วิบัติ 4 ประการที่เกิดขึ้นจาก

การทำบุญไม่ถูกวิธี

ทุกวันนี้เราไม่เข้าใจวิธีทำบุญที่ถูกต้องเหมาะสมในทางพระพุทธศาสนา ท่านจัดไว้ว่า การทำความดีที่ไม่ถูกต้อง 4 ประการเป็นเหตุทำให้วิบัติ เป็นทางเสื่อม ไม่เจริญ ได้แก่ ทำความดีไม่ถูกที่ ทำความดีไม่ถูกบุคคล ทำความดีไม่ถูกกาลถูกเวลา และทำความดีแล้วไม่ตามความดีของตน

•  การทำความดีไม่ถูกที่ ท่านว่าการทำความดีไม่ถูกที่ ก็คือ เราจัดอะไรต่าง ๆเช่นอาหารการกิน เครื่องใช้สอยต่าง ๆ ว่าเอาไปทำบุญ บูชาบวงสรวง ผีสางนางไม้ ไร่นาเรือนสวน ต้นไม้ ภูเขา หอผี ศาลพระภูมิ ทำเอาไว้ในสถานที่ต่าง ๆ เราก็คิดว่าเราพากันไปทำบุญที่ถูกต้อง แล้วเราก็จะได้บุญ ตามที่คณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลายพากันทำอยู่เป็นส่วนมาก แต่นักปราชญ์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นตรัสว่า เราทำบุญบูชาไม่ถูกต้องเราจะไม่ไดรับผลบุญนั้นเลย เพราะเราพากันทุกบุญไม่ถูกที่นั่นเอง

•  การทำความดีไม่ถูกบุคคล คือ ตัวบุคคลผู้รับสิ่งของที่เราให้เขานั้นไม่ดี เราก็ทำความดีกับเขาเช่นตัวอย่าง บุคคลเหล่านั้นเป็นคนพาล โจรขโมยปล้นจี้ฆ่าเจ้าของเอาสิ่งของ สูบกัญชา ยาฝิ่น แค็ป เฮโรอีน ผงขาว ยาเสพติดให้โทษ ทำให้เสียสติมัวเมาลุ่มหลวง ไม่รู้บาปบุญคุณโทษ จิตใจหยาบช้าทุบตี ฆ่าฟันรันแทงกันอยู่ในทุกวันนี้ ให้มีความเดือดร้อนไม่สงบอยู่ทุกมุมเมืองทั่วไป บัณฑิตทั้งหลายเรียกว่าคนพาล ถ้าหากพวกเราท่านทั้งหลาย ไปสงเคราะห์ทำความดี ขวนขวายช่วยเหลือดูแลอุปถัมภ์ บำรุง ส่งเสริม ให้กำลังแก่คนพาลเหล่านี้นั้น เช่นพวกเราเอาอาหารการกินไปบำรุงให้กินอิ่ม เอายาเสพติด สุรายาเมา กัญชา ยาฝิ่น แค็ป เฮโรอีน ผงขาว ให้เขาดื่มกิน สูบสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ หรือเราเอาอาวุธโธปกรณ์ ปืน ระเบิด ของแหลมคมเครื่องมือใช้เปิดงัดแงะขโมยสิ่งของต่าง ๆ เรานำเอาสิ่งของดังกล่าวมานี้ ไปให้เขา ช่วยเขา บำรุงส่งเสริมให้เขามีกำลังมากขึ้นทุก ๆ วัน ภัยอันตรายทั้งหลาย และความวุ่นวายไม่สงบสุขอยู่ทุกมุมเมืองทั่วทุกประเทศในโลกนี้ ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์เป็นผล แต่ทุกคนเราก็คิดว่าเรากระทำความดีกับเขาทุกคน เพราะเราไม่เข้าใจในการทำความดีนั้นเอง เหตุนั้น บัณฑิตเจ้าทั้งหลายจึงเรียกว่า เราทำความดีผิดคน

