1

 

 


 

                                                                 
คำถาม-คำตอบ ข้อ 551-600

600.
เรียนถามท่านอาจารย์ อาจารย์คะ

   หนูมีความตั้งใจอยากจะซื้อที่ดินเป็นที่ทำกินแก่ผู้มีพระคุณ คือหนูปฏิบัติธรรมกับท่าน ทีผ่านมาหนูพยายามเกื้อกูลท่านมาตลอด ท่านก็อนุโมทนาบุญมาตลอดและอวยพรให้ประสบผลสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม

แต่ก็ไม่ทราบว่าทำไมภายในจิตใจกลับไม่เต็ม รู้สึกหิวโหยเสียด้วยซ้ำไปในบางเวลา บางครั้งนอนหลับอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเหมือนมีใครมาบอกว่าอย่ามัวแต่นอน ตื่นขึ้นมาพัฒนาพลังชีวิตเดี๋ยวนี้ แล้วหนูก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาฝึกสติต่อทันที และบางครั้งหลับๆอยู่ก็รู้สึกกลายๆว่าตัวเองเหมือนเปรตอย่างงั้น คือรู้สึกว่าจิตใจหิวกระหาย อยากทำบุญใหญ่อยู่ตลอดเวลา ทุกวันนี้เงินทองเก็บไว้เพื่อสร้างกุศลเพียงอย่างเดียว ไม่อยากจะเอาไปทำอย่างอื่นเลย ใจมันหิวบุญมาก แต่ถึงกระนั้นเวลานึกจะทำบุญใหญ่จิตใจก็ยังกังวลอะไรบางอย่างซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ส่วนใหญ่หนูจะพยายามตั้งสติ และดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่จิตใจ ทำไมจะทำบุญแต่จิตใจกลับอึมครึม พยายามจะพิจารณาว่านี่สัญญาเก่าหรือเปล่า หนูอาจจะเคยไปเบียดเบียนใครมาก็ได้ ทำให้จิตใจพร่อง ก็คิดเอาเองว่าเราไม่ควรย่อท้อ ยิ่งต้องเร่งทำให้มากขึ้นอีกด้วย

ขอเรียนถามท่านอาจารย์หนูเป็นอย่างนี้เพราะอะไรคะ หนูเคยทำผิดอะไรมาหรือเปล่าคะ หรือเป็นเพราะมีใครต้องการให้พัฒนาจิตใจให้มากก็เลยมาเตือน หรือเป็นเพราะใครต้องการรับบุญกุศลจากหนูหรือเปล่า จึงเป็นเช่นนี้

ท่านอาจารย์โปรดเมตตาชี้แนะสิ่งที่เป็นอยู่ และโปรดบอกทางด้วยค่ะ หนูอยากพัฒนาชีวิตให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ

คำตอบ
   เหตุเพราะจิตยังพร่องจากบุญกุศล ฉะนั้นจึงแนะนำให้ผู้ถามปัญหา ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ10 อยู่เสมอ โดยเฉพาะบุญที่เกิดจากการปฏิบัติจิตตภาวนา ซึ่งให้ผลเป็นบุญใหญ่สุด ควรปฏิบัติให้มาก
  

599.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง

ดิฉันมีข้อสงสัยในการปฏิบัติธรรม จึงอยากเรียนขอคำชี้แนะดังนี้ค่ะ

    ควรเริ่มจากสมาธิไปหาสติ หรือควรเริ่มจากฝึกสติไปหาสมาธิ ดิฉันเคยนั่งสมาธิแล้วเกิดเป็นมิจฉาสมาธิ โชคดีที่ได้พบกัลยาณมิตร จึงมีวันนี้ ท่านแนะนำให้สวดมนต์ ดิฉันก็ทำตามและได้ผลดี วิธีคือให้ปากกับใจตรงกันในทุกคำบริกรรม ตอนนี้ดิฉันไม่ได้อยู่ใกล้ชิดท่าน ก็พยายามสวดมนต์เป็นประจำและปรับมาเป็นสวดในใจบ้าง แต่สวดแล้วรู้สึกหนักสมองข้างซ้ายมาก รู้สึกขาดสติ ตอนที่สวดก็รู้จิตฟุ้ง มีเพียงบางขณะที่จิตเกิด สงบเป็นสมาธิ ดิฉันอยู่ต่างประเทศ สังเกตว่าฝรั่งเค้าเรื่มจากสติไปหาสมาธิ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ไปบีบจิตมากนัก

ดิฉันเคยฝึกจากสมาธิไปหาสติ แต่จากเหตุและผลข้างต้น

ดิฉันจึงกราบเรียนขอคำชี้แนะด้วยค่ะ ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    สมาธิฝึกไม่ได้ ฝึกจิตให้มีสติได้เมื่อใดแล้วสมาธิคือความตั้งมั่นของจิต จะเกิดตามมาเป็นอัตโนมัติ

เมื่อระลึกได้ว่า จิตขาดสติ ควรตั้งใจนำจิตมาจดจ่อ (สติ) อยู่กับบทสวดมนต์ให้มากสวดมนต์ให้มีเสียงดัง กล่าวคำสวดได้ชัดเจนและไม่เร็วจนเกินไป แล้วสมาธิในการสวดมนต์จะเกิดขึ้นที่ผู้ถามสังเกตเห็นฝรั่งเขาเริ่มจากสติไปหาสมาธิ นั้นทำได้ถูกต้องแล้วควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
  

598.

กราบเรียน อ.สนองที่เคารพ

ขอบพระคุณอาจารย์มากนะคะสำหรับการตอบปัญหาในครั้งที่แล้ว อยากจะรบกวนถามปัญหาให้อาจารย์ช่วยเมตตาตอบให้กับคนขี้สงสัยด้วยนะคะ

   บางครั้งเราก็รู้สึกเหมือนภาวะนิพพาน(หมายถึงความสงบ ความว่าง ความที่รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าเอาน่าเป็น อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ ไม่ได้หมายถึงนิพพานแบบพระอรหันต์นะคะ) อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง แต่บางครั้งก็เหมือนหาไม่เจอซักที อาจารย์คะ ถ้าเราก็ไม่รู้ว่าเรามีบุญบารมีเก่ามากน้อยเพียงไร เราอาจจะจัดอยู่ในประเภท ไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ในชาตินี้ อย่างนี้ก็เป็นไปได้ว่า แม้เราจะพรากเพียรทั้งชีวิต เราก็ไม่อาจบรรลุธรรมได้เลยใช่มั้ยคะ แค่คิดถึงชีวิตที่จะต้องเกิดอีกมันก็ทุกข์แล้วล่ะค่ะ แต่จะน้อมรับในสิ่งที่อาจารย์สอนนะคะ ว่าให้ยอมรับในผลของกรรมแล้วก็ยินดีที่จะชดใช้

อาจารย์คะ ถ้าปกติงานของหนู มันอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ (ทำสื่อการเรียนการสอน) แทบจะไม่ได้เจอใครเลย แทบจะเหมือนการจำศีลเลยล่ะค่ะ ตอนทำงานหนูก็ไม่ได้คิดร้ายใคร อย่างนี้มันเกิดบุญที่จะเอาไปอุทิศได้มั้ยคะ หรือถ้าบางครั้งเรามีโอกาสได้ตอบคำถามที่มีคนปรึกษามา (ปัญหาทางโลกบ้างทางธรรมบ้าง ตอบไม่มากหรอกค่ะเท่าที่ปัญญาจะตอบได้) แต่เราก็มีความสุขกับการที่ได้ช่วยเหลือตรงนั้น อย่างนี้มันเกิดบุญที่จะเอาไปอุทิศได้มั้ยคะ อย่างนี้ในแต่ละวัน ถ้าก่อนนอนเราละลึกถึงความสุขที่เกิดจากความดีที่เราทำในแต่ละวัน (เล็กบ้างใหญ่บ้าง) แล้วเราก็อุทิศทุกวันเลยได้มั้ยคะ เราจะอุทิศบุญให้ประเทศจะได้ด้วยหรือเปล่าคะ

ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงนะคะสำหรับคำตอบ

คำตอบ
    ความรู้สึกที่บอกเล่าไปยังไม่ใช่ผลที่เกิดจากปัญญาเห็นแจ้ง มันเป็นเพียงความสงบที่เป็นผลมาจาก การมีจิตเข้าสู่ความตั้งมั่น (สมาธิ) ระดับสูง ยังมีความเห็นผิดในผู้รู้ตรวจวัดได้ ผู้เห็นผิดยังมีโอกาสส่งจิตออกไปรับสิ่งกระทบที่จะเกิดในอนาคตมาปรุงเป็นอารมณ์ แล้วทำให้ใจเป็นทุกข์

ฉะนั้นความเห็นที่วา “ แม้จะพากเพียรปฏิบัติธรรมให้มากเพียงไร ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมในชาตินี้ ” ยังเป็นความเห็นผิดอยู่ผู้เห็นถูกเห็นว่า “ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มรรคผลแห่งธรรมย่อมเกิดตามมาให้ผู้ปฏิบัติเข้าถึงได้ ”

คนที่ชอบคิดเปรียบเทียบกับผู้อื่น เปรียบเทียบกับสิ่งที่อื่นที่เป็นสมมติของโลก ปฏิบัติธรรมได้ผลยาก เพราะทำตัวเองให้เป็นคนช่างสงสัย (น้ำชาล้นถ้วย) ส่วนการช่วยเหลือคนอื่น เป็นบุญกิริยาวัตถุ 10 ผู้ใดทำแล้วให้ผลเป็นบุญ ผู้มีบุญสามารถอุทิศบุญได้ทุกวัน อุทิศให้มนุษย์และอมนุษย์ที่อยู่ในประเทศนั้นได้แต่ไม่สามารถอุทิศและเกิดผลได้กับสิ่งที่ถูกสมมติว่าประเทศได้
     

597.
เรียน อ.ดร.สนอง

ดิฉันมีความคิดอยากบวชเป็นแม่ชีคะ อยากเรียนถามดังนี้

1. การบวชชีในปัจจุบันกับการบวชเป็นภิกษุณีในอดีต เหมือนกันไหมคะ และการเป็นแม่ชี มีข้อปฏิบัติเหมือนพระสงฆ์ไหมคะ

2. อ.มีวัดที่ไหนพอจะแนะนำไหมคะ ดิฉันอยากบวชในวัดที่สงบ มีการฝึกในสายวิปัสสนากรรมฐาน ไม่อยากบวชในวัดที่มีแต่การแก่งแย่งแข่งขัน ที่มองทุกอย่างเป็นตัวเงินไปหมด

3. มีคนเคยบอกว่าการเป็นแม่ชี ถ้าจะบวชได้ต้องมีเงิน ไม่งั้นจะอยู่ไม่ได้ เพราะต้องซื้ออาหารทานเอง จริงหรือเปล่าคะ แล้วอย่างงี้เราจะละทางโลกได้อย่างไร เพราะต้องขวนขวายหาแต่เงินมาเลี้ยงตัว

สุดท้ายกราบขอบพระคุณอ.ดร.สนองมากเลยคะ

คำตอบ
    (1) ชี คือ อุบาสิกา ที่นุ่งขาวห่มขาว โกนผม โกนคิ้วสมาทานศีล 8 และรักษาศีล 8

การบวชเป็นชีต่างจาการบวชเป็นภิกษุณีในครั้งพุทธกาล ซึ่งต้องถือปฏิบัติคุณธรรม 8 ประการ อย่างเคร่งครัดตลอดชีวิต เมื่อบวชเป็นภิกษุณีแล้วต้องประพฤติคุณธรรมขั้นพื้นฐาน เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมยไม่มีเพศสัมพันธ์ไม่อวดคุณวิเศษที่ตนไม่มี และยังต้องประพฤติธรรมเพื่อนำคนให้หลุดพ้นไปจากการเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสาร

ส่วนการบวชเป็นพระสงฆ์ต้องสมาทานและรักษาศีลถึง 227 ข้อ จึงต่างจากชีซึ่งรักษาศีลเพียง 8 ข้อ ชีต้องประพฤติฆราวาสธรรมหรือประสงค์ประพฤติธรรมของนักบวชเช่น ภิกษุณีสงฆ์หรือภิกษุสงฆ์ก็สามารถประพฤติได้

   (2) วัดที่มีความสงบคงหาไม่ได้เพราะมีชีจำนวนมากยังเห็นผิดไปจากธรรมของพระพุทธะ ยังมีภาวะของจิตเป็นปุถุชนยังหวั่นไหวสั่นคลอนด้วยโลกธรรมและวัตถุจึงยังมีพฤติกรรมเข่งขัน แก่งแย่งชิงดียังเอากิเลสออกแสดงให้กันและกัน ฉะนั้นการเฟ้นหาวัดเพื่อไปบวชเป็นชีไม่สำคัญเท่ากับการพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้มีกำลังของสติสัมปชัญญะกล้าแข็งรู้ทันกิเลสใช้กิเลสเป็นได้ประโยชน์จากกิเลส และจิตไม่ตกเป็นทาสของกิเลสนี่คือสิ่งที่ผู้รู้เสนอแนะให้ผู้ถามปัญหานำไปคิดพิจารณาและตัดสินใจบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง

   (3) จริงกับคนที่ได้บอกเล่าให้คุณได้ยินได้ฟังแต่ไม่จริงสำหรับผู้รู้ เพราะเคยได้ยินอยู่บ่อย ๆจากปากของภิกษุสงฆ์ที่ได้รับสมมติให้เป็นผู้จัดแจกอาหาร (ภตตุทเทสกะ) ว่าหลังจากภิกษุสงฆ์และสามเณรจัดอาหารลงในบาตรเรียบร้อยแล้วอนุญาตให้อุบาสก อุบาสิกาผู้ประพฤติศีล 8 นำไปรับประทานได้ฯลฯ จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับชีที่ต้องใช้เงินซื้ออาหารมาเพื่อรับประทานเอง เพราะยังมีอาการเหลือจนรับประทานได้ไม่หมด


  

596.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง

ในภพภูมิปัจจุบันนี้ ดิฉันรู้สึกดีใจและปิติมากที่ได้มาพบเจอท่านในชาตินี้เพราะแต่ก่อนนี้ดิฉันไม่ได้เดินทางสายธรรมเท่าไร แต่พอได้อ่านหนังสือของท่านและฟังเสียงของท่านเกือบทุกวันทำให้จิตใจหันเข้าหาธรรมะมากยิ่งขึ้น

ทุกวันนี้ดิฉันได้นำทางให้ลูกๆสร้างสมบารมีโดยให้ตื่นเช้าใส่บาตรทุกวัน (คนโต อายุ 10 ขวบ,คนเล็กเพิ่งอายุ 5 ขวบค่ะ) และฝึกต้องให้มีศีล 5 คุมจิตใจ เพราะดิฉันรู้ว่าถ้าเค้าเดินทางสายทางธรรมแล้วจะนำพาชีวิตและดวงจิตของเค้าไปสู่ภพภูมิที่ดี เพราะดิฉันกว่าจะค้นพบทางเดินนี้ก็อายุมากแต่ก็คิดว่ายังพอมีบุญที่ได้มาพบท่านอาจารย์ดร.สนอง

ดิฉันเพิ่งไปฝึกกรรมฐานที่วัดแห่งหนึ่งค่ะ และมาเริ่มฝึกเองที่บ้าน แต่จะต้องไปฝึกปฏิธรรมอีกตามสถานที่ที่ท่านอาจารย์แนะนำเพิ่มให้มากขึ้นอีกค่ะ

ปัจจุบันครอบครัวทำธุรกิจเกี่ยวกับ 5 อาชีพที่ท่านอาจารย์บอกกว่าตกอยู่ในอบายภูมิมาก ดิฉันกับสามีมีแนวคิดเดียวกันพยายามเก็บเงินใช้หนี้ให้ลดน้อยลง   และจะทำอาชีพที่ไม่ต้องเสี่ยงกับอบายภูมคือปลูกต้นไม้ขาย ,ขายสมุนไพร(รวมทั้งแจกหนังสือธรรมะด้วย) คือใช้ชีวิตให้พอเพียงที่สุด และต้องนำพาครอบครัวปฏิบัติธรรมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในภพภูมินี้ (ซึ่งมันยากมากในการปฏิบัติธรรมแต่ถึงยากอย่างไร ชีวิตที่เหลือนี้ก็ ขออธิษฐานให้ได้สร้างบุญกุศลและปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุด) เพราะชาตินี้ทำกรรมหนักไว้ ทุกวันนี้ดิฉันระลึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์อยู่เสมอ และเสียงของท่านก็ดังอยู่ในจิตของดิฉัน (ถึงแม้ดิฉันจะไม่ได้ไปกราบท่านอาจารย์ใกล้ๆ แต่ท่านอาจารย์เคยบรรยายว่าไม่ต้องเจอผมก็ได้ แต่ปฏิบัติตามที่ผมแนะนำ ไม่ต้องเชื่อผม แต่พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วธรรมะจะนำทางไปสู่ภพภูมิที่ดี)

ท่านอาจารย์ไม่ต้องตอบหรอกน่ะค่ะ เพียงแต่ดิฉันอยากจะเขียนถึงความรู้สึกที่ปิติที่ได้มาพบเจอท่านอาจารย์ในภพนี้ ถ้าการเขียนนี้ไม่ถูกไม่ควร ก็ขออนุญาตกราบท่านอาจารย์ขออโหสิกรรมให้ดิฉันด้วยน่ะค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร.สนอง เป็นที่สุด

คำตอบ
   สาธุ...ที่เริ่มเห็นทางสว่างของชีวิต ผู้ใดเอาธรรมะของพระพุทธะบรรจุไว้ในใจได้แล้ว ชีวิตมีแต่ความเจริญ กรรมไม่ดีมีกับผู้ตอบปัญหายกเลิกต่อกันพร้อมนี้บุญบารมีของผู้ตอบปัญหาจงมีแต่ท่านจงทุกประการเทอญ
     

595.
เรียนถามท่านอาจารย์สนอง

1. หนูเพิ่งเริ่มต้นรักษาศีล 5 พอเริ่มต้นก็พบว่าตัวเองมักผิดศีลข้อวาจาเป็นประจำ จึงตั้งใจรักษาเป็นพิเศษ ทำให้พูดน้อยลง แต่พอเปิดปากพูดนิสัยเก่าก็ออกมาอีก คือตามนิสัยเก่าจะพูดไม่ค่อยเพราะและโผงผางหน่อย ท่านอาจารย์โปรดเมตตาแนะวิธีเปลี่ยนแปลงให้ตนเองเป็นคนมีวาจาไพเราะด้วยนะคะ

คำตอบ
    วิธีแก้ปัญหาชั่วคราวไปไหนมาไหนให้อมน้ำไว้ในปาก ถ้าจำเป็นต้องพูดให้มีสติระลึกว่า จะพูดดี พูดเป็นสัมมาวาจา คือพูดไม่เท็จพูดไม่หยาบ พูดไม่ส่อเสียด พูดไม่เพ้อเจ้อเมื่อระลึกได้เช่นนี้ แล้วให้บ้วนน้ำในปากทิ้งหรือกลืนลงไปในลำคอแล้วจึงพูดตามที่ตั้งใจไว

ส่วนวิธีการแก้ปัญหาเรื่องการพูดไม่ดีให้หมดไปอย่างถาวร ต้องปฏิบัติธรรมจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดโปรแกรมจิตที่ติดลงให้หมดไป ด้วยการพิจารณาทุกความคิดที่ติดลบทุกความคิดที่ไม่ดีให้ดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์เหลือไว้แต่ความคิดดีความคิดที่เป็นบวกอยู่ในจิตสำนึก เมื่อจิตสำนึกสั่งให้ปากพูด จะมีแต่คำพูดดี ๆ ออกมาจากปากตามโปรแกรมจิตดีที่มีอยู่

2. เวลาที่พยายามทำสมาธิ(นั่งนิ่งๆแต่ยังลืมตา) จะรู้สึกเหมือนมีแสงสว่าง เหมือนโลกสว่างกว่าเดิม แต่ภายในร่างกายมีอาการสั่นเหมือนกับมีระลอกคลื่นเคลื่อนไหวไปมาภายในร่างกาย เป็นเพราะอะไรคะ เกี่ยวกับกิเลสเก่าหรือเปล่าคะ

คำตอบ
    เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นกับจิตที่เริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ

3. การที่ทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวรหลายคน และเจ้ากรรมนายเวรแต่ละคนถูดเบียดเบียนด้วยการกระทำที่แตกต่างกัน เจ้ากรรมนายเวรแต่ละคนต้องการการชดใช้ที่แตกต่างกันหรือไม่คะ หมายถึงว่าบางคนอาจจะต้องการให้ปฏิบัติธรรมให้ บางคนต้องการให้ทำทานให้ อย่างนั้นหรือเปล่าคะ หรือว่าการปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นกุศลสูงสุดนั้นได้ครอบคลุมทุกอย่างไว้ทั้งหมดแล้ว หนูไม่ค่อยเข้าใจเรื่องสมบัติทิพย์ที่จะอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรจึงขอเรียนรบกวนถามท่านอาจารย์

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    กรรมที่บุคคลกระทำเบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นมีหลายชนิดที่แตกต่างกันบุคคลสามารถบริหารจัดการหนี้เวรกรรมได้ 4 วิธีคือ
  - ยอมรับความจริงแล้วใช้หนี้เวรกรรมจนหมดไป
  - ทำกรรมที่เป็นบ่อเกิดแห่งบุญแล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร
  - ทำความดีให้ยิ่งใหญ่เพื่อให้หนี้เวรกรรมตามไม่ทัน และสุดท้าย
  - พัฒนาจิตจนเข้าถึงอรหัตผลทิ้งรูปทิ้งนามเข้านิพพานหนี้เวรกรรมที่เหลือทั้งหมดเป็นอันยกเลิก

    

594.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

   สวัสดีค่ะอาจารย์ เนื่องจากดิฉันและเพื่อนๆตั้งใจว่าจะไปปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานที่จังหวัดเชียงใหม่ในช่วงฤดูหนาวปลายปีนี้ จึงขอความกรุณาอาจารย์แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมในจังหวัดเชียงใหม่ค่ะ

   ทั้งนี้เมื่อปฏิบัติธรรมและอุทิศบุญกุศลร่วมกันแล้ว อยากทราบว่าเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตอยู่ เช่น เป็นมนุษย์หรือเดรัจฉาน จะได้รับบุญกุศลที่อุทิศให้ไปหรือไม่ เพราะดิฉันไม่มีโอกาสเจอและให้เขาอนุโมทนาบุญด้วยตัวเองค่ะ
แต่โดยปกติทุกวันจะนั่งสมาธิ สวดมนต์บทอิติปิโส พาหุงมหากาและชินบัญชร
หลังจากนั้นกล่าวอุทิศบุญกุศลด้วยบท อิทัง เม แผ่เมตตา และกล่าวขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรไม่ว่าจะอยู่ในภพหรือภูมิใดก็ตามขอให้ท่านทั้งหลายยกโทษให้ดิฉันด้วย
สุดท้ายจึงกรวดน้ำลงดินกล่าวอิมินา ปุญญะกัมเมนะ

   ถ้าดิฉันปฏิบัติดังนี้แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอยกบุญกุศลที่ทำมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติให้สรรพสัตว์ในทุกภพทุกภูมิที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
อยากทราบว่าจะได้รับถึงกันหรือไม่คะ เพราะที่ดิฉันตั้งใจปฏิบัติมากเนื่องด้วยในชาตินี้ดิฉันได้เคยล่วงเกินหรือทำให้ผู้อื่นต้องเจ็บช้ำน้ำใจ จึงไม่อยากให้เวรกรรมส่งผลหรือเป็นโมฆะและที่สำคัญคือไม่กล้าขออโหสิกรรมกับเจ้าตัวค่ะ จึงอาศัยเลิกสร้างกรรมชั่ว ทำบุญกุศล และปฏิบัติธรรมให้มากที่สุด อย่างนี้แล้วกรรมชั่วจะตามทันมั้ยคะ (ส่วนใหญ่ดิฉันผิดศีลข้อ ๔ ค่ะ คือ ละเมิดทางวาจา นินทา ว่าร้าย โกหกบ้าง ส่วนอีก4ข้ออื่น ไม่ผิดค่ะ เคยบีบมด ตบยุงบ้าง แต่ปัจจุบันไม่ทำแล้ว)

สุดท้ายกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่สละเวลาตอบข้อสงสัยทางธรรมมา ณ ที่นี้ไว้ด้วยค่ะ

คำตอบ
    สถานปฏิบัติธรรมในจังหวัดเชียงใหม่อาทิสำนักชีดอยสะเก็ด อ.ดอยสะเก็ด สำนักปฏิบัติธรรมดานัง เลนัง อ.ดอยสะเก็ด สำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม อ.จอมทอง สำนักปฏิบัติธรรมวัดห้วยส้ม อ.หางดง สำนักปฏิบัติธรรมวัดร่ำเปิง อ.เมือง ฯลฯ

มนุษย์และเดรัจฉานที่ยังมีชีวิต ถ้าเขาทราบและมาร่วมอนุโมทนาบุญได้เขาก็ได้รับบุญกุศลที่มีผู้อุทิศให้ได้ ส่วนสัตว์ในภพอื่นที่ยังต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารจะได้รับบุญที่มีผู้อุทิศให้ได้ต้องเข้าถึงเงื่อนไข 2 ข้อดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

หากปฏิบัติตนให้มีศีลทั้งห้าข้อ คุมใจได้ทุกขณะตื่นแล้วหันมาปฏิบัติธรรมคนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้เอาปัญญาเห็นแจ้งไปกำจัดกิเลส (สังโยชน์10) จนหมดไปจากใจได้ แล้วทิ้งขันธ์ลาโลกเข้านิพพานได้แล้วกรรมชั่วที่ทำไว้ทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่ไม่สามารถตามให้ผลได้ และหากยังไม่ทิ้งขันธ์ดังเช่นพระมหาโมคคัลลานะองค์อรหันต์สะอุปาทิเลสนิพพานยังถูกโจรทุบได้
     

593.
ด้วยความเคารพอาจารย์

1. ผมมีจิตศัทธาพระพุทธศาสนามาก ต้องการบวชเป็นภิกษุ และต้องการเดินทางสายเอกนี้ให้ถึงเป้าหมายสูงสุด แต่ว่าติดอยู่ที่ทางพ่อผมคงยังไม่เข้าใจถ่องแท้ถึงการที่ทำไมเราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่อยากให้ผมไปบวช อยากให้อยู่ช่วยงานที่บ้านที่มีภาระอยู่มาก (ยังมีหนี้เงินหมุนเวียนเยอะ) เพราะผมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานที่บ้าน (ผมค้าขายเสื้อผ้าที่ประตูน้ำ) แต่เขาก็บอกว่าเขาไม่ได้ห้ามนะ (กลัวเขาจะบาปที่มาขัดทางบุญ) ผมจะผิดมั้ยที่จะต้องขัดใจพระอรหันต์ที่บ้าน และเขาต้องเสียใจที่ผมจะไป (แต่ทางบ้านยังมีพี่น้องอยู่ช่วยได้แต่ยังไม่ค่อยเก่งงานเหมือนผม) คือผมต้องการไปเพราะต้องการมีศีลเป็นกำแพงกั้นในการที่จะกระทำผิด คือถ้าผมอยู่ในผ้าเหลืองแล้วคงพยายามรักษาศีลสุดชีวิต แต่ถ้าเป็นฆราวาส ผมมักจะห้ามใจตัวเองไม่ได้ในกระแสทางโลกที่ดึงดูดอยู่ (เพื่อนฝูงเยอะ ชอบกินเหล้า) เพราะผมดำเนินชีวิตทางโลกมาจนติด เพิ่งมารู้ถึงแก่นแท้ของชีวิตนี้เมื่อวันที่ผมได้ไปปฎิบัติที่วัดอัมพวันเมื่อ 4 ธ.ค. 49 (เพื่อนแนะนำให้ไปช่วยแม่ที่เป็นมะเร็ง) ก่อนแม่เสียเมื่อ 29 ธ.ค. 49 ผมจึงได้รู้สัทธรรม ผมอยากให้อาจารย์ช่วยแนะนำผมหน่อยครับว่าควรทำอย่างไรให้พ่อผมเสียใจน้อยที่สุด และผมจะบาปมากมั้ยครับ ผมเหมือนหนีปัญหาหรือป่าว เพราะอยู่ไปผมก็เบื่อทางโลกที่ใช้ชีวิตจำเจนี้มากพอแล้ว

2. ผมดูในวัฎสงสารทั้ง 31 ภูมิ ที่พวกเราต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นี้ แต่ไม่เห็นมีพวกนี้อยู่เลย อาทิเช่น นาค ครุฑ ยักษ์ กินรี ฯลฯ ผมเคยฟังหลวงพ่อจรัญเทศน์เรื่องป่าหิมพานว่ามีจริง แล้วพวกเขาเหล่านี้ไปอยู่ที่ภพภูมิไหนครับ

3. เรื่องมนุษย์ต่างดาวมีจริงมั้ยครับ แล้วเค้าใช้จิตสื่อสารกันจริงมั้ยครับ ถ้ามีจริงแล้วเขาอยู่ในภพภูมิไหนครับ แล้วมาที่โลกเราทำไมครับ

คำถามสองข้อหลังนี้อาจไร้สาระไปหน่อยไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ขอรบกวนหน่อยนะครับ เผื่อไว้ตอบพวกเพื่อน ๆ ที่มาถาม

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์มาก ๆ เลยครับ ผมเคารพอาจารย์มาก ๆ เพราะอาจารย์เหมือนคนจุดประกายไฟให้ผม เพราะผมบังเอิญไปหยิบหนังสือ "ทางสายเอก" ของอาจารย์มาอ่านตอนที่แม่รักษาตัวที่โรงพยาบาล ขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
    (1) เกิดมาเป็นมนุษย์ มีงานใหญ่ทีต้องทำอยู่ 2 อย่าง คือ งานภายนอกได้แก่งานที่ทำให้กับสังคมงานที่ทำให้กับครอบครัว เมื่อยังมีภาวะเป็นสมาชิกของครอบครัว ต้องทำงานภายนอกให้ดีที่สุดขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมทำงานภายในคืองานพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้ดีที่สุดเมื่อใดที่สุดเมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัวโอกาสทิ้งงานภายนอกไปสู่งานภายในล้วน ๆ ย่อมมีได้ ดังตัวอย่างของพาหิยะผสะกุลบุตรปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) ฯลฯได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างให้โลกได้ศึกษา

   (2) นาค ครุฑ ยักษ์ กินรี ฯลฯ มีจริง ขออภัยที่ไม่ตอบตามที่ถามเพราะจะทำให้ผู้อ่านและผู้ถามมีกิเลส (โมหะ) เพิ่มขึ้น

   (3) มนุษย์ต่างดาวมีจริงสื่อสารด้วยพลังงานจิต เขามาสู่โลกของเราด้วยจุดประสงค์ใด ผู้ตอบปัญหามิได้ถามจึงไม่ทราบ
     

592.

