1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 2301-2350

2350.
กราบเรียนถามท่านอ.ดร.สนอง

1. การถวายข้าวสารอาหารแห้งและยา แก่พระที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติจะได้อานิสงส์ผลบุญหรือไม่อย่างไรคะ

2 การถวายเงินแก่พระที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติจะได้อานิสงส์ผลบุญหรือไม่อย่างไรคะ

3 การถวายข้าวและอาหารแก่พระที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ แม้ท่านจะไม่ได้ฉันเพราะมีผู้ถวายเป็นจำนวนมาก จะได้อานิสงส์ผลบุญหรือไม่อย่างไรคะ

4 การอนุโมทนากับท่านที่เคยทำบุญต่างๆในครั้งอดีต เช่น นางวิสาขา ท่านอนาถบิณฑิกะ จะได้อานิสงส์ผลบุญหรือไม่อย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูง หากเคยล่วงเกินท่านอาจารย์ด้วยประการใด ขอกราบอโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ค่ะ

คำตอบ
     (๑). ได้อานิสงส์เป็นบุญ เมื่อใดที่บุญให้ผลแล้ว ผู้ทำบุญย่อมมีอาหารบริโภค ไม่ขาดแคลน พร้อมทั้งมีสุขภาพดี ตายแล้วยังไปสู่ภพสวรรค์อีกด้วย

     (๒). ได้อานิสงส์เป็นบุญ เมื่อใดที่บุญให้ผลแล้ว ผู้นั้นย่อมมีทรัพย์มาก

     (๓). ได้บุญครับ เพราะผู้ถวายภัตตาหารมีกุศลเจตนาในดวงจิต

     (๔). ทั้งสองท่านที่ผู้ถามปัญหากล่าวถึง ได้ไปเกิดเป็นเทวดาโสดาบันอยู่ในดุสิตสวรรค์ ผู้มีความยินดี (อนุโมทนา) ในการทำความดีของท่านทั้งสอง ผู้นั้นได้บุญ เพราะประพฤติเหตุตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐

.... สุดท้ายอโหสิครับ
  

2349.
ขอกราบอาจารย์ ดร.สนองครับ

ผมติดตามผลงานของอาจารย์มาสักพัก และยังแนะนำให้ญาติพี่น้อง พ่อแม่ และเพื่อนๆได้ลองฟังคำสอนของอาจารย์ ผมขออนุโมทนาบุญใดๆที่ท่านอาจารย์ได้มีเมตตานำมาเผยแผ่ให้กับคนมากมาย เป็นพระคุณอย่างสูงมากครับ

ผมมีคำถามจะขอความเมตตาอาจารย์ไขข้อข้องใจดังคำถามนี้ครับ

1. การตอบแทนคุณของพ่อแม่ เคยได้ศึกษาว่า หากทำให้ท่านเปลี่ยนจาก ผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ หรือสนใจมาทำทานรักษาศีลปฏิบัติธรรมได้ น่าจะเป็นการทดแทนคุณพ่อแม่ที่ประเสริฐ แต่ก็เคยได้ฟังท่านอาจารย์กล่าวว่า ลูกไม่ควรไปสอนพ่อแม่ ขอรบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยเหตุใดครับ ในขณะที่ผมก็ตั้งใจตอบแทนท่านด้วยการชักนำให้ท่านมาปฏิบัติธรรม แต่ก็กลัวไม่ถูกตามธรรม หากไปสอนพ่อแม่แล้วเป็นการสร้างบาป นั้นเป็นเพราะพ่อแม่อาจขัดเคือง เวลาได้ฟังลูกมาสอนผู้ใหญ่ เลยกลายเป็นบาป อย่างนั้นหรือไม่ครับ แล้วหากท่านไปลองปฏิบัติพัฒนาสติสมาธิ แล้วกลับมาถามผมเอง แล้วผมสอนไปเวลาท่านถามอยากรู้เอง แบบนี้ถึงเรียกว่าถูกเวลาสมควรแก่ธรรมหรือไม่ครับ

2. คุณพ่อผมก็เข้าใจธรรมะพอสมควร แต่อาจจะอ่อนเรื่องทำทาน ผมก็พยายามชักจูงให้ทำเมื่อมีโอกาส ด้วยเห็นแล้วอยากให้ท่านสร้างเหตุให้ดี จะได้ไม่ขัดสนต่อไปในทางชีวิตข้างหน้า แต่บ่อยครั้งท่านอาจนิ่งเฉยแล้วไม่ได้สนใจจะร่วมทำทานด้วย แบบนั้นแล้วผมควรทำใจหรือทำอย่างไรให้สมควรแก่ธรรม ซึ่งอาจทำใจแล้วบอกว่า คงเป็นเหตุของท่านเอง ที่ไม่ขนขวายทำ เมื่อมีบุญมาบอก คงต้องปล่อยไปตามเหตุ กับ พยายต่อไปด้วยการหาทางชักนำให้ท่านทำ เพิ่มทานบารมีต่อไปชีวิตภายหน้า จะได้ไม่เป็นการละโอกาสที่จะให้ท่านได้สร้างสะสมทานบารมี

3. ผมศึกษาธรรมะมาได้หลายปี ในใจลึกๆมีความศัทธาอยากบวชเพื่อพิสูจน์สัจธรรม เคยเกริ่นกับพ่อแม่และพี่สาวของผมสองคน แต่ดูเหมือนจะสร้างความไม่สบายใจให้กับพ่อแม่และพี่สาว เมื่อจะทิ้งทางโลกไปมุ่งทางธรรมอย่างเดียว ด้วยพ่อแม่เข้าวัยเกษียณแล้ว ผมเองเหมือนเสาหลักดูแลค่าใช้จ่ายให้กับพ่อแม่ แต่ทุกวันนี้ผมเริ่มเห็นแล้วทางโลกเป็นทางแคบ ทำงานก็อดเห็นไม่ได้ว่าสาระมันอยู่ตรงไหน ทำมากๆไปเอาไปทำไม ใจมันร้องบอกอยุ่ครับว่า ไปหาทรัพย์ภายในไม่ดีกว่าเหรอ แต่ก็ไม่อยากสร้างบาปทิ้งภาระหรือความไม่สบายใจให้กับพี่สาวครับ ผมควรจะเข้าใจว่าคงสร้างเหตุมายังต้องดูแลพ่อแม่ต่อไปก่อน แล้วเมื่อไหร่บุญชักนำเหมาะสมแก่โอกาสคงได้บวชเอง แบบนั้นทำใจถูกตามธรรมไหมครับ หรือถ้าตั้งใจจริง ผมควรสร้างเหตุอย่างไรให้ตรงทางธรรม ที่จะได้มีโอกาสได้บวชและไม่เป็นการทำบาปความไม่สบายใจให้คนข้างหลังครับ

4. ผมอยู่กรุงเทพ แต่ก็เดินทางไปต่างจังหวัดได้ตามเวลาที่สมควร ขอความกรุณาแนะนำวัดหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมที่เหมาะสมกับผมที่จะได้ปฏิบัติวิปัสสนา เจริญสติตรงตามธรรมด้วยครับ

5. สุดท้าย หากผมเคยล่วงเกินท่านอาจารย์ ดร. สนอง ไม่ว่า กายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี ตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ชาตินี้ก็ดี ชาติก่อนๆก็ดี ผมขออภัยและขอท่านอาจารย์อโหสิกรรมให้ด้วยครับ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาด้วยครับ

สรรเสริญ

คำตอบ
      (๑). คำว่า “น่าจะเป็นการทดแทนคุณพ่อแม่ที่ประเสริฐ” เป็นความเห็นที่ถูกตรงตามธรรม (สัมมาทิฏฐิ) เว้นไว้แต่ว่าคำว่า “น่า” ไม่มีในพุทธศาสนา แต่ในพุทธศาสนามีคำว่า เหตุและผล เท่านั้น

พ่อแม่กลับมาถามลูก แล้วลูกสอนพ่อแม่ ในกรณีนี้พ่อแม่เป็นผู้หงายภาชนะขึ้นเอง ลูกสอนแล้วพ่อแม่ไม่เกิดความขัดเคืองใจ จึงไม่ถือว่าเป็นบาป ซ้ำยังเป็นการตอบแทนพระคุณที่ดีอีกด้วย

     (๒). ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมออกเผยแพร่ธรรม มิเคยสอนพุทธบริษัทให้เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของใครผู้ใด แต่ทรงชี้ทางเดินของชีวิตและต้องทำด้วยตัวเอง หากเขาไม่ศรัทธาไม่ทำตามคำชี้แนะ จึงต้องปล่อยวาง เพราะสัตว์บุคคลมีกรรมเป็นของตัวเอง ต้องบริหารจัดการด้วยตัวเอง ผลสัมฤทธิ์จึงจะเกิดขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ผู้ถามปัญหาปล่อยวางคุณพ่อนั้น ถูกต้องตามธรรมแล้ว

     (๓). ผู้ใดเห็นการดำเนินชีวิตแบบโลกๆเป็นทางแคบ เรียกผู้นั้นว่า เป็นผู้มีความเห็นถูกตามธรรม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มีชีวิตอยู่รอดได้ต้องอาศัยปัจจัยจากสังคม (ครอบครัว) จึงต้องทำงานตอบแทนคุณของสังคม (งานภายนอก) จนกว่าจะหมดภารกิจ เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณยังต้องโคจรไปเกิดใหม่ อริยทรัพย์เท่านั้นที่จะติดตามไปเกิดใหม่ในสุคติภพ ดังนั้นจึงต้องทำงานให้กับตัวเอง (งานภายใน)

     ผู้ที่ทำงานภายนอกพร้อมกับทำงานภายในให้ถึงพร้อม ผู้นั้นจึงจะได้ชื่อว่า ทำงานได้ถูกตรงตามธรรม

     (๔). หากเป็นไปได้ แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมกับเจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ จังหวัดอยุธยา

     (๕). อโหสิครับ
  

2348.
กราบท่านอาจารย์ สนองครับ ผมมีคำถามดังนี้ครับ

  ต่อเนื่องจากคำถามที่ 2307 ในข้อที่ 5 ครับ

1. ท่านอาจารย์ได้บอกว่าผมนั่งสมาธิ ปฎิบัติถูกตรงตามธรรมแล้ว แบบนี้เรียกว่าเป็นวิปัสนาใช่มั้ยครับ

2. ผมใคร่อยากจะทราบว่า ผมนั่งสมาธิอยู่ในระดับใดครับท่านอาจารย์
    ( สมาธิในระดับ อุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิ ครับ)

3. หากผมไม่พิจารณา สิ่งที่เข้ากระทบว่ามันดำเนินไปตามกฏไตรลักษณ์ แต่ผมกลับตามดูลมหายใจไปเรื่อยๆ ปล่อยให้จิตนิ่ง ดิ่งลึกต่อไป (แบบนี้เรียกว่าสมถะใช่ไหมครับท่านอาจารย์)และมันจะเป็นเช่นไรต่อไปครับ  

4. ผมรู้สึกว่าเวลาที่ผมนั่งสมาธิ จิตจะจดจ่ออยู่กับลมหายใจได้ค่อนข้างเร็ว และจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ค่อนข้างไว ที่ทำได้แบบนี้ นั่นหมายความว่า  

ในอดีตชาติ ผมได้เคยบวชและฝึกสมาธิมาหลายชาติแล้วใช่ไหมครับ  

มันเป็นของเก่าที่สั่งสมมา ใช่ไหมครับ  

สุดท้ายนี้ผมกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่ตอบคำถามผมครับ

คำตอบ
     (๑). ตอบว่าใช่ เรียกว่าวิปัสสนาภาวนาได้ แต่กำลังของปัญญาเห็นแจ้ง ยังไม่กล้าแข็งถึงระดับที่จะทำให้ สิ่งที่ถูกเห็นดับไปเป็นอนัตตาอย่างถาวร

     (๒). ผู้รู้จริงแท้ดูสภาวธรรมในดวงจิตของตนเองว่า
        ก.จิตตั้งมั่นประเดี๋ยวประด๋าว ทางโลกสมมุติเรียกว่า ขณิกสมาธิ

        ข. จิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ทางโลกสมมุติเรียกว่า อุปจารสมาธิ

        ค. จิตตั้งมั่นแน่วแน่ ทางโลกสมมุติเรียกว่า อัปปนาสมาธิ

ขออภัย เหตุที่ไม่ตอบให้ตรงกับสิ่งที่ถามไป เพราะไม่ทำให้พ้นทุกข์ ผู้รู้จริงแท้ไม่เอาจิตเข้าไปเป็นทางของสมมุติ ฉะนั้นจงดูสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในดวงจิตของตนเอง แล้วจะถ่องแท้ที่สุด

     (๓). ใช่ .... ผู้ที่เอาจิตไปยึดติดกับความสุขเช่นนี้ (สงบสุข) เรียกว่าเป็นผู้หลง (โมหะ) ผู้มีความหลงยังมีสภาวธรรมในดวงจิตเป็นปุถุชน (จิตยังมีกิเลสมาก) ยังต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารไม่สิ้นสุด

     (๔). ใช่ครับ
  

2347.
ขอปรึกษาปัญหาชีวิตค่ะ

ตอนนี้หนูเรียนอยู่เป็นนักศึกษาคณะแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ค่ะ   หนูอยู่ปีห้า ซ้ำชั้น 1 ครั้งตอนปีสามเนื่องจากเกรดต่ำค่ะ
ตอนนี้มีปัญหาทั้งเรื่อง การเรียน เรื่องเพื่อน และ สภาพจิตใจ หนูจึงขอเรียนปรึกษาค่ะ

พื้นเดิมหนูเป็นคนกรุงเทพ   และก็เรียนในเกณฑ์ดีมาตลอด   แต่หนูเลือกสอบแพทย์เพราะตอนนั้นคิดว่าหนูมีความสามารถพอ ก็ควรเรียนสิ่งที่ทำประโยชน์กับสังคม   ประกอบกับแม่หนูเห็นว่าหนูเรียนเก่งเลยอยากให้เรียนค่ะ ทั้งๆที่จริงๆแล้วหนูชอบวิชาเลขกับคอม และไม่ถนัดวิชาชีวะ เคมี หรือะไรที่ท่องจำเลยซักนิด สำหรับวิชาท่องจำแล้วหนูเรียนโดยการติวและท่องเนื้อหาที่ติวเตอร์สอนทั้งหมดค่ะ   แต่สำหรับการเรียนแพทย์นี้ มันใช้วิธีนี้ไม่ได้ ตอนนี้หนูอยู่หอในรพ อยู่คนเดียวค่ะ

ตอนปีหนึ่งหนูยังเรียนได้เกรดสามกว่่า(อาจเพราะคล้ายกับมอปลาย) แต่หนูซ้ำชั้นได้เรียนปีสามสองครั้งค่ะ (ช่วงปีสามเกรดไม่ถึงสอง) มาเรียนกับรุ่นน้อง ทั้งที่หนูก็ไม่ได้เถลไถล ตั้งใจอ่านหนังสือมาโดยตลอด   หนูเคยอัดเทปไปฟังซ้ำ จดโน้ทย่อ ทำ mindmap หาโจทย์แบบฝึกหัดมาทำ ไปปรึกษาอาจารย์ อ่านหลายๆรอบ   แต่ผลการเรียนก็ยังคงแย่อยู่ดี จนตอนท้ายๆ อาจารย์ที่หนูปรึกษา(เป็นจิตแพทย์) ให้หนูกินยาคลายเครียด ลดซึมเศร้าค่ะ   และได้ทำพฤติกรรมบำบัดค่ะ อาจารย์บอกให้หนูผ่อนคลาย อย่าอ่่านหนักๆตั้งแต่ต้น   จะหมดแรงกลางทางและบอกวิธีการจำว่าให้หาเหตุผล เชื่่อมโยงกับรอบตัว ทำเ็นคำคล้องจอง

อาจารย์ ดร สนองคะ   ตลอดการทำตามที่อาจารย์แนะนำ ผลการเรียนหนูก็ไม่ดีขึ้นค่ะ หนูเรียนด้วยความกล้ำกลืนฝืนทนจนหนูอยู่ปีห้า ระหว่างนี้หนูได้ไปปรึกษาอาจารย์อีกท่าน เป็นจิตแพทย์ท่านบอกว่า หนูเป็นโรคสมาธิสั้นค่ะ ให้ยาหนูมากินอีกแล้ว   แต่หนูก็ยังเรียนแย่ รู้สึกแย่เหมือนเดิม หนูจับประเด็นเรื่องที่เรียนไม่ได้ ถึงตอนนี้การสอบวิชาชีพขั้นที่ 1 ที่เค้าสอบกันตอนปีสาม หนูอยู่ปีห้า สอบมาหกครั้งยังไม่ผ่านเลยค่ะ ทุกๆครั้งจะขาดไปอีก  5-10% เสมอ ในเดือนมีนานี้   หนูสมัครสอบไปขั้นที่ 1 ( ผู้สมัครสอบต้องอยู่ปีสามขึ้นไป) และขึ้นที่สอง (ผู้สมัครสอบต้องอยู่ปีห้าขึ้นไป) ไม่รู้จัเปนยังไง

ตลอดการเรียนนี้ หนูมีเรื่องรบกวนจิตใจเรื่องความเหงาและเพื่อน   คือ หนูมาเรียนกับรุ่นน้อง ไม่สนิทกับใครเลยค่ะ   อย่างในกลุ่มที่เรียนด้วยกันอยู่ (ปีสี่ขึ้นไปเรียนเป็นกลุ่มย่อย 8-16 คน) ก็ไม่เห็นมีใครความสนใจตรงกับหนู คุยกันรู้เรื่อง เพื่อนรุ่นเดียวกันที่สนิทหน่อยตอนนี้อยู่ปีหก ไปฝึกงานนอก รพ กันหมดเลย   แล้วต่อมาตอนนี้หนูก็ยังมีปัญหากับเพื่อนคนนึงในกลุ่ม หนูเลือกที่จะเงียบ แต่เค้าคอยใส่ร้ายหนูให้คนในกลุ่มฟัง   แล้วคนในกลุ่มก็เชื่อ และไม่มีใครมาถามหนู อาจเปนเพราะแต่เดิมไม่ค่อยได้คุยกัน    เราพะหนูเคยปรับเข้าหาพวกเค้าแล้วแต่ความสนใจไม่ตรงกันเลย คุยกันไม่รู้เรื่อง

หนูอยากเรียนถามอาจารย์ ดร สนอง ว่า
1.   หนูควรแก้ปัญหาเรื่องเรียนอย่างไร คือตอนนี้หนูจดและฟังอาจารย์ไม่ค่อยทัน แต่หนูได้หาสไลด์ เลคเชอร์เพื่อนและพี่ หนังสืออ่านประกอบวิชานี้ และหนังสือสรุปมาแล้ว รวมถึงข้อสอบเก่าจากเพื่อน   แต่ปัญหามันอยู่ที่หนูอ่านจับประเด็นไม่ได้ ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน อ่านยังไงให้ทำข้อสอบได้ ให้ซักประวัติ ตรวจร่างกายวินิจฉัยได้  

2. หนูควรแก้ปัญหาเรื่องเพื่อนและความเหงาอย่างไร ทุกวันนี้หนูเรียนคนเดียว อ่านหนังสือคนเดียว กินข้าวคนเดียวทุกๆวัน หนูไม่อยากเป็นคนมนุษยสัมพันธ์แย่เลยค่ะ แต่หนูก็ไม่รู้จักรุ่นน้อง รู้แค่ที่เรียนด้วย   เพื่อนก็ฝึกงานอยู่ข้างนอก ปีหกเป็นปีที่หนักเลยค่ะของการเรียนหมอ หนูได้พยายามคุยกับคนที่เจอ เช่น น้องปีสี่ ปีห้า   ป้าหอ พี่พยาบาล แต่ก็ไม่หายเหงา อยากมีเพื่อน

3.   ทำอย่างไรหนูจะหายจากสภาพจิตใจ เศร้า กังวล เหงาแบบนี้คะ   หนูรู้สึกลึกๆว่าการกินยาไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุนัก

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
        อยากเป็นคนเรียนเก่ง ต้องเปลี่ยนคลื่นสมองให้เป็นระเบียบ ด้วยการฝึกจิตให้เป็นสมาธิ แล้วความจำย่อมดีขึ้นเป็นอัตโนมัติ ดังนั้นต้องสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัยก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วเจริญอานาปานสติ ประมาณครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่า เมื่อกิจกรรมทั้งสองแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร

     ผู้มีสัจจะประพฤติได้อย่างสม่ำเสมอ จิตย่อมเป็นสมาธิและการเป็นคนเรียนเก่ง จึงจะเกิดขึ้นได้ .... พิสูจน์ครับ

     ปัญหาเรื่องไม่มีเพื่อน ต้องแก้ที่ต้นเหตุ (ตัวเอง) ผู้ใดประพฤติตนเป็นผู้ให้สิ่งดีงามแก่สรรพสัตว์ และประพฤติตนให้มีเมตตา (สงบ ,เย็น) ย่อมมีคนและสัตว์เข้ามาเป็นเพื่อน (กัลยาณมิตร) แน่นอน

     ผู้อยู่คนเดียวและระลึกถึงความตาย (มรณัสติ) อยู่เสมอ นั่นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด และยิ่งกว่านั้นยังทำให้จิตเป็นสมาธิเพิ่มมากขึ้น

     (๑). ประสงค์เป็นคนเรียนเก่ง ต้องพัฒนาจิตให้เป็นสมาธิอยู่เสมอ

     (๒). ประสงค์ให้มนุษย์และสัตว์เข้าใกล้ (มีเพื่อน) ต้องทำตนเป็นผู้ให้และทำตนให้มีเมตตา

     (๓). ประสงค์จะไม่ให้จิตเศร้าหมอง ต้องสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญสมถภาวนาอยู่เสมอ การกินยารักษาโรคเป็นเพียงระงับอาการของโรค แต่การพัฒนาจิตให้มีสติ เป็นการบำบัดโรคจิตให้หายขาด
  

2346.
กราบเรียนอาจารย์่คะ

หนูได้เจอการบรรยายธรรมของอาจารย์ทางยูทูป ตอนที่ทำงานที่ภูเก็ตตอนเด็กเด็กหนูสนใจเกี่ยวกับธรรมมะ ชอบลองนั่งสมาธิด้วยตัวเองคะ หนูว่าจะรอจนถึงเวลาใช้ศีล 5 คุมใจทุกขณะตื่นให้ได้ก่อนถึงจะเขียนมาหาอาจารย์ เเต่ก็รอไม่ได้ครั้งนี้เป็นครั้งเเรกคะที่ตัดสินใจเขียนมาหา หนูอยู่ประเทศอังกฤษกับสามีเเละอยู่ที่นี่สุขบ้างทุกข์ตามประสา

1 . หนูสวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน ส่วนมากจะสวดในใจส่วนน้อยจะสวดออกเสียง นั่งสมาธิบ้างบางครั้ง จำเป็นไหมคะต้องสวดออกเสียง เพราะบางคราวก็สวดตอนสามีนอนหลับ ก่อนนอนกล่าวอาราธนาศีล 5 ทุกคืน หลังจากก็อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรฯลฯ แต่อีกไม่กี่วันข้างหน้า หนูก็จะย้ายไปอยู่บ้านพ่อเเม่สามี หนูไม่สามารถมีห้องพระได้ คงต้องสวดในห้องนอน และนั่งสมาธิอย่างนี้ถือว่าสมควรไหมคะ เเละได้ซื้อพระสังกัจจายย์ 2 องค์จากร้านจีน หนูสามารถเอาตั้งไว้ในห้องนอนอย่างนี้สมควรไหมคะ ? เพราะปกติหนูเอาตั้งไว้ในห้องนอนอีกห้องหนึ่ง ซึ่งห้องนั้นใช้เป็นห้องสวดมนต์

2. หนูเป็นคนโมโหง่าย เเละตอนนั่งสมาธิบริกรรมว่าพุธโธบางทีก็รู้สึกสบาย บางทีก็รู้สึกอึดอัดเพียงบางครั้ง ไม่รู้ว่าหนูทำมาถูกทางหรือเปล่า บางทีก็ดูกายตัวเองขณะนึกได้ในเวลากลางวัน และได้ตั้งจิตอธิฐานขอบรรลุโสดาบันในชาตินี้

3. หนูไม่ค่อยถูกกับเเม่คะ เเม่ชอบอวดว่าตัวเองร่ำรวย ทั้งที่จริงครอบครัวหนูไม่ค่อยจะมีเงิน หนูรู้สึกโกรธที่เเม่พูดโกหก เเละกลัวจะเป็นอันตรายต่อท่านเเละครอบครัว เเต่ใจลึกลึกอยากเอาชนะเเม่ เพราะหนูรู้สึกว่าเเม่ไม่ได้รักหนู ตอนเด็กเด็กและรู้สึกไม่ผูกพันธ์กับท่านเพราะตายายเป็นคนดูเเลตั้งเเต่เด็ก เคยตั้งใจจะไม่เถียงเเม่เพราะเตือนท่านหลายครั้งเเล้ว แต่บางทีก็สู้กิเลสไม่ได้ช่วยเเนะนำหนูด้วยนะคะ หรือว่าต้องเฉยคะ

4. พ่อหนูเป็นคนดื่มเเอลกอฮอล์คะ หนูไม่รู้จะช่วยท่านอย่างไรเวลาไม่ได้ดื่ม พ่อจะหงุดงิดโมโหเเละจะทะเลาะกัน ช่วยเเนะนำหนูด้วยนะคะ และวันนี้ได้โทรบอกพ่อให้ดื่มวันละขวดก็พอ เพื่อจะไม่มีปัญหาการเงินคะ เเต่ต่อไปนี้หนูจะพยายามเฉยคะไม่พูดคะ

5. เวลาหนูอยู่ที่นี่กับครอบครัวเเฟนกับเพื่อน ต้องมีดื่มเเอลกออฮอล์ ถ้าหนูปฏิเสธดื่มไม่ได้หนูต้องทำอย่างไร ดื่มสักนิดเพื่อไม่เสียมารยาทก็ทำให้หนูผิดศีล หนูจึงรู้สึกไม่สบายใจว่าจะตั้งใจต่อเเต่นี้จะไม่ผิดศีล 5

