กรรมในโลกมืด เรื่องโดย ปรม

     การลักทรัพย์ลักขโมยเป็นการกระทำที่ผิดศีลข้อสอง ซึ่งพุทธศาสนิกชนมิควรปฏิบัติ และยิ่งเป็นสมบัติในความครอบครองของพระสงฆ์องค์เจ้าด้วยแล้ว หากเผลอไผลให้กิเลสครองงำจนนำเอามาเป็นของตน ผลแห่งวิบากกรรมที่เกิดขึ้นย่อมมากมายเกินกว่าจะคาดเดา

     ตอนเป็นเด็ก ฉันเคยพบเจอหญิงชราคนหนึ่งอยู่หลายครั้ง เมื่อได้ตามคุณแม่ไปทำบุญที่วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในแถบชนบท จากสภาพที่เห็นทำให้อดนึกสงสัยและสงสารในคราวเดียวกันไม่ได้ เพราะเธอเป็นหญิงแก่อายุประมาณแปดสิบกว่าที่ดวงตาทั้งสองข้างบอดสนิท แต่กลับกุลีกุจอช่วยทำงานต่างๆ สารพัดภายในวัดแห่งนั้น ไม่ว่าจะล้างถ้วยชามในโรงครัว กวาดเศษใบไม้ที่ร่วงหล่นตามลานวัด เช็ดถูกทำความสะอาดศาลาโรงธรรม แล้วยังอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แม้สังขารจะไม่เอื้ออำนวยเลยก็ตาม จนฉันอดไม่ได้ที่จะถามแม่ว่า ทำไมหญิงชราจึงต้องทำเช่นนี้ แล้วฉันก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด

     หญิงชราผู้นี้ไม่ได้มีดวงตาพิการมาแต่กำเนิด สมัยสาวๆ เธอมักจะแวะเวียนเข้าออกวัดแห่งนี้เป็นประจำ ความที่มีบ้านอยู่ไม่ห่างจากวัดมากนัก จึงทำให้เธอมีความคุ้นเคยกับพระภิกษุภายในวัด กรรมการวัด ตลอดจนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงซึ่งมักจะเข้ามาช่วยงานบุญต่างๆ เป็นประจำ

     กระทั่งวันหนึ่งสมบัติของวัดได้หายไปจากโบสถ์ หลายคนต่างตั้งข้อสงสัยเธอ ด้วยเห็นว่าเธอมีพฤติกรรมอันเป็นพิรุธ ทั้งการไม่ไปมาหาสู่กับคนในวัดอย่างเคย แล้วยังทำตัวห่างเหินกับผู้คนมากขึ้น ภายหลังก็พอจะสืบทราบได้ว่า เธอคือคนเดียวที่เดินวนเวียนอยู่ใกล้กับสถานที่เกิดเหตุในวันดังกล่าว แม้จะไม่มีพยานหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเธอเป็นผู้กระทำ แต่เพื่อความบริสุทธิ์ใจ ชาวบ้านหลายคนจึงขอให้เธอไปสาบานต่อหน้าองค์พระประธานในโบสถ์ ว่าตัวเองไม่ได้เป็นผู้ลักขโมยไปจริงและไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย ซึ่งหญิงชราก็ยอมทำตามเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย

     หลังจากวันนั้นก็ยังไม่มีวี่แววจะพบสมบัติที่หายไป หากแต่วิบากกรรมได้ปรากฏผลแก่ผู้กระทำ เพราะอีกไม่กี่เดือนต่อมา หญิงชราผู้ที่เคยสาบานว่าตนไม่ได้เป็นผู้ลักขโมยอะไรไปจากวัด ก็เกิดตาพร่ามัวมองอะไรไม่เห็น จนบอดสนิทอย่างไม่ทราบสาเหตุ ชาวบ้านต่างเชื่อกันว่านี่คือผลกรรมจากการกระทำที่เธอไม่ยอมรับ เพราะเธอยืนยันว่า “ไม่รู้ไม่เห็น” ซึ่งมีเหตุให้เชื่อว่าน่าจะไม่เป็นความจริง ในที่สุดเธอจึงมองอะไรไม่เห็นอีกต่อไป