•  การทำความดีผิดกาลเวลา นั้นคือสมมุติว่าเราจะปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ พืชที่ควรปลูกในกาลเวลาฤดูฝนจึงจะงอกงามดีมีผลมาก แต่เราก็นำพืชพันธุ์เหล่านี้ไปปลูกในฤดูแล้ง ถ้าพืชพันธุ์ควรปลูกในฤดูแล้งแล้วจึงจะงอกงามดีมีผลมาก แต่เราเอาพืชพันธุ์ชนิดนี้ไปปลูกในฤดูฝน ก็ทำให้พืชผลเสียหายไม่งอกงาม หรือตายไป การปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ ผิดกาลเวลาก็ย่อมไม่ได้ผลที่สมบูรณ์ เสียเวลาเปล่าประโยชน์หรือต้นไม้ต่าง ๆ เช่นต้นไม้ปลูกในพื้นที่ในเมืองที่มีอากาศหนาว ต้นงอกงามดีใบดกผลมีมาก แต่ถ้าเรานำต้นไม้ชนิดนี้มาปลูกในเมืองที่มีอากาศร้อน ต้นก็ไม่งอกงาม เหี่ยวแห้งหรือตายไปก็ได้ เสียเวลาเปล่า ๆ อีก เราจะทำความดีกับสัตว์ต่าง ๆ ทั้งหลายเช่น ช้าง ม้า โค กระบือ เสือ หมี สุนัข งูพิษ ที่เรามีเมตตาเลี้ยงดู ถ้าเราไม่ดูก่อนว่าเวลานี้ควรให้อาหารแก่สัตว์เหล่านี้ไหม เราควรเข้าไปใกล้สัตว์ได้ไหมในเวลานี้ ถ้าเราไม่รู้เวลาที่ควรเข้าใกล้ได้ หรือเวลาที่ไม่ควรเข้าใกล้ เวลาสัตว์แสดงอารมณ์ไม่ดี ทำท่าทางมีความโกรธอยู่นั้น ถ้าเราไม่รู้กาลเวลา ก็เข้าไปใกล้สัตว์ดุร้าย สัตว์เขาไม่รู้อะไรเขาก็ทำร้ายทุบตีเอางวงฟาด หรือเตะขวิดชนกัดเราให้เจ็บปวด เป็นอันตรายหรือถึงตายไปก็ได้ นี่ก็ทำความดีผิดกาลเวลาอีก ทำความดีไม่ถูกกาลเวลากับคนเรานั้น เราไม่พิจารณาดูเสียก่อนว่า บุคคลกลุ่มใดหมู่ใดที่เรามีแต่ความเมตตาเขา อยากแนะนำสั่งสอนเขานั้น แต่คนเราเกิดมามีนานาจิตตัง หลายระดับสติปัญญาต่าง ๆ กัน เราไม่เข้าใจ เอาแต่ความเมตตาเขาเป็นส่วนใหญ่เพราะขาดสติปัญญา ตัวอย่างเช่น เราไปพบกับคนพาลไม่รู้บาปบุญอะไร ใจหยาบช้าโหดร้าย ทำลายสมบัติของบ้านเมือง เป็นโจรขโมย ปล้นจี้ เมาสุรา อาละวาด ขี้ยา อยู่ทั่วมุกเมืองต่าง ๆ เมื่อไปพบเห็นคนพาลทั้งหลายเหล่านี้ เขาถืออาวุธ ปืน ระเบิด มีด หอก ดาบ ไม้ฆ้อน ก้อนหิน ของแข็งมีคม ร่มอยู่ในมือ เราเห็นว่าพวกนี้เป็นคนไม่ดี ก็อยากสอนให้เขาเป็นคนดี ไม่ดูกาลเวลาที่ควรสอนหรือไม่ควรสอนเขา เราก็เข้าไปแนะนำสั่งสอนเขาเหล่านั้น นายโจรนายขโมยอย่าไปปล้นจี้ ลักเอาสิ่งของของบุคคลอื่นนะไม่ดี อ้ายขี้ยาก็อย่าไปสูบกัญชา ยาฝิ่น แค็ป เฮโรอีน ผงขาว ดมกาวทินเนอร์นะไม่ดี อ้ายขี้ยาเมาสุราก็อย่าไปดื่มกันสุรายาเมาทั้งหลาย เป็นคนไม่ดี