6. หนูเคยบวชชีพราหมณ์มาสองครั้ง เรื่องมาเกิดครั้งที่สอง อยู่ดีดีใจก็คิดอกุศลกับพระพุทธรูปและสิ่งศักสิทธิ์ หนูรู้สึกทุกข์มากไม่รู้จะเเก้อย่างไร ขอคำเเนะนำด้วยนะเพราะสามารถขอขมาสิ่งศักสิทธิ์ที่บ้านได้ไหม เเละมีอีกอย่างรู้สึกจะเป็นบาปมาก คือช่วงที่บวชมีชีพราหมณ์ คนหนึ่งในการบวชครั้งนั้นหนูรู้สึกไม่ชอบเพราะเค้าไม่รู้จักกาละเทศะ เวลาตอบคำถามหนูก็คุยกับชีพราหมณ์คนอื่นอื่นนินทาเค้าในคณะ เเละชักชวนเพื่อนเเต่มีเพื่อนคนหนึ่งห้ามไว้ หนูจำไม่ได้ว่าได้อโหสิกรรมเค้าไหมและได้ขอให้เค้าอโหสิกรรมให้เเละชักชวนเพื่อนชีพราหมณ์อยู่ห่างห่างอย่างนี้ หนูจะผิดศีลข้อร้ายเเรงคือทำให้สงฆ์เเตกสามัคคีไหมคะ ถ้าไช่มีวิธีเเก้ไขเเละต้องทำยังไง

7. เมื่อตอนบวชชีพราห์มครั้งที่สอง เเม่ชีองค์สอนกรรมฐานได้เอาคาถาอาการวัตตาสูตร คาถานี้เกี่ยวกับอะไรคะ เเละถูกต้องตามพระธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะหนูรับปากเเม่ชีว่าจะสวดทุกวัน และจากวันที่เริ่มสวดคาถานั่นหนูก็สวดทุกวัน และได้เพิ่มบทสวดมนต์อื่นขึ้นมา และเพราะคาถานี้ทำให้หนูได้สวดมนต์ทุกวันคะ

8. หนูได้ดาวโหลดหนังสือธรรมมะหลายเล่ม ไส่ไอโฟนจากชมรมกัลญาณธรรมถือว่าหนูผิดศีลไหมคะ ถ้าผิดเเล้วต้องทำอย่างไรเเละหนูขออนุญาติดาวโหลดหนังสือ ที่จะทำให้หนูพ้นทุกข์จากชมรมกัลญาณธรรมด้วยนะคะ เเละขออนุญาติจัดพิมพ์หนังสือของอาจารย์ ” ตายแล้วไปไหน ” เเละหนังของ ” ลุงหวิดบัวเผื่อน ” ในงานศพตัวเองด้วยนะคะ กราบขอบพระคุณล่วงหน้าคะ หนูอาจจะทำเป็นภาษาอังกฤษด้วยถ้าหนูทำได้

    ขออนุญาต copy การบรรยายธรรมะ ของท่านอาจารย์ ที่ค้นเจอใน internet เพื่อแจกเป็นธรรมทาน และเพื่อการศึกษาธรรมะของตนเองค่ะ  

    ขออนุญาต copy และ Print คำถาม-ตอบ บางข้อ ใน กัลยาณธรรม.คอม เพื่ออ่านเอง(หรือผู้ที่สนใจอ่าน) เนื่องจากการอ่านคำตอบของท่านอาจารย์ เหมือนอ่านหนังสือธรรมะ ที่อธิบายได้อย่างแจ่มชัด ค่ะ  

9. อาจารย์ช่วยเเนะนำสถานที่ปฏิบัติที่อังกฤษด้วยคะ หนูห่างจากลอนดอนนั่งรถไฟประมาณ 25-40 นาที เเล้วเเต่รถเร็วรถช้าถ้ามีโอกาสได้กลับบ้านอุบลราชธานีประเทศไทย หนูตั้งใจจะไปบวชชีพราหมที่วัดป่าพงอุบลราชธานี ชัก 3 วันเเล้วจะชวนเเฟนหนูไปด้วย

10. หนูเคยขออโหสิกรรมจากพ่อเเม่ญ่ายายก่อนจะมาอยู่เมืองนอก แต่ว่าท่านไม่ได้กล่าวคำว่าอโหสิกรรมเเค่กล่าวคำว่าอืม เพราะว่าท่านเขินอาย ว่าอย่างนี้ถือว่าได้รับการอโหสิกรรมไหมคะ และจำเป็นต้องให้พ่อเเม่ย่ายายกล่าวคำว่าอโหสิกรรม หนูไม่ได้มีธูปเทียนเเพรคะ มีเเค่ดอกไม้ 5 คู่เทียน 5 คู่ หนูจำไม่ได้ว่าธูปมี 5 คู่ไหม และถ้าหนูทำผิดวิธีหนูทำอย่างไร เพราะกลับคราวหน้าหนูก็จะขออโหสิกรรมอีกครั้ง และจะพยามทำทุกครั้งที่มีโอกาสคะ

11. ตอนเด็กหนูเคยขโมยพระเครื่องของตา ไปขายให้อาจารย์ที่โรงเรียนหนูรู้ว่าหนูบาป หนูต้องทำเเก้ไขอย่างไงคะ

หนูขออนุโมทนาบุญใหญ่ทุกครั้งกับอาจารย์คะ
อาจารย์ได้เห็นธรรมอย่างไรหนูขอได้เห็นเหมือนกับอาจารย์นะคะสาธุ
กราบขอบพระคุณล่วงหน้าคะ
กรรมใดที่หนูได้ล่วงเกินท่านอาจารย์ ไม่ว่าทางกาย วาจาและใจทั้งต่อหน้าก็ดีและลับหลังก็ดี ทั้งที่ตั้งใจเเละไม่ตั้งใจก็ดีหนูขอให้อาจารย์ยกโทษเเละอโหสิกรรมให้หนูด้วยค่ะ

คำตอบ
     (๑). ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์ออกเสียง หากการสวดนั้นไปทำให้คนอื่นไม่สบายใจ

     เมื่อไม่มีห้องพระในบ้านได้ จะสวดมนต์ในห้องนอนหรือในที่ไหนๆของบ้านสามารถทำได้ ถ้าการสวดมนต์และการนั่งสมาธิแล้ว ทำให้จิตจดจ่อ (สติ) อยู่กับปัจจุบันขณะ ถือว่าถูกต้อง

     จำเป้นต้องตั้งพระพุทธรูปไว้ในห้องนอน ควรตั้งให้สูงกว่าศีรษะของมนุษย์ จึงจะไม่เป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพบูชา

     (๒). คนที่โมโหง่าย หากประสงค์จะพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ต้องบริกรรมบทกรรมฐานที่ถูกกับจริตของตน

     โทสจริต (คนขี้โมโห) ควรบริกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในกสิณ ๑๐ (ดิน น้ำ ลม ไฟ สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว แสงสว่าง ที่ว่าง) หรืออย่างใดอย่างหนึ่งในอัปปมัญญา ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) หรืออย่างใดอย่างหนึ่งในอรูป ๔ (อากาศเป็นช่องว่างไม่มีสิ้นสุด วิญญาณหาที่สุดมิได้ ภาวะที่ไม่มีอะไรเลย ภาวะที่เป็นสัญญาไม่ใช่ ไม่เป็นสัญญาก็ไม่ใช่)

     (๓). เมื่อมีเหตุขัดใจเกิดขึ้น ต้องใช้อภัยเป็นทาน ด้วยการกำหนดว่า “ช่างมันเถอะๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอารมณ์โทสะจะดับไป

     ไม่แนะนำให้วางจิตเลย เพราะการประพฤติเช่นนั้นเป็นโมหะ แต่แนะนำดับเหตุให้หมดไป ซึ่งทำได้สองวิธีคือ

       ก.  ให้อภัยเป็นทาน

       ข.  พัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง พิจารณาขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) จนดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อขันธ์ ๕ ดับ อัตตาที่อยู่ในขันธ์ ๕ ย่อมดับตามไปด้วย แล้วพฤติกรรมที่ไม่ดีทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้น

     (๔). แนะนำพ่อให้ลดการดื่มสุรามาเป็นดื่มวันละหนึ่งขวด เป็นการแนะนำที่ผิดธรรม เพราะยังประพฤติทุศีลข้อสุราเมระยะฯ แต่ผู้รู้ย่อมชี้โทษของสุราว่า ในสุรามีสารแอลกฮอล์ที่มีคุณสมบัติดูดน้ำมาไว้ในโมเลกุลของมัน เมื่อเอาสุราเข้าสู่ร่างกาย ย่อมดูดน้ำออกจากสมอง ทำให้สมองเสื่อม ย่อมดูดน้ำออกจากตับ ทำให้ตับเสื่อม (ตับแข็ง) โรคภัยไข้เจ็บย่อมเกิดตามมา และร้ายที่สุดเมื่อตายแล้ว จิตวิญญาณย่อมโคจรไปเกิดเป็นสัตว์ (รูปนาม) ที่มีแต่ความเดือดร้อน (ทุคติภพ) ได้แก่ ภพนรก ภพเปรตอสุรกาย ภพเดรัจฉาน

     (๕). ควรพูดตรงกับแฟนและเพื่อนว่า แอลกฮอล์ทำให้สมองเสื่อมและสุขภาพเสื่อม อันเป็นผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาในวันข้างหน้า ฉะนั้นฉันขอเว้นไม่ดื่มสุรา

     (๖). ต้องให้อภัยเป็นทานเมื่อเขาขัดใจ และต้องมองให้ออกว่ามันเป็นเรื่องของเขา เราจะไม่ประพฤติเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นอย่างเขา

     (๗). ขออภัย .... ไม่เคยได้ยินชื่อคาถานี้ ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมเผยแพร่ธรรม พระองค์มิได้ตรัสเกี่ยวกับคาถาที่มีชื่อว่า “วัตตาสูตร”

     (๘). ประสงค์พิมพ์หนังสือเป็นภาษาอังกฤษ ต้องขออนุญาตไปทางชมรมกัลยาณธรรมครับ

     สุดท้าย ผู้ตอบปัญหาไม่ขัดข้องที่จะ copy ธรรมะ แจกเป็นธรรมทาน และเอาไว้ศึกษาด้วยตนเอง

     (๙). ในประเทศสหราชอาณาจักร ผู้ตอบปัญหาไม่ทราบว่ามีวัดใด ปฏิบัติธรรมได้ถูกตรงตามธรรม จึงไม่บังอาจแนะนำได้ แต่ที่จังหวัดอุบลราชธานี แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดหนองป่าพง เพราะท่านเจ้าอาวาสเป็นพระสุปฏิปันโนที่แท้จริง

     (๑๐). คำว่า “อือ” เป็นเสียงที่แสดงการตอบรับ ฉะนั้นได้รับครับทุกครั้งที่มีโอกาส ควรขอขมากรรมกับผู้ที่มีอุปการคุณ หลังจากขอขมาแล้ว ต้องรักษาสัจจะ มิให้พฤติกรรมปรามาสเกิดขึ้นอีก

     ส่วนเรื่องพิธีกรรมขอขมา จะต้องใช้อะไรบ้าง หรือใช้ธูปเทียนจำนวนเท่าไร พระพุทธโคดมมิได้เคยตรัสสอนไว้

     (๑๑). หากตา ( grand father ) ยังมีชีวิตอยู่ ควรต้องไปขอขมากรรมจากตา หากล่วงลับไปแล้ว ต้องไปขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สำคัญสุดคือ ขอขมากรรมแล้วต้องไม่ละเมิดอีกต่อไป .... สุดท้าย ผู้ตอบปัญหา อโหสิให้
   

2345.
เรียนอาจารย์ดร.สนอง ที่เคารพ

   ดิฉันได้ปฏิบัติที่วัดมหาธาตุฯท่าพระจันทร์ 7 วัน โดยเดินจงกรม นั่งสมาธิ เป็นครั้งแรกที่นั่งสมาธิแบบพองหนอยุบหนอ   รู้สึกอึดอัดมาก แต่พอทำไปเรื่อยๆก็พอนั่งได้
   อยากเรียนถามอ.ว่าวันที่ 4 หลังจากเดินจงกรม แล้วนั่งสมาธิ มีอาการซ่าเริ่มจากขาซ้าย ขาขวา แขนขวา แขนซ้ายตา่มลำดับเกิดขึ้นติดต่อกันอย่างรวดเร็ว เป็นอาการซ่าๆคะเหมือนไม่มีร่างกายอยู่ รู้สึกเบาสบายมาก   เป็นอยู่ 5 นาที หลังจากนั้นความรู้สึกกลับมาิ แล้วขาก็ชาตามปกติ(ต่างกับเมื่อสักครู่ชัดเจน)

อยากถามว่าดิฉันเป็นอะไรคะ ขอบพระคุณมากค่ะ    

คำตอบ
      เป็นผลที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม แล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิสูงสุด (ฌาน) ผู้รู้จริงแท้ไม่เอาจิตไปผูกติดอยู่กับสมาธิระดับนั้น ทั้งนี้เพราะสมาธิสูงสุดไม่สามารถพัฒนาจิตไปสู่การเกิดของปัญญาเห็นแจ้งได้ ผู้รู้จริงแท้จึงกำหนดว่า “เห็นหนอๆๆๆๆ” และกำหนดว่า “เบาสบายๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่า ผัสสะที่เกิดขึ้นจะหายไป แล้วจึงนำจิตไปพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ (กาย เวทนา จิต ธรรม) จนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดผัสสะเป็นอนัตตา ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้น
   

2344.
เรียน ท่าน ดร.สนอง ที่เคารพ
    ขออนุญาตสอบถาม กรณีที่สามีดิฉันเป็นผู้ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแน่วแน่ และในปัจจุบันได้ศึกษาเกี่ยวกับพุทธวจนอย่างมุ่งมั่น นั่งสมาธิเช้า กลางวัน ก่อนนอน ทุกวันไม่เคยขาด เคยปฏิบัติภาวนาตามแนวทางของพระอริยสงฆ์หลายท่านจนสำเร็จหลายวิชา และบอกกับดิฉันว่า เขามั่นใจว่าเขาได้โสดาบันแล้ว

    ช่วงหลัง ๆ..เขาเริ่มไม่เข้าวัด ไม่นับถือพระสงฆ์ แต่ยังนับถือพระอริยสงฆ์ ไม่ทำทาน ไม่ใส่บาตร ไม่สวดมนต์ เขาบอกว่าคำสวดมนต์พวกนี้เป็นแค่อรรถคาถาที่แต่งขึ้นเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องสวด   เขาบอกดิฉันว่าเขาถือศีล 5 ครบไม่ด่างพร้อยถือว่าครบถ้วนบริบูรณ์ยิ่งกว่า และหลายครั้งที่สนทนาธรรมกับผู้อื่นมักพูดว่าคน ๆ นั้นว่า "โง่" ไม่รู้จักศึกษามาก่อน   หลายครั้งที่คุยธรรมกัน เขามักจะบอกว่าฉันถามคำถามดูถูกเขา และไม่ศรัทธาในตัวเขา ซึ่งด้วยความสัตย์จริงดิฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย    เขาบอกดิฉันว่า ตอนนี้ดิฉันกับเขาศีลไม่เสมอกัน ซึ่งทุกวันฉันยังคงใส่บาตร ทำทาน คิดดี ทำดี พูดดี พยายามละอกุศล มีเวลาก็จะอยู่กับลมหายใจเข้าออก

      เขาต้องการให้ดิฉันนั่งสมาธิมาก ๆ และหันมาอ่านหนังสือพุทธวจนเหมือนเขา พอดิฉันอ่าน ดิฉันไม่เข้าใจ อย่างเช่นเรื่อง    ปฏิจจสมุปบาท พอไปถามเขาเขาก็จะต่อว่า ว่าดิฉันโง่อีก ไล่ให้ดิฉันไปอ่านหลาย ๆ รอบ   ไปเปิดฟัง utube หลาย ๆ หนก่อนแล้วค่อยมาถาม

     สามีดิฉันไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่นับถือพระสงฆ์องค์ใดเป็นพิเศษ ศึกษาธรรมด้วยตนเองมาโดยตลอด  

      ในตอนนี้ดิฉันไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวเช่นไรดีค่ะ ตอนนี้มีความคิดที่ว่าถ้าเลิกกันเสียน่าจะดีกว่า   อยากให้เขาไม่ต้องมาห่วงเรื่องครอบครัว เพราะตอนนี้เราก็ไม่เดือดร้อนอะไร ดิฉันอยากให้เขาได้ก้าวหน้าและเจริญในทางธรรมอยากถูกต้องตามที่เขาตั้งใจค่ะ

คำตอบ
      ผู้ใดมีสภาวธรรมในดวงจิตเป็นพระโสดาบัน ผู้นั้นย่อมมีพฤติกรรมถูกตรงตามธรรมวินัย คือมีจิตศรัทธามั่นคงใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (อริยสงฆ์) และมีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย (ไม่มีกิเลสปนเปื้อน) ตรงกันข้าม มนุษย์ผู้มีสภาวธรรมในดวงจิตเป็นปุถุชน ยังพูดติรัจฉานกถา ยังประพฤติติรัจฉานวิชา ยังเว้นประพฤติมงคลในพุทธศาสนา (มงคล ๓๘) ฯลฯ

ผู้รู้จริงแท้และมีความเป็นสัพพัญญูตรัสว่า “คู่ครองใดประพฤติคุณธรรมสี่อย่าง ให้มีกำลังเสมอกัน (สมสัทธา สมสีลา สมจาคา สมปัญญา) เรียกคู่ครองนั้นว่า เป็นคู่สร้างคู่สม”

ผู้รู้จริงแท้ ย่อมเข้าใจเครื่องอาศัยที่เป็นเหตุให้เกิดความต่อเนื่อง (ปฏิจจสมุปบาท) คือ รู้ เห็น เข้าใจว่า ความไม่รู้จริง (อวิชชา) เป็นเหตุให้เกิดสังขาร สังขารเป็นเหตุให้เกิดวิญญาณ ..... เรื่อยไป จนถึงเป็นเหตุให้เกิด ความทุกข์ทางกาย (ทุกข์) ความทุกข์ทางใจ (โทมนัส) ดังนั้น ผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง จึงใช้ปัญญาฯ กำจัด อวิชชา ให้หมดไปจากใจได้แล้ว จิตวิญญาณจะไม่เวียนกลับมาสู่วัฏสงสาร แล้วความทุกข์กายทุกข์ใจ ย่อมหมดไปโดยปริยาย (หายโง่)

ด้วยเหตุนี้ หากผู้ถามปัญหาปรารถนานำพาชีวิตให้พ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวง ต้องปฏิบัติธรรม (วิปัสสนาภาวนา) แล้วโอกาสสมปรารถนา จึงจะเกิดขึ้นได้ ตรงกันข้าม หากปรารถนาความทุกข์กาย ความทุกข์ใจอย่างไม่สิ้นสุด ต้องปล่อยชีวิตให้กิเลสนำพาไปตามยถากรรม ก็เลือกเอาตามที่ชอบเถิด

อนึ่ง ผู้ตอบปัญหาได้ รู้ เห็น เข้าใจ ด้วยตัวเองอย่างแจ่มแจ้ง จึงเลือกที่จะปฏิบัติธรรม เพื่อนำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏสงสาร
  

2343.
เรียน ดร.สนอง ที่เคารพครับ

เนื่องด้วยกระผมทำอาชีพข้าราชการ อยากจะเรียนถาม คำถามดังนี้ครับ

1. การทำโครงการต่างๆ เมื่องบประมาณเหลือจากการทำโครงการ เช่น โครงการอบรม 2000 บาท ใช้ไป 1500 บาท ที่เหลือ 500 บาทเรานำคืนส่วนกลางของราชการ แล้วส่วนกลางของราชการนำไปใช้อย่างอื่น อย่างนี้ถือว่าเป็นการคอรัปชั่นหรือไม่ครับ

2. ถ้าเราได้เข้าไปการใช้เงินของราชการอย่างไม่ถูกวัตถุประสงค์ หรือ ใช้ของราชการเป็นของส่วนตัว อย่างนี้ กระผมจะคำนวณเป็นเงิน แล้วส่งคืนหลวง จะถือว่าเป็นการกระทำที่ชดเชยบาปที่ทำได้ไหมครับ (เช่น ได้เงินจากส่วนลดจากร้านค้า 150 บาท ต้องพิมพ์เอกสารที่ส่วนราชการมาใช้ส่วนตัวคิดเป็น 20 บาท รวมเป็น 170บาท แล้วโอนเงินเข้ากองทุนของในหลวง กองทุนประชานุเคราะห์ เพื่อคืนเงินแผ่นดิน )

3. การกระทำใดที่กระผมได้ล่วงเกิน ดร.สนอง จะด้วย กาย วาจา ใจ ขอกราบอโหสิกรรมแก่กระผมด้วย จนตราบเข้าสู่ที่กระผมเข้าสู่นิพพานด้วยน่ะครับ

4. กระผมขออนุโมทนาบุญและบารมีของ ดร.สนอง ที่ได้กระทำข้ามภพ ข้ามชาติ จนเป็นปัจจัยให้กระผมได้ปัญญาเห็นแจ้งในเร็ววันที่สุดด้วยน่ะครับ (โดยตัวผมจะเจริญกุศลกรรมบถ 10 และอธิฐานตามแบบฉบับของท่านเจ้าคุณโชดกครับ )

กราบขอบพระคุณครับ

คำตอบ
     (๑). หากผู้ถามปัญหาไม่มีส่วนร่วมกับส่วนกลาง หรือไม่เห็นดีด้วย จึงจะไม่ถือว่าเป็นการคอรัปชั่นของผู้ถามปัญหา

     (๒). บุญชดเชยบาปไม่ได้ แต่ทำบุญให้มีอานิสงส์มากกว่าบาป ย่อมหนีอกุศลวิบากที่เกิดจากบาปได้ ผู้รู้ไม่จริงหนีไปเกิดในสวรรค์รวมถึงพรหมโลก แต่ผู้รู้จริงแท้ พัฒนาจิตจนสามารถปิดอบายภูมิได้ หรือพัฒนาจิตจนไปเกิดในสุทธาวาสได้ หรือพัฒนาจิตจนเข้าสู่พระนิพพานได้ จึงจะเป็นการหนีบาปที่ดีที่สุด

     (๓). อโหสิ

     (๔). สาธุ
  

2342.
กราบเรียนท่านดร.สนองที่เคารพค่ะ
 
หนูขอเรียนถามท่าน ดังนี้ค่ะ
 
1.  หนูนั่งสมาธิ หลับตาไปสักระยะหนึ่ง รู้สึกมีอาการเหมือนไฟดับขณะหลับตา มันมืดไปหมดเลยค่ะ มันคืออะไรหรือคะ
2.  เมื่อมีอาการดังกล่าวตามข้อ 1 หนูก็ตกใจ จึงลืมตาขึ้นก็พบว่าไฟในห้องเปิดอยู่เหมือนเดิม สักพักหนูก็หลับตาใหม่ ก็เกิดอาการไฟดับเหมือนเดิมอีก หนูรู้สึกกลัวและตกใจมากจึงเลิกนั่งสมาธิ หนูขอเรียนถามท่านว่าหนูจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อคะ และทำอย่างไรถึงจะหายกลัวเวลานั่งสมาธิคะ
 
หนูขอกราบขอบพระคุณท่านมากๆนะค่ะที่เมตตาตอบคำถามค่ะ
บุศรา

คำตอบ
      (๑). ที่ถามไปคือ กิเลสมารที่มาขัดขวางการทำความดีของผู้ถามปัญหา

     (๒). ความกลัว เกิดขึ้นด้วยเหตุไม่รู้จริงในสิ่งที่กลัว และอาการตกใจ มีเหตุมาจากจิตขาดสติคุ้มครอง ดังนั้นหากผู้ถามปัญหา มีความปรารถนาจะให้ปัญหาทั้งสองหมดไป ผู้ถามปัญหาต้องพัฒนาจิตตัวเอง (สมถภาวนา) ให้มีสติรับทันสิ่งกระทบ และพัฒนาจิตตัวเอง (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ปัญหาทั้งสองจึงจะหมดไป
   

2341,
กราบครูดร.สนอง

ก่อนอื่นขอฝากตัวเป็นศิษย์เเละขออโหสิกรรมหากได้พลาดพลั้งล่วงเกินครูไป ไม่ว่าด้วยกายวาจาหรือใจครับ

ขอรบกวนธาตุขันธ์ครู 3 คำถามครับ

1. ในปัจจุบันมีพระปัจเจกได้หรือไม่ครับ

2. ขณะนี้ผมยังทำงานช่วยชีวิตคนยากจนอยู่มากมาย เเต่ก็ทราบว่าเป็นงานที่ไม่มีวันจบ เเต่ก็ยังทำอยู่เพราะสงสารผู้ไม่มีที่ไป เมื่อไหร่ผมควรใช้อุเบกขาธรรมเเล้วเดินจากมาเพื่อปฎิบัติธรรมอย่างจริงจังครับ

3. ในชีวิตนี้ผมเเละภรรยาจะมีบุญได้พบครูหรือไม่ครับ หากไม่มีขอครูช่วยเมตตาบอกทางเเละสั่งสอนในกาลข้างหน้าเพื่อมุ่งสู่มรรคผลนิพพานด้วยเทอญ

กราบขอบพระคุณครับ

พีระพัฒน์ มกรพงศ์

คำตอบ
      อโหสิ .... เมื่อใดที่ผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตของตนเอง ให้มีคุณธรรมเสมอกันกับผู้ตอบปัญหา เมื่อนั้นความเป็นศิษย์เป็นครู จึงจะเกิดขึ้น

     (๑). มีได้

     (๒). เมื่อใดผู้ถามปัญหาหมดวิบากของกรรม หรือพัฒนาทานบารมีจนเต็มแล้ว เมื่อนั้นจึงจะมีโอกาสปฏิบัติธรรมเพื่อตัวเองได้

     (๓). ต้องสร้างมหาทาน แล้วอธิษฐานขอพบครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนธรรมได้ถูกตรงต่อทางพระนิพพาน เมื่อทั้งสองกิจกรรมแล้วเสร็จ ต้องทำเหตุให้ตรง เหตุตรงคือ มีศีล ๑๐ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว การพบครูบาอาจารย์ข้างต้น จึงจะเกิดขึ้น
   

2340.
กราบเรียนอาจารย์ ดร สนอง วรอุไรที่เคารพ

หนูเคยถามปัญหาท่านแล้ว( 2285) หนูมีปัญหาขอสอบถามเพิ่มค่ะ
( 1) เวลาที่จิตสงบจะสว่างแล้วความรู้สึกบอกว่า กาย เวทนา จิต ธรรม ตอนนี้ก็พิจารณาตามนั้นแต่ยังไม่เข้าใจขอท่านช่วยเมตตาบอกหนูนะค่ะ

