โกรธ อย่างไรให้เกิดปัญญา เรื่องโดย Soulless Let not the sun go down upon your wrath อย่าปล่อยให้ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไป ทั้งที่คุณยังโกรธอยู่ อ่านภาษิตบทนี้แล้ว หลายคนคงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์บ้านเมืองที่เพิ่งผ่านมา หลายวันเหลือเกิน ที่คนไทยปล่อยให้ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปพร้อมกับความโกรธเกลียดเคียดแค้น ที่มีต่อผู้คนบนแผ่นดินเดียวกัน และที่น่าเศร้ากว่านั้นก็คือ แม้ดวงอาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้าในเช้าวันใหม่ แต่ความโกรธก็ยังไม่ลดหายไป แล้วหนำซ้ำยังเพิ่มดีกรีกลายเป็นความรุนแรงหลายรูปแบบ กลายเป็นไฟ เป็นระเบิดเป็นกระสุนปืน หากถามว่าเปลวไฟที่ลุกไหม้บ้านเมือง มีต้นเพลิงมาจากที่ใด จากยางรถยนต์ จากเศษไม้ จากวัตถุไวไฟ ใช่หรือไม่ ขอตอบดังๆตรงนี้ว่า ไม่ใช่หรอก เพราะ ต้นเพลิง ที่แท้จริงนั้นคือความโกรธที่สุมอยู่ในใจคนต่างหาก ไฟโกรธปะทุขึ้นได้อย่างไร สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า ความโกรธเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน มักมีสาเหตุมาจากความคับข้องใจ ความหงุดหงิดรำคาญจากการถูกรบกวน ถูกคุกคาม ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ตลอดจนความสูญเสียความผิดหวัง ความอิจฉาริษยา ความรู้สึกกกว่าตนเองโชคร้าย หรือแม้กระทั่งความกลัว เป็นธรรมดาที่ความรู้สึกในเชิงลบ ทำให้คนเรารู้สึกโกรธหรือไม่พอใจ แทบไม่มีวันไหนเลย ที่มนุษย์ปุถุชนจะไม่โกรธ ลำพังแค่ฝนตก รถติด เพื่อนผิดนัด ความโกรธก็มาเยือนคุณอย่างง่ายดาย แต่หากสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่า ความโกรธนั้นเป็นอารมณ์ที่รุนแรงก็จริง แต่ก็เกิดง่าย หายเร็ว มีคนเปรียบความโกรธว่า เป็นไฟที่ติดง่าย ลุกลามไว ทว่าก็ไม่ร้ายแรงจนเกินจะดับ พิษสงของความโกรธนั้นอยู่ที่ว่า ไฟก็คือไฟ แม้จะลุกไหม้เพียงไม่นาน แต่ไฟก็เผาทำลายสรรพสิ่งให้มอดไหม้ได้ ความโกรธก็เช่นเดียวกัน แม้จะโกรธเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่หากคุณดับไฟโกรธไม่ทัน (หรือไม่คิดจะดับ) ชั่วเวลาสั้นๆ นั้นก็ยาวนานพอ ที่คุณจะสั่งให้ปืนหรือระเบิดผลาญทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง
ไฟโกรธเผาอะไรได้บ้าง แม้ความโกรธจะเป็นเพียงอารมณ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ ทว่าความสูญเสียอันเป็นผลงานของความโกรธนั้น ปรากฎเป็นรูปธรรมให้เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เหตุทะเลาะวิวาท อาชญากรรม สงคราม และการก่อการร้าย ล้วนแล้วแต่เป็นโศกนาฏกรรมที่ก่อกำเนิดจากความโกรธแทบทั้งสิ้น ไฟโทสะที่ไร้ตัวตนนี้สามารถเผาบ้าน เผาครอบครัว เผาชุมชุน เผาสังคม เผาประเทศ เผาเผ่าพันธุ์ เผาโลก และเผาชีวิตให้แตกดับวอดวายลงไปอย่างน่าสลดใจ มนุษย์ผู้มีสติและปัญญาย่อมรู้ว่า การเต้นตามความโกรธ ไม่ใช่หนทางที่จะนำพาไปสู่สิ่งใดเลย นอกจากความสูญเสีย ความไม่โกรธเป็นลาภอันประเสริฐ ข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่า ขณะที่เราโกรธ ร่างกาจจะขับสารอะดรีนาลินออกสู่กระแสโลหิต สารนี้จะกระตุ้นประสาท ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น ฯลฯ การเก็บอารมณ์โกรธไว้โดยไม่ยอมปล่อยวาง อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางจิตใจ คือเป็นโรคไซโคโซมาติค ( Psychosomatic ) ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกาย เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร อุจจาระเป็นเลือด หรือเป็นโรคผิวหนังบางอย่าง เป็นต้น หยุดโกรธให้ทัน ก่อนที่มันจะลุกลาม ตั้งแต่เล็กจนโต คนเราล้วนเคยโกรธมานับครั้งไม่ถ้วน และคงมีบางครั้งใช่ไหม