ผิดศีลธรรมขอให้พากันละเลิกจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เสีย เราก็ปรารถนาดีเมตตาแก่เขา แต่เราไม่ดูเวลาก่อน ว่าสมควรสอนไหมในเวลานั้น เราก็ไปสอนเขาผู้เป็นคนพาล สอนไปสอนมาสอนไม่หยุด ไม่รู้เวลาสอนธรรมะแก่เขา ธรรมะที่สอนให้คนพาลเหล่านั้น ก็ไปขัดกิเลสจิตใจเขา คนพาลก็โกรธพระหรือญาติโยมผู้สั่งสอนเขาอยู่ มีอะไรอยู่ในมือคนพาล มีร่ม ไม้ฆ้อน ก้อนหิน มีด หอก ดาบ ปืน ระเบิด คนพาลก็ใช้ร่มตี ไม้ฆ้อนตี ก้อนหินขว้างเรา มีฟัน หอกแทง ดาบฟาดฟัน ใช้อาวุธปืนยิง ขว้างระเบิด ประหัตประหาร ทำร้ายเราให้เจ็บปวดปางตาย หรือมีอันตรายถึงชีวิตเกิดขึ้นแก่ตน เพราะเหตุเราสอนเขาเหล่านั้นผิดกาลผิดเวลา จึงมีโทษ เสียประโยชน์ ทำความดีผิดกาลเวลากับบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง บุคคลยังไม่เคยเข้าวัดจึงทำบุญกราบไหว้บูชาพระก็ไม่เป็น เราก็ไปสอนบังคับเขาให้เข้าวัดทำบุญ กราบไหว้บูชาพระ เขาไม่ทำเพราะเขาไม่รู้เรื่อง เราจึงเสียเวลาโดยใช่เหตุ คนไม่เคยรักษาศีล เราก็ไปบังคับให้เขารักษาศีล คนไม่เคยทำสมาธิภาวนา เราก็ไปบังคับให้นั่งสมาธิภาวนา คนยังไม่พร้อมด้วยการพิจารณาธรรมะ เราก็ไปบังคับเขาให้พิจารณาธรรมะ เขาก็พิจารณาธรรมะไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง เมื่อเราอยากแนะนำสั่งสอนเขาเหล่านั้น มีเมตตาต่อเขา อยากให้มีความสุขความเจริญ แต่เราก็ไม่รู้กาลเวลาที่ควรสอน หรือยังไม่ถึงเวลาที่ควรสอนเขา เพราะยังไม่พร้อม ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะทำบุญ เข้าวัด กราบไหว้บูชาได้ยังไม่ถึงกาลเวลาจะรักษาศีลได้ ยังไม่ถึงเวลานั่งทำสมาธิภาวนาได้ บุคคลผู้ที่จิตใจของเขายังไม่เป็นสมาธิหนักแน่นเขาก็ ยังไม่ถึงเวลาที่จะพิจารณาธรรมะให้เข้าใจได้ บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นแต่ละคน มีภูมิฐานสติปัญญาต่างระดับกัน พระก็ดี โยมก็ดี เมื่อเข้าไปพูดคุยกันสนทนากันเรื่องต่าง ๆ หรือสนทนาธรรมะก็เหมือนกัน สนทนากันไปสนทนากันมา ไม่รู้กาลเวลาว่าควรสอนเขาหรือไม่ควรสอนเขา ก็ไปสอนคนอื่นบังคับคนอื่น ให้เชื่อตามตนเอง คล้อยตามตนเอง สนทนาไม่หยุด ก็เกิดไม่พอใจ ถกเถียงกันขึ้นทั้งพระทั้งญาติโยม จนแตกแยกจากัน จากหมู่คณะไป พระเณรก็แตกจากกันไป อยู่คนละสำนักหรือไปอยู่วัดอื่นเสียเวลา เปล่าประโยชน์ เพราะทำความดีผิดกาลผิดเวลา