( 2) ตอนนี้ความรู้สึกหนูมันนิ่งเฉยไม่รัก เวลาโกรธมันวิ่งไปที่อกแป๊ปเดียวแล้วก็วิ่งหาย เหมือนไม่มีอะไรแล้วรักมันหายไปมันหายไปไหน แล้วพอมีความรู้สึกว่าอยากได้อะไรความรู้สึกอีกตัวเข้ามาตัดไวมาก ทำให้เฉยไปเลยมันหายไปไหนค่ะ มันจะกบับมาหรือเปล่าเพราะตอนนี้สบายใจดีค่ะ

( 3) แล้วเราไม่รักคนที่เรารักแล้วจะทำยังไงอยู่อย่างเฉยแบบตอนนี้หรือเปล่าค่ะ

( 4) กลิ่นที่หอมออกจากจมูกคืออะไรค่ะ

( 5) หนูมีโอกาศได้ไปกราบท่านเจ้าคุณที่วัดญาณ ท่านอยู่ในป่าหนูไปถามท่านเรื่องเวทนาท่านก็สอนหนูมา หนูไม่กล้าถามเยอะเกรงใจมีคนคอยอยู่ ท่านถามหนูว่าเหนื่อยไหมหนูแทบร้องไห้ แล้วท่านบอกว่าทำต่อไปเหมือนท่านอาจารย์บอกเป็นกำลังใจให้หนูมาก แล้วหนูก็กราบลากลับมาที่บ้าน หนูฝันเห็นท่านมา ท่านบอกว่าเป็นลูกศิษย์ขององค์ไหนองค์นั้นก็สอนสมาธิให้เองนั้นแหละ (ท่านบอกชื่อด้วย) หนูบอกว่าไม่เคยคุยถามปัญหาท่านเลย เคยแต่ฟังธรรมท่านความฝันคืออะไรค่ะ หนูงงมากหนูหนูไม่กล้าไปวัดญาณอีกค่ะ ขอท่านเมตตาตอบด้วยค่ะ

( 6) แฟนหนูไม่เชื่อเรื่องแบบนี้เลยคนละแนวกับหนูจะทำอย่างไรดีค่ะ  

(7) การเป็นโสดาบันต้องมีศีลที่พระอริยเจ้าพอใจแล้ว ถ้าเราไม่มีโอกาศเจอพระอริยเจ้าจะทำยังไงค่ะ ขอท่านเมตตาตอบหนูด้วยค่ะ

สุดท้ายนี้ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงค่ะกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
      (๑). คำว่า ”ใช้จิตพิจารณา (กาย เวทนา จิต ธรรม)” หมายถึง ใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ตามดูผัสสะที่เกิดขึ้นภายในดวงจิต ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อใดที่ผัสสะเข้าถึงความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน (อนัตตา) จิตจะเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วจะไม่เอาผัสสะนั้น มาทำให้เกิดเป็นอารมณ์ขึ้นกับจิต จิตจะปล่อยวาง แล้วว่างเป็นอุเบกขา

     (๒). อารมณ์เกิดขึ้นแป๊ปเดียว เหตุเป็นเพราะจิตขาดสติชั่วขณะ ผู้ใดพัฒนาจิต จนมีกำลังสติกล้าแข็งได้แล้ว ผู้นั้นย่อมไม่มีอารมณ์ใดๆเกิดขึ้น ดังนั้นผู้หวังความก้าวหน้าในทางธรรม ย่อมพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติสูงสุด แล้วจะไม่ตามไปดู ไม่ตามไปรู้ หรือสงสัยว่ามันจะกลับมาอีกไหม

     (๓). ต้องรักอย่างมีเมตตา แต่ไม่รักอย่างมีตัณหาสนับสนุน

     (๔). เป็นสภาวธรรมในดวงจิตทีมีกิเลสลดน้อยลง

     (๕). ความฝันเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง สัญญาเก่าที่เก็บฝังไว้ในดวงจิต กับ จิตที่มีความถึ่คลื่นเริ่มจะเป็นระเบียบ

     (๖). ความเชื่อเป็นเรื่องของปัญญา ผู้มีปัญญาเสมอกัน ย่อมรู้ เห็น เข้าใจสิ่งต่างๆได้เหมือนกัน ผู้มีปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) จึ งมีความเชื่อต่างไปจาก ผู้มีปัญญาทางธรรม (ภาวนามยปัญญา) ดังนั้นผู้รู้จริงแท้ จึงปล่อยวางความเชื่อของคนอื่น

     (๗). การเป็นพระโสดาบัน ต้องมีศีลที่พระอริยเจ้าพอใจนั้นหมายถึง พระโสดาบันเพศชาย หากเป็นเพศหญิงไม่จำเป็นต้องมีศ๊ลที่พระอริยเจ้าพอใจ แต่ต้องมีจิตเป็นอิสระจาก สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพตปรามาส

     คำว่า “สีลัพพตปรามาส” หมายถึง
       •  ไม่ประพฤติเช่นโค เช่นสุนัข
       •  ไม่ยึดถือว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก สร้างสรรพสิ่ง
       •  ไม่กราบไหว้วิงวอน ภูติผีปีศาจ เทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา ฯลฯ แต่ทำเพื่อรักษาไมตรี หรือทำเพื่ออุทิศบุญกุศลให้
       •  ไม่ทรมานร่างกายให้ลำบาก เช่น ใช้ของแหลมทิ่มแทง นอนบนตะปู ไต่บันไดมีด ฯลฯ
  

2339.
อาจารย์คร้บผมสงสัยการปฏิบัติ

1. รู้ได้อย่างไรว่านั่งสมาธิ   ตอนนี้ ขณิกะ อัปมา...เพราะผมนั่งก็ท่องพุทโธ บางครั้งก็มีความนิ่งเฉยๆ( 5-15 นาที)เเล้วทำไงต่อหรือพุทโธเรื่อยๆคับ

2. การให้พิจารณา   รูป เวทนา...ในสมาธิ พอจิตสงบให้นั่งคิดในสมาธิหรือคับ   ( อย่างนี้ไม่ได้เป็นการคิดเองหรือคับ)   ช่วยอธิบายการพิจารณาให้ผมหน่อยว่าขั้นตอนอย่างไรคับ

ขออนุโมทนาผลบุญที่อาจารย์เผยเเผ่พระศาสนาด้วยครับ

คำตอบ
      (๑). จิตเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง มีคุณสมบัติรู้อารมณ์ได้ หรือคือทำหน้าที่ รู้ คิด นึก ได้ ดังนั้นผู้ใดใช้จิตตามดูอารมณ์ ผู้นั้นย่อมมีโอกาสทราบสภาวธรรม (สมาธิ) ในดวงจิตของตนเองได้

     ขณิกสมาธิ เป็นสภาวธรรมที่จิตตั้งมั่นประเดี๋ยวประด๋าว

     อุปจารสมาธิ เป็นสภาวธรรมที่จิตตั้งมั่น จวนแน่วแน่

     อัปปนาสมาธิ เป็นสภาวธรรมที่จิตตั้งมั่น แน่วแน่

     (๒). ใช้สมองคิดเป็นการพัฒนาจิตที่ผิดทางธรรม ตรงกันข้าม ผู้ใดใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ตามดูผัสสะที่เกิดขึ้นภายในดวงจิต จนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ ผู้นั้นย่อมเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้
  

2338.
เรียนสอบถามอาจารย์เรื่องสภาวะการปฏิบัติ ด้วยความเคารพและนับถืออย่างสูง
ขออภัยอาจารย์อย่างยิ่งที่พิมพ์อธิบายยาว เนื่องจากประสงค์แจ้งการปฏิบัติที่ละเอียด ซึ่งอาจได้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติ
 
1. เนื่องด้วยเริ่มฝึกปฏิบัติสมาธิโดยปฏิบัติที่วัดประมาณ 9 วัน หลังจากนั้นต่อด้วยการดูการเกิดดับที่ไม่ใช่ตัวตนในทุกอิริยาบถ โดยอิริยาบถนั่งครั้งละ 3 ชั่วโมง ประมาณวันละ 3-4 ครั้งต่อวัน นอกนั้นอยู่ในอิริยาบถใหญ่ย่อย (สติรู้ทันบ้างไม่รู้ทันบ้างสลับกันไปมา)
    ในช่วงของการปฏิบัติวิปัสสนานี้ ในระหว่างเวลาเช้ามืดเกิดอาการง่วงนอนทุกวัน ใช้สติตามดูอาการง่วงแต่สุดท้ายสติจะตามไม่ทันแพ้อาการง่วง ทั้งใช้วิธีเดินจงกรม ทั้งใช้วิธีล้างหน้าหลายวิธีก็ไม่ได้ผล สุดท้ายในวันที่ 4 จึงใช้อิริยาบถนอนและดูการเกิดดับที่ไม่ใช่ตัวตน ปรากฎว่าอาการง่วงดับไปอย่างรวดเร็ว จึงสังเกตุอาการของกายและจิตต่อไป
    หลังจากการสังเกตุอาการของกายและจิตว่าไม่ใช่ตัวตนต่อเนื่องไปนานระยะหนึ่ง สังเกตุอาการของจิตเกิดการเกิดดับในลักษณะของความเจ็บปวดอย่างมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็สังเกตุการเกิดดับที่มิใช่ตัวตนต่อเนื่องไปนานระยะหนึ่ง จนเห็นการดับหนึ่ง ที่ปรากฏว่าตัวเราหายไป พร้อมกับความรู้สึกถึงความกว้างขวางอย่างไม่มีขอบเขต และเบามากอย่างไม่มีจำกัด จึงดูความว่างๆนั้นอยู่ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็กลับมาอยู่ในกายและจิตเช่นเดิม จึงดูการเกิดดับที่มิใช่ตัวตนของกายและจิตต่อไประยะหนึ่ง เกิดอาการเกิดดับที่จิตที่เป็นลักษณะเจ็บปวดเช่นเดิมจึงสังเกตุดูไปเรื่อยๆจนถึงเวลาทำกิจอื่น จึงสังเกตุกายและจิตในอิริยาบถอื่นต่อไป
( ในวันถัดๆไปช่วงเช้ามืด ถ้าสังเกตุกายจิตในอิริยาบถนอน ก็จะเกิดอาการเกิดดับในลักษณะเจ็บปวดมาก และมากขึ้นที่จิตเช่นเดิม ผู้ปฏิบัติก็สังเกตต่อไป ทั้งนี่สภาวะที่เกิดกับจิตไม่เคยเกิดในอิริยาบถอื่นๆ)
 
     จึงเรียนถามท่านว่า
    1. สภาวะที่เพิ่งกล่าวไป(ในเส้นใต้)เป็นวิปัสนูกิเลสหรือไม่  
    2. ถ้าเกิดขึ้นอีกเราสังเกตุดูสภาวะดังกล่าว (ในเส้นใต้)เฉยๆเป็นวิธีการที่ถูกแล้วหรือไม่
    3. สภาวะที่เห็นการเกิดดับที่จิตในลักษณะที่เจ็บปวดมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ   เฉพาะในอิริยาบถนอน เกี่ยวหรือไม่ว่าอิริยาบถนอนเป็นอิริยาบถที่สบายที่สุด   ทำให้เกิดสมาธิตั้งมั่นได้ง่ายขึ้น จึงทำให้เห็นสภาวะการเกิดดับได้ชัดเจนขึ้น
    4. การแก้อาการง่วงด้วยอิริยาบถนอนแล้วได้ผล เราควรใช้วิธีนี้ตลอด   หรือควรแก้ด้วยการตามดูให้รู้เท่าทันอาการง่วงให้ได้ในอิริยาบถอื่น โดยฝืนไม่ทำในอิริยาบถนอน  
 
สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณความเมตตากรุณาของอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง
 
ด้วยความเคารพและนับถืออย่างสูง

คำตอบ
     (๑)  และ (๒) ไม่มีข้อความที่ขีดเส้นใต้ แต่บอกว่า วิปัสสนูปกิเลส หมายถึง สิ่งที่ทำให้จิตของผู้ปฏิบัติธรรมเศร้าหมอง

     วิปัสสนูปกิเลส มีอยู่ ๑๐ อย่าง คือ แสงสว่าง ความอิ่มใจ ฌาน ความสงบทางกายและจิต ความน้อมใจเชื่อ ความเพียรที่พอดี ความมีสติเด่นชัด ความวางจิตเป็นกลาง และความพอใจ

     (๓). การบรรลุธรรมต้องปฏิบัติให้ถูกกับจริต เช่น พระอานนท์ บรรลุอรหัตผล ในขณะล้มตัวลงนอน

     (๔). การแก้อาการง่วง วิธีใดใช้ได้ผล จงเลือกเอาวิธีนั้นเป็นดีที่สุด
  

2337.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

ขอแทนตัวเองว่าลูกนะค่ะ
ลูกอายุ 27 ปี มีบุตรแล้ว 2 คนกับสามีเก่า และขณะนี้กำลังตั้งท้องกับสามีคนปัจจุบันได้ 5 เดือน สามีคนใหม่นี้เป็นคนขยันรักครอบครัว ประหยัด ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า ไม่เจ้าชู้ และช่วยส่งเสีย เลี้ยงดู สั่งสอนบุตรทั้ง 2 ของลูกเสมือนเป็นบุตรของเค้าเอง   แต่ไม่ได้ร่ำรวยนะคะ เราเช่าบ้านอยู่ ยังไม่มีรถยนต์เลย วันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ สามีมาสารภาพกับลูกว่า เค้าค้ายาเสพติด   เพราะต้องการหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวให้อยู่รอด   เค้าบอกว่าจะทำต่อจนกว่าจะมีเงินเพียงพอเพื่อมาลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว ที่ถูกต้องถูกกฏหมาย ก่อนหน้านี้ เค้าทำอาชีพสุจริตแต่ไม่ประสบความสำเร็จโดนโกงจนหมดตัว เริ่มต้นใหม่ก็ถูกโกงอีก มีหนี้สินมากมาย ลูกควรทำอย่างไรดีคะท่านอาจารย์

สุดท้ายนี้ ลูกขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ที่ช่วยชี้แนะแนวทางที่ดีที่สุดให้แก่ลูก โปรดเมตตาลูกด้วย ลูกไม่มีใครเลย ที่ผ่านมาลูกมั่นใจว่าลูกทำหน้าที่แม่และภรรยาเป็นอย่างดี ยึดหมั่นในศีล 5 เป็นแนวทางใช้ชีวิต  

คำตอบ
      อาชีพที่บอกเล่าไปเป็นมิจฉาอาชีวะ เป็นอาชีพที่นำบาปมาสู่ผู้กระทำและผู้ร่วมกระบวนกรรม ผู้ใดเว้นประพฤติหรือไม่เข้าไปมีส่วนร่วม ผู้นั้นไม่มีบาป ฉะนั้น จงเลือกเอาตามที่ปรารถนาเถิด
  

2336.
สวัสดีค่ะ อาจารย์
 
   ดิฉันได้ ติดตามผลงานของท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร   มาตลอด เนื่องจากอยู่ ตปท ก็มักจะฟังยูทูป และไปปฏิบัติธรรม ที่วัดพุทธประทีปเมือมีโอกาส เป็นวัดของท่านพระคุณโชดก
ถิอว่าเป็นบุญที่มาอยู่ ตปท แล้วยังมีโอกาสปฏิบัติธรรม   ขอเข้าเรื่องเลยนะค่ะ
 
ดิฉันได้พบเพื่อนทางธรรมที่วัด เธอเป็นคนดีมากและนั่้งสมาธิได้ระดับดี ส่วนดิฉันก็ลุ่มๆดอนๆ ใจวอกๆไปแวกมา แต่ใช้การ เดินจงกลมและกำหนดสติเป็นหลัก ชีวิตมีความสุขดีค่ะถือศีลห้า ไม่ทุกข์ เพื่อนคนนี่บอกว่า อยากไปนิพพาน ใหม ดิฉันก็อยากแน่นอน เพราะไม่อยากมาเกิดแล้ว เธอแนะนำวิธิที่เรียกว่า จิดเกาะพระ คือใช้กำหนดรูปพระไว้ให้ถี่ๆ จิตให้นึกถึงพระตลอดเวลา

ดิฉ้นเลือกรูปพระพุทธเจ้า และถือศีลห้าแบบเคร่งครัด เล่าย่อๆว่าหลังจากนั้นยี่สิบแปดวัน เพื่อนบอกว่าดิฉันได้ไปถึง นิพพานแล้ว จิตเข้าญาณสี่ ซึ่งดิฉันไม่ได้รู้สึกอะไร ตามนั้นเลย แต่ไม่อยากขัดเพื่อน และ เธอบอกว่า เธอสามารถติดต่อ พระพุุทธเจ้าได้ และ เทวดา ประจำตัว เธออยากให้ดิฉัน สวดมนต์ นั่งสมาธิและ แผ่เมตตา สม้่าเสมอ ซึ่งเป็นข้อดี เพื่อนๆในกลุ่มจิตเกาะพระก็มักจะส่งข้อความมา ว่า พวกเธอได้อภิญญา สามารถเห็นอะไรได้คนละอย่างสองอย่าง แนะนำให้ดิฉันแผ่เมตตา และบอกว่า ชาติก่อนดิฉันคือ พระนันทะเถระ พระอนุชา ของพระพุทธเจ้า ผู้จัดตั้งกลุ่มคือพระบิดา ของ พระพุทธเจ้า ต่อมาเธอให้ลองนั่้งสมาธิโดย บอกตัวเองว่า เราเป็นพระนันทะเถระ   แล้วให้บอกผล
 
       อย่างที่เล่าไปเพื่อนเป็นคนดีเธออาจ มีอภืญญาจริง แต่ดิฉันไม่อยากเป็นเหมือน โดนสะกดจิตหมู่ ให้เชื่ออะไรโดยแม้แต่ตัวเอง ยังไม่รู้ และยกตัวขี้นสูงเป็น พระอรหันต์ในอดีตชาติ
แต่ดูเหมือน บางอย่างที่เพื่อนพูดเป็นเรื่องจริง  

     ขอความกรุณา อาจารย์ช่วยวิเคราะห์ ก่อนที่ดิฉันจะหลงผิดด้วยค่ะ
 
  ขอขอบพระคุณอย่างสูง
  อัญมณี

คำตอบ
      I . เรื่องศีลกับการเป็นอริยบุคคล
       ก. อนาถบิณฑิกเศรษฐี วิสาขา สุขาดา ฯลฯ เป็นพระโสดาบัน มีเพียงศีล ๕ คุ้มครองใจ
       ข. อิสิทัตตะ (คนเลี้ยงช้างของพระเจ้าปเสนทิโกศล) เป็นพระสกทาคามี มีเพียงศีล ๕ คุ้มครองใจ
       ค. ปุกกุสาติ ตุทิมหาเถระ เป็นพระอนาคามี มีเพียงศ๊ล ๘ คุ้มครองใจ
       ง. ทัพพะ โสปากะ สุมนะ เป็นพระอรหันต์ แล้วบวชเป็นสามเณร มีเพียงศีล ๑๐ คุ้มครองใจ

     II . ความหมายของคำที่ถามไป
        ก. คำว่า “ญาณ” หมายถึง ปรีชาหยั่งรู้ที่เกิดในดวงจิต ซึ่งเป็นความรู้สูงสุดที่มนุษย์สามารถพัฒนาได้

        ข. คำว่า “ฌาน” หมายถึง ภาวะที่จิตสงบแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ ที่เรียกว่า ฌาน ๔ หมายถึง

      รูปฌานที่เกิดขึ้นกับดวงจิตมี ๔ อย่างคือ
       รูปฌานที่ ๑ มีอารมณ์ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
       รูปฌานที่ ๒ มีอารมณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา
       รูปฌานที่ ๓ มีอารมณ์ สุข เอกัคคตา
       รูปฌานที่ ๔ มีอารมณ์ อุเบกขา เอกัคคตา

     ค.คำว่า “อภิญญา” หมายถึง ความรู้สูงสุด (อภิญญา ๕) ซึ่งเกิดขึ้นกับดวงจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (ฌาน)
        มีอยู่ ๕ อย่างคือ อิทธิวิธิ ทิพพโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และทิพพจักขุ

     ง.คำว่า “เมตตา” หมายถึง ความรักความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่น (สัตว์บุคคล) ได้ประโยชน์และมีความสุข ผู้มีเมตตาไม่มีอารมณ์โกรธ ตายแล้วไปเกิดในพรหมโลก

     III . คำที่พูดออกจากปากของบุคคล จะเชื่อว่าเป็นความจริงหรือเป็นความเท็จ ต้องใช้กาลามสูตรเป็นตัวชี้วัด ผู้ใดปฏิบัติธรรม (สมถภาวนา) จนเข้าถึงอภิญญา ๕ ได้ และปฏิบัติธรรม (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึง ญาณ ๑๖ ได้ ผู้นั้นย่อมไม่ถูกหลอกให้เชื่อโดยไร้เหตุผล

     พระนันทเถระ ปฏิบัติธรรมจนจิตบรรลุอรหัตผล แล้วทิ้งรูปขันธ์เข้าสู่ภาวะนิพพาน พระอรหันต์อนุปาทิเสสนิพพาน ไม่ต้องมาเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารอีกต่อไป ฉะนั้น คนที่พูดว่า ชาติก่อนผู้ถามปัญหาเคยเกิดเป็นพระนันทเถระ ก็เป็นการพูดถูกของเขา แต่ผู้รู้จริงแท้มิได้พูดเช่นนั้น เพราะผู้ที่มีจิตเข้าถึงนิพพานได้ ต้องปราศจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความมีเมตตา สติ ปัญญา ฯลฯ แล้วจิตย่อมโคจรเข้าสู่สภาวะนิพพานดังที่หลวงตามหาบัวได้ทำให้ดูแล้ว
  

2335.
เรียน อาจารย์ ดร.สนอง
 
        ผมพักอาศัยอยู่สมุทรปราการ รบกวน อาจารย์ ดร.สนอง ช่วยแนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมให้ด้วยครับ ได้ฟังอาจารย์ท่านแนะนำให้หาอาจารย์การปฏิบัติจะได้ก้าวหน้าครับ พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงผมคงไม่สามารถเข้าถึงท่านได้ครับ
 
กราบขอบพระคุณอาจารย์
สมบัติ

คำตอบ
      แนะนำพระอาจารย์มิสุโอะ คเวสโก มูลนิธิมายาโคตมี กรุงเทพฯ
  

2334.
กราบสวัดดี อ. ค่ะ

หนูมีคำถาม เกี่ยวกับบาปที่เกิดจากวิชาอาชีพค่ะ

คือหนูเป็นนักศึกษา คณะดิจิตอลอาร์ท ที่ต้องทำงานเกี่ยวกับศิลปะ หรือการทำอาร์ทเกม ที่จะต้องเรียกร้องให้คนอื่นสนใจ พูดง่ายๆก็คือ ถ้าทำให้เขาติดเกมหรืองานที่เราทำได้ก็จะดีอะค่ะ...

