1

 

 

                                                        
คำถาม-คำตอบ ข้อ 851-900
900.
เรียน ท่านอาจารย์

คำถามดิฉันอาจจะเฟ้อไปเสียหน่อย แต่ดิฉันมีความสงสัยมานานมากแล้ว จีงเรียนถามท่านผู้รู้ที่ปฏิบัติธรรมและได้พบเจอสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง รบกวนช่วยตอบให้คลายสงสัยด้วยเถิด  

   ดิฉันเคยอ่านเรื่องเล่าของผู้ที่ตายแล้วฟื้น ที่ได้พบเห็นสวรรค์ชั้นที่ 1,2 เหตุใดผู้ที่อยู่ชั้นนี้ถึงได้มีความเป็นอยู่ที่ลำบาก ลักษณะบ้านเรือนที่อยู่ก็เหมือนในเมืองมนุษย์ ต้องอยู่ในห้องที่มืดมิด ยังมีความหิว ความทุกข์ ฟังดูแล้วเหมือนจะมีความเป็นอยู่ลำบากกว่าตอนเป็นมนุษย์เสียอีก แต่ในหนังสือธรรมะที่ดิฉันเคยอ่าน เทวดาจะอยู่วิมานแก้ว ไม่ว่าสวรรค์ชั้นใดก็จะมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายและมีร่างกายเป็นทิพย์ แต่ทำไมสิ่งที่ท่านไปพบเห็นถึงได้ไม่เหมือนกับในหนังสือที่ดิฉันเคยอ่านเลย

ด้วยความเคารพและนับถือ

คำตอบ
   การไปรู้เห็นอมนุษย์ที่มีลักษณะดังที่บอกเล่าไป ไม่ใช่ภพภูมิของชาวฟ้าชาวสวรรค์ดังที่ผู้ตายแล้วฟื้นมาเล่าให้ฟังซึ่งเป็นความเห็นถูกของเขา แต่ไม่ใช่ความเห็นถูกดังที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือธรรมะ
   

899.
เรียนดร.สนองที่เคารพ

หนูมีปัญหาอยากถามดังนี้ค่ะ
1 จิตที่เป็นอุเบกขารมณ์ได้กับจิตที่เพิ่งออกจากสมาธิ จิตใดมีพลังในการแผ่เมตตามากกว่ากันคะ
2 ทำอย่างไรจึงจะทำจิตเป็นอุเบกขารมณ์ได้ตลอดคะ
3 ทำอย่างไรจึงจะมีกัลยาณมิตรอยู่ใกล้ๆบ้างคะ คือหนูรู้สึกว่าทั้งชีวิตหนูมีครูบาอาจารย์ทางธรรมเท่านั้นที่เป็นกัลยาณมิตร ส่วนคนอื่นนั้นไม่ใช่ค่ะ เหมือนเกิดมาใช้เวรใช้กรรมกันยังไงไม่ทราบ แต่ครูบาอาจารย์นั้นก็อยู่ไกลและพบยากจริงๆ อย่างอาจารย์ดร.สนองก็เป็นกัลยาณมิตรของหนู แต่เข้าไม่ถึงตัวท่านค่ะ และไม่อยากรบกวนไปมากกว่าการมาถามคำถามในเว็บด้วย เพราะรู้ว่าอาจารย์มีภารกิจมาก หนูพยายามช่วยเหลือตัวเอง เอาคำสอนของครูบาอาจารย์เป็นแนวทางค่ะ ถูกผิดก็แสวงหาคำตอบเอาเอง แต่ก็อยากได้กัลยาณมิตรที่กล้าพูดความจริงกับเรา เหมือนกับที่อาจารย์เล่าน่ะค่ะว่า มีเพื่อนอาจารย์ทักอาจารย์ว่า ทุเรศ ตอนที่อาจารย์ไว้ผมยาวตอนอยู่อังกฤษ หนูอยากมีเพื่อนอย่างนั้นมั่งจังค่ะ ตัวหนูเองก็พยายามเป็นกัลยาณมิตรกับคนอื่นนะคะด้วยการช่วยเหลือตามที่เราช่วยได้ มีความจริงใจ ไม่ทำความชั่วใส่ทั้งต่อหน้าและลับหลัง กล้าพูดความจริง แต่แค่คนเดียวก็หาไม่ได้ เขาไม่ชอบความจริงที่เราทำเราพูด ประหลาดจริงๆค่ะ ยิ่งปัจจุบันใครต่อใครก็เกรงใจเราไปหมด บางทีเราอาจจะทุเรศในสายตาคนอื่นก็ไม่พูด ปล่อยเราไปเผชิญกับคนภายนอก ให้เขาว่าเราแทน หนูเผชิญกับสิ่งนี้บ่อยๆจนคิดว่า นี่เป็นวิบากกรรมหรือเราไม่มีกัลยาณมิตรกันแน่


กราบขอบพระคุณสำหรับคำตอบค่ะ และหนูขออนุโมทนาบุญกับกุศลกรรมทั้งหลายของอาจารย์ด้วยค่ะ

คำตอบ
  (1) จิตที่เพิ่งออกจากสมาธิ มีกำลังสติน้อยกว่า จิตที่อยู่ในอุเบกขารมณ์ ฉะนั้นการแผ่เมตตาในขณะที่จิตมีกำลังของสติมากกว่าจึงแผ่เมตตาไปได้ไกลกว่า

   (2) ประสงค์ให้จิตทรงอยู่ในอุเบกขารมณ์ได้ตลอดต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงฌานระดับ 4 (อุเบกขา เอกัคคตา) ให้ได้ตลอดไปและดีที่สุด คือพัฒนาจิตให้เกิดสติและปัญญาเห็นแจ้งแล้วใช้สติสัมปชัญญะที่พัฒนาได้ไปตามดูสิ่งกระทบภายนอกที่เข้ากระทบจิต จนเห็นทุกผัสสะดับไป(อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ จิตจะปล่อยวางผัสสะ ผันตัวเองเข้าสู่ความว่างเป็นอุเบกขารมณ์ซึ่งดีที่สุดที่มนุษย์สามารถพัฒนาได้

   (3) ต้องสร้างมหาทานแล้วอธิษฐานให้มีกัลยาณมิตรอยู่ใกล้และต้องสร้างเหตุให้ถูกตรง คือพัฒนาจิตจนเป็นมหาสติ พัฒนาจิตจนเป็นมหาปัญญา ก็จะเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวเป็นครูสอนใจ มีกัลยาณมิตรในทางธรรมอยู่ใกล้ มีกัลยาณมิตรในทางธรรมอยู่รอบตัว
  

898.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

กระผมได้ติดตามฟังการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ผ่านทางเวปกัลยาณธรรมมาและตามหนังสือเท่าที่จะหามาอ่านได้มาโดยตลอด ซึ่งธรรมที่ท่านอาจารย์ได้เขียนหรือบรรยายไปนั้นเข้าใจง่ายและทำได้ในชีวิตของฆารวาส เพราะท่านอาจารย์ได้บอกกล่าวหรือแสดงธรรมโดยละเอียดทุกๆเรื่อง กระผมขออนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์ด้วยครับ

กระผมมีปัญหาขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ด้วยครับ คือว่า ในขณะที่นั่งภาวนาโดยบริกรรมว่าพุท-โธ พอทำไปสักพักเหมือนลืมคำบริกรรมแล้วก็เหมือนจะหลับก็ไม่หลับ คือไม่รู้สึกอะไรเลย อย่างนี้เรียกว่าอาการของอะไรแล้วจะแก้ไขอย่างไร ขอท่านอาจารย์โปรดเมตตาด้วยครับ

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ดร. สนอง เป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
  อาการที่เกิดขึ้นเป็นเพราะขันธมารมีกำลังมากกว่า กำลังสติหากประสงค์ผ่านมารต้องเจริญสติด้วยการหายใจเข้าให้ลึกแล้วผ่อนออกยาว ๆ ด้วยการบริกรรม “ พุทโธ ” ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ หมุนจิตมีกำลังสติกล้าแข็งกว่ากำลังของขันธมาร
  

897.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง

อาจารย์คะได้ฟังธรรมะบรรยายของอาจารย์แล้วมีความสำนึกในการกระทำในสิ่งที่ผ่านมาที่ทำผิดไว้ค่ะ เช่นนำของในส่วนราชการมาใช้ส่วนตัว และอีกหลายอย่างค่ะขออนุญาติเรียนถามนะคะ
1. การที่เรานำของราชการมาใช้ส่วนตัวในที่ผ่านมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เราจะมีวิธีแก้ใขได้อย่างไรคะที่จะทำให้เราชดใช้สิ่งนั้นๆๆคืนได้
2. การที่ผิดศีล ทั้ง 5 ข้อที่ผ่านมา เราควรทำอย่างไรเพื่อให้ชีวิตในวันข้างหน้าดีขึ้น และสามารถชดให้อะไรได้บ้างคะในสิ่งที่กระทำลงไป
3. ทุกวันนี้ก็ศึกษาและปฎิบัติธรรมค่ะ แต่ในใจลึกๆๆจะนึกถึงความเลวร้ายของตัวเองตลอด จะแก้ไขได้อย่างไรคะ

อาจารย์คะกราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
   (1) เมื่อมีจิตสำนึกได้แล้วว่าพฤติกรรมที่เคยทำเป็นการทุศีลให้ผลเป็นบาป ผู้ที่จะเจริญในทางธรรม ดังเช่นอัมพปาลี สิริมา อัฒกาสี ฯลฯ ซึ่งเคยมีอาชีพขายบริการทางร่างกาย ได้เลิกพฤติกรรมอันเป็นบาปอย่างเด็ดขาด แล้วเปลี่ยนมารักษาศีลบำเพ็ญทานประพฤติธรรมบุคคลที่อ้างถึงเหล่านั้น เคยทำบาปมากกว่าผู้ถามปัญหาเป็นหลายเท่า ยังสามารถพัฒนาจิตวิญญาณ จนถึงความเป็นอริยบุคคลในพุทธศาสนาได้

   (2) ควรนำดอกไม้ธูปเทียนไปสวดมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือต่อหน้าพระพุทธรูป ต่อหน้าพระธาตุเจดีย์ พระธรรมเจดีย์ ฯลฯ แล้วกล่าววาจาสารภาพบาป แล้วอธิษฐานเลิกประพฤติทุศีลอย่างเด็ดขาด เมื่ออธิษฐานแล้วเสร็จต้องมีสัจจะแล้วปฏิบัติตามข้อ (1)

  (3) แก้ไขปัญหานี้ได้ ด้วยการกระทำให้ได้ตามข้อ (2)
  

896.
เรียนอาจารย์สนอง

   ดิฉันขอขอบพระคุณอาจารย์สนองมากค่ะที่กรุณาตอบคำถามของดิฉันครั้งที่แล้ว ทำให้ดิฉันระมัดระวังในการดำเนินชีวิตมากขึ้น ถือศีล 5 ทุกวัน ดิฉันขอสอบถามอาจารย์เพิ่มเติมดังนี้ค่ะ

   1) เมื่อสองปีก่อน ดิฉันฝึกนั่งสมาธิเองที่บ้านจากการอ่านหนังสือของอาจารย์และหลวงพ่อจรัญโดยใช้วิธีตามดูลมหายใจเข้าออก เมื่อเริ่มนั่งใหม่ๆ ดิฉันรู้สึกดีมาก และมีความสุขสงบใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเมื่อออกจากสมาธิ รู้สึกเหมือนตัวลอยตลอดเวลา เป็นเวลาถึง 3 วัน จิตใจแจ่มใสมาก ไม่โกรธใครเลยทั้งที่เป็นคนขี้โมโห มีความสุขมาก จนกระทั่งมีผีเสื้อ บินตัดหน้ารถตาย ดิฉันเศร้าใจมาก อาการตัวลอยและสุขใจจึงหายไป อยากถามอาจารย์ว่า การนั่งสมาธิเองของดิฉันมาถูกทางแล้วหรือไม่ รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วย (ดิฉันเคยเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นที่ปฏิบัติธรรมฟัง เค้าเตือนว่า อย่าไปเล่าให้คนอื่นฟังเพราะ จะถูกมองว่าบ้า ทำให้ไม่กล้าถามใครอีก)

   2) ช่วงที่ดิฉันนั่งสมาธิ และถือศีล 8 ทุกวันพระที่บ้านเป็นเวลาหลายเดือน ดิฉันมีอาการเจ็บป่วยแปลกๆ เกิดขึ้นบ่อยๆ ครั้งหนึ่งที่ดิฉันป่วยและ มีเจ้ากรรมนายเวรมาปรากฎให้เห็นเป็นตัวเป็นๆ ไม่ใช่เป็นนิมิตรเหมือนคนอื่นๆที่ดิฉันเคยอ่านเจอในหนังสือ ทำให้ดิฉันนึกได้ว่าเคยไปรังแกสัตว์ชนิดนั้นเมื่อตอนเด็กๆ ดิฉันนั่งลงไปกราบขอโทษอยู่นานมาก มันก็ไม่ยอมไป จะไล่ยังไงก็ไม่ไป จนดิฉันเห็นว่ามันจะถูกสัตว์อื่นทำร้ายจึงเข้าไปช่วย และมันก็ยอมบินจากไปเอง และอาการเจ็บป่วยของดิฉันก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที ทำไมดิฉันจึงเห็นเจ้ากรรมนายเวรเป็นตัวเป็นตน ไม่ใช่ในนิมิตรเหมือนที่คนอื่นเล่ากัน

   3) ตอนนี้ดิฉันกลับมาเริ่มนั่งสมาธิอีกครั้ง หลังจากที่หยุดไปประมาณเกือบสองปี เพราะหายกลัวจากการถูกทวงหนี้จากเจ้ากรรมนายเวรแล้ว ครั้งนี้ดิฉันรู้สึกว่า สามารถเข้าสมาธิได้นิ่งเร็วขึ้น เมื่อนั่งไปเรื่อยๆ ก็หายจากอาการปวดขาซ้ายทั้งที่เมื่อก่อนเคยปวดมากจนต้องออกจากสมาธิทุกครั้ง เมื่อหายปวดขาก็มีน้ำตาไหลออกมาเองโดยไม่สามารถบังคับได้ พอนั่งสมาธิครั้งต่อไปก็ไม่มีอาการปวดขาข้างเดิมอีกเลย ดิฉันอยากถามให้อาจารย์ช่วยแนะนำว่าดิฉันควรจะทำอย่างไรต่อไป หรือควรจะไปศึกษากับอาจารย์ท่านใด ดิฉันมีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะมาปฎิบัติธรรมอย่างจริงจัง เพื่อจะบรรลุธรรม

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากที่สละเวลาอันมีค่ามาช่วยตอบคำถามของดิฉันในครั้งนี้ และขอให้อาจารย์มีบุญบารมียิ่งๆขึ้นไป

คำตอบ
    (1) การเจริญสมาธิ ปฏิบัติได้ถูกทางแล้ว จงดำเนินปฏิปทาเช่นนี้ต่อไป ผีเสื้อที่บินมาชนหน้ารถแล้วตาย เขาบินมาชนรถด้วยมีกรรมเก่าของเขา เป็นแรงผลักดันผู้มีเมตตาควรสงสารเขาด้วยการอุทิศบุญส่งให้เขาเป็นสุขและไปเกิดใหม่ในภพที่ดีกว่า

   อนึ่งสิ่งที่ผู้ร่วมปฏิบัติธรรมให้คำเตือนนั้นถูกต้องแล้วสำหรับผู้ฟังที่ยังไม่นำพาชีวิตมาเดินในทางธรรม แต่คนที่เข้าปฏิบัติธรรมแล้วสามารถบอกเล่าให้เขาฟังได้ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของชีวิตให้แก่กันและกัน

   (2) การที่ผู้ถามปัญหาเห็นเจ้ากรรมนายเวรมาปรากฏตัวนั้นเป็นการเห็นจริง เป็นอุคคหนิมิตแบบหนึ่ง แต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริง เขาจึงบินหายลับไป สิ่งที่ควรทำคือไม่ควรจะไปขับไล่เขาผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้ถามปัญหา แต่ควรมีเมตตากรุณาต่อเรา ด้วยการอุทิศบุญกุศลที่คุณมีให้เขาจงเป็นสุข ๆ อย่าได้ผูกเวรต่อกันอีกเลย แล้วอาการเจ็บป่วยดังเช่นที่เคยเป็นก็จะไม่เกิดขึ้นอีก

   (3) ปฏิบัติจนเกิดเป็นความเจริญในธรรมแล้วไม่ควรหยุดปฏิบัต ิควรดำเนินปฏิปทาที่ดีเช่นนี้ให้มีกำลังความดีมากยิ่ง ๆ ขึ้น แล้วต้องรักษาความดีที่ทำได้แล้วให้คงอยู่กับตัวตลอดไป แล้วบททดสอบกำลังใจที่เกิดเอาจิตมาพิจารณาอาการขาว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เมื่อการปวดขาเข้าสู่ความเป็นอนัตตา อาการปวดขาจะดับไปแล้วไม่หวนกลับมาเกิดขึ้นได้อีก จึงจะเลิกพิจารณา เช่นเดียวกันอาการน้ำตาไหล ให้พิจารณาว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออาการน้ำตาไหลเข้าสู่ความเป็นอนัตตาอาการไหลของน้ำตาจะดับไปแล้วไม่เกิดขึ้นอีก จึงเกิดพิจารณาอาการเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไปเป็นธรรมดา นี่แหละที่ผู้รู้เรียกว่า “ ดวงตาเห็นธรรม ” คือเห็นว่าสรรพสิ่งมีเกิดขึ้นแล้วสรรพสิ่งย่อมดับไปเป็นธรรมดา จิตจะปล่อยวางสรรพสิ่งจิตเป็นอิสระว่างเป็นอุเบกขาพร้อมกับปัญญาเห็นแจ้งได้เกิดขึ้น จงดำเนินปฏิปทาเช่นนี้ต่อไป ด้วยมีความเพียรและสัจจะเป็นแรงสนับสนุน แล้วอีกไม่นานและไม่ต้องรอ การบรรลุธรรมดังที่ใจปรารถนาก็จะเกิดขึ้น
   

895.
ขอเรียนถามดร.สนองค่ะ

1. ถึงณ.ปัจจุบันนี้ ดิฉันอายุ 31 ปี แล้วแต่ไม่คู่และก็ยังไม่ลูกและยังไม่ได้แต่งงานเหมือนคนอื่น แต่ตอนนี้ดิฉันก็มีบิดาและมารดาที่จะต้องคอยดูแลอยู่ อยากถามว่าเป็นเรื่องดีหรือเปล่าค่ะ แต่ใจของดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องดี ในด้านของการปฎิบัติธรรม แต่ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่านะค่ะ

2. พี่ที่งานเดี๋ยวกันเค้าแต่งงานแล้วแต่ยังไม่ลูกหรือถือเป็นเรื่องดีหรือเปล่าค่ะ ในทางธรรม เพราะถามบุคคลในทางโลกมักจะบอกว่าไม่ดีควรมีอย่างน้อย 1 คน เพื่อทีจะได้ดูแลเราในต้องที่เราชราภาพแล้ว

3. ดิฉันได้นั่งปฏิบัติภาวนาไปสักพัก รู้สึกว่าภายในตัวเองเหมือนกันมีดวงจิตดิ่งหรือตกลงข้างล่างไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร
และในบางครั้งที่ดิฉันนั่งภาวนาไปเรื่อยจนเกิดเวทนา ก็กำหนดปวดหน่อไปเรื่อยแต่นอกจากอาการที่ปวดแล้วก็มีการอาการเหมือนหายใจไม่ออก รู้สึกแน่นหน้าอกมากจะทำอย่างไรต่อดีค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
   (1) เป็นความเห็นถูกในทางธรรมซึ่งเป็นเรื่องดีที่มีความเป็นไทแก่ตัว ทำให้โอกาสในการพัฒนาจิตตนเองเปิดกว้างที่จะนำชีวิตไปสู่อิสรภาพในวันข้างหน้า ฉะนั้นเลี้ยงดูพ่อแม่ให้ดีจะได้เป็นบุญหนุนส่งการปฏิบัติธรรม ให้เข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้ง่ายเมื่อเวลานั้นมาถึง ....สาธุ

   (2) คนที่แต่งงานแล้วเป็นคนที่ขาดความเป็นอิสระด้วยมีห่วงผูกมัดมือ แต่ไม่มีลูกมาเป็นห่วงผูกคอ ในทางธรรมถือว่าเป็นเรื่องดีแต่ดีน้อยกวาคนที่ไม่มีทั้งสองห่วงมาผูกมัดเช่นผู้ถามปัญหา

อนึ่งการหาที่พึ่งให้คนอื่นมาดูในวัยชรา เป็นความเห็นถูกทางโลกแต่เป็นการแสวงหาที่ไม่ดีนักผู้รู้จึงได้บอกว่า การพึ่งตนเองนั่นแหละดีที่สุด หมายถึงการพึ่งธรรมะที่มีอยู่ในใจตนเอง เพราะผู้ใดมีธรรมอยู่ในใจได้แล้วจะเป็นที่พึ่งที่ดีสุดทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ซึ่งผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เป็นสิ่งที่ดีที่สุดจึงได้แสวงหาธรรมะมาคุ้มครองใจ และเป็นที่พึ่งของใจเพื่อการนำพาชีวิตให้ก้าวข้ามวัฏสงสารในกาลข้างหน้า

   (3) เป็นเพราะจิตเริ่มมีกำลังของสมาธิเพิ่มขึ้น เมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้น เช่นมีอาการปวด ต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอ ๆ ๆๆ ” ไม่ปล่อย ๆ จนกวาอาการปวดจะหายไป เช่นเดียวกันเมื่อรู้สึกแน่นที่หน้าอก ให้กำหนดว่า “ แน่นอกหนอๆๆๆ ” จนกว่าอาการแน่นที่หน้าออกจะหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม วิธีปฏิบัติเช่นนี้เป็นการเพิ่มกำลังของสติ เพื่อให้ก้าวข้ามทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น
  

894.