เรียน อาจารย์ สนอง

ขอรบกวนถามคำถามดังนี้ค่ะ

หลังจากที่ดิฉันพยามเจริญสติ ตามรู้ตามดูอารมณ์ และพิจารณาตามหลักปฏิจจสมุปบาท อยู่เกือบ 2 ปี อยู่ๆวันหนึ่ง ก็เกิดปัญญาสว่างแจ้ง เกิดความเข้าใจว่า ไม่มีอะไรที่มีตัวตนแท้จริงเลย อย่างนี้เรียกว่าได้ตวงตาเห็นธรรมรึปล่าวคะ หลังจากนั้นมาสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ เวลาฟังธรรมรู้สึกได้ว่าเข้าใจอย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน รู้สึกได้ว่ามีศีลอยู่กับตัวอย่างที่ไม่ต้องบังคับ แต่ที่สงสัยก็คือว่า ก่อนหน้านั้น เข้าใจว่าผู้ที่ได้ดวงตาเห็นธรรม แทบจะดูเป็นผู้วิเศษไปเลย ในขณะที่ตัวเองนั้นไม่ได้มีความวิเศษอะไรเลย อีกทั้งตอนที่เกิดปัญญานั้น ก็ไม่ได้เกิดในระหว่างนั่งสมาธิแต่อย่างใด แต่เกิดตอนทำงานบ้าน (ล้างถ้วยล้างชาม) ต่างหาก ตรงกันข้าม ดิฉันนั่งสมาธิยังไม่ค่อยจะถูกเลย ถ้าเป็นการเห็นธรรมจริง ดิฉันก็อยากจะเจริญให้ได้ถึงขั้นนิพพานเลย แต่ถ้าวาสนามีน้อย อาการเห็นธรรมนี้ จะยังคงติดเราไปในชาติภพอื่นหรือไม่คะ แต่ที่แน่ๆตอนนี้ หน่ายการใช้ชีวิตอย่างโลกๆมากค่ะ รู้สึกว่าจะอย่างไรการใช้ชีวิตอย่างโลกๆนี้มันก็ยังมีการเบียดเบียนอยู่ดี อยากจะบวชแล้ว แต่เหตุปัจจัยยังไม่พร้อม อธิษฐานอย่างไรดีคะจึงจะได้บวช อีกเรื่องนึงเลยนะคะ เรื่องฆ่าปลวก ดิฉันทำทั้งที่มีสติเต็มที่ ไม่อยากทำก็ต้องทำ เพราะปล่อยไว้จนบ้านเป็นรูหมดแล้ว ทำทั้งที่รู้ว่าบาป ดิฉันทำเพื่อคนทั้งบ้าน แต่ดิฉันก็คิดว่า ถ้าจะมีกรรมเพราะการกระทำนี้ ก็ขอรับไว้คนเดียว ไม่ทราบว่ากรรมที่เกิดจะหนักกว่าตอนทำอย่างไม่มีสติรึปล่าวคะ ถามมาซะเยอะเลย รบกวนอาจารย์สนองช่วยตอบเป็นทานด้วยนะคะ

ขอบพระคุณมากค่ะ

อุษา

คำตอบ
    ผู้ที่มีจิตเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมคือผู้ที่เห็นถูกตรงตามความเป็นจริงว่า “ สรรพสิ่งเกิดขึ้นด้วยมีเหตุทำให้เกิด เมื่อเหตุดับสรรพสิ่งย่อมดับลงด้วย ” ผลที่เกิดตามมาของผู้มีดวงตาเห็นธรรมคือจิตปล่อยวางสรรพสิ่งโลกธรรมและวัตถุใด ๆ ไม่อาจเข้ามามีอำนาจเหนือใจ ไม่สามารถทำใจให้หวั่นไหวสั่นคลอนได้ จิตจึงเป็นอิสระเข้าถึงความสุขละเอียดประณีตอยู่ทุกขณะตื่น การมีดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้นที่จิตและติดตามข้ามภพข้ามชาติได้ตราบที่ยังไม่ทิ้งขันธ์ลาโลกเข้าสู่พระนิพพาน

การบวชกายไม่สำคัญเท่ากับการบวชใจ ผู้ใดประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัยของพระพุทธะได้ถือได้ว่าผู้นั้นบวชใจแล้ว ส่วนผู้ใดคิดฆ่าคิดกำจัดปลวก เป็นความคิดที่ผิด (มิจฉาสังกัปปะ) หากนำความคิดที่ผิดไปปฏิบัติแล้วจะทำให้บาปเกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตของผู้กระทำ คนที่มีดวงตาเห็นธรรมเขาไม่มีความคิดเช่นนี้แต่คนที่ยังเดินอยู่ในทางมรรคแห่งการเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมยังประพฤติทุจริตได้อยู่
     

591.
กราบเรียน ดร.สนอง ที่เคารพอย่างสูง

   ดิฉันมีข้อสงสัยขอเรียนถามดังนี้ค่ะ ลูกที่ดูแลมารดายามแก่เฒ่า หมั่นไปเยี่ยมเยียนท่านสม่ำเสมอ หาซื้ออาหารดี ๆ ให้ท่านทาน หาหนังสือ ซีดีธรรมะให้ท่านอ่านและฟัง สวดมนต์ภาวนาทำบุญก็อุทิศบุญกุศลให้ท่าน (ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่) และบอกกล่าวบุญกุศลให้ท่านได้รับทราบด้วย ทำหน้าที่ลูกให้ดีที่สุดในชาตินี้ แต่ลึก ๆ ไม่อยากเป็นแม่ลูกกันอีก จะถือว่าเป็นลูกอกตัญญูหรือไม่

ขอขอบพระคุณในความกรุณาตอบข้อสงสัยค่ะ

คำตอบ
    ผู้ใดประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกที่ดีต่อแม่ได้ครบถ้วน ถือได้ว่าเป็นลูกกตัญญูฯ ส่วนความปรารถนาไม่ประสงค์เป็นแม่ลูกกันอีกเป็นเรื่องของจิตอธิษฐาน ไม่ถือว่าผิดธรรมของพระพุทธะบุคคลสามารถตั้งจิตปรารถนาแบบนี้ได้ ดังตัวอย่างอดีตชาติของอัมพปาลีอธิษฐานไม่ขอเกิดในท้องมาตุคามในครั้งพุทธกาลจึงเกิดแบบโอปปาติกะอยู่ที่โคนต้นมะม่วงในอุทยานของเจ้าวัชชี ต่อมาได้เลิกอาชีพโสเภณีแล้วปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตผลได้
    

590.
กราบเรียน ดร.สนอง ที่เคารพ ขอความเมตตาอาจารย์ด้วยค่ะ

   ดิฉันได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากได้ปฏิบัติกรรมฐาน พองหนอ ยุบหนอ ของหลวงพ่อ จรัญ และได้ปฎิบัตเองที่บ้านถือศีล 8 ช่วงแรก เกิดน้ำตาไหล และเกิดตัวโยก พอปฎิบัติได้ เกือบ2 อาทิตย์ก็เกิดอาการหูอื้อและมีอาการเหมือนน้ำในหูไม่เท่ากันคือ เกิดอาการเวียนหัว เดินไปไหน นั่งที่ไหน หรือว่านอนก็รู้สึกเหมือนอยู่บนเรือคือโคลงเคลงตลอดจึงไปหาหมอรักษาด้วยยาพอหมดฤทธิ์ยาก็เกิดอาการใหม่ ก่อนที่จะเกิดอาการไม่สบายในใจคิดว่าอยากไปปฎิบัติที่วัดอัมพวันมาก

พอวันที่คิดว่าพรุ่งนี้จะไปวัดอาการก็หนักขึ้นเวียนหัวมากทรงตัวแทบไม่อยู่ จึงรักษาอาการอยู่2สัปดาห์ แล้วจึงไปปฏิบัติที่วัดอัมพวัน เป็นเวลา 7 วัน(แต่อาการเดินแล้วโคลงเครงยังมีอยู่)2วันแรกเดินจงกลมแล้วรู้สึกหน้ามืดแต่ก็พยายมฝืนจนอาการหน้ามืดหายไป แต่ก็มีอาการโคลงเคลงตลอด นั่งสมาธิแล้ว 2วันแรกยังมีเวทนาอยู่บ้างโดยปวดขา

แต่พอวันที่ 3 เป็นต้นไปไม่มีเวทนาที่ขาเลยขากลับชาจนไม่มีความรู้สึก และหายใจสั้นๆลิ้นชา ตึงที่ศรีษะมากจนเข้าสมาธิไปแล้วจะมีความรู้สึกว่าหายใจยาวขึ้นได้ แต่มีความรู้สึกว่าเครียดมากตั้งแต่เดินจงกลม เวลานั่งสมาธิไม่ว่ายุงจะกัด ก็ไม่มีความรู้สึก นั่งสมาธิบางครั้งตัวก็โยก

พอวันที่5 มีอยู่ครั้งหนึ่งรู้สึกว่าศรีษะหมุนเร็วมากจนตกใจ ลืมตา ศรีษะหายหมุน แต่สมาธิยังไม่คลาย พอนอนลงแล้วกำลังเคลิ้มหลับก็มีความรู้สึกว่าตัวเองหายใจยาวและเหมือนอยู่ในสมาธิ

วันที่6พอนั่งสมาธิพอรู้ว่าเข้าสมาธิแล้วตัวโยก ก็ได้สอบอารมณ์กับแม่ชี แม่ชีบอกว่า สมาธิมันหลอกเราเพราะเราวิตก กังวล และสงสัยอยู่ตลอด แม่ชีบอกว่าบางอาการเป็นอารมณ์ของสมาธิจริง แต่บางอาการสมาธิมันหลอกเพราะหนูอ่านตำราเรื่องของการเกิดฌาณมา และหนูคิดสงสัยตลอด แม่ชีบอกว่าต้นจิตของหนูคิดอยู่ตลอด

ตั้งแต่คืนนั้นตัวหนูเองจึงคิดว่าอะไรคือจริงอะไรคือไม่จริง มันรู้สึกสับสนมาก ว่าทำไม่ตัวเราเองจึงต้องหลอกตัวเอง และทุกคนต้องมีเวทนา แต่หนูไม่มีเวทนาเลย คืนของวันที่6 พอนอน อาการของสมาธิก็เข้า คือ ลิ้นชาแข็ง ไม่สบายตัว ตัวร้อน ทั้งๆที่พัดลมพัดอยู่ตลอดเวลาก็ไม่รู้สึกว่ามีลมพัด

พอเช้าวันที่7 ทำวัดเช้าเสร็จพอเดินจงกลมแล้วรู้สึกว่าตัวตึงมากกำหนดยืนหนอจิตก็ไม่ลงพอนั่งสมาธิหลับตาปุ๊ปอาการของสมาธิก็มาคือขาชาไม่มีความรู้สึก เสียงกระทบก็ไม่กวนสมาธิเลย แต่มันรุ้สึกเครียด แม่ชีจึงให้ยาคลายเครียดมากินและนอนพัก พอกลางคืนเข้านอนหลับตาปุ๊ปอาการของสมาธิแบบนั้นก็เข้า จึงนอนไม่หลับและไปขอยาแม่ชีกิน จึงหลับ แต่พอรู้สึกตัวก็รู้สึกว่าตัวเองนอนอยู่ในสมาธิคือรุ้สึกไม่สบายตัว เหมือนมีอะไรไต่ตามตัว ไม่รู้สึกถึงพัดลมที่พัดมาจึงรู้สึกว่าร่างกายไม่ได้พักผ่อนและมีความรู้สึกว่าไม่อยากนั่งสมาธิเลย

หลังทำวัดเสร็จจึงกลับบ้าน ก่อนกลับได้ถามพระครูฏีกา ใบชูเกียรติ ท่านบอกว่าอย่าไปยึดตึดจิตไม่มีตัวตน และอย่าสงสัย ถ้าเกิดอาการอย่างไรก็ให้กำหนด แล้วหนูก็ได้ลากลับบ้าน พอนอนพักแค่หลับตา อาการของสมาธิแบบนั้นก็เข้า ตอนนี้รู้สึกไม่มีความสุขเลยนอกจากอาการป่วยที่ยังไม่หาย พอหลับตานอนยังไม่ได้นอนอีก แต่หนูก็พยายามกำหนดรู้หนอ รู้หนอ เมื่อมันเข้าสู่อาการนั้น หนูเข้าใจว่าตัวเราเครียดมากจริง ๆ ไม่มีสติเลย อาการของจิตประสาทคงเริ่มเกิดขึ้น ร่างกายสั่งงานเอง ขออาจารย์

โปรดเมตตาให้คำแนะนำให้หนูหายจากอาการนี้ด้วยค่ะรู้สึกว่าตัวเองแย่มากแต่หนูรู้อย่างเดียวว่าต้องเดินจงกลมเพื่อเพิ่มสติ

หนูไปทำกรรมอะไรไว้ค่ะถึงได้ทำกรรมฐานแล้วเป็นอย่างนี้แต่หนูศรัทธาในพระพุทธเจ้า ชีวิตหนูขอถวายพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธเจ้าตลอด คิดอยู่ทุกวันว่าเราจะต้องตาย หมั่นสวดมนต์ รักษาศีล 5 ยึดถือพรหมวิหาร 4 ไม่ยึดติดในรูป รส กลิ่น เสียง ไม่ยึดติดกับขันธ์ 5 ขันธ์ 5 เป็นอุปทาน ตอนหนูป่วยหนักหนูคิดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ตัวตนนี้ไม่ใช่ของของเรา ถ้าจะตายก็ตายเถิดพระชีวิตนี้หนูยกถวายพระพุทธเจ้า ทุกอย่างเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
    ฝึกสมาธิแล้วให้ผลผิดทาง คือเกิดอาการเครียดและยิ่งกินยาคลายเครียดยิ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดทางธรรม แต่แก้ปัญหาถูกทางโลก พระพุทธะมิได้แก้ปัญหาความเครียดด้วยวิธีกินยาตามที่แม่ชีแนะนำ แต่พระพุทธะแก้ปัญหาอย่างที่พระครูใบฏีกา ฯ แนะนำ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาถูกทางธรรม หากคุณเชื่อคำบอกของพระครูใบฏีกาฯให้เต็มร้อยแล้วทำให้ได้ตามที่ท่านแนะนำ ปัญหาที่บอกเล่าไปจะไม่เกิดขึ้นอีกที่สำคัญอยู่ที่ตัวคุณเองปฏิบัติได้ถูกตรงตามคำแนะนำของท่านได้หรือไม่

กรรมที่ทำคือ เอากุศลกรรมบถ 10 มาคุมใจได้ไม่เต็มร้อยผลการปฏิบัติธรรมจึงแสดงออกมาผิดเพี้ยน
    

589.
ปัญหาในการทำสมาธิ

ผมนั่งสมาธิเป็นประจำและนั่งประมาณ 1 ชั่วโมง ทำโดยการกำหนดลมหายใจ+พุทโธ แรกๆ ก็รู้สึกปล่อยวาง และสบาย แต่พอนั่งไประยะหนึ่ง
ประมาณ ครึ่งชั่วโมงจะมีอาการคอแข็ง ตัวแข็งและเหมือนมีก้อนอะไรที่ศรีษะและจะปวดคอ/ไหล่มาก(เคยได้ยินอาจารย์บางท่านบอกว่า ต้องอดทนต่อความเจ็บปวด แต่ผมทนแล้วทนอีกก็ไม่ไปไหน) ไม่หายปวดเลย จึงต้องเลิกทำช่วยชื้ทางให้หน่อยครับ ทำอย่างไรดี (เหมือนหัวสมองมันตึง คล้ายเส้นประสาทจะเครียดมากเลยครับ กลัวว่าเส้นเลือดในสมองจะแตก)

สัมพันธ์

คำตอบ
    คนที่มีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่มากนัก จึงอดทนต่อความเจ็บได้ไม่มาก ดังนั้นถ้ามีอาการตัวแข็งหรือคอแข็ง ต้องกำหนดจิตว่า “ แข็งหนอๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนอาการดังกล่าวหายไปแล้วดึงจิตกลับมาบริกรรม “ พุทโธ ” ดังเดิม
    

588.
เรียนท่านอาจารย์สนอง

ดิฉันถูกส่งตัวเข้าไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพตั้งแต่เด็ก เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เนื่องจากกำลังสติปัญญายังอ่อนจึงหลงผิด พ่อแม่ร่ำรวยทรัพย์ ใช้เงินของพ่อแม่อย่างฟุ่มเฟือย ในบางครั้งแอบหยิบของท่านไปใช้ทีละมากๆก็มี บางครั้งใช้เพื่อสนองกิเลส บางครั้งก็นำไปช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน มารู้ตัวอีกทีว่าทำผิดศีลข้อที่ 1 ไปมากก็อายุเกือบ 30 ปี ที่รู้ตัวเพราะเกิดใฝ่ดี หันมาฝึกสติสัมปชัญญะจนเข้าใจเรื่องราวของทุกข์บ้างตามสมควร พอรู้ตัวก็รักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด ตั้งใจว่าชีวิตนี้จะไม่เบียดเบียนใครอีก รวมทั้งพ่อแม่ ต่อมาได้ขอขมาพ่อแม่โดยไม่ได้ระบุเจาะจงว่าทำอะไรผิดมา พูดรวมๆว่าหากได้ล่วงเกินท่านไม่ว่าทางกาย วาจา หรือใจ ลูกขอให้พ่อแม่อโหสิกรรมให้ลูกด้วย พ่อแม่ก็กล่าวอโหสิกรรมให้

1. ดิฉันพ้นผิดแล้วหรือยังคะ แต่ดิฉันยังรู้สึกว่าไม่หมดสิ้นอย่างไรไม่ทราบ ก็เลยตั้งใจว่าจะใช้เงินเดือนของตัวเองค่อยๆแอบเอาไปให้ท่านใช้แม้ว่ามันจะแทบไม่มีความหมายอะไรสำหรับท่านเลย เพราะท่านร่ำรวยกว่าดิฉันมากมาย และดิฉันก็คำนวนจำนวนเงินคร่าวๆที่เคยแอบหยิบไปใช้ กะเกณฑ์ดูแล้วคิดว่าคงใช้เวลาเกือบ 10 ปีทีเดียวกว่าจะใช้หมด (แต่ก็ไม่ได้ทำให้ย่อท้ออะไรนะคะ กะว่าสู้ตายอยู่แล้วค่ะ)

คำตอบ
    เมื่อพ่อแม่กล่าววาจายกโทษให้ถือได้ว่าพ้นจากกรรมผิดกับพ่อแม่ แต่ยังไม่พ้นกรรมผิดกับบุคคลอื่น สัตว์อื่น ที่คุณเคยได้ล่วงเกินไว้

อย่าเพิ่งคิดสู้ตายดีกว่า ตายไปแล้วหมดโอกาสทำความดี เอาอย่างนี้ดีไหม ถ้าคุณมีศรัทธาเต็มร้อยในคำแนะนำของผู้รู้ให้พิสูจน์ด้วยตัวเอง ด้วยการเชิญพ่อแม่นั่งบนเก้าอี้ห้อยเท้าทั้งสองลงในกะละมังใหญ่ แล้วคุณใช้น้ำสะอาดล้างเท้าทั้งสองข้างของพ่อแม่ให้สะอาดหมดจด เอาผ้าที่สะอาดเช็ดเท้าของท่านจนแห้ง แล้วเอาเท้าของท่านทั้งสองวางลงบนศีรษะของคุณ พร้อมกับกล่าวคำขอขมาลาโทษทั้งหลายที่มีกับพ่อแม่และให้พ่อแม่กล่าวยกโทษให้ แล้วจึงอธิษฐานขณะที่เท้าของท่านยังวางอยู่บนศีรษะว่า “ ด้วยผลแห่งการกระทำนี้ความไม่ดีทั้งปวงของข้าพเจ้าจงปาสนาการสิ้นไปและให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงความเจริญสูงสุดของชีวิต ” หลังจากนั้นนำน้ำล้างเท้ามาดื่มมาอาบชำระล้างร่างกายของคุณให้สะอาด พร้อมทั้งรักษาใจให้มีศีล 5 คุมอยู่เป็นนิจ ปัญหามีอยู่ว่า คนที่บอกว่าสู้ตายจะทำตามคำแนะนำนี้ได้จริงหรือ



2. ปัญหาที่ตามมาคือว่า ดิฉันจะยังไม่สามารถเป็นผู้มั่งมีในทรัพย์ได้ใช่ไหมคะ จนกว่าจะใช้หนี้เก่าหมด คือดิฉันเข้ามารับช่วงงานต่อจากพ่อแม่น่ะค่ะ ตั้งใจว่าจะอยากจะยกภูเขาออกจากอกท่าน อยากให้ท่านได้ไปปฏิบัติธรรม ก็เลยอยากจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานโดยเร็ว และอยากจะประสบความสำเร็จให้มากกว่าท่านด้วย ท่านจะได้หมดห่วงจริงๆ มันเลยเหมือนถูกขัดเส้นทางกันอยู่น่ะค่ะ อาจารย์โปรดเมตตาชี้แนะแนวทางให้ดิฉันได้ทำใหสำเร็จดังปรารถนาด้วยนะคะ

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
    ปรารถนาประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ต้องใช้อิทธิบาท 4 เป็นฐานของการทำงาน คือทำงานด้วยใจรัก ทำงานด้วยความพากเพียร ทำงานด้วยใจจดจ่อ ใช้ปัญญาไต่สวนงานที่ทำพร้อมทั้งประพฤติตนให้มีขันติ มีศีล มีการให้ทาน มีเมตตา คบหาแต่กัลยาณมิตรเว้นจากอบายมุข และอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์อยู่เสมอ คุณธรรมทั้งหมดนี้มาประชุมพร้อมกันในตัวคุณได้เมื่อใดความสำเร็จในอาชีพการงานย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น
    

587.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง

หนูขอขอบคุณอาจารย์มากๆคะ ที่กรุณาตอบคำถามหนู ในเรื่องของ สัมภะเวส แต่หนูลืมถามอาจารย์ไป หนึ่ง ข้อ ค่ะ ว่า .... การจะทำบุญอุทิศให้กับสัมภะเวสี ต้องทำแบบไหนคะ เพื่อที่เขาจะได้บุญเยอะๆ อย่างเช่น น้องชายหนูที่เกิดอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิต และหนูสามารถทำบุญให้กับคุณย่า และคุณปู่ พร้อมกันในคราวเดียวได้เลยมั้ยค่ะ (คุณย่าหนูตายแบบหมดอายุขัย เคยมีคนบอกว่า ตอนนี้คุณย่าหนูอยู่ สวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา ค่ะ)

กราบขอบพระคุณอาจารย์มากๆน่ะคะ รักษาสุขภาพนะคะอาจารย์

คำตอบ
    ปรารถนาให้สัมภเวสีได้บุญมาก ผู้อุทิศบุญต้องทำบุญใหญ่ด้วยการเจริญจิตตภาวนาให้ได้ด้วยตนเองก่อนแล้วจึงอุทิศบุญที่ทำให้กับผู้ที่ต้องการอุทิศให้รวมถึงคุณปู่ คุณย่า ด้วยในคราวเดียวกันได้
     

586.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

    เมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว ดิฉันและสามีได้ทำแท้งลูกคนแรกของเรา ก่อนที่ประจำเดือนจะขาด ดิฉันไม่สบายและได้ทานยาที่มีอันตรายต่อหญิงมีครรภ์ เมื่อประจำเดือนขาด ได้กลับไปหาหมออีกครั้ง จึงรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ คุณหมอไม่รับประกันว่าเด็กจะเกิดมาสมบูณย์ เรา สามี ภรรยาเสียใจมาก และตัดสินใจเอาเด็กออก ทุกวันนี้ได้สวดมนต์ ทำสมาธิ ทำทาน ถือศีล5 ติดต่อกันไม่หยุดได้ 4เดือนเต็มแล้ว พยายามทำทุกอย่าง เพื่อใช้กรรมนี้ ทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง ปัญหาคือ ระหว่างที่นอนทำสมาธิและเผลอหลับไป ฝันว่าได้ไปวัดเพื่อบวชเนกขัมมะ ขณะนอนที่วัดได้มีเด็กมาดึงเท้าให้ตื่น เป็นเด็กขวบกว่า ไม่ได้รู้สึกกลัวและไม่รู้สึกผูกพัน จากนั้นดิฉันได้ออกจากนอนสมาธิ ในวันเดียวกัน ตอนกลางคืนอ่านสนทนาธรรม 5 เกี่ยวกับแนะนำคนทำแท้งเป็นบาปจึงนึกขึ้นได้ว่า เมื่อ10ปีที่แล้วมีเพื่อนมาขอเบอร์ติดต่อสถานที่ที่ดิฉันเคยทำแท้ง เพราะเธอต้องการไปทำ ดิฉันไม่ได้ปิดบังสถานที่และให้เบอร์ติดต่อ จากนั้นได้พยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้เธอไปทำและจะรับเลี้ยงเด็กในท้องเธอถ้าเธอไม่ต้องการ ดิฉันไม่สามารถเปลียนใจเธอได้ ดิฉันได้ลืมเรื่องนี้ไปสนิทถึง10ปี เป็นเพราะอ่านสนธนาธรรมจึงนึกได้ ส่วนเด็กในความฝัน ความรู้สึกบอกว่าเป็นลูกของเพื่อน วันรุ่งขึ้นดิฉันรีบโทรหาเพื่อน อยากให้เพื่อนไปบวชหรือทำบุญให้เด็ก และที่แปลกคือ เพื่อนมีแผนที่จะไปทำบุญ 9 วัดใน1วัน ที่อยุธยา ดิฉันจึงร่วมอนุโมธนาบุญและจะฝากเงินทำบุญไปด้วย อยากถามว่า

1) บาปมากมั้ยคะกับการที่เราให้เบอร์ที่ทำแท้งกับเพื่อนเพราะเพื่อนรู้อยู่แล้วว่าเรารู้ แม้เราจะไม่มีเจตนาให้เค้าไปทำแท้ง
2) เป็นไปได้มั้ยที่ลูกที่ทำแท้งไปครั้งแรกจะกลับมาเกิดเป็นลูกของดิฉันอีกครั้ง

สุดท้ายกราบขอบพระคุณอาจารย์และผู้จัดทำเวบกัลยาฯ มากค่ะ ที่มีเมตตาชี้แนะ ทางสว่างให้แก่ปุถุชนเช่นดิฉันและคนอื่นๆ ทุกวันนี้ดิฉันมีความมุ่งมั่นที่จะทำแต่ความดีและเกรงกลัวบาปมากค่ะ

คำตอบ
    (1) ชี้ทางให้คนอื่นประพฤติทุศีล ถือได้ว่าผู้ชี้ทางเป็นจำเลยบาปคนที่หนึ่ง