หนูได้ฟังเทปของ อ. และก็เกิดฉุกคิดถึงบาปในข้อนี้ขึ้น เพราะหนูรู้ตัวว่า เป็นการทำให้คนอื่นหลงไหลในเรื่องไร้สาระ (แต่หนูก็ยังหยุดทำไม่ได้เพราะมันเป็นงานที่จะต้องเรียน) หนูจึงอยากทราบว่า งานประเภทนี้ เป็นงานที่ดีในทางธรรมหรือไม่

อีกประการหนึ่ง คือหนูยังเป็นนักศึกษาอยู่ จึงจะต้องมีการ รีโปรดั๊ก (ทำซ้ำผลงานของศิลปินดังหลายท่าน) โดยที่บางท่านก็ล่วงลับไปแล้วบ้าง มีชีวิตอยู่แต่ไม่สามารถติดต่อขออนุญาตเจ้าของบ้าง (แต่เป็นการทำเพื่อศึกษาไม่ใช่ทำเพื่อเอาไปขายแต่อย่าวใดนะคะ)  

แบบนี้ผิดศีล เอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้หรือเปล่าคะ

ขอกราบขอบคุณพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าค่ะ

คำตอบ
      ผู้รู้จริงแท้ในทุกสิ่งทุกอย่าง (สัพพัญญู) สอนฆราวาสให้พัฒนาจิต จนสามารถอยู่กับโลกได้โดยมีทุกข์เท่าที่จำเป็น ดังนั้นการทำงานด้านศิลปะหรืออาร์ทเกมส์ จึงเป็นความดีในทางโลกที่ฆราวาสสามารถประพฤติได้ ตรงกันข้าม ผู้มีความเป็นสัพพัญญูสอนนักบวช (ภิกษุ ,ภิกษุณี) ให้นำพาชีวิตพ้นไปจากวัฏสงสาร ดังนั้น การประกอบอาชีพด้านศิลปะหรือทำอาร์ทเกมส์ จึงเป็นการทำงานที่ไม่ดีในทางธรรม จึงไม่สามารถนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ได้

     ส่วนการก๊อปปี้ผลงานของผู้อื่น หรือนำผลงานของผู้อื่นมาใช้ในทางใดก็ตาม หากเจ้าของผลงานยังมีจิตเห็นจิต ว่าผลงานนั้นเป็นของตน การก๊อปปี้ผลงานมาใช้โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ถือว่าประพฤติผิดศีลข้อสอง (อาทินนาทาน) ตรงกันข้าม หากเจ้าของผลงาน นำพาชีวิตพ้นไปจากวัฏสงสารได้แล้ว การก๊อปปี้ผลงานเอามาใช้ ไม่ถือว่าผิดศีลข้อสอง
  

2333.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนองที่เคารพยิ่ง

     ข้าพเจ้ามีปัญหาจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ ในวงสนทนาก็มีเพื่อนที่เป็นศัลยแพทย์
และกำลังจะไปเรียนต่อทางด้านโรคตับ และทางเดินน้ำดีตั้งคำถามขึ้นมาว่า การที่เราต้องไปตัดเก็บอวัยวะต่างๆ
(เช่น ปอด ตับ หัวใจ ไตฯ)ที่ได้รับการบริจาคจากผู้ป่วย(ไม่ใช่ผู้ตาย) ที่ถูกวินิจฉัยว่าสมองตาย เพื่อนำมาผ่าตัดปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วยที่รอรับการบริจาคอวัยวะ     เรื่อง “ เกณฑ์การวินิจฉัย สมองตาย ดังนี้

  • การวินิจฉัย สมองตาย จะทำได้ในสภาวะ และเงื่อนไขดังต่อไปนี้
    1. ผู้ป่วยต้องไม่รู้สึกตัว ( Deeply comatose) โดยต้องแน่ใจว่าเหตุของการไม่รู้ สึกตัวนี้ไม่ได้เกิดจาก
      1. พิษยา ( Drug intoxication) เช่น ยาเสพติด ยานอนหลับ หรือ ยากล่อมประสาท ฯลฯ
      2. สภาวะ อุณหภูมิในร่างกายต่ำ ( Primary hypothermia)
      3. สภาวะ ผิดปกติของ ระบบต่อมไร้ท่อ และเมตาโบลิก ( Metabolic and endocrine disturbances)
      4. สภาวะ Shock
    2. ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวนั้นอยู่ในเครื่องช่วยหายใจ ( Comatose patient on ventila tor) เนื่องจากไม่หายใจ โดยจะต้องแน่ใจว่าเหตุของการไม่หายใจไม่ได้เกิดจากยาคลาย กล้ามเนื้อ (Muscle relaxants) หรือยาอื่นๆ
    3. จะต้องมีข้อวินิจฉัยถึงสาเหตุของการไม่รู้สึกตัว และไม่หายใจในผู้ป่วยนั้นโดยที่ให้รู้แน่ชัดโดยปราศจากข้อสงสัยเลยว่า
      สภาวะ ของผู้ป่วยนี้เกิดขึ้นจากการที่ สมอง เสียหายโดยไม่มีหนทางเยียวยาได้อีกแล้ว ( Irremediable and irrever sible structural brain damage)
    4. ถ้าผู้ป่วยอยู่ในสภาวะ ครบตามเงื่อนไขที่กำหนดแล้ว จะต้องทำการตรวจสอบเพื่อยืนยัน สมองตาย คือ
      1. ต้องไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆได้เอง ( No spontaneous movement) ไม่มี อาการชัก  (No epileptic jerking) ไม่มี decorticate หรือ Decere brate rigidity
      2. ต้องไม่มีรีเฟลกซ์ของแกน สมอง (Absence of brain stem reflexes) ทั้ง 6 ประการต่อไปนี้คือ
        1. Dilated and fixed pupils
        2. Absence of corneal reflex
        3. No motor response within the cranial nerve distribution
        4. Absence of oculocephalic reflex (Doll's head phenomena)
        5. Absence of vestibular response to caloric stimulation
        6. Absence of gag and cough reflex
      3. ไม่สามารถหายใจได้เอง ( No spontaneous respiration) ซึ่งทดสอบได้โดยการหยุดเครื่องหายใจ (ให้ออกซิเจน ทางสายยางเข้าในหลอด ลม) เป็นเวลาอย่างน้อย 10 นาที และคอยดูว่ามีการหายใจหรือไม่ ขณะ ที่ทดสอบจะต้องมีค่าของความดันคาร์บอนไดออกไซด์ในกระแสเลือด ( pCo2) ไม่ต่ำกว่า 60 mmHg.
      4. สภาวะ การตรวจพบในข้อ 4.1, 4.2 และ 4.3 นี้ จะต้องไม่มีการเปลี่ยน แปลงเป็นเวลาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง จึงจะถือได้ว่า สมองตาย

     ๑.ในกรณีดังกล่าวถือว่าแพทย์ที่ต้องไปตัดเก็บอวัยวะต่างๆของผู้ป่วยที่ถูกวินิจฉัยว่าสมองตายนั้น กระทำกรรมในการพรากชีวิตผู้ป่วยนั้นหรือไม่ พูดตรงๆคือ ทำผิดศีลข้อ๑หรือไม่ ได้พยายามวิเคราะห์ด้วยองค์ประกอบของศีลแล้ว เอาแค่องค์ประกอบแรกคือ สัตว์นั้นมีชีวิต แค่นี้เราก็ตอบตัวเองไม่ได้แล้ว ว่าเขามีชีวิตหรือไร้ชีวิต ภาวะสมองตายทางการแพทย์จะเท่ากับการตายการปราศจากชีวิตโดยนัยทางธรรมหรือไม่ ตอนที่เราไปตัดเก็บอวัยวะจากร่างกายเขานั้น เขาไม่สามารถหายใจได้ด้วยตนเองได้แล้ว ต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจทำการหายใจให้ และจากการทำงานของเครื่องช่วยหายใจนี่เอง จืงทำให้อวัยวะและระบบต่างๆภายในร่างกายยังคงดำเนินต่อไปได้(หัวใจก็ยังคงเต้นอยู่) ถ้าเราถอดเครื่องช่วยหายใจออก อวัยวะและระบบต่างๆก็จะยุติการทำงาน ด้วยสภาพสมองตายถึงแม้เราจะใส่เครื่องช่วยหายใจไว้ ร่างกายก็จะยังคงดำรงสภาพการทำงานได้อีกแค่ชั่วระยะหนึ่ง สุดท้ายร่างกายก็จะยุติการทำงานโดยสิ้นเชิง มนุษย์แทรกแซงธรรมชาติได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

     ๒.ในทางธรรมให้คำอธิบายหรือข้อกำหนด การมีชีวิตและความตายไว้อย่างไร

      ๓.ผู้ป่วยที่ไม่สามารถหายใจด้วยตนเอง(ไม่ว่าจะโดยสาเหตุใดก็ตาม) จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เพื่อให้ร่างกายยังทำงานต่อไปได้ จากสภาพดังกล่าว ผู้ที่ถอดเครื่องช่วยหายใจออกจากผู้ป่วย ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยนั้นเสียชีวิตในเวลาต่อมา(ช้าหรือเร็วตามสภาพของตัวผู้ป่วยเอง) ถามว่าผู้ถอดเครื่องช่วยหายใจเท่ากับฆ่าผู้ป่วยหรือไม่

    ทั้งหมดนี้ขอความกรุณาท่านอาจารย์ให้ความกระจ่างด้วย เพื่อจะได้ดำเนินการในทางที่ถูกที่ควรต่อไป หากท่านอาจารย์พิจารณาว่า คำถามเหล่านี้ไม่สมควรตอบโดยสาธารณะ จะตอบกลับทาง e mail ก็ตามแต่ท่านอาจารย์จะเห็นสมควร

    สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ได้กรุณาให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อการดำเนินชีวิตที่มุ่งตรงต่อพระนิพพาน   และกราบขออโหสิกรรมในอกุศลกรรมใดๆก็ตามที่ได้ก้าวล่วงต่อท่านอาจารย์

           ด้วยความเคารพยิ่ง       ศัลยแพทย์ไทย

คำตอบ
      (๑). ชีวิตประกอบขึ้นด้วยรูป (ร่างกาย) และนาม (จิตใจ) หรือที่ชาวฝรั่งเรียกว่า body and mind ที่บอกเล่าเรื่องคนไข้ไปให้ฟังนั้น เป็นการปิดปกติของร่างกาย ที่หมดสามารถวินิจฉัยได้ แต่พลังงานจิตที่อยู่ภายในร่างกาย หากยังมีการเกิด-ดับ พลังงานจิตยังคงทำงานได้ เพียงแต่ว่าจิตสั่งร่างกายให้ทำตามความต้องการของจิตไม่ได้ เหตุเพราะร่างกายมีความผิดปกติเกิดขึ้น ในกรณีเช่นนี้ ผู้รู้จริงแท้เห็นว่า ผู้ใดไปทำให้นาม (จิต) ต้องแยกออกจากรูป (ร่างกาย) ถือว่าผู้นั้นได้ประพฤติปาณาติบาต เพราะทำให้ชีวิตต้องสูญสิ้นไป (ตาย)

     การพัฒนาความรู้หรือปัญญาทางโลก คนทั่วโลกนิยมพัฒนาความรู้ด้วยการฟังและการอ่าน เรียกว่าเป็น สุตมยปัญญา นอกจากนี้ยังนำความรู้นั้นไปวิเคราะห์วิจัย หาความจริง (เหตุผล) ที่ระบบประสาทสามารถสัมผัสได้ ความรู้เช่นนี้เรียกว่า จินตามยปัญญา นอกจากนี้มนุษย์ยังมีศักยภาพที่จะพัฒนาจิตให้เข้าถึงปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) ได้ ความรู้เช่นนี้สามารถสัมผัสกับรูปนามที่เป็นทิพย์ เช่น สัมผัสเทวดา พรหม สัตว์ นรก ฯลฯ ได้ ว่ามีอยู่จริงในวัฏสงสาร

     ดังนั้นความรู้ เห็น เข้าใจ ของปัญญาสองตัวแรก กับปัญญาที่เกิดจากการพัฒนาจิต จึงเข้าถึงความจริง (เหตุผล) ที่แตกต่างกัน ซึ่งพูดได้ในอีกทางหนึ่งว่า ปัญญาทางโลกสัมผัสความจริงด้วยการทำงานของระบบประสาท แต่ปัญญาทางธรรมหรือปัญญาในดวงจิต สามารถสัมผัสควมจริงด้วยการทำงานของจิตที่พัฒนาดีแล้ว

     (๒). ความรู้หรือปัญญาในทางะรรม รู้ เห็น เข้าใจว่า
       ก. รูปและนามที่อยู่ด้วยกัน และมีความสัมพันธ์กัน เรียกว่าชีวิตหรือสัตว์บุคคลที่มีชีวิต

       ข. นามเป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่มีเกิด-ดับ จึงทำงานได้จึงรู้ เห็น เข้าใจในสรรพสิ่งได้

       ค. จิตที่อยู่ในร่างกาย ออกไปนอกร่างกาย ไปรับเอาสิ่งที่อยู่นอกร่างกายเข้ามาปรุงอารมณ์ เรียกว่าจิตส่งออก หรือจิตหนีเที่ยว

       ง. จิตที่ออกนอกร่างกายไป รู้ เห็น เข้าใจ สรรพสิ่งในมิติอื่น แล้วหวนกลับเข้าสู่ร่างกายเดิม เรียกว่าตายแล้วฟื้น

       จ. จิตที่ออกนอกร่างกาย แล้วเข้าไปอยู่อาศัยในร่างกายใหม่ จึงไม่สามารถหวนกลับเข้าสู่ร่างกายเดิม ทิ้งร่างกายเดิมไว้เป็นซากศพ แล้วดิน น้ำ ไฟ ลม กระจายสู่ธรรมชาติดั้งเดิม เรียกพฤติกรรมของจิตเช่นนี้ว่า ตาย หรือการตายอย่างแท้จริง

     (๓). ผู้ที่ถอดเครื่องช่วยหายใจออก ถือว่าประพฤติปาณาติบาต จึงไม่สามารถพัฒนาจิตให้พ้นไปจากวัฏสงสารได้
  

2332.

กราบเรียน อาจารย์ดร . สนอง   วรอุไร ที่เคารพ

     หนูมีเรื่องเรียนขอความกรุณาจากอาจารย์ ค่ะ เพราะหนูมีเรื่องข้อสงสัยมากมายในการปฏิบัติธรรม และที่ผ่านมาไม่มีใครให้คำตอบหนูจนหนูรู้สึกกระจ่างใจ หนูจึงขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

      (๑).  ช่วงที่หนูได้ฝึกปฏิบัติธรรมประมาฌ 6 เดือน (อบรมกับทางโรงเรียน 3 วันแล้วมาทำต่อที่บ้านค่ะ ตอนนั้นอายุ 16 ) มีอยู่คืนหนึ่งหนูฝันว่า หนูเดินขึ้นเขาหัวโล้นมีคนเดิงน้อยนด้วยมากมาย แต่ไม่มีใครพูดคุยกันทุกคนเป็นภาพขาวดำหนูเดินขึ้นไปเรื่อยๆได้ข้ามสะพานไม้คนที่เดินด้วยก็น้อยลง แล้วก็ข้ามสะพานปูนคนที่เดินด้วยก็น้อยลงอีก แล้วหนูก็หยุดยืนอยู่ตรงนั้นเพราะว่าไม่รู้จะไปไหน คิดว่าจะเดินกลับจึงหันกลับไปก็พบพระรูปหนึ่งท่านสง่างามมากพระ ท่านเหมือนคนปกติเหมือนกับหนู คือ เสื้อผ้าเนื้อหนังเป็นสีไม่ใช่ภาพขาวดำ ท่านเดินเข้ามาแล้วถามหนูว่า   จะไปไหน   หนูก็ตอบท่านไปว่า   ไม่รู้ค่ะ    แล้วท่านก็บอกว่า   งั้นตามเรามา   ท่านเดินข้ามสะพานข้ามคูน้ำไปในทุ่งหญ้าสีเขียว หนูก็แปลกใจเพราะเมื่อกี้ยังไม่มีสะพาน   แต่ก็เดินตามท่านไปค่ะเดินตามท่านเข้าไปในทุ่งหญ้าได้ประมาณ 10 ก้าว ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา รู้สึกว่าคนที่กำลังตามเรามานั้นเค้าจะหาเราไม่เจอ ถ้าเราเดินตามพระท่านไป จึงหยุดเดินแล้วหันกลับไปเพื่อจะรอคนคนนั้นแต่ก็ไม่รู้ว่าเค้าคือใคร แต่ในใจก็กลัวว่าจะตามพระท่านไม่ทันจึงหันกลับไปมองพระท่าน   แต่พระท่านก็ถึงวัดแล้วมีคนกำลังตักบาตรท่านอยู่ (ทุ่งหญ้าและวัดก็เป็นภาพสีปกติ) แล้วหนูก็ตื่นค่ะ

     หนูจึงขอเรียนถามอาจารย์ค่ะ ว่าความฝันของหนูครั้งนี้คืออะไรคะ   หรือจิตหนูคิดไปเองคะ

     (๒).  หนูเคยตั้งใจกับตัวเองว่า จะพยายามสวดมนต์และแผ่เมตตาให้เขาทุกคืน(มนุษย์และสัตว์) แต่มีช่วงหนึ่งที่หนูใกล้สอบ แล้วไม่ได้ทำอยู่หลายวัน คืนหนึ่งหนูก็ฝันว่า หนูกำลังนั่งสมาธิแล้วก็มีหน้าผู้ชายคนหนึ่งอยู่ในท้องหนู หน้าเหลี่ยมผิวดำแดง

     เขาจ้องหนูสายตาเหมือนตำหนิ ดุ แต่ก็เหมือนยิ้มในหน้า หนูก็กลัวและตกใจมากสวดมนต์ทุกบทเท่าที่นึกออก แต่เขาก็ยังไม่ออกจากตัวหนู แล้วหนูก็สวดบทแผ่เมตตารัวเร็วไม่รู้ว่าท่องไปกี่บทแล้วเขาก็ค่อยๆหายไป และหนูก็ตื่น และก็พบว่าตัวเอง

     นอนอยู่ในท่านั่งสมาธิ คือ ตัวนอนหนุนหมอน ขาอยู่ในท่าขัดสมาธิเท้าขวาทับเท้าซ้าย และมือขวาทับมือซ้ายที่หน้าตักหนูตกใจมาก(มากกว่าฝันในข้อ 1 ) หนูยอมรับเลยค่ะว่าทำให้หนูไม่กล้านั่งสมาธิไปนาน

     หนูจึงขอเรียนถามอาจารย์ค่ะว่าฝันของหนู(มันไม่เหมือนฝันเลยค่ะ) คืออะไรคะ   หรือจิตหนูคิดไปเองคะ

     (๓).  หนูหยุดปฏิบัติธรรมไป ช่วงเรียน มหาวิทยาลัยเพราะพักอยู่กับเพื่อนหลายคน จนหนูแต่งงานและมีลูก 1 คนหนูรู้สึกอยากปฏิบัติธรรมอย่างมากและมีเพื่อนแนะนำให้สวด อิติปิโส 108 หนูก็สวดตลอดทั้งวันค่ะ ไม่ว่าจะทำงานบ้านหรือตอนเลี้ยงลูก(หนูไม่ได้ทำงานค่ะ)วันละ 2 หรือ 3 จบและแผ่เมตตาทุกครั้งหลังจากเสร็จ 1 จบ ก่อนนอนนั่งสมาธิภาวนา 30 นาทีเป็นอย่างน้อย หลังจากสวดได้หนึ่งเดือนกว่า มีอยู่วันหนึ่งกำลังเอาลูกนอนกลางวันลูกขอให้หนูสวดมนต์ให้เขาฟังแทนการร้องเพลงหรือเล่านิทาน(ลูกชาย 2 ขวบครึ่ง) หนูก็นอนกอดเขาแล้วสวดมนต์ให้เขาฟัง จนลูกหลับหนูก็ยังสวดต่อแต่เหมือนจะง่วงปากก็หยุดสวดแต่ใจยังสวดอยู่ สักพักใจก็หยุดนิ่ง   ยังไม่หลับค่ะหนูมั่ นใจ แล้วก็เห็นจุดสว่างเล็กๆอยู่ตรงกลาง(ยังหลับตาอยู่นะคะ) แล้วก็สว่างมากขึ้นๆๆแล้วก็เห็นซึ้ง(ของใช้นึ่งข้าวเหนียวสานด้วยไม้ไผ่) ข้างในมีข้าวและน้ำอยู่เกือบเต็ม แล้วน้ำก็ค่อยๆๆๆลดลงจนเห็นเมล็ดข้าวชัดเจน   เมล็ดข้าวนั้นใส ใสมากๆใสเหมือนลูกแก้วที่ใสจนมองทะลุ ใจของหนูก็ยังนิ่งและมองอยู่อย่างนั้น สักพักข้าวก็ค่อยๆๆๆลดลงจนไม่เหลือเลยสักเมล็ด จนเห็นลายสานของก้นซึ้ง ชัดเจนขึ้น   ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มตา แล้วซึ้งก็ค่อยๆห่างออกไป จนหายไป แล้วหนูก็ลืมตา ขณะนั้นจิตหนูยังสงบอยู่ค่ะไม่ได้คิดอะไรเลย

     หนูจึงอยากเรียนถามอาจารย์ค่ะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนูนั้นคืออะไรคะ

      (๔).  มีอยู่อย่างหนึ่งค่ะเวลาสวด อิติปิโส 108 ที่สวดไปทำงานไป แล้วมีความรู้สึกหงุดหงิด จะเป็นบาบไหมคะ แล้ววิธีที่หนูปฏิบัติอยู่นี้ใช้ได้ไหมคะ ถูกต้องรึเปล่าคะ ขอความกรุณาจากอาจารย์ในคำถามนี้ด้วยนะคะ

     (๕).  หนูสวดอิติปิโส 108 ได้ 4 เดือน ก็ต้องกลับไปอยู่บ้าน(ที่ต่างจังหวัด )เพราะพ่อป่วย แฟนก็ลาออกจากงานแล้วกลับไปทำสวนด้วยกัน หนูก็ยังสวดมนต์และนั่งสมาธิเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่อยู่บ้านได้สักพักหนูก็ต้องมีปัญหากับพ่อในเรื่องการทำสวน      แล้วมันก็รุนแรงขึ้นทุกวัน พ่อแรงมาหนูแรงไป หนูไม่เคยเป็นแบบนี้ไม่เคยคิดว่าจะเสียงดังกับท่าน (ถึงแม้จะรู้ว่าพ่อไม่อยากให้กลับมาท่านจะทำเอง เพราะไม่เคยไว้ใจใครทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งก็ตาม)หนูเครียดมาก ตอนทำงานในสวนก็สวดมนต์ไปร้องไห้ไป จนรู้สึกว่าสวดต่อไปไม่ได้ไม่มีสมาธิเลย ก็หยุดไปหลายวัน ในช่วงที่หยุดสวดมนต์ก็ไม่มีปัญหากับพ่อเลย จึงเริ่มสบายใจขึ้นแล้วสวดใหม่แล้ว ณ วันนั้นทำอะไรก็ไม่ดีพ่อจะบอกว่า มันเสียหาย มันไม่ถูก แล้วก็โวยวาย ทั้งๆที่ทำตามที่ท่านบอก     หนูรู้ว่าหนูเป็นคนใจร้อนแต่ก็ไม่มากนัก และไม่เคยคิดว่าจะเถียงพ่อ แต่พอหนูสวดมนต์วันไหนวันนั้นวันนั้นต้องบ่นหรือโวยวาย ถ้าวันไหนไม่สวดก็สงบมาก หนูสังเกตุมา 3 - 4 ครั้งแล้ว

     หนูจึงขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

     •    การที่หนูกับพ่อต้องทะเลาะกัน จะเกี่ยวกับการสวดมนต์ของหนูไหมคะ

     •  หนูรู้คะว่าการเถียงพ่อแม่นั้นบาบมีวิธีไหนที่จะระงับความโกรธที่จะเหมาะกับจริตของจิตหนูคะ

     •  ตอนนี้สุขภาพท่านแย่ลงมากๆแต่ก็ยังดื้อคือ ท่านเดินไม่ค่อยไหวแต่ก็ไม่ยอมใช้ไม้ค้ำ ตอนมีไข้ลุกอึ ฉี่เองไม่ไหวแต่จะไปให้ได้ดึงไว้ก็ไม่อยู่แต่ถ้าพูดคุยเรื่องอื่นท่านรู้เรื่องค่ะ หนูจะช่วยอะไรท่านได้บ้างคะในทางธรรม (เพราะในทางโลกก็ดูแลท่านทุกวันอยู่แล้วคะ)

     (๖).  ตอนนี้หนูมีอาชีพทำสวนผลไม้ค่ะ ซึ่งช่วงที่มีเมลงก็ต้องใช้ยาฆ่าเมลง แต่หนูอยากรักษาศีล 5 ให้ได้ หนูอยากที่จะปิดอบายภูมิให้ได้ในชาตินี้จะเป็นไปได้ไหมคะ แล้วหนูจะต้องทำอย่างไรบ้างคะ

     ท่านอาจารย์ สนองคะ หนูเคย อธิฐานตั้งแต่ตอนอายุ 16 (ตอนนี้อายุ 33 แล้วค่ะ)   ว่าหนูอยากมีอาจารย์ทางธรรม หนูอ่านหนังสือธรรมะพอสมควรแล้ว ก็ได้อ่านหนังสือของอาจารย์เกิดความรู้สึกว่าใช่เลย อยากพบ อยากสนทนาธรรมกับอาจารย์ค่ะ   หนูจึงขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ค่ะ   แล้วแต่อาจาย์จะเมตตาค่ะ(แต่ก็หวังค่ะ ว่าอาจารย์จะรับหนูเป็นศิษย์ เพราะหนูมีเวลาเหลือน้อยลงทุกที ไม่รู้ว่าจะตายวันไหนค่ะ)

     สุดท้ายนี้   หนูกราบขอบพระคุณ   อาจารย์ ดร . สนอง   วรอุไร เป็นอย่างมากที่กรุณาตอบคำถาม   และบุญกุศลใดที่หนูมี ขอบุญกุศลนั้นช่วยส่งให้อาจารย์มีรางกายที่แข็งแรง จิตใจที่เข็มแข็ง และบารมีที่แกร่งกล้า   ยิ่งๆขึ้นไปเทอญ

คำตอบ
      (๑). ความฝันนั้นเป็นสุภนิมิต ถ้าไม่เลิกหรือหยุดปฏิบัติธรรม จิตก็สามารถบรรลุสิ่งที่ปรารถนาได้

     (๒). สิ่งที่บอกเล่าไปเป็นนิมิต มาเตือนให้มีสัจจะในการปฏิบัติธรรม ส่วนความไม่กล้า (ความกลัว) เกิดขึ้นด้วยจิตไม่รู้จริงในสิ่งที่กลัว ผู้ใดปฏิบัติธรรม (วิปัสสนากรรมฐาน) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ย่อมเห็นสรรพสิ่งถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ แล้วความไม่มีสัจจะ ความไม่กล้าหรือความกลัว จะไม่เกิดขึ้นกับจิตใจ

     (๓). การสวดมนต์เป็นการพัฒนาจิตอย่างหนึ่ง หากจิตจดจ่ออยู่กับบทมนต์ที่สวด สติย่อมเกิดขึ้น หากตายในขณะมีสติครองใจ จิตวิญญาณย่อมโคจรไปสู่สุคติภพ แต่ไม่สามารถโคจรพ้นไปจากวัฏสงสารได้ ทั้งนี้เป็นเพราะสติอย่างเดียวไม่สามารถกำจัดอวิชชา (โมหะ) ให้หมดไปจากใจได้

     ส่วนภาพที่เห็นและบอกเล่าไปนั้น เป็นกิเลสมาที่มาขัดขวางจิต มิให้มีความก้าวหน้าในทางปัญญาเห็นแจ้ง ดังนั้นผู้รู้จริงแท้ จึงไม่เอาจิตไปผูกติดเป็นทาสของสิ่งที่ถูกเห็น แต่ผู้รู้ฯ เอาจิตกำหนดสิ่งที่ถูกเห็นให้หมดไป ด้วยการบริกรรมหรือกำหนดว่า “เห็นหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าสิ่งที่ถูกเห็นจะดับไป แล้วจึงดึงจิตกลับมาอยู่กับการภาวนาเดิมที่ทำอยู่ วิธีการเช่นนี้ เป็นการลดกำลังของสติ ให้มาตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วปัญญาเห็นแจ้งจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้น

     (๔). ขณะสวดมนต์บทอิติปิโส แล้วรู้สึกหงุดหงิด นั่นเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นการขาดสติของจิต มิได้จดจ่ออยู่กับบทมนต์ที่สวด เมื่อสิ่งกระทบที่เป็นเหตุขัดใจ (สิ่งกระทบไม่ดี) เข้าสัมผัสจิตแล้ว จึงมีผลทำให้ความหงุดหงิด (บาป) เกิดขึ้น

     (๕). เหตุเพราะจิตไม่รู้จริง ปัญหาจึงได้เกิดขึ้น คนไม่รู้จริง จึงประพฤติโต้แย้งโต้เถียงผู้มีอุปการคุณ พฤติกรรมเช่นนี้เป็นความอกตัญญู ให้ผลเป็นบาป ที่นำความวิบัติมาสู่ชีวิตและงานได้

     สวดมนต์ให้ผลเป็นบุญ ร้องไห้ให้ผลเป็นบาป ดังนั้นพฤติกรรมของผู้ถามปัญหา จึงได้ทั้งบุญและบาปเกิดขึ้นในคราวเดียวกัน

     คนใจร้อนเป็นคนมีจิตที่ขาดสติ หากประสงค์ทำให้ความเป็นคนใจร้อนหมดไป ต้องให้อภัยในสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ หากทำได้อารมณ์ที่สงบและเย็นก็จะเกิดขึ้น .... พิสูจน์ไหม?