•  การทำความดีแล้วไม่ติดตามความดีของตน เช่น เราเคยกระทำความดีต่าง ๆ เป็นนักเรียน นักศึกษา เคยศึกษาเล่าเรียนมาแล้ว ก็ขี้เกียจ ไม่ศึกษาเล่าเรียนต่อไป หรือเป็นครูบาอาจารย์ สั่งสอนคนมาแล้วก็ไม่อยากสั่งสอนต่อ เคยทำงานทางราชการทุกหน่วยงานในกระทรวงต่าง ๆ มาแล้ว ก็ไม่ทำต่อทิ้งงานไปเลย ผู้ที่เคยทำไร่ไถนา ค้าขาย ปลูกพืชพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ปลูกข้าวกล้าในนา ถั่วงา หัวหอม กระเทียม ผัก ผลไม้ ต้นลำใย ลิ้นจี่ ส้มเขียวหวาน ทุเรียน และมีอีกหลายอย่าง ต้นไม้มีผลทุกชนิด เราก็ไม่ดูแล ปล่อยทิ้งไว้ตามยถากรรม จะขึ้นหรือไม่ขึ้นน้ำ ปุ๋ย ก็ไม่เลี้ยงต้นไม้เลย ปล่อยให้เทวดารักษาต้นไม้ ข้าวกล้า พืชไร่ต่าง ๆ หญ้า หรือเครือเขาเถาวัลย์ ก็เกิดขึ้นทับถมปกคลุมต้นไม้เหล่านั้น มองก็จะไม่เห็นเสียแล้ว พืชต่าง ๆ และต้นไม้ก็จะงอกงามขึ้นมาได้อย่างไร มีแต่จะตายหมดเท่านั้นแล้วก็ไม่ได้ผลิตผลอะไร การงานค้าขาย หรือการก่อสร้างตึกรามบ้านช่อง ห้องแถว แฟลต อพาร์ทเมนต์ ถ้าเราเคยค้าขายแล้วก็ไม่ติดต่อการค้าขายอีก ก็ไม่ได้เงินมาใช้ ส่วนตึกรามบ้านช่อง ห้องแถว แฟลต เมื่อลงมือก่อสร้างแต่ยังไม่เสร็จ เราก็หยุดไม่ไปก่อสร้างต่อ สิ่งก่อสร้างทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อสร้างไม่เสร็จ ก็ไม่ได้ขายเอาสตางค์มาใช้ และตนเองก็เข้าอยู่อาศัยไม่ได้ หรือการก่อสร้างสะพานก็ดี การสร้างถนนหนทางไปบ้านน้อยเมืองใหญ่ก็เหมือนกัน ถ้าลงมือก่อสร้างแล้ว แต่ไม่ก่อสร้างให้แล้วเสร็จ สะพานก็เดินข้ามน้ำไปไม่ได้ถนนสร้างไม่เสร็จก็ใช้เดินไปไม่ได้ ขับรถขับราวิ่งไปมาก็ไม่ได้ สร้างครึ่งปี 1-2-3 ปี ก็ไม่เสร็จสักทีก็เน่าเฟะอยู่นั้นแหละ รถวิ่งไปมาลำบาก เขาก็ด่ากันทั้งเมือง เพราะนายช่างรับเหมาทำแล้ว ไม่ติดตามงานก่อสร้างของตน ผลงานของตน ผลก็เลยไม่เจริญ เพราะไม่ติดตามความดีของตน บุคคลที่เคยช่วยสงเคราะห์คน เคยเข้าวัดทำบุญกุศลจำแนกแจกทานมาบ้างแล้ว แต่ต่อมาภายหลังก็ไม่เข้าวัด ไม่ทำบุญต่อไปอีกตามกำลังของตน หรือได้เคยรักษาศีล 5 ศีล 8 มาแล้วก็ไม่รักษาศีลต่อไปละทิ้งเสีย บุคคลที่เคยนั่งทำสมาธิภาวนามาแล้วก็ละทิ้งเสีย เกียจคร้านไม่นั่งภาวนาต่อไปอีก อ้างโน้นอ้างนี่ว่าไม่มีเวลา ว่ายุ่งกับงาน ยุ่งกับลูกหลานว่าร้อนมาก หนาวมาก ตื่นดึกตื่นสาย หิวกระหาย อ่อนแอ ท้อแท้ เหน็ดเหนื่อยมาก เจ็บโน้นเจ็บนี้ ขี้เกียจ เอาแต่งานแบกหมอน เอาแต่นอนท่าเดียวหมดท่าแล้วกัน หรือเคยพิจารณาสังขารต่าง ๆ ทางภายนอกและภายในอะไรเที่ยง อะไรไม่เที่ยง สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นสุข สิ่งใดเป็นอัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตาก็เคยพิจารณามาแล้วบ้างแต่ก่อน ก็กลับมาละเลิกถอนเสีย ไม่พิจารณาต่ออีก สติปัญญาก็ไม่เกิดขึ้นผลออกมาแล้วจึงเรียกว่า ทำความดีแล้วแต่ไม่ติดตามความดี ก็ไม่เกิดผลดีอะไรขึ้นมา มีแต่วิบัติอย่างเดียว ซึ่งเป็นไปในทางเสื่อมเสียเท่านั้น

 

เรื่องทั้งหมดนี้จึงเรียกว่าวิบัติ 4 ประการคือ

•  การทำความดีไม่ถูกที่

•  การทำความดีไม่ถูกบุคคล

•  การทำความดีไม่ถูกกาลเวลา

•  การทำความดีแล้วไม่ติดตามความดีของตน

 

เหตุนี้ชาวพุทธบริษัททั้งหลายควรพากันศึกษาให้รู้เพราะเป็นสิ่งที่ทุก ๆคน ไม่ควรนำไปปฏิบัติ เพราะเป็นทางวิบัติเสื่อมเสีย ไม่เจริญทั้งแก่ตนเองและบุคคลอื่นด้วย