ผมสนใจเรื่องธรรมะ
และมีข้อทีสงสัยเกิดขึ้นจาการปฏิบัติธรรมของผมและจะเรียนขอรบกวนเวลาท่าน ดร.ช่วยคลายความสงสัยสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยครับ และขอคำแนะนำแนวทางแก้ไขหรือแนวทางที่จะได้พบความจุดหมายถึงมรรคผลในชาตินี้ครับ

   1. ผมปฏิบัติธรรมโดยศึกษาเอง อ่านในตำราจากหลายสำนัก ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือธรรมะมากอ่านของทุกคนทุกสำนักที่พอจะมีให้อ่าน อ่านในเวปไซค์บ้างหนังสือจากพระต่างๆ หรือท่านอาจารย์ที่ทำหนังสือออกมาจำหน่าย ผมก็อ่านเกือบทุกคน ผมรู้จากหนังสือและปฏิบัติตามที่ท่านอาจารย์ ดร. หรือท่านอาจารย์ต่างๆ เขียนไว้
    อย่างนี้เขาเรียกว่าปฏิบัติแบบมีอาจารย์หรือไม่มีครับ

   2. ผมสนใจธรรมะครั้งแรกจากการไปวัด แล้วมีหนังสือหลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดท่าซุง ท่านเขียนแล้วอ่านก็เกิดความสงสัย ว่าเรื่องจริงหรือบทนิยาย ไม่ค่อยเกิดความเชื่อมั่นเต็มร้อยครับ แต่ก็ทำให้ผมสนใจและศึกษาปฏิบัติธรรมมาจนทุกวันนี้ครับ ประมาณ 10 เดือนมาแล้วครับ   แต่ก่อนก็ทำบุญ ทำทาน ไม่เคยภาวนา หรือนั่งสมาธิหรอกนะครับ แต่สวดชินบัญชรมาประมาณ 10 ปี ไม่สวดทุกวันหรอกครับ สวดบางวัน ปัจจุบันสวดเยอะครับ สวดทุกบทที่อยากสวดเลยครับ หนังสือพระมีเท่าไรก็สวดเกือบหมด แต่สวดทุกคนคือ ชินบัญชร พาหุง-มหากา สวดบทไตรปิฏก เกือบทุกวัน แล้วก็ ภาวนา ดูลมหายใจเกือบทุกวันแต่ไม่นานเกิน 30-60 นาที แต่ทำบ่อยๆ เพราะนั้งนานมันมีเหน็บชาเกือบทั่วร่างกาย โดยเฉพาะนั้งภาวนาปวดมากๆ เกือบตาย ผมผ่านเจอที่อาจารย์บอกเอาชีวิตเข้าแลก ผมลองบ้างเกือบตายแต่พอทำไปประมาณ 1 ชั่วโมงให้หลังกับรู้สึกว่าดี ปวดไม่มาก อาจารย์ทรมาณเกือบตาย หายไปจริงๆ อย่างที่อาจารย์ว่า แต่ไม่หายขาดไปเสียเลยนะครับ ยังเหลือนิดหน่อยพอรู้สึกบ้าง ไม่กังวลทนทรมาณเหมือนช่วงแรกๆ มันจะเป็นอย่างนี้ประจำ ผมเลยทำน้อยๆ แต่บ่อยเอา หากจะทน กำหนดหายหนอๆ ไปทุกครั้งผมไม่รู้ว่าจะหายจขาดหรือเปล่า

   3. เรื่องฆ่าสัตว์ หรืออิจฉาคน ดื่มสุราผมไม่กลัวศิลข้ออื่นผมทำได้ครับ แต่ข้อกาเมเนี้ยไม่ค่อยจะได้ครับ เพราะรู้ตัวตัณหากามารมย์ยังมากอยู่ ผมไม่มีแฟนนะครับ เกิดอารมย์ก็ช่วยตัวเอง ดูหนังเอ็กซ์เอาครับ ไม่รู้ว่าบาปหรือไม่ ดูเวปไซด์เอาหรือเล่นเวปแคมป์เอาครับ ผมว่าคงบาป ไม่มากนะครับ เพราะไม่ได้ผิดของใครครับ

   4. ปกติ ผมเป็นคนใจบุญอยู่แล้วครับ หากเจอใครเดือดร้อนหรือคนน่าสงสารผมช่วยได้ผมก็ช่วย หรือบางทีแม้ว่าตัวเองจะเดือดร้อนก็ช่วย อย่างทำบุญ มีเงินหรือมีน้อยผมก็ทำเพราะอยากทำ เพื่อนบอกหากไม่พอจะกินแล้วเราเดือดร้อนอยู่ อย่าไปทำ แต่ใจผมมันชอบทำบุญครับ ช่วยเหลือคนอื่น สงสารคนอื่นหากมีเงินตอนนั้นจะช่วยเลย ไม่สนใจอนาคตว่าจะเดือดร้อนหรือเปล่า ผมทำผิดหรือถูกครับ

   5. ช่วงที่ผมสวดมนต์ ผมเริ่มฝึกสมาธิ ก็เกิดอาการแปลก เกิดกับตัวผมคือ
     - ขณะนอนภาวนาอยู่เหมือนจิตออกจากร่างไปเที่ยว ออกมาเองไม่ได้อยากออกนะครับ เหมือนมันหลุดมาของมันเองครับ ออกแล้วก็พุ่งไป ในใจคิดว่าไปหาพุทธเจ้าครับ คือพอหลุดเหมือนกำหนดเองอัตโนมัตว่าจะไปไหน ตอบเองว่าไปหาพุทธเจ้าทันที เหมือนรู้สึกว่าจิตพุ่งไปเร็วมากสักครูเดียวถึงใครไม่รู้หน้าตาไม่เหมือนพุทธเจ้าเลย เห็นก็ไม่ค่อยชัดเห็นแค่ช่วงใบหน้ากรึ่งกลางหน้า หยุดดูหน้าท่านนั้นสักครู่ก็กลับคืนร่างเลย ( เวลาไม่เกิน 5 นาที่เองครับ) พอเห็นก็มองหน้าท่านแล้วก็กลับเลยไม่พูดอะไรเลยเหมือนสมาธิคลายก็กลับเองยังงั้นแหละครับ ไม่ทราบว่าเป็นใครไม่แน่ใจไม่เคยเห็นมาก่อน ทางที่ตรงไปก็เป็นถนนลูกรังครับ น่าจะเป็นชนบท เห็นแต่ถนนและป่าข้างทางเห็นเพียงเท่านั้นจริงๆ ไม่ชัดเจนเหมือนตาเนื้อ ตรงไปก็ถึงเลย สักพักก็กลับ ผมคิดไปเองหรือจิตออกไปจริงครับ แต่ก่อนไม่เคยเป็นอาการอย่างนี้ เหมือนจิตพุ่งออกไปเร็วมากแล้วก็กลับเร็วเหมือนสมาธิคลายตัวครับ เลยกลับเข้าร่าง สมาธิผมคงไม่แกร่งพอใช่ไหมครับ
 
     - ครั้งที่สองก็เกิดขึ้นอีกวันใกล้ๆกันกับที่เกิดนั้นหละครับ คราวนี้ออกมาเหมือนออกเดินออกมาจากร่างเลยมองดูร่างตัวเองก็เห็นนอนตะแคงข้างอยู่เพราะว่าผมนอนตะแคงข้างภาวนาอยู่ครับ ตอนจะออกผมรู้อาการจะเหมือนแน่นน่าอกนึบๆ แล้วก็หลุดครับ คราวนี้เดินทางหลังห้อง ห้องผมเป็นคอนโดมิเนียม พอออกมาเหมือนไปติดที่สายไฟด้านหน้าคอนโดครับรู้สึกว่ามันเก๊ะกะไปหมด ใจเกิดหงุดหงิด พอไปอีกก็เจอยอดต้นไม้รกรุงรังไปหมด ผมเอามือไปปัดออก แต่พอนึกได้ว่านี้เป็นจิต ไม่ใช่ตัวมนุษย์ ก็นึกขขึ้นได้ว่าต้องตั้งจิตใหแข็งแกร่ง พอคิดได้ก็หลุดพุ่งตรงไปหาพุทธเจ้าอีกแล้ว แต่คราวนี้ตรงไปที่ ที่เป็นป่าครับ มีหมู่บ้าน และมีคนนั่งอยู 2 คน ครับ คนแรกที่เห็นหน้าคล้าย ย่าผมเอง แต่จิตบอกไม่ใช่ ผิวพรรณเหมือนคนเป็นโรคผิวขรุขระ เต็มตัวเลย อีกคนคุยกับผม แต่ยังไม่ทันคุยกันเหมือนครั้งแรก สมาธิคลายจิตกลับเข้าร่างอีกแล้ว ในใจที่จะพูดกับเขาเรื่องจะให้เขาช่วยเจรจากับเจ้ากับนายเวรให้ครับ จิตผมบอกอย่างนั้น   ก็งง ว่าเวลาจิตออกจากร่างทำไม ผมถึงนึกไปหาแต่พุทธเจ้าทุกครั้ง แต่ไม่เคยเจอ กลับเจอคนอื่นๆ ที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำและที่ไปก็ไม่เคยเห็นมาก่อนสักครั้ง ขอถามว่าจิตหลอกตัวเองหรือเปล่าทำไมเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนจริงมากเลยครับ และก็กลับเองทั้งที่ยังไม่อยากกลับเลย คุยกันยังไม่รู้เรื่องเลย
 
     - ครั้งที่ 3 ครับ เกิดขึ้นติดๆกันเรื่อยๆ คราวนี้ เกิดขณะผมนอนภาวนาและพี่เขยเปิดทีวีเอาไว้ แต่ผมไม่ทราบหรอกว่าเป็นช่องไหน ทางช่องนั้นเป็นรายการสารคดี
ขณะที่พิธีกรพูดถึงว่า ที่ประเทศลาวมีพระอรหันต์เกิดขึ้นขณะท่านวาดรูป พอได้ยินผมเกิดอาการตึงๆที่หน้าอกผมรู้ว่าเป็นอาการที่เหมือนจิตหลุดออกทุกครั้งที่ผ่านมาผมก็ปล่อย ไปตามที่รู้ พอปล่อยปุ๊บ หลุดตรงลิ่วไปลาวเลยครับ จิตบอกว่าตรงมาถึงแล้ว ก็หยุดที่หน้าท่านเลย เห็นเพียงแสงสว่างออกมาจากตัวท่าน รัศมีสีเหลืองๆครับ ผมก็คิดตั้งจิตให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อจะมองเห็นท่านให้ชัด ขึ้น แต่สว่างชัดขึ้นบ้างไม่มากหนัก ไม่รู้ว่าเป็นคนหรือว่าเป็นองค์พระแน่ครับเพราะว่ารัศมีบังไว้คล้ายจะเป็นพุทธรูปหรือไม่ก็น่าจะเป็นท่านนั้งสมาธิอยู่ครับ ท่านรู้นะครับว่าเรามาแต่ท่านก็ไม่พูดอะไรเฉย สักแต่ว่ารู้ครับ ผมเหมือนเห็นตัวคลานไปกราบท่านเสร็จก็คลานหันหลังกลับเลย พอกลับมาห้องผม เกิดบัญหาครับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ครับ ไม่เห็นร่างตัวเอง จับดูคลำดูไม่แน่ใจลังเลสังสัย ว่าเป็นเราชัวร์หรือเปล่ายังงั้นแหละครับพอสักพักก็ไปดูพี่เขยนอนอยู่ท่าเดิม ทีวีก็เปิด ไปใต้เท้าพอเลียวหมองเห็นว่าเขานอน ก็มายับแขกดูตัวเอง สักพักก็เข้าได้ครับ แต่คราวนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งเก่าๆ ครับรู้สึกเหนื่อยครับ คงเป็นเพราะจิตเราเกิดสงสัย เลยไม่แข็งแรงใช่ไหมครับ

     - ครั่งที่ 4 ผมออกหลายครั้งติดๆกันครับไม่นานแต่เหมือเกิดต่อเนื่องพอออกแล้วเข้า แล้ว ออกสลับกันไป 3 ครั้งเลยครับ
เกิดที่ไม่นานก็สมาธิคลายกลับเข้าร่างเหมือนเดิม ออกมาจากร่างเหมือนผมนอนลอยไปผ่านโบสถ์หรือวังอะไรสักอย่าง มองหน้านอนลอยไปผ่านที่เห็นเป็นโบสถ์หรือวังใหญ่ เหมือนเรานอนหงายหน้าลอยผ่านไปบ้าง เพราะออกคราวนี้ผมตามรู้ว่ารู้ๆ ๆ ไปเรื่อย ลอยไปช้า โบสถ์เห็นลายโบสถ์สวยงามมากชัดเจนครับ เห็นแต่เพดานโบสถ์ครับเพราะรู้สึกว่าจิตนอนงายหน้าขึ้นข้างบนไป ด้านล่างหรือข้างๆ ไม่เห็น ผมตามดูจิตทีเห็นไปเรื่อย ใจก็กำหนดดูหนอ เห็นหนอ ช้าๆ ผ่านไปพอผ่านโบสถ์มาก็ลอยไปช้าๆ ไม่พุ่งปรื๊ดเหมือนครั้งก่อน เพราะผมใช้สติตามกำหนด ตามทีผมอ่าน ท่าน ดร.ให้หนดรู้ไปเรื่อยๆ   พอไปถึงปลายทางเหมือนเป็นหมู่บ้านป่ามีทางเข้าไปถึงหน้าบ้านใครไม่รู้ครับ พอผมตามรู้ไปเรื่อยคิดจะลืมตาดูซิให้มันแจ่มชัดในใจคิดแอย่างนั้น เลยลืมตามา สมาธิคลายเลยกลับร่างกลายเป็นห้องเราไป
งงๆ ครับ ไม่รู้ว่าเป็นฝันหรือหลุดไปจริง

   ขอแสดงความนับถือ

   ผมลืมเล่าไปว่าก่อนหน้านั้นจะเกิดอาการเหมือนจิตหลุดก็มีอาการได้ยินเสียงผู้หญิเสียงนกเสียงดังมากๆแววมาในหูแล้วสมาธิก็คลายเพราะรำคาญเกิดแป๊บครับ
   เห็นภาพพระบ้างนิดหน่อยแล้วก็หายครับ ผมไม่ค่อยเห็นความสงบเลยครับ แต่ผมฝึกบ่อยๆแต่ไม่นานครับ   ประมาณครั้งละ 30 นาที- 1 ชม.ครับ เกิดบ้างนิดหน่อยครับ แต่ไม่ฟุ่งซ่านนะครับ อาการที่เกิดจิตหลุดมันจะเป็นหลังจากผมภาวนาสวดมนต์ครับ หากไม่สวดมนต์หรือสวดน้อย ภาวนาน้อยไม่เกิดขึ้นครับและผมก็ไม่ได้ไปกำหนดมันครับเหมือนเวลาที่ภาวนาอยู่จะรู้อการเกิดครับแน่นหน้าอกนิดหน่อย บอกอาการไม่ค่อยถูกครับ แต่รู้หากเป็นอย่างนี้แล้วจะเกิดหลุดครับ
 
   ผมเองต้องการความสงบจาการภาวนา แต่ไม่เห็นค่อยมีครับ มีแต่อการภวังค์ครับตื้อๆ ครับนิ่งๆ แต่เกิดขึ้นไม่นานพอผมสงสัยว่าเกิดอะไร ผมก็ดึงกลับก็หายไปเลย ก็ต้องภาวนาใหม่ครับ ผมจะปล่อยให้ภวังค์นานๆ ดีหรือไม่ครับหรือว่าผมควรทำอะไร วิปัสนาญาณ ที่อาจารย์พูดถึง ไปตามดู ร่างกาย เวทนา สังขารอะไรเนี้ยผมก็ไม่รู้จะตามดูยังไง ผมเองรู้ว่าสังขารไม่เที่ยง ที่อาจารย์เล่าก็เข้าใจหมดแล้วคับ ว่าไม่เที่ยง ร่างไม่จีรังไม่มีตัวตน มีแต่ ธาตุ ดิน ไฟ ลม น้ำ อย่างที่เข้าใจ ผมก็เลยงงๆ ว่าต้องไปตามดูยังไงในเมื่อเรารู้อยู่แล้วครับ และผมจะตัดกิเลสยังไงครับ กิเลสผมว่าผมมีไม่มากครับ เวทนามีมากครับ เวลานั่งสมาธิเนี้ยมากๆ แต่พอเห็นอาจารย์บอกตามรุ้ปวด เจ็บ คันหนอมันก็ดีขึ้นครับไม่หายไปหมดทีเดียว ผมก็ภาวนาต่อเพราะไม่สนใจมันเท่าไร สนใจภาวนาอย่างเดียว ก็สงบขึ้นครับ แต่ผมเบื่อตอนพอนั่งไปนานประมาณ 30 นาทีเริ่มมีอาการปวดๆ เหมือนเดิมแต่ไม่แรงเหมือนกระดูกระแตกเสียให้ได้เหมือนครั้งแรก ๆ หรอกครับ
ผมก็ทำตามอาจารย์สนองว่าแหละครับ ผมเชื้อมั่นอาจารย์สนองมาก พูดตรงและตอบตรงดีครับ
 
   เรื่องแก้กรรมผมก็เชื่ออาจารย์ครับว่าไม่สามารถจะไปตัดกรรมตัดเวรได้แน่นอน หากตัดได้คนเราทำกรรมไว้ก้อไม่ต้องรับผลกรรมกันหมดแล้วใช่ไหมครับ ผมคิดว่าหากเรามีกรรมก็ควรสร้างกรรมดีขึ้นไปให้มากๆ เวรกรรมอาจจะตามเราไม่ทันก็ได้หรือหากเราเข้านิพพานไปแล้วเท่านั้นแหละกรรมถึงจะตามเราไม่ได้ ผมเชื้ออย่างที่อาจารย์เชื้อครับ บางสำนักพอใครเข้าปรึกษาก็ช่วยเกือบหมดครับ ตัดเวร ตัดกรรมให้หมด เหมือนกะเป็นการหลอกลวงกันอย่างนั้นแหละ ใครเชื่อก้อบ้าแล้วครับ ผมเลยเชื่ออาจารย์ ดร.สนองดีกว่า ครับ สอนได้ดีและน่าอ่านน่าปฏิบัติตามกว่า บางอาจารย์ที่ผมอ่านแล้วเชื้อไม่ถึง 50 % ครับ อะไรพอลูกศิษย์เล่าอาการอะไรให้ฟังท่านก็บอกดี บอกปฏิบัติดแล้ว บุญเก่าทำมาดีแล้ว อะไรก็ดีไปหมดครับ ผมจะศรัทธาเต็มร้อยก็ไม่สนิทใจครับ

คำตอบ
   (1) ผู้ใดมีสติกำกับจิตจะเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวล้วนเป็นครูสอนใจ ฉะนั้นหนังสือที่ผู้ถามปัญหาอ่านถือว่าเป็นครูสอนใจได้

   (2) การสวดมนต์จะสวดบทใดก็ตาม ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น การกำหนดดูลมหายใจเข้า-ออกเป็นการปฏิบัติธรรมขั้นกลางผู้ใดเอาเวทนา (อาการเหน็บชา,ปวดขา) มาใช้จิตตามดูให้เห็นว่าเวทนาเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อเวทนาดับ(อนัตตา)อาการเหน็บชาอาการปวดไม่มีตัวตนความเห็นแจ้งในเวทนาจะเกิดขึ้นนี่เป็นการปฏิบัติธรรมขั้นสูงสุดที่เรียกว่าวิปัสสนากรรมฐาน ผู้ใดมีบุญบารมีสั่งสมมามากแต่ชาติปางก่อนผู้นั้นสามารถปฏิบัติธรรมได้เองโดยไม่ต้องมีครูเนื้อครูหนังมาพร่ำสอน

   (3) เป็นบาปไม่มาก ซึ่งถูกตามความเห็นของผู้ถามปัญหาแต่ผู้ตอบปัญหาบอกว่าหากยังคงพฤติกรรมเช่นที่บอกเล่าไปไว้ การปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้ดวงตาเห็นธรรมตามแบบของพระพุทธะจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้

   (4) เป็นการทำถูกของผู้ถามปัญหา คือเป็นผู้มีเมตตากรุณาซึ่งเป็นหนึ่งในเบญจกัลยาณธรรม (เมตตากรุณา สัมมาอาชีวะ กามสังวร สัจจะ สติสัมปชัญญะ) ที่ผู้มีความเป็นมนุษย์เขามีอยู่ในจิตใจ

   (5) ที่บอกเล่าไปทั้งหมดเป็นโลกิยอภิญญาที่ผู้รู้ปฏิเสธ และไม่แนะนำให้ใครผู้ใดเอาจิตไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเหล่านี้ เพราะนั่นคือความเห็นผิด เห็นการหลงทางที่นำชีวิตออกไปจากการพ้นทุกข์ ซึ่งมิใช่ทางดำเนินของพระอริยะ

   อนึ่ง ผู้ถามปัญหาพูดว่ามีความเชื่อมั่นและทำตามผู้ตอบปัญหา หากคำกล่าวนั้นเป็นคำจริงต้องลด ละ เลิกสิ่งที่บอกเล่าไปทั้งหมด แล้วหันมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยการเอาจิตที่มีความตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ให้เห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาญาณ) จะเกิดขึ้นเป็นโคมส่องสว่างส่องทางดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์
  

893.
กราบเรียนท่านอาจารย์

ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้
    1 ถ้าหากอธิฐาณจิต เมื่อทำบุญใดว่าขอให้ข้าพเจ้ามีบารมีแก่กล้าในการเสริมสร้างทาน ศีล สมถะวิปัสสนา ให้เต็มอิ่มบริบูรณ์และถูกต้องได้โดยง่ายดาย ตราบเข้านิพพานเทอญ จะทำให้เข้านิพพานช้าหรือไม่ และเป็นการสร้างเหตุที่จะให้ผลต่อไปในอนาคตอย่างไรบ้าง ดีหรือไม่ดีอย่างไรบ้าง

   2 การพบเหตุการณ์ไม่รบกวนจิตใจ ไม่พอใจเช่นคนทะเลาะกัน แล้ววางอุเบกขา กับวิธีที่บอกให้ดูรู้อยู่ ยินหนอ ไม่ชอบหนอ เฉยหนอ อย่างไหนจะดีกว่า และแตกต่างในผลการปฏิบัติอย่างไร การวางใจเป็นอุเบกขาจะเป็นหินทับหญ้าหรือไม่

  3 ถ้านั่งสมาธิภาวนาว่า ละโลภโกรธหลงตัดสังขารเข้านิพพาน จะได้หรือไม่อย่างไร เป็นการสร้างความรู้สึกทางใจ และการเห็นภาพซ้อนภาพที่เห็นด้วยตาปกติ เหมือนมีแผ่นใส อีกภาพ และเหมือนหน้าผากตรงกลางหมุนทำงาน เป็นภาพในบ้านแต่น่าจะเป้นคนที่ เป็นเจ้าที่เป็นภาพซ้อนปัจจุบันที่เห้นซ้อนกันในเวลาเดียวกัน เห็นทั้งสองภาพจิตไม่คิดอะไร เห็นเอง ซ้อนทั้งสองภาพ ใช่ตาที่สาม หรือตาทิพย์ แต่ไม่ได้มองทะลุผนังได้นะคะ

คำตอบ
   (1) เพียงแต่อธิษฐานอย่างเดียวไม่สามารถนำจิตเข้าถึงพระนิพพานได้ หลังจากอธิษฐานแล้วต้องทำให้ถูกตรงคือนำตัวเข้าไปฝึกกรรมฐาน จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งไปกำจัดกิเลสที่เรียกว่าสังโยชน์ทั้งสิบตัวให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด การเข้าถึงพระนิพพานจึงจะปรากฏเป็นจริง ส่วนจะเข้าถึงพระนิพพานได้เร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่ได้สร้างและสั่งสมไว้ในจิต ยังขึ้นอยู่กับความเพียรยังขึ้นอยู่กับการปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรมฯลฯอีกด้วย

   (2) อุเบกขาที่มีลักษณะเหมือนกับหินทับหญ้า ผู้ใดพัฒนาสมถกรรมฐานจนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌานได้เมื่อจิตเข้าถึงฌานที่สี่ จะเกิดอุเบกขาและเอกัตตตาขึ้นกับจิต เมื่อนำจิตออกจากฌานอุเบกขาที่เคยเข้าถึงจะหายไป แล้วเกิดอารมณ์ปรุงแต่งขึ้นกับจิต จึงได้เรียกอุเบกขาในลักษณะเช่นนี้ว่า “ เหมือนหินกับหญ้า ”

   การได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน แล้วจิตของผู้ได้ยินหวั่นไหวจึงทำเป็นไม่สนใจในเสียงที่ได้ยิน อย่างนี้เป็นอุเบกขาที่เกิดจากโมหะเป็นเหตุ

   เมื่อได้ยินเสียงแล้วใช้จิตตามดูรูอยู่ แล้วกำหนดว่า “ ยินหนอๆๆ ” “ ไม่ชอบหนอๆๆๆ ” “ เฉยหนอๆๆๆ ” อย่างนี้เป็นวิธีดึงสติกลับมาสู่ตัว

   เมื่อได้ยินเสียงแล้วขณะจิตเป็นอุปจารสมาธิ หากตามพิจารราเสียงที่ได้ยินว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อเสียงที่ได้ยินเข้าสู่อนัตตาปัญญาเห็นแจ้งในเรื่องของเสียงที่ได้ยินจะเกิดขึ้น จึงไม่รับเอาเสียงเข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ให้เกิดขึ้นกับจิต เพราะรู้ว่าเสียงเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน จิตจึงปล่อยวางเสียงแล้วว่างเข้าสู่อุเบกขารมณ์นี่เป็นวิธีที่ผู้รู้นิยมปฏิบัติ

   (3) การภาวนาดังที่บอกเล่าไปนั้นสามารถทำได้ แต่เป็นการทำเหตุที่ไม่ถูกตรองต่อการเข้าสู่พระนิพพานตามแบบอย่างของพระพุทธโคดม คือการดับรูปดับนาม แต่หากเป็นนิพพานแบบพรหมมีทางเป็นไปได้คือรูปนามไม่ดับหรือดับแต่รูปนามไม่ดับ แล้วกำลังของฌานจะผลักดันจิตวิญญาณไปสู่การเกิดเป็นพรหมที่มีอายุขัยยาวนานเป็นมหากัปมีฌานสมาบัติเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง

   อนึ่ง การทำจิตตภาวนาแบบนี้เมื่อเหตุปัจจัยลงตัวโอกาสเข้าถึงโลกิยอภิญญา เช่นทิพพจักขุ ทิพพโสต เจโตปริยญาณ ฯลฯ จึงมีได้เป็นได้ดังที่บอกเล่าไป
  

892.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ค่ะ

หนูทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง ในบางช่วงหนูจะว่างมากๆ ไม่มีงานเข้ามาเลย บางครั้งอาจจะทั้งวันเลย ดังนั้นในช่วงเวลาว่าง หนูก็จะเอาอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานมาทำบ้าง เช่น อ่านบทความธรรมมะในคอมพิวเตอร์ ฟังธรรมมะผ่านหูฟังบ้าง แต่ก็ไม่เสียงานนะค่ะ พอมีงานเข้ามาก็ทำทันทีเลยค่ะ บางครั้งก็ศึกษางานเพิ่มเติม(แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ศึกษามากนัก)
หนูมีคำถามเกี่ยวกับศีล 5 และธรรม รบกวนขอสอบถามท่านอาจารย์ ดังนี้ค่ะ

1. การที่เราอ่านบทความธรรมมะในคอมพิวเตอร์ ฟังธรรมมะผ่านหูฟังบ้าง ในเวลางาน ผิดศีล 5 และธรรม หรือเปล่าค่ะ มากน้อยอย่างไรค่ะ
(เพราะจริงๆ เค้าจ้างให้เรามาทำงานให้เค้า ไม่ได้ให้มาทำอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงาน แต่ว่าบางครั้งมันว่างงานจริงๆ ค่ะ)

2. การใช้ e-mail ที่บริษัทจัดให้ (ชื่อเราเอง) ส่งในเรื่องส่วนตัว และเก็บข้อมูลส่วนตัวไว้ในคอมพิวเตอร์ของบริษัทที่ให้ไว้ทำงาน ผิดศีล 5 และธรรม หรือเปล่าค่ะ มากน้อยอย่างไรค่ะ หมายเหตุ: จริงๆ บริษัทก็ได้เขียนไว้ว่า ห้ามส่ง e-mail ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน และห้ามเก็บข้อมูลส่วนตัวไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัท แต่ผู้บริหารบางท่านก็ได้ไม่ทำตาม และดูเหมือนบริษัทเองก็ไม่ได้เข้มงวดมาก

3. การที่เราเอาซองทำบุญและจัดโครงการบุญต่างๆ แล้วก็มีการใช้เวลางานไปบอกบุญต่างๆ ในเวลางาน บางครั้งก็ใช้เวลามากบ้าง บางครั้งน้อยบ้าง
(เป็นช่วงที่งานเสร็จแล้ว แต่ยังอยู่ในเวลางาน) ผิดศีล 5 และธรรม หรือเปล่าค่ะ มากน้อยอย่างไรค่ะ

หนูควรปฏิบัติธรรมอย่างไรในขณะที่ว่างๆ และไม่มีงานเข้ามาค่ะ อาจจะดูเป็นคำถามที่คิดมากไปหน่อย แต่ก็ขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ ช่วยให้คำแนะนำด้วยค่ะ
ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    (1) อ่านและฟังบทความธรรมในเวลางาน หากมีเจตนาเอาความรู้ที่ได้จากการอ่านและฟังมาประยุกต์ใช้กับงานที่ทำไม่ถือว่าผิดศีลผิดธรรมดูให้ออกว่าผู้รู้จริงไม่เคยปล่อยใจให้ว่างจากงาน ทุกขณะเวลาที่เคลื่อนไปจะมีสติกำกับทุกอิริยาบถจึงทำให้เวลา ที่ผ่านไปนั้นมีคุณค่าเพราะชีวิตได้เรียนรู้งานเรียนรู้คุณโดยเฉพาะเรียนรู้ตัวเองนั้นดีที่สุด ควรปรับทัศนคติในการทำงานให้ถูกต้องแล้วเวลาว่างงานจะไม่เกิดขึ้น

   (2) การนำอีเมลล์ของบริษัทมาใช้ในเรื่องส่วนตัว รวมถึงการไม่ปฏิบัติตามวินัยของบริษัท ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดศีลและผิดธรรมคนอื่นละเมิดวินัยเป็นเรื่องของเขา หากผู้ถามปัญหาประสงค์ความก้าวหน้าในทางธรรมต้องไม่ประพฤติเช่นนั้น ถามว่าผิดมากหรือผิดน้อยขึ้นอยู่กับมุมมองในทางโลกถือว่าเป็นความผิด แม้จะผิดไม่มากและทางบริษัทก็มิได้เข้มงวด

   (3) ผิดทั้งศีลผิดทั้งธรรมครับ สิ่งที่ผู้ถามปัญหาควรทำคือใช้เวลาว่างช่วงพักเที่ยงวันไปทำอะไรก็ได้ที่เป็นเรื่องส่วนตัว เช่นอ่านบทความธรรมะ ฟังธรรมถักลูกไม้ฯ หากเป็นการว่างในเวลางานควรหาความรู้อยู่เสมอด้วยการสนทนาปรึกษา อ่านฟังสิ่งที่เป็นความรู้ที่เกี่ยวกับสายงาน หรือนำมาใช้ประโยชน์กับงานที่ทำเพื่อให้ผลงานออกมาดียิ่ง ๆ ขึ้น
  

891.
เรียน อาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

   หนูบุญน้อยเพิ่งมาพบทางสายเอกที่ทำให้ทุกข์น้อยลง เอาเมื่ออายุเข้าไปเกือบจะ 50 แล้ว มัวแต่ทำมาหากิน สร้างหลักฐานทางโลก คิดแค่เพียงว่า เราเป็นคนดี ขยัน ทำมาหากินเก่ง เลี้ยงลูกได้อย่างดี ดูแลและส่งเสริมสามีเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นความทุกข์ใจที่คนใกล้ตัวสร้างให้ได้ แต่หนูได้ click คำของอาจารย์ที่ว่า "ต้องยอมให้เจ้ากรรมนายเวรเขาเอาคืนให้หมดในชาตินี้" เหมือนตอนที่อาจารย์โดนแมวข่วนขา ตอนอาจารย์บวช

   ทุกวันนี้หนูยึดคำว่า " ต้องยอม" ไว้เป็นคาถาดับทุกข์ หนูไม่ปริปากพูดตำหนิอะไรเลย ได้แต่นึกไว้เสมอว่า " เราโชคดีที่ได้มีโอกาสชดใช้เขาในชาตินี้ ให้มันหมดๆกับไป"

   แต่บางที คำว่า "ต้องยอม" ของเราจะทำให้เขาและคนอื่นๆมองว่าเรา "โง่" หรือเปล่าค่ะอาจารย์ หนูจะใช้คาถาอะไรสะกดคำว่า "โง่" ดีคะอาจารย์

     หนูขอกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูง ที่อาจาย์ได้กรุณาสร้างทางสายเอกเพื่อให้หนูและผู้คนมากมายได้เดินออกจากความทุกข์ค่ะ

คำตอบ
   สัมมาทิฏฐิได้เกิดขึ้นแล้วกับผู้ถามปัญหา ที่เห็นว่าตัวเองเป็นผู้มีโชคดี “ เราโชคดี ที่ได้มีโอกาสชดใช้เขาในชาตินี้ให้มันหมด ๆ กันไป ” สาธุ..

   อนึ่งใครจะมองว่าเราโง่ นั่นแหละคือความโง่ของเขาที่จะต้องมะงุมมะงาหรา นำพาชีวิตเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารอีกยาวนานไม่มีวันจบซึ่งไม่ต่างไปจากคนตาบอดหลงทางอยู่กลางป่าใหญ่หาทางออกไม่เจอนั่นเอง
  

890.
เจริญพร อ.ดร.สนอง วรอุไร

   จากการที่อาตมาได้อ่านหนังสือและฟังการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ เห็นท่านอาจารย์ได้พูดถึงการที่ท่านอาจารย์เมื่อปฏิบัติธรรมไปแล้ว สามารถเห็นผี เห็นเทวดาได้.....ว่าเป็นความจริง แต่ในคิริมานนทสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า "ดูกรอานนท์ คฤหัสถ์ก็ดี นักบวชก็ดี มากล่าวว่าตัวรู้ตัวเห็นและได้พูดจากับด้วยผี ดังนี้ ก็พึงให้รู้ว่าคนจำพวกนั้นไม่ใช่ลูกศิษย์ของเราตถาคต เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกพระศาสนา ไม่ควรเชื่อถือเอาเป็นครูบาจารย์ เพราะเขาเป็นคนเจ้าเลห์เจ้าอุบายเจ้ากลเท่านั้น ที่มีความรู้จริงเห็นจริงพูดจาสนทนากับผีได้มีแต่ พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ เท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครรู้จริงเห็นจริง เป็นคนอุตริทั้งนั้น".......

   จากข้อความนี้ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ถ้าท่านอาจารย์เห็นจริง ๆ ตามที่ว่านั้น ท่านอาจารย์ก็เป็นพระอรหันต์นะสิ แล้วทำไมท่านอาจารย์ไม่บวช เพราะพระอรหันต์จะอยู่ในเพศคฤหัสถ์ไม่เกิน 7 วัน ต้องปรินิพพาน......

   อยากให้ท่านอาจารย์ตอบข้อสงสัยของอาตมาด้วย เพื่อให้อาตมากระจ่างแจ้งในสิ่งที่ต้องการรู้เพื่อคลายความสงสัย หากมีอะไรล่วงเกินผิดพลาดไปก็ขออภัยและอโหสิกรรมไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย

จาก
พุทฺธงฺกุโรภิกฺขุ

คำตอบ
    ก่อนตอบปัญหานี้ ต้องกล่าวขอบคุณพระพุทธเจ้า ในฐานะครูผู้ทำให้ปัญญาบารมีได้เกิดขึ้นกับผู้ตอบปัญหา ในกาลามสูตรข้อที่ว่า อย่าปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์เช่นคิริมานนทสูตรนั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธะตรัสไว้ชอบด้วยธรรมแล้ว ซึ่งผู้ตอบปัญหาได้ประพฤติตามคือไม่เชื่อว่าเทวดามีจริงเพราะตัวเองไม่สามารถสัมผัสได้จึงได้พิสูจน์ด้วยการนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม สมถกรรมฐานได้เพียง 7 วัน สามารถพิสูจน์จิตให้เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาณ (อัปปนาสมาธิ) ได้ต่อมาในวันที่ 10 จึงได้ไปเห็นเทวดาว่ามีอยู่จริง ฉะนั้นคฤหัสถ์หรือนักบวชอยู่ใดที่ยังมีสภาวะของจิตเป็นปุถุชนอยู่แต่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นฌานได้ โลกิยาอภิญญาที่เรียกว่าตาทิพย์ (ทิพพจักขุ) ย่อมเกิดขึ้นกับจิตของผู้เป็นปุถุชนนั่นแล้ว ส่วนคฤหัสถ์หรือนักบวชผู้ใดที่ไม่สามารถพัฒนาจิตจนเข้าถึงความเป็นฌานได้ รวมถึงพระอรหันต์สุกขวิปัสสโกก็ไม่สามารถเห็นผีเห็นเทวดาได้เว้นไว้แต่ว่าอมนุษย์เหล่านั้น จะเนรมิตอยู่ในรูปกายหลายให้ตาเนื้อตาหนัง สามารถมองเห็นได้เข้าจึงจะมีสิทธิ์เห็นผีเห็นเทวดาได้

สุดท้ายผู้ตอบปัญหาพูดว่า ไม่มีกรรมใดที่เกิดขึ้นจากการถามปัญหาไม่เป็นโทษต่อกันและกัน นั่นคือยุติไม่เอาโทษ (อโหสิ)
  

889.
กราบเรียนท่านอาจาร์ย ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

   หนูเป็นคนหนึ่งที่สนใจธรรมมะ และยามว่างชอบเข้าเว็บไซค์กัลยาณธรรมอ่านหนังสือ และฟังธรรมนั้นทำให้สบายใจขึ้นและเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคิด พูด ทำดีขึ้นและใจเย็นขึ้นค่ะ
   ตอนนี้หนูอายุ 20 ปี เป็นคนจิตใจรวนเร เรียนไม่ค่อยเก่ง พูดไม่ค่อยเป็นขี้หลงลืมง่ายไม่ค่อยจริงจังกับชีวิต แต่บังเอิญได้ทำงานดีในสำนักงานแห่งหนึ่งตำแหน่ง บัญชี รู้สึกว่ายากและเกินความสามารถของตัวอง ขณะที่ทำงานอยู่นั้นมักใจลอย ตาลอย ซึมเซา หาวและง่วงนอนมากตลอดและมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ทำงานได้ 3 เดือนครึ่ง ได้ยื่นใบลาออกแล้วค่ะ และเป็นคนขี้เกียจไม่อยากทำงานเลยค่ะ เพราะรู้สึกเบื่อต่อสิ่งที่ไม่ดี ไม่ชอบค่อยชอบทำงานบ้านพี่เขาทักว่าเหมือนคิดอะไรในใจอยู่ตลอดเวลา หนูพยายามจะทำให้หายง่วงและฝืนตัวเองแล้ว แต่ก็ไม่หายจนกว่าจะถึงเวลาเย็นควรแก้ยังไร และจะทำอย่างไรให้ชีวิตหนูเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้คะ ขอรบกวน อาจารย์โปรดช่วยแนะนำด้วยนะคะ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
   จิตที่มีอารมณ์มาก อารมณ์หลากหลาย ให้พลังงานของร่างกายลดลง แล้วความขี้เกียจจะเพิ่มขึ้นประสงค์แก้ปัญหานี้ต้องลดอารมณ์ด้วยการเจริญสติให้มีกำลัง ด้วยการสวดมนต์แล้วต่อด้วยอานาปานสติก่อนนอนเมื่อกำลังของสติกล้าแข็งแล้ว ปัญหาก็จะหมดไปได้เองในที่สุด
  

888.
กราบเรียน อาจารย์สนอง

   ก่อนอื่นต้องขออนุญาตกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่มีต่อดิฉันอย่างล้นเหลือไม่อาจกล่าวคำบรรยายได้ ทั้งนี้ดิฉันเคยได้รับคำแนะนำสั่งสอนจากท่านอาจารย์ในข้อ 809 ขณะนี้ดิฉันได้ทราบประวัติของนางอิสิทาสี เป็นที่เรียบร้อยแล้วคะ ต้องขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สนองเป็นอย่างยิ่ง ขณะนี้ดิฉันเปลี่ยนเป็นคนใหม่เหมือนได้เกิดใหม่บนโลกอีกครั้ง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความปิติ ที่ รู้และเข้าใจตัวเองมากยิ่งขึ้นทุกขณะจิต ขณะนี้ดิฉันมีปรากฏการณ์ของชีวิต ที่คิดว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่ช่วยพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ที่มีสติอยู่ทุกข์ขณะคือ ดิฉันตรวจพบเนื้องอกที่มดลูกขนาดใหญ่ ถึง 2 ลูก แต่ดิฉันกลับไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใดเลยรู้สึกเฉยๆ กับอาการที่ตรวจพบ แต่กลับรู้สึกว่าถึงเวลานะที่เราต้องเร่งปฏิบัติแล้ว และต้องเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต

   ทั้งนี้ดิฉันขอกราบเรียนขอคำปรึกษาและกำลังใจจากท่านอาจารย์สนอง ในเรื่องธรรมะสำหรับคนป่วย เช่นการกำหนดจิตขณะปวดเพื่อช่วยให้อาการปวดลดลง หรือ การกำหนดจิตให้สงบก่อนการเข้าผ่าตัด และการกำหนดจิตเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตที่ต้อจากโลกนี้ไป อย่างสงบ

   ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ดร. สนอง เป็นอย่างสูง

คำตอบ
    สาธุ..คุณทำได้ จงทำดีต่อไปด้วยการแสวงเอาธรรมะมาคุ้มครองใจ เพื่อจะได้ก้าวข้ามปัญหาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าอย่างสง่างามด้วยทำจิตภาวนาจนมีกำลังของสติกล้าแข็งได้แล้วเป็นสิ่งที่ควรทำ
  

887.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง

ดิฉันได้เคยถามปัญหา ข้อที่ 873 แล้วนั้นและได้รับความกรุณาจากท่านอาจารย์ได้ตอบปัญหาดังกล่าว หลังจากที่ดิฉันคิดว่าตัวเองคงไม่ได้ไปฟังบรรยายธรรมที่ธรรมศาตร์แน่แล้วเพราะดิฉันติดอบรมวันที่ 1-5 กรกฎาคม และยังไม่ได้บัตรมีสิทธิ์เข้าฟัง แต่ปรากฎว่าในวันที่ 30 มิถุนายน ดิฉันได้ทราบว่าเลื่อนวันอบรมจากวันที่ 5 เป็นวันที่ 28 และอีกไม่กี่นาทีดิฉันได้รับบัตรเข้าฟังคำบรรยายธรรม ทำให้ดิฉันคิดว่าดิฉันโชคดีมากๆ เพราะดิฉันอยู่ภาคใต้โอกาสไปกรุงเทพนั้นแสนยาก ตอนที่เข้าฟังบรรยายได้เข้าไปฟังในห้องประชุมเล็ก ไม่สามารถเห็นอาจารย์ได้จริงๆ ก็ยังคิดว่าไม่เป็นไรได้ฟังสดๆก็เป็นบุญแล้ว หลังจากนั้นตอนบ่ายท่านอาจารย์ก็เข้ามาห้องประชุมเล็ก ดิฉันกล้าเข้าไปกราบสวัสดีท่านเพราะดิฉันมาคนเดียว เกิดความประหม่า แต่ในใจก็ปลื้มปิติยินดีที่ได้โอกาสเจออาจรย์จริงๆสักที จึงใคร่เรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. มันเป็นเหตุบังเอิญหรือเพราะแรงอธิษฐานของดิฉันที่ขอให้ได้พบอาจารย์และเข้าร่วมฟังบรรยายธรรม
2. ถ้าเราเผลอผิดศีลที่ไม่ร้ายแรงบ้างเช่น โกหกเพราะความจำเป็นหรือตัดความรำคาญบ้างจะถือว่าไม่รักษาศีลหรือเปล่า แต่ดิฉันพยายามจะมีศีลคุมใจเหมือนอย่างอาจารย์ได้กล่าวไว้ เพราะกลัวจะไม่บรรลุตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
3. ถ้าเราแต่งงานกับคนต่างศาสนา โดยเราไม่เปลี่ยนศาสนา และเขาก็ไม่กีดกันหรือห้ามเรา แต่เขาก็ยึดมั่นในศาสนาเขาเช่นกัน จะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรมของดิฉันไหมค่ะ

ขอขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์ค่ะ
   คนใต้ใฝ่ธรรมะ

คำตอบ
    (1) พุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้รู้จึงไม่มีคำว่าบังเอิญทุกสิ่งเกิดขึ้นย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิดเมื่อใดบุคคลมีบุญสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณ แล้วบุญให้ผลสิ่งที่บอกเล่าไปจึงได้เกิดขึ้นตามแรงปรารถนา (อธิษฐาน) ที่ผู้มีบุญตั้งไว้

   (2) ยังถือว่าเป็นรักษาศีล แต่รักษาไว้ไม่อยู่ ด้วยเหตุที่มีกำลังของสติอ่อนกว่า แรงผลักดันของกรรมที่มีกำลังเหนือกว่าในช่วงที่จิตขาดสติคุม ฉะนั้นประสงค์ไม่ให้ขาดศีล ต้องเจริญสติภาวนาอยู่เสมอ

   (3) หากบุคคลทั้งสองที่เข้ามาอยู่ร่วมสังคมเดียวกัน มีสติคุมไม่ก้าวล่วงในสิทธิส่วนตัว (ความเชื่อ) ของบุคคลผู้อยู่ร่วม ปฏิบัติธรรมจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น
 

886.
เรียนถามอาจารย์ครับ

มีอยู่ช่วงหนึ่งผมฝึกสติ แต่ก็ไม่ได้เอาจริงมาก แต่ผมรู้สึกเหมือนว่าความจำผมไม่ดี จำอะไรไม่ค่อยได้ ที่เคยจำได้ก็ลืมแบบดื้อเลยครับ แม้แต่ไอที่ไม่น่าลืมก็ลืมในบางส่วน แต่ช่วงนั้นผมฝึกประมานว่าไม่เอาอะไรใส่สมองเลย เห็นอะไรแล้วก็ไม่ใส่ใจ ให้มันผ่านๆไป ไม่เก็บมาคิด อย่างเมื่อก่อนผมอ่านหนังสือธรรมะมาก จำได้เยอะสามารถอธิบายเพื่อนได้ แต่ตอนนี้ผมจำที่อ่านได้แค่บางส่วนเท่านั้น บางทีต้องใช้เวลานึกอยู่นานมาก

1.อยากถามว่าอาจเป็นเพราะผมฝึกสติหรือป่าวครับ เพราะการไม่ใช้ฝึกใช้สมอง ไม่ใช้เชื่อมโยงข้อมูล เลยทำให้จำอะไรไม่ค่อยได้
2.หรือมีทางเป็นไปได้ไหมครับที่ผมไปลบหลู่ครูบาอาจารย์ เลยทำให้จำอะไรไม่ได้ (นี้เคยไปอ่านเจอมานะครับ)
3.แล้วมีวิธีแก้หรือป่าวครับ หรือวิธีฝึกจำ เพราะใครก็บอกว่าฝึกสติจะทำให้เราเห็นอะไรชัด จึงทำให้จำได้ดี

ขอบพระคุณอาจารย์มากนะครับ

คำตอบ
    (1) จากงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศพบว่าผู้ฝึกสติภาวนาแบบ T.M.** จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้วมีผลทำให้ความถี่ของคลื่นสมองเปลี่ยนจากความถี่ช่วงคลื่นยาวมาอยู่ในความถี่ช่วงคลื่นสั้น ซึ่งส่งผลให้ความจำของสมองเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ฉะนั้นที่ถามไปจึงมิใช่เหตุที่ทำให้ความจำเสื่อมเว้นไว้แต่ว่าโครงสร้างของสมองเสื่อมจากการทำหน้าที่ด้วยมีเหตุอื่นที่ให้เสื่อม เช่นการดื่มสุรา การมีจิตเป็นทาสของอารมณ์หลากหลายเหตุเกิดจากความชราของเซลล์สมอง

   (2) คำถามในข้อนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความจำเสื่อมได้

   (3) ผู้รู้กล่าวว่า “ สรรพสิ่งเกิดขึ้นย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิดเมื่อเหตุดับสิ่งนั้นย่อมดับไปด้วย ” ฉะนั้นประสงค์จะแก้ปัญหานี้ต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ พระธุดงค์ที่เจริญมนต์ด้วยการทำวัตรเช้า-เย็นอยู่เป็นปกติ แม้อายุจะล่วงเข้าปีที่ 104 แล้วความจำยังไม่หลงลืม ดังนั้นเหตุที่พูดถึงในข้อ(1) จึงมิใช่ตัวการที่ทำให้เกิดปัญหาความจำเสื่อม แต่หากปัญหามาจากเหตุในข้อ (2) ผู้มีปัญหาต้องไปขอขมากรรมกับผู้ที่มีคุณธรรมสูงที่ตัวเองไปลบหลู่แล้วต้องไม่ประพฤติเช่นนั้นอีก ปัญหาจึงจะหมดไปได้

**
ประเทศทางตะวันตกในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีประชาชนหนุ่มสาว นักศึกษาหันมาฝึกสมาธิกันมากเป็นพิเศษ และสมาธิที่เขาฝึกกันมาก ก็คือ TRANSCENDENTAL MEDITATION หรือที่เรียกโดยย่อว่า T.M. ซึ่งมหาฦาษีมเหศจากอินเดีย ได้นำเข้าไปเผยแผ่ไว้ในสหรัฐ เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว ต้องเสียเงินค่าเล่าเรียน ขณะนี้มีศูนย์ฝึก T.M. อยู่ทั่วโลกประมาณ 360 แห่ง แม้ประเทศไทยเราก็มีศูนย์ T.M. เช่นกัน เพราะมีนักศึกษาไทยที่เข้าไปเรียนอยู่ในสหรัฐอเมริกานำเข้าเผยแผ่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเขาได้รับผลดีจากการฝึก T.M. มาแล้ว