     •  การสวดมนต์ขณะทำงาน เป็นการกระทำที่ขาดสติ ให้ผลเป็นบาป ดังนั้นการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างพ่อกับลูก จึงได้เกิดขึ้น

     •  ระงับความโกรธ ทำได้ ๒ วิธีคือ
      ก. ให้อภัยเป็นทานในทุกเหตุที่ทำให้ขัดใจ แล้วเมตตาย่อมเกิดขึ้น
      ข. พัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับขันธ์ ๕ ตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อขันธ์ ๕ ดับ ความเห็นแก่ตัว ( ego ) ย่อมดับตามไปด้วย แล้วความมีอารมณ์สงบเย็นก็จะเกิดขึ้น

     •  คิดจะช่วยพ่อในทางธรรม จัดว่าเป็นกุศลมโนกรรมที่ให้ผลเป็นบุญ แต่กอ่นจะช่วยพ่อ ลูกต้องมีความดี (ธรรม) คุ้มครองใจให้ได้ก่อน และความศรัทธาในความดีของพ่อจึงจะเกิดขึ้น แล้วลูกจึงจะมีโอกาสช่วยพ่อได้

     (๖). ปรารถนาปิดอบายภูมิในชาตินี้ ผู้ถามปัญหาต้องมีศีลคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ดังนั้นจึงต้องทำสวนแบบโบราณ คือสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นกับธรรมชาติในสวน แล้วปัญหาการใช้ยาฆ่าแมลงจะไม่มี

     อนึ่ง ปรารถนาจะปิดอบายภูมิให้ได้ ต้องมีจิตมั่นคง ไม่หวั่นไหวในคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ และมีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย หากทำได้แล้วสภาวธรรมในดวงจิต จึงจะมีโอกาสเปลี่ยนจากความเป็นปุถุชน ไปเป็นอริยบุคคลอย่างน้อยขั้นต้น (พระโสดาบัน) จึงจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงต้องทำเหตุด้วยตัวเองให้ถูกตรง แล้วการเป็นศิษย์-เป็นอาจารย์ ย่อมเกิดขึ้นโดยปริยาย
   

2331.
เรียนอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

ที่ทำงานของผมมีชั้นวางสำหรับเผยแผ่สื่อธรรมะของชมรมกัลยาณธรรมอยู่ และมีบ่อยที่คนที่ยังไม่รู้จักชมรมมักจะถามผมว่า ชมรมกัลยาณธรรมนี้อยู่สายไหน ผมก็จะตอบไปว่าไม่ได้อยู่สายไหนหรอก งานของชมรมคือเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธองค์ เขาเหล่านั้นก็มักจะพยายามเอาคำตอบให้ได้ว่าสังกัดสายไหน ผมก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงเรียนถามอาจารย์ว่าถ้าผมตอบไปว่า "อยู่สายพระสมณโคดม" จะสมควรหรือไม่ครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

ขอแสดงความเคารพ

คำตอบ
      สมควรครับที่ตอบว่าอยู่สายพระสมณโคดม คือท่านสอนอุบาสก อุบาสิกา ให้อยู่กับทุกข์โดยมีทุกข์เท่าที่จำเป็น และสอนภิกษุ ภิกษุณี ให้นำพาชีวิตพ้นไปจากความทุกข์
  

2330.
กราบเรียนสอบถามท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ ,

หนูเพ่ิมจะมีโอกาสไปปฏิบัติธรรม ณ วัดอัมพวัน เพียง 3 วัน (เน่ืองจากอาชีพการงาน ไม่สามารถลาได้ 7 วันต่อเนื่อง) เมื่อมีโอกาสจึงอธิฐานจิต บำเพ็ญครั้งนี้ ถวายบุญพระพุทธเจ้า , หลวงพ่อจรัญ และ บิดามารดา ในชาตินี้
ขณะปฏิบัติเสร็จ สวดมนต์ มีอาการน้ำตาไหลแม้ในใจ รู้สึกปืติแต่มิได้อยู่ในระดับที่จะมีน้ำตาไหลแต่อย่างใด

ไม่ทราบว่าต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไปจึงจะถูกต้อง คะ

ขอแสดงความนับถืออย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     ต้องรักษากาย วาจา ใจ ให้มีศีล ๕ กำกับอยู่ทุกขณะตื่น แล้วเร่งความเพียรปฏิบัติธรรม จนเข้าถึงสติและปัญญาเห็นแจ้ง จึงจะส่งผลให้จิตมีความเจริญในสภาวธรรมเกิดเพิ่มขึ้น
  

2329.
สวัสดีครับ อาจารย์ดร.สนอง

ผมฟังบรรยายของอาจารย์ดร.สนอง เกี่ยวกับการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ว่าต้องใช้อิทธิบาท 4 และมีความเชี่ยวชาญในงานที่ทำจริง แต่ก็ยังมีปัจัยอื่นๆอีกเช่น การทำบุญ (ตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 10) การไหว้เทวดา พหรม ผมเลยรบกวนถามอาจารย์ดังนี้ครับ

1. ผมควรทำ ทาน ศีล หรือภาวนา เป็นหลักครับ   แล้วควรทำในลักษณะใดครับ   เพื่อให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจ (หมายถึงมีเงินมากนะครับ)

2. การไหว้เทวดา พรหม มีวิธีการไหว้อย่างไรครับ เพื่อช่วยให้ธุรกิจก้าวหน้า มีลูกค้ามาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ

3. คนเรามีเทวดาประจำตัวหรือไม่ครับ ถ้ามีเราจะบูชาหรือแบ่งบุญให้เทวดา เพื่อช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างไรครับ

4. การสวดมนต์ถือเป็นการภาวนาหรือไม่ครับ แล้วการที่ผมบูชาดอกไม้พวงมาลัย พระพุทธรูป มีอานิสงส์อย่างไรครับ

ขอบคุณอาจารย์ดร.สนอง ครับ

คำตอบ
      (๑). ปรารถนามีเงินมาก เป็นความเห็นผิดของผู้รู้ไม่จริงแท้ พระพุทธโคดมได้ตรัสกับราหุลว่า “มนุษยสมบัตินำความคับแค้นใจมาให้ผู้ครอบครอง” ท่านจึงให้พระสารีบุตร เป็นอุปัฏฌาย์บวชราหุลเป็นสามเณร แล้วปฏิบัติธรรมจนมีอายุได้ ๒๐ พรรษา จึงได้บรรลุอรหัตผล (นิพพานสมบัติ) แล้วลาไปนิพพานที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

     ดังนั้น หากผู้ถามปัญหาปรารถนามีทรัพย์มาก ต้องให้ทรัพย์เป็นทาน ประพฤติตนมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีอุปการคุณ บริโภคใช้สอยมักน้อย มีสาระ มีความสันโดษ แล้วความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้น

     (๒). ต้องปฏิบัติตนมีพันธไมตรีที่ดีต่อเทวดา พรหม ด้วยการเซ่นไหว้อยู่เสมอ แต่มิใช่เอาเทวดา พรหม มาเป็นที่พึ่งที่เคารพบูชา

     (๓). ผู้ใดมีเบญจศีล มีเบญจธรรม อยู่กับใจทุกขณะตื่น ผู้นั้นย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา และได้ประพฤติตามข้อ (๒) อยู่เสมอแล้ว ความสมปรารถนาย่อมเกิดขึ้น

     (๔). สวดมนต์ด้วยมีใจจดจ่อ และประพฤติตนได้ถูกตรงตามบทมนต์ที่สวด ถือว่าเป็นการภาวนาได้

     การบูชาคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยพวงมาลัย ดอกไม้ หรือพระพุทธรูป ถือว่าเป็นอามิสบูชา มีอานิสงส์น้อยกว่าปฏิบัติบูชา (ปฏิบัติธรรม) เพราะการบูชาแบบหลังนี้ สามารถเปลี่ยนสภาวธรรมในดวงจิตจากความเป็นปุถุชน ไปเป็นอริยบุคคลได้

     อานิสงส์ของอามิสบูชา คือทำให้เข้าถึงมนุษยสมบัติ เข้าถึงสวรรคสมบัติ เมื่อตายแล้ว แรงกรรมยังผลักดันจิตวิญญาณไปสู่สุคติภพ และยังทำให้มีโอกาบรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้
   

2328.
เรียน ท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร

ตอนนี้หนูกำลังท้อแท้กับเรื่องความกตัญญู และไม่รูว่าจะสอนหลานๆต่อไปอย่างไรดีค่ะ
คือหนูกับแม่ต้องเลี้ยงดูตายายที่เป็นอัมพาตเป็นเวลา 5 ปีเต็ม (ขณะนี้ท่านเสียชีวิตไปแล้ว)   หนูกับแม่เพื่อกตัญญูแล้ว ต้องสละทั้งการเรียน การงาน และทรัพย์สินเงินทองที่สะสมก็หมดไม่มีเหลือ ซ้ำพอตอนตายายป่วยน้าก็ไล่ออกจากบ้านต้องกะเตงกันมาหาบ้านเช่าอยู่ พ่อกับแม่เขาแท้เขายังทำไ้ด้ พอตอนเขาตายก็มาขอศพไปจัดงาน เอาเงินค่าซองกัน แต่ไม่เคยช่วยเหลือดูแลสักนิดแม้นตอนยามป่วย (แถมไล่ออกจากบ้าน) ตอนงานเก็บเงินได้ก็ไม่เคยแบ่งมาให้ใส่บาตร หนูกับแม่ต้องออกกันเอง ใครถามก็ว่าเขาดูแลพ่อกับแม่เองจนท่านตาย ไม่เคยมีใครเชื่อหนูกับแม่เลยว่าเป็นผู ้ ดูแล ทุกวันนี้ท่านตายไปเป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว หนูกับแม่ก็ยังจนไม่มีเงินเก็บ ไม่มีบ้านอยูต้องเช่าเขา ส่วนข้างๆคนอกตัญญูอย่างน้าๆหนูกลับรวยเอารวยเอา ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เพราะกรรมเก่าของหนูกับแม่หรือไม่ ปัจจุบันหนูกับแม่ต้องเลี้ยงหลา น 3 คน ที่น้องสาวทิ้งไว้ไม่ดูแล เพราะมันเห็นแบบอย่างอกตัญญูแล้วได้ดี ต่อไปหนูจะสอนหลานๆหนูอย่างไร เพราะเขาเห็นตัวอย่างอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กลุ่มใจค่ะช่วยตอบคำถามหนูด้วยค่ะ ว่าทำไมเดี๋ยวนี้คนดีคนกตัญญูถึงอยู่ในสังคมนี้ยากจังเลยค่ะ

ด้วยความเครารพ
ภารดี

คำตอบ
      ผู้ตอบปัญหาได้มีโอกาเรียนรู้ชีวิตของมนุษย์แล้วเห็นว่า ไม่มีชีวิตของใครจะสุดโหดเท่ากับชีวิตของพระโพธิสัตว์ที่ผู้ตอบปัญหารู้จัก สิ่งที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไป ยังไม่ถึงเสี้ยวของความทุกข์ยาก เมื่อเทียบกับชีวิตของท่านฯ ดังนั้นพึงมีสติส่องนำทางให้กับชีวิต แล้วความดีงาม (คุณธรรม) ต่างๆย่อมเกิดขึ้น และถูกเก็บสั่งสมเป็นบารมีอยู่ในดวงจิตของผู้นำพาชีวิตอยู่บนเส้นทางนี้
  

2327.
กราบเท้าอาจารย์ ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง
 
         ทำอย่างไรหนูจะตื่น! จากความโง่ ความหลง ความมัวเมา ของสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงเสียทีค่ะ
หนูยังรู้ว่าใจหนู ยังคอยไปตามหาความสุขจากสิ่งที่เคยอยู่ด้วยแล้วมีความสุข เช่น แมวตัวโปรด เมนูโปรด
รถคันโปรด คนรัก งานที่เรารัก ตอนนี้ไม่มีความสุขกับสิ่งเหล่านี้เลยค่ะ จนแฟนบอกว่า เป็นอะไรมากหรือเปล่า
ทำไมเดี๋ยวนี้ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้แล้ว ทำไมทำให้ทุกอย่างเครียดไปหมด ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
ปฏิบัติธรรมก็เยอะทำไมเป็นอย่างนี้ ปรับปรุงตัวเสียน่ะ เขาอึดอัดไปหมดแล้ว
( เพราะเขาทำให้รู้สึกว่า วันหนึ่งถ้าเขาหมดรักแล้ว เขาคงจะทิ้งหนูไปค่ะ ความสุขเหล่านี้อยู่กับเราได้ไม่นาน)
บ้านที่ซื้อไว้ นานๆไปทีเพราะติดงาน ก็โดนขโมยขึ้น ตอนนี้อยากขาย บ้านเคยเป็นความภูมิใจ แต่ตอนนี้กลายเป็นภาระอีกอย่างไปแล้ว ร่างกายของหนูตอนนี้ก็พบเนื้องอกที่มดลูก คุณแม่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์และน้องชายก็ป่วยมีเนื้องอกในสมองค่ะ ...
 
ความจริงของชีวิตกำลังดำเนินไป ทำไมหนูถึงยังทำใจได้ไม่ดีเลยค่ะ ปฏิบัติธรรมมานาน เข้าปีที่ 8 หนูคาดหวังว่าหนูจะ ทำใจยอมรับเรื่อง กฎธรรมดาได้ดีกว่านี้
 
รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำการปฏิบัติ ว่าหนูบกพร่องในเรื่องไหน ทำไมมีแต่ทุกข์ในใจมากมายขนาดนี้
 
กราบขอบพระคุณค่ะ
ปิติพร

คำตอบ
     จากเรื่องที่บอกเล่าไปทั้งหมด แม้จะปฏิบัติธรรมมายาวนานถึง ๘ ปี จิตก็ยังเข้าไม่ถึงปัญญาเห็นแจ้ง อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา (อนิฏฐารมณ์) จึงได้เกิดขึ้น

    ดังนั้น ผู้ใดปรารถนารู้ เห็น เข้าใจ ได้ถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ ต้องพัฒนาจิตให้ถูกตรงตามธรรม (สมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา) หรือปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม (ศีล สมาธิ ปัญญา) หรือจะให้ง่ายยิ่งขึ้น ต้องนำตัวเองไปเป็นศิษย์ของผู้เข้าถึงดวงตาเห็นธรรม
   

2326.
เรียน ดร. สนอง

     ผมอยากทราบว่าการที่คนเราต้องการทำบุญ รักษาศีล ปฏิบัติธรรม เข้าใจหลักธรรมต่างๆ ก็เพราะมีความอยากเป็นตัวปัจจัยที่ทำให้เกิดการกระทำดังที่กล่าว เช่นอยากได้บุญ อยากเป็นพระสกิทาคามี หรือ พระอนาคามี หรือ ชาติหน้าจะได้เกิดในสุขคติภูมิ หรือมีความสุขขึ้น หรือแม้แต่ อยากจะไปนิพพาน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นความอยาก ที่เป็น ภวตัณหา ใช่ไหมครับ แต่ผมเคยอ่านและเคยได้ยินมาจากคนอื่น เขาบอกว่า ถ้าจะไปนิพพานนั้น ต้องไม่อยากแล้ว จะมีแต่ความว่างเท่านั้น หรือถ้าเริ่มด้วยความอยาก ก็ผิดแล้ว แต่ที่เราๆไปปฏิบัติธรรม ก็เพราะอยากจะพัฒนาตน พัฒนาใจเราให้เข้าถึงไม่ใช่หรือครับ แล้วถ้ามันเริ่มด้วยความอยาก แม้จะเป็นความอยากฝ่ายดีก็ตาม เช่นอยากปฏิบัติธรรม อยากเจริญสติภ่านา อยากนั่งสมาธิ อยากเดินจงกรม แล้วมันจะถึงสภาวะนิพพานซึ่งไม่มีความอยากได้อย่างไร หรือว่าทุกคนต้องเริ่มจากความอยากจะหลุดพ้น หรือ ภวตัณหาทุกคน รวมถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย แล้วเมื่อฝึกๆ ไป ความอยากจะลดลง และ มีแต่ความว่างมาแทนที่ ตอนนี้เวลาผมจะไปปฏิบัติธรรม สวดมนต์ นั่งสมาธิ ผมก็อยากจะทำด้วยความอยากจะพัฒนาจิตตนเองให้มีความรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาบ้าง จะได้ใช้ช่วยตนเองในชีวิตประจำวันได้ เช่น เวลาโกรธ   และคิดว่าได้ทำบุญด้วย   แต่ก็ยังไม่ไปถึงไหนนะครับ มันติดอยู่ที่คำถามดังกล่าว และ ความไม่แน่ใจว่า เวลา ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ หรือทำบุญ ต้องทำใจอย่างไร คิดอย่างไร ต้องไม่ให้อยาก หรือ แค่รู้ว่าอยาก ต้องทำอย่างไรครับ อาจารย์ช่วยชี้ทางให้ผมด้วยนะครับ

ขออนุโมทนาบุญครับ
   ศวัส

คำตอบ
      คำถามในทำนองเดียวกันนี้ ผู้ตอบปัญหาเคยถามท่านเจ้าคุณโชดก ในครั้งที่ไปพิสูจน์สัจธรรม เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ท่านเจ้าคุณฯ ได้ตอบคำถามนี้ว่า

ท่านเจ้าคุณโชดก : อยากไปนิพพาน ต้องกำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจใช่ไหม?

ผู้ตอบปัญหา : ใช่ครับ

ท่านเจ้าคุณโชดก : จะกำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจได้ ต้องทำเหตุให้ตรง คือพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วโอกาสที่กิเลสจะถูกกำจัดให้หมดไปจากใจ จึงจะเกิดขึ้นได้

ดังนั้น อยากไปนิพพานเป็นภวตัณหาก็จริง แต่เมื่อทำเหตุให้ถูกตรง กิเลสย่อมถูกกำจัดให้หมดไป
  

2325.
กราบเรียนท่าน อาจารย์ สนอง ที่เคารพอย่างสูง

      ดิฉันได้ตั้งจิตอธิฐาน เพื่อที่จะบรรลุโสดาบันให้ได้ในชาตินี้ ซึ่งแรงกระตุ้นมาจากงานเขียนหลายๆ งานของท่านอาจารย์ที่ดิฉันได้อ่านแล้วทำให้เกิดกำลังใจอย่างมากที่ตั้งมั่นว่าจะทำให้สำเร็จให้ได้ ปัจจุบัน ดิฉันสวดมนต์ และนั่งสมาธิ เช้า (อย่างน้อย 1 ชม.) - เย็น(ประมาณ ครึ่ง ชม.)  และพยายามที่จะเจริญสติให้ได้ช่วงระหว่างวัน แต่จิตก็มักจะแวบไปคิดเรื่องอื่น อยู่ประจำ พอนึกได้ก็จะกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ ซึ่งปฏิบัติมาได้ 4-5 เดือน แล้วค่ะ

ดิฉันมีข้อสงสัยอยากรบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำ ดังนี้ค่ะ

 1. ดิฉันตั้งใจ ที่จะไป ปฏิบัติธรรมที่วัด สุนันทวราราม จ. กาญจนบุรี   ช่วงเดือนธันวาคม เป็นเวลา 9 วัน   ( เนื่องจาก สามีจะไปบวชที่นั้นพอดี จึงเห็นว่าไหนจะต้องไปบวช สามีอยู่แล้วก็เลย บวชชีพราหม์ ด้วยเลย แต่ สามีอยู่ 1 เดือน ค่ะ) และตั้งใจว่าจะปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดิฉันควรตั้งจิตอธิฐานอย่างไรให้ดีที่สุด เพื่อจะให้ตนเองได้พบกับปัญญาเห็นแจ้ง ค่ะ หรือ  จำนวน 9 วันจะน้อยเกินไปสำหรับการพัฒนาจิตของเรา ถ้าบุญเก่าเราสะสมนาน้อย หรือเปล่าค่ะ ? แต่ที่ไปได้แค่ 9 วัน เนื่องจาก ดิฉันมีลูกอายุ เกือบ 6 ขวบ แล้วค่ะ และแทบไม่เคยแยกกันอยู่เลย การไป วัดครั้งนี้พออธิบายให้เค้าเข้าใจเค้าก็ ร้องไห้ไม่ยอมให้ แม่ กับ พ่อไป แต่ ก็ตกลงกับเค้าได้ 9 วันให้เค้าอดทน ค่ะ

2. ดิฉันเคยได้ยินและได้อ่านที่ อาจารย์มักจะพูดถึงการมีสัจจะ ถ้าเราอธิฐานสิ่งใดไว้เราควรทำให้ได้ตามสัจจะนั้น เท่านั้นหรือเปล่าค่ะ หรือรวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันด้วย ค่ะ ? เช่น เราตั้งใจ หรือ บอกกับใครว่าเราจะไปที่นั้น วันนี้ แต่มีเหตุให้ไปไม่ได้ แล้วไม่ได้ไป เรียกว่าเราเสียสัจจะ หรือเปล่าค่ะ และถ้าเรา แจ้งแก่คนที่เราบอกด้วยเหตุผล จะได้หรือไม่ค่ะ ?

3. การใช้ สเปรย์ฉีด ที่มีการโฆษณาว่า สามารถฆ่าไรฝุ่นได้ 100 % ผิดศีล หรือทำให้ศีล ทะลุหรือ เปล่าค่ะ ? ( แต่ก็ไม่แน่นใจว่าสามารถทำได้จริงหรือเปล่าค่ะ เนื่องจากเค้า ไม่ได้ระบุที่ตัวผลิตภัณฑ์ แต่ใช้แผ่นพับต่างหาก มาโฆษณา แต่ที่ซื้อใช้เนื่องจากคิดว่าน่า จะทำให้การจาม จากภูมิแพ้ดีขึ้นได้ค่ะ)  

หากดิฉันมีอกุศลกรรมใดที่ได้ล่วงเกินท่านอาจารย์ ไม่ว่าทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ทั้งชาตินี้และชาติก่อนที่ล่วงมาแล้วก็ดี ขอท่านอาจารย์ได้โปรดยกโทษนั้น และอโหสิกรรม ทั้งป่วงนั้น ให้แก่ดิฉันด้วยค่ะ

  ดิฉันขอร่วมอนุโมทนาในบุญกุศลที่เกิดขึ้นนี้   ที่ท่านได้สละเวลาเพื่อชี้ทางสว่างแก่มนุษย์ปุถุชนทั้งปวง ด้วย ค่ะ สาธุ

       ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูง

คำตอบ
    (๑).  จำนวนวันมิได้เป็นเหตุตรงที่จะทำให้จิตเข้าถึงสภาวธรรมที่ตนปรารถนา แต่การปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรมเป็นเหตุที่แท้จริง

     คำว่า “ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” หมายความว่า ธรรมใดที่ต้องปฏิบัติให้ได้ผลก่อน ต้องทำก่อน ธรรมใดที่ต้องเอาไว้ปฏิบัติภายหลัง ต้องทำทีหลัง ตัวอย่างเช่น ต้องปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) หมายความว่า ต้องเอาศีลมาคุมใจให้ได้ก่อน แล้วจึงจะพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ในภายหลัง จิตจึงจะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ เมื่อนำจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ไปพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ (กาย เวทนา จิต ธรรม) ตามกฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้มีความสัปปายะ มีความเพียร มีบุญบารมีเก่าแต่อดีตสนับสนุน แล้วจึงจะสามารถเข้าถึงความสมปรารถนาได้

     (๒).  ผู้ใดมีศีล มีสัจจะ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ทำสิ่งใดแล้ว ย่อมบรรลุผลในสิ่งที่ตนปรารถนาได้

     จากตัวอย่างที่บอกเล่าไป จะใช้เหตุผลใดมาอธิบาย ยังถือว่าไม่มีสัจจะ

     (๓).  ถือว่าศีลยังขาด ยังทะลุ ยังด่าง ยังพร้อย .... สุดท้ายอโหสิให้แล้ว
  

2324.
กราบเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. การทำมหาทานโดยการทำบุญเลี้ยงพระ 7 วัน ติดต่อกัน   ต้องเลี้ยงพระทั้งวัดหรือไม่

2.   ดิฉันประสงค์จะทำบุญโดยการสร้างมหาทาน จะทำอย่างไรดีเพราะว่าที่อ่านคำตอบของอาจารย์ว่าทำได้โดยวิธีหนึ่งคือ วิธีทำบุญเลี้ยงพระติดต่อกัน 7 วันนั้น ดิฉันเห็นว่า วัดต่างๆใกล้ๆบ้านของดิฉันก็มีผู้ทำบุญเลี้ยงพระกันอยู่เป็นประจำแล้ว อาหารนั้นมีเหลือเฟือ ที่ญาติโยมนำมาถวาย   ดิฉันควรทำหรือไม่หรือควรเปลี่ยนไปสร้างมหาทานโดยวิธีอื่นคะ อาจารย์กรุณาแนะนำวิธีอื่นๆและวิธีไหนจะเป็นประโยชน์มากกว่ากัน

3.  การบริจารเงินสร้างสาธารณะสถานหรือศาสนสถานต้องบริจากปริมาณเท่าใด จึงจะถือเป็นมหาทานได้คะ และการทอดกฐินถือเป็นมหาทานหรือไม่คะ

           กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
      (๑).  คำว่า “มหาทาน” หมายถึง ทานอันยิ่งใหฤญ่ คนมีทรัพย์มาก (เศรษฐี) สามารถเลี้ยงพระทั้งวัดได้ เรียกการกระทำเช่นนั้นว่า เป็นมหาทาน ผู้ที่มีทรัพย์ไม่มาก เช่น สิริมาแห่งกรุงราชคฤห์ ได้จัดเตรียมอาหารวันละ ๘ สำรับ แล้วนิมนต์พระสงฆ์ ๘ รูป มารับทานอย่างต่อเนื่อง อย่างนี้เรียกว่า เป็นมหาทาน จึงสรุปว่าไม่จำเป็นต้องเลี้ยงพระทั้งวัด

     (๒).  ผู้ไม่ศรัทธาทำอาหารถวายพระสงฆ์ สามารถเลือกทำประโยชน์แก่คนหมู่มากได้ เช่น สร้างถนน สร้างสะพานข้ามคลอง สร้างทางเดินจงกรม ร่วมจัดทำหนังสือธรรมะแจกให้คนหมู่มากได้อ่าน ฯลฯ ก็จัดว่าเป็นมหาทานได้ ดังนั้นพึงเลือกเอาตามความสามารถที่ตนทำได้ วิธีการใดทำแล้วเกิดประโยชน์ได้มากกว่า ก็เลือกทำตามสติปัญญาของตนได้

     (๓).  มหาทาน มิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ใช้ แต่ขึ้นอยู่กับชนิดของประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับคนหมู่มาก