    (2) เป็นไปได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม
  

585.
กราบเรียน ท่านอาจารย์

ขอเรียนถามเกี่ยวกับคำสอนของภิกษุบางสำนัก
     กระผมมีข้อสงสัยในคำสอนของบางสำนักที่สอนเกี่ยวกับการอุทิศบญให้แก่ญาติ เทวดา เจ้ากรรมนายเวรและเชื้อโรค และห้ามมิให้มีเครื่องลางของขลังใด ๆ และพระพุทธรูป/พระธาตุ/ ทั้งห้ามมิให้ทำการสวดมนต์และมิให้นั่งสมาธิภาวนา ด้วยเหตุผลว่า การสวดมนต์นั้นแม้แต่บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นการสวดพระปริต เป็นการทำร้ายวิญญาณและภูตผีปีศาจต่าง ๆ ท่านจึงห้ามมิให้สวดมนต์ แต่ท่านให้ยึดถือแต่พระรัตนตรัยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ผมจึงขอเรียนถามเป็นข้อๆ ดังนี้

   1.คำสอนของท่านถูกต้องตามหลักธรรมหรือไม่ ปกติท่านจะยกเอาพระไตรปิฎกมายืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้า และที่สำคัญจะยึดถือหรือเชื่อมั่นนำไปปฎิบัติ ได้หรือไม่

คำตอบ
    การห้ามมิให้สวดมนต์ เพราะจะเป็นการทำร้ายจิตวิญญาณและภูตผีปีศาจต่าง ๆ เป็นความเห็นถูกของพระสงฆ์รูปนั้น แต่มิใช่เป็นการเห็นถูกของพระพุทธะ
   ในครั้งพุทธกาลพระสมาณโคดมสอนภิกษุที่ถูกงูกัดให้นำเอาบทสวดมนต์ขันธปริตรไปสวดก่อนนอนเพื่อแผ่เมตตาให้แก่พญางู ทั้ง 4 ตระกูล นำเอาบทสวดมนต์อาฏานาฏิยปริตรไปสวดก่อนนอนเพื่อคุ้มครองตนให้พ้นจากภัยของอมนุษย์ไม่ให้มารบกวน และเมื่อครั้งที่เมืองเวสาลีแคว้นวัชชี เกิดทุพภิกขภัย อมนุสสภัย พระพุทธะได้สอนรัตนปริตรแก่พระอานนท์ให้นำไปสาธยายรอบเมืองเวสาลีภัยจากสองเหตุนั้นจึงได้สงบลง ฯลฯ ส่วนปัญหาว่าจะยึดถือหรือเชื่อมั่นนำไปปฏิบัติได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสติปัญญาและความศรัทธาของบุคคลเป็นเครื่องตัดสิน


   2.ท่านห้ามมิให้ปฎิบัติสมาธิภาวนา โดยท่านว่า จะต้องถือศีลให้ยาวนานเสียก่อน และจะต้องตัดปลิโพธ 10 ประการก่อน จึงจะทำสมาธิได้ ท่านว่ามิฉะนั้นจะเป็นมิจฉาสมาธิ และอาจทำให้เกิดอาการวิปลาสได้

คำตอบ
    ข้อนี้มิได้เป็นคำถามเป็นเพียงเรื่องที่บอกเล่าไป ถึงถามกลับไปว่า การถือศีลยาวนานนับเริ่มต้นจากไหน หากย้อนดูอดีตอันยาวไกลของพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้เคยละเมิดศีลมาก่อน ต่อมาจึงได้บำเพ็ญศีลบารมีระดับต่าง ๆ มาแต่ครั้งที่ยังเสวยพระชาติเป็นพญาช้างฉันทันต์เป็นจัมเปรยยกนาคราช เป็นสังขปาลนาคราช ฯลฯ เมื่อมาปฏิสนธิเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ออกบวชยังต้องใช้เวลายาวนานถึง 6 ปีกว่าจะสำเร็จอรหัตตผลตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและในอีกตัวอย่างได้แก่อัมพปาลี สิริมา พระเจ้าพิมพิสาร ฯลฯ ได้เลิกประพฤติทุศีลแล้วหันมาปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นอริยบุคคลได้

ส่วนคำว่าปลิโพธ หมายถึง เหตุทำให้จิตกังวล หากตัดให้พ้นไปจากใจได้ จะทำให้การพัฒนาจิตใจบรรลุมรรคผลของการปฏิบัติได้ง่าย ผู้ที่ตัดปลิโพธไม่ได้ เมื่อฝึกสมาธิแล้วมีโอกาสทำให้จิตปรุงอารมณ์ผิดไปจากคนปรกติได้



   3.ปกติผมจะถือศึล 5 เป็นประจำ และนั่งสมาธิภาวนาตามแบบพุทโธ(บางครั้งก็กำหนดลมหายใจ/บางครั้งก็ภาวนาพุธโธ อย่างเดียว) แต่ไม่ค่อยเข้าถึงสมาธินักไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด (ผมนั่งประมาณ 1 ชั่วโมง บางครั้งนาน ๆจะรู้สึกวูปสักครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าสติตัวเองจะมั่นคงมาก เวลามีเสียงใด ๆ เกิดขึ้นก็จะรู้สึกสะเทือนเข้าไปถึงสมองหรือดวงจิตเลย
บางครั้งก็รู้สึกวูปเหมือนเคลิ้มไป แต่ไม่หลับ แต่ก็ไม่มีแสงสว่างปรากฎเบื่องหน้า ถ้าปรากฎภาพก็จะเป็นภาพลางๆ เท่านั้น ขอถามว่า สมาธิที่ผมทำถูกต้องหรือไม่

คำตอบ
    เหตุที่ยังเข้าไม่ถึงสมาธิลึก เพราะความเพียรในการปฏิบัติมีกำลังไม่มากพอสมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิต ผลที่เกิดตามมาเป็นได้หลายอย่าง อาทิอาการรวม เสียงดับลึกถึงใจ นิมิตปรากฎ ฯลฯ สิ่งที่เข่าถึงนั้นเป็นผลที่เกิดจากสมากรรมฐาน เป็นสิ่งถูกต้อง แต่ยังไม่เป็นเหตุให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ที่จะทำให้พ้นไปจากความทุกข์เพราะยังมิได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

   4.เรื่องการยึดถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะนั้น การกราบไหว้สักการระอื่นๆ เช่น ไหว้เจ้า ไหว้ศาล อีกทั้ง การยึดถือเครื่องลางของขลังเช่น จตุคาม เหรียญหลวงพ่อ ตะกรุด ผ้ายันต์
เป็นการกระทำผิดหรือไม่

คำตอบ
    คำว่าสรณะ หมายถึง ที่พึ่ง ที่ระลึก การยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้นดีที่สุด โดยเฉพาะพระธรรมหากเข้าไปอยู่ในจิตใจของผู้ใดได้แล้ว ชีวิตมีแต่ความเจริญและนำตนให้พ้นไปจากความทุกข์ได้

การยึดถือเครื่องลางของขลัง ตะกรุด ผ้ายันต์ ฯลฯ เป็นเหตุเกิดจากความหลง (โมหะ) ที่มีอยู่ในดวงจิตนำพาชีวิตหลวงตายหลงเกิดอยู่ในวัฏสงสารไม่สามารถนำตนให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ดังนั้นการยึดถือเครื่องรางของขลังในรูปแบบต่าง ๆ จึงเป็นความเห็นถูกของผู้มีโมหะครอบงำจิตใจ ตรงกันข้ามการยึดถือพระรัตนตรัยเป็นความเห็นถูกของผู้รู้ ของผู้ที่มีโอกาสพ้นไปจากความทุกข์ได้



   5.การสวดมนต์(พระปริต)เป็นการทำร้ายวิญญาณในโลกทิพย์จริงหรือไม่ และทำให้วิญญาณในโลกทิพย์อาฆาตแค้นเราจริงหรือ การสวดมนต์แทนที่จะได้บุญกลับกลายเป็นบาป
เป็นจริงหรือ เมื่อก่อนผมสวดมนต์เช้า-เย็น ทั้งอิติปิโส-พาหุง ธรรมจักร ชินบัญชร แม้กระทั่งบทอุปปาตสันติ(มหาสันติหลวง) แต่ทุกวันนี้ไม่กล้าสวดเลยกลัวเป็นความผิด พระท่านว่าการสวดมนต์จะทำให้วิญญาณต่าง ๆ ได้รับทุกข์/ทำให้เจ้ากรรมนายเวรยิ่งแค้นเคืองเรา

   การที่ผมกราบเรียนท่านในเรื่องนี้ ไม่มีความประสงค์ที่จะกล่าวอ้างผู้ใดให้เสียหาย เป็นความบริสุทธ์ใจจริงๆ และผมก็เชื่อมั่นในท่านอาจารย์ว่าเป็นผู้มีความสามารถที่จะให้ความกระจ่างแก่ผมได้จึงรบกวนเรียนถามมา สำหรับผมนั้นไม่มี่ปัญญามากพอที่จะใช้วิจารณญานที่จะตัดสินได้ อนึ่ง ทุกวันนี้พุทธศาสนาในยุคกึ่งพุทธกาล มีสิ่งที่แปลกๆเกิดขึ้นมากมายทั้งคำสอนและวิธีการ ทุกๆ สำนักก็มีเหตุผลถูกต้องทั้งสิ้น ผมไม่อยากเดินผิดทาง/หลงทาง เพราะทุกวันนี้ผมเดินผิดทาง/หลงทางมามากแล้ว ไม่อยากเสียเวลาอีก และกระผมก็ปรารถนาเกิดเป็นชาติสุดท้าย (หรือน้อยที่สุด) ขอความกรุณาให้ความกระจ่างด้วยเถิด

ด้วยความเคารพอย่างสูง
ก้องภพ
โทร.086-677-0655
29 กันยายน 2550

คำตอบ
    คำว่า “ ปริตร ” หมายถึง คุ้มครอง ป้องกัน สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอันตราย เช่นภัยจากสัตว์ร้าย ภัยจากโจร ภัยจากอมนุษย์ ภัยจากการเจ็บป่วย ฯลฯ ซึ่งพระพุทธะแนะนำพุทธบริษัทให้เจริญอยู่เสมอแต่พระพุทธะมิได้แนะนำให้เบียดเบียนผู้อื่น ด้วยการสวดมนต์ขับไล่สวดมนต์ทำร้ายแก่สรรพสัตว์ ฉะนั้นจึงต้องพิจารณาว่า บทสวดมนต์นั้นแต่งเรียบเรียงขึ้นด้วยมีจุดประสงค์ใด การสวดมนต์บทที่ยกตัวอย่างมาให้ดูมิได้มีจุดประสงค์ร้ายต่อผู้ใด สามารถนำไปเจริญภาวนาได้โดยไม่มีภัยอันตรายใดเกิดขึ้นจากเหตุแห่งการสวดมนต์บทที่กล่าวถึงเว้นไว้แต่ว่า ผู้สวดได้สร้างอกุศลกรรมเก่าไว้แล้วเวรกรรมให้ผลผู้ทำกรรมต้องยอมชดใช้หนี้กรรมให้หมดสิ้นไป หนี้เวรกรรมจึงจะยุติลงได้
  

584.
กราบเรียน อาจารย์สนองที่เคารพค่ะ

หนูเริ่มติดตามผลงานของอาจารย์หลังจากที่ได้อ่าน "ทางสายเอก" ที่คุณพ่อหนูเอามาให้อ่าน ท่านสนใจธรรมมะและเริ่มปฏิบัติสมาธิหลังจากที่เกษียณแล้ว ตอนนี้ก็ประมาณสามปีได้ค่ะ ก่อนหน้านี้ก็สวดมนต์อย่างเดียว เริ่มแรกท่านบริกรรมพุธโธ แรกๆ ก็ได้ยินเสียงข้างๆ หูบอกว่าอย่านั่งถ้านั่งแล้วจะตาย แต่ท่านก็นั่ง มีอยู่ช่วงหนึ่งท่านรู้สึกเหมือนจิตจะออกจากร่าง เห็นเหมือนว่าจะตายและท่านพยายามฝืนไม่ยอม ครั้งแรกตอนนังสมาธิและอีกครั้งก่อนจะเอนตัวลงนอน(หลังจากนั่งสมาธิ) หนูเลยหาวัดชวนท่านไปเพื่อให้ท่านได้แนวทางและครูบาอาจารย์ (ท่านไม่มีใครสอนแต่นั่งเองและอ่านหนังสืออย่างเดียว) ก็ไปที่วัดที่สิงห์บุรีแต่คนเยอะมาก เริ่มไปเมื่อปีที่แล้วประมาณสองครั้งและฝึกเองต่อที่บ้าน ท่านก็เดินจงกรมนั่งสมาธิทุกวันวันละหนึ่งชม. และก็ยังอ่านหนังสือเป็นแนวทางต่อ โดยที่ไม่ได้มีโอกาสถามครูอาจารย์เพื่อรายงานและปรับปรุงผลการปฏิบัติ จึงอยากขอคำแนะนำอาจารย์ว่าแล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าที่เราทำนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่ และอยากให้ช่วยแนะนำครูอาจารย์ที่สามารถชี้แนวทางหากต้องการจะปรึกษาค่ะ

ส่วนตัวหนูเองยังถือว่าปฏิบัติลุ่มๆ ดอนๆ บางวันเดินนั่งอย่างละครึ่งชั่วโมงบ้าง ชั่วโมงนึงบ้าง แล้วแต่ความเพลียและนานๆ ทีก็เบี้ยวบ้างค่ะ นานๆ ครั้งก็ได้กลิ่นหอมเหมือนน้ำอบ (โดยเฉพาะเวลานั่งในห้องพระ) ครั้งล่าสุดเมื่อไปที่วัดมา จิตก็พยายามกำหนดรู้ว่ากลิ่นหนอ สักพักรู้สึกว่าลมหายใจละเอียดขึ้นแต่การหายใจเข้าออกสั้น อยากสูดลมหายใจให้ยาวก็เกรงว่าจะกลายเป็นไปบังคับตะเบ็งลมหายใจและลมหายใจที่ละเอียดจะหายไป (ขอคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยค่ะ) และเมื่อปฏิบัติเสร็จแล้วก็มานั่งคิด ไม่แน่ใจว่าจะเป็นคุณย่าที่เสียไปนานแล้วหรือเปล่า เพราะท่านก็กินเจ ใส่บาตรและนั่งสมาธิทุกวันจนเสีย เราควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อพบกับสิ่งนี้คะ

สุดท้ายคือ เนื่องจากลูกสุนัข (ที่บ้านมีสุนัขหลายตัว) ป่วยด้วยพยาธิเม็ดเลือดที่เกิดจากเห็บจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดแต่ก็รอดในที่สุด ที่บ้านจึงซื้อยามาฉีดกำจัดเห็บให้ทุกเดือน แต่ยังมีเห็บอยู่บ้าง ทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็เลยนั่งหาเห็บมาใส่น้ำมันทุกวัน (บางวันก็เผาด้วย) แม้ว่าเราต้องการช่วยสุนัขแต่การฆ่าเห็บถือว่าบาปเช่นกันใช่ไหมคะ มีวิธีไหนที่จะสามารถให้ท่านทั้งสองเลิกการฆ่าเห็บได้คะ หนูไม่คิดว่าหนูจะพูดได้ค่ะ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์และขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยอวยพรให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงและอยู่เป็นกระจกส่องใจพวกเราผู้(เริ่ม)ใฝ่ธรรมนานๆ นะคะ

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณทีมงานกัลยาณธรรมทุกท่านด้วยค่ะ

คำตอบ
   หากบารมีของผู้ปฏิบัติธรรมยังมีไม่มากพอ การปฏิบัติควรต้องมีครูบาอาจารย์ที่มีประสบการณ์เป็นผู้ชี้แนะทาง เพราะการปฏิบัติด้วยตนเอง อาจหลงทางและทำให้เนิ่นช้าในการเข้าถึงธรรมครูบาอาจารย์ที่สามารถชี้แนะแนวทางมีอยู่หลายองค์อาทิ พระมหาบุญชิต วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ พระมหาสมัย วัดทับทิมแดง ปทุมธานี พระครูเกษมธรรมทัต วัดมเหยงคณ์อยุธยา พระอาจารย์เทวัญ วัดดอยพระเกิด เชียงใหม่ ฯลฯ

การจะเข้าถึงมรรคผลของการปฏิบัติธรรมง่ายต้องมีศีล 5 คุมใจ มีสัจจะ ลดพฤติกรรม กิน ดู ฟัง พูด อ่าน ฯลฯ ให้น้อยลง เร่งความเพียรและมีกัลยาณมิตรเป็นครูชี้นำ หลังเสร็จปฏิบัติในรอบวันต้องอุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรแก่ญาติครูอาจารย์สรรพสัตว์ ฯลฯ พร้อมทั้งปล่อยวางความคิดทุกอย่าง ก่อนนอนกำหนดลมหายใจจนกระทั่งหลับไป

ปฏิบัติธรรมและยังฆ่าเห็บให้สุนัขสามารถทำได้แต่เข้าไม่ถึงธรรมของพระพุทธะ เพราะจิตไม่สามารถตั้งมั่นได้ด้วยศีลไม่บริสุทธิ์
  

583.
เรียนถามท่านอาจารย์สนอง

   ในเรื่องของการบำเพ็ญบารมีตามที่ท่านอาจารย์ได้สอนนั้น อาจารย์กล่าวถึงการบำเพ็ญ 3 ขั้น คือ บารมีธรรมดา อุปบารมี และปรมัตถบารมี นั้น ขอเรียนสอบถามเพื่อความเข้าใจเนื่องจากความรู้น้อย

การแยกแยะว่าบำเพ็ญบารมีแต่ละครั้งที่ลงมือทำว่าเป็นขั้นไหน ผู้ลงมือกระทำจะใช้อะไรวัดคะ กำลังของจิตใจขณะลงมือกระทำใช่ไหมคะ

สมมุติลูกคนหนึ่งที่พ่อแม่เลี้ยงมาอย่างดี พ่อแม่มีทรัพย์มาก เมื่อลูกโตขึ้นได้ตั้งสัจจอธิษฐานว่า ขอใช้ชีวิตของตัวเองที่เหลือเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่และเพื่อให้พ่อแม่ได้ปฏิบัติธรรม จากนั้นลูกคนนี้ทำอยู่เพียง 2 อย่าง คือ 1.สร้ างทานบารมีกับพระอรหันต์อยู่เสมอและพากเพียรทำอาชีพการงานให้เจริญก้าวหน้า เพื่อให้พ่อแม่ได้ปล่อยวางภาระทางโลกได้ง่ายและได้อยู่สุขกายสุขใจตามสมควร และ 2.พากเพียรปฏิบัติบัติธรรมกับผู้รู้นำตนเองเข้าสู่มรรคผล และทำการบริจาคเพื่อสนับสนุนการปฎิบัติธรรมแก่สาธารณชนอยู่เสมอ เพื่อตนเองพ้นทุกข์และเพื่อเปิดทางธรรมแก่พ่อแม่ เช่นนี้ลูกคนนี้ได้บำเพ็ญบารมีหลายขั้นพร้อมๆกันใช่หรือไม่คะ เพียงแต่อาจจะยังแยกแยะไม่ออกว่าทำอะไรและทำขั้นไหนบ้าง

อาจารย์เมตตาชี้แนะด้วยค่ะ

คำตอบ
   บารมีทั้งสามระดับให้ดูที่ความยาก-ง่ายในการบำเพ็ญ ยกตัวอย่างเช่นการบำเพ็ญทานบารมี

ทานบารมีระดับธรรมดาได้แก่การให้ การสละ การบริจาคสิ่งของ นอกกายเป็นทาน ตัวอย่างปรุงอาหารใส่บาตร ซื้อยารักษาโรคถวายพระให้ทรัพย์แก่ผู้เดินทาง ฯลฯ

ทานอุปบารมี เป็นทานที่ประพฤติยากขึ้นอีก เช่น บริจาคเลือด บริจาคไต บริจาคอวัยวะเป็นทาน เช่น พระเวสันดร บริจาคบุตร-ภรรยาให้กับผู้มาขอเป็นทานระดับกลาง

ทานปรมัตถบารมี ได้แก่การให้ชีวิตเป็นทาน เช่นสมัยที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกระต่าย ได้สละชีวิตให้แก่พราหมณ์ที่ประสงค์อยากกินเนื้อกระต่าย ด้วยการกระโดดเข้ากองเพลิง เพื่อเผาย่างตัวเองให้เนื้อเป็นทานแก่พราหมณ์ผู้ขอ

สร้างบารมีกับพระอรหันต์อยู่เสมอ รวมถึงสนับสนุนการปฏิบัติธรรมผู้ถามมิได้บอกว่าทำโดยวิธีใด หากบำเพ็ญตนต้องดูว่าเป็นทานระดับไหน ให้สิ่งของนอกกายเป็นทาน ก็เป็นการบำเพ็ญทานบารมีระดับธรรมดา

ส่วนในเรื่องของความเพียรที่ให้กับการปฏิบัติธรรมถือว่าเป็นวิริยบารมี และต้องดูด้วยว่าเพียรระดับไหน พระนางปชาบดี (โคตมี) เดินเท้าเปล่าจากกรุงกบิลพัสดุ์ ไปจนถึงเมืองเวสาลีแคว้นวัชชีทำให้เท้าแตกเจ็บระบมเจตนาเพื่อไปขอบวชเป็นภิกษุณี ความเพียรเช่นนี้เป็นวิริยาอุปบารมี อดีตของพาหิยะกุมารกัสสปะ สภิยปริพาชก ฯลฯ ในปลายพุทธกาลของพระพุทธกัสสปะ ได้บวชเป็นพระสงฆ์เพียรปฏิบัติธรรมโดยเอาชีวิตเขาแลก และตายในที่สุด ความเพียรเช่นนี้เป็นวิริยปรมัตถบารมี
  

582.
กราบเท้าท่านอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง

   หนูปฏิบัติมาได้ระยะหนึ่งแล้วค่ะ โดย หายใจเข้า "พุทธ" หายใจออก "โธ" หนูรู้สึกว่าจิตนิ่งง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน เวลาที่จิดฟุ้งไป หนูก็จะ รู้หนอ เห็นหนอ ...ฯ.ล.ฯ จิตก็จะกลับมานิ่ง และรู้สึกว่ามันว่างๆ หนูก็จะภาวนาคำว่า "ว่าง" อยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ พอมีฟุ้งไปบ้างไม่นานก็จะกลับมานิ่งได้เหมือนเดิม มีอยู่ครั้งหนึ่งหนูรู้สึกว่ามันว่างจนใจหาย!! เป็นเพราะอะไรคะ? แต่แป๊บเดียวสติก็กลับมานิ่งได้เหมือนเดิม ทุกครั้งที่จิดนิ่ง-ว่าง จะรู้สึกว่าโล่ง เบา สบาย สิ่งที่หนูปฏิบัติอยู่นี้ถูกต้องหรือยังคะ ? หนูยังนั่งได้ไม่นานมาก ส่วนใหญ่จะประมาณ 30 นาที เพราะขาจะแข็งมาก แต่หนูตั้งใจไว้ว่าจะค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ

   ขอขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ค่ะ
     จีรภา

คำตอบ
  ที่ฝึกมานั้นถูกทางแล้ว อาการที่ผิดว่าง โล่ง เบา สบาย เป็นเรื่องของการมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิลึก (อัปปาสมาธิ) หรือสมาธิระดับฌานแต่เป็นแค่สมถกรรมฐานยังไม่เกิดปัญญาเห็นแจ้งจึงไม่รู้เท่าทันอาการว่างจึงทำให้ใจหายได้ ฉะนั้นขั้นต่อไปจึงควรลดกำลังของสมาธิ ลงมาตั้งมั่นอยู่ในระดับกลาง (อุปจารสมาธิ) คือจิตยังดิ่งไม่ถึงที่สุด ซึ่งจะรู้ได้ด้วยการที่จิตไม่มีนิวรณ์ธรรมเข้ามารบกวน ให้เกิดเป็นอารมณ์ขึ้นกับใจ แล้วใช้สมาธิระดับนี้เป็นฐานให้ใจได้ตามดูกาย (กายคตาสติ) จนเห็นว่าร่างกายดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นถูกตรงตามที่เป็นจริง (เห็นแจ้ง)ในเรื่องของกายก็จะเกิดขึ้น ว่าแท้จริงแล้วร่างกายไม่มีตัวตน จิตจะปล่อยวางร่างกาย แล้วจิตว่างเข้าสู่ความเป็นอุเบกขา เช่นเดียวกับ หากเวทนา (สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา) เกิดขึ้นแล้วใช้จิตที่นิ่งตามดู เวทนา จนเห็นว่าดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ เวทนาไม่มีตัวตนแท้จริงจิตปล่อยวางเวทนา แล้วจิตว่างเข้าสู่ความเป็นอุเบกขา ส่วนเรื่องของจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานในพิจารณาเช่นเดียวกันกับสอบฐานแรกที่กล่าวถึง แล้วปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้นพร้อมจิตว่างเป็นอุเบกขา นี้คือผลที่เกิดจากวิปัสสนากรรมฐาน
  

581.
เรียน ดร.สนอง-สอบถามธรรมะจากคนต่างศาสนา

   หนูไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ประมาณเกือบ 3 ปีมาแล้ว ได้ประสบกับเหตุการณ์ประหลาด โดยได้สัมผัสกับวิญญาณ 2 ดวงมาขออยู่ด้วย และได้สอบถามจากผู้ใหญ่ที่นับถือศาสนาพุทธ ท่านว่าเป็นกุมารทอง โดยน้องกุมารทั้ง2 เป็นดวงจิตที่ผูกพันกับหนูมาตั้งแต่อดีต แต่อย่างไรก็ตามทุกวันนี้ก็ยังดูแลพวกเขาอยู่ แต่เป็นการดูแลแบบเพื่อน และประมาณปี 2549 เพื่อนได้ประสบอุบัคิเหตุทางรถยนต์ และเสียชีวิต และภรรยาของเขาซึ่งเป็นเพื่อนของหนูด้วย ได้ขอให้หนูไปทำบุญกรวดน้ำให้สามีของเขาด้วย ซึ่งตัวเองก็ไม่ทราบว่าต้องทำอ่ย่างไรบ้าง จึงให้เพื่อนร่วมงานพาไปวัดของศาสนาพุทธ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมเยือน

   หลังจากนั้นจึงได้มีความคิดที่จะเรียนรู้การนั่งสมาธิ และได้ศึกษาจากหนังสือต่าง ๆ โดยเฉพาะหนังสือของอาจารย์ทุกเล่มที่มีในท้องตลาด เพราะหนังสือของอาจารย์เข้าใจง่ายและคนต่างศาสนาอ่านก็เข้าใจ ถึงแม้ว่าจะไม่มีความรู้ทางศาสนาพุทธมาก่อนก็ตาม และตัวเองเคยตั่งมั่นอยู่วันหนึ่งว่าจะลุกขึ้นมานั่งสมาธิเวลาตี 3 และตัวเองได้ตื่นขึ้นมาเองโดยไมต้องใช้นาฬิการปลุกเวลาตี 2 ครึ่ง และเริ่มนั่งสมาธิโดยตังเองมีความสุขมากและมาเริ่มออกจากสมาธิอีกทีตอน ตี 4 ครึ่งโดยไม่มีความรู้สึกเป็นตะคริวแต่อย่างไร

   ทุกวันนี้หนูนั่งสมาธิทุกคืน และทุกวันอาทิตย์จะไปนั่งสมาธิทีวัดพุทธ และก่อนนอนก็นั่งสมาธิเหมือนเช่นทุกวัน และประมาณวันที่ 25 กันยายน 2550 มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า เขาฝันเห็นหนูในฝันด้วย โดยเขาฝันว่าเขาอยู่ในที่แห่งหนึ่งซึ่งมืดมาก ๆ เหมือนเป็นนรกเขากลัวมากจะออกก็ออกไม่ได้ เพราะเมื่อวิ่งออกมาประตูจะปิด และเสียงที่ประตูปิดเหมือนกับเสียงใบมีดกระทบกัน ดังนั้นเขาจึงคิดถึงหนู และเขาบอกว่าในฝันหนูพูดกับเขาว่า หนู่จะไปพูดกับยมฑูตให้ และ หนูให้เขาทำสมาธิ และ สักพักหนึ่งเขาก็เดินออกไปจากห้องนั้นได้ ตัวหนูเองยังงงอยู่ว่าหนูสามารถช่วยเขาได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ

   นอกจากนี้บางครั้งในขณะที่นั่งสมาธิหนู่เห็นงูแผ่แม่เบี้ยอยู๋ติดหน้าหนูเลย กลัวมากหลังจากนั้นทำใจให้สงบไม่ให้กลัว และบอกว่าแบ่งส่วนบุญกุศลของการนั้งสมาธินี้ไปให้เขาด้วย สักพักเข้าก็ไป และ บางครั้งขณะนั่งสมาธิก็เห็นว่ามีเงาเดินผ่านประตูห้องนอนเข้ามา แต่ลืมตาก็ไม่เห็นอะไร เมื่อหลับตาก็ยังรู้สึกว่าเขายังอยู่ จึงเข้าสมาธิ และแบ่งบุญให้เขาไป มีบางคนบอกว่า ชาติก่อนหนูอาจเคยนั่งสมาธิมาก่อน เพราะหนูสามารถปฏฺบัตได้โดยไม่เคยถูกสอนมาก่อน