สมาธิแบบ T.M. นี้ ก็คล้ายกับสมาธิในพระพุทธศาสนามาก แต่ก็ไม่เหมือนกันทีเดียว ถ้าเทียบกันแล้วก็เป็นสมาธิขั้นต้นในพระพุทธศาสนา ถ้าเราได้ฝึกกันอย่างจริงจังและใช้เวลาฝึกกันติดต่อกันเป็นปีๆ เช่นนี้ ก็ย่อมได้รับผลเช่นกัน และมีผลเหนือกว่าด้วย เพราะเป็นสมาธิที่พระพุทธเจ้าทรงทดสอบได้ผลเป็นอย่างดีมาแล้ว

  

885.
กราบเรียนท่านอาจาร์ย ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง ครับ

ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้เปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตให้คิดดี ทำดี พูดดี ตลอดเวลา ก็ด้วยคำสอนต่างๆของ อาจารย์สนอง
และผมคิดว่าจะยึดถือแบบอย่างของ อ.สนอง เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของผมครับ

วันนี้ผมมีคำถามบางอย่างอยากจะถามนะครับ
1.ปัจจุบันการดำเนินชีวิตนั้นค่อนข้างจะมีความสับสนมาก เพราะจะยึดถือการดำเนินชีวิตโดยดูจากคนรอบข้าง ซึ่งคนรอบๆข้างส่วนใหญ่ก็จะเดินไปตามกระแสกิเลสตัณหา ถึงแม้เราไม่ได้ ใกล้ชิดกับคนกลุ่มนั้นมากแต่ด้วยได้ดูได้เห็น มันก็เก็บมา คิดโดยอัตโนมัติ จึงหาแบบอย่างการดำเนินชีวิตของคนปัจจุบันนั้นยากผมคิดแบบนี้ถูกมั้ยครับ

2.ผมได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองคือจะพยายามห่างคนพาล( เพื่อน,ญาติ ที่มีพฤติกรรมเป็นคนพาล)ให้มากที่สุด และพยายามเลือกสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อที่จะทำให้เราเป็นคนคิดดี ทำดี พูดดี
การกระทำของผมไม่ได้เป็นการหนีปัญหาใช่มั้ยครับ ผมทำเพื่อระวังใจตัวเองไม่ให้ไหลไปกับความชั่ว

3.ในใจผมยังมีคำปรามาส ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่( พระรัตนตรัย พระอริยะเจ้า) ผู้มีคุณทั้งหลาย ทั้งๆที่ใจไม่ได้ยินดีกับคำปรามาสที่อยู่ในหัวเลยเป็นแค่คำๆที่เหมือนห้ามจิตคิดก็ยิ่งยุให้คิด
ทุกครั้งจะกล่าวขออภัยทุกครั้งในใจ ผมจึงพยายามนั่งสมาธิ อบายมุขต่างๆก็ลด ละ เลิก ให้พยายามคิดแต่สิ่งดีๆ ทุกอย่าง ผมสังเกตตัวเองเลยว่า เพราะมีสิ่งไม่ดีในใจมากเราจึง คิดพูดทำแต่สิ่งไม่ดี แบบนี้ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ การที่เราพยายามคิดดี ทำดี พูดดี ให้ฝังในจิตใจบ่อยจะทำให้ของเก่าที่ไม่ดีในใจหมดไป ใช่มั้ยครับ

4.ทำไมพอเราเริ่มจะหันมา คิดดี ทำดี พูด ดี แล้วมักจะหมดกำลังใจยังไงไม่รู้ครับเพราะใจมันมักจะยังมีสิ่งไม่ดีในใจยังอยู่เสมอเลยครับ แต่ก็ฝืนความรู้สึกไปในทางที่ดีเสมอ

5.จะทำอย่างไรให้การ คิดดี ทำดี พูดดี ให้สามารถมีอยู่ในใจทุกขณะตื่นแม้เจออุปสรรคก็ไม่ท้อแท้

   ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร ที่ชี้ทางสว่างให้ครับ

คำตอบ
  สาธุ...สัมมาทิฏฐิบางเรื่องได้เกิดขึ้นกับผู้ถามปัญหา

   (1) เป็นความคิดถูกของผู้ถามปัญหา ผู้รู้คิดวาแบบอย่างการดำเนินชีวิตของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เขาเหล่านั้นล้วนเป็นครูสอนใจไม่ให้เราประพฤติตามแนบที่เขาได้ทำให้ดู ชีวิตของเราจะไม่สับสนอย่างเขา

   (2) สำหรับผู้ที่มีสติสัมปชัญญะไม่กล้าแข็งการจะไม่เสวนากับคนพาลเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ในทางธรรมสอนให้เรารู้ว่าบุคคลไม่สามารถหนีใจตัวเองได้พ้น ดังนั้นเขาจะไม่ปลีกตัวออกห่างจากคนพาล แต่จะพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้มีกำลังสติปัญญากล้าแข็งแล้วอยู่ร่วมกับสิ่งกระทบที่ไม่ดีเหล่านั้นได้ โดยจิตไม่รับเอาสิ่งกระทบไม่ดีเข้ามาปรุงให้เกิดเป็นอารมณ์ติดลบ นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาของผู้รู้เขาแก้ปัญหาที่ตัวของเขาเอง ผู้รู้จึงไม่หนีปัญญาด้วยการนำตัวออกห่างจากคนพาล

   (3) คนดีทำดีได้ง่ายทำชั่วได้ยาก คนชั่วทำชั่วได้ง่ายทำดีได้ยาก บุคคลทำกรรมได้สามทาง คือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ความคิดเป็นเรื่องของมโนกรรม ผู้ใดประสงค์มีจิตคิดเป็นกุศล ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง แล้วนำสติมาเป็นตัวหยุดความคิดชั่ว นำสติมาเป็นตัวทำให้เกิดความคิดดีให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ

   สุดท้าย แม้ทุกพฤติกรรมที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่ล้วนแต่เป็นกุศลกรรมก็มิได้หมายความว่า อกุศลกรรมเก่าที่ฝังอยู่ในจิตวิญญาณจะหมดไปแต่กุศลกรรมใหม่ไปทำให้อกุศลกรรมเก่าเจือจางลง

   (4) ผู้รู้นิยมเจริญความเพียร ๔ อย่างให้เกิดขึ้นอยู่เสมอด้วยการ
      - เพียรระวังบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น
     - เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป (ใช้ไตรลักษณ์เป็นเครื่องมือ)
     - เพียรทำกุศลใด ๆ ที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น
     - เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ให้คงอยู่

   หากผู้ถามปัญหาเชื่อแล้วทำตามที่ผู้รู้เสนอแนะ จนสามารถเอาชนะใจตนเองได้เมื่อใดแล้ว ปัญหาดังที่ถามจะหมดไป

   (5) ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติจนเป็น “ มหาสติ ” และพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นถูกตรงตามที่เป็นจริง จนเป็น “ มหาปัญญา ” ได้แล้วจิตจะไม่เป็นเช่นกระโถน รองรับกิเลสทั้งปวง (ขยะ) เข้ามาปรุงแต่งใจให้เกิดเป็นความเศร้าหมองได้
   

884.
สวัสดีครับดร.สนอง วรอุไร

ผมได้ติดตามผลงานการบรรยายธรรมของท่านทางเว็บไซค์ กัลยาณธรรม รู้สึกตนเองโชคดี ที่ได้พบกัลยาณมิตร ในทางธรรม เมล์ฉบับนี้ ผมมีข้อสงสัยคือ ผมได้ไปปฎิบัติธรรม ที่วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี โดยทางวัดจะให้ผู้ปฏิบัติรับศิล 8 ขณะรับศิลผมคิดว่าจะขอปฏิบัติแค่ศิล 5 เท่านั้น เพราะตัวผมมีกลิ่นตัว จึงใช้น้ำยาระงับกลิ่นกาย ขณะใช้ก็ไม่คิดว่าเป็นของหอม เพราะต้องการแค่มิให้กลิ่นตัวของเราไปทำลายสมาธิของผู้อื่น ไม่ทราบว่า จะมีผลอย่างไร

ขอบคุณครับ
   ผู้เดินทางไกล

คำตอบ
   มีเจตนารับเพียงศีล 5 มาปฏิบัติ ให้กล่าววาจาสมาทานศีลเพียงห้าข้อแรกก็มิได้ผิดอะไร ส่วนเรื่องยาระงับกลิ่นกายหากผู้ถามปัญหาประสงค์ไม่ให้กลิ่นเข้าไปรบกวนประสาทของผู้ปฏิบัติธรรมอื่น ๆ ควรเลือกให้สารที่ไม่ส่งกลิ่นรุนแรงเช่น คนโบราณนิยามใช้สารส้มแก้ปัญหาแบบเดียวกันนี้
   

883.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

   หนูได้สวดพระคาถาชินบัญชรได้ประมาณ 2 เดือนแล้วค่ะ หลังจากสวดมนต์เสร็จก็แผ่เมตตาและสวดอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่และเจ้ากรรมนายเวร หนูเพิ่งทำบุญทำทาน สนใจเรื่องธรรมะเมื่อต้นปีค่ะ ทุกสิ้นเดือนก็จะบริจาคเงินที่รพ.สงฆ์หรือบริจาคเงินซื้อโลงศพที่มูลนิธิร่วมกตัญญูข้างวัดหัวลำโพง แต่จะเขียนชื่อพ่อแม่เสมอค่ะ

   แต่เมื่อเช้านี้หนูได้อ่านหนังสือพัฒนาจิตของอาจารย์ค่ะ แล้วรู้สึกง่วงก็เลยนอนแล้วก็ฝันเรื่องที่กังวลอยู่(ไม่ใช่เรื่องที่อ่านค่ะ) หลังจากนั้นก็หลับโดยไม่ฝัน สักพักก็เกิดเป็นแสงสว่างไปทั่วแล้วเริ่มมีลูกกลมๆสีเหลืองอมน้ำตาลเป็นภาพมัวๆจึงเข้าใจไปว่าเป็นลูกแก้วที่เวลาคนนั่งสมาธิแล้วเห็นกัน แต่เกิดความสงสัยว่าใช่หรือไม่ เพราะไม่ค่อยได้นั่งสมาธิ แล้วหนูก็รู้สึกเหมือนจิตดิ่งลงไป แล้วภาพที่เห็นก็ชัดขึ้นปรากฏเป็นรูปดวงตาค่ะ พร้อมกับเกิดคำถามขึ้นมาว่า อะไรเนี่ย ทันทีทีเกิดคำถามขึ้นในใจหนูก็ได้ยินเสียงเหมือนเป็นเสียงสวดมนต์ขึ้นที่หูซ้ายแต่ไม่รู้ว่าเป็นสวดมนต์บทไหน จึงนึกขึ้นว่า ไม่ได้แล้วต้องรีบตื่น เพราะรู้สึกว่าหนูยังไม่ได้ฝึกการนั่งสมาธิที่ถูกต้องเลย จึงคิดว่าไม่ควรเห็นหรือได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น จึงตื่นแต่ค่อยๆลืมตาเพราะรู้สึกว่าหนักตัว ขยับตาและตัวลำบากค่ะ

   จึงอยากถามว่า เหตุการณ์ที่หนูได้เจอมันคืออะไรคะ หนูควรจะไปฝึกสมาธิเลยหรือไม่ (ตอนนี้ยังเรียนไม่จบค่ะ) ขอให้ช่วยแนะนำสถานที่สำหรับคนที่ไม่รู้วิธีนั่งสมาธิด้วยค่ะ (หนูพักแถวพาต้าปิ่นเกล้าค่ะ)

ท้ายนี้ หนูขออนุโมทนาบุญที่ท่านอาจารย์ที่มีเมตตาช่วยตอบคำถามคลายข้อสงสัยของสมาชิกกัลยาณธรรมทุกท่านด้วยค่ะ
  ขอกราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นภาพลวงใจ เกิดกับจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิชั่วขณะ หากนำตัวเองเข้ารับการฝึกปฏิบัติธรรมจะทำให้จิตมีกำลังของสมาธิเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความจำดีขึ้น เรียนเก่งขึ้น สถานที่ฝึกที่อยู่ไม่ไกลจากพาต้าปิ่นเกล้า แนะนำให้ไปฝึกที่ยุวพุทธิกสมาคม
  

882.
กราบเรียน ท่านอ.ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

ก่อนอื่นขอร่วมอนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์ และพี่ๆเพื่อนๆชมรมกัลยาณธรรมทุกท่านในบุญกุศลแห่งการเผยแผ่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เป็นผู้ชี้ทางสายเอกแห่งวิปัสสนากรรมฐานให้แก่หนูรวมถึงครอบครัวด้วยค่ะ

ครั้งหนึ่ง หนูได้เคยมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ84พรรษาที่จ.จันทบุรี ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้เมตตาชี้แนะและตอบข้อสงสัยให้หนู แต่ครั้งนั้นด้วยความปิติดีใจที่ได้สนทนากับท่านอาจารย์จึงลืมที่จะขออโหสิกรรมกับท่านอาจารย์ เนื่องด้วยหนูเคยรู้สึกสงสัยในบางคำตอบของท่านอาจารย์ที่เคยมีผู้ถาม แต่ก็รู้ว่าเพราะตัวเองยังพัฒนาจิตของตนได้ไม่ดีพอที่จะพิสูจน์ในสิ่งที่ท่านอาจารย์ได้ตอบเอง (เป็นคนมีความเพียรน้อยเองค่ะ) หนูจึงกราบขออโหสิกรรมในกาย วาจา ใจ ที่เคยล่วงเกินต่อท่านอาจารย์ด้วยนะคะ

ในวิปัสสนากรรมฐานที่หนูปฏิบัติอยู่ หนูเน้นการดูจิตค่ะ แต่สังเกตว่าถ้าไม่มีสมาธิพอจะดูจิตไม่ทัน

ที่หนูสงสัยและต้องรบกวนถามท่านอาจารย์คือ

1.ที่หนูทราบคือสมาธิมีหลายระดับ แต่ไม่ใช่ทุกคนใช่ไหมค่ะที่สามารถเข้าถึงระดับฌาน ได้แม้จะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แต่ถ้าหนูไม่สามารถเข้าสมาธิถึงฌานได้หมายความว่าหนูไม่เคยทำมาก่อนในอดีตชาติหรือเพราะยังเพียรไม่พอหรือทั้งสองอย่างคะ และจริงๆแล้วจำเป็นหรือเปล่าคะที่หนูต้องเข้าสมาธิถึงระดับฌานได้ และมีความเป็นไปได้แค่ไหนคะ สุดท้ายถ้าหนูอยากเข้าฌานเพื่อพิสูจน์ด้วยตนเองจะไม่ถือเป็นวิปัสสนูปกิเลสหรือคะ

2.ช่วงนี้ หนูมักจะวางอุเบกขาไม่ได้กับเหตุการณ์บ้านเมืองที่มีนักการเมืองไม่ดี ชาวบ้านลำบากทั้งที่ท่านอาจารย์ก็เคยชี้แนะแล้วว่าผู้รู้ต้องพัฒนาจิตตนก่อน ไม่ควรเข้าไปยุ่งในกรรมของคนอื่น แต่หนูก็บริจาคเงิน+ยา ช่วยผู้ชุมนุมอยู่บ่อยๆเพราะสงสารที่ต้องไปตากแดดตากฝนกลางถนนและลึกๆคือเกลียดคนโกงค่ะ พี่ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยกันก็เช่นกัน แต่ตอนนี้หนูเริ่มรู้สึกกลัวว่าเผื่อชาติหน้าหากต้องมาเกิด(แต่จริงๆไม่อยากเกิดแล้วค่ะ) ต้องมาเจอพวกคนโกงอีกก็เลยบอกพี่ๆและแฟนว่าเราอย่าไปบริจาคช่วยเขาสร้างเวรกรรมกันอีกเลย รอกฏแห่งกรรมลงโทษเองดีกว่า แล้วที่หนูและพี่ๆทำบุญบริจาคไปแล้วจะแก้อย่างไรดีคะ สุดท้ายทางโลกเราต้องวาง เลือกทางธรรมอย่างเดียงแม้จะห่วงอนาคตประเทศชาติใช่ไหมคะ

อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะค่ะ เพราะหนูตั้งใจว่าจะขออนุญาตนำคำตอบของท่านอาจาย์ไปเผยแผ่และอ้างอิงกับญาติธรรมทั้งหลายค่ะ

กราบขอกราบขอบพระคุณ และร่วมอนุโมทนาบุญ กับ.. กับ..ท่านอ.ดร.สนอง วรอุไร และชมรมกัลยาณธรรม ด้วยนะคะ

คำตอบ
  ให้อโหสิแล้ว ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง มิใช่พัฒนาจิตให้เกิดความตั้งมั่นเป็นสมาธิในฌาน การพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งไม่จำเป็นต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นฌาน คนที่เกิดมาในยุคสมัยนี้ จำเป็นต้องพัฒนาจิตให้เกิดสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ให้ได้ก่อน แล้วปัญญาเห็นแจ้งจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

   (1) อยากเข้าฌานได้ไม่ใช่วิปัสสนูปกิเลส แต่เป็นกิเลสตัวที่เรียกว่า ตัณหา ผู้ใดมีจิตอยู่ใต้อำนาจความอยาก (ตัณหา) ฌานและญาณจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้

   (2) ผู้ใดเอาจิตเข้าไปร่วนกระบนกรรมของคนอื่น เมื่อกรรมให้ผลเป็นวิบาก ผู้ร่วมกระบวนกรรมต้องเป็นผู้รับวิบากนั้น ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จึงไม่เข้าไปร่วมในกระบวนกรรมของใครผู้ใด แต่ผู้รู้เอาการกระทำของคนอื่นมาเป็นครูสอนใจตนเองว่าหากเขาทำดีเราจะทำอย่างเขา และหากเขาทำไม่ดีเราจะไม่ทำเช่นเขา

   สิ่งที่ผู้ถามปัญหาเคยร่วมกระบวนกรรมกับเขาไปแล้วถือว่าบาปได้เกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณแล้ว หากประสงค์จะไม่ให้บาปประเภทนี้มีกำลังกล้าแข็งมากยิ่งขึ้น ต้องหยุดตัวเองไม่เข้าไปร่วมกระบวนกรรมใด ๆ กับเขา แล้วหันมาพัฒนาจิตตนเองให้เป็นอิสระต่อสิ่งกระทบทั้งปวงได้ นับว่าเป็นสิ่งดีที่ควรทำ และหากจะให้ดียิ่งขึ้นต้องพัฒนาจิตตนเองให้เป็นอิสระจากสังโยชน์ 10 ได้แล้วนั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่มนุษย์ เทวดา พรหม ผู้หวังอิสรภาพของชีวิตได้ยึดถือปฏิบัติกัน

   สุดท้ายอนุญาตให้นำคำตอบไปเผยแพร่อ้างอิงกับญาติธรรมได้
  

881.
กราบเรียน อาจารย์สนอง ที่เคารพรับถืออย่างสูง

ชีวิตผมที่ผ่านมาไม่ใช่คนดีมาก ทำให้ต้องปวดหัวใจกับคนที่บ้าน เป็นคนกังวลมาก ขี้สงสาร ขี้กังวล สงสารคนไปหมด เลยต้องรับภาระทำงานหลายอย่าง ทำให้ชีวิตต้องเป็นแบบนี้ ผมเป็นลูกคนโต ต้องพยายามห้ามไม่ให้น้องๆ ทะเลาะกัน เพราะสงสารคุณแม่ ใจจริงผมอยากทำตัวแบบอาจารย์ สอนคน เมตตาคน แต่ตัวเองสมาธิก็ไม่ได้เรื่อง จิตใจว้าวุ่น ไม่เป็นตัวของตัวเอง ทุกข์กับทางบ้านตลอด ผมอยากทราบอดีตชาติ ไปทำอะไรกับคนทางบ้าน ทำให้ผมต้องมากังวลตลอด นิสัยขี้สงสาร ไม่อยากให้มีปัญหา

กลัวคุณแม่ทุกข์ อยากได้อาจารย์เป็นกัลยมิตร หาทางส่วางผมให้หน่อยครับ คิดว่าเมตตาคนทุกข์ลำบากซะคน ต้องทนทุกข์ลักษณะแบบนี้ เป็นเวลาเป็น สิบ ๆ ปี จนบางทีไม่เข้าใจตัวเองเลยทำไมมารับภาระแบบนี้ ถ้ารู้อดีตชาติทำอะไรมา เมื่อไหร่หมด ผมยอมรับ แต่ทุกวันนี้ไม่ทราบว่าเวรกรรมจะหมดเมื่อไหร่ มันยาวนานแค่ไหน ทุกข์มากจริงๆ ครับอาจารย์ แล้วอยากให้อาจารย์ชี้แนะการปฏิบัติให้ผมด้วย เวรกรรมนี้น่ากลัวมากจริงๆ ผมขอสมัครเป็นศิษย์อาจารย์ด้วยคนครับ สงสารลูกศิษย์คนนี้อีกคนนะครับ

นับถืออย่างสูงด้วยจิตใจ
สุวิศิษฏ์ โชติพุทธิกุล

คำตอบ
   การไปรู้กรรมในอดีตชาติไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้หมดไป ผู้เห็นถูกใช้ผลของกรรมในปัจจุบันมาเป็นครูสอนใจว่าตัวเองได้สร้างอกุศลกรรมไว้ก่อน เมื่อกรรมส่งผลเป็นอกุศลวิบกผู้ทำกรรมจำต้องรับและชดใช้หนี้กรรมนี้ จะได้ชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดสิ้นกันไปในชาตินี้

   ผู้มีความเห็นถูกเห็นว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้มีพระคุณ เพราะเขาได้ทำให้เราได้สร้างขันติบารมี ทำให้เราได้สร้างสัจจบารมีและยอมใช้หนี้ที่ตัวเองได้ก่อไว้

   ผู้เห็นถูกเห็นว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้มีประสบการณ์มากขึ้น ฯลฯ

   สุดท้ายผู้ถามปัญหาประสงค์เป็นศิษย์ของผู้ตอบปัญหา เรื่องนี้เป็นได้ต่อเมื่อผู้ถามปัญหาต้องเห็นถูกตามธรรมมีจิตเป็นอิสระต่อความเห็นผิดใดๆ ได้แล้วความเป็นครูเป็นศิษย์เกิดขึ้นเมื่อนั้น
  

880.
กราบเรียนท่านอาจาร์ย ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

หนูเป็นผู้เพิ่งเริ่มปฏิบัติอยากให้อาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตให้สมดุลได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ซึ่งหนูมีเรื่องรบกวนเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. สามีหนูทำงานประจำ และเริ่มมาทำอาชีพเสริมด้วยการเปิดร้านเช่าพระบูชา ซึ่งได้มาด้วยความสุจริต แต่หนูยังมีความกังวลด้วยถือว่าพระเป็นของสูง แล้วหากนำมาทำเป็นธุรกิจ อาชีพนี้ถือเป็นบาปหรือไม่คะ

2. ปัจจุบันหนูมีร่างกายที่ซูบผอม ซึ่งอาจเกิดมาจากผลกรรมที่เคยทำไม่ดีไว้ แต่ก็ยังคงทำการงานได้ตามปกติอยากให้อาจารย์ช่วยแนะแนวทางการแก้ไข เพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรงธาตุทั้ง 4 ในร่างกายมีความสมดุลขึ้นกว่านี้ เพียงพอกับเวลาที่เหลืออยู่ของชาตินี้ ที่จะปฏิบัติให้เกิดสติปัญญาในทางธรรมได้ตามกำลังวาสนาบารมีของตนได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีอุปสรรคทางกายมาเบียดเบียน

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง ที่มีเมตตาช่วยชี้แนวทางสว่างให้กับทุกๆคน และขอให้อาจารย์เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ

