อารมณ์ขันของท่านพุทธทาส

โดยสันติเทพ  ศิลปบรรเลง

 

            พระธรรมโกศาจารย์ หรือในนาม  “พุทธทาสภิกขุ”   ท่านเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในวงการพระพุทธศาสนา  ผลงานเขียนและการแสดงธรรมของท่านมีมากมายมหาศาล  แต่ละเรื่องก็ล้วนแต่เป็นหลักธรรมขั้นสูงที่เรียกว่า “ปรมัตถ์”  แทบทั้งสิ้น ท่านเป็นพระภิกษุผู้ประเสริฐเลิศด้วยปัญญาและเมตตา  อีกทั้งปฏิปทาการประพฤติปฏิบัติก็เป็นแบบอย่างที่ดีของพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือ  “สุปฏิปันโน”   อันหาที่ติไม่ได้  บุคลิกภาพ   จรรยามารยาทอันงดงาม  น้ำเสียงอันอ่อนโยนนุ่มนวลยังคงประทับใจผู้พบเห็นมิรู้วาย  ส่วนผลงานของท่านที่พิมพ์ออกมาเป็นเล่มให้เราได้อ่านกันก็เหมือนกับได้ฟังธรรมอันทรงคุณค่าและเป็นอมตะประดับไว้ในบรรณพิภพ  แม้ว่าไปไหน  เหมือนกับคำกลอนที่ท่านเขียนไว้ให้เป็นปริศนาข้อคิดว่า.........

            “พุทธทาสจักอยู่ไปไม่มีตาย....”

            ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงประวัติของท่านแต่จะกล่าวถึงอารมณ์ขันของท่านพุทธทาสที่แฝงไว้ในบทธรรมคำกลอนบางเรื่อง  เพื่อให้เห็นว่าถึงแม้ท่านจะเป็นปราชญ์ระดับอัจฉริยะก็ตาม  ท่านก็ยังมีอารมณ์ขันเหมือนกัน  แต่ไม่ใช่อารมณ์ขันครื้นเครงตลกคะนองแบบคนทั่วไป  กลับเป็นอารมณ์ขันอันแฝงเร้นไว้ซึ่งธรรมะในชั้นลึกเลยทีเดียว

            เช่น  หัวข้อธรรมคำกลอน  เรื่อง “ความสุข”  ท่านประพันธ์ไว้ดังนี้

            ความเอ๋ย ความสุข  ใคร ๆ ทุก คน,ชอบเจ้า เฝ้าวิ่งหา

            “แกก็สุข  ฉันก็สุข  ทุกเวลา  แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใน”

            ประโยคนี้ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นถึงอารมณ์ขันของท่านอย่างชัดเจนโดยแทบไม่ต้องอธิบาย  สรุปก็คือ  “แกก็สุข ฉันก็สุข”  แต่ทำไมดูหน้าตาแห้งเหี่ยวหมองคล้ำคล้ายมีความทุกข์ซึ่งตรงกันข้ามกับที่บอกว่า  “แกก็สุข”  “ฉันก็สุข”  ทำให้คลางแคลงใจนัก.

            ในเรื่อง  “กิเลสคุย”  จะเห็นได้ชัดถึงอารมณ์ขันที่ท่านเขียนออกมาด้วยความขบขันแกมสมเพชกับผู้ที่อวดอ้างตนเองว่ารู้ธรรมะมากมายแล้วเที่ยวคุยโม้โอ้อวดว่ารอบรู้หลักธรรมข้อนั้นข้อนี้  แต่ความจริงตนเองประพฤติธรรมใด ๆ ไม่ได้เลย  กลับมีกิเลสตัณหามากมายยังมีโลภ-โกรธ-หลงอยู่มาก  เช่นซื้อล๊อตเตอรี่หวังจะรวยทางลัด ใครยุแหย่ยั่วเย้าหน่อยก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ  หลงอยู่ในอบายมุขทั้งปวง  ทั้งที่อ่านตำราหนังสือธรรมะเต็มโต๊ะแต่ยังเป็นทาสของกิเลสอยู่นั่นเองตามคำกลอนดังนี้