ที่ความโกรธทำให้คุณตกอยู่ในภาวะ โกรธคือโง่ ก็รู้ โมโหคือบ้า ก็รู้ แต่ยั้งใจไว้ไม่อยู่ ทำอย่างไรได้ สุดท้ายก็เผลอตัวทำอะไรแย่ๆลงไป จนต้องมานั่งเสียใจและโกรธตัวเองซ้ำๆในภายหลัง เพื่อไม่ให้คุณพลาดพลั้ง เพราะยับยั้งความโกรธไว้ไม่ทัน จึงมีวิธีดับไฟโกรธแบบปัจจุบันทันด่วนมาฝาก 1. ตามหาความโกรธให้เจอ ความโกรธอุปมาเหมือนสัตว์ป่า ถ้ามีคนไปพบเจอเมื่อไร มันจะรีบหนีไปทันที เพราะฉะนั้นทันทีที่เริ่มรู้สึกขึ้งเคียดไม่พอใจ ให้คุณเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการยอมรับว่า ตนเองกำลังรู้สึกโกรธ ถ้าโกรธจนปวดท้อง ให้คุณกำหนดจิตรับรู้อาการปวดท้อง ใช้เวลาตามหาและระลึกรู้อารมณ์โกรธของตัวเองสักพัก แล้วความโกรธจะหายไป โดยที่คุณแทบไม่ต้องทำอะไรเลย 2. ถามตัวเองว่า ต้องการเอาชนะศัตรู หรือ ต้องการเอาชนะความโกรธ ถ้าคุณตอบว่า ต้องการาเอาชนะศัตรู ละก็ ขอให้คุณเตรียมเผาตัวเองให้มอดไหม้ไปพร้อมกับไฟโกรธได้เลย แต่ถ้าคุณตอบว่า ต้องการเอาชนะความโกรธ ก็ให้ย้ำกับตัวเองไว้ว่า วิธีเดียวที่จะเอาชนะความโกรธได้อย่างสง่างาม ก็คือการไม่โกรธนั่นเอง 3. ให้เกียรติตัวเองมากขึ้น อย่าคิดว่า ฉันไม่มีอะไรจะเสีย ยามโกรธจัด คนเราชอบหาข้ออ้างในการแสดงพฤติกรรมร้ายๆ ด้วยการบอกตัวเองว่า ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่น่า เพราะฉะนั้น ลุยเป็นลุย เป็นไงเป็นกัน แต่ในความจริงนั้น ความโกรธทำให้คุณเสียสิ่งที่คุณมีได้หลายอย่าง ที่แน่ๆคือ สูญเสียสิ่งที่ทำให้คุณเป็นมนุษย์ (ซึ่งแตกต่างจากสัตว์) จำไว้ว่า เมื่อใดที่คุณแสดงความโกรธด้วยกิริยาก้าวร้าวรุนแรง คุณก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่มักแยกเขี้ยวข่มขู่ศัตรู เพราะไม่รู้วิธีจัดการกับอารมณ์ของตนเอง 4. แอบกระซิบตัวเองว่า เราไม่โกรธก็ได้นี้น่า ถ้าต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ชวนโกรธ คนเรามักคิดเข้าข้างตัวเองว่า เป็นใครก็ต้องโกรธด้วยกันทั้งนั้น ว่าแล้วคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์โกรธได้เต็มที่ ในทางกลับกันถ้ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ใครๆ เขาก็โกรธ ให้คุณลองกระซิบถามตัวเองว่า เราไม่โกรธได้ไหม ลองพิจารณาคำถามซ้ำๆ สักสองสามครั้ง แล้วคุณจะตอบตัวเองได้ว่า เราไม่โกรธก็ได้นี่น่า 5. อย่าหวงแหนความโกรธ บางคนมีนิสัยหวงแหนความโกรธโดยไม่รู้ตัว ถนอมรักษาความโกรธประหนึ่งทรัพย์สมบัติที่จะเก็บไว้จนวันตาย แต่การนอนกอดความโกรธ ไม่เคยทำให้ใครฝันดีเลย ทางที่ดีคุณควรหาทางระบายความโกรธออกมาอย่างสร้างสรรค์ เช่น วาดภาพหรือเขียนบรรยายความขึ้งเคียดออกมา เป็นบทเพลงหรือบทกวี (แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่ระรานหรือละเมิดสิทธิใครนะคะ) คุณรู้ใช่ไหมว่า ความคับแค้นเป็นวัตถุดิบชั้นดี ที่เหล่าศิลปินใช้ผลิตงานศิลปะชั้นเลิศออกมาหลายแขนงแล้ว โกรธอย่างไรให้เกิดปัญญา เป็นความจริงที่ว่า คนเราสามารถรู้สึกโกรธหรือไม่พอใจได้ตลอดเวลา แต่ความโกรธจะไม่แปรเปลี่ยนเป็นความผิดบาป ตราบใดที่คุณหยุดยั้งความโกรธไว้ ให้เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นและดับไป และการใช้สติพิจารณาเพื่อละความโกรธนั้นก็ไม่ได้ยากเกิน คุณจะทำความเข้าใจและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน มาดูกันดีกว่าว่าทำได้อย่างไร
การใช้สติยับยั้งอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจดัง 10 ข้อข้างต้นนั้น นอกจากจะช่วยลดละความโกรธได้แล้ว ยังทำให้คนเรามีปัญญาเห็นการเกิด-ดับของสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อยุคสมัยที่ผู้คนกำลังขับเคลื่อนชีวิตด้วยความโกรธและความไม่พอใจ ดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้ การโกรธเป็นปุถุชนวิสัย การให้อภัยเป็นวิสัยบัณฑิต
|