   ที่เขียนมาทั้งหมด ถ้าอาจารย์พอจะมีเวลาบ้าง รบกวนให้อาจารย์แสดงความคิดเห็นมาด้วยค่ะ เพราะตัวเองก็ไม่ทราบจะไปถามผู้รู้คนไหน และเป็นการยากที่จะหาคนอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายสำหรับคนต่างศาสนาจะเข้าใจได้

สุดท้ายนี้กราบขอขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

อุดมพร กิจทวี

คำตอบ
    ความดีความชั่วเป็นสากล ทำดีต้องได้ดีแน่นอน คนทำกรรมชั่วต้องรับผลกรรมชั่วแน่นอน มิได้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างในเรื่องของศาสนา ศาสนิกใดทำผิดกฎหมายบ้านเมือง เช่นค้ายาบ้า ฆ่าคนตาย แล้วถูกจับได้ ต้องได้รับโทษด้วยการถูกพิพากษาให้รับผลของกรรมชั่วทุกคน ด้วยเหตุนี้การที่ผู้ถามปัญหาได้ทำความดีแล้วอุทิศบุญที่เกิดขึ้นจากการกระทำ ให้กับผู้ที่ตายล่วงลับไปแล้วเป็นเรื่องของความมีเมตตามีจิตสงเคราะห์มีใจเอื้อเฟื้อแผ่ ฯลฯ ของผู้อุทิศบุญ นี่คือความจริงที่พิสูจน์ได้ ผู้ตอบปัญหาขอแสดงความยินดีในความดีที่คุณได้ทำแล้ว

พัฒนาจิตด้วยการนั่งสมาธิแล้วมีความสุข นั่นเป็นผลที่เกิดจากมีจิตตั้งมั่น การพัฒนาจิต (จิตตภาวนา) เป็นบุญสูงสุด เพราะสามารถนำจิตวิญญาณเข้าถึงแก่นของความดี (ธรรมะ) สามารถอยู่กับทุกข์อย่างรู้ทันแล้วไม่ทุกข์และที่สุดสามารถปลดจิตให้เป็นอิสระจากทุกข์ทั้งปวงได้ นี่เป็นความจริงที่บุคคลในศาสนาใดก็สามารถพิสูจน์ได้ ดังนั้นเรื่องความฝันของเพื่อนเป็นเรื่องจริงที่เพื่อนได้เก็บบันทึกข้อมูลความจำที่จะเป็นเหตุนำเขาไปเกิดเป็นสัตว์ในภพต่ำในวันข้างหน้าได้ สิ่งที่คุณแนะนำเขา (ในฝันของเพื่อน) ให้ปฏิบัติสมาธินั้นแนะนำได้ถูกต้อง ถ้าเพื่อนเชื่อแล้วหยุดทำกรรมชั่วหันมาปฏิบัติธรรมเขาจะไม่ต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์ในภพต่ำในวันข้างหน้า ด้วยเหตุนี้คนที่ว่ายน้ำเป็นแล้วจึงสามารถช่วยคนที่กำลังจะจมน้ำได้ คนที่มีบุญสั่งสมอยู่ในดวงจิต จึงสามารถช่วยคนที่มีบาปให้ลงไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำได้ ด้วยการชี้ให้เขาเห็นและต้องปฏิบัติตามคำชี้แนะ

สุดท้าย การอุทิศบุญให้กับงูที่แผ่แม่เบี้ย อุทิศบุญให้กับอมนุษย์ที่มาปรากฏให้เห็นด้วยจิตที่ตั้งมั่น (ลืมตาไม่เห็น) นั้นทำถูกต้องแล้ว จงทำต่อไปแล้วคุณจะมีสรรพสัตว์กายหยาบสรพสัตว์กายทิพย์มาเป็นเพื่อนดีกับคุณ..สาธุ ความดีที่เป็นสากลทั้งปวงจงคุ้มรักษาผู้ถามปัญหาให้มีความเจริญทั้งในชีวิตนี้ชีวิตหน้าพร้อมทั้งส่งผลผลักดันชีวิตให้เป็นอิสระจากสิ่งเศร้าหมองทั้งปวงได้เป็นเบื้องสุด


  

580.
กราบสวัสดีค่ะ...ท่าน ดร.สนอง ที่เคารพ

วันนี้ ดิฉันมีข้อซักถามเกี่ยวกับผลของการปฏิบัติธรรมค่ะ

     1) เมื่อคืนที่ผ่านมา ดิฉันนั่งสมาธิผ่านไปได้ประมาณ ชั่วโมงกว่าเวทนาเกิดขึ้น ดิฉัน ก็พยายามอยู่กับลมหายใจเข้าออก และพิจารณาแยกกายกับจิตเหมือนที่เคยพิจารณาได้คือจะนิ่งและมองเวทนาที่เกิดขึ้นว่าเป็นคนละส่วนกันกับจิต และในครั้งนี้ก็พิจารณาได้ว่ากายที่เกิดเวทนากล้า กับ จิตมันแยกออกจากกันและมีความรู้สึกว่าถ้าพ้นจากจุดนี้ คือ ถ้าเกิดความคมชัดของกายและจิตที่พิจารณาขาดจากกันโดยสิ้นเชิงแล้วจิตจะนิ่ง (มันรู้สึกเหมือนพยายามอีกนิดก็จะพ้นแล้ว คือ ใกล้จะนิ่งแต่ไปไม่ถึง ) ในขณะนั้น ก็ระลึกถึงคำสอนของท่านด้วย ว่า ต้องสละชีวิตจึงจะพบธรรม ดิฉัน ก็บอกกับตนเองว่าต้องทำให้ได้ ปรากฏผ่านไป 1 ชั่วโมง 40 กว่านาที ดิฉันแพ้ค่ะ เพราะรู้สึกตัวเองเร่งจนเครียดมากกว่า ซึ่งเมื่อออกจากสมาธิ ดิฉัน ก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และบอกกับตนเองว่าวันนี้ดิฉันแพ้แต่อย่างน้อยดิฉันก็ได้ขันติอดทนต่อสู้กับเวทนาตั้งนาน ออกจากสมาธิแล้ว รู้สึกเหนื่อยมากเหมือนคนไปออกแรงสู้กับอะไรสักอย่าง และผลที่ตามมาคือ พอดิฉันล้มตัวลงนอน ก็หมายว่าจะนอนภาวนาต่อ ปรากฎไม่นานดิฉันก็หลับไปและฝันร้ายตลอดทั้งคืน คือ เหมือนมีคนมาทำร้ายหมายเอาชีวิตทุกรูปแบบ แบบหนึ่งผ่านไป อีกแบบก็ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ดิฉัน จึงอยากเรียนถามท่านว่าดิฉันควรแก้ไขอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าดิฉันปฏิบัติผิดทางแน่แล้ว

คำตอบ
    ปฏิบัติธรรมแล้วไม่สามารถเอาชนะเวทนาได้เหตุเป็นเพราะจิตมีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง ผู้ที่เจริญสมถภาวนาจนสามารถนำจิตเข้าสู่ความตั้งมั่นระดับฌานได้ เมื่อถอยกำลังสมาธิลงมาตั้งมั่นอยู่ในระดับอุปจารสมาธิแล้วอธิษฐานยอมตายเพื่อให้สามารถเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้ง่ายจิตผ่านเวทนาเข้าสู่ความสงบเบาสบายได้

ส่วนเรื่องของการฝันร้ายเป็นการทำงานร่วมระหว่างจิตที่มีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็งกับสัญญาเก่าที่ถูกเก็บฝังไว้ในดวงจิต ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาทั้งสองเรื่องคือ รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์เอาศีล 5 มาคุมใจเร่งความเพียรทำจิตตภาวนาให้มากต่อเนื่องยาวนานและสุดท้ายทุกครั้งเมื่อเลิกปฏิบัติต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
  

     2) ดิฉัน สังเกตว่าเวลานั่งสมาธิทุกครั้ง เมื่อจิตเริ่มจะนิ่งลมหายใจจะค่อย ๆ อ่อนลง แล้วหยุดกลืนน้ำลาย ( ซึ่งโดยปกติคนเราต้องกลืนน้ำลายเป็นช่วง ๆ อยู่แล้ว ) แต่เมื่อไหร่ที่นั่งสมาธิแล้วจิตเริ่มนิ่ง หรือนิ่งแล้ว จะหยุดกลืนน้ำลายไปโดยอัตโนมัติ โดยรู้สึกได้จากเมื่อออกจากความนิ่งดิฉันจะกลืนน้ำลายทันที และเมื่อออกจากสมาธิแล้วจะรู้สึกคอแห้งมาก ๆ ดิฉัน จึงอยากเรียนถามว่าลักษณะอาการแบบนี้เป็นปกติของทุกคนที่นั่งสมาธิแล้วนิ่งหรือไม่ เพราะดิฉัน ปฏิบัติมา 10 กว่าปี ก็เป็นแบบนี้มาตลอดค่ะ ( ขณะนั่งสมาธิ ดิฉัน ไม่ได้กังวลตรงจุดนี้ เพียงแต่หลังออกจากสมาธิจะรู้สึกทุกครั้ง จึงอยากหาคำตอบ เพื่อว่าหากปฏิบัติผิดพลาดตรงไหน จะได้รีบแก้ไขให้ถูกต้องค่ะ )

คำตอบ
    อาการกลืนน้ำลายหลังปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องปรกติที่เกิดกับคุณแต่ไม่เกิดกับผู้ปฏิบัติธรรมอื่น วิธีแก้ปัญหาคือทำบุญด้วยน้ำดื่มบ่อยๆ แล้วอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการดังกล่าวจะหยุดไป

     3) การทานอาหารเจ มีส่วนช่วยส่งเสริมการนั่งสมาธิให้ดีขึ้นหรือไม่ค่ะ

กราบขอบพระคุณที่ท่านสละเวลาตอบปัญหา....ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    ทานอาหารเจ ส่งเสริมการปฏิบัติสมาธิให้ดีขึ้นเพราะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย แต่ต้องเลือกบริโภคอาหารเจที่ปราศจากสารพิษ
  

579.
เรียนอาจารย์สนอง ที่เคารพ

ดิฉันมีปัญหาเรียนถามอาจารย์

     1. เพื่อนดิฉันส่งสัยว่าการการนั่งหลับตาเจริญวิปัสสนา เฉยๆ ได้บุญตรงไหน ตัวเขาไม่เคยเบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือนร้อนก็พอแล้ว จะได้บุญด้วยวิธีนั่งเฉยๆ ภาวนาพุทธโธ ได้บุญมาอย่างไร

คำตอบ
    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีความเป็นสัพพัญญูคือรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง คนที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างบอกว่าการกระทำที่ให้ผลเป็นบุญบุคคลสามารถทำได้ 10 อย่าง (บุญกิริยาวัตถุ 10)และหนึ่งในสิบอย่างนั้นได้แก่การภาวนา การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง คือเห็นถูกตรงตามที่เป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) เห็นแจ้งคือเห็นความทุกข์ได้ถูกตรงจึงรู้ทันความทุกข์และสามารถกำจัดความทุกข์ให้หมดไปจากใจได้ ดังนั้นการนั่งหลับตาเจริญวิปัสสนาจึงเป็นการกระทำที่นำมาซึ่งบุญสูงสุด หากเพื่อนของผู้ถามปัญหาเกิดความทุกข์ขึ้นเมื่อใดแล้วหาทางออกไปให้พ้นจากทุกข์ไม่ได้ ถ้าบุญของเขาส่งผลเขาอาจมาพิสูจน์สัจจธรรมนี้ก็เป็นได้

     2. ที่ทำงานดิฉัน เป็นองค์กรใหญ่ มีพนักงานกว่า 500 คน ป้จจุบันเกิดปัญหาความแตกแยกความสามัคคี เริ่มจากหัวหน้าฝ่ายจนถึงลูกน้อง ในแต่ละฝ่ายไม่ไว้วางใจกันและกัน ทะเลาะกัน คอยจับผิด กันและกัน ไม่มีความเมตตากันหรือช่วยเหลื่อกัน อยู่ด้วยความตรึงเครียด แบ่งพรรคแบ่งพวก ภรรยาเจ้าของบริษัทก็ไม่ไว้ใจพนักงาน จ้องคิดเพียงว่าพนักงานจะทุจริต ไม่ซื่อสัตย์ อาจารย์ขาดิฉัน ควรทำเช่นไร แต่ละคนล้วนเป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นน้อง ร่วมงานกันมานับ 10 ปี ใช้ธรรมะข้อใดดีค่ะ ที่จะอยู่ และทำงาน อย่างปกติสุข ทั้งทางโลก และทางธรรม

คำตอบ
   
เรื่องที่เกิดขึ้นมีเหตุมาจากสมาชิกขององค์กรจำนวนหนึ่ง ประพฤติทุกศีลคือมีศีลไม่ครบห้าข้ออยู่ในใจ และประพฤติตนเป็นผู้ไร้ธรรม โดยเฉพาะผู้เป็นหัวหน้าองค์กรหัวหน้างาน ต้องประพฤติจริยธรรมของการเป็นหัวหน้าที่ดี เช่น มีพรหมวิหาร มีกามสังวร มีปิยวาจา เว้นอคติ มีสติสัมปชัญญะ มีสัมมาอาชีวะ มีคุณสมบัติผู้นำที่ดีฯลฯ ผู้เป็นลูกน้องต้องประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกน้องที่ดี เช่น ขยัน อดทน สุจริต มาทำงานก่อนเจ้านาย เลิกงานที่หลังเจ้านาย เอาแต่ของที่นายให้ รับผิดชอบงานเว้นอบายมุขเอาความดีของนายไปเผยแพร่ฯลฯ

ดังนั้นหากผู้ถามปัญหา มีอำนาจบริหารจัดการพัฒนาบุคลากรต้องวางกติกาให้คนในองค์กรปฏิบัติ และให้โอกาสบุคลากรได้พัฒนาจิตวิญญาณของตัวเอง แต่ถ้าผู้ถามปัญหาไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำเช่นที่แนะนำได้ ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งมีความรู้ความสามารถในงานที่ทำต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนดีด้วยการประพฤติจริยธรรมและพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเฮง ด้วยการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 อยู่เสมอ แล้วจะสามารถอยู่กับปัญหาได้ โดยปัญหาเหล่านั้นไม่สามารถมาทำให้ตัวเองวิบัติได้

    3. ถ้าจะจัดให้มีการอบรมพนักงานให้มีจริยธรรมในองค์กร ขอเรียนขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่า ควรเชิญอาจารย์ที่เป็นวิทยากรแบบไหน ใจดิฉันอยากเรียนเชิญอาจารย์เป็นอย่างยิ่งตรงจุดตรงใจและตรงจริง และหัวข้อที่เหมาะสม ขอเรียนขอคำแนะนำจากผู้มีประสพการณ์ทั้งทางโลก และทางธรรมค่ะ     ขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์
        จาก คุณแม่ลูกหนึ่งค่ะ

คำตอบ
    การได้ฟังผู้รู้บอกกล่าวให้ประพฤติตนตามแนวจริยธรรมยังไม่ดีเท่ากับให้ผู้ฟังได้พัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองด้วยปฏิบัติธรรมด้วยตัวเอง จนเกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้เมื่อใดแล้ว พฤติกรรมของบุคคลจะเปลี่ยนมาเป็น คิด พูด ทำ ล้วนแต่อยู่ในฝ่ายดี คือมีพฤติกรรมไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลและไม่เคลื่อนไปจากธรรม

หรือเพียงอบรมพนักงานให้มีสติให้เกิดปัญญาเห็นถูก และมีจิตสำนึกดีงามก็สามารถทำได้ด้วยการหาวิทยากรที่พูดได้ตรงจุดตรงประเด็นพูดแล้วเข้าถึงใจผู้ฟังได้ประโยชน์ผู้ฟัง และต้องเป็นวิทยากรที่มีความรู้มีประสบการณ์ประพฤติตนถูกตรงตามธรรม ซึ่งในสังคมบ้านเมืองของเรายังพอหากคนอย่างนี้ได้อยู่แต่มีไม่มาก


  

578.
ดิฉันมีความปลาบปลื้มมากที่ได้พบอาจารย์ ดิฉันได้รับหนังสือ " ทำชีวิตให้ดีและมีสุข "ทำให้ดิฉันรู้จักอาจารย์ค่ะ ดิฉันมีเรื่องรบกวนสอบถามอาจารย์ค่ะ

     1.เรื่องการทำแท้ง ที่อาจารย์ได้เคยตอบคำถามทางวิทยุว่าให้ไปปฏิบัติธรรมและขอให้ผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่นๆ ช่วยอุทิศบุญกุศลให้เด็กที่ทำแท้งไป ดิฉันจะไปปฏิบัติได้ที่ไหนบ้างค่ะ และเด็กที่ทำแท้งเขาจะมาเกิดเป็นลูกดิฉันใหม่ได้ไหมค่ะ ดิฉันเคยไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง แต่ที่นั่นก็ ไม่ได้มีการให้ผู้อื่นช่วยกันอุทิศบุญกุศล ต่างคนต่างอุทิศบุญกุศลของตนเอง

คำตอบ
    สถานปฏิบัติธรรมมีหลายแห่ง อาทิ ยุวพุทธฯ กรุงเทพ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี วัดมเหยงค์ จ.พระนครศรีอยุธยา วัดทับทิมแดง จ.ปทุมธานี ฯลฯ

   ปฏิสนธิวิญญาณใดจะมาเกิดเป็นลูกได้ ต้องมีบุญ-มาประดับเดียวกันกับผู้ให้ท้องเขามาเกิด คุณจะได้จิตวิญญาณแบบไหนมาเกิดกับคุณอยู่ที่จิตคุณเองต้องการลูกมีจิตเป็นแบบไหน ถ้าผู้เป็นแม่มีจริตหนักไปทางด้านมีความโลภมีความโกรธความหลง โอกาสได้ลูกที่มีจิตวิญญาณมาจากสัตว์ในภพภูมิต่ำมาเกิดถ้าแม่ประพฤติตนอยู่แต่ในศีล 5 เป็นปรกติ โอกาสได้ลูกที่มีจิตวิญญาณจากภพมนุษย์มาเกิด ถ้าแม่เป็นผู้มีจิตใจมุ่งมั่นอยู่กับการให้ทานและรักษาศีล5 เป็นนิจ โอกาสได้ลูกที่มีจิตวิญญาณจากภพสวรรค์มาเกิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานรองรับของผู้เป็นแม่ ว่ามีศีลมีธรรมอยู่ในระดับไหน ดังนั้นประสงค์จะให้ลูกที่ถูกทำแท้งมาเกิดกับตนเองใหม่ต้องอธิษฐานแล้วทำตัวเองให้มีจิตขุ่นมั่วเศร้าหมองเหมือนครั้งที่ลูกคนนั้นมาเกิดในท้องแล้วถูกทำแท้ง

   ต่างคนต่างปฏิบัติธรรมต่างคนต่างได้บุญ ต่างคนต่างอุทิศบุญกุศลที่ตนมี มิได้ประพฤติผิดธรรมข้อไหน แต่ผู้มีปัญญาไม่ประมาณมีเมตตาไม่ประมาณ เขาพร้อมที่จะให้ความสงเคราะห์เมื่อถูกร้องขอให้ช่วย



    2. ดิฉันจะต้องไปอยู่ต่างประเทศ มีความกังวลใจเรื่องการปรับตัว เรื่องความเป็นอยู่ เรื่องภาษา เรื่องหางานทำ ดิฉันจะต้องทำอย่างไรดีค่ะ เพราะว่าใจก็อยากปฏิบัติธรรม แต่จิตใจก็มีกังวลเรื่องปัญหาต่างๆ มี วิธีทำอย่างไรให้ปฏิบัติธรรรมกับการดำเนินชีวิตในต่างแดนควบคู่ไปด้วยกันบ้างค่ะ

คำตอบ
   
ฝึกจิตตนเองให้มีสติระลึกอยู่กับปัจจุบันแล้วทำให้ดีที่สุดด้วยการพัฒนาศักยภาพของตนเองให้มีความรู้ความสามารถจนสูงสุด และพัฒนาจิตตนเองให้มีคุณธรรมสูงสุดเท่าที่ตนสามารถทำได้ พระพุทธะชี้แนะให้พึ่งตนเอง ด้วยการพึ่งธรรมที่มีอยู่ในใจตนนั้นดีที่สุด ถ้าเชื่อและประพฤติตามคำสอนของพระพุทธะ แม้จะโคจรไปอยู่ ณ ที่สถานแห่งใด ในกาลเวลาไหน ๆ ชีวิตจะพบแต่ความสวัสดี

     3. ดิฉันเป็นคน sensitive ต่อคนและสิ่งต่างรอบข้างมาก ๆ เลยค่ะ เวลามีปัญหา ก็พาลจะร้องไห้แต่จะเป็นแบบน้ำตาไหลออกมาเอง ยิ่งมาอยู่ต่างแดน เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น น้ำตาก็พาลจะไหลทุกที พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ แต่น้ำตามันก็ไหลมาเอง ดิฉันก็พยายามจะคิดเรื่องลมหายใจเข้าออก เพื่อลดความ sensitive ลง อาจารย์มีวิธีแนะนำไหมค่ะ

ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงคุ้มครองอาจารย์และครอบครัวให้มีความสุข ความเจริญค่ะ

คำตอบ
    การได้รับสัมผัสแล้วระลึกได้ถึงสิ่งกระทบที่อยู่รอบข้างได้เร็วนั้นเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องของพลังงานจิตทำงานร่วมกับระบบประสาทของร่างกาย จิตใดมีกำลังสติกล้าแข็งมีกำลังปัญญาเห็นถูกกล้าแข็ง เมื่อรับกระทบแล้วจะไม่เกิดอารมณ์หวั่นไหว อันจะนำมาซึ่งพฤติกรรมที่ติดลบฉะนั้นต้องปรับแก้ไขตนเองให้มีกำลังของสติสัมปชัญญะกล้าแข็งได้เมื่อใดแล้ว ปัญหาที่บอกเล่าไปจะไม่เกิดขึ้นอีก
  

577.
กราบสวัสดีค่ะ...ท่าน ดร.สนอง ที่เคารพ

     1) เนื่องด้วยในปัจจุบัน การแสวงหาพระอรหันต์กลางกรุง เพื่อจะทำบุญค่อนข้างยาก ที่ดิฉันเคยไปกราบก็จะอยู่ต่างจังหวัดใกล้บ้าง ไกลบ้าง ซึ่งปัจจุบันแต่ละรูปก็มรณะกันไปหมดแล้ว หรือไม่ก็อาพาธอยู่ที่โรงพยาบาล ดิฉัน จึงขอเรียนถามท่าน ดร.สนอง ให้ช่วยแนะนำด้วยค่ะ ( เช่น วัดมหาธาตุ ดิฉันได้ข่าวว่ามีในปัจจุบัน แต่ไม่ทราบ.ท่านใดค่ะ) ต้องกราบขออภัยด้วยนะค่ะ สำหรับคำถามนี้ ดิฉันไม่ทราบว่าสมควรถามหรือไม่

คำตอบ
    ปัจจุบันอาศัยอยู่ต่างจังหวัด จึงแทบไม่มีประสบการณ์กับนักบวชที่อาศัยอยู่ในวัดต่าง ๆ กลางกรุง ประกอบกับการที่ผู้ตอบปัญหามิใช่อริยบุคคลขั้นสูงสุดจึงมิอาจให้คำชี้แนะได้

    2) ดิฉัน ชอบปล่อยชีวิตสัตว์ มักจะไปซื้อชีวิตสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าแล้วนำไปปล่อย มีครั้งหนึ่ง ดิฉัน ไปซื้อปลาช่อน ปลาดุก ที่กำลังจะถูกฆ่า แล้วนำไปปล่อยกับคุณแม่ ในระหว่างทางเมื่อดิฉันปล่อยชีวิตสัตว์ลงน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ดิฉันกับคุณแม่เดินผ่านผู้ชาย 2 คน ในขณะที่ดิฉันเดินผ่านดิฉันก็เห็นจากปลายหางตาของดิฉันว่า 2 คน ดังกล่าวพยักหน้ากันแล้วค่อย ๆ เดินตามดิฉันกับคุณแม่ ดิฉัน มีความรู้สึกขึ้นมาในใจว่า ต้องระวัง 2 คนนั้นให้ดี ๆ ดิฉัน ตั้งสตินิ่งขณะเดิน ระวังตัวมาก และเนื่องจากข้างหน้าเป็นทางสามแยกซึ่งดิฉันบอกกับตัวเองว่าดิฉันจะเดินให้ช้าที่สุด เพื่อให้ผู้ชาย 2 คนนั้นเดินนำหน้ามิใช่เดินข้างหลัง ก็สังเกตุได้ว่าผู้ชาย 2 คน นั้น ก็จำต้องเดินผ่านดิฉันขึ้นไป ดิฉัน ก็บอกกับตนเองอีกว่าข้างหน้าเป็น 3 แยกถ้าดิฉันเลี้ยวกลับทางเก่าซึ่งเป็นข้าง ๆ วัด มันเป็นที่โล่งไม่มีคน หากเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครช่วยดิฉันกับคุณแม่ได้แน่ ดิฉัน จึงคิดหาทางออกและบอกกับตัวเองว่า ตนเองคิดมากไปหรือเปล่า แต่ก็พิสูจน์ด้วยตัวเองว่า ถ้าผู้ชาย 2 คนนั้นไม่คิดอะไร เมื่อถึงทางแยกเขาต้องเลี้ยวขวาไปไม่หยุด แต่ถ้าหยุดแสดงว่าเขาคิดจะปล้นดิฉันกับคุณแม่แน่นอน แล้วในที่สุดผู้ชาย 2 คนนั้นก็หยุดเดินจริง ๆ ดิฉัน ไม่รู้จะทำยังไง เพราะทางซ้ายมือดิฉันไม่แน่ใจว่าเป็นทางตันหรือไม่ จึงกระซิบบอกคุณแม่ว่าอย่าไปมองผู้ชาย 2 คนดังกล่าว ถึงทางแยกให้รีบเดินเลี้ยวซ้ายทันทีแล้วเดี๋ยวดิฉันจะบอกว่าเกิดอะไรขึ้น พอเลี้ยวซ้ายได้ดิฉันรีบจูงมือคุณแม่เดิน ปรากฎไปพบทางออกตรงประตูวัดข้างโบสถ์ ก็ชำเลืองไปเห็นผู้ชาย 2 คนนั้น เดินเข้าตามมาอีกประตู ดิฉัน เร่งฝีเท้าจนไปถึงถนนใหญ่รีบพาคุณแม่ขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน ที่ดิฉันเล่ามา เนื่องจากจากเหตุการณ์นี้ ดิฉันมีความคิดขึ้นมาว่าการที่ดิฉันคิดจะสร้างกุศลปล่อยชึวิตสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า ทำไมดิฉันจึงต้องไปเจอเหตุการณ์ร้าย ๆ กับตนเอง แต่ขณะเดียวกันก็คิดบอกกับตนเองว่าการที่ดิฉันปล่อยชีวิตสัตว์กุศลนั้นได้ย้อนกลับมาช่วยชีวิตดิฉันทันทีแล้วเหมือนกัน แต่เนื่องจากมีคนที่เขาก็ปฏิบัติธรรมเขาทราบเรื่องราวดังกล่าว เขาบอกว่ามันคนละส่วนกัน ดิฉันไม่เข้าใจ แต่เพราะในชีวิตดิฉันก็เคยเจอเหตุการณ์ถูกโจรอ้วนผอมปล้นมาแล้ว และเห็นผลจากการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะคนอื่นถูกโจรทำร้ายหมดทั้งทุบตีด้วยปืน ฉุดกระชากปลดทรัพย์ให้ช้าก็โดนตบ มีดิฉันคนเดียวที่โจรเข้ามาจะปลดทรัพย์เป็นคนสุดท้าย แล้วดิฉันบอกให้ยืนรอ เดี๋ยวดิฉันปลดทรัพย์ให้เองแล้วโจรไม่ทำร้ายดิฉันเลยสักนิด ไม่มาแตะต้องเนื้อตัวดิฉันเลย ดิฉัน จึงเชื่อมั่นในผลของการรักษาศีล ข้อที่ 1 มาก ๆ ดิฉัน จึงอยากให้ท่านช่วยชี้แจงถึงเหตุและผลของการปล่อยชีวิตสัตว์แล้วเจอเหตุการณ์จะถูกปล้น ( ตัวอย่างอื่นๆ เช่น จำได้ว่าตอนเด็กๆ มีคนจำนวนมากนั่งรถไปทอดกฐินแต่ปรากฎรถคว่ำเสียชีวิตทั้งคันรถ หรือไม่ก็ไปทำบุญที่วัดกลับมาบ้านถูกไฟไหม้หมด) ทั้งนี้ เพราะมีคนจำนวนมากนึกน้อยใจว่าไปทำบุญสร้างกุศลแท้ ๆ ทำไมจึงเจอเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิต จึงส่งผลให้เขาเหล่านั้นท้อที่จะทำบุญ แล้วเลิกทำบุญไปในที่สุดค่ะ