    การทอดกฐินจัดว่าเป็นมหาทานได้ แต่อานิสงส์ไม่มากเท่ากับการจัดปฏิบัติธรรม
  

2323.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมาได้ไปร่วมงานแสดงธรรม-ปฏิบัติธรรมครั้งที่ 24 ที่ม.เทคนิคกรุงเทพ   มีโอกาสได้พบเห็นอาจารย์ในห้องประชุม จึงสังเกตุเห็นว่าอาจารย์ดูล้าลงไปมาก แต่ก็ยังมีเมตตาที่จะสั่งสอนช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์ต่อไปอีกโดยไม่คำนึงถึงสังขารตัวเอง   ทำให้ดิฉันรู้สึกผิด ที่ไม่เร่งรีบปฏิบัติในขณะที่ยังมีครูอาจารย์ที่ดีคอยชี้แนะอยู่   ขออนุโมทนาบุญกับอาจารย์ด้วยค่ะ  

ดิฉันมีปัญหาที่จะเรียนถามอาจารย์เล็กน้อยค่ะ

1    เรื่องภพภูมิต่างๆทั้ง 31 ภพภูมิ   คนในศาสนาอื่นเขาจะวนเวียนอยู่ใน 31 ภพภูมินี้เหมือนกับคนพุทธมั๊ย   ในความเข้าใจคิดว่าน่าจะเหมือนกันเพราะโลกนี้มีเพียงหนึ่ง   ความจริง/กฏกติกาต่างๆก็น่าจะเป็นหนึ่งเดียวเหมือนกัน

2    เรื่องการนับถือศาสนา   คนเราจะนับถือศาสนาเดิมข้ามภพข้ามชาติมั๊ยคะ   เวลาที่เราเกิดเป็นคนใหม่   เราจะนับถือศาสนาเดิมที่เราเคยนับถืออยู่ก่อนในชาติที่แล้วมั๊ย   ถ้าไม่ใช่ มีปัจจัยอะไรเป็นตัวกำหนด

อกุศลกรรมใดที่ดิฉันได้กระทำต่ออาจารย์ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม   ทั้งที่เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี   ทั้งต่อหน้าและลับหลังก็ดี   ขอท่านอาจารย์ได้โปรดอโหสิให้ด้วยนะคะ   และขอให้อาจารย์สุขภาพเเข็งแรง ได้สั่งสมบารมียิ่งๆขึ้นไปจนได้บรรลุมรรคผลนิพพานตามที่อาจารย์ปรารถนา

กราบขอบพระคุณค่ะ

สุวัฒนา

คำตอบ
     (๑).  เป็นสิ่งสมมุติที่แต่ละความเชื่อ (ศาสนา) บัญญัติชื่อไว้ไม่เหมือนกัน แต่ภพภูมิมีสภาวธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน

     (๒).  การนับถือศาสนาในแต่ละภพชาติที่เกิด มีทั้งที่เป็นเหมือนเดิม และมีทั้งที่ต่างไปจากเดิม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตั้งจิตปรารถนา (อธิษฐาน) เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิด .... สุดท้ายอโหสิให้แล้ว
  

2322.
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง

         หนูกราบขอคำแนะนำ      สถานที่ ปฏิบัติธรรม ที่เชียงใหม่ ช่วงเดือน มีนาคม 2556 หน่อย ค่ะ
         กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่เมตตามากค่ะ กรรมใดที่ได้ล่วงเกินท่าน อาจารย์ไว้ ทั้งที่เจตนา และไม่ได้จตนา ขอท่านอาจารย์ได้โปรดอโหสิกรรมให้หนูด้วยนะคะ และขอร่วมโมทนาในเจตนาดี ในการเผยแผ่ธรรมะ ชี้ทางสว่างให้กับลูกหลาน ของท่านอาจารย์ด้วยค่ะ

ชนัญชิดา

คำตอบ
      โปรดติดต่อที่ตาณัง เลณัง ประธานชมรมสารธรรมล้านนา หรือที่วัดพระธาตุจอมทอง ด้วยตัวเองครับ
     

2321.
เรียน   อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพรัก อย่างสูง

                 อาจารย์ครับ ทุกวันนี้ที่กระผมได้พยายามปฏิบัติอยู่คือการสวดมนต์ทำวัตรเช้าและเย็น    เมื่อจบแล้วจะสวดมนต์อีก 4 พระสูตร คือ พระธรรมจักกปวัตตนสูตร พระมงคลสูตร พระรัตนสูตร และพระกรณียเมตตสูตร จะสวดอยู่เป็นประจำ และพระปริตรอีกหลายๆบท ตามแต่เวลาที่ว่าง อยากถามอาจารย์ว่า

                1. เมื่อสวดมนต์จบ (สวดเสียงดัง) กระผมได้แผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ แล้วอุทิศ บญกุศล ( คำกล่าวอุกุศลที่ผมปฏิบัติคือ อิมินา ปุญฺญกมฺเมน ด้วยผลที่ข้าพเจ้ากระทำมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน และได้ทำวัตรเย็น และได้สาธยายพระธรรมจักกปวัตตนสูตร พระมงคลสูตร พระรัตนสูตร พระกรณียเมตตสูตร และพระปริตรต่างๆทั้งหมดนี้ ขอจงเป็นพลวปัจจัย ไปถึงและอุดหนุนค้ำจุน คุณบิดามารดา ผู้มีพระคุณ ญาติกา ครู อาจารย์ พระอุปัชฌาย์ เจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าในทุกภพทุกชาติที่ข้าพเจ้าเกิด พระมหากษัตริย์ มิตรรักสนิท เพื่อนสัพพสัตว์ทุกชนิด พระภูมิเจ้าที่ แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระยายมราช นายนิรบาล อีกทั้งท้าวจตุโลกบาล เบื้องต่ำตั้งแต่อเวจีจนถึงมนุษยโลก เบื ้ องบนตั้งภุมมฐกเทวดา จนถึงชั้นพรหมโลก ขอจงได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าอุทิศให้แล้วนี้ และด้วยอำนาจแห่งพระรัตนตรัย ท่าน ทั้งหลายที่ต้องทุกข์ ขอจงพ้นจากทุกข์ ที่ประสบสุข ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไปจวบจนเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ในอนาคตกาลด้วยเทอญ หากท่านที่ข้าพเจ้ากล่าวนามมานี้ ไม่สามารถจะรับทราบได้ ขอเทพยดาทั้งหลายผู้รู้การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลในครั้งนี้ โปแรดได้นำการอุทิศส่วนบุญส่วนกุลในครั้ง ไปบอกกับท่านที่ข้าพเจ้ากล่าวนามมานี้ว่า ข้าพเจ้านายประเสริฐ ทองทา ได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้แล้ว ขอให้ท่านที่ข้าพเจ้ากล่าวนามมานี้จงได้รับส่วนบุญส่วนกุศลนี้ และจลเป็นผู้มีความสุขในสัมปรายภพเทอญ) ทั้งหมดนี้ ท่านที่ผมได้เอ่ยนามมานี้จะได้รับใหมครับ

                2. อยากทราบว่าการปฏิบัติของกระผมเช่นนี้ ถูกหรือยังครับ มีอะไรที่ต้องแก้ไขอีกไหมครับ
                
                 ขอขอบพระคุณอาจารย์ มา ณ โอกาสนี้ และต้องกราบขออภัยอาจารย์ด้วย ที่รบกวนเวลาของอาจรย์ตอบปัญหา ขอขอบพระคุณอย่างสูง

   เคารพ รัก บูชา อาจารย์ด้วยศรัทธา

      นายประเสริฐ   ทองทา

คำตอบ
      (๑). ผู้รู้จริงแท้กล่าวว่า บุญที่เกิดจากการอุทิศให้นั้น มีปรทัตทูปชีวีเปรตและสัมภเวสี ที่ผู้อุทิศสามารถสื่อสารถึงกันได้ แล้วเขามาอนุโมทนาบุญ เขาจึงจะสามารถรับบุญที่เกิดจากการอุทิศนั้นได้ ส่วนสัตว์ที่กำเนิดอยู่ในภพอื่นไม่สามารถสื่อสารถึงได้ หรือสามารถสื่อถึงได้แต่ไม่มาอนุโมทนาบุญ เขาจึงไม่ได้รับบุญที่เกิดจากการอุทิศ

     ดังนั้น ผู้ถามปัญหาสามารถอุทิศบุญให้สรรพสัตว์ได้ เพื่อเป็นการแสดงไมตรีต่อกัน แต่เขาจะมาอนุโมทนาบุญหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของเขา

     (๒). การสวดมนต์เป็นประจำนั้นดีแล้ว แต่จะให้ดีที่สุดต้องพัฒนาจิตด้วยการปฏิบัติธรรม (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้นในดวงจิต แล้วโอกาสเปลี่ยนสภาพจากปุถุชนไปเป็นอริยบุคคล (ปิดอบายภูมิหรือนิพพาน) จึงจะเกิดขึ้นได้
  

2320.
กราบเรียนอาจารย์สนอง วรอุไร
 
การประมูลบ้านจากกรมบังคับคดี บาปหรือไม่อย่างไร
       กระผมมีข้อสงสัย ที่ตัวผมเองไม่สามารถตอบตัวเองได้เลย ทั้งที่พยายามหาคำตอบจากหลายมุมมองแล้ว
ปัญหาของผมก็คือผมกับภรรยา เป็นคนที่ไม่ค่อยมีฐานะจึงต้องเช่าบ้านเค้า อยู่มาโดยตลอด   ย้ายบ้านมาก็หลายครั้ง
 
ตัวผมเองเคยตั้งปณิฐานไว้ว่าจะซื้อบ้านให้ภรรยาและเด็กๆ ได้อยู่ในบ้านที่เป็นของตัวเองเสียที   ซึ่งผมเองก็ประหยัด
อดออมเพื่อเก็บเงินไว้ซื้อบ้าน เพื่ออยู่กันเป็นหลักเป็นแหล่งเสียที จะได้ไม่ต้องย้ายบ้านกันอีก ซึ่งในปี 2555 นี้ผมก็
พอจะมีเงินก้อนจำนวนหนึ่ง   แต่ว่าไม่มากพอที่จะซื้อบ้านใหม่ (มีประมาณ 20% ของบ้านใหม่ในปัจจุบัน 3-4 ล้าน)
 
    ซึ่งบ้านใหม่ผมไม่มีปัญญาที่จะซื้อไ้ด้   ผมจึงหันมาดูบ้านจากกรมบังคับคดีแทน ซึ่งราคาจะถูกลงไปกว่า 35%-40% แต่เงินที่มีก็ยังไม่เพียงพออยู่ แต่ก็ยังพอมองเห็นโอกาสอยู่บ้างถึงแม้ว่าจะน้อยนิดก็ตาม   เพราะมองว่าสามารถจ่ายเงินก้อน ที่มีไปบางส่วน   แล้วอาศัยการผ่อนชำระกับสถาบันการเงินต่อไป จึงตั้งเป้าไปที่การประมูลบ้านจากกรมบังคับคดีเป็นหลัก ซึ่งคิดว่าเป็นทางเดียวที่จะมีโอกาสได้บ้านเป็นของตัวเองเสียที
 
   ปัญหาของผมอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กๆ ซึ่งอาจจะไม่เป็นปัญหาสำหรับบุคคลอื่นๆ แต่สำหรับตัวผมเองนั้นหากว่ามีเงินซื้อบ้าน ใหม่ก็ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่ว่าผมเองมีเงินน้อย   หากว่าใช้วิธีการนีั้จะเป็นบาปกรรมกับผมหรือไม่ เพราะผมเองก็เป็นกังวล กับเรื่องบาปกรรมจากการประมูลบ้าน ประกอบกับปัญญาผมเองไม่สามารถแยกแยะ ตอบปัญหานี้เองได้เลย   เนื่องจากตาม คำสอนของอาจารย์บอกว่า ศีลคุมใจนั้น จะต้องถูกต้องทั้งโลก และทางธรรม
 
   ซึ่งการประมูลบ้านจากกรมบังคับคดีนั้นถูกต้องในทางโลก แต่ในทางธรรมนั้น ผมเองตอบกับตัวเองยังไม่ได้ว่าจะเป็นบาป เป็นเวรกรรมหรือไม่ ดังนั้นผมเองก็พยายามไปดูบ้านที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ , บ้านที่คิดว่าเจ้าของเดิมไม่ต้องการแล้ว บ้านที่ทิ้งร้าง หรือหนีหนี้ไปแล้ว   เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเป็นเวรเป็นกรรม
 
    ด้วยปัญญาของผมเองไม่สามารถตอบคำถามในทางธรรมได้เลยครับว่า การไปประมูลที่บ้านของคนอื่นมาอย่างนี้ ทั้งๆที่ผม จะพยายามเลือกหาบ้านที่ไม่มีคนอยู่ หรือบ้านที่ิคิดว่าเค้าหนีหนี้ไปแน่ๆอย่างนี้จะเป็น อกุศลกรรม หรือไม่ และมีผลกรรมมาก น้อยขนาดไหน ฝากอาจารย์ช่วยแก้ข้่อสงสัยให้ผมด้วย   จักเป็นพระคุณยิ่ง
 
ป.ล.กราบขอบพระคุณอาจารย์ และขอร่วมอนุโมทนาในเจตนาดีของอาจารย์ี ที่ออกเผยแพร่พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยครับ    
 
    วุธ 

คำตอบ
      คนโบราณสอนลูกหลาน ไม่ให้ไปข้องเกี่ยวกับทรัพย์ร้อน แต่สอนให้แสวงหาทรัพย์เย็น คำว่า “ทรัพย์ร้อน” หมายถึง ทรัพย์ที่จะนำปัญหาเกิดตามมาภายหลัง เช่นทรัพย์ที่ได้จากการค้ายาบ้า ทรัพย์ที่ได้จากการประพฤติคอร์รัปชั่น ทรัพย์ที่ได้จากการค้าขายอาวุธ เครื่องจักเครื่องประหาร รวมถึงทรัพย์ที่ถูกยึดแล้วนำมาขายทอดตลาด เหตุที่เป็นดังนี้ เพราะเจ้าของเดิมยังมีจิตยึดติอยู่ หรือผูกพยาบาทอยู่ ส่วนคำว่า “ทรัพย์เย็น” หมายถึง ทรัพย์ที่บริสุทธิ์ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และ/หรือไม่ผิดธรรม

     ในกรณีประมูลบ้านจากกรมบังคับคดี ในทางโลกถือว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่ในทางธรรมถือว่าเป็นอกุศลธรรม ผู้ประมูลได้มีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์ ย่อมได้รับความเดือดร้อนตามมาภายหลัง นี่คือเหตุที่คนโบราณสั่งสอนลูกหลาน มิให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์ประเภทนี้

     หากผู้ถามปัญหา น้อมนำเอาพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใส่เกล้าแล้วประพฤติตาม คือมีความเป็นอยู่แบบพอเพียง พร้อมกับแสวงหาที่อยู่อาศัยที่เป็นทรัพย์เย็น นั่นแหละชีวิตจึงจะพบกับความสวัสดี
  

2319.
กราบเรียนดร.สนองที่เคารพ

หนูได้มีโอกาสฟังบรรยาย และ อ่านหนังสือของอาจารย์ ทำให้เกิดกำลังใจที่จะปฏิบัติเพื่อพัฒนาตัวเองไปสู่การปิดอบายภูมิให้ได้ในที่สุดค่ะ แต่ใจที่มุ่งมั่นก็ฟูๆแฟบๆ   ทำให้การปฏิบัติ ทำๆหยุดๆ สุดท้ายก็ยังวนเวียนอยู่ในวงจรเดิม ยังไม่สามารถแก้ไขตัวเองได้อย่างที่ตั้งใจไว้ค่ะ

1. หนูสังเกตุว่าทุกครั้งที่ตั้งใจพัฒนาตัวเองให้ดำเนินชีวิตให้ถูกตรงตามธรรม จะพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเสมอ คือ
จิตจะแว่บคิดถึงคำหยาบคาย ว่าพ่อ แม่ ครูอาจารย์ พระสงฆ์องค์เจ้า หรือไม่ก็คิดเรื่องอกุศลขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ทั้งๆที่ในชีวิตจริงไม่ได้เอ่ยวาจาเช่นนี้กับบุคคลที่ลูกเคารพบูชาเลย หนูรู้สึกทุกข์ทรมานจิตใจมาก พยายามอ่านหนังสือธรรมมะเพื่อแก้ไข แต่ก็เหมือนหลงทาง เพราะไม่รู้ว่าต้นสายปลายเหตุมันอยู่ที่ไหน แล้วจะแก้ไขได้อย่างไร
เรียนถามอาจารย์ว่า
     1.1 ทุกครั้งที่จิตแว่บคิดถึงสิ่งอกุศลเหล่านี้ ทั้งๆที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด มันผุดขึ้นมาเอง  ถือว่าเป็นบาปสะสมในดวงจิตใช่ไหมคะ
     1.2 ทำไมหนูห้ามความคิดแบบนี้ที่มันผุดขึ้นมาไม่ได้คะ
     1.3 ไม่ทราบว่าหนูไปทำเหตุใดไว้จึงเป็นเช่นนี้ค่ะ
     1.4 มีวิธีแก้อย่างไร ให้พ้นจากบาปกรรมนี้คะ

2.  คุณแม่หนู เมื่อดูข่าวในทางลบของพระ บางครั้งก็มีการวิจารณ์   หนูพยายามบอกคุณแม่ว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง   เราวิจารณ์ก็คือสะสมบาปให้ตัวเอง แต่คุณแม่ยังไม่เข้าใจในเหตุผลนี้ หนูจำได้ที่อาจารย์สอนว่าเราไม่มีสิทธิ์ไปสอนบิดามารดาเรา
    2.1 หนูจึงพยายามเงียบ และเป็นเพียงแต่ผู้ฟัง เวลาที่คุณแม่พูดถึงประเด็นละเอียดอ่อนนี้    หนูทำถูกแล้วใช่มั้ยคะ
    2.2 ในความเข้าใจของหนู คือ ทุกคนมีกรรมเป็นของตน ดังนั้นไม่ว่าข่าวที่เห็นในปัจจุบันเกี่ยวกับพระ จะเป็นอย่างไร หนูแค่รับทราบ และมองว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตน ถ้าผิดจริง   เราก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องยกขึ้นมาพูดเพื่อการวิจารณ์ เป็นบาปให้สะสมในดวงจิต   หนูคิดแบบนี้ถูกมั้ยคะ  
    2.3 ถ้าจิตเราวิจารณ์เพื่อความสนุกเมามันส์ ไม่ว่าคนที่เราวิจารณ์จะเป็นพระหรือคนทั่วไปก็ตาม    คือการสั่งสมบาปให้ตัวเองใช่ไหมคะ

3.  สำหรับผู้เริ่มต้นศึกษาอย่างหนู
     3.1 ควรเริ่มปฏิบัติสวดมนต์ ภาวนาอย่างไร รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางด้วยค่ะ
     3.2 หนูลองอ่านหนังสือเพื่อนำมาปฏิบัติเองประมาณ 1 ปีแล้ว แต่ก็ยังเหมือนวนอยู่ในอ่าง จึงคิดว่าเรายังไม่ได้สะสมบุญมากพอที่จะศึกษาเองให้รู้แจ้งได้ จึงคิดว่าอยากไปวัดเพื่อให้ครูอาจารย์ท่านสอน โดยสนใจ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ท่าพระจันทร์ เพราะเดินทางสะดวก อาจารย์สนองเห็นว่าดีไหมคะ

สุดท้ายนี้หนูกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาตอบคำถามชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้หนู
หากกรรมใดที่หนูตั้งใจ หรือ พลาดพลั้ง ล่วงเกินอาจารย์ไป ขอให้อาจารย์โปรดอโหสิกรรมให้หนูด้วยนะคะ
กราบขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ และขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หนึ่งคนนะคะ  
การได้ฟังบรรยาย และ อ่านหนังสือของอาจารย์ ทำให้หนูรู้สึกว่าตัวเองมีหลักปรัชญาที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต ไม่หลงทาง พร้อมที่จะทำงานทางโลกเพื่อรับใช้สังคม และ ปฏิบัติธรรมเพื่อสะสมทรัพย์ภายในของตัวเองให้ได้มากที่สุด ด้วยจิตที่เป็นอิสระดังหนังสือที่อาจารย์เขียนค่ะ

สุดท้ายนี้ ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรกับลูกหลานต่อไปนานๆนะคะ
กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     ผู้ใดมีสัจจะ เมื่ออธิษฐานสิ่งใดแล้ว ทำให้ได้ดังคำที่อธิษฐานไว้ ผู้นั้นย่อมมีโอกาพบกับความสมปรารถนาได้ในวันข้างหน้า

     (๑)  แม้ชาตินี้มิได้คิด แต่การมีจิตแวบไปคิดถึงสิ่งอกุศลเป็นเพราะ จิตใต้สำนึกได้เก็บบันทึกอกุศลกรรมไว้ก่อนในอดีตแล้ว เมื่อคิดจะทำความดี จึงถูกกิเลสมารเข้ามาขัดขวาง ด้วยเหตุนี้ผู้ปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จในรอบวัน ครูบาอาจารย์ผู้สอนกรรมฐาน จึงได้แนะนำให้อุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรม ให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง เพื่อให้สิ่งไม่ดีที่ถูกเก็บบันทึกอยู่ในดวงจิต (เจ้ากรรมนายเวร) ค่อยๆเจือจางและหมดไปได้ในที่สุด

       (๑.๑) เป็นบาปที่ถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตใต้สำนึก

       (๑.๒) เพราะพลังของอกุศลกรรมมีมากกว่าพลังของกุศลกรรม จึงห้ามความคิดที่ไม่ดีไม่ได้ หรือพูดได้ในอีกทางหนึ่งว่า จิตมีกำลังสติอ่อน จึงไม่สามารถต้านทานกำลังของกิเลสมารได้

       (๑.๓) เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะอดีตเคยประพฤติ (คิด พูด ทำ) ในสิ่งที่เป็นอกุศลมาก่อน

       (๑.๔) ผู้ปรารถนามีจิตพ้นจากอกุศลวิบาก (บาป) เช่นนี้ ต้องทำตามข้อชี้แนะในข้อ (๑)

     (๒)  คนที่มีกำลังสติอ่อน ชอบมองออกไปนอกตัว แล้วเอาสิ่งไม่ดีของคนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ มีผลทำให้บาปเกิดขึ้นกับตัวเอง ด้วยเหตุนี้ แม่ผู้ยังไม่มีความศรัทธาในตัวลูก (กะลาคว่ำ) หากลูกมีความปรารถนาดีไปชี้ทางถูกให้กับแม่ ผู้ยังไม่มีความศรัทธาในความดี (บุญ) ย่อมไม่ได้ผล ซ้ำร้ายยังเป็นเหตุให้บาปเกิดขึ้นกับลูกอีกด้วย

       (๒.๑) ทำถูกแล้ว .... สาธุ

       (๒.๒) คิดถูกแล้ว แต่จะให้ดียิ่งขึ้นต้องเอาพระเป็นครูสอนใจตัวเองว่า เราจะไม่ประพฤติเช่นท่าน แล้วเราก็จะไม่เป็นคนบาปเหมือนท่าน

       (๒.๓) ใช่ครับ ผู้รู้จริงไม่เอาจิตส่งออกแล้ววิจารณ์คนอื่น ตรงกันข้าม ผู้รู้จริงเอาจิตส่องดูกิเลสที่มีอยู่ในใจตน แล้วกำจัดให้หมดไป เมื่อทำได้อย่างนี้ บุญเท่านั้นที่จะเกิดขึ้นกับใจของตน

     (๓)  แม้จะเป็นผู้เริ่มต้นศึกษาธรรม แต่มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม เรียกว่าเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ .... สาธุ

       (๓.๑) สวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยก่อนนอนทุกวัน แล้วเจริญกายคตาสติอยู่เสมอ โอกาสเข้าถึงอริยธรรม ย่อมเกิดขึ้นได้

       (๓.๒) การศึกษาหาความรู้ในพุทธศาสนา ทำได้สองทางคือ อ่านตำราคัมภีร์ (คันถะธุระ) และปฏิบัติธรรม (วิปัสสนาธุระ) วิธีแรกเป็นการพัฒนาความจำ จึงไม่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ แต่วิธีหลัง เป็นการพัฒนาจิตให้เข้าถึงความจริง จึงสามารถนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นผู้ปรารถนานำพาชีวิตไปสู่อิสรภาพที่สมบูรณ์ ต้องไม่อ่านตำราคัมภีร์ แต่ปฏิบัติธรรมตาที่ปรารถนา จะไปปฏิบัติธรรมกับวัดที่กล่าวถึงนั้นถูกต้องแล้ว .... สาธุ
   

2318.
กราบเรียนถามท่านอ.ดร.สนอง

หนูอยากไปทำบุญบำรุงวัด และถวายสังฆทานกับวัดที่มีพระสุปฏิปันโน ในเชียงใหม่ ให้ครบค่ะ ที่หนูเคยไปจะมีวัดอรัญญวิเวก วัดป่าหมู่ใหม่ สำนักสุทธจิต วัดสันป่าสักวรอุไร สำนักตาณังเลณัง   วัดศรีดอนมูล ขอท่านอ.โปรดแนะนำชื่อวัดนอกเหนือจากนี้ให้หนูด้วยค่ะ อยากมีโอกาสไปให้ครบค่ะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
      นอกจากที่กล่าวถึงแล้ว ยีงมีวัดพระธาตุศรีจอมทอง อำเภอจอมทอง มีวัดดอยพระเกิ๊ด อำเภอจอมทอง มีวัดบ้านเดิ่น อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

     ต้องไม่ลืมว่า การถวายสังฆทาน หรือการทำบุญบำรุงวัด ได้เพียงสวรรคสมบัติ แต่การปฏิบัติธรรมยังมีโอกาสเข้าถึงพรหมสมบัติและนิพพานสมบัติได้
  

2317.
กราบเรียน อาจารย์สนอง วรอุไรที่เคารพครับ

ผมได้อ่านหนังสือธรรมะของอาจารย์เรื่อง ตายแล้วไปไหน , ทางสายเอก และอานุภาคพลังจิต รู้สึกว่าเป็นหนังสือธรรมะที่อ่านเข้าใจง่ายมากครับ

ขอกราบอนุโมทนาบุญในการเผยแผ่ธรรมะของอาจารย์ และคณะผู้จัดทำเว๊ปไซต์ชมรมกัลยาณธรรมครับ