     เมื่อเธอต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จึงไม่มีใครอยากจะเอาผิดกับเธออีก ด้วยเห็นแก่มิตรสัมพันธ์ที่เคยเกื้อกูลกันมาแต่เก่าก่อน และเธอก็น่าจะได้รับโทษทัณฑ์ที่สมควรไปแล้ว หากแต่นั่นคงไม่เพียงพอ เพราะต่อมาเธอก็เริ่มอ่อนแอ ล้มป่วย เจ็บออดๆ แอดๆอยู่เรื่อยๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ กินยาอย่างไรก็ไม่หาย เมื่อไม่สามารถเยียวยารักษาได้ หนักเข้าจึงต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ ด้วยการไปถือศีลอยู่ในวัด ซึ่งก็ได้ผล เพราะอาการเจ็บไข้ได้ปวดต่างๆที่เคยรุมเร้า ดูจะทุเลาลงและหายจนเป็นปกติ แต่ก็อีก เมื่อไรก็ตามที่เธอกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านอาการต่างๆ จะเริ่มปรากฏขึ้นทันที ดั่งมีตรวนที่ตรึงเธอไว้ไม่ให้ไปไหนไกลได้เลย เธอจึงต้องเข้าๆ ออกๆ วัดอยู่เสมอ จนทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่า นั่นคือผลกรรมที่ยังต้องชดใช้ต่อไป เสมือนให้เธอต้องอยู่เฝ้าสมบัติภายในวัด ทั้งที่ตัวเองก็มองไม่เห็น

     ความที่เธอต้องอยู่ใกล้วัดเช่นนี้เอง บุตรชายและบุตรสาวทั้งสองจึงต้องใช้ชีวิตไม่ต่างจากแม่ของตนไปโดยปริยาย นั่นคือใกล้ชิดอยู่กับวัด กระทั่งบุตรชายเติบโตได้บวชเณร บวชพระและจำพรรษาที่วัดแห่งนี้จนเป็นเจ้าอาวาส เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านทั่วไปทั้งจังหวัด ขณะที่บุตรสาวก็มีกิจวัตรที่ทำเป็นประจำคือ การนำปิ่นโตไปถวายพระ และดูแลปรนนิบัติผู้เป็นมารดา ตั้งแต่วัยสาวจนร่วงโรยสู่วัยชราเช่นกัน

     ปัจจุบันหญิงชราตาบอดคนนี้ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว และเจ้าอาวาสท่านก็ได้ละสังขารมรณภาพไปเมื่อหลายปีก่อน จะเห็นก็แต่คุณยายสูงวัยที่ยังดูแข็งแรง เดินถือปิ่นโตเพื่อนำไปถวายพระที่วัดแห่งนี้อยู่บ่อยๆ ดังที่เคยปฏิบัติมาอย่างเนิ่นนาน แม้จะเชื่องช้าไปบ้างตามสภาพความเสื่อมไปตามกาลของร่างกาย

     จำได้ว่า เมื่อฉันฟังแม่เล่าจบในคราวแรก ฉันรู้สึกกลัวที่จะเผลอหยิบฉวยสิ่งของเครื่องใช้ภายในวัด และเชื่อในผลแห่งบาปกรรมจากการลักขโมยของผู้อื่นในทันที

     ฉันหวังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับหญิงชราตาบอดคนนี้จะให้คติสอนใจ เพื่อยืนยันความสำคัญแห่งการยึดถือศีลห้า อันมีข้อที่กล่าวถึงการไม่ลักขโมยทรัพย์ของผู้อื่นอยู่ด้วยให้มั่นไว้เสมอ เพราะนั่นคือสิ่งที่พุทธศาสนิกชนที่ดีพึงกระทำ