คำตอบ
    ฟังเรื่องที่บอกเล่าไปแล้วเหมือนได้อ่านนิยายชีวิตการปล่อยสัตว์ให้เป็นอิสระ เป็นการให้ชีวิตเป็นทานเมื่อใดที่กรรมดีให้ผลตัวเองจะมีชีวิตปลอดจากภัยและเป็นอิสระ ส่วนการถูกปล้นเป็นเรื่องของกรรมเก่าให้ผลจึงต้องสูญเสียทรัพย์ ด้วยผู้ที่พบประสบการณ์ติดลบเช่นนี้เคยประพฤติอทินนาทานจึงต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม

การทำบุญเป็นสิ่งดี ผู้ใดประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 อยู่เสมอผู้นั้นมีบุญสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณ และปัจจุบันชาติยังได้ประพฤติตนเป็นผู้มีศีล 5 ครองใจอยู่เสมอเป็นการตอกย้ำบุญที่ทำให้มีกำลังกล้าแข็งยิ่งขึ้นชีวิตจะพบแต่ประสบการณ์ที่ดีบุคคลประเภทนี้จะไม่เลิกทำบุญ ตรงกันข้ามกับคนที่ทำดีบ้างทำชั่วบ้าง เมื่อกรรมชั่วให้ผลจึงคิดท้อใจว่าทำดีแล้วไม่ได้ดีเหตุเพราะความดียังมีไม่มากพอที่จะให้ผลจึงเลิกทำบุญไปในที่สุด ความสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า ผู้ถามปัญหาเป็นคนประเภทไหนยังหนักแน่นมั่นคงอยู่กับการทำบุญ หรือคิดจะล้มเลิกการทำบุญ
  
     3) ดิฉัน เคยพบครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านสอนให้ดิฉันสวดอิติปิโส แบบสวดถอยย้อนกลับทั้งบท และดิฉันก็ฝึกจนสวดได้ ซึ่งท่านบอกสวดแล้วดี ไม่ค่อยมีใครสวดเพราะยาก ( เช่น สวดปกติว่า "อิติปิโส....พุธโธ ภควาติ" ในตอนขึ้นต้น 1 จบ แล้วก็สวดถอยย้อนกลับ 1 จบ ว่า "ติวาคภ โธพุธ....โสปิติอิ" มีผู้ที่ปฏิบัติธรรมทราบว่าดิฉันเคยสวดแบบนี้ เขาก็บอกว่าการสวดแบบนี้จะทำให้ชีวิตเดินถอยหลังไม่เจริญก้าวหน้า ดิฉัน ก็เลยอยากจะเรียนถามท่านว่าเคยทราบเรื่องการสวดอิติปิโสถอยย้อนกลับหรือไม่ ผลที่เกิดขึ้นเป็นเช่นไร และสมควรสวดหรือไม่ค่ะ

คำตอบ
   ผู้ตอบปัญหาไม่เคยทราบเรื่องการสวดมนต์บทอิติปิโสถอยย้อนกลับ แต่เคยมีประสบการณ์ก่อนฝึกกรรมฐานครูบาอาจารย์ให้ท่องคำว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตาโจ แล้วให้พูดย้อนกลับ ผู้ใดระลึกย้อนกลับได้ผลที่เกิดตามมาคือจิตมีกำลังของสติเพิ่มขึ้น ทำให้จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ จิตเช่นนี้บางคนนำมาพิจารณาคำที่ครูบาอาจารย์สอน สามารถเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้

ดังนี้การสวดมนต์บทอิติปิโสฯ ย้อนกลับจึงเป็นสิ่งดีสมควรประพฤติต่อไป และจะให้ดียิ่งขึ้นต้องใช้จิต โยนิโสมนสิการให้เข้าใจความหมายของบทสวดมนต์ จะทำให้ความศรัทธาในคุณของพระพุทธะมีกำลังมากขึ้น
  

576.
อาจารย์มีหลักหรือวิธีเลือก วัดที่จะบวชยังไงบ้างครับ

บางทีความรู้ของผมอาจคิดไม่ถึงในบางเรื่องบางมุม เลยมาถามอาจารย์ดีกว่า

ผมเคยบวชมาแล้วแต่รู้สึกว่าบวชแบบนี้มันไม่ใช้ บวช14วัน ไม่ได้อะไรเลย กรรมฐานก็ไม่มีให้เรียนครับ ไม่มีใครสอน ทำวัตร อย่างเดียว

ผมอยากฝึกสติ ฝึกสมาธิ มากๆ เพื่อนิพพาน อยากบวชซัก6-7เดือน

วันไหนมีพระสอนกรรมฐาน หลวงพ่อดีๆ วันสงบๆ เหมาะแก่การฝึกอย่างเต็มที่ มีไหมครับแนะนำผมที

ผมเคยได้ยินมาว่าคนบวช3วัดไม่ดีหรือไม่มงคล ไม่ควรบวช3วัด จริงหรือไม่ครับ

ผมบวชมาแล้ว1ครั้ง ตอนนี้คิดจะบวชครั้งที่2 สัก6-7เดือน และครั้งที่3 จะบวชตอนแก่ๆสัก50-60 ตั้งใจไว้แบบนี้ครับ จะดีหรือเป่ล่า

ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ

คำตอบ
   เลือกวัดที่มีการฝึกกรรมฐานและมีผู้สอนประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัย หากมีปัญญาเห็นแจ้งได้จะดีที่สุด

มงคลมิได้อยู่กับจำนวนครั้งที่บวชแต่บวชแล้วประพฤติได้ถูกตรงตามคุณธรรมในมงคลสูตรถือว่าการบวชนั้นเป็นมงคล และจะเข้าถึงมงคลสูงสุดได้ต้องมีจิตเป็นเกษมคือเป็นพระอริยะนั่นเองผู้ที่บวชแล้วประพฤติตนทุศีลไร้ธรรม ประพฤตินอกธรรมนอกวินัยถือว่าเป็นอัปปมงคลฉะนั้นจะบวชกี่ครั้งไม่สำคัญเท่ากับว่าประพฤติได้ถูกตรงตามธรรมวินัยหรือไม่
  

575.
เรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

     เมื่อหลายปีก่อนสมัยเรียนมัธยมปลาย หนูเคยเกิดอาการประหลาดอย่างหนึ่ง ที่ทำให้หนูสงสัยมาตลอดและกลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคประสาทหรือไม่ อาการที่ว่าคือ ตอนเช้าเดินแถวเข้าโรงเรียน ไหว้คุณครู ไหว้ศาล เดินไปที่ห้อง จะเกิดความรู้สึกว่า ร่างกายมันทำอะไรเองไปโดยอัตโมมัต ใจมันแยกออกมาต่างหาก รู้ว่าตัวเองทำอะไรเหมือนหุ่นยนต์ รู้ว่าต้องทำ แต่เกิดความสงสัยว่า เหมือนตัวเราไม่ใช่เรา พอเข้าใจไหมคะ เหมือนร่างกายมันไม่ใช่ของเรา เหมือนมันเป็นสิ่งแปลกปลอม แล้วเราเป็นใคร เราชื่อนี้ นามสกุลนี้แน่เหรอ สักพักก็จะหายไปกลับสู่สภาพปกติ ซึ่งอาการแบบนี้เคยเกิดขึ้นบ่อยๆในช่วงเวลาหนึ่ง

     ที่น่าตกใจคือ บางครั้งอ่านหนังสือในห้องสมุดจนปิดตอนเย็น พอลุกขึ้น อาการเดิมเริ่มเกิด ร่างกายเหมือนไม่ใช่ของเรา มันทำงานไปเองเหมือนกับมันเคยทำตามปกติ เช่น เก็บเก้าอี้ เก็บหนังสือ หิ้วกระเป๋ากลับบ้าน แต่ใจมันแยกออกมา ลืมไปเลยว่า เราคือใคร ชื่ออะไร ทำไมต้องทำอะไรอย่างนี้ เท้าก็ก้าวเดินไปตามปกตินี่แหละ เกิดตกใจกลัวอย่างมาก รีบนึกๆใหญ่เลย ว่าจริงๆแล้ว เราชื่ออะไร เป็นใคร สักพักก็หาย ซึ่งอาการแบบลืมตัวไปเลยนี้เกิดน้อยกว่าอาการข้างบนค่ะ แต่เกิดขึ้นครั้งใดทำให้หนูขวัญเสียมากค่ะ แล้วไม่กล้าปรึกษาใครหรือบอกใครด้วยค่ะ กลัวเขาว่าบ้า ทั้งที่หนูเป็นเด็กเรียนเก่ง ความประพฤติดีของโรงเรียนค่ะ

     ขอเรียนถามดังนี้ค่ะ
     -อาการนี้ใช่อาการของโรคทางจิตประสาทหรือเปล่าคะ เกิดขึ้นได้อย่างไร พอพ้นช่วงม.ปลายมาแล้วก็ไม่เคยเป็นอีกเลยค่ะ ช่วงนั้นไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ มีความสุขกับชีวิตดีค่ะ

     -ตอนนี้หนูปฏิบัติธรรมแบบพอง ยุบ บางครั้งก็เกิดความสงสัยเวลาส่องกระจกว่า เราชื่อนี้ นามสกุลนี้หรือ เราเป็นคนที่อยู่ในกระจกหรือ บางครั้งก็เกิดความรู้สึกเหมือนเห็นคนอื่น เหมือนมองวัตถุสิ่งของอื่น เหมือนไม่ใช่ตัวเรา แต่ไม่ค่อยเกิดหรอกค่ะ

     -เคยปฏิบัติติดต่อกันไม่ขาดเลย เวลาแผ่เมตตารู้สึกกลางหน้าอกเย็นเยือกแข็งมาก เย็นเหมือนอยู่ในน้ำแข็ง เหมือนกินฮอลสักหลายร้อยเม็ดน่ะค่ะ อาการนี้เกิดจากอะไรคะ แล้วต้องแก้ไขอย่างไรคะ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์สนอง ผู้มีความเสียสละช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังสารวัฏ และขออนุโมทาบุญทั้งหลายของท่านด้วยค่ะ

คำตอบ
    ความรู้ทางโลกคือใช้ปัญญาไอคิว วินิจฉัยว่าเป็นอาการของโรคจิต สั่งงานผิดปกติ อ่านระบบประสาทให้แสดงออกเป็นพฤติกรรมที่ผิดไปจากพฤติกรรมของคนปกติ แต่ถ้าใช้ความรู้ทางธรรมคือใช้ปัญญาญาณวิเคราะห์ก็รู้ว่าเป็นผลงานที่เกิดขึ้นกับจิตที่ยังระลึกได้ในความจำเก่า หรือสัญญาเดิมที่ถูกเก็บฝังไว้ในดวงจิตที่เพิ่งทิ้งภพเก่าอันเป็นสุคติภพมา ครั้งใดที่จิตระลึกถึงสัญญาเดิมได้และจิตใช้ความจำเช่นนั้นสั่งงาน พฤติกรรมดีที่บอกเล่าไปจึงแสดงออก เมื่ออายุมากขึ้นกาลเวลาทำให้กิเลสในโลกมนุษย์เข้าครอบงำดวงจิตมากขึ้น สัญญาเดิมจึงถูกกลบฝังไว้ลึกในจิตใต้สำนึก ทำให้ระลึกไม่ได้พฤติกรรมแบบที่เคยเกิดขึ้นในสมัยที่ยังเป็นเด็กจึงหายไปชั่วคราว เมื่อใดฝึกจิตให้มีกำลังของสติมาขึ้น จนตั้งมั่นเป็นสมาธิและเข้าให้ถึงสมาธิสูงสุด (สมาธิในฌาน) ได้แล้วอภิญญาที่เรียกว่าทิพพจักขุจะเกิดขึ้นกับผู้เข้าถึงและจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ส่วนเรื่องแผ่เมตตาแล้วเกิดเป็นความเย็นเยือกในอกเป็นผลงานร่วมระหว่างชีวิตปีติที่เกิดขึ้นในดวงจิต กับระบบประสาทของร่างกายที่โยงไปสู่ทรวงอก
 

574.
เรียน อาจารย์สนองที่เคารพ

ร่วมปีแล้วค่ะที่หนูล้มลุกคลุกคลานกับความหวาดระแวงว่าสามีจะยังนอกใจอยู่อีกหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เราทั้งคู่ก็รักกันมาก คำสัญญาที่เขาเคยให้ก็หลายครั้งว่าเลิกกับชู้แล้ว มันก็ไม่เคยเป็นจริงสักที สรุปที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะทำเพื่อหนูหรือเพื่อตัวเองก็มีแต่คำโป้ปดมดเท็จ จนดูเหมือนว่าคำพูดเหล่านั้นมันได้กลั่นกรองออกมาจากจิตใต้สำนึกของเขาโดยแท้

หนูรู้สึกเจ็บปวดมากกับการโกหก เพราะหนูเป็นคนจริงจังกับคำพูดและชีวิตมาก มันคงเป็นกรรมที่หนูต้องชดใช้ เพราะชีวิตที่ผ่านมาหนูมักพูดเสียดแทงความรู้สึกให้คนอื่นเจ็บอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะสามี

หนูเป็นคนเจ้าโทสะค่ะ (พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะลด ละ เลิกค่ะ แต่มักแพ้กิเลสตัวเองบ่อยๆ) พยายามปฏิบัติธรรม ดูจิต ตามอารมณ์ ก็ได้แค่งั้นๆ ค่ะ บางคราวถึงกับทำร้ายร่างกายสามี ที่ผ่านมาไม่เคยทำค่ะ ก็เพิ่งทำคราวที่เขานอกใจนี่แหละ หนูรู้สึกว่าตัวเองบาปมากเลยค่ะ ก็ได้แค่เอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาและอโหสิกรรมกับเขาค่ะ และตั้งใจที่จะไม่ทำอีก แต่....ก็ทำอีกจนได้

หนูทุกข์กับความอาฆาตแค้นของตัวเองค่ะ มันหายไป และมันก็กลับมา ทั้งๆ ที่สวดมนต์ และ (พยายาม) นั่งสมาธิ แผ่เมตตาให้เขา (เกือบ) ทุกวัน

ทุกข์ที่ใจหนึ่งก็อยากจะหย่า แต่อีกใจก็ยังอยากจะอยู่เพราะยังต้องพึ่งเขาอยู่

ทุกข์เพราะตัวเองอยากหายทุกข์

ส่วนเขาเป็นคนใจอ่อนอย่างสุดขั้ว ปฏิเสธคนไม่เป็น ไม่มีสภาวะความเป็นผู้นำ มักทำในสิ่งที่ไม่ควรทำทั้งๆ ที่เพิ่งมีชนักติดหลังมา

แม้แต่ตอนนี้ เขาตั้งใจเลิกมีชู้อย่างเด็ดขาด แต่มันก็มีเหตุปัจจัยที่ทำให้เขาต้องไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงอื่นอีก ทั้งๆ ที่เขาจะเลือกการกระทำอย่างอื่นเพื่อเป็นการป้องกันตัวเองก็ได้ แต่เขาก็เลือกในฝั่งตรงข้าม แค่เพียงเพราะเขาเป็นคนมีน้ำใจ

เขาเพิ่งมารู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ก็ตอนที่หนูบอกเขา ก็ตอนที่หนูร้องไห้เสียใจ

เขาเลือกที่จะไปวิปัสสนา 7 วันในเดือนตุลานี้ เพียงแค่เขาบอกว่าตัวเองต้องได้รับการบำบัด

ไม่ทราบว่าจะมีกุศโลบายอันใดที่จะทำให้หนูปล่อยวาง และยอมรับในสภาพที่เขาเป็นได้บ้างไหมคะ?

ขอขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    ประสงค์จะปล่อยวางสามีผู้ทุศีลและมีกำลังของสติอ่อน สามารถทำได้ด้วยการเจริญอสุภกรรมฐาน จากซากศพจริงเพศชายพิจารณาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้นกับตัวเองได้แล้ว จิตจะหลุดเป็นอิสระจากราคะและโมหะได้เป็นอัตโนมัติแล้วความสงบสุขในใจของผู้พิจารณาเห็นสัจจธรรมก็จะเกิดขึ้น
  

573.
กราบสวัสดีค่ะ...ท่าน ดร.สนอง ที่เคารพ

วันนี้ ดิฉันมีคำถาม ขอให้ท่านช่วยชี้แนะด้วยค่ะ ดังนี้.-
1) ในเรื่องของการค้าขาย การที่คนค้าขาย ทำการค้าขายใกล้ ๆ กัน นอกจากรสชาด การบริการ ราคา แล้วเราสามารถใช้ธรรมะข้อใด หรือการปฏิบัติธรรมอย่างไรที่จะช่วยส่งเสริมให้ค้าขายดีหรือไม่ บางรายค้าขายสินค้าประเภทเดียวกัน อยู่ใกล้ๆ กัน แต่ทำไมบางรายขายได้ดี อีกรายขายได้น้อย เป็นด้วยเหตุอะไร หรือ เป็นเหมือนกับคำที่คนชอบพูดว่า "ไม่มีดวงค้าขาย" และการที่คนค้าขายนำวัตถุมงคลมาวางบูชาเพื่อเรียกลูกค้า หรือสวดมนต์บทที่เพื่อการค้าขายทุกวัน เช่น คาถาเงินล้าน , คาถาค้าขายดี เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ค้าขายดีขึ้นจริง ๆ หรือค่ะ ขอท่านช่วยชี้แนะแนวทางที่ทำให้ค้าขายดี ด้วยค่ะ

คำตอบ
    หวังความเจริญในด้านค้าขาย ต้องทำดวงของตนเองให้ดี ด้วยการประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล มีธรรมคุ้มครองใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วดวงจะดีเอง

   ในฐานะที่เป็นฆราวาสต้องประพฤติศีล 5 ข้อ ให้มีอยู่กับใจก็พอเพียงแล้ว ส่วนธรรมะควรประพฤติเบญจธรรม (มีเมตตา กรุณา มีสัมมาอาชีวะ มีกามสังวร มีสัจจะ มีสติสัมปชัญญะ) มีวาจาไพเราะประสานใจ มีการให้ทานอยู่เสมอ และงดเว้นอบายมุข ฯลฯ เท่านั้นก็พอที่จะทำให้ตัวเองมีดวงค้าขายได้แล้ว ค้าขายแล้วไม่วิบัติ


2) ผู้ปฏิบัติธรรม ย่อมละความยึดติดในความสวยงามและวัตถุ แต่ในทางโลกผู้ปฏิบัติธรรม มีอาชีพขายเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ และสิ่งสวยงามต่าง ๆ ในทางการค้าผู้ขายย่อมต้องเรียกลูกค้าแนะนำว่าสิ่งนั้นๆ ดี สวยงามเหมาะกับลูกค้าแต่ละท่าน เมื่อลูกค้าซื้อไปแล้วย่อมทำให้สวยงามขึ้น เช่นนี้แล้วไม่เป็นการกระทำที่สวนทางของผู้ปฏิบัติธรรมหรือค่ะ เพราะเหมือนเป็นการส่งเสริมให้คนยึดติดความสวยงามและวัตถุ ดังนั้น หากผู้ปฏิบัติธรรมต้องทำอาชีพ ดังกล่าว จะมีวิธีการใดที่เหมาะสมและถูกต้อง ขอท่านโปรดแนะแนวทาง

คำตอบ
    ผู้ถามต้องเลือกทางชีวิตด้วยตัวเองว่า จะนำพาชีวิตไปตามกระแสโลก ที่มากมีด้วยความทุกข์ หรือจะนำพาชีวิตไปทางธรรมที่อยู่กับความทุกข์อย่างรู้ทันและพ้นไปจากทุกข์ได้ในที่สุด

   หากจำเป็นต้องพึ่งพาปัจจัยทางโลก มาเกื้อหนุนให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ ก็ต้องหางานทำแล้วบริโภคใช้สอยมักน้อย บริโภคใช้สอยแต่สิ่งที่เป็นสาระกับการดำรงชีวิตเท่าที่จำเป็น และต้องไม่ลืมว่าต้องสั่งสมทรัพย์ภายในคือบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) ให้กับตัวเอง เพื่อใช้เป็นปัจจัยนำพาชีวิตเดินทางไปเกิดใหม่ในปรโลก


3) ดิฉัน รู้จักสตรีท่านหนึ่งอยู่ต่างประเทศ แต่แฟนของเขาอยู่เมืองไทย ดิฉันเพิ่งรู้จักกับสตรีท่านนั้นไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่เขาคบกับแฟนเขาประมาณ 3 ปีกว่า เขามักจะถามดิฉันเสมอว่าแฟนของเขามีแฟนอยู่ที่เมืองไทยหรือไม่ ดิฉัน ตอบว่า "ไม่ทราบ" ( ทั้งที่ ดิฉันทราบจากคนอื่นว่าแฟนของเขามีแฟนอยู่แล้ว ) สตรีท่านนั้น บอกดิฉันว่าถ้าเขารู้ว่าแฟนเขามีแฟนอยู่แล้วเขาก็จะเลิกกับแฟนเขา เพราะเขาไม่อยากทำบาปโดยไม่รู้ตัว ดิฉัน ไม่อยากพูดเท็จ และก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยกับพฤติกรรมของแฟนเขาที่หลอกผู้หญิงทั้งสองฝ่าย แต่ดิฉันก็ไม่สามารถจะบอกความจริงกับสตรีท่านนั้นได้ ดิฉัน ได้แต่แนะนำให้เขาสวดมนต์นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สบาย ( เพราะดิฉัน เชื่อมั่นว่าผู้ใดปฏิบัติธรรมแล้วสักวันจะมีเหตุส่งผลให้ผู้นั้นทราบความจริงด้วยตัวของเขาเอง ) ดิฉัน รู้สึกลำบากใจและอึดอัด เนื่องจากทุกครั้งที่เขาโทร.จากต่างประเทศมาหาดิฉัน เขาก็ได้แต่ปรับทุกข์เรื่องแฟนของเขา และถามซ้ำๆ กับดิฉันว่าแฟนเขามีผู้หญิงอื่นหรือไม่ ดิฉัน ก็ตอบว่าไม่ทราบทุกครั้ง เขาจะให้ดิฉันช่วยเป็นหูเป็นตาให้แล้วส่งข่าวให้เขาทราบ ดิฉัน ก็ตอบว่าดิฉันไม่ค่อยได้เจอแฟนเขา ( ซึ่งในความเป็นจริงดิฉันก็ไม่ค่อยได้เจอแฟนเขาจริง ๆ ) อีกทั้งดิฉันไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องชีวิตคู่ของใคร จนปัจจุบัน ดิฉันไม่กล้ารับโทรศัพท์ของสตรีท่านนั้น เพราะไม่อยากพูดเท็จ ดิฉันจะทำอย่างไร และดิฉันพูดเท็จกับสตรีท่านนั้นก็เป็นบาปที่ดิฉันไม่อยากจะทำค่ะ ขอท่านช่วยแนะนำว่าดิฉันควรปฏิบัติอย่างไร และแนะนำสตรีท่านนั้นอย่างไร

กราบขอบพระคุณท่านที่สละเวลาตอบปัญหา...ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    ลำพังกรรมทั้งดีและไม่ดีของตัวเองก็มีมาก จึงต้องใช้เวลาดูจิตของตัวเองกำจัดสิ่งไม่ดีให้หมดไปจากใจซึ่งยังทำได้ไม่หมดหากผู้ถามมีความเห็นถูก และประพฤติอยู่กับใจตัวเองอย่างนี้จนไม่มีเวลาไปร่วมกระบวนกรรมของผู้อื่นได้ ก็บอกเขาไปตรง ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะผิดศีลข้อไหน
       

572.
สวัสดีครับ......อาจารย์สนอง

กระผมมีปัญหาที่ข้องใจมานานแล้วอยากเรียนถามอาจารย์ว่า
กระผมมีความรู้สึกว่าตัวเองปรารถนาโพธิญาณมานานแล้ว สมัยเป็นเด็กๆ เวลาคุณครูถามว่าอยากเป็นอะไร กระผมก็มักตอบว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้า คุณครูก็บอกว่าพระพุทธเจ้ามีองค์เดียว กระทั่ง ปัจจุบันนี้ กระผมก็ยังคิดเช่น นั้น อยู่ตลอด ไม่ทราบว่ากระผมปรารถนามาแต่ อดีตชาติรึเปล่าทำไมถึงฝังใจ ส่วนตัวกระผมนั้นสนใจและศึกษาทางพุทธศาสนามาโดยตลอด หากว่า ข้าพเจ้า ได้ เป็นพระโพธิสัตว์จริง จะต้องปฏิบัติตัวเช่นไร จึงจะ เป็น ผลดี ที่สุด ขอ ความกรุณาอาจารย์ช่วยคลายข้อสงสัยของกระผมด้วย

กราบขอบคุณอาจารย์มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

คำตอบ
    การตั้งความปรารถนาไว้ในใจ เพื่อให้บรรลุผลที่ตนต้องการ คือการอธิษฐานนั่นเอง ซึ่งเมื่อทำแล้วจะถูกเก็บสั่งสมเป็นความจำ (สัญญา) อยู่ในจิตวิญญาณจากอดีตอันยาวไกลเมื่อใดที่สติมีกำลังกล้าแข็งขึ้นจึงสามารถระลึกได้ถึงการอธิษฐาน และจะส่งผลให้บุคคลประพฤติถูกตรงตามแรงอธิษฐาน คือปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ต้องประพฤติตนเป็นผู้ให้สิ่งดีงามแก่มวลชนเป็นผู้ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก ประพฤติเป็นผู้สร้าง เป็นผู้ปฏิสังขรณ์ศาสนวัตถุ อุปถัมภ์ค้ำชูพระศาสนา ประพฤติชอบถูกตรงตามธรรมวินัย ฯลฯ ดังที่พญาลิไท พระนั่งเกล้าฯ ครูบาศรีวิชัย ฯลฯ ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
  

571.
เรียน อ.ดร.สนอง

เรื่องของเวรกรรม: ดิฉันมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเวรกรรมที่ได้ประสบว่าเป็นของใครกันแน่ เพราะดิฉันเป็นผู้กระทำและเป็นผู้ถูกกระทำในเวลาเดียวกัน

รายละเอียด
ดิฉันกับแฟนคบกันมานาน เค้าเป็นคนดี ดิฉันก็รักเค้ามาก แต่เนื่องจากดิฉันจะหึงและหวงเค้ามาก ทำให้เค้ารู้สึกอึดอัดใจหลายอย่าง เช่น ไม่ให้ออกไปสังคมกับเพื่อนฝูง ขู่ให้เค้ากลัว (เพราะกลัวเค้าจะทิ้งเราไป) ชอบดุตะคอกเค้าเวลาเค้าทำให้เราขัดใจ ทำให้เค้ารู้สึกว่าตัวเค้าเองไม่เป็นอิสระ สุดท้ายเค้าก็บอกเลิก เค้าบอกว่าเค้าอยากอยู่คนเดียว ดิฉันก็ดีกับเค้าหลายอย่าง แต่เรื่องไม่ดีของดิฉันเค้าบอกเค้ารับไม่ได้ (ดิฉันทุกข์ใจมาก)

1. ดิฉันอยากเรียนถามว่าในกรณีที่ดิฉันถูกแฟนทิ้งไป โดยที่เราก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่ง กรรมที่ดิฉันได้รับนี้เป็นของชาติก่อนหรือปัจจุบันคะ และการที่เค้าทิ้งดิฉันไปถือว่าเค้าทำเวรกรรมกับดิฉันหรือไม่คะ

2. ถ้าเป็นผลกรรมของดิฉัน ดิฉันจะแก้ไขอย่างไรให้หมดเวรกรรมอันนี้ (ยอมเลิกกับเค้าโดยดี หรือ พยายามหาวิธีให้กลับมาคืนดีกันแล้วแก้ไขตัวเองใหม่)

3. ในกรณีนี้ดิฉันกับแฟนเราถือว่าเป็นคู่เวรคู่กรรมกันหรือยังคะ (ยังไม่ได้แต่งงานแต่เคยทดลองใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน)

ขอขอบพระคุณอาจารย์ดร.สนอง เป็นอย่างสูงคะ

คำตอบ
    (1) เมื่อรู้ตัวเองวาได้ทำเหตุให้สามีทอดทิ้งเมื่อใดกรรมให้ผล ผู้กระทำเหตุ ต้องได้รับผลของกรรมนั้นเหตุที่เกิดกับคุณเป็นเหตุที่ก่อขึ้นในชาติปัจจุบันด้วยตัวคุณเองสามีจึงต้องจากไปตามแรงของอกุศลกรรมผลักดัน ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับอิสิทาสี แต่รายนี้ได้ก่ออกุศลกรรมไว้ก่อนในอดีตชาติเมื่อเหตุปัจจัยลงตัวจึงได้แต่งงานถึงสามครั้ง และถูกสามีถึงสามคนปฏิเสธที่จะอยู่ร่วม