            “คุยเสียดี  ที่แท้  แพ้กิเลส  น่าสมเพช  เตือนเท่าไร  ก็ไม่เห็น ว่าเป็นทาส  กิเลส  อยู่เช้าเย็น  จะอวดเป็น  ปราชญ์ไป  ทำไมนา

            คันธรรมะ  หาทางออก อุ้มกิเลส  ท่านสมเพช  จริง ๆ เที่ยววิ่งหา  ตำรานี่ ตำรานั่น  สรรหามา  ได้เป็นข้า กิเลสไป สมใจเอย”

            ท่านพุทธทาสภิกขุ        เคยพร่ำสอนกับผู้ที่มาเยี่ยมชมหรือปฏิบัติธรรมที่สวนโมกขพลารามอยู่เสมอว่า มาถึงสวนโมกข์แล้วก็ควรจะศึกษาปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมะจนกระทั่งได้รับ  “ปริญญาจากสวนโมกข์”  จึงจะนับว่าสำเร็จการศึกษาไม่ต้องเล่าเรียนอะไรกันต่อไปอีกเลย  แต่มีผู้สงสัยถามขึ้นว่า  “สวนโมกข์มีการให้ปริญญาเหมือนกับมหาวิทยาลัยด้วยหรือ”   ท่านพุทธทาสตอบว่าไม่มีการมอบปริญญาเป็นวุฒิบัตรอะไรหรอก  แต่สวนโมกข์มีปริญญาที่ผู้ศึกษาปฏิบัติเข้าถึงแล้วจะได้ปริญญาเป็นของตนเอง  คือ “ปริญญาตายก่อนตาย”  ว่าแล้วก็ให้ดูปริศนาธรรมคำกลอนที่ท่านเขียนไว้ให้ทุกคนอ่าน ดังนี้

            “ปริญญาจากสวนโมกข์”

            “ปริญญาตายก่อนตาย”  ใครได้รับ                         เป็นอันนับ ว่าจบสิ้น  การศึกษา

            เป็นโลกุตตร์  หลุดพ้น  เหนือโลกา                   หยุดเวียนว่าย สิ้นสังสาร-วัฏฏ์วน

            ปริญญา  แสนสงวน  จากสวนโมกข์                คนเขาว่า  เยกโยก  ไม่เห็นหน

            ไม่เห็นดี  ที่ตรงไหน  ใครสัปดน                      รับเอามา   ด่าป่น  กันทั้งเมือง

            นี่แหละหนา  “ปริญญาตายก่อนตาย”              คนทั้งหลาย มองดู ไม่รู้เรื่อง

            เขาอยากอยู่  ให้เด่นดัง  มลังเมลือง                  เขาเลยเคือง ว่าเราชวน ให้ด่วนตาย

            คำกลอนนี้ในส่วนสองประโยคสุดท้ายที่ว่า  “เขาอยากอยู่ให้เด่นดังมลังเมลือง เขาเลยเคืองว่าเราชวนให้ด่วนตาย”  นี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขันอย่างเด่นชัดอีกทั้งยังมีนัยประชดประชันแกมหยอกล้ออีกด้วย  หมายความว่าปริญญาจากสวนโมกข์ก็คือ  ปริญญา “ตายก่อนตาย”  แต่คนคิดปริศนาไม่เข้าใจเลยขัดเคืองหาว่าชวนให้รีบตายเป็นงั้นไป  นี่แหละคือการสอนธรรมอัน ล้ำลึกและแฝงไว้ด้วยอารมณ์ขันของท่านพุทธทาสภิกขุ

 

หนังสือ            อริยธรรม ๑๒

                        มูลนิธิกลุ่มศรัทธาธรรม

พิมพ์                สุวิภา  กลิ่นสุวรรณ์