ผมเคยได้ไปปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธคอร์สคุณแม่สิริ ได้รับความรู้ในทางธรรมอย่างแท้จริงมากมาย เช่น ภพภูมิ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ปฏิบัติต่ออีกเลยครับ ผมสนใจเรื่องลี้ลับ วิทยาศาสตร์ และธรรมะ จึงทำให้ชอบอ่านหนังสือธรรมะที่เขียนจากมุมมองของวิทยาศาสตร์ครับ

ผมมีข้อสงสัยอยากให้อาจารย์ช่วยเมตตาตอบดังนี้ครับ ( ขออภัยครับที่คำถามอาจจะยาว คือผมเขียนตามความรู้สึก และพยายามสรุปให้สั้นครับ ยอมรับว่าเป็นคนฟุ้งซ่านง่ายครับ)

1. ตอนอยู่คนเดียว ผมมักจะมีความคิดว่า ผมอยู่ภายในร่างกายนี้ หมายถึง จิตใจดำรงอยู่ในกายนี้ ทำให้ผมคิดว่าตัวผมหรือสิ่งที่ผมเห็นรู้สึกสัมผัสได้ มองสิ่งภายนอกออกมาจากตาในร่างกายนี้ ได้รู้สึก อร่อยจริง ดีใจจริง สุขจริง เจ็บจริง ทุกข์จริง ฯลฯ คือผมคือของจริงอย่างเดียวที่ผมเชื่อได้ในโลกนี้จักรวาลนี้ คนหรือสัตว์อื่นรวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่นสถานที่ อากาศ ก็เป็นสิ่งที่ปรากฎขึ้นมาเมื่อผมไปยังที่นั้นๆ เช่น เวลาผมไปต่างประเทศ ผมก็คิดว่า คนที่เมืองไทย บ้านที่เมืองไทย ก็หายไป หรือพอกลับมาประเทศไทย ก็คิดว่า สถานที่หรือคนที่ได้พบที่ต่างประเทศไม่มีอยู่จริง คือ จะมีจริงก็ตอนที่ตัวผมได้ไปอยู่ ณ ที่นั้นๆ
( ขณะที่พิมพ์คำถามนี้ ผมก็เห็นนิ้วมือผมขยับ ทำให้คิดอีกว่า เราควบคุมร่างกายนี้ได้เพียงคนเดียวในโลกในจักรวาลนี้ ทำไม)

ด้วยความที่ผมมีความคิดเช่นนี้ ทำให้ผมอยากรู้ว่า ทำไมผมต้องมาอยู่ในกายนี้ และทำไมผมถึงรู้สึกถึงความมีอยู่ได้จากกายนี้ และทำให้ผมชอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า ผมเป็นคนพิเศษหรืออย่างไร ถ้าผมหลับไปหรือตายไปแล้ว ทุกสิ่งจะหายไปมั้ย แต่เมื่อผมตื่นขึ้นมาทุกสิ่งก็อยู่เหมือนเดิม แล้วคนอื่นๆ เขาจะรู้สึกว่าเขาอยู่ในกายเขาอย่างที่ผมคิดหรือไม่ ซึ่งผมเคยสอบถามเพื่อน ก็ได้ความว่า เขาก็รู้สึกเหมือนกัน แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า ทำไมผมต้องรู้สึกจริงได้ในกายผมครับ

2. เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรื่องที่เกิดในชีวิตนี้ที่เราไม่ทราบสาเหตุทั้งเรื่องดีและไม่ดี เป็นผลจากกรรมในชาติก่อนหรือจากกรรมที่เราทำในชาตินี้ และเป็นผลกรรมจากใคร เช่น ผมมีลูกสาววัย 5 ขวบ ซึ่งตอนเป็นเด็กผมก็มีนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเองทำให้พ่อแม่เสียใจอยู่บ้าง ถ้าลูกผมดื้อแสดงว่านี่เป็นผลกรรมที่ผมทำไว้กับพ่อแม่ หรือเป็นกรรมใหม่ของลูกสาวผมครับ และถ้าเป็นผลกรรมจากการที่ผมทำไว้กับพ่อแม่ บางทีผมก็พาลคิดไปว่า คุณพ่อคุณแม่ผมคงเป็นเด็กดื้อของคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายใช่ไหมครับ ผมตั้งใจเลี้ยงลูกโดยใช้เหตุผล และไม่ตีลูกโดยไม่จำเป็น แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องตีลูกแรงมาก ผมก็มาคิดว่านี่เป็นเพราะผมเคยโดนคุณพ่อลงโทษแรงใช่ไหม และลูกผมเมื่อโตขึ้น เขามีครอบครัว เขามีลูก เขาก็อาจลงโทษแรงกับลูกเขาหรือไม่ ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย ผมจึงพยายามคิดว่าเป็นกรรมที่ผมทำไม่ดีไว้กับคุณพ่อคุณแม่ และไม่อยากให้ลูกต้องสร้างกรรมไม่ดีกับผม บางครั้งลูกสาวก็ตีผมถ้าไม่พอใจ ผมก็พยายามอธิบายว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำนะ ทุกวันนี้ก็ดีขึ้น แต่ก็ยังมีดื้อบ้างครับ

  ในคำถามเรื่องนี้ ผมเคยหาความรู้เกี่ยวกับกฎแห่งกรรมทั้งจากหนังสือและเพื่อนกัลยาณมิตร ก็พบว่า   พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้เป็นอจินไตย (สิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน) ถ้าอยากเข้าใจคือต้องปฏิบัติใช่มั้ยครับ ซึ่งระหว่างที่ผมไปปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธขณะที่นั่งสมาธิ ผมได้เห็นเหตุการณ์ที่ผมทำให้พ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่เสียใจในอดีตผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ซึ่งผมก็สำนึกผิดอยู่ก่อนมาปฏิบัติบ้างแล้ว แต่ผมก็ยิ่งรู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่ทำไปมากขึ้นขณะปฏิบัติ และตั้งใจว่าจะไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องเสียใจอีกแล้วครับ

3. ปกติผมจะไม่ดื่มของมึนเมาครับ ถ้าเพื่อนร่วมงานชวนไปสังสรรค์หลังเลิกงาน ซึ่งมักจะมีการดื่มเครื่องดื่มมึนเมา ผมจะดื่มเบียร์บ้างบางครั้ง กรณีนี้ ถ้าเราดื่มแต่(คิดว่าตัวเอง)มีสติตลอด หรืออาจจะมึนนิดหน่อย แต่ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดที่เดือนร้อนแก่ผู้อื่น   จะถือว่าผิดศีลข้อที่  5 งดเว้นการเสพสุราเมรัยหรือไม่ครับ

ต้องขออภัยอาจารย์อีกครั้งนะครับที่คำถามเยิ่นเย้อมาก ขอความกรุณาอาจารย์ตอบให้ความรู้หรือคำแนะนำด้วยครับ

ขอบพระคุณมากครับ
  พรชัย

คำตอบ
      ความดีงาม เมื่อทำให้เกิดขึ้นเป็นเบื้องต้นแล้ว แต่ไม่ทำความดีต่อให้ถึงกับที่สุด เรียกว่าเป็นผู้มีความประมาท

     (๑)  ผู้ใดรู้ เห็น เข้าใจ ว่าจิตเป็นตัวเรา นั่นแสดงว่าผู้นั้นมีปัญญาหรือความรู้ ที่สามารถสัมผัสได้กับความจริงที่เป็นสมมุติที่ตนสัมผัสได้ขณะนั้น

      เหตุที่ต้องมาอยู่ในร่างกายนี้ชั่วคราว เป็นเพราะมีแรงกรรม (ศีล ๕) ผลักดันจิตวิญญาณให้เข้ามาอยู่อาศัย เพื่อใช้ร่างกายทำกิจกรรมให้กับชีวิต

     ความรู้สึกถึงความมีอยู่ได้ในกายนี้ เป็นเพราะพลังงานจิตมีการเกิด-ดับ จึงสามารถทำงานร่วมกับร่างกายนี้ได้ คนนอนหลับ (จิตไม่เกิดไม่ดับ) หรือคนตาย (จิตเคลื่อนออกจากร่างนี้ ไปหาร่างใหม่อยู่อาศัย) จึงไม่สามารถรับรู้ หรือรู้สึกความมีอยู่ในร่างกายนี้ นี่คือความจริงไม่แท้ (สภาวสัจจะ) ที่คนผู้มีปัญญาทางโลก รู้ เห็น เข้าใจ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ปัญญาส่องดูชีวิตของตัวเอง ตรงกันข้าม คนโง่ (ขออภัย) ชอบส่องดูชีวิตของคนอื่น จึงไม่รู้เรื่องของตัวเองเท่าที่ควร

     เหตุที่ผู้ถามปัญหาระลึกรู้ได้เช่นที่บอกเล่าไป เป็นเพราะจิตเริ่มมีกำลังของสติเพิ่มขึ้น ทำไมไม่พัฒนาจิตต่อไป เพื่อให้จิตมีกำลังของสติกล้าแข็งมากยิ่งขึ้น แล้วปัญญาสูงสุดที่สามารถสัมผัสได้กับสิ่งที่เป็นทิพย์ย่อมเกิดขึ้น แต่ยังไม่ดีเท่ากับการพัฒนาจิต (วิปัสสนากรรมฐาน) ให้เกิดปัญญาสูงสุดระดับโลกุตตระ หากพัฒนาได้แล้ว ความสามารถในการรู้ เห็น เข้าใจ ถึงวิธีการที่จะนำพาชีวิตของตัวเอง ให้พ้นไปจากวัฏสงสารจึงจะเกิดขึ้นได้ แล้วจะสามารถรู้ เห็น เข้าใจ ด้วยตัวเองว่า สรรพสิ่งในวัฏฏะ ล้วนเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น แล้วความสงสัยในสิ่งต่างๆ รวมถึงปัญหาที่เขียนถามไป จะไม่เกิดขึ้นอีก

     (๒)  ผู้ใดปรารถนาที่จะรู้เหตุและผลของทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ผู้นั้นต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนากรรมฐาน) จนเข้าถึงปัญญาสูงสุดระดับโลกุตตระ (ญาณ ๑๖) ได้แล้ว ย่อมรู้ เห็น เข้าใจ กฎแห่งกรรม (กฎแห่งการกระทำ) ได้อย่างแจ่มแจ้งหมดความสงสัย

     การหาความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม ด้วยวิธีการอ่านหนังสือ (คันถะธุระ) ย่อมมีความรู้ที่สามารถจำได้ แต่ยังเข้าไม่ถึงความจริงแท้ที่สามารถทำได้ ด้วยการปฏิบัติธรรม (วิปัสสนาธุระ) ซึ่งเข้าถึงความจริงได้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งกว่า แล้วความสงสัยในกฎแห่งกรรมจึงจะหมดไปได้ รวมถึงความพ้นทุกข์ก็จะเข้าถึงได้เช่นกัน

     (๓)  ผิดครับ ผู้ใดมีพฤติกรรมเช่นที่บอกเล่าไป เมื่อนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมแล้ว ย่อมเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ
     

2316.

กราบเรียน อ.สนอง

ดิฉันมีปัญหาทุกข์ใจมากค่ะ ครอบครัวดิฉันมีอยู่สองคนแม่ลูกและสุนัขอายุ 17 ปี อีก 1 ตัว ปัญหาก็คือว่า ตอนนี้สุนัขก็อายุมากแล้วเป็นทั้งกระดูกสันหลังงอกและระบบประสาทมีปัญหาทำให้เป็นอัมพาตไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ และที่ดิฉันทุกข์ใจคือ หมาเห่าตลอดวันตลอดคืนเลย ตอนกลางวันนอนสัก 10 นาที ก็ตื่นขึ้นมาเห่าอีก บางทีนอนช่วงกลางวันไปสัก 1-2 ชม.ก็ไม่หลับอีกเลย   ดิฉันพาไปหาทั้งรพ.จุฬาและ รพ.เกษตร ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้  ( ยาซึมก็เอาไม่อยู่ค่ะ)ดิฉันต้องไปทำงานตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนก็จะช่วยกันดูแล แต่ตอนนี้คุณแม่อายุจะ 70 ปีแล้ว ท่านแทบไม่ได้หลับเลยเพราะหมาเห่าตลอดและท่านก็ต้องมาดูแลหมา จนบ่อยครั้งที่ท่านหน้าแดง ปวดหัวมาก เพราะท่านเป็นความดันโลหิตสูง และพวกเราก็เกรงใจข้างบ้านด้วยค่ะ ก็ยิ่งทำให้เครียดมาก   ดิฉันได้แนะนำให้ท่านไปอยู่คอนโดซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเพื่อให้ท่านได้นอนหลับพักผ่อนในที่เงียบๆสักพัก แล้วค่อยกลับมาที่บ้านใหม่ ท่านก็ไม่ยอม ดิฉันคิดว่าในหนึ่งอาทิตย์อาจจะเอาหมาไปฝากเลี้ยงที่โรงพยาบาลสัตว์สักช่วงหนึ่ง เพราะให้ท่านได้พักบ้าง ท่านก็ไม่ยอมอีก เวลาที่ดิฉันอยู่บ้าน ดิฉันก็จะเป็นคนดูแลสุนัข ดิฉันก็จะให้แม่ขึ้นไปนอนชั้น 4 เพื่อที่เสียงของสุนัขจะได้ไม่ทำให้ท่านตื่นในขณะที่ท่านหลับ ท่านก็ไม่ยอมไปไหนจะอยู่ชั้นล่างกับสุนัข ดิฉันเลยต้องแอบเอาสุนัขขึ้นชั้นบนแทนในขณะที่ท่านเผลอหลับไป สุดท้ายแก้ไขอะไรไม่ได้เลย ดิฉันเป็นห่วงสุขภาพท่านมาก แต่ท่านบอกว่าจะทนกันไปว่าใครจะไปก่อนกัน ระหว่างท่านกับสุนัข

ดิฉันขอรบกวนสอบถามอาจารย์ว่า

1. หากคุณแม่ไม่สบายไปจริงๆ จะเป็นความผิดบาปของดิฉันใช่ไหมคะ เพราะดิฉันเป็นคนนำหมาตัวนี้เข้าบ้าน

2. การที่ดิฉันให้ยาซึมแก่สุนัขเพื่อให้แม่และคนละแวกบ้านได้พักผ่อน ถือว่าดิฉันได้ทำบาปใช่ไหมคะ

3. ดิฉันได้บอกสุนัขบ่อยๆว่า หากเค้าทรมานมากก็ให้เขาจากไปอย่างสบายใจ ไม่ต้องเป็นห่วง และขอให้เขาเกิดภพภูมิที่ดีกว่านี้ พร้อมกับสวดมนต์ให้สุนัขฟังบ่อยๆ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ

4. ตอนนี้คุณหมอทางระบบประสาทบอกว่า หมาเป็นทางโรคจิตประสาท วิธีรักษาคือ ต้องให้ยานอนหลับ ถ้าให้เค้าไปเรื่อยๆจนเค้าเสียชีวิต เป็นความผิดของดิฉันหรือเปล่าคะ เหมือนไม่มีทางเลือกต้องให้เค้าทานยากล่อมประสาทไปตลอดค่ะ

สุดท้ายนี้ ดิฉันขอขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะที่เมตตาตอบปัญหาให้ค่ะ

ปุ๊ก

คำตอบ
     คนที่นำหมาเข้าบ้าน แล้วทำให้คนอื่น (แม่) ต้องเดือดร้อน ถือว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเป็นบาป

     ลูกเสนอทางออกที่ดีให้แม่ (๓ ทาง) ถือว่าเป็นบุญ

     แม่ไม่ยอมรับข้อเสนอของลูก และยังสมัครใจที่จะนอนอยู่ชั้นล่างกับหมา ถือว่าเป็นการชดใช้หนี้เวรกรรมของแม่

     สรุปปัญหาที่ถามไปจึงเป็นทั้งบาป เป็นทั้งบุญ และเป็นการชดใช้หนี้เวรกรรมเก่าครับ
   

2315.
กราบเรียน อาจารย์ ดร. สนอง ,
 
ขอรบกวนเวลาอาจารย์เพื่อสอบถามปัญหาดังนี้ครับ:-
 
1. ผมได้เริ่มต้นมาปฏิบัติธรรมเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเพราะเห็นว่าหากดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆย่อมมีโอกาสจะตกไปสู่อบายภูมิ แน่นอน ซึ่งแต่เดิมนั้นผมจะสวดมนต์เช้า-เย็นอย่างเดียว จึงเริ่มฝึกนั่งสมาธิ เดินจงกรม ยืนสมาธิ แต่เนื่องจากเวลาปฏิบัตินั้นจะสพอามารถทำได้เฉพาะช่วงเวลากลางคืนก่อนนอน ซึ่งทำให้เกิดความง่วงเข้ามาแทรกระหว่างสวดมนต์หรือนั่งสมาธิเป็นประจำ ในการสวดมนต์บางครั้งเมื่อสู้ความง่วงไม่ได้ก็หลับไปทั้งที่ยังสวดไม่เสร็จ เมื่อพยายามตื่นมาสวดต่อไม่ไหวถึงจะไปนอน การนั่งสมาธินั้นก็นั่งได้บ้าง หลับบ้างไม่หลับบ้าง แต่ก็พยายามนั่งจนถึงเวลาที่ตั้งไว้ ได้ลอง ทั้งพุธโท ยุบหนอ-พองหนอ หรือตามลมหายใจอย่างเดียวไม่บริกรรมใดใด ก็ยังคงหลับระหว่างนั่งสมาธิอยู่ดีครับ เมื่อบริกรรมซักพักนึงก็จะลืมการบริกรรมแล้วก็ฝันไปครับ   เมื่อนึกได้มีสติก็กลับมาตั้งต้นบริกรรมใหม่แต่ซักพักก็กลับเข้าวงจรเดิมครับ      
   1.1 อาจารย์พอจะแนะนำวิธีแก้ไขความง่วงได้หรือเปล่าครับ ? และควรจะใช้วิธีใดในการนั่งสมาธิเพื่อที่จะทำให้กำลังสติแข็งแรงขึ้นครับ ? 
   1.2 ในการเดินจงกรม หากเดินโดยก้าวเท้าขวาแล้วเหยียบลงพื้นแล้วนึกพุธ เมื่อก้าวเท้าซ้ายแล้วเหยียบลงพื้นแล้วจึงนึกโท แค่จังหวะเดียวอย่างนี้ถูกหรือเปล่าครับ ? 
   1.3 ลองเดินโดยเปลี่ยนเป็นสองจังหวะ คือเมื่อยกเท้าขวาขึ้นนึกขวาเมื่อเท้าเหยียบพื้นทั้งเท้านึก หนอ เท้าซ้ายเมื่อยกขึ้น นึก ซ้าย เมื่อเหยียบลงพื้นทั้งเท้า นึก หนอ ถูกต้องหรือเปล่าครับ ? 
   1.4 ระหว่างเดินจงกรม หากเกิดความคิดอื่นแทรกขึ้นมาระหว่างเดิน เราจะบริกรรม คิดหนอๆๆๆ เราต้องหยุดเดินก่อนแล้วบริกรรมจนหยุดคิด หรือว่า เดินไปบริกรรมไปครับ ? 
   1.5 ในการยืนสมาธิ เราเพียงเอาจิตจดจ่อไว้ที่เท้าทั้งสองข้าง หรือว่าควรจะบริกรรมใดใดด้วยหรือไม่ครับ ? เพราะถ้าเอาจิตจดจ่อไว้ที่เท้าทั้งสองข้างโดยไม่บริกรรมใดใด ซักพักก็จะเริ่มมีความคิดต่างๆผุดขึ้นมา เมื่อความคิดผุดขึ้นมาก็ให้บริกรรม ว่า คิดหนอๆๆๆ ไปเรื่อยๆจนความคิดดับถึงจะกลับมาจดจ่อที่เท้าใช่มั๊ยครับ ? หากเรายืนบริกรรม พุธโท ไปด้วยเราควรจะเอาจิตจดจ่อไว้ที่คำบริกรรมอย่างเดียวใช่หรือเปล่าครับ ? หรือว่าจะต้องดูลมหายใจไปด้วยครับ ? การยืนเป็นท่าเดียวที่ทำแล้วไม่หลับครับ แต่กำหนดจิตไม่ถูกว่าจะต้องไปจดจ่อที่ไหนครับ รบกวนอาจารย์เมตตาให้คำแนะนำด้วยครับ ?
 
2. ผมตั้งใจจะไปปฏิบัติกรรมฐาน 7 วันที่สระบุรีในวันที่ 25.11 ถึง 02.12 ที่จะถึงนี้ครับ ผมได้อธิฐานทุกครั้งหลังสวดมนต์หรือทำสมาธิ หรือว่าไปไหว้พระที่ใด ก็ขอให้ได้ไปปฏิบัติธรรมโดยไม่มีสิ่งขัดข้อง รบกวน ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเปิดทางให้ ได้พบครูบาอาจารย์และกัลยาณมิตรที่ดี ที่จะช่วยให้การปฏิบัติธรรมเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป เพื่อทำจิตให้ขาวรอบ ละกรรมดำ กระทำกรรมขาว ทำสมาธิให้เกิดขึ้น ทำสติตัวรู้ให้เกิดขึ้น ทำปัญญาตัวรู้ให้เกิดขึ้น เพื่อยังประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นให้เกิดขึ้น ทั้งในปัจจุบัน ณ กาล และอนาคตกาล จนกว่าจะถึงพระนิพพานในกาลสมควร เป็นการอธิฐานที่ถูกธรรมหรือไม่ครับ ? 
 
3. ในชีวิตประจำวัน ผมได้พยายามฝึกสติ ให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ เช่น เวลาขับรถ ก็คือตั้งใจขับรถให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัย (ไม่ต้องบริกรรมว่า ขับรถหนอๆๆๆ ใช่มั๊ยครับ ?) หากเวลาขับรถอยู่แล้วคนนั่งข้างๆค่อยพูดเรื่องต่างๆให้ฟังทั้งดีบ้าง ไม่ดี บ้าง พอใจบ้าง ไม่พอใจ บ้าง เราควรจะจดจ่อกับการขับรถอย่างเดียว หรือควรจะบริกรรม เสียงหนอๆๆๆ หรือ ไม่พอใจหนอๆๆๆ ครับ ?
 
4. เนื่องจากติดนิสัยการบังคับลมหายใจเมื่อสมัยวัยรุ่น เพราะเพื่อนสอนให้ทำตอนวิ่งแข่ง ทำให้เมื่อเวลาติดตามลมหายใจเพื่อกำหนด พุธโท จะเป็นการบังคับลมให้เข้าออกสั้นยาวตลอดครับ โดยไม่หายใจเองตามธรรมชาติเวลานึกคำบริกรรมครับ ทั้งที่เวลาไม่ได้บริกรรมใดใด ก็หายใจเองได้โดยไม่ต้องบังคับ แต่พอนึกได้ว่าต้องหายใจ ก็จะกลับไปบังคับลมซะอย่างนั้น อาจารย์พอจะมีวิธีแก้ไขหรือไม่ครับ ? เพราะทุกวันนี้เวลาทำกิจใดใดอยู่ซักพักนึงก็จะรู้สึกเหมือนหายใจสั้นไป ก็จะรีบหายใจลึกๆทันทีแล้วก็จะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งไปครับ
 
ทั้งนี้ผมได้อ่านการตอบคำถามของอาจารย์มาหลายกระทู้หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆมา ก็ได้คำตอบสำหรับหลายๆอย่างครับ ก็เริ่มเข้าใจว่าควรจะวางตัวอย่างไร แต่รบกวนอาจารย์เมตตาช่วยตอบปัญหาเพื่อย้ำความมั่นใจในการปฏิบัติให้ถูกต้องต่อไปครับ ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ
 
ขอแสดงความนับถือ
สุธี

คำตอบ
     (๑).  ไม่ควรนั่งสมาธิเมื่ออาหารในกระเพาะยังถูกย่อยไม่หมด แต่จะให้ดีที่สุด ต้องเว้นบริโภคอาหารในยามวิกาล คือหลังเที่ยงวันไปแล้ว ย่อมทำให้กระเพาะว่าง อากาศที่สูดหายใจเข้าไป (ออกซิเจน) จะไม่ถูกนำลงสู่กระเพาะมากนัก แต่จะถูกนำเข้าสู่สมองมาก แล้วพลังงานที่เกิดในสมองจะมีมาก อาการง่วงนอนจะไม่เกิดขึ้น ผู้ใดพัฒนาจิตให้เป็นสมาธิเพิ่มขึ้น อาการง่วงของผู้นั้นจะลดลง เพราะสมองมีพลังงานสั่งสมมาก คนที่มีจิตเป็นสมาธิจึงนอนน้อย ตัวอย่างเช่น พระป่านอนคืนละประมาณหนึ่งชั่วโมง ต่อเนื่องยาวนานมาหลายสิบปีแล้ว นอกจากนี้จิตที่มีกำลังสมาธิมาก จะไม่เกิดนิมิต (ฝัน) อีกด้วย

      (๑.๑) ในครั้งที่ตอบปัญหาไปปฏิบัติอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานคร แก้ง่วงด้วยการอาบน้ำ แล้วเอาน้ำสาดศีรษะ หายใจเข้าลึกๆ แล้วปล่อยออกยาวๆ ประมาณ ๒๐ ครั้ง หรือขณะเดินจงกรม เมื่อมีอาการง่วงเกิดขึ้น จะเดินจงกรมไม่เลิก จนกว่าอาการง่วงหายไป แล้วจึงได้ลงนั่งปฏิบัติสมาธิ ฯลฯ เหล่านี้มีผลทำให้ปฏิบัติธรรมได้ยาวนานประมาณวันละ ๒๐ ชั่วโมง นอน (จำวัด) ประมาณ ๔ ชั่วโมง ต่อเนื่องยาวนาน ๓๐ วัน มรรคผลแห่งธรรมที่ปฏิบัติจึงได้เกิดขึ้น

      (๑.๒) เดินจงกรมด้วยการก้าวเท้าซ้ายลงแตะพื้นแล้วกำหนดว่า “พุธ” ก้าวเท้าขวาลงแตะพื้นแล้วกำหนดว่า “โธ” หากมีจิตจดจ่ออยู่กับเท้าที่ย่างก้าว ถือว่าปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อง

      (๑.๓) เมื่อจิตจดจ่อ (สติ) อยู่กับเท้าที่ย่างก้าวตามข้อ (๑.๒) แล้วจะเปลี่ยนมากำหนดให้ละเอียดยิ่งขึ้นตามที่บอกเล่าและถามไป หากมีจิตจดจ่ออยู่กับการยกขึ้นของเท้า และการลงแตะพื้นของเท้า ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อง

      (๑.๔) ต้องหยุดเดินจงกรม แล้วกำหนดจนกระทั่งความคิดดับไป แล้วจึงเดินจงกรมต่อ

     (๒).  ผู้รู้จริง ไม่ตั้งจิตปรารถนา (อธิษฐาน) ว่า ไม่ให้สิ่งขัดข้องรบกวนเกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ล้วนเป็นปัจจัยให้จิตมีสติและปัญญากล้าแข็งเพิ่มขึ้น

     (๓).  ขณะขับรถต้องไม่บริกรรม แต่มีจิตจดจ่ออยู่กับการขับรถนั้นถูกต้องแล้ว เสียงพูดของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นมารรบกวนสมาธิในการขับรถ ดังนั้นต้องไม่นำเอาเสียงที่ได้ยินมาบริกรรม แต่ต้องมีจิตเป็นสมาธิในการขับรถ

     (๔).  ผู้มีความเพียรพัฒนาจิตให้ระลึกรู้ลมหายใจ แต่ไม่เอาจิตไปบังคับลมหายใจ ต้องประพฤติเช่นนี้บ่อยๆ แล้วความเห็นผิดที่เอาจิตไปบังคับลมหายใจ ก็จะไม่เกิดขึ้น
  

2314.
กราบท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

   ขอความเมตตาจากท่านอาจารย์แนะนำในการคิดและตัดสินใจกับเหตุการณ์ทางโลกที่เกี่ยวข้องในทางธรรม เพื่อจะได้คิดพูดทำถูกตรงตามแนทางธรรมดังนี้ค่ะ ดิฉันมีบ้านให้คนเช่าทำร้านถ่ายรูป เดือนละ 12000 บาท ในสัญญาระบุให้ผู้เช่าเสียภาษีโรงเรือน แต่ผู้เช่าขอให้ทำสัญญาค่าเช่าอีก 1 ชุด ในราคา 6000-10000 บาท เพื่อให้เธอเสียภาษีโรงเรือนถูกลง และผู้เก็บภาษีก็บอกว่าทำอย่างไรก็ได้ไปทำมาให้ราคาไม่ต่ำไปไม่น่าเกลียดเพื่อช่วยผู้เช่า

  ดิฉันจึงขอเรียนถามท่านอาจารย์ควรทำอย่างไร ถ้าทำสัญญาให้ใหม่อีก 1 ชุดเพื่อให้ผู้เช่าเสียภาาษีลดลง จะเป็นบุญหรือบาปควรทำตามคำขอหรือคำแนะนำหรือไม่  หากไม่ควทำ ควรจะบอกผู้เช่าอย่างไรดี ที่เราไม่สามารถช่วยเค้าได้

    ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์มา ณ โอกาสนี้ด้วย หากคำถามไม่เป็นการสมควรต้องกราบขออภัยท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วย   

คำตอบ
    คำขอร้องของผู้เช่า (ทำหลักฐานเท็จ) หากผู้ให้เช่าปฏิบัติตาม บาปย่อมเกิดขึ้นกับผู้ให้เช่า ตรงกันข้าม หากไม่ทำตามที่ผู้เช่าเสนอแนะ บาปจะไม่เกิดขึ้นกับผู้ให้เช่า ดังนั้น ต้องตัดสินใจด้วยตัวเองเถิดว่า จะเลือกทำบาปหรือเลือกไม่ทำบาป จงเลือกเอาตามที่ชอบเถิด
  

2313.
Dear Ven. Dr. Sanong,

I really appreciate all of your Dharmatalk. I'm sorry that I can't type all  in Thai.