   (2) ปรับปรุงตัวเองจากการทุศีล ไร้ธรรม ให้กลับมาเป็นผู้มีศีล มีธรรมนั้นดีที่สุด ส่วนจะไปของให้สามีกลับคืนมาอยู่ร่วมใหม่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกตรงตามธรรม เขาจะกลับคืนมาก็ด้วยแรงของกุศลกรรมที่ทั้งสองได้ทำร่วมกันไว้เขาจะจากไปและไม่กลับคืนมาก็ด้วยแรงของกรรมที่บุคคลทั้งสองทำไว้ต่างกัน

   (3) เวรหมายถึงความปองร้ายกัน หรือความแก้เผ็ดคู่เวรหมายถึงคู่ที่ปองร้ายกันและกันหรือหมายถึงการแก้เผ็ดกันและกันส่วนคำว่ากรรมหมายถึงการกระทำ คู่กรรมหมายถึง คู่ที่ร่วมกระทำด้วยกัน

   ฉะนั้นคุณและคู่ทดลอง จึงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันแล้วเพราะเคยได้กระทำร่วมกันแล้ว กรรมให้ผลแล้วและทั้งสองต่างได้รับผลของกรรมแล้ว
  

570.
เรียนถามท่านอาจารย์สนอง

อยู่บ้านมักมีปัญหาเวลาแม่เรียกใช้งานมักหงุดหงิดเพราะแม่จะฟุ้งง่ายหน่อยน่ะค่ะ อะไรมานิดนึงจะปรุงแต่งไปไกล และเรียกให้คนนั้นคนนี้ทำโน่นทำนี่มากมาย หนูเลยไม่ค่อยศรัทธาแม่ทั้งที่ก็รักแม่ อยากให้แม่มีใจที่สบาย ขออาจารย์เมตตาตอบคำถาม

1. ระหว่างที่ก้มหน้าทำตามคำสั่งอยู่นั้นรู้สึกกดดัน เกิดความคิดว่า "ฉันคือคนโง่ที่ยอมทำตามคำสั่งคนอื่นอย่างไม่มีเหตุผล คนโง่เท่านั้นที่จะยอมทำได้ ถ้ายอมก็ต้องยอมกันไปทั้งชาติ ให้ลุกขึ้นบอกแม่ว่าแม่ไม่ควรใช้เราอย่างนี้" ความคิดนี้คือกิเลสมาหลอกใช่หรือไม่คะ

2. เป็นกรรมใช่หรือไม่ หนูอาจจะเคยทำแบบที่แม่กำลังทำกับหนูมาก่อน เลยโดนกรรมเล่นงาน

3. หนูกำลังตัดสินใจว่าจะยอมเป็นคนโง่ ทั้งเพื่อใช้กรรมและเพื่อสะสมขันติบารมี หนูตัดสินใจถูกต้องใช่หรือไม่คะ

4. ถ้าหนูอยากเปิดทางธรรมให้แม่ หนูควรใช้หลัก "สงบสยบเคลื่อนไหว" ใช่หรือไม่ หนูควรพูดให้แม่เข้าใจไหม หรือเงียบแล้วก้มหน้าก้มตาทำอย่างเดียวคะ

ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ ถ้ามีบุญพอขอให้ได้พบกับอาจารย์และได้สร้างกุศลกับอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
    (1) แม่สั่งให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมแล้วลูกไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ถือได้ว่าเป็นลูกที่ไม่ฉลาด ด้วยเหตุไม่ประพฤติจริยธรรมของลูกดีที่มีต่อแม่ ฉะนั้นหากต้องการเป็นคนดีเป็นลูกที่ดีมีความเจริญในชีวิตมีความเจริญในหน้าที่การงาน ลูกต้องประพฤติตามคำสั่งของแม่ยิ่งประพฤติได้ยาวนานตลอดชีวิตได้ยิ่งดีกับตัวลูกเอง

หากแม่สั่งให้ลูกทำในสิ่งไม่ดีคือผิดกฎหมาย ทุศีล ไร้ธรรมแล้วลูกไม่ปฏิบัติตามไม่ถือว่าไม่ฉลาด และไม่ผิดจริยธรรมของลูกที่ดีไม่ประพฤติแล้วยังโต้แย้งเถียงกับแม่อีกนั่นคือตัวกิเลสที่มีอยู่ในใจของลูกจึงไม่ควรทำให้กิเลสมีกำลังมาก ควรสงบปากสงบคำจะเป็นเรื่องดีและดีที่สุดต้องสงบใจให้ได้

   (2) กรรมคือการกระทำเมื่อบุคคลทำกรรมแล้วจะถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณเมื่อใดถึงวาระที่กรรมให้ผล ผู้สั่งสมกรรมย่อมต้องรับผลนั้น

   (3) คนฉลาดยอมรับความจริงไม่ปฏิเสธผลกรรมและยอมชดใช้หนี้เวรกรรม ที่ตนเองได้ทำไว้ก่อนแล้ว และไม่สร้างหนี้เวรกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นวิธีนี้พระพุทธะแนะนำให้ผู้หวังความเจริญในชีวิต นำไปปฏิบัติปฏิบัติได้แล้วเกิดเป็นผลดีตรงที่หนี้เวรกรรมจะได้จบสิ้นกันไปและยังเป็นการสร้างขันติบารมีสัจจบารมีให้เกิดขึ้นอีกด้วย

   (4) สงบได้เป็นสิ่งดี เมื่อมีพฤติกรรมสงบแล้วต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนดี ดีจนไม่มีที่ติ ดีจนแม่หันกลับมาศรัทธาในตัวลูกได้นั่นดีที่สุด เพราะเป็นการเปิดทางธรรมให้กับแม่ ดังตัวอย่างของโสเภณีสาวงามแห่งแคว้นวัชชีที่ชื่ออัมพปาลี มีความศรัทธาในตัวลูกชายที่ชื่อวิมลโกณฑัญญะองค์อรหันต์ ได้ฟังธรรมจากพระลูกชายจึงได้เลิกอาชีพที่คนดีรังเกียจ และออกบวชเป็นภิกษุณี ปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตตผลได้ในที่สุด  
   

569.
เรียนท่าน อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

พองยุบเห็นไม่ชัด
กระผมมีข้อขัดข้องในการปฏิบัติที่อยากจะกราบเรียนข้อส่งสัยจากท่าน
คือ เวลานั่ง กำหนดพองหนอ ยุบหนอ ไม่ค่อยเห็นชัดครับ พอได้สักพักก็งุบลืมกำหนดเผลอไป
จะมีวิธีแก้ไขอย่างไรดีครับ ผมเดินจงกรมและนั่งอย่างละเท่าๆกันแต่ติดขัดการนั่ง บางที่ได้ยินหลายคนนั่งแล้วมีอาการอย่างโน้น อย่างนี้
เห็นโน่น เห็นนี่ แต่ผมไม่เคยเห็นอะไรเลยครับ กำหนดไปสักพักก็งูบลืมกำหนดทุกที

ขอให้ อ.มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง...

คำตอบ
    นั่งภาวนาพองยุบแล้วไม่ค่อยเห็นอาการพองยุบได้ชัด นั่นเป็นเครื่องแสดงว่าสติยังมีกำลังไม่กล้าแข็ง วิธีแก้คือต้องหายใจเข้าให้ลึก แล้วค่อย ๆ ปล่อยลมออก วิธีนี้เป็นการสร้างอิริยาบถพอง-ยุบของผนังหน้าท้องให้ใหญ่ขึ้น สติจึงตามระลึกได้ถูก ต้องปฏิบัติซ้ำบ่อย ๆ จนจิตมีกำลังของสติกล้าแข็งได้เมื่อใดแล้ว การระลึกรู้อาการพอง-ยุบ การไม่เห็นอะไรเลยเป็นสิ่งดี ทำให้ไม่ต้องเสียเวลากับการกำจัดสิ่งที่ถูกเห็นให้หมดไปและการไม่เห็นอะไรเลยนั้นหากปฏิบัติได้ถูกทาง สามารถเข้าถึงมรรคผลของการปฏิบัติได้ เข้าถึงอรหัตผลได้เหมือนกัน

   ส่วนการนั่งกรรมฐานแล้วลืมกำหนด นั่นแสดงว่าจิตขาดสติได้เกิดขึ้นกับผู้นั่งปฏิบัติ แก้ไขด้วยการสร้างอิริยาบถใหญ่อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้
      

568.
รบกวนเรียนถามท่านอาจารย์สนองครับ

1. ถ้าหากเราเคยอาฆาตแค้นผู้ที่เคยทำไม่ดีต่อเรา โดยการใช้คำพูดในทางสาบแช่ง ปัจจุบันรู้สึกผิดไม่ทราบว่าจะแก้ไขได้อย่างไรครับ เนื่องจากกลัวบาปที่เขาตกต่ำลงอย่างที่เราเคยว่าไว้

2. เนื่องจากเทคโนโลยีในปัจจุบันที่พัฒนามากขึ้น แต่คนเรากลับใช้ในทางไม่ถูกต้องเช่น อินเตอร์เนต ที่มีการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์พูดคุยกับคนอื่นๆและสามารถเห็นหน้าตาของคู่สนทนาได้ (ชื่อโปรแกรม Camfrog) ซึ่งจะมีการอวดรูปร่างของตนเอง โชว์ของสงวนต่างๆ ผ่านกล้องที่ติดตั้งที่คอมพิวเตอร์ของตนเอง ทำให้คนที่เข้าไปดูมีอารมณ์ร่วมเกิดอารมณ์ทางเพศ อย่างนี้คนที่โชว์และคนที่ดูจะมีบาปและได้รับบาปกรรมอย่างไรครับ และถ้าเราได้เข้าไปดูแล้วจะเป็นการผูกกรรมกับคนๆนั้นหรือไม่ครับ

ด้วยความเคารพและขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
    (1) ความคิดอาฆาตแค้นเป็นอกุศลมโนกรรมการพูดสาปแช่งเป็นอกุศลวจีกรรม ผู้ใดประพฤติแล้วถือได้ว่าเป็นการสร้างทางสู่การเกิดเป็นสัตว์ในภพนรก เมื่อเห็นว่าผิดแล้วประสงค์จะแก้ไขต้องไปกล่าววาจายกเลิกต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นพระรัตนตรัย แล้วต้องประพฤติกุศลกรรมบท 10ให้มีอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น

   (2) คนที่โชว์และคนที่ดูมีจิตเป็นทาสของกามราคะ ถือได้ว่าประพฤติอกุศลกรรมร่วมกันเมื่อเหตุปัจจัยลงตัวและได้ประพฤติผิดทางกายร่วมกัน ตายแล้วมีภพนรกเป็นที่หมาย
   

567.
เรียนอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง
ดิฉันขอเรียนถามปัญหา 2 ข้อค่ะ

1. น้องชายทำอัตวินิบาต ทางบ้านเคยทำพิธีเชิญวิญญาณ ซึ่งผู้ทำพิธีแจ้งว่า ไปเกิดแล้ว แต่อ่านคำตอบของคนอื่นเทียบเคียงแล้ว น้องชายยังเป็นสัมภเวสี ใช่ไหมค่ะ

2. น้องชายมีทรัพย์สินพอสมควร ดิฉันจะทำอย่างไรเขาถึงจะได้บุญใหญ่ที่พอจะทำให้บาปที่เกิดจากการกระทำของเขา หรือบุญใหญ่ที่นำหน้าบาปที่เขาทำได้ จะใช้ทรัพย์สินของเขาร่วมสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม หรือใช้เงินของดิฉันทำให้เขาในชื่อของเขา หรือดิฉัน หรือคุณแม่ นั่งวิปัสสนาแล้วแผ่อุทิศส่วนกุศลให้เขา และตอนนี้เขายังอยู่รับบุญกุศล หรือลงอบายเพื่อรับกรรมแล้วค่ะ    อาจารย์ชี้แนะให้ด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณและร่วมอนุโมทนาปัญญาทานที่อาจารย์ให้แก่มวลมนุษย์ผู้ใฝ่ธรรม
อนันยา

คำตอบ
    (1) มิได้เป็นสัมภเวสีแต่ไปเกิดแล้วเป็นสัตว์อยู่ในภพนรก

   (2) สัตว์นรกเสวยอกุศลวิบากที่เป็นความทุกข์ล้วน ๆ ไม่มีโอกาสมาอนุโมทนาบุญที่มีผู้อุทิศส่งไปให้ได้ เขาเป็นครูสอนใจให้ผู้อยู่หลังอย่าประพฤติเช่นเขา เพราะเมื่อประพฤติแล้วเป็นการปิดโอกาสทำความดีอีกยาวนาน จนกว่าจะพ้นจากทุคติภพ
   

566.
เรียน อ.ดร.สนอง วรอุไร

ดิฉันอยากรบกวนถามเกี่ยวกับแนวความคิดเรื่องของการพ้นจากความทุกข์ที่ได้ประสบดังนี้คะ

ดิฉันคบกับแฟนมาประมาณ 6 ปี มีแผนว่าจะแต่งงานกันปลายปีนี้ ดิฉันรักเค้ามากและจะยึดติดกับเค้าตลอด คิดเสมอว่าอยากอยู่กับเค้าจนแก่จนเฒ่า แต่อยู่ๆแฟนก็ได้หนีไปอยู่ต่างประเทศ และบอกว่าอยู่กับดิฉันไม่ได้แล้ว เหตุเป็นเพราะดิฉันเป็นคนเจ้าอารมรมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นจากเค้า ทำให้เค้าเก็บกดและทนดิฉันไม่ไหวแล้วได้หนีไป

ดิฉันยอมรับว่าดิฉันเป็นเช่นนั้นจริง และพยายามขอกลับมาคืนดีแต่ไม่เป็นผล

พี่เขยจึงแนะทางพระพุทธศาสนาว่าให้มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลกนี้ ไม่มีใครอยู่กับใครได้ตลอดชีวิต และให้ดิฉันยอมรับสภาพว่าตอนนี้ได้เลิกกับเค้าแล้ว แต่ในใจยังรับสภาพไม่ได้ เพราะไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง (ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเค้าจะทำอย่างนี้) แต่เรา 2 คนจากกันโดยไม่ได้โกรธกัน

ช่วงนี้พยายามนั่งสมาธิและสวดมนต์ (คาถาชินบัญชร) บางวันสามารถนั่งได้จนจิตมันว่างและมีความสุขมาก แต่บางวันนั่งเท่าไหร่ก็ไม่เกิดสมาธิ เพราะมีเรื่องของเค้าเข้ามาในจิตใจ จิตใจมันก็แว๊บคิดถึงแต่เค้า และเสียใจที่เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ เสียดายที่ต้องจากเค้าไป (เค้าเป็นคนดี) และรู้สึกเหงาเมื่อต้องอยู่คนเดียว

จึงอยากรบกวนขอแนวความคิดที่จะทำให้ดิฉันพ้นทุกข์ และไม่ยึดติดกับเค้า ดิฉันอยากมีชีวิตที่อยู่ได้อย่างมีความสุข (พยายามใช้หลักอริยสัจ 4 แต่ไม่เข้าใจหลักการของนิโรธ มรรค)

ป.ล.บางครั้งที่พี่เขยให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยใช้หลักพระพุทธศาสนา ดิฉันจะเข้าใจที่พี่เขยพูด และทำได้อยู่ระยะหนึ่ง แต่ทำไมความรู้สึกเข้าใจ ถึงไม่ได้อยู่กับดิฉันตลอดคะ อารมณ์ยังขึ้นๆลงอยู่

ขอขอบพระคุณคะ

คำตอบ
    สิ่งที่พี่เขยแนะนำ แล้วยังเกิดอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ นั่นแสดงว่า ความศรัทธาในคำแนะนำยังไม่เต็มร้อย สติยังมีกำลังอ่อน ต้องปรับแก้ไขสองเหตุนี้ให้ได้ แล้วอารมณ์ทุกข์เกี่ยวกับเรื่องนี้จะหมดไป

   ส่วนการพิจารณาจิตให้พ้นไปจากความทุกข์ และไม่ยึดติดกับเขาคนนั้น คุณต้องไปพิจารณาดูซากศพเพศชาย ที่นอนขึ้นอืดบวมพองมีสีเขียวคล้ำมีกลิ่นเหม็นเน่าเหม็นเขียวมีน้ำเหลืองไหลออกทางปากทางจมูกทางรูหู มีหนอนไต่ยั้วเยี้ยดูจนเห็นสัจจธรรมของร่างกายว่าแท้จริงประกอบขึ้นด้วยสิ่งปฏิกูลที่มีหนังห่อหุ้มปิดบังไว้ เมื่อเห็นแจ้งชัดดังนี้ จิตจะหลุดเป็นอิสระจากราคะตัณหา แล้วความทุกข์จากการเห็นผิดในเรื่องดังกล่าวจะหมดไป

   เรื่องลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาล ที่พระพุทธโคดมได้นำสงฆ์สาวกไปดูศพขึ้นอืดมีกลิ่นเหม็นมีสีเขียวคล้ำของอดีตสาวงามสิริมา จนพระสงฆ์ที่เคยมีจิตเป็นทาสของราคะมีจิตหลุดเป็นอิสระหลังจากที่ได้เห็นความจริงแท้ของร่างกายของสาวงามที่ตัวเองหลงรักจนไม่เป็นอันได้ปฏิบัติธรรม แล้วกลับมาสู่การพัฒนาจิตได้เป็นปรกติ
      

565.
กราบเท้าท่านอาจารย์ ดร.สนองที่เคารพยิ่ง
ผมขออนุญาตเรียนถามท่านดังนี้ครับ

1. การถือศีลแปดนั้นต้องทำตัวอย่างไรครับ? เพราะผมก็ยังทำงานอยู่ คงต้องแต่งตัวทำงานปกติ มันรู้สึกว่าขัดกับข้อ มาลาคันธะ วิเลปานะฯ. เพราะของที่ใช้ก็ยังสวยงามอยู่ครับ
แต่ผมก็พยายามเลี่ยงใส่อะไรที่เรียบร้อยที่สุด อย่างนี้ถือว่าผิดศีลหรือไม่ครับ?

2. ขณะถือศีล หากเดินทางจุดที่เขาเปิดเพลงเสียงดัง ถ้าเรากำหนดรู้ทันแบบนี้ถือว่าศีลไม่ขาด ผมเข้าใจถูกหรือไม่ครับ?

3. ผมถือศีลแปด ในวันพระ ทำมาได้หลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งที่ทำ กลางคืนก็จะรู้สึกหิวแต่ก็กำหนดหิวหนอ ในเช้าวันรุ่งขึ้น ผมมักพบว่าถ่ายอุจจาระเป็นสีดำปนเขียว
ผมเกรงว่าทำต่อไปจะทำให้ร่างกายเจ็บป่วย ขอรบกวนท่านอาจารย์แนะนำด้วยครับ

ผมซาบซึ้งในบุญคุณของอาจารย์มากครับ

ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
    (1) ถือศีล 8 ในวันที่ไม่ต้องออกไปทำงานจะได้ไม่ประพฤติผิดศีลข้อ “ มาลาคนฺธ วิเลปนฯ ” ส่วนวันไหนที่ต้องออกไปทำงานถือศีล 5 ข้อน่าจะพอแล้ว หากทำได้ตลอดชีวิตจะมีโอกาสไม่ต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์ในทุคติภพ

หากยังต้องสวมใส่เครื่องประดับตกต่าง เช่น สวมแหวนเรียบๆ สวมนาฬิการาคาถูกแต่บอกเวลาได้ถูกตรง สวมเชือกห้อยเพราะไว้ที่คอ ฯลฯ ยังถือว่าประพฤติผิดศีล 8 ได้

   (2) หากรู้ทันแล้วจิตไม่เอาเสียงเพลง เข้ามาปรุงแต่งจิตให้เกิดเป็นอารมณ์อย่างนี้ถือว่าศีล 8 ไม่บกพร่อง

   (3) ถือศีล 8 แล้วรู้สึกหิวในตอนกลางคืนความรู้สึกหิวเป็นทุกขเวทนาเป็นบาป ที่เกิดจากการประพฤติไม่เหมาะกับร่างกาย ฉะนั้นเดินสายกลางดีที่สุด


  

564.
เรียนถามท่านอาจารย์สนองค่ะ

   1. ปัจจุบันปฏิบัติธรรมและรู้สึกว่ากิเลสเบาบางลงเรื่อยๆ สังเกตตนเองเป็นคนชอบแผ่เมตตาและอุทิศบุญที่เกิดทั้งจากทาน ศีล และภาวนา อุทิศไปทั่วทุกภพทุกภูมิ และมักระลึกหลังจากอุทิศบุญกุศลไปแล้วว่าขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่พรั่งพร้อมไปด้วยกำลังกาย กำลังวาจา กำลังใจ กำลังสติปัญญา และกำลังทรัพย์ โดยไม่มีประมาณ ขอให้ข้าพเจ้าได้เกื้อกูลดูแลพ่อแม่ให้ท่านได้ถึงมรรคผลในชาตินี้ ขอให้ได้ดูแลพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ให้มีความสุขกายสุขใจตราบจนสิ้นชีวิตไป และให้ได้ใช้กำลังทุกชนิดทั้งหมดที่มีเพื่อเกื้อกูลชาวโลกและชาวสังสารวัฏทั้งในทางโลกและทางธรรมได้ตามปรารถนาทุกประการจนกว่าตนเองจะสิ้นชาติขาดภพไป ขณะที่ระลึกอธิษฐานนั้นจิตใจเป็นเช่นนั้นจริงๆ อาจารย์กรุณาแนะนำด้วยค่ะว่าเป็นการอธิษฐานที่ดีพอหรือยัง หรือควรแก้ไขตรงจุดใดค่ะ รวมทั้งจะส่งเสริมกำลังทุกชนิดให้ได้ทีละมากๆอย่างไรบ้างคะ โปรดชี้ทางค่ะ

คำตอบ
   
อธิษฐานหมายถึงความตั้งจิตปรารถนาในสิ่งเป็นกุศล บุคคลสามารถตั้งจิตอธิษฐานได้ เมื่ออธิษฐานแล้วต้องประพฤติเหตุให้ถูกตรงกับคำอธิษฐาน ผลสัมฤทธิ์จึงจะเกิดขึ้นได้ตัวอย่างเช่น พระพากุละ อธิษฐานไม่อาพาธ เพียงอย่างเดียวยังต้องใช้เวลาสร้างเหตุให้ถูกตรง ยาวนานถึง 4 พุทธันดร คือ นับแต่พระอโนมทัสสี พระปทุมตตระ พระวิปัสสี พระกัสสปะ และมาสัมฤทธิ์ผลได้อาพาธได้ในสมัยของพระพุทธโคดม ฉะนั้นการอธิษฐานเพื่อให้เกิดผลสำเร็จสมความปรารถนาในหลายด้านสามารถทำไม่เมื่อผู้อธิษฐานไม่มีเวลาเป็นเครื่องจำกัด

   ที่ถามไปว่าการอธิษฐานนั้นดีพอหรือยัง ต้องตอบด้วยคำถามที่ว่า ดีพอสำหรับใคร ซึ่งแต่ละคนมีปรารถนาไม่เหมือนกันและมีไม่เท่ากัน จึงไม่อาจนำมาเทียบกันได้

   ปรารถนามีกำลังกายโดยไม่มีประมาณ ต้องรักษาศีลข้อแรกไว้ให้ได้ทุกภพชาติ แล้วให้อาหารหลากหลายเป็นทานบารมีธรรมดา เป็นทานอุปบารมี เป็นทานปรมัตถบารมีแก่สรรพสัตว์โดยไม่มีประมาณ เมื่อเหตุปัจจัยลงตัวแล้ว ความปรารถนามีกำลังกายโดยไม่มีประมาณจึงจะเกิดขึ้นได้

   ปรารถนามีกำลังวาจาโดยไม่มีประมาณต้องบำเพ็ญศีลขั้นศีลบารมีธรรมดา ขั้นศีลอุปบารมี ขั้นศีลปรมัตถบารมี บำเพ็ญสัจจขั้นสัจจบารมีธรรมดา สัจจอุปบารมี สัจจะปรมัตถบารมี เมื่อเหตุปัจจัยลงตัวแล้วความปรารถนามีกำลังวาจาโดยไม่มีประมาณจะเกิดขึ้นได้

   ปรารถนากำลังใจโดยไม่มีประมาณ ต้องบำเพ็ญพละ 5 คือมีศรัทธาเต็มร้อย บำเพ็ญวิริยาขั้นวิริยบารมีธรรมดา วิริยอุปบารมี วิริยปรมัตถบารมีและต้องบำเพ็ญสติจนเป็นมหาสติ ระลึกได้ทุกลมหายใจเข้าระลึกได้ทุกลมหายใจเข้า-ออก บำเพ็ญสมาธิให้จิตมีความตั้งมั่น ได้จนถึงระดับสมาบัติ 9 (รูปฌาน 4 + อรูปฌาน 4 + นิโรธสมาบัติ) และสุดท้ายบำเพ็ญขั้นปัญญาบารมีธรรมดา ปัญญาอุปบารมีปัญญาปรมัตถบารมี เมื่อกำลัง 5 อย่างนี้มีเหตุปัจจัยลงตัวแล้วผู้ประพฤติจะมีกำลังใจได้ไม่มีประมาณ

   ปรารถนามีกำลังทรัพย์โดยไม่มีประมาณ ต้องให้ทรัพย์เป็นทานขั้นทานบารมีธรรมดา ทานอุปบารมี ทานปรมัตถบารมี เมื่อเหตุปัจจัยลงตัวการมีทรัพย์โดยไม่มีประมาณจึงจะเกิดขึ้นได้

   ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเป็นมนุษย์สมบัติที่สามารถนำมาใช้ได้เท่าที่ยังมีรูปนามอยู่ในภพมนุษย์เป็นทรัพย์กำพร้าตายแล้วนำติดตัวไปเกิดใหม่ไม่ได้ ผู้รู้จึงปฏิเสธโลกิยสมบัติ (มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ) แล้วแสวงหานิพพานสมบัตินั้นประเสริฐสุด เพราะกำจัดความหลงอันมีต้นเหตุมาจากอวิชชาลงเสียได้

   2. มีเรื่องยังแก้ไม่สำเร็จ เวลาได้พบกับบุคคลที่เคารพ เช่นครูบาอาจารย์ ใจเลื่อมใสท่านและสอบถามธรรมจากท่านเสมอ แต่บางครั้งจิตแว่บไปคิดเรื่องลามกกับท่าน ซึ่งพอรู้ทันมันหายไปทันทีและขอขมาครูอาจารย์ทันทีในใจ แต่มันยังเกิดอยู่ เกิดจากกรรมเก่าใช่หรือไม่คะ มีความคิดว่าจะไปกราบขอขมาต่อหน้าพระพุทธรูปว่าหากเคยคิดล่วงเกินครูบาอาจารย์ไว้ ณ เมื่อใดก็ตาม ก็ขอขมาลาโทษ ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ เช่นนี้อาจารย์มีข้อแนะนำเพิ่มเติอย่างไรคะ ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ

หนูชอบมากเวลาอาจารย์สอนให้คนใช้ขันติธรรมในการแก้ปัญหาที่กำลังประสบอยู่
ขออนุโมทนากับท่านอาจารย์และขอให้ได้ร่วมทำบุญใหญ่กับอาจารย์ในกาลอันใกล้นี้ค่ะ

คำตอบ
    หากไปขอขมากับผู้ที่ถูกล่วงเกินได้และเขายกโทษให้ จะเกิดเป็นความมั่นใจได้มากกว่า หากขอขมาโดยตรงไม่ได้ ต้องขอขมาทางอ้อมด้วยการกล่าววาจาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นพระพุทธรูป พระธาตุเจดีย์ พระธรรมเจดีย์ฯลฯ อ้างเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นหลักฐานการสารภาพผิดและตั้งความปรารถนาว่าจะไม่ทำผิดกับครูบาอาจารย์อีกต่อไป แล้วต้องสร้างเหตุให้ถูกตรงด้วยการทำจิตให้มีสติ มีศีล 5 มีสัจจะ คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น
     

563.
กราบสวัสดีค่ะ..ท่าน ดร.สนอง ที่เคารพ

   จากการถามและท่านตอบปัญหาธรรมะ รวมทั้งได้อ่านหนังสือธรรมะของท่าน ทำให้ดิฉันสามารถทราบถึงปัญหาและทางแก้ไขที่ทำให้ดิฉันนั่งสมาธินิ่งได้ยากไม่เหมือนเมื่อก่อน จนปัจจุบันดิฉันได้ปฏิบัติตามที่ท่านชี้แนะ สังเกตได้ว่าดิฉันสามารถนั่งสมาธินิ่งได้เร็วขึ้น (ท่านสอนแก้ได้ถูกจุดมาก) ถึงแม้ดิฉันยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปกราบท่านด้วยตนเอง แต่ดิฉันก็คิดเสมอว่าดิฉันขอนับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ เนื่องจากสมัยก่อนดิฉันได้รับการสอนธรรมะจากหลวงปู่มหาปราโมทย์ (วัดป่านิโครธาราม) แต่ปัจจุบันท่านละสังขารไปแล้ว ดิฉัน จึงไม่ทราบจะถามธรรมะจากท่านไหนได้ วันนี้ ดิฉันมีคำถามเพิ่มเติมจากที่ท่านได้สอนไว้

