้องใช้จิต ณ ขณะนั้นดูที่อาการที่เกิด ขึ้นกับกายหรือต้องทำอย่างไรคะ

                ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่เมตตาตอบคำถาม

คำตอบ
   ขณะนั่งสมาธิ ทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต เช่น รู้สึกสมองเบา เย็นที่ลูกนัยน์ตา ชาที่ลิ้น ฯลฯ ต้องกำหนดจิตให้รู้ทันอาการที่เกิดขึ้นว่า “ เบาหนอๆๆๆ ” “ เย็นหนอๆๆๆ ” “ ชาหนอๆๆๆ ” ตามลำดับจนกว่าอาการดังกล่าวหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม ที่ใช้เป็นฐานกำหนดฝึกจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
  

1382.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพ
 
        ผมขอรบกวนสอบถามอาจารย์เรื่องเดียวที่สงสัยคือ ทุกอย่างนั้นย่อมต้องมีเหตุมาก่อนจึงเกิดผลในปัจจุบันหรือในอนาคตแน่นอน แต่การที่มนุษย์ได้กระทำสิ่งที่เป็นกุศล เช่น   บุญกิริยาวัตถุ 10 สามารถทำให้ตนเองอยู่เหนือดวงได้ มีความสัมพันธ์กันอย่างไรครับ
 
ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ

คำตอบ
   ผู้ใดประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (เหตุ) อยู่เสมอ เมื่อบุญให้ผลแล้ว ผู้นั้นมีโอกาสพัฒนาชีวิตให้อยู่เหนือดวง (ผล) ได้
  

1381.
อยากจะถามเรื่องการปฏิบัติธรรมและสุขภาพอยากถามว่าวิปัสนากรรมฐานแก้กรรมได้ไหมคะ

อยากทราบว่าตอนนี้ได้ปฏิบัติมาหลายเดือนแล้ว อยากทราบว่ามีปัญหาเรื่องเนื้องอกในมดลูก จะได้ผ่าตัดหรือไม่ได้ผ่าตัด


   ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
   วิปัสสนากรรมฐานแก้ (ทำให้หาย , ทำให้หมดไป) กรรมไม่ได้ หนี้กรรมจะหมดไปได้ด้วยการชดใช้ ผู้ใดดับรูปดับนามเข้านิพพานได้ หนี้ธรรมที่เหลือค้างอยู่ในจิต ยกถูกยกเลิกให้ผล (อโหสิ)

ผู้ใดปฏิบัติธรรมมานานหลายเดือน มิได้หมายความว่า ผู้นั้นเข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติ ตรงกันข้าม ผู้เข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติเป็นผู้มีบุญใหญ่ เมื่ออุทิศบุญใหญ่ให้เจ้ากรรมนายเวร เนื้องอกในมดลูกมีโอกาสหายไปได้โดยไม่ต้องผ่าตัด