กฤษฎาภรณ์

คำตอบ
   (1) บาปหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ในการประกอบอาชีพ หากมีเจตนาเพื่อให้ตนมีศรัทธานำไปไว้เป็นที่ระลึกและบูชาคุณงามความดีของพระพุทธะ หรือบูชาคุณงามความดีของเกจิอาจารย์ไม่ถือว่าเป็นบาป แต่หากมีเจตนารมณ์ต่างไปจากนี้เช่นบูชาในอิทธิปาฏิหาริย์ บูชาเพื่อให้ตัวเองร่ำรวย บูชาเพื่อให้ตนเองอยู่ยงคงกระพัน ฯลฯเหล่านี้ในทางธรรมถือว่าเป็นบาป

   (2) ต้องทำเหตุให้ถูกตรงคือสร้างมหาทานด้วยการให้อาหารเป็นทานอยู่เสมอ เช่นสร้างโรงทาน เลี้ยงพระอย่างน้อยเจ็ดวันให้ยาว แรงกรรมจะส่งผลเป็นความสมบูรณ์แข็งแรง
   

879.
กราบเรียนท่านอาจาร์ย ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

หนูขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาที่ท่านอาจาร์ยชี้ให้เห็นว่า น้องชายที่มัวเมาอยู่ในยาเสพติดของหนู เป็นเจ้ากรรมนายเวรของพ่อ แม่ และตัวหนูเอง หนูขอเรียนถามอาจาร์ยเพื่อการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องดังต่อไปนี้ค่ะ

1. ถ้าหนูหมั่นปฎิบัติธรรมด้วยการให้ทาน รักษาศีล และสวดมนต์ ทำสมาธิ อุทิศบุญให้น้องชาย พร้อมทั้งอธิฐานจิตขอให้เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข ยาเสพติด พร้อมทั้งมีดวงตาเห็นธรรมได้ จะสามารถทำให้เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและเลิกสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวได้หรือไม่ค่ะ หรือ มีการปฏิบัติธรรมแบบใด ที่จะให้
อานิตสงค์ที่สามารถช่วยเขาและครอบครัวของหนูได้ค่ะ

2. มีวิธีใดบ้างค่ะ ที่จะดึงน้องชายออกจากบาปมิตรและสถานที่อโคจร ให้เขามีสัมมาทิฐิ ละอายและเกรงกลัวต่อบาป เพราะเพื่อนที่คบอยู่ตอนนี้มีแต่คนพาลที่จะชักจูงไปในทางที่ผิด ชอบชวนไปดื่มเหล้าและเที่ยวกลางคืนทั้งนั้น ไม่มีกัลยาณมิตรเลย ห้ามไม่ให้คบ ไม่ให้ไปก็ไม่ได้ค่ะ ทำอย่างไรเขาถึงจะเลิกคบคนพาล และพบเจอแต่กัลยาณมิตรค่ะ

3. มีวิธีใดบ้างค่ะ ที่จะทำให้ครอบครัวหนู โดยเฉพาะน้องชายหันมาปฏิบัติธรรม คิดดี ทำดี พูดดี ได้มีโอกาสเจริญสมาธิ วิปัสสนา ครอบครัวหนู โดยเฉพาะน้องชายกับ พ่อ แม่ของหนู มักจะทะเลาะเบาะแว้ง มีปากเสียงกันรุนแรง หนูเป็นทุกข์ใจในทุกๆวัน ไม่ทราบจะแก้ไขอย่างไรดีค่ะ

ท้ายสุดนี้ขอกราบขอบพระคุณอาจาร์ยเป็นอย่างสูง ที่มีความเมตตาช่วยชี้ทางสว่างให้กับผู้ที่มีความทุกข์ทุกคน
และขอให้บุญกุศลนี้ส่งผลให้อาจาร์ยมีความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

คำตอบ
    (1) อธิษฐานหมายถึงการตั้งใจมั่นหรือการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวในทางดำเนินเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของตน ผู้ถามปัญหาสามารถอธิษฐานได้แต่จะบรรลุจุดมุ่งหมายได้ต่อเมื่อน้องชายต้องเห็นดีด้วย แล้วพัฒนาจิตตนเองให้ทำเหตุถูกตรงเพื่อนการพ้นไปจาปัญหานั้น

   (2) วิธีแก้ปัญหาเช่นนี้ในทางโลก ต้องนำตัวผู้สร้างปัญหาออกห่างไกลจากบาปมิตรไปอยู่ในหมู่กัลยาณมิตร หากเป็นกัลยาณมิตรผู้มีบุญบารมีมาก โอกาสที่น้องชายเปลี่ยนใจให้มาอยู่ในทางที่ดีจึงจะมีความเป็นไปได้

   (3) ผู้ถามปัญหาต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีธรรมคุ้มครองใจจนพ่อแม่และน้องชายศรัทธาได้เมื่อใดแล้วปัญหาดังกล่าวจึงจะแก้ไขได้
  

878.
เรียนถามท่านอาจารย์ดร.สนอง

มีญาติบวชเป็นพระ ท่านได้รับสังฆทานมากมาย ถ้าท่านอนุญาตให้เรานำของสังฆทาน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ไฟฉาย เป็นต้น ให้เรานำมาใช้เป็นของส่วนตัว แบบนี้ ผู้ให้ผู้รับจะเป็นบาปหรือไม่

ขอขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์

คำตอบ
    คำว่า “ สังฆทาน ” หมายถึง ทางที่ให้แก่หมู่สงฆ์หากหมู่สงฆ์อนุญาตให้ฆราวาสนำสบู่ยาสีฟันไฟฉาย ฯลฯ ไปใช้เป็นการส่วนตัวได้ ผู้รับอนุญาตไม่เป็นบาป ส่วนคำว่า “ ปุคคลิกทาน ” หมายถึง ทานที่ถวายแก่สงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อสงฆ์เจ้าของทานอนุญาตให้ฆราวาสนำไปใช้ได้ ไม่ถือว่าเป็นบาปแก่ผู้รับอนุญาต
  

877.
เรียนสอบถามท่านอ.ดร.สนองค่ะ

ดิฉันได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมมา เป็นเวลา 10 วันตามแนวทางสติปัฏฐาน 4 มีข้อสงสัยดังนี้ค่ะ

1. หากเราใช้เพียง ขณิกะสมาธิ เพื่อพิจารณา เวทนา ที่เกิดขึ้น ทั้งร่างจะเป็นไปได้ไหมค่ะ เนื่องจากดิฉันเป็นผู้ที่มีความฟุ้งซ่านมาก รู้สึกว่า ไม่ค่อยสามารถรวมจิตมาพิจารณา เวทนา ได้ไม่นานจิตก็จะฟุ้งซ่านไป แล้วพอรู้สึกตัวค่อยกลับมาพิจารณาใหม่ หรือว่า ควรจะฝึกจน สมาธิ แน่วแน่กว่านี้ค่อยพิจารณา

2.ดิฉันมีเจตนาตั้งมั่น ในการดูแลร่างกายให้แข็งแรงเพื่อบริจาคเลือด ทุก ๆ 3 เดือน ก็ทำได้ดีมาระยะนึงแล้วค่ะ แต่ที่สงสัยคือ การบริจาคลือดเป็น อุปบารมี การทำทานชนิดนี้ ให้ผลอย่างไรค่ะ

3. จากข้อสอง การให้ทานแบบนี้ เราสามารถจะอุทิศให้ผู้อื่นได้ด้วยหรือไม่ หากผู้อื่นมาร่วมโมทนาก็จะได้กุศล ด้วยใช่หรือไม่

กราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ เป็นอย่างสูง

คำตอบ
     (1) จากคำที่บอกเล่าไป เพียงขณิกสมาธิยังไม่สามารถนำมาแก้ปัญหาเวทนาที่เกิดขึ้นได้ ฉะนั้นควรต้องเจริญสติจนกระทั่งจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) จึงจะมีกำลังกำหนดเวลาให้หมดไปได้

   (2) การบริจาคโลหิตจัดเป็นทานอุปบารมี มีอานิสงส์ส่งผลให้ร่างกายของผู้บริจาคมีสุขภาพแข็งแรง ไม่อาพาธและมีอายุยืนยาว สามารถกำจัดกิเลสอาทิ ความตระหนี่ ให้หมดไปจากใจได้ง่ายขึ้น

   (3) บุคคลสามารถให้เลือดเป็นทานกับผู้ต้องการเลือดได้ทุกคน ผู้ใดรู้แล้วอนุโมทนาในทานอุปบารมีของผู้บริจาค เขาผู้นั้นจะได้รับอานิสงส์แห่งทานนั้นด้วย
  

876.
กราบเรียนถามอาจาร์ย ดร.สนองค่ะ

น้องชายของหนูอายุ 32ปี มัวเมาอยู่ในยาเสพติดมาเป็นเวลา 2ปีกว่าแล้วค่ะ เข้าบำบัดมา2ครั้ง (โดยไม่ได้เต็มใจไปเอง) ครั้งสุดท้ายนี้ เขาออกมาตั้งใจจะเลิก แต่ก็ยังคบเพื่อนที่มีปัญหายาเสพติดเหมือนกันอยู่ ยังไปในที่ๆไม่ดีอยู่
หนูอยากช่วยเหลือน้องชาย เพราะสงสารทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายวัย2ขวบของเขาเอง (ที่ไม่มีคุณแม่ดูแลแล้ว เพราะแยกทางกัน)ซึ่งกำลังจำและเลียนแบบพฤติกรรมผู้ใหญ่

หนูพยายามทำทาน สวดมนต์และทำสมาธิอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของน้องชาย และพยายามชักชวนให้คุณพ่อ คุณแม่ทำทาน สวดมนต์และทำสมาธิด้วย ส่วนน้องชายเคยขอให้เขาบวชแต่เขาปฏิเสธ

1. น้องชายของหนูเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคุณพ่อ คุณแม่หรือเปล่าค่ะ ที่บ้านไม่มีปัญหาอะไรเลยนอกจากเรื่องเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็จะคอยสร้างปัญหาให้ที่บ้านเดือดร้อนมาโดยตลอด โมโหร้าย ก้าวร้าวคุณพ่อ คุณแม่ เวลาเขาอยู่ที่บ้านแล้วบ้านจะไม่ค่อยมีความสุข ต้องคอยระวัง ยิ่งมีลูกชายของเขา หนูยิ่งกังวลกลัวเค้าเห็นภาพไม่ดี

2. มีวิธีไหนที่หนูจะช่วยให้น้องชายเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดได้บ้างค่ะ เขาตั้งใจที่จะเลิก แต่ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้อย่างที่ตั้งใจหรือเปล่า เพราะยังเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิจริงๆ

3. หนูอยากชักชวนให้น้องชายปฎิบัติธรรม(เขาเคยบวชมาแล้วตอนอายุ 23ปี) แต่เหมือนเขาไม่สนใจเลย แต่ถ้าชวนทำทานก็ไปบ้างตามโอกาส

4. หนูทุ่มเทช่วยน้องชายเต็มที่ จนความสุขและทุกข์ของหนูไปขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเขา ถ้าเขาไปทำตัวไม่ดี หนูจะเครียดและกังวลมากจนไม่เป็นอันทำอย่างอื่น หนูอยากวางอุเบกขาให้ได้ แต่ยังทำไม่ได้เลยค่ะ ทำสมาธิบางที่ก็ฟุ้งซ่านเป็นกังวล จนคุณแม่เห็นแล้วสงสารหนูแทน หนูควรทำอย่างไรดีค่ะ


ท้ายสุดนี้หนูกราบขอบพระคุณอาจาร์ยดร.สนอง ที่เมตตาชี้ทางสว่างให้หนูและครอบครัว กราบขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
(1)เวรหมายถึงความปองร้ายกัน ความแค้นเคืองฯลฯ พฤติกรรมของน้องชายตามที่บอกเล่าไปถือได้ว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพ่อแม่ได้

(2) ไม่มีใครแก้ปัญหาให้ใครได้แท้จริง แต่มีใครแก้ปัญหาให้หมดไปได้แท้จริง ด้วยการแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาให้ดับไปด้วยตัวของตัวเอง

ดังนั้นความประสงค์ที่จะให้น้องชาย เลิกยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติดในทางโลกทำได้ด้วยการนำตัวน้องชายให้ห่างไกลจากบาปมิตร และแหล่งที่มีการซื้อขายยาเสพติด วิธีการเช่นนี้พอจะช่วยเขาได้บ้าง

(3) เพียงแต่บอกเจตนาที่ดีแต่มิได้ถามเป็นปัญหา จึงไม่ต้องตอบ

(4) นอกจากเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพ่อแม่แล้ว น้องชายยังเป็นเจากรรมนายเวรของพี่สาวอีกด้วย

ความอยากวางใจเป็นอุเบกขานั้นอยากได้ แต่ผลสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ต้องทำเหตุให้ถูกตรง อุเบกขาเกิดได้สองแนวทาง คือพัฒนาจิตจนตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน 4 หรือพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งตามดูสิ่งที่เข้ากระทบจิต ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อสิ่งกระทบจิตเข้าสู่ความเป็นอนัตตาจิตจะปล่อยวางสิ่งกระทบ แล้วอุเบกขาจะเกิดขึ้นกับจิตได้
   

875.
ขออนุญาตรบกวนเวลาของท่านอาจารย์ ดร.สนองด้วยคะ ดิฉันมีปัญหาเรียนถามท่านดังนี้คะ

1. หากมีเวทนาเกิดขึ้นขณะปฎิบัติ เรากำหนดปวดหนอเป็นเวลานานอาการนั้นไม่หายไป เราจะกลับมาที่พองยุบได้หรือไม่ หรือต้องกำหนดที่เวทนานั้นจนหมดเวลาคะ( เวลาปวดจะมีอาการไม่สบาย ใจจะสั่น ร่างกายจะสั่นน้อยๆ คะ )

2. เวลาเดินจงกรมจะง่วงมากคะ ควรวางสายตาอย่างไรคะในเวลาเดินจงกรม เพื่อให้อาการง่วงนั้นหายไป เวลานั่งสมาธิจะมีอาการง่วงช้ากว่าการเดินจงกรมคะ หรือว่าเราควรบริกรรมขณะเดินอย่างเร็วๆคะ

3. ดิฉันมีอาชีพเป็นครูคะ ในชั่วโมงที่ไม่มีสอน หรือเวลาที่สั่งงานให้เด็กทำ ( ดิฉันจะคอยตอบคำถามเด็กในห้องตลอดไม่ได้ไปไหน ) ดิฉันจะมาเปิดเวปไซต์ ธรรมะ เพื่อศึกษา ถือว่าเป็นการคอรัปชั่นเวลาหรือไม่คะ ( ที่บ้านเปิดอินเทอร์เน็ตไม่ได้คะ)

4. การแผ่เมตตาเพื่อลดโทสะนั้น ดิฉันมักจะแผ่เมตตาด้วยคำบริกรรม ที่ว่า เมตตาคุณนัง อรหังเมตตา ให้ตัวเองเวลาที่โกรธ และเมื่อพบคนที่ไม่พอใจ ทำถูกหรือไม่คะ

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณในความเมตตาที่ท่านอาจารย์ ดร.สนองที่มีต่อพวกเราทุกคนคะ

คำตอบ
    (1) หากกำหนดว่า “ ปวดหนอ ๆๆๆ ” เป็นเวลานานแล้วอาการปวดยังไม่หายไป ต้องกำหนดต่อไปไม่หยุด แม้จะเป็นร้อยครั้งหรือหลายร้อยครั้งก็ยังต้องทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการปวดจะดับไปตามกฎของไตรลักษณ์ ในขณะที่ทุกขเวทนายังไม่ดับไป ต้องไม่นำจิตกลับมาจดจ่ออยู่กับอาการพอง-ยุบ ของผนังหน้าท้อง

   (2) ควรเลิกเดินแล้วใช้วิธีแก้ความง่วงในหนังสือสนทนาภาษาธรรมเล่ม 8 ข้อ 117 และสนทนาภาษาธรรม เล่ม 6 ข้อ 66 มาแก้ปัญหา

   (3) เอาเวลาราชการมาใช้ในเรื่องส่วนตัว ถือว่ามีการคอรัปชั่นเวลาครับ

   (4) ผู้ใดมีอารมณ์โกรธเกิดขึ้นกับจิตแล้ว แสดงวาจิตของผู้นั้นมีกำลังของเมตตาไม่กล้าแข็ง การบริกรรมด้วยคำว่า “ เมตตาคุณนัง อรหังเมตตา ” เป็นการดึงจิตให้มาจดจ่อ (สติ) อยู่กับองค์บริกรรม ซึ่งไม่ต่างไปจากการนับหนึ่งถึงสิบหรือนับหนึ่งถึงร้อยซึ่งมิใช่เป็นวิธีกำจัดโทสะให้หมดไปโทสะหมดไปด้วยการให้อภัยกับผู้ทำเหตุขัดใจ หากทำได้ทุกครั้งดังนี้เมตตาจะเกิดขึ้นและสั่งสมเป็นเมตตาบารมีอยู่ในจิตของผู้เข้าถึง
  

874.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพ

ดิฉันเป็นคนที่มีเงินไม่มากนัก ปกติดิฉันจะมีบาตรเล็กๆ ใบหนึ่งเอาไว้ใส่เงินที่แบ่งมาทุกวัน โดยตั้งใจว่าเงินนี้จะเป็นไปเพื่อบำรุงพระศาสนาและเพื่อผู้อื่นที่ยากไร้กว่า แต่วันหนึ่งดิฉันได้ทราบว่าผู้มีพระคุณที่เป็นเหมือนแม่คนที่ 2 ผู้ที่ตอนนี้กำลังดูแลแม้แท้ๆ ของดิฉันอยู่ด้วย กำลังมีความลำบากเรื่องเงิน ถึงขนาดไม่ค่อยจะมีพอซื้ออาหารทานอย่างเพียงพอ ส่วนตัวดิฉันเองก็ไม่มีมากพอที่จะเจียดให้จึงนำเงินในบาตรนี้ออกมาเพื่อให้ท่านไว้ใช้จ่าย ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นจำนวนแค่นิดหน่อย อยากถามว่าทำแบบนี้เป็นบาปหรือไม่คะ ถือว่านำของสงฆ์ไปใช้ในการส่วนตัวหรือเปล่า

และคำถามอีกข้อหนึ่งนะคะ ระยะนี้รู้สึกว่าทำอะไรก็ลำบาก ขัดสน เงินทองไม่พอใช้ คิดอะไรก็ไม่สมหวังคล่องตัวเหมือนเมื่อก่อนสักเท่าไหร่ ไม่ทราบว่าจะทำบุญหรือทำอย่างไรดีคะ ที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นกว่านี้ ดิฉันอยากมีกำลังพอที่จะเป็นแรงช่วยบำรุงพระศาสนา และดูแลผู้มีพระคุณให้ได้มากกว่านี้ รู้สึกว่าตัวเองเกิดมาเสียชาติเกิดอย่างไรก็ไม่รู้ค่ะ เกิดมาแค่เอาตัวเองรอดไปวันๆ ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้นเลย แค่หน้าที่ตัวเองในความเป็นลูก เป็นหลาน เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พบพระอริยเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งดูตาปริบๆ ระบายมาตั้งยาว ขอรบกวนท่านอาจารย์เพียงเท่านี้ค่ะ

บุญใดที่ดิฉันได้ทำมาทั้งอดีตชาติ และปัจจุบันชาติแม้จะน้อยนิดปานใดก็ขอเป็นแรงเล็กๆ อีกแรงหนึ่งให้ท่านอาจารย์มีบุญบารมียิ่งๆ ขึ้นไปและประสบสิ่งที่ท่านอาจารย์มุ่งหวังไว้ทุกประการ

ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
   ไม่ถือว่าเป็นบาป เพราะมิได้ประพฤติผิดไปจากเจตนาเดิมที่ตั้งใจไว้ ในอันดับที่สองของการออมเงิน ว่าออมเงินเพื่อบำรุงพระศาสนา และเพื่อผู้อื่นที่ยากไร้กว่า

วิธีแก้ปัญหาในตอนถัดไป คือต้องปรับแก้ไขตัวเองด้วย

1.  บริโภคใช้สอยมักน้อย เท่าที่ชีวิตดำรงอยู่ได้

2.  บริโภคให้สอยแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ (สาระ) กับชีวิตเท่านั้น

3.  ทุกอย่างที่บริโภคใช้สอย ต้องทำให้มีขึ้นด้วยตัวเอง โดยไม่ซื้อหา ฯลฯ

เหล่านี้จะทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ จากประสบการณ์ตรงของผู้ตอบปัญหา ได้นำพาชีวิตผ่านพ้นวิกฤตข้าวยากหมากแพงที่เกิดขึ้นในห้วงของสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งโหดร้ายกว่าที่เกิดขึ้นในปัจจุบันด้วยการประพฤติตนตามที่เสนอแนะมาข้างต้น
  

873.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์

   เนื่องด้วยดิฉันเป็นคนยึดมั่นถือมั่นเป็นอย่างมาก และเข้าใจผิดว่าทำดีแล้วต้องได้ผลกลับมาดีเสมอ โดยลืมคิดว่าทำดีก็ได้ดีตอนที่กระทำแล้ว จนกระทั่งดิฉันพบความผิดหวังในตัวบุคคลหนึ่งอย่างรุนแรง ก็ได้หันมาหาคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อดับทุกข์ และรู้แจ้งมากกว่า ใช้ความคิดเห็นด้วยกับคำสอนเพียงอย่างเดียว เหมือนอย่างที่ได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ว่าสำคัญที่ภาวนามยปัญญา ดิฉันระลึกถึงคำนี้มาโดยตลอด แต่ดิฉันไม่สามารถลืมเรื่องที่บุคคลหนึ่งกระทำกับดิฉันได้ แม้ดิฉันจะกล่าวอโหสิกรรมและบอกกับเขาว่าขอให้เราจบกันไปแต่โดยดี ดิฉันเพียรภาวนาดูจิต ดูกายมาโดยตลอด ส่วนใหญ่จะได้สมถะมากกว่า วิปัสสนา ซึ่งดิฉันใคร่ดับทุกข์โดยสิ้นเชิงมากกว่า ไม่ทราบว่าเป็นกรรมเก่าของดิฉันที่กระทำกับเขามาก่อนหรือในชาติก่อนๆดิฉันไม่ได้บำเพ็ญศีลมาก่อนเลยไม่มีบารมีพอที่จะทำได้สำเร็จเร็ววัน ดิฉันีเลยจุดธูปต่อหน้าพระพุทธรูปเสมือนเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า

   ดิฉันได้อธิษฐานขออโหสิกรรมต่อเขาและผู้หญิงคนนั้น เพื่อเป็นอภัยทานแด่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า มีสิ่งที่แปลกประหลาดมากในคืนนั้นดิฉันพยายามจะนึกถึงเขาและเรื่องราว หรือปรุงแต่งความคิดถึงเขาต่างๆนาๆที่เคยกระทำ ปรากฎว่าดิฉันกลับนึกไม่ออก นึกได้แต่ชื่อเขาเท่านั้น พอนานวันเข้าก็นึกได้บ้างแต่ไม่นานนัก ดิฉันดูจิตดูความรู้สึกก็หายไป ดิฉันจะเอ่ยคำว่าอโหสิกรรมทุกครั้งที่คิดถึงเขาและระลึกได้ว่าดิฉันได้กล่าวอธิษฐานอโหสิกรรมต่อหน้าพระพุทธรูปซึ่งดิฉันได้เพียรสวดมนต์ทุกคืนค่ะ ใคร่รบกวนถามดังต่อไปนี้

1. ดิฉันเคยทำกรรมกับเขาไว้ในชาติก่อนๆใช่มั้ยค่ะถึงได้ยังทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เขากระทำไว้
2. การที่ดิฉันไม่สามารถระลึกถึงเขาได้ในคืนอธิษฐานเป็นเพราะสาเหตุใด
3. ถ้าดิฉันเพียรดูจิต ดูกาย ดูเวทนา และถือศึล ให้ทาน และภาวนาอยู่เป็นนิจ