   1) เราจะทราบได้อย่างไรว่าสมาธิของเราเข้าไปในขั้น อุปจารสมาธิ มีอะไรเป็นสัญญาณบอกหรือไม่ และตามที่ท่านสอนว่าสมาธิที่จะนำไปเจริญวิปัสสนาได้ต้องเป็นสมาธิระดับกลาง (อุปจารสมาธิ) เราสามารถนำสมาธินั้นไปเจริญ สติปัฏฐานสี่ ได้นั้น นำไปใช้อย่างไรค่ะ ขอท่านกรุณาอธิบายและยกตัวอย่างให้ละเอียดขึ้นอีกสักนิด

คำตอบ
   สมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิต สมาธิจะเกิดขึ้นได้ต้องพัฒนาสติให้เกิดขึ้นได้ก่อน จิตที่ตั้งอยู่ในความดีงามคืออย่างน้อยมีศีล 5 คุมใจอยู่ทุกขณะตื่นเมื่อนำจิตมาพัฒนาแล้วจะเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่ายและยิ่งมีกุศลกรรมบท 10 คุมใจ จะทำให้จิตเข้าเป็นสมาธิไดง่ายยิ่งขึ้น ความตั้งมั่นของจิตระดับต้น (ขณิกสมาธิ) มีปีติเป็นเครื่องบ่งบอก เช่นอาการขนลุกตั้งชัน น้ำตาไหล คันตามแขนตามหน้าเหมือนมีแมลงตัวเล็ก ๆ ไต่ รู้สึกแปลบ ๆตัวฟูตัวเบา โยกเยกวุบคล้ายตกจากหน้าผา ฯลฯ เมื่อจิตมีความตั้งมั่นสูงยิ่งขึ้นเป็นอุปจารสมาธิอาการดังกล่าวจะหายไปแต่ปรากฏมีผัสสะเกิดขึ้นสิ่งที่ส่งเข้ากระทบจิตเป็นผัสสะ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกายเกี่ยวกับเวทนาเกี่ยวกับจิตปรุงอารมณ์ หรือเกี่ยวกับธรรมโดยเฉพาะนิวรณ์ธรรม (ความพอใจในกามคุณ คิดร้ายผู้อื่น ความหดหู่ซึมเซา ความฟุ้งซ่านรำคาญและความลังเลสงสัย) ต้องตามดูผัสสะเหล่านี้ด้วยจิตที่มีความตั้งมั่นว่า ผัสสะที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อใดที่ผัสสะเข้าสู่ความเป็นอนัตตา จิตจะเห็นแจ้งในสิ่งที่เข้ากระทบจิต ว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนคือไม่มีตัวตนแท้จริง จิตจะปล่อยวางแล้วเกิดความอิสระ หากตามดูจนเห็นแจ้งได้อย่างนี้ในทุกผัสสะแล้วมีอุเบกขารมณ์เกิดขึ้น นี่เป็นวิธีนำสติในระดับอุปจารสมาธิไปพิจารณาสิ่งทั้งหลาย (กาย เวทนา จิต ธรรม) ให้รู้เห็นเท่าทันตามที่เป็นจริงได้แล้ว จิตจะไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย ที่ทำให้เห็นผิดเห็นเพี้ยนไปจากความเป็นจริงตามอำนาจของกิเลสบงการ

   2) เวลาของการนั่งสมาธิ มีเวลาที่ถูกกำหนดหรือไม่ เพราะเคยมีคนสอนว่าอย่านั่งสมาธิเกิน 2 ทุ่ม และถ้าจะนั่งตอนเช้าให้นั่งเมื่อพระอาทิตย์เริ่มขึ้นแล้ว เนื่องจากถ้านั่งสมาธิเกินสองทุ่ม หรือดึกมาก ๆ เทพเทวดาที่เขาจะอนุโมทนาจะไม่อยู่แต่จะเป็นพวกสัมภเวสีอยู่แทน ดิฉัน ก็สงสัยว่าทำไมต้องจำกัดเวลา สมัยหลวงปู่มั่นท่านนั่งสมาธิท่านก็ยังนั่งหลังเที่ยงคืนได้ ( หรือยกเว้นเฉพาะพระ ) คำสอนนี้เชื่อได้หรือไม่ ขอคำสอนที่ถูกต้องด้วยค่ะ

คำตอบ
    คนที่สอนว่าอย่านั่งสมาธิเกินสองทุ่มนั้นเป็นความเห็นถูกเฉพาะตัวของเขาไม่ใช่เป็นความเห็นถูกตามธรรมคนที่มีความเห็นถูกตามธรรมเห็นว่า “ การทำความดีไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ” ขณะใดมีความพร้อมสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกเมื่อ และทำไมยังต้องเลือกให้ทาน (อุทิศบุญ) ให้เฉพาะเทวดาไม่ให้แก่สัมภเวสี ผู้ใดมีเมตตาไม่ประมาณสามารถอุทิศบุญกุศล ให้กับสรรพสัตว์ที่สามารถมาอนุโมทนาบุญได้ ทั่วสังสารวัฏ

   3) จากที่ท่านสอนเรื่องการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ปัจจุบัน แฟนดิฉันเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (คุณหมอเรียกแบบนี้) นานๆ หลายเดือน จึงจะเกิดอาการ ดิฉัน ได้ใช้วิธีหลังจากสวดมนต์นั่งสมาธิ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เขาต้องเจ็บป่วยด้วยโรค ดังกล่าว แล้วดิฉันก็บอกกับแฟนทุกครั้งหลังอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของเขา ว่าอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของเขาแล้วนะ เขาก็จะบอกอนุโมทนา ดิฉัน ก็บอกเขาว่าหลังจากอนุโมทนาแล้วขอให้เขาทำจิตให้นิ่งแล้วระลึกถึงเจ้ากรรมนายเวรของเขาว่ากุศลที่ดิฉันทำให้ขอให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับ ขอให้เจ้ากรรมนายเวรมีความสุข พ้นจากความทุกข์ พ้นจากความทรมาน หากต้องไปเกิดขอให้ไปเกิดในที่ที่ดี พบพระพุทธศาสนามีสัมมาทิฐิ แล้วขอให้อโหสิกรรมให้เขาด้วย ( วิธีนี้ ดิฉันเลี่ยงที่จะไม่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับตัวแฟน เนื่องจากท่านดร.สนอง สอนว่าถ้าให้ผู้ที่เจ็บป่วยแล้วเขาอาการดีขึ้น เจ้ากรรมนายเวรจะโกรธเรา แล้วเราจะได้รับบาปจากการอาฆาตของเจ้ากรรมนายเวรนั้นด้วย) วิธีนี้ดิฉันทำถูกต้องแล้วหรือไม่ เพราะดิฉันสงสัยว่าทำไมจากที่อาการหัวใจเต้นผิดจังหวะนานหลาย ๆ เดือน จะเป็นสักครั้ง แต่ปัจจุบัน เป็นอาทิตย์ละครั้ง ( จากที่ดิฉัน หาคำตอบเองจึงคิดไปว่า วิธีอาจจะถูก แต่เนื่องจากที่เกิดอาการถี่ขึ้นเนื่องจากเจ้ากรรมนายเวรของเขา เตือนว่าให้ส่งกุศลให้อีกเยอะ ๆ หรือไม่ ) ที่ดิฉัน คิดเช่นนี้เพราะไปเปรียบเทียบกับ เจ้าหนี้ ตามทวงหนี้ หากลูกหนี้ไม่มีเงินจะใช้หนี้ มาทวงก็เสียเปล่า พอตอนนี้ลูกหนี้เริ่มมีเงิน
ก็รีบ ๆ เร่งทวงหนี้ (เจ้ากรรมนายเวรของเขา ดิฉัน คิดว่าเป็น "กบ" เนื่องจากดิฉันสอบถามเขาว่าตั้งแต่เด็กเกิดมาพอจะจำได้ไหมว่าไปทำร้ายสัตว์อะไรไว้บ้าง เขาบอกว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัย มีการทดลองผ่ากบเป็นๆ แล้วเมื่อเขาผ่ากบ เขาก็เอาอะไรสักอย่างไปจี้ๆ ตรงหัวใจกบ ) ดิฉัน จึงมีความมั่นใจมากว่าเจ้ากรรมนายเวรในชาตินี้เกี่ยวกับโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ต้องเป็นกบแน่นอน ดิฉัน จึงคิดเพิ่มเติมนอกเหนือจากอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร (กบ) แล้ว ดิฉันจะชวนให้เขาไปปล่อยชีวิตสัตว์ โดยจะไปซื้อกบที่จะถูกฆ่าไปปล่อยอีกด้วย

ดิฉัน ไม่มั่นใจในการแก้ปัญหาและตอบปัญหา ของตนเอง จึงขอให้ท่านช่วยวิเคราะห์ชี้ถึงสาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไขที่ถูกต้องด้วยค่ะ
ขอกราบขอบพระคุณที่ท่านสละเวลาตอบปัญหา...
ด้วยความเคารพอย่างสูง ขอให้ท่านมีบุญบารมีสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป สุขภาพแข็งแรง

คำตอบ
    จิตของผู้ใดระลึกได้ถึงการเบียดเบียน ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเป็นความเจ็บป่วย แสดงว่าเขาผู้นั้นมีบุญจึงถูกเจ้าหนี้เวรกรรมตามทวงใช้หนี้ ผู้ที่เจ็บป่วยหากมีศรัทธาในปัญญาของผู้รู้และมีความไม่ประมาทในชีวิตของตนเองควรสร้างบุญใหญ่ให้เกิดมีขึ้นกับตัวเอง แล้วอุทิศบุญที่ตนมีใช้หนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เขาตามมาทันบุญใหญ่สุดที่บุคคลสามารถทำได้คือบุญที่เกิดจากการปฏิบัติจิตตภาวนา บุญประเภทนี้มีพลังอำนาจมากสามารถส่งผลผลักดันผู้มีบุญให้เข้าถึงพระนิพพานได้ ดังนั้นผู้มีเชื้อของนิพพานสมบัติอยู่ในจิตวิญญาณเมื่อส่งอุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเมื่อเขามาอนุโมทนาบุญเขาจะได้รับอานิสงส์ของบุญมาก แล้วการใช้หนี้เวรกรรมที่เคยผูกกันไว้จะจบลงได้ง่าย ซึ่งผู้รู้และมีความไม่ประมาทในชีวิตเขานิยมประพฤติปฏิบัติกัน จึงได้นำเสนอมาให้พิจารณาตามกำลังสติปัญญาของผู้อ่านซึ่งจะบริหารจัดการแก้ไขปัญหาแบบนี้อย่างใดเป็นเรื่องที่ต้องกระทำด้วยตัวเอง
  

562.
สวัสดีค่ะ......อาจารย์สนอง

หนูรบกวนถามอาจารย์เรื่องบทสวดมนต์ก่อนนอนค่ะ ไม่ทราบว่าจะต้องประกอบ
ด้วยอะไรบ้าง และหนูต้องสวดบทไหนบ้างค่ะ อยากทำให้จิตใจสงบก่อนนอนและ
อยากอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ผู้อื่นด้วยค่ะ

กราบขอบคุณอาจารย์มา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ

คำตอบ
   การสวดมนต์ก่อนนอน ถือได้ว่าเป็นการเจริญสติก่อนนอน จิตที่มีสติกำกับทำให้นอนหลับสนิทและไม่ฝัน พื้นฐานที่ควรประพฤติบ่อย ๆ ก็คือทำจิตให้มีสติและตั้งมั่นอยู่ในไตรสรณคมน์ด้วยการสวดมนต์ทบอิติปิโส ภควา .... ฯ สวดมนต์บทสวากขาโต ............., สุปฏิปันโน.........จนจบบทสวด ในบทสวดมนต์ไตรสรณคมน์เป็นการระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า คุณความดีของพระธรรม และคุณความดีของพระสงฆ์ ให้เอาความดีเหล่านั้นมาสถิตอยู่ในใจ เอามาเป็นที่พึ่งให้กับตัวเอง ผู้ใดปฏิบัติได้เป็นกิจวัตร ชีวิตนี้จะประสบกับความสวัสดี รุ่งเรือง ปราศจากภัยอันตรายมีสุขภาพดีและมีอายุยืนยาว

   หากมีเวลาและมีศรัทธาควรสวดมนต์บทอื่น เช่น เมตตปริตรเพื่อแผ่เมตตาให้กับรุกขเทวา สวดมนต์บทขันธปริตร เพื่อแผ่เมตตาให้กับพญานาคจะได้พ้นภัยจากสัตว์มีพิษทั้งหลายขบกัด สวดมนต์บทโมรปริตร เพื่อคุ้มครองตนให้พ้นจากภัยที่จะเกิดขึ้นให้ห้วงเวลากลางวันและในห้วงเวลากลางคืน และสุดท้ายสวดมนต์บทอาฏานาฏิยปริตรเพื่ออ้างเอาคุณความดีของพระพุทธเจ้า 7 องค์ (พระวิปัสสี พระสิฐี พระเวสสภุ พระกกุสันธะ พระโกนาคมน์ พระกัสสปะ พระโคดม) มาคุ้มครองให้เกิดเป็นความสวัสดีแก่ชีวิตตนเอง

   นอกจากนี้ยังมีบทสวดมนต์อื่น ๆ ซึ่งสวดแล้วให้อานิสงส์แตกต่างกันเช่น บทสวดโพชฌงค์ สวดเพื่อให้พ้นจากอาพาธ บทสวดวัฏฏกปริตร สวดเพื่อให้พ้นจากอัคคีภัย บทสวดอังคุลิมาลปริตร สวดเพื่อให้คลอดบุตรง่าย ฯลฯ
  

561.
สวัสดีครับอาจารย์สนอง

ผมอยากทราบว่าการ"นอน"ฟังซีดีธรรมมะนี้เป็นบาปหรือไม่ครับ

คำตอบ
    หากฟังแล้วมีสติจดจ่ออยู่กับธรรมะที่ฟัง ไม่เป็นบาป จะยืนฟัง นั่งฟัง นอนฟังก็สามารถทำได้
  

560.
กราบเท้าท่านอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง

"หลง" หรือ "ศรัทธา"
   หลังจากที่ได้อ่าน "ทางสายเอก" ทุกครั้งที่มีเวลา หนูจะฟังบรรยายของท่านอาจารย์ หรือไม่ก็อ่านหนังสือ หรือไม่ก็ฝึกปฏิบัติทำจิตให้นิ่งตามที่ท่านอาจารย์สอน หนูทำอย่างนี้ทุกวันไม่มีเว้น ทำเพราะใจอยากจะทำ ณ.วันนี้หนูรู้สึกอยากบวชมากเลยค่ะ หนูคิดว่าถ้าเกิดมาเป็นผู้ชายหนูคงลาออกจากงานแล้วไปบวชเป็นพระเพื่อมอบชีวิตนี้ให้กับพระศาสนา แต่ความเป็นจริงหนูเป็นหญิง และมีครอบครัว มีลูก 1 คน ซึ่งครอบครัวหนูค่อนข้างอบอุ่นมาก

หนูจะพูดคุยเรื่องธรรมะกับลูก กับสามี กับพ่อแม่ ทุกครั้งที่มีโอกาสที่เหมาะสมที่คิดว่าเขามีใจที่จะฟังและคุยกับเราในเรื่องนี้ในเวลานั้น (เพราะหนูอยากให้ทุกคนในครอบครัวได้พบสิ่งอันประเสริฐนี้เช่นกัน โดยเฉพาะพ่อแม่ซึ่งท่านก็อายุมากแล้ว) และหนูก็ได้รับการตอบรับที่ดี เวลาที่หนูสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ ลูกสาวหนูจะเข้าใจ ไม่มารบกวน หนูพยายามฝึกสติทุกวัน ตามที่อาจารย์เปรียบเทียบเหมือนตักน้ำใส่โอ่งวันละนิดละหน่อย หนูไม่เคยต้องฝืนใจทำ หนูกลับมาถามตัวเองว่า "ทำไมถึงได้มุ่งมั่นขนาดนี้" หนูรู้สึกว่าหนูเคารพและศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ทุกครั้งที่สวดมนต์หนูระลึกถึงพระคุณของพระองค์ ทุกครั้งที่หลับตาทำสมาธิจะมีภาพของท่านอยู่ในใจ เหมือนกับว่าเรากำลังปฏิบัติตามท่านอยู่ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและดีมาก ซึ่งสามารถทำให้ใจของหนูนิ่งอยู่ตรงนั้นได้ ไม่ทราบว่าหนูไปถูกหรือผิดทางคะ

นอกจากนี้หนูก็รู้สึกว่าหนูถึงศรัทธาท่านอาจารย์สนองมากเช่นกัน หนูฟังบรรยายของท่านอาจารย์แทบทุกวัน ยิ่งฟังก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น (หนูอยากฝึกกรรมฐานกับท่านอาจารย์มากเลยค่ะ) เพื่อนหนูบอกว่าหนูไปมากแล้ว !! ทำให้หนูรู้สึกเหมือนว่าเพื่อนต้องการจะบอกว่าหนูกำลัง "หลง" แต่หนูค่อนข้างมั่นใจว่านี่คือ "ศรัทธา" ที่ทำให้หนูมุ่งมั่นศึกษาและปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้

หนูจึงเรียนมาเพื่อขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างว่าสิ่งที่หนูปฏิบัตินี้ถูกต้องหรือไม่ และควรแก้ไขปรับปรุงอย่างไรค่ะ

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
    จีรภา

คำตอบ
    ผู้ใดนำพาชีวิตไปในแนวทางที่ถูกต้องชอบธรรม ประพฤติแล้วไปเกิดปัญหากับชีวิต มีชีวิตอยู่อย่างรู้เท่าทันและไม่เกิดทุกข์ ปลดชีวิตให้เป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุได้ ฯลฯ อย่างนี้ ผู้รู้จริงไม่เรียกว่าหลงทางชีวิต

   เรื่องความศรัทธาเลื่อมใสในผู้ตอบปัญหาเป็นสิ่งดีแต่ศรัทธาเลื่อมใสในธรรมะของพระพุทธะนั้นดีที่สุด แต่ต้องปรับกำลังของศรัทธาให้ใกล้เคียงกับกำลังของปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้วจะไม่ทำให้เกิดเป็นความโลภ แต่จะเป็นศรัทธาที่ยังยืนและเกิดเป็นคุณกับผู้มีศรัทธา
  

559.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง

   ผมมีเรื่องอยากปรึกษาท่านครับ เป็นเรื่องสำคัญมาก กล่าวคือ ในขณะสวดมนต์เมื่อจิตนิ่งจะเห็นตัวอักษรเป็นบทสวดต่างๆ เป็นภาษาบาลี สันกฤต ซึ่งสามารถจดจำโดยคัดลอกออกมาเป็นตัวอักษรทั้งหมด หรือบางครั้งขณะสวดมนต์สามารถที่จะจดบทสวดมนต์อื่นๆ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน รวมทั้งบทกลอน อีกด้วย ผมขอทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดครับ (ยกตัวอย่างบทกลอน "พระเนตรพระกรรณ งามดั่งทองคำอร่ามแล เนื้องามดั่งทองนพคุณ มิ่งมิตรโสภาพรรณราย ทั่วหล้าแซ่ซ้องกู่ก้องปฐพี หมู่มวลสรรพสิทธิ์ จรรโลงสิ้นทุกดินแดน เย็นเอยเย็นนที ขอมอบแด่น้องพี่สิ้นทุกดวงฤทัย" ยกตัวอย่างบทสวด "เย ธัมมา สังฆานุวันโป โลโขสุขโต โลโกมุโท โขสุโข" แปล "สุขอื่นใดไม่เท่าสุขที่ใจ" ) และยังมีบทสวดอีกมากมายครับ ที่จดไว้ไม่หมด เยอะจริงๆครับ

   ขอรบกวนท่านอาจารย์ช่วยกรุณาตอบขอสงสัยด้วย และขออนุโมทนาในบุญกุศลที่ท่านมีจิตเมตตา
       ขอบคุณครับ

คำตอบ
    สวดมนต์แล้วจิตนิ่งมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ สัญญาเก่าที่ถูกเก็บไว้เป็นความทรงจำในดวงจิต สามารถถูกระลึกได้ด้วยกำลังของสติที่มีมากขึ้น บทสวดมนต์หรือบทกลอนจึงมีโอกาสเกิดขึ้นให้จิตสัมผัสได้
  

558.
กราบเรียน อาจารย์สนองที่เคารพ

1.เป็นคนที่มีสัญญาหรือความทรงจำที่ไม่ดีฝังลึกอยู่ในจิตของเรามาก ควรจะแก้ไขได้อย่างไร พอนึกขึ้นมาได้ทำให้เป็นทุกข์ทุกทีจนบางทีถึงกับอยากตาย แต่ได้มาเจอเว็ปกัลยาณธรรมและได้ฟังธรรมบรรยายของอาจารย์ก็เลิกความคิดเหล่านั้น ตรงกันข้ามกลับได้เห็นคุณค่าของการเกิดเป็นมนุษย์มากขึ้น แต่สัญญาที่ไม่ดีเหล่านั้นยังมีทำให้เกิดความแค้นกับคนรอบข้างอยู่ตลอด ขอความกรุณาอาจารย์ชี้แนะด้วย

คำตอบ
    วิธีกำจัดความทรงจำที่ไม่ดีให้หมดไปทำได้โดย พัฒนาจิตให้เกิดสติและปัญญาเห็นแจ้งแล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งตามดูความทรงจำไม่ดีที่เกิดขึ้น จนกระทั่งเห็นว่าดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์นี่เป็นวิธีแห่งพุทธะ ที่แนะนำให้กำจัดขยะเก่าที่ฝังแน่นอยู่ในจิตวิญญาณให้หมดไป เมื่อไม่มีโปรแกรมติดลบแบบนี้อยู่ในจิต ต้องทำจิตให้ผ่องใสด้วยการเอาสิ่งดีคือธรรม เติมจิตให้เต็มและรักษาสิ่งดีให้คงอยู่กับใจตลอดไป

2.ทุกวันนี้พยายามฟังธรรมบรรยายสวดมนต์ก่อนนอนและพยายามปฏิบัติสมาธิอยู่ที่บ้าน แต่เวลานั่งสมาธิเกิดความกลัวผี(เป็นคนขี้กลัวมาก)ขึ้นมาเราจะแก้ไขความกลัวอย่างไร และโดยส่วนตัวมีความคิดว่าการปฏิบัติเองโดยไม่มีอาจารย์สอนกลัวว่าจะเสียสติและมีมิจฉาฐิทิ เพราะเคยหลงทางมาแล้วจะไปปฏิบัติที่วัดก็ไม่สะดวกเพราะเป็นผู้หญิงทางบ้านเป็นห่วง เกิดมาเป็นผู้หญิงนี่มันมีกรรมมากกว่าผู้ชายไช่ไหมคะ

คำตอบ
    วิธีแก้ปัญหาเรื่องกลัวผีต้องเข้าให้ถึงความจริงเรื่องผี แล้วจะไม่กลัวผีอีกต่อไป ไปอ่านหนังสือเรื่อง “ ทางสายเอก ” ของผู้ตอบปัญหาแล้วประพฤติให้ได้ตามที่บอกไว้แล้วคุณจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ปฏิเสธมีผีเป็นเพื่อน

กรรมคือการกระทำจะบอกว่าชายหรือหญิงใครมีกรรมมากกว่าคงบอกไม่ได้ เพราะทั้งสองเพศมีการเวียนตาย-เวียนเกิดในภพต่าง ๆ เป็นอนันต์ แต่ที่แน่ชัดคือการปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมขั้นสูงสุดเพศหญิงต้องมีข้อปฏิบัติที่มากกว่าเพศชาย


3.จิตอ่อนกับสติอ่อนเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และมีคนบอกว่าถ้าจิตอ่อนไม่ควรไปร่วมงานศพ เพราะจะรับสิ่งไม่ดีเข้ามาจริงหรือไม่คะ ทุกวันนี้ถ้าจะไปงานศพที่บ้านจะเป็นห่วงมาก เพราะกลัวว่าไปแล้วกลับมาจะไม่สบาย มันเกี่ยวกันหรือไม่คะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์สนองด้วยความศรัทธา

คำตอบ
    จิตอ่อนคือจิตที่มีกำลังสติอ่อน มีกำลังปัญญาเห็นถูกตามธรรมอ่อนมีพลังบุญอ่อนมีพลังของบารมีอ่อน

จิตทีมีกำลังสติอ่อนจะอยู่ในสถานที่ใด แม้ไปได้เข้าร่วมในงานศพ ก็สามารถรับเอาสิ่งกระทบทั้งดีและไม่ดีเข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ทำให้จิตหวั่นไหวได้ ครั้งใดรับเอาสิ่งกระทบไม่ดีมาปรุงเป็นอารมณ์ไม่ดี จิตมีกิเลสเข้าสั่งสม จิตเศร้าหมองเป็นบาป เมื่อใดอกุศลกรรมให้ผลจึงมีโอกาสไม่สบายได้
 

557.
เรียนดร.สนองที่เคารพ

     ดิฉันปฏิบัติธรรมแนวพองหนอ ยุบหนอ มีความก้าวหน้าพอใช้ แต่ตอนนี้กำลังเผชิญกับการนินทาใส่ร้ายป้ายสีอย่างหนัก เดินไปที่ไหนมีแต่คนหัวเราะเยาะ ไม่น่าเชื่อว่า คนสมัยนี้จะขาดปัญญาพิจารณาอย่างมาก เรื่องไม่เป็นเรื่องก็อุตส่าเชื่อกัน คิดว่าเป็นเรื่องของกรรมเวร แต่เมื่อเกิดเหตุครั้งใดก็จะมีเพื่อนคอยช่วยเหลือ พอข่าวนี้ซา ข่าวใหม่ก็มา เป็นอยู่อย่างนี้ จนดิฉันบอกกับเพื่อนว่า ไม่ต้องแล้วล่ะ ปล่อยไปตามกฏแห่งกรรม

     ดร.สนองเคยเจอการนินทาใส่ร้ายป้ายสีบ้างไหมคะ ดิฉันอ่านประวัติพระอาจารย์หลายรูปก็เจอแบบนี้ แต่ท่านก็ผ่านไปได้ เวลานี้ดิฉันก็เดือดร้อนใจน้อยลงมาก ไม่รู้ว่าชินหรือการปฏิบัติก้าวหน้า ทั้งยังคิดตามคำสอนท่านด้วยว่า เป็นเรื่องของเขา ทำตัวเป็นหูกะทะ แต่ทีนี้มันเบื่อเหลือเกิน เมื่อไรจะสิ้นสุดสักที บางครั้งก็กลัวอันตราย เพราะคนกลุ่มนี้กินเหล้าเมายา ร้องเพลงเปิดเพลงเสียงดัง (ปัจจุบันต้องเลิกเพราะกลัวเพื่อนดิฉัน) มีแต่มิจฉาทิฐิครอบงำ ตัวหัวหน้าเหมือนจะเคยประกอบอาชีพทุจริตอีกต่างหาก ล้อชื่อพ่อแม่บ้าง แกล้งเอาขยะ เอาขี้หมามาวางหน้าบ้านบ้าง ปัจจุบันโกรธเป็นบางครั้งแต่ค่อนข้างเบาบาง เวลานั่งกรรมฐานแล้วความเกลียดมันพุ่งขึ้นมาเลย ตอนปกติจิตจะวางเฉยมาก ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ

     ขอขอบพระคุณท่านดร.สนองที่กรุณาตอบคำถามและขออนุโมทนาสาธุกับบุญกุศลที่ท่านได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ขอให้ท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

คำตอบ
    ใครผู้ใดถูกพูดนินทา ถูกกลั่นแกล้ง แล้วเกิดอารมณ์หวั่นไหว เกิดอารมณ์เบื่อหน่าย นั่นแสดงถึงจิตที่มีกำลังของสติอ่อนและมีปัญญาเห็นผิดไปรับเอาสิ่งกระทบที่ขัดใจมาปรุงเป็นอารมณ์แล้วยึดเอาอารมณ์ไม่ดีมาเป็นของตัวเอง หากคุณเลื่อมใสศรัทธาในธรรมของพระพุทธะ ว่าธรรมะเป็นสิ่งมีจริง ดีจริงและแก้ปัญหาได้สิ้นสุด คุณต้องเชื่อในผู้รู้ว่า คนที่พูดนินทาคน ที่กลั่นแกล้งคุณเขาเป็นเหมือนครูที่มีบุญคุณทำให้คุณได้สร้างขันติบารมี คุณต้องให้อภัยให้ได้ทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น แล้วเมตตาจะถูกสร้างและสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของคุณได้จากนั้นจึงฝึกจิตให้มีกำลังสติเพิ่มมากขึ้นแล้วจะเห็นว่า คุณเป็นหนึ่งในผู้มีโชคดีไม่ต้องโคจรไปหาครูในที่ห่างไกลเพราะมีครูอยู่ใกล้ตัวนั่นเอง