   ดิฉันจะสามารถบรรลุถึงมรรคผลตามคำสอนของพระพุทธเจ้าชาตินี้ไหมค่ะถ้าชาติก่อนๆดิฉันไม่เคยกระทำมา
ตั้งแต่ที่ดิฉันเพียรติดตามหนังสือธรรมทานของอาจารย์สม่ำเสมอ อ่านทุกวันและเพียรดูจิตดูกาย เลิกเพ่งโทษผู้อื่น ทำให้จิตใจดิฉันนิ่งกว่าแต่ก่อน ทุกข์น้อยลง มองบุคคลอื่นๆด้วยจิตใจอ่อนโยนขึ้น ความตระหนี่น้อยลงมาก ตั้งแต่พยายามให้ทานหลากหลายโดยไม่เลือก จากที่เคยดูแลบิดามารดามาตลอด ตอนนี้ก็ทำดีกว่าเก่ามากขึ้น

   ต้องขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ให้ธรรมะเป็นทานมาโดยตลอด นับว่าดิฉันมีบุญบ้าง จะพยายามทำตามคำแนะนำของท่านอาจารย์ตลอดไปค่ะ ถ้าดิฉันมีบุญขอได้มีโอกาสพบท่าน ดิฉันจะพยายามหาโอกาสเข้ากรุงเทพเพื่อพบท่านในงานธรรมะต่างๆค่ะ

ด้วยความนับถือค่ะ
อ้อน

คำตอบ
    (1) ตอบว่าใช่ ผลกรรมที่ทำแล้วได้ถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณ เมื่อจิตนิ่งกำลังของสติจะไประลึกรู้ถึงกรรมที่เคยทำไปซึ่งดับ (อนัตตา)ไปแล้วตามกฎไตรลักษณ์ จิตที่มีอวิชชาไม่ปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จิตจึงยึดไว้เป็นอุปาทาน ความทุกข์ใจจงเกิดเป็นผลตามมา

   (2) เพราะในคืนที่อธิษฐาน กำลังของอธิษฐาน (ความตั้งใจมั่นในสิ่งที่ปรารถนา) มีมากกว่า กำลังของกิเลส(อุปาทาน) การระลึกถึงกรรมที่ทำในอดีตจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้

   (3) ผู้ใดประพฤติเหตุได้ถูกตรงตามธรรม พร้อมทั้งบุญเก่าส่งผล อาทิใจนิ่งจากอารมณ์ปรุงแต่ง การลดลงของความตระหนี่เพียรดูใจตนเองมากขึ้น เลิกเพ่งโทษคนอื่นฯลฯ เหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ถึงผลปฏิบัติที่ถูกทาง ผู้ไม่ประมาท เพียรไม่สร้างอกุศลกรรมใดๆ ให้เกิดขึ้นใหม่ ผู้ไม่ประมาทเพียรกำจัดอกุศลกรรมที่มีอยู่ให้หมดไป ผู้ไม่ประมาทเพียรทำความดีทุกรูปแบบให้เกิดขึ้น และผู้ไม่ประมาทเพียรรักษาความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่ หากผู้ถามปัญหาปฏิบัติได้ดังนี้ ความสุขที่เกิดจากมีจิตเป็นอิสระย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ผู้รู้เลือกทางชีวิตสู่อิสรภาพด้วยการประพฤติเช่นนี้
   

872.
กราบเรียนอาจารย์สนอง

ได้รับพระบรมสารีริกธาตุมาสามองค์ ควรบูชาอย่างไร และควรวางไว้สูงกว่าพระพุทธรูป (บนโต้ะหมู่บูชาในห้องพระ) หรือเปล่าค่ะ

ขอบคุณค่ะ
มนัสนันท์

คำตอบ
    ควรนำพระบรมธาตุบรรจุในผอบ วางในพานที่มีดอกไม้สีขาวเช่นดอกมะลิ แวดล้อมอยู่รอบคอผอบแล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะหมู่บูชา ระดับเดียวกับพระพุทธรูปหรือสูงกว่าในห้องพระก็ได้
  

871.
เรียน อาจารย์สนองที่เคารพ

หนูมีปัญหาค่ะ เป็นมานานหลายปีแล้ว ร่างกายหนูมีปัญหา แล้วพาลไปเกิดอาการลบหลู่ศาสนาด้วยค่ะ

หนูมีแฟน และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งระดับหนึ่ง ทำให้ร่างกายบางส่วนค่อนข้างมีความรู้สึกไวบางทีอยู่ๆมันก็จะรู้สึกคันๆ
ยุกยิกๆ ขึ้นมาเฉยๆ ทีนี้ คนเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เวลาหนูไปที่ไหนๆก็ต้องพบเจอผู้คน ทั้งหญิงชาย แต่ร่างกายมันรู้สึกตลอดเวลา หนูรู้สึกแย่ๆ เวลาอยู่ใกล้ๆคนอื่นค่ะ

แล้วเหมือนว่าเราจะคิดว่าความคิดของเราไปเหนี่ยวนำกระแสความคิดของคนอื่น ซึ่งจริงๆหนูก็ไม่ทราบว่ามันบังเอิญหรือเปล่าว กับผู้หญิง หนูก็รู้สึกว่าเค้าอาจจะรู้สึกด้วย ทีนี้ กับผู้ชายก็ยิ่งแย่ไปใหญ่ ที่บ้านหนูก็มีพระ เวลาอยู่ต่อหน้าพระ ไหว้พระ มันก็เป็น ยิ่งห้ามมันยิ่งไม่หยุด หนูกลัวตกนรกมากๆ บางทีใส่บาตรมันก็เป็น เวลาผ่านเจ้าที่ ก็เหมือนเราไปลบหลู่เค้าเช่นกัน เรียกง่ายๆว่า เป็นตลอดเวลา มีวิธีไหนที่จะทำให้ร่างกาย กับจิต เรานิ่งได้ตลอดไปคะ หนูเคยหาจิตแพทย์ มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย เหมือนแก้ที่ปลายเหตุ แต่สาเหตหนูก็ยังแก้ไม่ได้ เหมือนตัวเราสกปรกน่ารังเกียจตลอดเวลา บางทีก็จิตหลอนๆกลัวจะถูกข่มขืนต่างๆนาๆ

ขอความกรุณาชี้แนะด้วยค่ะ

คำตอบ
   สิ่งที่บอกเล่าไปเป็นการเจ็บป่วย (อาพาธ) ชนิดหนึ่งในยุคปัจจุบันคนเจ็บป่วยด้วยเหตุสี่อย่างคือ ออกกำลังไม่สม่ำเสมอเพียรมากเกินไปฤดูกาลเปลี่ยน และเกิดจากกรรมไม่ดี สามเหตุแรกรักษาให้หายได้ง่ายส่วนเหตุสุดท้ายผู้ทำกรรมไว้ก่อนต้องชดใช้อกุศลวิบากจนกว่าจะจบสิ้นดูการบริหารจัดการกรรมในเว็บไซด์ข้อ 728 เพิ่มเติมแล้วต้องไปขอขมากรรมต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคยประพฤติทุศีลไว้ก่อน แล้วพัฒนาจิตให้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม 7 วัน 10 วันแล้วสุดท้ายอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ หากประพฤติได้เช่นนี้โอกาสที่ปัญหาดังกล่าวจะหมดไปย่อมเกิดขึ้นได้
   

870.
เรียน อาจารย์ดร.สนอง วรอุไร

ผมรบกวนถามอาจารย์ เรื่องปัญหาชีวิตครับ

   เมื่อช่วงก่อนสิ้นเดือนที่ผ่านมา ผมได้ถูกให้ออกจากงานอย่างกระทันหัน เหมือนกับว่าถูกใส่ความ โดยดูจากสถานการณ์และบุคคลแวดล้อมแต่ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ถึงแม้เป็นเรื่องจริงผมก็ให้อภัยครับ และวันถัดมาคุณพ่อก็ต้องเข้าโรงพยาบาล เพื่อรอผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก และในระหว่างที่คุณพ่อพักฟื้น ผมก็ไปสัมภาษณ์งานใหม่ ไม่กี่วันถัดมา ก็ทราบว่าไม่ผ่านโดยคนที่รู้จักกันในบริษัทที่ไปสัมภาษณ์ บอกว่า คุณสมบัติดีเกินไป หากเข้าไปแล้วผลงานจะเข้าตากรรมการจะทำให้เจริญก้าวหน้าในงานแล้วจะทำให้ลูกน้องคนอื่น ๆ ไม่สามารถก้าวหน้าในงานได้ ซึ่งพิจารณาเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนถูกตัดหนทางในการประกอบอาชีพ แต่ยังจะมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มเกิดขึ้นอีก

  ทุกวันนี้ผมยังมีคุณแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาตมาประมาณ 10 ปี ที่ต้องดูแล (ค่าใช้จ่ายดูแลต่อเดือนเกือบ 3 หมื่นบาท) รายได้ที่ได้มาไปกับการดูแลรักษาพยาบาลผู้มีพระคุณเกือบทั้งหมดบางส่วนก็ไปทำบุญ ส่วนตัวเองแทบไม่ได้ใช้เลย มาเจอปัญหาตนเองถูกให้ออกจากงานและคุณพ่อมาป่วยเพิ่มอีกคนและจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่ต้องดูแลไปอีกนานคาดว่าอีกเป็นล้านบาท ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมได้ปันเงินบางส่วนไปช่วยเหลือหลาย ๆ คนหลายแสนบาท พอถึงเวลาที่ตนเองเจอปัญหาคนเหล่านั้นก็ไม่สามารถช่วยอะไรผมได้เลย

   ผมอยากขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนเกิดจากกรรมอะไร แล้วผมควรจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดีครับ เพื่อให้ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายครับ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เข้าใจได้ลึกซึ้งมากขึ้นเลยว่าการเกิดเป็นทุกข์ การมีชีวิตอยู่ก็เป็นทุกข์

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าด้วยครับ และขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงครับ
  ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากเหตุทำกรรมเบียดเบียน ที่ผู้เป็นลูกประพฤติปาณาติบาตร่วมกับพ่อแม่ เมื่ออกุศลกรรมให้ผลพ่อแม่จึงต้องรับอกุศลวิบากด้วยการเจ็บป่วย ลูกได้รับอกุศลวิบากทำให้เสียงานเสียทรัพย์ ประสงค์จะแก้ไขปัญหาให้หมดไป โปรดดูวิธีบริหารจัดการหนี้กรรมในเว็บไซด์ข้อ 728
  

869.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง

1)ท่านอาจารย์เคยตอบคำถามไว้ว่ากรณีที่เราเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนที่กำลังใช้กรรมของเขาอยู่ เราจะต้องรับผลของกรรมนั้นๆ ของเขาด้วย ต.ย เช่น อาจารย์เคยต้องปวดขาเพราะไปช่วยนวดขาให้ครูบาอาจารย์ที่กำลังเจ็บขาอยู่
   ขอเรียนถามว่า ถ้าเราทำบุญกุศลทุกครั้งแล้วอุทิศส่วนกุศลที่เราทำให้กับเจ้ากรรมนายเวรของญาติพี่น้องของเรา ที่กำลังมีความทุกข์เพราะกรรมมาถึงนั้นเราจะต้องได้รับกรรมนั้นจากเจ้ากรรมนายเวรของญาติเราหรือไม่ค่ะ

2) กรณีมีญาติที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ติดการพนันบอล จะมีวิธีอย่างไรที่จะสามารถช่วยดลจิตใจให้เขาเห็นผิดชอบชั่วดีบ้างไหมค่ะ พยายามชักชวนให้ฟังธรรมเพื่อจะได้มีปัญญารู้เห็นเอง ก็ยังมาบ้างไม่มาบ้าง ยังไม่เกิดศรัทธาจากตัวเองจริงๆ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    (1) หากไม่ประสงค์ให้เวรกรรมที่ไปช่วยคนอื่น เข้ามาถึงตัวเอง ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองด้วย

   (2)หากผู้ถามปัญหาพัฒนาตัวเองให้ดีจากศรัทธาได้เมื่อใด จึงจะมีโอกาสชี้ทางถูกผิดให้เขาฟัง แล้วโอกาสที่จะทำให้เขาเปลี่ยนพฤติกรรมจากไม่ดีมาเป็นพฤติกรรมดีย่อมมีโอกาสเป็นไปได้
      

868.
กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพค่ะ

หนูตั้งใจมากๆจะเขียนมาขอบคุณอาจารย์ค่ะที่หนังสือสนทนาภาษาธรรมให้ความรู้ด้านธรรมะแก่หนูมากๆเลยค่ะ

หนูกราบขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ และหนูก็มีเรื่องรบกวนสอบถามอาจารย์ด้วยค่ะ อาจารย์ช่วยอนุเคราะห์หนูด้วยนะคะ

   1. ตอนนี้หนูมีความทุกข์ใจอย่างมากๆค่ะ ตัวหนูเป็นคนที่สนใจธรรมะมา 5 ปี แล้วค่ะ หนูเคยดีใจที่ตัวหนูตาสว่างได้เร็วเพราะหนูมาสนใจธรรมะเมื่ออายุยังน้อยประมาณยี่สิบต้นๆ แต่หนูไม่ทราบจริงๆว่าทำกรรมใดไว้ เลยทำให้ ณ ตอนนี้หนูต้องทุกข์ใจอย่างมากมาย มันอาการว่าเหมือนมีอีกความคิดหนึ่งที่ไม่ดีต่อพระพุทธศาสนาทั้งที่หนูไม่ได้คิดมันเลย หนูพยายามรู้ตามก็เริ่มเห็นว่าความคิดนี้จะผุดขึ้นมาตอนหนูไม่มีสติค่ะ เป็นมาเกือบปีแล้วค่ะ ทำให้ตัวหนูท้อแท้และสิ้นหวังมากๆ แต่หนูก็ไม่ท้อถอยค่ะ พยายามสู้กับจิตใจตัวเอง สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน พยายามนั่งสมาธิทุกคืน ถือศีล 8 ที่บ้านมา 2 ครั้งแล้วค่ะ แต่บางวันเหมือนเราจิตตกค่ะความท้อแท้ก็เข้ามาจู่โจม (หนูสังเกตตัวเองว่าจะเป็นมากๆในเวลากลางคืนจนบางคืนฝันร้ายค่ะ) แต่ก็พยายามนั่งสมาธิแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เคยทำตามที่อาจารย์แนะนำท่านอื่นๆว่าให้ถือเทียนแพไปขอขมากับพระประธานหนูก็ทำแล้วค่ะ และรู้สึกว่าดีขึ้นบ้าง หนูสันนิษฐานเองค่ะว่าอาจเกิดจากกรรมที่ช่วงแฟนเก่าหนูบวชเป็นพระและหนูเคยทำให้เขาร้อนรุ่มเรื่องหนูค่ะ ตอนนี้เท่าที่ทำได้ก็คือแผ่เมตตาให้เขาค่ะ พอคิดได้เช่นนี้หนูก็ตั้งหน้าตั้งตารับผลกรรมและพยายามทำแต่กุศลกรรมค่ะ หวังว่าสักวันผลกรรมนี้จะหมดสิ้น ขอเรียนถามอาจารย์ว่าความคิดที่ไม่ดีจะทำให้หนูบาปไหมคะ

สิ่งที่หนูเป็นน่าจะเกิดจากกรรมอันนี้หรือเปล่า และหนูดำเนินมาถูกทางหรือเปล่า (ที่ต่อสูกับจิตใจตนเองและพยายามทำแต่กุศลกรรม)

   2. ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่หนูตั้งใจจะรักษาศีลและหลีกเลี่ยงทางที่นำไปสู่ความเสื่อมทุกทางเท่าที่ตัวหนูจะระลึกรู้ได้ แต่ตอนนี้หนูทำงานอยู่ที่ธนาคารค่ะ ถือว่าเป็นอาชีพที่ถูกต้องในทางธรรมหรือไม่คะ เพราะเงินเดือนเราก็มาจากการเก็บดอกเบี้ยคนอื่น ( ถือเป็นการเบียดเบียนหรือไม่) อาจารย์ช่วยยกตัวอย่างอาชีพที่ดีในทางธรรมด้วยค่ะ

   ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงล่วงหน้านะคะขอให้อาจารย์ได้สะสมบารมีจนถึงสิ่งที่อาจารย์หวังค่ะ บางครั้งที่หนูนั่งสมาธิหนูแผ่ส่วนกุศลให้อาจารย์ด้วยค่ะ เพราะหนูถือว่าอาจารย์เป็นผู้มีพระคุณต่อหนูอย่างสูงคนหนึ่ง

คำตอบ
   (1) ความคิดที่เป็นอกุศล ผู้ใดคิดแล้วบาปจะถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตของผู้ทำกรรม การขอขมากรรมในเรื่องนี้         
       1. นำดอกไม้สดหรือพวงมาลัยดอกไม้สดรวมทั้งธูปเทียน ไปขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัยจึงจะถูกตรงที่สุด
       2. หลังจากขอขมากรรมแล้ว ต้องพัฒนาใจให้มีศีล 5 ข้อคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น 
       3. ก่อนนอนสวดมนต์ แล้วต่อด้วยการบริกรรม “ พุทโธๆๆๆ ” นาน 15-30 นาที ทุกวัน แล้วอุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อย ๆ จนกว่าความคิดอกุศลจะหมดไปจากใจ

   (2) อาชีพดีในทางธรรมต้องเป็นอาชีพที่ไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม เช่นอาชีพที่ทำเกี่ยวกับสังฆทาน พวงหรีดงานศพโรงบรรจุศพ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่าง อาหารสำเร็จรูปที่เป็นมังสวิรัติ ฯลฯ
   

867.
เรียนท่านอาจารย์ดร.สนองที่เคารพยิ่ง

ผมขอเรียนถามท่านอาจารย์สั้นๆ เกี่ยวกับมหาทาน

1. การถวายภัตตาหารแด่หมูสงฆ์ เพื่อเป็นมหาทานนั้น หากทำไม่ติดต่อกันเจ็ดวัน ยังจะเรียกเป็นมหาทานหรือไม่ครับ? เช่น ทำวันที่1-3ติดกัน หยุดหนึ่งวัน และต่อวันที่ 5-8 ครับ

2. หากการทำมหาทานไม่จำเป็นต้องทำติดกัน เราสามารถสะสมทำไปเรื่อย เดือนละวัน พอครับเจ็ดวัน เมื่อไหร่ ก็เรียนกเป็นมหาทานเหมือนกันใช่ไหมครับ

3. ผมศรัทธาทำมหาทานเป็นนิจ แต่เนื่องด้วยตัวไม่ได้อยู่ในกรุงเทพ ไม่สามารถไปร่วมถวายมหาทานด้วยตนเอง แต่ได้ร่วมปัจจัย และมีเพื่อนในคณะเดียวกันไปถวายอย่างพร้อมเพรียง อย่างนี้ ยังจะสามารถเรียกว่ามหาทานได้อีกหรือเปล่าครับท่าน?

ขอกราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

คำตอบ
    (1) คำว่ามหาทาน หมายถึงการบริจาคทานอันยิ่งใหญ่ เช่นการให้ทานแก่อริยบุคคลในวันที่ออกจากนิโรธสมาบัติการให้ทานแกหมู่อริยสงฆ์ การให้ธรรมะเป็นทานแก่คนหมู่มาก การบริจาคทรัพย์สร้างถนน สร้างสะพาน สร้างน้ำอุปโภคบริโภค สร้างแสงสว่าง ฯลฯ เป็นทานให้สาธารณะชนได้ใช้สอย อนึ่งการสร้างโรงทานไว้กับวัดที่มีการปฏิบัติธรรม การถวายอาหารเลี้ยงหมู่สงฆ์นาน 7 วันเหล่านี้จัดเป็นมหาทานได้

   (2) การกระทำดังตัวอย่างที่บอกเล่าไปไม่เรียกว่าเป็นมหาทาน

   (3) การได้ร่วมบริจาคปัจจัย เพื่อใช้ในสัจจธรรมตามข้อ (1) แม้ไม่มีเวลาไปร่วมกิจกรรมด้วยตัวเอง ยังถือว่าเป็นมาทานเช่นกัน
  

866.
เรียนถามอาจารย์ ดร.สนองค่ะ

ข้าพเจ้า(ขออนุญาตใช้ข้าพเจ้า เพราะดิฉันและหนูล้วนเกี่ยวข้องกับวัย) เพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรมเมื่อไม่นานนี้เอง ด้วยเหตุว่าคืนหนึ่งขณะหลับ จิตตื่นขึ้นกะทันหัน และรู้สึกว่ากายที่นอนหายใจอยู่นี้ไม่ใช่เรา จึงเริ่มสนใจธรรมะ และเริ่มฝึกสติโดยการดูจิตในชีวิตประจำวัน ก่อนนอนก็จะดูลมหายใจจนหลับไป เวลาหลับข้าพเจ้ามักมีสติรู้ตัว ขยับตัวก็รู้ ฝันก็รู้ บ่อยครั้งรู้สึกว่ากายเป็นคูหา บางคราวก็เห็นรูปเกิดดับ เสียงเกิดดับ ไม่ต่อเนื่องกันและไม่พร้อมกัน

๑. ทำไมจึงไม่เห็นเช่นนั้นในเวลาปกติคะ (ปกติจะเห็นแต่ว่ากายนี้ไม่ว่าจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆล้วนเป็นไปตามจิตทั้งสิ้น) เพราะเวลาปกติจิตจะไม่ยอมทำสมถะเลย กำลังสมาธิไม่พอใช่ไหม

๒. ครั้งหนึ่งจิตสงบตั้งมั่นดีนอนดูลมหายใจอยู่ เกิดมีดวงสีขาวปรากฏขึ้น และในดวงสีขาวนั้นปรากฏภาพเคลื่อนไหว คล้ายๆกับเราดูกล้องวงจรปิดค่ะ ดวงนี้คืออะไรคะ (ข้าพเจ้ากลัวเลยไม่ได้ตามดู)

กราบขอบพระคุณในความกรุณาต่อทุกขิตสัตว์เช่นข้าพเจ้า และกราบขออภัยที่รบกวนธาตุขันธ์ค่ะ

คำตอบ
   (1) คำว่าสมถะ หมายถึง ธรรมอันเป็นเครื่องสงบระงับจิต เวลาปกติเห็นกายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปตามการสั่งงานของจิตการเห็นในลักษณะนั้นเป็นเรื่องของปัญญา ที่มีพื้นฐานมาจากจิตมีกำลังของสมาธิมากพอที่จะทำให้เกิดปัญญาเช่นนั้นได้

   (2) ดวงสีขาวที่ถูกเห็นเป็นอาหารของจิตที่เริ่มมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ การเห็นดวงสีขาวเป็นอุปกิเลสที่เกิดขึ้นกับจิตที่มีวิปัสสนาญาณอ่อน หากไม่รู้วิธีการกำจัดอุปกิเลสตัวนี้จะไม่มีโอกาสพัฒนาจิตให้เกิดวิปัสสนาญาณที่ชัดเจนได้ ฉะนั้นเมื่อดวงสีขาวปรากฏขึ้นกับจิตต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนกวาดวงสีขาวหายไปแล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม วิปัสสนาญาณจึงจะกล้าแข็งขึ้นได้
  

865.
สวัสดีท่านผู้เจริญในธรรมทั้งหลาย
ท่านประธานชมรมกัลยาณธรรม ผู้เป็นพุทธบริษัทให้แสงสว่างกับเพื่อนสหมิกธรรมทั้งหลาย
กระผมใคร่ขออนุญาติกราบเรียนสอบถามปัญหาในชีวิต เพื่อให้อาจารย์ได้ โปรดสงเคราะห์ชี้ทางสว่างให้กระผมด้วยครับ

เมื่อประมาณต้นปีนี้ กระผมได้ไปทำฟันที่ร้านคุณหมออัจฉรา ปากน้ำ จึงได้มีโอกาส ได้รับหนังสือ และมีโอกาสได้อ่านหนังสือธรรมต่างๆ

กระผม ชื่อ นาย ประมวล สมณะ ผมขออนุญาตถามอาจารย์ ดร. สนอง ดังนี้ ครับผม

   1. กระผมเป็นคนที่มีใจไว ซุกซนเหมือนลิง มาเร็วไปเร็ว ควบคุมลำบากมาก จิตใจขุ่นเหมือนน้ำซาวข้าว ทำอย่างไรถึงจะทำให้ใจนิ่งๆได้ครับ อีกอย่างกระผมคิดว่ากระผม มีจริต ครบ 6 อย่าง ทั้ง ราคะ โทสะ โมหะ วิตก หนักไปทางกามราคะ (เหมือนเป็นเศษกรรมอะไรติดมา) แม้พิจารณาด้วยอสุภะต่างๆ แต่ก็เป็นเพียง สัญญา ความจำได้หมายรู้ ไม่ใช่ ภาวนามย ปัญญา รู้สึกว่าเวลาตาเห็นรูป จิตจะปรุงแต่งไปมาก ต้องกำหนดว่า รู้เท่าทันอารมณ์ มันถึงจะหยุด ผมควรจะปฎิบัติต่ออย่างไรบ้างครับ

   2. กระผมมีลูกสาวคนเล็กอายุประมาณ 1 ขวบเศษ ชื่อ ดญ.ชนิดาภา สมณะ ป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง และเนื้อเป็นเนื้อร้ายระดับ 3 รักษาที่ รพ. เด็ก อนุสาวรีย์ชัย ปัจจุบันอยู่บ้านต่างจังหวัด ก็สบายดี ผมรู้ว่าเขาคงมีกรรมที่หนัก เพราะการผ่าตัด ถือเป็นกรรมหนัก ผมได้อธิฐาน ตั้งจิต ถือศีล 5 และวันพระ ศีล 8 ตลอดชีวิต เพื่อเป็นกุศลให้ตัวกระผมและลูกสาว พยายามสวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่ส่วนบุญกุศลทุกวัน และบนบวชพระให้ 3 วัน 7 วัน
    อาจารย์ช่วยกรุณาชี้ทางสว่างให้กระผมด้วยว่า ควรทำสิ่งใดเพิ่มเติมบ้าง เขาทำกรรมใดมา ถึงเป็นอย่างนี้ อยากทำให้เขามากๆเท่าที่พ่อในชาติปัจจุบันจะทำได้ ครับ พอมีทางช่วยให้เขาอยู่ได้นานไหมครับ

   3. ผู้ปฏิบัติถึงขั้นใด จึงจะสามารถ ได้พบเห็น หรือ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ และ สามารถ พูดคุยได้หรือครับ

    ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มาก ที่ได้ช่วยสงเคราะห์กระผม
    ขอขอบพระคุณชมรมกัลยาณธรรมทีได้ให้แสงสว่าง ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
   (1) สภาวะจิตของผู้ถามปัญหา กับสภาวะจิตของผู้ตอบปัญหาก่อนเดือนเมษายน 2518 มีสภาวจิตเป็นเช่นเดียวกัน แต่ปัจจุบันเป็นตรงข้าม ไม่โลดโยนโจนทะยานออกไปรับกระทบภายนอกทั้งดีและไม่ดีเข้ามาปรุงอารมณ์ให้จิตหวั่นไหว ด้วยเหตุเคยไปบวชเป็นพระสงฆ์ปฏิบัติธรรมจนจิตมีกำลังของสติ ระลึกทันสิ่งกระทบ และมีกำลังของปัญญาเห็นแจ้งเห็นสิ่งกระทบดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จึงปล่อยวางสิ่งกระทบ แล้วจิตผันตัวเองเข้าสู่ความว่างเป็นอุเบกขารมณ์ ดังนั้นก่อนที่ผู้ถามปัญหาจะพัฒนาจิตให้นิ่งเป็นสมาธิ ต้องทำใจให้มีศีล 5 คุมให้ได้ก่อน แล้วเลือกองค์บริกรรมที่เหมาะกับจริต ราคะจริตควรใช้อสุภะหรือกายคตาสติมาเป็นองค์บริกรรมเร่งความเพียรและมีสัจจะได้แล้ว โอกาสพัฒนาจิตตนเองให้นิ่งเหมือนลิงชรา จึงจะเป็นไปได้

   (2) อธิษฐานตั้งจิตถือศีล 5 และวันพระถือศีล 8 ยังไม่ดีเท่ากับไม่ต้องอธิษฐานแต่ทำใจให้เป็นปกติมีศีล 5 มีศีล 8 อยู่ได้ทุกขณะตื่น จะได้อานิสงส์ของศีลมากกว่า การอธิษฐานถือศีล

   การบนบานไม่ใช่วิถีแห่งพุทธะ แต่การนำครอบครัวปฏิบัติธรรมร่วมกัน แล้วอุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นให้กับลูกสาวที่กำลังป่วยด้วยโรคกรรมยังดีกว่านำตัวเองเขาบวชเป็นพระสงฆ์ เหตุเพราะการปฏิบัติมีอานิสงส์แห่งบุญสูงสุดที่สามารถส่งผลให้ผู้ปฏิบัติเข้าถึงนิพพานได้ หากได้อุทิศบุญเช่นนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของลูกสาว หากเขามาอนุโมทนาบุญแล้วยกเลิกการจองเวร โอกาสหายจากโรคกรรมจะเป็นไปได้

   (3) ผู้ที่จะประพฤติเช่นนี้ได้ต้องเคยเกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าเช่น ปฏาจารา พาหิยะฯลฯหากพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วบุคคลดังกล่าวต่อไปนี้ยังมีโอกาสได้เห็น ได้เข้าเฝ้าและได้สนทนากับพระพุทธเจ้า ได้แก่มนุษย์ปุถุชนผู้พัฒนาจิตให้เข้าถึงความมีฤทธิ์ทางใจ (มโนมยิทธิ) หรือมนุษย์ปุถุชนผู้เข้าฌานได้ หรือมนุษย์ที่ไปเกิดเป็นเทวดาปุถุชน เช่น อังกุรเทพบุตร อินทกเทพบุตร หรือพรหมปุถุชนเช่น พกาพรหม สนับบดีพรหม ฯลฯ หรือพรหมอนาคามี เช่น ฆฏิการพรหมหรือมนุษย์อริยบุคคลที่มีอภิญญาฯลฯ
  

864.
เรียน ดร.สนอง ที่เคารพ

   หนูมีปัญหาอยากถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หนูเครียดมาก เครียดเป็นอาทิตย์จากการที่ตัองอ่านหนังสือสอบและลุ้นผลประกาศสอบเข้าทำงาน จนหนูมีอาการปวดหัวข้างเดียว ร้าวไปทั้งกระโหลก พอนึกเรื่องสอบที่ไร ท้องอืดทันที กินข้าวไม่อร่อยเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยเกิดมาก่อนในชีวิต

   หลังจากเครียดอยู่เป็นอาทิตย์ พอตื่นมาเช้าวันจันทร์ กลายเป็นว่า หนูมีความสุขมาก สุขมากที่สุดในช่วงหลายปี ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ ที่จิตมันพลิกกลับจากทุกข์มากเป็นสุขมาก สุขมากจนสามารถนอนอมยิ้มได้ ทั้งที่หนูเป็นคนหน้าเครียด หน้าตาดุดัน เพราะหนูไม่ค่อยสมหวังเรื่องงานเลยค่ะทำให้หน้าตาอมทุกข์ตลอดเวลา แต่ช่วงนั้นหน้าตาและจิตใจผ่อนคลายเยอะมาก หนูมีความสุขอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ

   หนูอยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงคะ แต่หนูก็พยายามรู้ตัวอยู่เสมอค่ะว่า อาการขณะนี้กำลังคิดอะไร ทำอะไร รู้สึกอะไร เจอใครทำอะไรก็ไม่ปรุงแต่งไปเองค่ะ เห็นก็คือเห็น ได้ยินเสียงด่าก็รู้ว่าเขาด่าเรา แต่มันเฉย มันแค่ได้ยินเสียงค่ะ แต่ไม่คิดต่อ มันมีความสุขมากค่ะ

   อารมณ์สุขนี้อยู่ได้ประมาณห้าวันค่ะ จนเจอเรื่องที่มีผลกระทบกับจิตใจมากๆ นั่นคือออกไปสัมภาษณ์และมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คราวนี้มันเหมือนกับรู้สึกตัวค่ะ ที่ผ่านมามีความสุขมากนั้นเหมือนมันฝันไป แต่ตอนนี้ที่สุขมันเกิดกระทบและคลายออกมันเหมือนกับกลับมาสู่ความเป็นจริง ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นหนูก็พยายามรู้ตัวอยู่เสมอ สุขหนอๆ อิ่มเอมใจหนอ อะไรไปตามเรื่อง มันก็ไม่ได้ดับไปโดยง่าย แต่มันอยู่หลายวันและก็มีความสุขอยู่อย่างนั้น

   หนูขอเรียนถามว่า จิตของเรานี้พอมันสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่งมากๆมันจะพลิกเป็นตรงกันข้ามใช่ไหมคะ หรือ มันเป็นการเสวยอกุศลกรรรมและกุศลกรรม ทั้งๆที่ชีวิตหนูส่วนใหญ่ก็อยู่ที่บ้านไม่ค่อยได้ออกไปไหน เหตุการณ์เดิมซ้ำซากแต่บางวันทุกข์มาก บางวันสุขมาก บางครั้งหนูคิดว่า เอ ใครหนอแผ่เมตตาให้เรา (เคยได้รับค่ะ) จิตนี้ทำงานอย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สนองที่กรุณาให้ความรู้ค่ะ

คำตอบ
   ที่อารมณ์ของจิตพลิกจากความเลวร้ายกลับมาอยู่ในอารมณ์สงบสุขได้ เหตุเกิดเพราะจิตระลึกได้ทันสิ่งกระทบ (ผัสสะ) ไม่รับเอาสิ่งกระทบเข้าปรุงเป็นอารมณ์ จิตจึงสงบแล้วความสุขที่ละเอียดประณีตจึงเกิดขึ้นดังที่บอกเล่าไป ปรากฎการณ์ทั้งหมดนี้ถูกตรงตามพุทธวจนะที่ว่า “ สรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปเป็นธรรมดา ” นั่นหมายความว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้นกับจิตจะดำเนินไปตามกฎของไตรลักษณ์ ผู้ใดมีสติระลึกได้ทันสิ่งที่เข้ากระทบจิต ไม่รับเอาสิ่งที่เข้ากระทบจิตมาปรุงเป็นอารมณ์แล้วใช้จิตที่มีความตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ตามดูสิ่งที่เข้ากระทบว่าดำเนินไปตมกฎไตรลักษณ์ เมื่อสิ่งกระทบผันตัวเองเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ความเป็นตัวตนของสิ่งกระทบย่อมไม่มี จิตจะปล่อยวางสิ่งกระทบแล้วเข้าสู่ความว่างเป็นอุเบกขารมณ์ ความสุขที่ละเอียดประณีตอันเกิดจากจิตสงบจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้แล

   หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตตนเองให้มีกำลังของสติมากจนเป็น “ มหาสติและพัฒนาจิตตนเองให้มีกำลังของปัญญาเห็นแจ้ง จนเป็น “ มหาปัญญา ” ได้แล้วเมื่อใด ความสุขจากจิตสงบและความสุขจากจิตเป็นอิสระ จะเกิดขึ้นแน่นอนและตลอดไปหากพัฒนาได้เช่นนี้...สาธุ
  

863.
เรียนถามท่าน อจ.สนอง ครับ

ผม สุพจน์ ศรีรัตนรัฐ
ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องที่ผมจะสอบถามไปนี้ สมควรถามท่าน อจ.ณ ที่นี้หรือเปล่า เพราะเห็นใน webbroad ถามเรื่องแนวการปฏิบัติทั้งนั้น แต่มีพี่ท่านหนึ่งให้ลองลองถามท่าน อจ.ดูน่ะครับ หากผมได้ล่วงเกินท่าน อจ.ผมก็ขอกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยน่ะครับ

ผมมีเรื่องเรียนสอบถามถึงปัญหาครอบครัวและการปฏิบัติ ครับ เลยขอรบกวนท่าน อจ.ช่วยชี้แนะด้วยครับ

1. คุณแม่ผมท่านหายออกไปจากบ้านประมาณ 4 ปีแล้ว ผมอยากเจอท่านครับ อยากนำท่านกลับมาดูแล ครับ ไม่รู้ว่าผมยังพอมีหวังไหม ท่านป่วยทางจิตครับ ผมดูแลท่านมาประมาณ 10 ปี หลังจากท่านกลับ มาจากต่างประเทศ อาการท่านเคยดีขึ้นมาก ผมพาท่านไปวัดทุกวันอาทิตย์ หวังว่าจะได้กุศลจากการฟังธรรมบ้าง ผมรู้สึกดีมากที่ชวนท่านไป ท่านก็ไป (2 คนแม่ลูก)

2. ผมมีน้องสาวอีกคน ก็ป่วยทางจิตเหมือนกัน ตอนนี้อาการสงบบ้างแต่ยังไม่หายดี หมอบอกว่าไม่หายขาด ผมอยากให้น้องดีขึ้น สงสารเค้าน่ะครับ ผมอ่านเจอคำตอบเกี่ยวกับคยป่วยทางจิตในกระทู้มาแล้วครับ ว่าเป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร แต่ก็อยากเรียนถามท่านอจ.อีกครั้ง เผื่อว่าจะมีทางอื่นด้วยน่ะครับ

3. ผมเคยบวชเมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัย มีความสุขมากและดีใจที่ตนเองเจอหนทางนี้ เคยคิดว่าจะบวชตลอดชีวิต แต่ระหว่างที่ตนเองยังไม่สามารถบวชได้เพราะยังมีภาระ ก็ปฏิบัติเองไปเรื่อยๆก่อน แต่ 10 กว่าปีที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าไม่คืบหน้าไปไหน ศรัทธาก็ตกลง ไม่เท่าเดิม เจอ อจ.ท่านใดก็ลองปฏิบัติตามแนวท่าน แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่
เหมือนลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆครับ ก็เลยอยากรบกวนท่าน อจ.แนะนำแนวทางปฏิบัติ ที่เหมาะสมกับผมด้วยน่ะครับ

ผมขอรบกวนท่าน อจ.ด้วยครับ
ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
    (1) ตราบใดที่ความหวังยังไม่สิ้น และตั้งเหตุให้ถูกตรงด้วยการสร้างมหาทาน แล้วอธิษฐานขอพบแม่และสุดท้ายรักษาศีล 5 ให้มีอยู่กับใจได้ตลอดไป เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัวคือบุญส่งผล โอกาสพบกันอีกย่อมเกิดขึ้นได้ในกาลข้างหน้า

   (2) อาการป่วยทางจิตเป็นโรคที่เกิดจากรรมของผู้เป็นน้องได้ผูกพยาบาทไว้กับเจ้ากรรมนายเวร หากเขายกเลิกการจองเวรอาการป่วยทางจิตจึงจะหมดไปได้

   (3) การปฏิบัติธรรมที่เหมาะสมคือ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้วความสำเร็จในผลแห่งการปฏิบัติย่อมเกิดขึ้นได้ การปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรมคือ ต้องมีศีล 5 คุมใจให้ได้ก่อน เร่งความเพียรในการปฏิบัติ โดยใช้บทกรรมฐานที่เหมาะกับจริต มาเป็นองค์บริกรรมให้ต่อเนื่องและยาวนาน สุดท้ายพัฒนากายและใจให้ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยมีสัจจะคุมกายใจเมื่อใดที่เหตุปัจจัยดังกล่าวลงตัวผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติจะเกิดขึ้นได้
   

862.
กราบสวัสดีอาจารย์ที่เคารพครับผม

และขอกราบเรียนถามอาจารย์ว่า

   1. เวลาทำความดีที่เป็นบุญ อธิษฐานว่า ขอให้อานิสงฆ์ผลบุญช่วยให้ข้าพเจ้าเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกจริตและขอให้ข้าพเจ้าบรรลุธรรมอันประเสริฐในชาตินี้ด้วยเทอญ
ถ้าอธิฐานแบบนี้บ่อยๆจะสำเร็จตามคำอธิษฐานได้หรือไม่อะครับ

   2. เป็นคนฟุ้งซ่านค่อนข้างที่จะไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ครับ ชอบคิดถึงเรื่องเก่าๆที่ไม่ดี หรือบ้างทีก็คิดถึงเรื่องอนาคตบ้าง บางทีก็ชอบนึกถึงเรื่องอื่นขณะที่ทำอย่างอื่นอยู่
อยากถามอาจารย์ว่า ควรจะฝึกสมาธิแบบไหน แนวไหนดีครับ ขออาจารย์ช่วยแนะนำ และบอกวิธีฝึกด้วยครับ

กราบขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้าด้วยครับ

คำตอบ
    (1) อธิษฐานพบครูอาจารย์ที่ถูกกับจริตของตนก็จะพบแต่ครูบาอาจารย์ที่ไม่ดี คือครูบาอาจารย์ที่ยังมีจิตเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน อธิษฐานในลักษณะเช่นนี้จะไม่สามารถนำตัวเองให้บรรลุธรรมอันประเสริฐในชาตินี้ได้ คำอธิษฐานเช่นนี้จึงเป็นไปไม่ได้คือไม่สำเร็จตามที่อธิษฐาน

   แต่หากอธิษฐานให้ได้พบครูบาอาจารย์ ที่มีความเห็นถูกตรงตามธรรมจะเป็นปุถุชนหรืออริยบุคคลก็ได้และขอบรรลุธรรมอันประเสริฐนั้นด้วย คำอธิษฐานเช่นนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ อธิษฐานแล้วมีโอกาสพบกับความสำเร็จได้

   (2) ก่อนฝึกสมาธิต้องพัฒนาใจให้มีศีลห้าข้อสถิตอยู่กับใจทุกขณะตื่นให้ได้ก่อนและต้องนำบทกรรมฐานที่ถูกกับจริตของตัวมาใช้เป็นองค์บริกรรมตัวอย่างเช่น วิตกจริตหรือโมหะจริต ควรใช้อานาปานสติมาเป็นองค์บริกรรม สัทธาจริตควรให้อนุสติ 6 ข้อแรก คือระลึกถึงคุณของพระพุทธะ ระลึกถึงคุณของพระธรรม ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ ระลึกถึงคุณของศีลที่ตนรักษาได้ ระลึกถึงคุณของทานที่ตนได้บริจาคแล้ว ระลึกถึงคุณที่ทำคนให้เป็นเทวดา มาเป็นองค์บริกรรม โทสจริตควรใช้เมตตาพรหมวิหารหรือวรรณกสิณมาเป็นองค์บริกรรม พุทธิจริตควรใช้มรณัสสติ อาหารปฏิกูลสัญญา ฯลฯ มาเป็นองค์บริกรรมและสุดท้าย ราคจริต ควรให้อสุภะ หรือกายคตาสติมาเป็นองค์บริกรรม
   

861.
กราบเรียนถามท่านอ.สนอง

   1. การฝึกวิปัสสนาที่วัดจะมีขั้นตอนการสมาทาน การปฏิบัติ และหลังปฏิบัติ เช่น การแผ่เมตตา เมื่อกลับมาปฏิบัติเองที่บ้านควรปรับขั้นตอนวิธีการปฏิบัติอย่างไรคะ

   2. เมื่อปฏิบัติเองที่บ้าน เวลาจิตจะเริ่มเป็นสมาธิ มีความรู้สึกเหมือนกับถูกทดสอบทุกครั้ง คือ จะรู้สึกคันหรือปวดขามาก กำหนดรู้คัน รู้ปวดเท่าไรก็ไม่สามารถผ่านไปได้ จนต้องเกาหรือเปลี่ยนท่านั่ง เนื่องจากขันติยังไม่พอ อยากกราบขอคำแนะนำเพื่อให้การปฏิบัติก้าวหน้าขึ้นค่ะ

   3. สามีเป็นสัตวแพทย์ จำเป็นต้องฆ่าไก่เพื่อพิสูจน์โรค จะทำอย่างไรเพื่อให้กรรมเบาบางลงคะ เพราะเป็นความจำเป็นทางอาชีพที่เลี่ยงไม่ได้

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
    (1) สมาทานอะไร หากเป็นการสมาทานศีลเมื่ออยู่ที่บ้านแล้วไม่ต้องสมาทาน เพียงแต่รักษาศีล 5 ให้อยู่กับใจทุกขณะตื่นเป็นอันใช้ได้ หลังจากนั้นนำเอาวิธีปฏิบัติกรรมฐานที่วัดมาปฏิบัติเองที่บ้านตามรูปแบบที่ครูผู้ให้การฝึกกรรมฐานแนะนำ ให้ปฏิบัติทั้งให้อิริยาบถใหญ่ (ยืน เดิน นั่ง นอน) และในอิริยาบถย่อย (กิน ดื่ม พูด ฟัง ฯลฯ) เมื่อปฏิบัติกรรมฐานแล้วเสร็จในแต่ละวันให้อุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นแล้วแก่เจ้ากรรมนายเวรของผู้ปฏิบัติ และให้แก่สรรพสัตว์ตามที่ตัวเองปรารถนา

   (2) ขณะนั่งปฏิบัติกรรมฐาน หากมีอาการรู้สึกคันเกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า “ คันหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการคันจะหายไป หากมีอาการปวดขาเกิดขึ้นต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการปวดขาจะหายไป หากกำหนดแล้วอาการดังกล่าวยังไม่หายไป ต้องเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งภาวนาไปเป็นเดินจงกรม ทั้งนี้เพื่อเพิ่มกำลังของสติให้มีมากขึ้นจนถึงระดับที่เมื่อกำหนดแล้วอาการคันอาการปวดขาหายไป

   (3) ไม่มีใครผู้ใดสามารถทำให้กรรมไม่ดีเบาบางลงได้นอกจากต้องชดใช้อกุศลวิบากของกรรมไม่ดีให้หมดไป ดูวิธีบริหารจัดการกรรมได้ในเว็บไซด์ข้อ 728
  

859.
กราบเท้าท่านอาจารย์ดร.สนอง ที่เคารพยิ่ง

ผมขออนุญาตถามท่านอาจารย์ดังต่อไปนี้ครับ

   1. ผมอยากพบเนื้อคู่ และได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขา แต่ด้วยความที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ใจจึงโหยหา ที่จะตามหากันให้พบ ที่เคยพบก็โดนกระแสอกุศลกรรม ที่เคยทำมา ทำให้เสียใจอยู่ตลอด หาก ผมอธิษฐานให้พบคู่ที่ดี จะต้องทำเหตให้ตรงอย่างไรครับ?

   2. หากจะอธิษฐานขอพบคู่ ต้องอธิษฐานด้วยคำอธิษฐานแบบไหนครับ?