การนินทาให้ร้ายเป็นเรื่องของโลกธรรมมีเกิดขึ้นเป็นปกติกับผู้ตอบปัญหา แต่จิตไม่หวั่นไหวด้วยเหตุมีสติสัมปชัญญะคุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น
  

556.
เรียนอาจารย์ที่เคารพ

1. เรียนมาเยอะก็จนปัญญา เวลาที่ชาวไร่ชาวสวนมีปัญหามาถามก็ต้องแนะนำให้พ่นสารเคมีกำจัดโรค-แมลงอยู่บ่อยๆ ซึ่งก็คือยาพิษดีๆนี่เอง ขอความกรุณาชี้แนวทางด้วยค่ะ

2. มีหลานอยู่ชั้น ม.ต้น เวลาเช้าพ่อแม่ต้องเคี่ยวเข็ญกว่าจะขยับได้แต่ละอย่าง ตื่นมาก็รำกระบี่กระบองเล่น เข้าห้องน้ำก็ไปหลับในห้องน้ำ ไปโรงเรียนแทบจะไม่ทัน มีธรรมะข้อไหนช่วยได้บ้างคะ

คำตอบ
    (1) ความรู้ทางโลกคือตัวปัญญาไอคิว สามารถเขาถึงเหตุและผลได้จริงแต่ปัญญาตัวนี้มิได้คำนึงถึงศีลธรรม การใช้ปัญญาไอคิวมาแก้ปัญหาจึงสามารถแก้ได้ แต่เกิดโทษตามมาภายหลังด้วยเหตุนี้ผู้ที่เกรงกลัวบาป จึงควรพัฒนาปัญญาสูงสุด (ญาณ) ซึ่งเข้าถึงความจริงแท้ ความจริงที่อยู่บนพื้นฐานของศีลธรรม เมื่อนำมาใช้แก้ปัญหาแล้วไม่เป็นโทษกับผู้ใช้

   (2) ต้องฝึกจิตก่อนนอน คือให้สวดมนต์ แล้วปฏิบัติจิตตภาวนา ด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าว่า “ พุธ ” กำหนดลมหายใจออกว่า “ โธ ” ประมาณ 15 นาทีก่อนนอนทุกวันแล้วปัญหาที่บอกเล่าไปก็จะถูกแก้ไขได้
   

555.
กราบสวัสดีค่ะ...ท่านดร.สนอง ที่เคารพ

1) ในเรื่องการใส่บาตรพระตอนเช้า ดิฉันต้องรีบออกไปทำงานแต่เช้ามืด จึงไม่สามารถรอพระเดินรับบาตรได้ แต่ดิฉันเตรียมทำอาหารไว้ให้พร้อมแล้วฝากให้คุณแม่ไปใส่บาตรแทน อย่างนี้ดิฉันทำได้หรือไม่ , บาปหรือไม่ที่ฝากคุณแม่ทำ , และบุญกุศลที่คุณแม่กับดิฉันได้รับแตกต่างกันอย่างไร , และถ้าหากดิฉันไม่ได้ใส่บาตรทุกวันแต่อาจจะใส่ช่วงวันหยุด เดือนละ 2-4 ครั้ง แต่เลือกไปใส่บาตรกับพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะดีกว่าไหมเพราะคิดว่าถึงแม้จะไม่ได้ใส่ทุกวันแต่ถ้าเลือกไปใส่บาตรด้วยตนเองและพาคุณแม่ไปด้วย โดยใส่บาตรทำบุญกับพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็จะได้กุศลมากกว่าที่จะใส่บาตรทุกวันกับพระที่ไม่ปฏิบัติ

คำตอบ
    เมื่อมีเหตุจำเป็นให้คนอื่นนำอาหารไปใส่บาตรแทนสามารถทำได้ การปรุงอาหารสำหรับนำไปใส่บาตรพระเป็นบุญ การใช้ให้แม่ใส่บาตรแทนเป็นบาป ฉะนั้นงานนี้ได้ทั้งบุญและบาป แต่ได้บุญมากกว่าบาปถ้าแม่เอ่ยปากว่า “ หากลูกไม่มีเวลา ให้เตรียมอาหารไว้แล้วแม่จะนำไปใส่บาตรให้ ” อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นบาป

   ส่วนที่ว่าแม่หรือลูกใครจะได้บุญมากกว่า ขึ้นอยู่กับสภาวะจิตของผู้กระทำคือมีความศรัทธาก่อนทำบุญ ขณะปรุงอาหารหรือนำอาหารใส่ลงในบาตรมีความตั้งใจ และหลังจากใส่บาตรแล้วเกิดเป็นความอิ่มใจทั้ง 3 ปัจจัยนี้ใครมีมากกว่าคนนั้นได้บุญมากกว่า

  ทำบุญกับพระที่มีคุณธรรมสูง เช่นพระสุปฏิปันโน พระที่ประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัย ย่อมได้บุญมากกว่าพระสงฆ์ที่มีความประพฤติตรงข้าม
   
2) ในเรื่องของการให้ทาน ดิฉันเข้าใจว่าไม่ว่าจะให้ขอทานหรือช่วยเหลือคนที่ยากจนเดือดร้อนก็เป็นการให้ทานเช่นกัน ดิฉันคิดถูกหรือไม่ อย่างเช่น ดิฉันเอาเงินให้ทานคนที่นั่งขอทานอยู่ตามริมฟุตบาท ตามสะพานลอย ซึ่งดิฉันก็ไม่อาจทราบได้ว่าเขาลำบากเป็นขอทานจริง หรือถูกพวกแก๊งค์บังคับให้มาขอทาน แต่ทั้งนี้การที่เขามานั่งตากแดดตากลมขอทานหรือถูกบังคับมาก็ย่อมต้องได้รับความลำบากทุกข์ทรมาน เมื่อดิฉันให้ทานไปอย่างนี้ดิฉันได้บุญได้บาปแตกต่างกันอย่างไรค่ะ และการที่ดิฉันให้ทานบางครั้งก็เป็นตัวเงิน แต่ขอทานที่รับไม่พอใจในจำนวนเงิน หรือบางครั้งดิฉันก็ให้ทานเป็นอาหาร แต่ขอทานที่รับไม่พอใจอยากได้เงินมากกว่าอาหาร อย่างนี้ดิฉันจะได้บุญหรือบาปค่ะ

คำตอบ
     การให้สิ่งของเป็นทานกับผู้เดือดร้อนต้องการ ถือว่าเป็นทานทานชนิดไหนจะให้อานิสงส์มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับชนิดของทานขึ้นอยู่กับผู้ให้ทานและผู้รับทานให้แล้วไม่หวังผลตอบแทน ได้บุญมากกว่าให้แล้วหวังผล หากผู้รับมีคุณธรรมสูงอานิสงส์ของทานย่อมมีมาก หากผู้รับทานมีคุณธรรมต่ำอานิสงส์เกิดน้อย หากผู้ให้ทานเป็นต้นเหตุทำให้ผู้รับทานเกิดกิเลสเพิ่มมากขึ้น ผู้ให้ทานต้องรับอานิสงส์บาปนั้นด้วย

3) ดิฉันขอถามปัญหาธรรมะ ว่า ในการปฏิบัติขั้นกลางคือการนั่งสมาธิ ดิฉันปฏิบัติโดยนั่งสมาธิแล้วระลึกรู้อยู่กับคำภาวนา เช่น พุธโธๆๆๆ... ไม่ส่งจิตออกนอกกายเพียงอย่างเดียวไปตลอดเวลา ทำแบบนี้จะทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้สูงขึ้นเรื่อย ๆ หรือไม่ ปฏิบัติอย่างนี้ในทุกครั้งที่นั่งถูกต้องไหม และการที่บางครั้งเมื่ออยู่กับพุธโธ นาน ๆ จนนิ่งเป็นสมาธิ จะต้องให้นิ่งถึงแค่ไหนจึงจะพิจารณากายได้ ( ยังแยกไม่ออกระหว่างสมถะ กับ วิปัสสนา) หรือเป็นปัจจัตตังที่เมื่อปฏิบัติแล้วเมื่อถึงเวลาของแต่ละบุคคล บุคคลนั้นก็จะหาคำตอบได้เอง

คำตอบ
    การภาวนาที่ได้ผลคือมีจิตระลึกรู้อยู่กับลมหายใจเข้าและระลึกรู้อยู่กับลมหายใจออกตลอดเวลาที่ปฏิบัติ สมาธิย่อมเกิดขึ้นแน่นอน สมาธิที่จะนำไปเจริญวิปัสสนาได้ต้องเป็นสมาธิระดับกลาง (อุปจารสมาธิ) นำสมาธิระดับนี้ไปเจริญสติปัฏฐาน 4 แล้ววิปัสสนาญาณสามารถเกิดขึ้นได้

   ผลที่เกิดจากการปฏิบัติสมถภาวนา คือจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิส่วนผลที่เกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา คือจิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะต่าง ๆ ที่เข้ากระทบจิตแล้วดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ ลักษณะทั้งสองอย่างนี้ จะรู้เห็นเข้าใจ (สนฺทิฏฐิโก) ด้วยจิตของผู้เข้าถึงมรรคผลแห่งการปฏิบัติด้วยตนเอง


4) การสวดมนต์ บทสำคัญๆ ก่อนนั่งสมาธิ กับไม่สวดมนต์ แล้วนั่งสมาธิอย่างเดียวทุกวัน จะทำได้หรือไม่ มีผลแตกต่างกันอย่างไร

ขอขอบพระคุณท่านดร.สนอง ที่เสียสละเวลามาตอบปัญหาค่ะ ....ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    สามารถทำได้ หากจิตของผู้ไม่สวดมนต์มีกำลังของสติมากพอแต่ถ้ากำลังของสติยังมีไม่มาก ควรสวดมนต์เพื่อสร้างสติให้มีกำลังได้ก่อน แล้วจึงปฏิบัติจิตตภาวนาภายหลัง
     

554.
กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

1.อยากทราบวิธีปฏิบัติเวลาเดินสวนกับพระสงฆ์ค่ะ
ถ้าดิฉันหยุดแล้วพนมมือขึ้นตรงหว่างคิ้วอย่างนี้ ปฏิบัติถูกมั้ยคะ ต้องย่อหรือคุกเข่าหรือเปล่า

2.อยากทราบกรรมที่ทำให้รูปร่างหน้าตาสวยงามว่าใช่เพียงการรักษาศีลอย่างเดียวหรือไม่คะ
หรือต้องอาศัยทำบุญด้วยดอกไม้ของหอม แล้วเหตุใดรูปงามในปัจจุบันจึงมีโอกาสผิดศีลข้อ 3 ได้ง่าย เพราะหน้าตาดี มีคนมาชอบมากมาย ทำให้หลงในรูปจนหลงผิดไปในเรื่องอื่นๆด้วย

กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ
Winnie

คำตอบ
    (1) ประพฤติดีแล้วหากจะให้งามและมีสถานที่อำนวยต้องนั่งพับเพียบและพนมมือไหว้ที่ระดับอก แล้วกล่าวคำว่า “ นมัสการเจ้าค่ะ ”

   (2) งามภายนอกคืองามทางร่างกายต้องเสริมสวยเป็นความงามทางโลก ที่เนื่องด้วยกาลเวลาและเป็นความงามที่ไม่คงทนดังเช่น ภิกษุณีอรหันต์ที่ชื่ออัมพปาลี ได้รำพึงถึงร่างกายตัวเองในวัยชราว่า “ ผมที่เคยดำสนิทเหมือนสีของปีกแมลงภู่ บัดนี้ความแก่ทำให้ผมเหล่านั้นมีสีเหมือนเปลือกต้นปอและมีกลิ่นเหม็นสาบเหมือนขนแกะ ฟังที่เคยแลดูเรียบเหมือนผลกล้วยอ่อน กลับมาหักหลุดล่วงและมีสีเหลือง นิ้วที่เคยงดงามแต่ความชราทำให้บิดงอเหมือนหัวมัน ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ผู้เห็นแจ้งในสัจจธรรมจึงแต่งใจตนเองให้งามด้วยการมีศีลคุมใจได้แล้วจะงามข้ามภพข้ามชาติได้

   การเอาดอกไม้ของหอมมาประดับผมเป็นการเพิ่มราคะให้กับตนเองและผู้ได้รับสัมผัส หากเมื่อใดจิตขาดสติกำกับโอกาสละเมิดศีลข้อ 3 ย่อมเกิดขึ้นได้ หรือหากทำบุญด้วยดอกไม้ของหอม เมื่อกรรมแสดงผลจะออกมาในรูปของการชื่นชมยินดีจากคนที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ด้วย
  

553.

เรียน ท่านอาจารย์ สนอง

ดิฉันได้อ่านหนังสือของอาจารย์ และติดตามงานของอาจารย์บ้างจากคำบอกเล่าของพี่ชายได้ฝึกวิปัสสนามานานพอควร แต่ไม่ต่อเนื่อง ทำ ๆ หยุด ๆแต่ได้ฝึกเจริญสติในการใช้ชีวิตประจำวันมากกว่าการนั่งสมาธิ เดินจงกรม และก็ไม่เคร่งครัดกับตัวเองมากนัก

ดิฉันขอถามคำถามอาจารย์ 2 ข้อนะคะ

1. ภาวะที่ความคิดภายในทุกอย่างหยุดนิ่ง เงียบสงัดและเงียบสนิทจริง ๆ (ภายใน) เกิดขึ้นระหว่างทำสมาธินั้น คืออะไร ดิฉันมีประสบการณ์นี้ 1 ครั้ง มีความสุขมากจริง ๆ ค่ะ

2. เมื่อวานนี้ ขณะที่เพิ่งเอนกายลงนอน และปิดตาลง แต่ยังไม่หลับ จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าแขนสองข้างหายไป
ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเอนกาย และแขนไม่ได้ชาหรือถูกทับ เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณ 2-3 นาที แรกๆ ก็ตกใจ แต่ก็ไม่ลืมตา สักพักมันก็จะหายไปเอง ก่อนที่จะนอนหลับไป แต่ระหว่างที่รู้สึกแขนหายไป ยังไม่หลับแน่นอน เพราะยังได้ยินเสียงทีวีชัดเจนค่ะ ไม่ทราบว่าคืออะไรคะ

รบกวนขอความเมตตาอาจารย์ช่วยตอบข้อสงสัยด้วยค่ะ

ขอบพระคุณอย่างสูง

คำตอบ
    (1) สภาวะที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว (เงียบสงัด) จะเกิดขึ้นกับจิตของผู้เข้าถึงความตั้งมั่นสูงสุดระดับหนึ่ง ที่ให้ผลเป็นฌานสุขที่มีความละเอียดประณีตเป็นความสุขที่คนรู้ไม่จริงเช่น ฤาษีต่างต้องการและแสวงหา

   (2) นั่นเป็นเรื่องของจิตที่มีความตั้งมั่น ระดับที่ทำให้เกิดสติระลึกได้ในกาย (กายคตาสติ) แล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าอวัยวะที่ถูกสมมติเรียกว่าแขนหายไป (อนัตตา) ตามกฎของไตรลักษณ์ ควรเจริญกรรมฐานในแนวนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งเห็นชัดในกายว่า ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ที่แท้จริงแล้วปัญญาเห็นถูกตามความเป็นจริงเกี่ยวกับร่างกายจะเกิดขึ้น จิตจะปล่อยวางร่างกายแล้วว่างเป็นอุเบกขาแล้วมรรคผลแห่งความเห็นแจ้งจะเกิดขึ้นเด่นชัด
 

552.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง

หนูมีเรื่องรบกวนปรึกษา ขอคำชี้แนะจากอาจารย์คะ หนูอ่านหนังสือมาแล้วเเต่ก็ยัง ไม่เข้าใจคะ

1. ตามหนังสือที่หนูอ่าน เขาบอกว่า เมื่อตายเเล้วคนเราต้องไปเกิด ทันที หมายความว่ายังไงคะ อย่างเช่น น้องชายหนูเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อ 25 สิงหา 50 ที่ผ่านมานี้ ถ้าเป็นแบบที่หนังสือบอก น้องของหนูก็ต้องไปเกิดเเล้ว และถ้าเป็นแบบนั้น การที่หนูทำบุญ อุทิศส่วนกุศล ไปให้ น้องหนูจะได้รับเหรอคะ รบกวนอาจารย์อธิบายบอกหนูเป็นธรรมทานด้วยน่ะคะ

คำตอบ
    การตายมี 2 ลักษณะ เมื่อครบอายุขัยแล้วตาย จิตออกจากร่างเดิมแล้วจะไปเข้าอยู่อาศัยในร่างใหม่ทันที ดังตัวอย่างของสิริมาโสดาบันตายเมื่อถึงอายุขัยแล้วไปปฏิสนธิในร่างของนางฟ้าโสดาบันในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวตีทันที วัสสการพราหมณ์นักปราชญ์แห่งกรุงราชคฤห์ตายแล้วไปปฏิสนธิในร่างใหม่เป็นลิงทันที ฯลฯ

   การตายในลักษณะที่สอง คือ ตายก่อนครบอายุขัย เช่นถูกรถยนต์ชนตายจมน้ำตาย ฉีดยาตัวเองแล้วตาย ฯลฯ เหล่านี้จะยังไม่ไปเกิดในภพใด ๆ แต่จะอยู่ในรูปนามเดิมที่เป็นทิพย์มีลักษณะเหมือนก่อนตายทุกประการ ใครที่เคยรู้จักเมื่อพบเห็นสัมภเวสีนี้ก็จำได้ ต้องเสวยวิบากในรูปของสัมภเวสีนี้จนครบอายุขัย แล้วจึงจะไปเกิดในร่างใหม่ภพใหม่ได้

ในขณะเสวยวิบากเป็นสัมภเวสีญาติมิตรอุทิศบุญกุศลให้ได้ และเมื่อสัมภเวสีมาอนุโมทนาบุญความสมปรารถนาในการอุทิศบุญก็จะเกิดขึ้น
  

2. สัมภเวสี คืออะไรคะ การเป็นสัมภเวสีจะทำอย่างไรให้หลุดพ้นคะ หนูเคยสงสัยมากๆๆๆ ว่า ตายแล้วไปไหน คนตายจะใช้เวลาของพวกเขาไปที่ไหน อย่างไร มีผู้รู้บางท่านบอกหนูว่า น้องชายหนูตอนนี้เป็นสัมภเวสี อยู่ เพราะว่า เขาตายทั้งๆที่อายุขัย เขายังไม่หมด หนูก็เลย งง มากๆคะ ว่า ถ้าอายุขัยไม่หมด แล้วทำไมตายได้คะ

คำตอบ
    สิ่งที่ผู้รู้บอกกล่าวนั้นถูกแล้ว เหตุเพราะมีอุปฆาตกรรมให้ผลตัดรอน จึงต้องตายก่อนครบอายุขัย หากคำตอบนี้ยังไม่ทำให้ผู้ถามหายสงสัย ผู้ถามต้องเข้าให้ถึงประสบการณ์ตรงด้วยตัวเอง พัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นฌานจนช่ำชอง แล้วลองไปนั่งเข้าฌานตรงจุดที่เกิดอุบัติเหตุด้วยตนเอง โอกาสพบกับน้องชายในร่างของสัมภเวสีมีความเป็นจริงได้

3. การกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศล ถ้าเรากรวดให้กับหลายๆคน หลายๆท่าน ทุกๆคนที่เรากรวดให้ เขาจะได้บุญเท่าๆกันมั้ยคะ หรือว่า ต้องไปแบ่งบุญกัน ใครเเข็งเเรงกว่าก้ได้ไป เป็นแบบนั้นรึเปล่าคะ
   หนูใคร่ขอรบกวนอาจารย์กรุณาตอบหนูด้วยนะคะ
     ขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
    ได้บุญไม่เท่ากันตามระดับของคุณธรรมที่มีอยู่ในจิตวิญญาณของผู้มาอนุโมทนาบุญซึ่งมีคุณธรรมสั่งสมไว้ในดวงจิตไม่เท่ากัน เปรียบเทียบได้กับการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดของพระพุทธะ เช่นพระนางเขมา ฆราวาสพาหิยะ พระสุกกา ฯลฯ บรรลุอรหัตผลก่อนบวชโสปากะ ทัพพะ อุตตมา ฯลฯ บรรลุอรหัตผลเมื่ออายุได้ 7 ขวบ พระอานนท์บวชอยู่นานถึง 44 ปี จึงได้บรรลุอรหัตผล เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะมีคุณธรรมสั่งสมมากไม่เท่ากัน
  

551.
เรียนอาจารย์สนองด้วยความเคารพ

   ดิฉันได้อ่านหนังสือทางสายเอกจบในรวดเดียว และเป็นจุดที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในใจ และได้ตระหนักถึงการดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่ ชีวิตครอบครัวแต่งงานได้ 4 ปี มีลูกสาวหนึ่งคน เป็นครอบครัวเดี่ยว สภาพความสัมพันธ์กับสามีกระท่อนกระท่อน สาเหตุเนื่องจาก สามีชอบดื่มเหล้า ชอบงานสังสรรค์ มากกว่าชอบอยู่บ้านเพื่อช่วยกันเลี้ยงลูก และด้วยเหตุที่ทำงานทั้งสองคน ต้องเดินทางเสมอ ดิฉันเป็นฝ่ายเสียสละ ไม่ไปร่วมการประชุมที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ไปงานสังสรรค์ต่างๆ กิน-ดื่มซึงมีแทบทุกวัน
    ด้วยเหตุที่ไม่ชอบอยู่แล้วและอยากอยู่บ้านเลี้ยงลูก สามีมีข้อเสียด้านการพูด บางครั้งเมาก็จะพูดจาตำหนิ บางครั้งดิฉันทนไม่ได้ตอบกลับไป ก็จะโดนด่ากลับคืนด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบ แต่ดิฉันไม่โกรธ เนื่องจากคิดได้ว่าตัวเองก็ว่าเค้าเหมือนกัน ครั้งหนึ่งดิฉันสุดทนเพราะ อดนอน เหนื่อยกับการงานและเลี้ยงลูก ประกอบกับป่วยเลยกรี้ดลั่นบ้าน สามีเลยออกจากบ้านไปเมา กลับมาแล้วบอกเลิก เก็บข้าวของย้ายไปนอนอีกห้อง หาว่าดิฉันไม่เคยสนับสนุนด้านการงาน และเรียนไม่จบเพราะเกรงใจดิฉันที่ไม่กล้าออกไปทำงานวันหยุด ซึ่งไม่เป็นความจริง จริงๆ แล้ว ดิฉันกลางวันทำงาน เช้า-เย็นดูแลลูก กลางคืนก็อดนอนตื่นมาดูแลลูก จริงๆ สามีก็ช่วยงานบ้าน แต่ก็มักตำหนิว่าดิฉันไม่ทำอะไรเลย (ดูแลลูกอย่างเดียว) แต่เค้าก็มีเวลาดูทีวี สังสรรค์ เกือบจะทุกวัน (ตามประสาสังคมเกษตร ?   ดิฉันจบโทโรคพืช , สามีเพิ่งจบโทอีกสาขาหนึ่ง ) ช่วงหลังดิฉันเฉยชากับเค้าเพราะรู้สึกไม่ดีที่โดนแบบนี้บ่อยๆ ดิฉันอดทนมาประมาณ 2 ปีเศษ ครั้งสุดท้ายที่คิดว่าทนไม่ไหวแล้ว เพราะดิฉันกล่าวพาดพิงถึงบุพการีเค้าว่าอยู่ที่ร้านเหล้าหรือ ถึงได้ไปทุกวัน แต่ลูกอยู่บ้านนี้นะ เค้าโกรธมาก เดินขึ้นมาด่าถึง 2 รอบ ดิฉันเฉยเสีย เพราะกลัวโดนทำร้าย และวันถัดมาบอกกับเค้าว่าจะย้ายกลับไปอยู่บ้าน ไม่ขออยู่ต่อไปแล้ว บางครั้งที่เค้าเมาตื่นขึ้นมาพาลูกขับรถเดินทางไปบ้านแม่เค้า ดิฉันไม่สามารถห้ามได้ กลัวเกิดอุบัติเหตุ ดิฉันเคยโดนสามีทำร้ายแต่ไม่รุนแรงมากเมื่อลูกยังเล็ก เพราะสามีเมาแล้วนอนดิ้นมาทับลูก ดิฉันผลักออกเค้าเลยโกรธ ด่าทอต่างๆ และไล่ดิฉันออกจากบ้าน แรกๆ ก็คิดว่าทนได้

   มาถึงวันนี้คิดว่าไม่สามารถทนได้อีกต่อไป คิดถูกหรือเปล่าที่พาลูก 3 ขวบกว่า ย้ายกลับไปทำงานอยู่บ้านเกิด เป็นการหนีหรือเปล่า ถ้าอยู่ต่อไปจะทำอย่างไร ถ้าสามียังไม่เลิกดื่มเหล้า สามีเป็นคนมีมานะทิฐิสูงมาก ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ ไปไหนไม่เคยบอกดิฉันเลย ดิฉันต้องเป็นฝ่ายบอกทุกครั้งถึงจะได้รู้ว่าเค้าก็จะไม่อยู่ เค้าไม่พูดไม่บอกลูกเช่นกัน บางครั้งไม่สนใจลูกเลยสามสี่วัน ไม่พูดไม่ถาม สามีฟังธรรมมะทุกวัน หนังสือก็อ่าน อ่านหลายเล่มมาก ดิฉันอ่านทางสายเอก ก็เพราะเห็นวางอยู่ในห้องเค้า อ่านไปดิฉันรู้สึกขนลุกซู่ และอนุโมทนาสาธุที่ได้อ่านหนังสือดีๆ รู้สึกสบายใจมาก พออ่านจบก็ไปสวดมนต์ เข้านอน บอกเลิกบอกลาสิ่งที่เคยโกรธเค้าไว้ ขออโหสิกรรม เช้ามาเจอเลย ลงมาข้างล่างจอทีวีเปิดขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่ กดปิดจนแน่ใจว่าดับสนิทแล้ว และตรวจดูอย่างอื่นก่อนแล้วขึ้นนอนกับลูก และอยู่กันสองคน ดิฉันก็ไม่อยากจะเชื่อ และไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้ ดิฉันสนใจเรื่องการทำสมาธิ คงทำที่บ้านบ้าง เพราะมีภาระเรื่องลูกมาก

   คำถามคือ จะทำอย่างไรถึงจะอยู่กับคนแบบนี้ได้โดยไม่ทุกข์มาก ทุกวันนี้ได้แต่พยายามตามดูอารมณ์ตนเอง บางวันก็ตก บางวันก็ดี ที่ต้องคิดมากเรื่องย้ายเพราะมีลูกเข้ามาเกี่ยวข้อง
     กราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
   การโต้แย้งโต้เถียงทะเลาะเบาะแว้ง (อกุศลกรรมบถ) เป็นพฤติกรรมของผู้ที่จะนำชีวิตไปสู่ความวิบัติในกาลข้างหน้า คนมีโทสะเป็นคนมีอารมณ์ร้อนและยิ่งทุศีลด้วยแล้วยิ่งมีบาปเพิ่มมากขึ้น คนมีเมตตาเป็นคนมีอารมณ์เย็นและยิ่งมีศีลด้วยแล้วยิ่งมีบุญเพิ่มมากขึ้น ในอดีตพระพุทธะเสด็จไปยังหมู่บ้านพราหมณ์ในชนบทของแคว้นโกศลและได้ตรัสกับหมู่พราหมณ์ว่า “ การประพฤติอกุศลกรรมบถ เป็นหนทางสู่นรก ” และยังได้ตรัสกับเทวดาที่วัดเชตวันกรุงสาวัตถีที่มาขอให้ตรัสความเป็นมงคล ซึ่งในข้อแรก ให้เว้นคบคนพาลแล้วจะเกิดเป็นมงคล ด้วยเหตุนี้เมื่อเทวปุตตมารเข้าใกล้ หมู่เทวดาจะหนีห่างไกลสุดขอบจักรวาล

ผู้ใดประสงค์แก้ปัญหานี้ให้ทุเลาลง ต้องเจริญขันติบารมี และเจริญพรหมวิหาร 4 ให้มีกำลังมากยิ่งขึ้นพร้อมกับรักษากุศลกรรมบถ 10 ให้มีอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่นแล้วความจริงที่ว่า “ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ก็จะกระจ่างแจ้งกับใจของตนเอง
 

 

 

ส่งคำถามถึง ดร. สนอง วรอุไร => question@kanlayanatam.com

สอบถาม ให้คำแนะนำที่ => webmaster@kanlayanatam.com