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ในความกรุณาที่มีให้เสมอมา ผมเกิดมาชาตินี้
ได้พบท่านอาจารย์ ก็เป็นหนึ่งในความโชคดีที่สุดจริงๆครับ

คำตอบ
   (1) อธิษฐานขอพบเนื้อคู่ที่ดีสามารถอธิษฐานได้แต่จะได้ผลถูกตรงตามที่อธิษฐานไว้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุที่ทำไว้แต่อดีตว่าคู่ที่ดีคือคู่สร้างคู่สม อันได้แก่ สมสัทธา สมสีลา สมจาคา สมปัญญา ตัวเองได้เคยสร้างเหตุ 4 อย่างนี้ ร่วมไว้กับใครหรือไม่ หากเคยสร้างกรรมดี 4 อย่างนี้ไว้ แต่กรรมดีผลักดันให้เขาไปเกิดอยู่ในสุคติภพที่มิใช่ภพมนุษย์ โอกาสที่ปัจจุบันจะพบกันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หรือหากผู้ถามปัญหาไม่เคยสร้างกรรมดีทั้ง 4 นี้ไว้กับใครผู้ใด การอธิษฐานพบเนื้อคู่ที่ดีย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้นอธิษฐานพ้นไปจากความทุกข์แล้วสร้างเหตุให้ถูกตรงด้วยการปฏิบัติกรรมฐานจะมิดีกว่าหรือ

   (2) หากประสงค์จะพบเนื้อคู่ที่ดีต้องสร้างมหาทานให้เกิดขึ้นก่อนแล้วจึงอธิษฐานพบเนื้อคู่ แล้วสร้างเหตุ 4 อย่างตามข้อ (1) ให้ถูกตรงอยู่เสมอ คือสัทธาในสิ่งดีงามทั้งปวง รักษาศีล 5 ข้อให้คงอยู่กับใจทุกขณะตื่น มีการบริจาคทานอยู่เสมอ และสุดท้ายพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นถูกตามเป็นจริง เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว โอกาสพบเนื้อคู่ที่ดียังมีความเป็นไปได้
   

858.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพ

กระผมนายถาวร พระสว่าง ได้ปฏิบัติกรรมฐานมาได้ สิบกว่าปี ได้มีคำถามอยากเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้
1. การปฏิบัติในช่วง 3 ปีแรก ขณะที่เดินจงกลมอยู่ก็เกิดความอัศจรรย์ขึ้นคือ ในขณะนั้นปรากฏว่าได้เห็นดวงแก้วไหลออกมาใสสว่าง ซึ่งในปัจจุบันก็ยังปรากฏอยู่เช่นเดิม เหตุการณ์เช่นนี้ถือว่าได้ปฏิบัติถึงลำดับใดแล้ว และควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป

2. ขณะที่นั่งกรรมฐานเวลาประมาณตี 3 ได้เกิดเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งขึ้น คือ รู้สึกเหมือนมีความเย็นบริเวณศีรษะแล้วค่อยๆไหลลงมาคล้ายของเหลวมาอุดอยู่ที่ลำคอ กระผมก็ได้กำหนดคำบริกรรมต่อไป ความเย็นนั้นก็ไหลลงมายังหน้าอกแล้วค่อยๆหายไป รู้สึกตัวเบา แล้วก็ผมได้เห็นแสงสว่างพุ่งออกครอบตัวเราไว้ อยากทราบอาการเช่นนี้ อาการที่เกิดขึ้นกับกระผมเช่นนี้เรียกว่าอะไร และควรปฏิบัติต่อไปอย่างไร

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ไว้ ณ ที่นี้

คำตอบ
    (1) ที่เห็นดวงแก้วไหลออกมาใสสว่างนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้วิปัสสนาเศร้าหมอง (วิปัสสนูปกิเลส) ซึ่งมักจะเกิดกับผู้ที่เข้าถึงวิปัสสนาญาณอย่างอ่อน หากหวังความก้าวหน้าในการพัฒนาวิปัสสนาญาณให้แจ่มใสต้องกำหนดสิ่งที่ถูกเห็นด้วยจิตนั้นว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนกระทั่งดวงแก้วนั้นหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม

   (2) เรียกว่าเป็นวิปัสสนูปกิเลส เช่นเดียวกันกับข้อ (1) เมื่อความเย็นเกิดขั้น ควรกำหนดว่า “ เย็นหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนความเย็นหายไป เมื่อรู้สึกตัวเบา ควรกำหนดวา “ เบาหนอๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนอาการรู้สึกว่าตัวเบาหายไป และเช่นเดียวกันเมื่อเห็นแสงสว่างพุ่งออกมาครอบตัว ควรกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” เรื่อยไปจนกว่าแสงสว่างที่พุ่งออกครอบตัวหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมทุกครั้งเมื่อเกิดวิปัสสนูปกิเลส (แสงสว่าง ความอิ่มใจ ความรู้ ความสงบกายและใจ ความสบายกายสบายใจ ความน้อมใจเชื่อความเพียรที่พอดี ความชัดของสติ ความวางใจเป็นกลางและความพอใจ) ต้องบริกรรมหรือกำหนดตามอาการที่เกิดขึ้นกับจิต จนสิ่งเหล่านี้หายไป วิปัสสนาญาณจึงจะมีกำลังมากขึ้น จิตจึงจะเป็นอิสระต่อกิเลสเหล่านี้ได้
  

857.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

ดิฉันมีคำถามที่จะขอรบกวนสอบถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

    1 การที่บางครั้งเราทำอะไรไปในชีวิตประจำวัน เช่นการปิดไฟ ปิดประตู แล้วเราขาดสติคือเราจำไม่ได้ว่าเราได้ทำไปแล้ว อาจจะต้องเดินย้อนกลับไปดูอีกครั้งทำนองนี้ อยากทราบว่ากรณีแบบนี้ 'รูป' ของเรานั้นขณะนั้นทำกิจนั้นไปได้อย่างไรคะ โดยที่เหมือนจิตไม่ได้รับรู้การทำนั้น แต่รูปได้ทำไปจริงได้อย่างไรคะ

   2 การที่คนเราทำอะไรตามสัญชาตญาน จะเรียกว่าทำไปโดยเป็น อวิชชา ได้ไหมคะ

   3 ระหว่าง จิตใต้สำนึก กับ จิตสำนึก ดูเหมือนว่ามีจิตอีกประเภทนึงคือ จิตที่รู้เฉยๆ ที่ไม่ใช่ทั้งจิตใต้สำนึก และจิตสำนึกใช่หรือไหมคะ เพราะมีความรู้สึกว่า จิตใต้สำนึก เราควบคุมไม่ได้ แต่จิตสำนึกก็เหมือนว่ามันจะมีการคิดปรุงแต่งปนอยู่ตามประสบการณ์ แต่บางทีมันก็เหมือนว่ามีแค่การรู้อาการเฉยๆ นั้น เลยสงสัยว่าในด้านจิตวิทยาเขาเรียกว่าการรู้เฉยๆ นั้นว่าอะไรคะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาช่วยตอบปัญหาให้ผู้ที่ยังสงสัยอยู่ได้ผ่อนคลายความสงสัย และขออนุโมทนากับการบำเพ็ญ บารมีของท่านอาจารย์ในทุกๆ กิจที่กระทำเพื่อพระพุทธศาสนาค่ะ

   วรรณวิภา

คำตอบ
    (1) เป็นสัญญาเก่าที่จิตเก็บบันทึกไว้ จิตได้ใช้สัญญาเก่าสั่งร่างกายให้ปิดไฟปิดประตูโดยขาดสติกำกับพฤติกรรม

   (2) เรียกว่า จิตมีอวิชชาได้

   (3) ผู้ตอบปัญหามิได้เรียนวิชาจิตวิทยาใด ๆ จึงไม่ทราบสมมุติบัญญัติที่เขาใช้เรียกกันในหมู่นักจิตวิทยา แต่ผู้ตอบปัญหาขอสมมุติเรียกว่า จิตกึ่งสำนึก
     

856.
กราบเรียน ดร.สนอง

    ตอนกระผมนั่งสมาธิ จิตนิ่งสงบ มีสติอยู่ตลอด ในการนั่งสมาธิ พอนั่งไปสักพัก มีความรู้สึกว่ามีความเย็นเข้ามาที่ขาทั้งสองข้าง ตัวก้อรู้สึกเบา เกิดความสงสัยขึ้นกับจิต พอเกิดความสงสัย ความเบาตัวก้อหายไป ความรู้สึกเย็นที่กายและขาก็หายไป ความปวดขาก็ตามมา ผมพยายามนั่ง ต่อสู้กับความปวดเหมือนที่ ดร.สนองได้บอกไว้ในหนังสือ สมาธิมาอยู่กับความปวดที่ขา แล้วภาวนา ปวดหนอๆๆ ความปวดก้อหนักขึ้นๆ เรื่อยๆๆ ลักษณะเป็นมาสามวันแล้วอาการเจ็บปวดก้อไม่หายไป มีความรู้สึกกังวล หลังจากนั่งสมาธิทุกครั้ง ว่าจะเอาความเจ็บปวดออกไปได้อย่างไร

  ขอความกรุณาแนะนะนำในขอสงสัย และชี้แนะในการปฏิบัติ ให้กระผมด้วย

คำตอบ
    เหตุที่นั่งภาวนาอาการปวดที่ขายังไม่หายไป นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า กำลังของสมาธิยังไม่กล้าแข็งจึงควรเพิ่มกำลังของสมาธิ ด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งภาวนาไปอยู่ในอิริยาบถเดินจงกรม สลับกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตมีกำลังของสมาธิกล้าแข็ง จนถึงระดับที่อยู่เหนือทุกขเวทนา (ปวดขา) ได้แล้ว เมื่ออาการปวดที่ขาเกิดขึ้นต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ อาการปวดดังกล่าวจึงจะหายไปได้
      

855.
กราบเรียน อาจารย์ดร. สนอง ที่เคารพ

หนูมีเรื่องจะให้อาจารย์ แนะนำค่ะ

   1. ตอนนี้ ดิฉันเพิ่งเริ่มฝึกนั่งสมาธิค่ะ เพิ่งเริ่มศึกษา แล้วลองทำ ทำแบบรวมจิตไปที่ใดที่หนึ่งก่อน เช่น ที่ปลายจมูก หรือกลางอก เป็นต้น หลังจากนั้น เพิ่งรู้ว่ามีอีกแบบ คือ การดูจิต
ปัญหาก้อคือ ดิฉันสับสน ไม่รู้จะลำดับอย่างไรก่อน เพื่อให้เกิดสมาธิ เพราะเพิ่งลองนั่ง เลยอยากให้อาจารย์แนะนำเทคนิค ให้หน่อยค่ะ

   2. ดิฉันเคยทำไม่ดี ตอนสมัยมัธยม เคยมีเงินไม่พอซื้อของ ก้อเลยหยิบเอาเงินที่พี่วางไว้ในเก๊ะไป จะไถ่โทษยังงัย เพื่อไม่ให้บาปนี้ ติดตัวเราไปชาติหน้าคะ

   3. ดิฉันเคยชอบผู้ชายคนเดียวกับเพื่อน สุดท้ายก้อเคยกิ๊กกันนิดๆ แต่ก้อเลิกไปเพราะอยู่ไกลกันมาก และเพื่อนที่ชอบผู้ชายคนเดียวกัน ก้อรู้ แต่เขาก้อไม่ว่าอะไร แล้วก้อยังสนิทกับเราเหมือนเดิม แต่เราก้อรู้สึกผิดในใจตลอดเวลา เพราะเราเลือกเพื่อน ไม่เลือกคนนั้น อาจารย์แนะนำว่า เราจะไถ่โทษยังงัย เพื่อไม่ให้เรารู้สึกแย่ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ หรือว่า เราเอาดอกไม้ไปขอขมาเพื่อนดีคะ คือไม่อยากรู้สึกบาปต่อเพื่อนคะ

    กราบขอบคุณอาจารย์มากมายล่วงหน้านะคะ

คำตอบ
    (1) การพัฒนาจิตให้เกิดสมาธิปัญญาเห็นแจ้ง ควรนำตัวเองเข้าฝากตัวเป็นศิษย์และขอรับกรรมฐานจากครูบาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์จะได้ผลสัมฤทธิ์มากกว่าขอให้ผู้ตอบปัญหาแนะนำเทคนิคการฝึกจิตให้

   (2) ประสงค์ไม่ให้บาปติดตัวไปถึงชาติหน้า ต้องไปบอกความจริงและยอมรับผิดกับพี่ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ ด้วยการขอชดใช้หนี้ หรือขอให้เขายกหนี้ให้ หากเมื่อใดเจ้าของทรัพย์กล่าววาจาให้คุณชดใช้หนี้ที่เอาไปเป็นตัวเงิน หรือกล่าววาจายกหนี้ให้ คุณก็พ้นผิด และต้องไม่ประพฤติอทินนาทานเช่นนี้อีก

   (3) ในฐานะที่ผู้ถามปัญหาเป็นฆราวาส และมิได้ประพฤติผิดศีล 5 ไม่ถือว่าเป็นบาป เหตุที่เกิดความรู้สึกว่าผิดในเรื่องที่บอกเล่าไป สาเหตุเกิดจากผู้ถามปัญหามีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) นั่นเอง
  

854.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

   ดิฉันขอถามต่อจากข้อ 848 นะคะว่า ถ้าหากเราจะใช้สิทธิในการเรียกร้องเงินชดเชยตามกฎหมายไม่ทราบว่าจะเป็นการถูกต้องหรือไม่(ในแง่กฎแห่งกรรม) ที่จริงทำใจได้แล้วแต่ทำเพราะเห็นว่าเป็นสิทธิของเรา ถ้าได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอคำแนะนำว่า มันจะเป็นการสร้างกรรมใหม่หรือไม่ หรือดิฉันควรจะอยู่เฉยๆรับกรรมไปเพราะมันคือกรรมเก่าของดิฉันเอง

   ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์มา ณ โอกาสนี้ค่ะ

คำตอบ
   การเรียกร้องสิทธิ์ตามกฎหมาย เป็นการกระทำที่ถูกต้องในทางโลก แต่ในทางธรรมแล้วถือว่าผิดเพราะเวรคือความแค้นเคือง ความแก้เผ็ด มิได้ถูกระงับ เมื่อใดที่คู่เวรโคจรไปพบกันอีกในกาลข้างหน้า การทวงหนี้และการชดใช้หนี้เวรกรรมก็จะเกิดขึ้นอีกไม่มีวันสิ้นสุด ด้วยเหตุนี้พระพุทธะจึงตรัสว่า “ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ” ดังนั้นเรื่องที่บอกเล่าไปผู้ถามปัญหาต้องเลือกทางชีวิตของตนเองว่า จะบริหารจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นว่าประสงค์จะจองเวรกันต่อไป หรือชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดกันไปจึงเป็นสิทธิ์ของผู้ถามปัญหา
  

853.
ขอกราบสวัสดีคุณครูสนอง วรอุไร คะ

   ตอนนี้หนูเรียนหนังสืออยู่ชั้นปีที่ 5 คณะทันตแพทย์ มีเรื่องที่หนักใจและทำให้เกิดวิตกจริตอยู่บ่อยครั้ง อยากให้ครูช่วยแนะนะด้วยความเมตตากับหนูด้วยนะคะ

   คือว่าหนูพยายามสังเกตตัวเองตั้งแต่อยู่ประถม มัธยม จนกระทั่งตอนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ว่าตัวหนูเองเป็นคนไม่กล้าแสดงออก และขลาดกลัวเวลาจะต้องนำเสนองานให้กับกลุ่มคนฟัง การให้ออกความคิดเห็นในที่ประชุม หรือกระทั่งทำฟันให้คนไข้โดยเฉพาะงานที่ไม่เคยทำมาก่อน หนูมักจะตื่นเต้นจนตัวสั้น มือทั้งเย็น เกร็งและสั่น หัวใจเต้นแรง เสียงก็สั่นด้วยคะ ตอนนั้นมักจะทำอะไรไม่ได้เลย มันเป็นอะไรที่เลวร้ายมากจนหนูไม่อยากจะคิดแต่มันก็มักจะวนเวียนมาให้ได้พบเจออยู่เสมอคะ เวลาเกิดความกลัวแล้วจะทำอะไรไม่ถูก สติ สมาธิ ปัญญา หายไปหมดเลยคะ และหลังจากผ่านเหตุการณ์แล้วกลับมาคิดว่าทำไมเราถึงไม่กล้า มันก็ทำให้เกิดความเครียด โกรธตัวเอง เกิดความกังวล และสีบสนขึ้นมาเสมอๆ ซึ่งหนูก็รู้ตัวว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ดี แต่หนูก็ห้ามที่จะไม่ให้เกิดความกล้วขึ้นมาได้คะ

   หนูเองจึงอยากทราบว่าความกลัวเหล่านี้เกิดจากอะไร และหนูจะมีวิธีการใดในการจะจัดการกับความกลัวเหล่านี้ได้บ้างคะ หรือมีวิธีการใดที่ฝึกให้มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกใหม่ด้วยความมั่นใจและครองสติให้อยู่กับตัวตลอดเวลาได้บ้างคะ

    ขอบพระคุณคุณครูอย่างสูงคะ

คำตอบ
   การมีพฤติกรรมไม่กล้าแสดงออก มีต้นเหตุมาจากคนที่อยู่แวดล้อมเป็นคนมีมิจฉาทิฏฐิ ชอบครอบงำความคิดเห็นของคนอื่นให้เห็นด้วยตามที่ตัวเองต้องการให้เป็น ซึ่งตรงข้ามกับผู้มีความคิดเห็นถูก เป็นได้เพียงผู้ชี้แนะแนวทางเท่านั้น ผู้เห็นถูกไม่บังคับหรือครอบงำความคิดเห็นของคนอื่น แต่ให้คนอื่นมีอิสรภาพในความคิดความเห็นด้วยตัวเอง

   หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะปรับปรุงแก้ไข พฤติกรรมไม่ดีดังที่บอกเล่าไป ต้องนำตัวเองเข้าพัฒนาจิตวิญญาณ ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมจนสามารถเข้าถึง ปัญญาเห็นแจ้งถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ได้แล้วสติสัมปชัญญะระดับโลกุตระจะเกิดขัน ความกล้ารวมถึงพฤติกรรมไม่พึงปรารถนาต่าง ๆ จะหมดไป นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ถูกตรง ที่ผู้รู้ประพฤติได้แล้วและแสดงให้ดูแล้ว จึงนำมาบอกกล่าว
   

852.
กราบเรียนดร.สนองที่เคารพ
   หนูเรียนพึ่งจบและได้ทำงาน 2 เดือนแล้วกำลังศึกษางานแต่ยังไม่บรรจุในระหว่างอยู่ที่ทำงานรู้สึกว่าพี่ ๆเขาจะไม่ค่อยชอบหน้าหนูมักจะนินทาลับหลังพูดจาดูถูกและพูดเสียดสีแต่งเรื่องขึ้นมาโดยไม่เป็นความจริงแต่หนูรู้สึกเฉย ๆ ค่ะไม่คิดอะไรเลยจนพี่เขาบอกว่าเหมือนหนูไม่เอาหัวใจมาทำงานเพราะหนูคิดว่าคงจะเป็นกรรมของหนู และพี่ที่สอนงานหนูเวลาหนูไม่เข้าใจถามงานเขาบ่อย ทั้งหนูเป็นคนเข้าใจยากด้วย และทำงานผิดพลาดพี่เขาก็จะดุว่าหนูเสียงดังจนคนอื่นก็ได้ยินกันทั่วในแผนก แต่หนูก็รู้สึกผิดนิดหน่อยค่ะ แต่ไม่รู้สึกกลัวหรือร้องไห้เหมือนคนอื่นเวลาโดนดุ

   ไม่ทราบว่าหนูผิดปกติทางจิตหรือเปล่าคะ และพี่ที่ไม่ชอบหนูเขาก็แนะนำให้หนูไปทำงานที่อื่น หนูควรจะไปไหมคะ เพราะถ้าอยู่ไปก็คงจะไม่สบายใจที่เป็นอย่างนี้เป็นเพราะกรรมของหนูใช่ไหมค่ะ และจะทำอย่างไรปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นกับหนูอีกคะ

จึงเรียนให้อาจารย์ช่วยแนะนำด้วยนะคะ
ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
    หากประสงค์ลดการถูกนินทาลง ต้องพัฒนาจิตให้มีศีล 5 คุมให้ได้ทุกขณะตื่น เมื่อศีลคุมใจได้แล้ว ให้ประพฤติจิตตภาวนาตามบทกรรมฐานที่เหมาะกับจริตของตน และเมื่อใดจิตมีกำลังของสติกล้าแข็ง จิตจะไม่เคลื่อนออกไปนอกตัว ไม่เอาจิตไปรับเสียงนินทาของคนอื่นเข้ามาทางหู และสู่ใจปรุงแต่งให้เกิดเป็นอารมณ์ติดลบได้ คนที่ฉลาดในการใช้ตาดู ใช้หูฟังเสียง เขาทำกันอย่างนี้ เขาจึงไม่มีเรื่องไม่ดีเข้าสู่ใจ

   ส่วนเรื่องที่เป็นคนสอนยากและทำงานผิดพลาด เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ผู้อุดมด้วยกิเลส หากประสงค์จะลดพฤติกรรมติดลบของตนเองให้น้อยลง ต้องพัฒนาตนเองให้เป็นคนเก่ง เป็นคนมีความรู้มีความสามารถในงานที่ทำ และต้องพัฒนาตนเองให้เป็นคนดีมีคุณธรรมด้วยการประพฤติจริยธรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการี เป็นคนตรงต่อเวลา เป็นคนมีสัจจะ มีความขยันในงานที่ได้รับมอบหมาย และสุดท้ายมีความอดทนต่อความยากลำบาก อดทนต่อการทำงานที่ตรากตรำ และอดทนต่อความเจ็บใจ ต่อคำพูดเสียดสีของคนอื่นมนุษย์เป็นสัตว์ที่พัฒนาได้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน เขาประพฤติเช่นนี้

   สิ่งที่พี่แนะนำนั้นเขาพูดถูก กับคนที่ไม่ปรับปรุงแก้ไขตนเองแต่เป็นการพูดผิดกับผู้ที่ยอมรับความจริง และพัฒนาตัวเองให้ได้ตามคำชี้แนะดังกล่าวข้างต้น
  

851.
กราบเรียน อาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ด้วยความเคารพ

   เมื่อเช้าวันจันทร์ ที่ 19 พฤษภาคม 2551 ตรงกับวันวิสาขบูชา หนูได้สวดมนต์และอธิษฐานจิต ต่อพระบรมสารีริกธาตุที่รับไปบูชาจากวัดสังฆทาน ว่าขอพระเมตตา และอานุภาพของพระศาสดา ได้โปรดเมตตาให้การนั่งสมาธิของหนูเกิดผล และเข้าถึงสมาธิด้วยเถิด ...และจากนั้นประมาณ 3-5 นาที จิตใจหนูก็สงบเย็น และมองเห็นกลุ่มควันสีขาวคล้ายหมอกบริเวณปลายจมูกขณะหายใจ เข้า-ออก กล่มควันนั้นค่อยๆ ล่องลอยอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ เคลื่อนมารวมเข้าสู่ศูนย์กลางที่จุดๆ หนึ่ง ... แต่ยังไม่ทันไร ...เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หนูเลยต้องออกจากสมาธิ

    อยากรบกวนเรียนถามอาจารย์ว่าสิ่งนี้คืออะไร..ถือเป็นสมาธิหรือไม่...และต้องทำอย่างไรต่อไปคะ...เพราะว่าอาการแบบนี้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกค่ะ...( อาการที่เกิดขึ้นส่วนมากขณะนั่งสมาธิจะไม่รับรู้ลมหายใจ...นิ่งแช่อยู่อย่างนั้นนานๆ ค่ะ...)

    ข้อที่สอง... ขณะหลับไปได้ยินเสียงแผ่วเบาลอยมาไกลๆ ... แต่ชัดมาก มาเรียกชื่อหนูประมาณ 5 ครั้งแต่หนูไม่ได้ลืมตามา อยากทราบว่าคืออะไร และต้องทำอย่างไรคะ... เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกิดแบบนี้3ครั้ง... ครั้งแรกมีคนเรียกชื่อหนูจริงหลังจากสอบถามคนที่สงสัยแล้ว... ครั้งที่2 เกิดขึ้นเพราะรุ่งเช้าหนูจะต้องไปทำธุระที่สำคัญ... แต่ครั้งสุดท้ายนี้เกิดขึ้นคืนวันอาทิตย์ก่อนวันวิสาข ... ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุใดคะ... และต้องแก้ไขอย่างไร... ควรจะขานรับหรือไม่...

หนูขอรบกวนอาจารย์ให้ความกระจ่างและตอบข้อสงสัยเหล่านี้ด้วยนะคะ...
    ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูงค่ะ... ...ลำไพ

คำตอบ
   (1) กลุ่มควันสีขาวที่เห็นเป็นผลเนื่องมาจากจิตเริ่มมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ควรใช้จิตที่เริ่มตั้งมั่นนี้มากำหนดด้วยการบริกรรมคำว่า “ เห็นหนอ ๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลุ่มควันสีขาวหายไปแล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม ทั้งนี้เพื่อให้จิตมีกำลังสมาธิเพิ่มมากยิ่งขึ้น

   (2) สิ่งที่ปรากฎให้จิตสัมผัสได้ เหมือนกับข้อ (1) แต่เปลี่ยนจากการเห็นเป็นการได้ยิน ควรกำหนดว่า “ ได้ยินหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียงที่ได้ยินหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม ไม่ควรเอาจิตเข้าไปปรุงแต่งเสียงที่ได้ยินด้วยการขานรับ เพราะจะทำให้กิเลสมีกำลังมากขึ้น นั่นคือสติที่ใช้ในการภาวนามีกำลังอ่อนลง