I was born in Laos & grew up in Canada , my family and I live in Montreal since 1979.

My mother has passed away since 2004, my father is retired and has been remarried.

I am a housewife for almost 4 years with 2 youngest children.

My father has a Schizophrenia decease since 1975, he said that he hears voices talking to him ( 3 mens and one woman ) following him when he is sick.

He does have once a month injection to treat his decease.

My father has a gambling problem since many years but lately very bad ... when ever he has pension  money  deposited into his bank account , he will go to the casino and lost it all.

He is in debt to many others and cannot pay his rent or other bills.... my step mother has been helping him financially and she is suffering very much....

I had helped my father financially from the past and did stop help him recently because  I cannot afford it.

I have a younger sister who works as a real estate agent almost for 15 years , she has always financial and relationship problems.

She had a depression one year after my mother passed away and has been out of contact from our family for almost couple years.

My husband and I have helped my sister for her financial problem for many years , she has and still caused us the problem financially.

She is not contacting us since many months & not responding to the e-mails , only a brief answer from  the phone calls and has promised to call me back or will come to see me .... and she never does even brother.

I am worried  and frustrated at the same time, because I am still keep paying her telephone bills for almost 2 years plus other sums that she has borrowed ....

I am Buddhist ,  I begin to do the chanting , listening to Dharmatalks and practicing meditation ....

I do believe :  ต้องประพฤติตนให้มีศีล ๕ คุมใจ ,  ทำบุญ  ,  ประพฤติทาน ศีล ภาวนาอ   แล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมเวร....

1. How can I help my father for his gambling problem and his decease ?    (  ต้องทำบุญอะไรถึงจะช่วยได้ และหาย )

2. How can I help my sister and what should I do ? 

. สาเหตุมาจากอะไรค่ะ กรรมเก่าที่ทำอะไรเอาไว้หรือเปล่า   และจะแก้ไขอย่างไรดี   จะชดใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรให้หมดสิ้น  

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     ๑. พุทธศาสนิกที่เชื่อและปฏิบัติได้ถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธโคดมย่อมหมดปัญหา คือพระองค์สอนให้ดับปัญหาที่ต้นเหตุ และสอนให้ดับที่ตัวเอง
       (๑). ประสงค์ไม่เป็นหนี้จากการพนัน ต้องไม่นำตัวเข้าไปเล่นพนัน ส่วนหนี้ที่เกิดขึ้น ต้องชดใช้จนกว่าจะหมดสิ้น
       (๒). ประสงค์จะบรรเทาโรคจิตประเภทลืมตัว ( Schizophrenia ) ต้องนำตัวไปรักษากับแพทย์ปัจจุบัน แต่หากมีความประสงค์จะให้หายขาดจากโรคนี้ ต้องนำตัวเข้าพัฒนาจิตให้มีสติอยู่เสมอ

    ๒. ปัญหาของน้องสาวมีต้นเหตุมาจาก ไม่มีศีล ๕ คุมใจ และไม่มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีอุปการคุณ ดังนั้นน้องสาวต้องแก้ต้นเหตุที่ตัวเอง คือต้องพัฒนากาย วาจา ใจ ให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่น และต้องมีความกตัญญูฯ ต่อผู้มีอุปการคุณ
  

2312.
เรียน ดร.สนอง

รบกวนอาจารย์กรุณาตอบสงสัยดังนี้ด้วยค่ะ

ดิฉันนั่งสมาธิ   เกิดอาการมือชา ตัวหนักๆ สักแต่ว่าดูเฉยๆ   สักพักรู้สึกได้ว่า ร่างกายไม่มีค่ะ หายไปหมด เสียงที่ก่อนเข้าสมาธิได้ยินเสียงต่างๆ ก็ไม่ได้ยินค่ะ   ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย   ไม่มีร่างกาย ไม่มีลมหายใจ เหลือแค่จิตของเราดวงเดียว จนกระทั่งออกจากสมาธิค่ะ ไม่ทราบว่าสภาวะแบบนี้เรียกว่าอะไรค่ะ เข้าฌาณหรือเปล่าค่ะ   พอดิฉันออกจากสมาธิ อาการปวดขา เกิดขึ้นทันที ระหว่างที่นั่งสมาธิอาการปวด เวทนาๆ ต่างๆ ไม่มี ไม่รู้สึกค่ะ  

รบกวนอาจารย์เพียงเท่านี้ค่ะ เพราะดิฉันไม่แน่ใจว่าตนเองเข้าถึงสภาวะธรรมขั้นไหนนะค่ะ

ขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์มา ณ ที่นี้ค่ะ

กานต์พิชชา

คำตอบ
     อาการที่บอกเล่าไป เป็นผลที่จิตเริ่มเข้าสู่สมาธิแน่วแน่ เวทนาจึงไม่ปรากฏ ลมหายใจไม่มี มีแต่สัญญา (รู้ว่าเหลือจิตเพียงดวงเดียว) อาการอย่างนี้เรียกว่า ฌาน ผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงฌานสมาบัติ ๘ (รูปฌาน ๔และอรูปฌาน ๔) เมื่อถอนจิตออกจากความทรงฌาน โลกิยญาณหรืออภิญญา ๕ (อิทธิวิธิ ทิพพโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ทิพพจักขุ) ย่อมปรากฏขึ้นกับจิตของผู้นั้น โปรดระลึกอยู่เสมอว่า อภิญญา ๕ มิได้เป็นเหตุนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์
  

2311.
กราบอ.ดร.สนอง วรอุไร

ปฎิบัติธรรมแบบรู้ ดูกาย+ใจในชีวิตประจำวันค่ะ มีข้อสงสัยกราบเรียนถามอ.สนอง

1. เวลามีความคิดรู้ว่าคิด คิดดับไป ไวขึ้นโดยไม่รู้เนื้อเรื่อง เหมือนเริ่มคิดปุบ มีจุดที่เริ่มจะคิด รู้สึกตัวต่อทันที โดยความคิดยังไม่ได้ดำเนินไปเลย มั่นใจว่ามันหยุดทันทีแล้วกลับมาอยู่กับปัจจุบัน บางครั้งสติช้าไปบ้าง รู้ดูอาการคิดอยู่อึดใจหนึ่ง แต่ไม่รู้ในเนือ้ความในเนื้อเรื่องเลย มั่นใจว่าไม่ได้สนใจไม่ได้ใส่ใจในเรื่องราว สักแต่ว่าอาการคิด แต่ทำไมขณะนั้นตอนรู้ว่าจะคิด จุดเริ่มต้นที่กำลังจะคิด จิตถึงเหมือนกับรู้ว่าจะคิดไปในแนว กุศล หรืออกุศล ทั้งๆที่มันยังไม่ได้คิดสักหน่อย มันรู้ซ้อนขึ้นมาได้ยังไง ที่มันรู้ซ้อนขึ้นมา จิตเดียวกันหรือเปล่า ตกปัจจุบันรู้ล่วงหน้าไป หรือว่ามันปรุงแต่งไปแล้วค่ะ

2. ครูอาจารย์สอนให้ใช้สมาธิดูแบบไม่ยึดมั่นถือมั่น ดูไปดูมาดันรู้สึกขึ้นมาว่าครูอาจารย์ก็คนคนนึงเหมือนกัน ก็คน แต่แค่คนที่มีบุญคุณ เราให้ค่าเกินไป เทิดทูนมากเกินไป ว่าเขาดีเขาอยู่ที่สูงแล้วก็ปฏิบัติตอบดีกว่าคนอื่นเพราะเราให้ค่า มันมีเสียงของจิต มาต่อว่า ว่าบาปดูการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของท่านก็สมควรแก่การนับถือ ดูญาติโยมคนอื่นที่ปฏิบัติต่อท่านสิ ยิ่งปฏิบัติตอบแทนบุญคุณเท่าไหร่ยิ่งได้บุญมาก

            หนูคิดว่าหนูก็นับถืออยู่นะค่ะ แต่ก็เอ๊ะ หรือมันน้อยลงก็ไม่แน่ใจ ดูไปดูมาหนูรู้สึกว่าหนูนับถือน้อยลง คือมันเหมือนเฉยๆ แต่เราจะปฏิบัติดีต่อท่านเพราะท่านเป็นสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นบุคคลที่น่าเคราพ น่าเข้าหาเรียนรู้ธรรม แต่อารมณ์เทิดทูน ตื่นเต้น อารมณ์ดีใจที่ได้กราบ ได้ถวายสิ่งของ มันหายไป

           ทำเพราะควรทำ แต่ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เพราะมันไม่รู้สึกอะไรจริงๆ กับทำเพราะจิตดีมีความเคราพ มีความศรัทธา เมื่อทำแล้วรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างไหนเป็นสิ่งถูกต้อง

 3.  มีอีกเหตุการณ์หนึ่ง ไปคอยแม่ตรวจหู ระหว่างแพทย์ให้การพยาบาล จี้ติ่งเนื้อที่ติดอยู่กับเยื่อแก้วหูออก แม่ร้องเสียงค่อนข้างดังด้วยความเจ็บ หนูรออยู่นอกห้องได้ยินก็เฉยมาก หนูไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรเลย เหมือนบาปมาก ก็พยายามภาวนา แผ่เมตตาให้แม่บรรเทาความเจ็บ แต่ความนึกคิดที่จะอธิษฐานมันนึกไม่ค่อยออก ติดๆ ขัดๆ   ก็ไม่รู้จะอธิษฐานช่วยทำไม ให้แม่รับผลกรรมไปสิ ตอนนั้นมันว่าอย่างนั้น คิดถูกหรือเปล่าค่ะ ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็มันอธิษฐานไม่ออก

          หนูเข้าใจว่าตนเองอาจจะปฏิบัติธรรมได้สภาวะดีขึ้น เห็นทุกอย่างมันธรรมดา แต่ไอ้ธรรมดา มันเหมือนแฝงความเห็นแก่ตัวอยู่หรือเปล่าค่ะ ไม่ค่อยสนใจใคร ไม่ค่อยแสดงความเห็นใจใคร เพราะมันก็พูดเห็นใจเขาไม่ออก ก็เขาทำไว้เอง เราควรแสดงความเห็นใจเขาไปตามสมควรไหมค่ะ ? ตามสังคมเพือสร้างสัมพันธภาพ บางครั้งหนูคิดว่าควรพูดแสดงความเห็นใจ แต่พูดแล้วหนูก็อึดอัด เหมือนโกหกหรือเปล่าหรือเหมือนเราไม่มีความจริงใจกับคู่สนทนาหรือเปล่า สรุปรู้สึกแต่ว่างง และอึดอัด รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำค่ะ

         กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     (๑)  จิตที่มีสติและมีปัญญาเห็นถูกตามธรรม ย่อมเห็นสิ่งที่เข้ากระทบจิตดับไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วความคิดจะไม่เกิดขึ้น การไม่เกิดขึ้นของความคิด ผู้รู้จริงแท้ถือว่าเป็นกุศล

     (๒)  คนเห็นผิดย่อมไม่รู้คุณของผู้มีอุปการะ เรียกผู้มีลักษณะเช่นนี้ว่าเป็นคนอกตัญญู ผู้อกตัญญูย่อมปรามาส ย่อมปรามาสผู้ทรงคุณธรรม แล้วผลที่จะเกิดตามมาคือ บาปได้เกิดขึ้นกับชีวิต ดังนั้นผู้ที่รู้ตัวเองว่ามีความเห็นผิด ย่อมปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้กลับมามีความเห็นถูกได้ ด้วยการพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้เมื่อใด การคิดปรามาส (ดูถูก) ผู้ทรงคุณธรรมจะไม่เกิดขึ้น

     กิจการใดที่ทำด้วยความสัทธาที่ดีงาม ขณะทำตั้งใจ ทำแล้วสบายใจ การกระทำนั้นมีอานิสงส์เป็นบุญ ที่ผู้รู้จริงแท้นิยมประพฤติ ตรงกันข้าม หากบุคคลทำด้วยความไม่ศรัทธา ขณะทำไม่ตั้งใจ ทำแล้วรู้สึกเฉยๆ การกระทำในลักษณะนี้มีบุญเกิดขึ้นน้อย แต่มีบาปเกิดขึ้นมากกว่า

     (๓)  เป็นการคิดผิด อธิษฐานไม่ออก เพราะจิตขาดแรงบุญสนับสนุน จริงอยู่ผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมในพุทธศาสนา ย่อมเห็นว่าบุคคลมีกรรมเป็นของตัวเอง แต่ผู้เข้าถึงสัจธรรมมิเคยเว้นที่จะประพฤติช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยเฉพาะไม่อกตัญญูต่อแม่ผู้มีพระคุณ จงดูพระพุทธโคดมเป็นตัวอย่าง หลังจากปลีกวิเวกอยู่หกปี เมื่อพัฒนาจิตตนเองจนมีความเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว ได้กลับมาช่วยพ่อ ช่วยแม่ ช่วยลูก ช่วยผู้มีอุปการคุณ ให้พัฒนาจิตจนบรรลุถึงความมีอิสรภาพตามพระองค์ไปด้วย นี่คือความกตัญญูที่คนมีความดีอยู่ในจิต ไม่เว้นที่จะประพฤติ ฉะนั้นจงถามตัวเอง จงดูตัวเองให้ออก แล้วเลือกประพฤติตามที่ชอบ
  

2310.
กราบเรียน ดร.สนอง ที่เคารพ

        ก่อนอื่นดิฉันขอเล่าความเป็นมาก่อนค่ะ แต่เดิมดิฉันถือคริสต์ ด้วยเหตุปัจจัยทำให้ดิฉันเปลี่ยนเป็นพุทธเมื่ออยู่ในวัยทำงาน
    
       ตั้งแต่เด็กๆอายุราวเจ็ดแปดปี มักจะครุ่นคิดพิจารณาเรื่องต่างๆ เช่น ของชิ้นนี้ เคยชอบ บัดนี้ไม่ชอบ เอาแน่ไม่ได้กับความรู้สึก คิดแม้กระทั่งว่า ตอนนี้อยู่ตรงนี้ เมื่อกี้อยู่ตรงนั้น เมื่อกี้ก็เรา ตอนนี้ก็เรา แล้วไหนล่ะคือ " ตัวเรา "
      ดิฉันก็ชอบแอบไปทำสมาธิ ครั้งหนึ่งเห็นผมที่ร่วงลงไป ก็มาพิจารณาว่า แต่ก่อนผมนี้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แล้วบัดนี้ร่วงออกไปแล้วเป็นคนละส่วนกัน แล้วลองพิจารณาแยกร่างกายเป็นส่วนๆ ก็พบว่า เมื่อแยกออกจากกันก็ไม่มีส่วนไหนที่เป็นตัวเรา แล้วก็พิจารณาว่ามีส่วนหนึ่งรู้ และมีอีกส่วนที่อยู่รอบๆ เปลี่ยนแปลงเรื่อยๆตามอารมณ์ ที่รับมาจากภายนอก
        ตอนเด็กๆทำสมาธิจนติดพอสมควรค่ะ แต่ก็เลิกไป เพราะเจอสิ่งที่แปลกๆ เช่น พอปิดตาก็จะเห็นหน้าตาคนเข้ามามากมาย แต่ละคนหน้าตาทุกข์ทรมาณ ทำให้รู้สึกกลัว ( ปัจจุบันไม่เจอแล้วค่ะ)
        ตอนเริ่มเป็นสาว ชอบมองตัวเองในกระจก จนวันหนึ่งเห็นภาพนิมิตหน้าตัวเองเละๆเฟะๆเหมือนศพ ทำให้กลัวการส่องกระจกชื่นชมตัวเอง
        มาเริ่มทำสมาธิใหม่ตอนอายุประมาณ 25 ปี หัดเอง ทำแบบที่ไม่เข้าหาครูบาอาจารย์ ลองเองเลย ไม่ได้ทำด้วยความศรัทธา ไม่ใช้ปัญญาประกอบ ไม่ได้พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คิดเพียงแต่อยากลอง ปรากฏว่าหลงในสมาธิจนติด ปัญญาไม่เกิดเลย ทำสมาธิจนนิ่งไม่รู้สึกถึงลมหายใจ นิ่งมากจนไม่รับรู้อะไรเลย เคยลองนั่งแบบลืมตา มองนาฬิกา นาฬิกาก็เดินหน้าเหมือกด Fast Forward หลงมากๆค่ะ กำหนดนิมิต ย่อขยายนิมิตเล่น ติดในสมาธิจนวันๆไม่อยากทำอะไร สุข สงบมาก จนนึกว่า ตัวเองวิเศษ ตอนนั้นคงไม่ผิดอะไรกับคนเสียสติ
       ภายหลังได้พบครูบาอาจารย์ ท่านสอนให้เจริญสติ รักษาศีลค่ะ หลังจากได้พบท่าน ก็ได้รับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ แต่ก่อนไม่เคยศรัทธาในศาสนาพุทธเลย ความศรัทธาตามมาหลังจากได้ศึกษา ได้ลองปฏิบัติ  
       ชีวิตตอนนี้มีจุดมุ่งหมายแล้ว ในทางโลกก็มีทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีได้ ปัจจุบันดิฉันอายุ 44 มีครอบครัวมีลูกๆและสามีที่น่ารัก มีงานการที่ดี สุขภาพแข็งแรง ตั้งแต่เปลี่ยนมาถือพุทธ พยายามศึกษาและปฏิบัติ ชีวิตก็พบแต่สิ่งที่ดีๆค่ะ แต่ไม่อาจทราบได้ว่า ทุกสิ่งที่มีอยู่ จะถูกพรากไปเมื่อไร พยายามพิจารณาความไม่แน่นอน
      
       เคยติดตามอาจารย์มาพอประมาณค่ะ หวังว่าอาจารย์จะชี้แนะได้บ้างค่ะ
     
1. สิ่งที่ได้เรียนรู้มาก่อนในอดีตชาติ สามารถกลับมารู้ได้ แม้ข้ามภพข้ามชาติใช่ไหมคะ

2. ปัจจุบัน พยายามเจริญสติในชีวิตประจำวัน ในอริยบทต่างๆ ขณะทำงาน ทำได้บ้างไม่ได้บ้างค่ะ ความเพลินมีมาก ความเพียรมีน้อยค่ะ   ไม่เคยกลับไปทำสมาธิแบบแต่ก่อนเลย มีผู้บอกให้ทำต่อ   แต่ดิฉันไม่มีใครแนะนำ ลำพังเจริญสติก็พบประโยชน์มากมาย ขออาจารย์แนะนำด้วยค่ะ

3. นานๆครั้งจะมีเหตุที่ทำให้รู้บางสิ่งล่วงหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตัวอย่างเช่น หนึ่งวันก่อนเกิดสึนามิที่ภูเก็ต ดิฉันอยู่กรุงเทพ ก็รับรู้ว่าจะมีเหตุทำให้มีคนตายมากมาย รู้สึกได้เลย แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรแน่ๆ ดิฉันได้แต่บอกคนใกล้ชิดเป็นพยาน มีผู้แนะนำให้ฝึกต่อเพื่อช่วยผู้อื่นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปช่วยใครได้อย่างไร เชื่อว่า ธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยได้ถาวร เรื่องทางโลกมันไม่จบสิ้นน่ะค่ะ
อีกอย่างคือกลัวน่ะค่ะ เจอเรื่องแบบนี้ทำให้สับสน

4. เคยอยู่ บ้านคนเดียว สามีและลูกๆไม่อยู่ ขณะจะเข้านอน ได้ยินเสียงมาบอกว่า ประตูหลังบ้านยังไม่ได้ล้อค ดิฉันกลัวค่ะ ตอนแรกกลัวว่าตัวเองจะเพี้ยนไม่ปกติ จึงลุกไปดูให้แน่ใจ ปรากฏว่าประตูไม่ล้อคจริง เป็นไปได้ไหมคะ ว่าเป็นเทวดา รู้สึกสับสนเวลาที่เจอเรื่องแบบนี้ หากเป็นเทวดา อยู่คนละภพกันทำไมได้ยินเสียง

ขออภัยนะคะ ที่รบกวนอาจารย์ด้วยเรื่องแบบนี้ แต่ก็ไม่กล้าไปปรึกษาใครค่ะ หากอาจารย์เมตตาตอบจะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     (๑)  ใช่ครับ ผู้ที่ระลึกอดีตชาติของตนได้ ผู้นั้นต้องมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌานมาก่อน

     (๒)  สติเป็นบ่อเกิดแห่งคุณธรรม (ความดีงาม) ทั้งหลาย คนที่รู้เห็นเช่นนี้แต่มีความเพียรหย่อนยานในการพัฒนาจิต เรียกผู้มีลักษณะเช่นนี้ว่า เป็นผู้ประมาทในชีวิต ผู้รู้จริงมิได้เห็นใกล้ว่า ชีวิตมีอยู่เพียงชาตินี้ชาติเดียว แต่ชีวิตยังต้องมีสืบต่ออีกยาวไกล (อนันต์) จึงไม่ประมาทที่จะทำกรรมดี เพื่อสั่งสมบุญให้มีมาก เพื่อใช้เป็นปัจจัยเดินทางของชีวิต สู่สุคติ สู่อิสรภาพในวันข้างหน้า

     (๓)  เป็นพราะความรู้สูงสุด (โลกิยญาณ) จึงทำให้ไปรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ ผู้รู้จริงแท้ไม่เอาจิตไปหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ถูกเห็น ตรงกันข้าม พัฒนาจิตให้เป็นอิสระต่อสิ่งที่ถูกเห็น และใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดกิเลสที่ผูกมัดใจ (สังโยชน์) ให้หมดไป แล้วอิสรภาพที่แท้จริงของชีวิต จึงจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นก่อนที่จะไปช่วยคนอื่น ต้องใช้ธรรมะช่วยตัวเองให้รอดเสียก่อน แล้วการช่วยคนอื่นจึงจะได้ผลเต็มร้อย

     (๔)  ความกลัวเกิดขึ้นจากความรู้ไม่จริงในสิ่งที่กลัว ผู้ถามปัญหามีสัตว์กายทิพย์ (เทวดา) เป็นเพื่อนดี จึงมาบอกเรื่องประตูไม่ได้ล๊อค ผู้รู้จริงจึงคิดตอบแทนบุญคุณของเพื่อนดีเช่นนี้ ด้วยการอุทิศบุญกุศลให้แก่เพื่อนผู้มีอุปการะ

     อนึ่ง การได้ยินเสียงของสัตว์ (รูปนาม) ในต่างมิติ มิได้เกิดขึ้นจากการทำงานของระบบประสาท (โสตประสาท) แต่เกิดขึ้นจากการทำงานของจิตสัมผัส ที่มีความถี่ช่วงคลื่นขนาดเดียวกัน ตอนที่พระพุทธโคดมขึ้นไปเทศนาโปรดพุทธมารดา (สันดุสิตเทพบุตร) ในดาวดึงส์ พระองค์มิได้สื่อกับเทวดาด้วยภาษามนุษย์ แต่สื่อกันด้วยภาษาจิต (พลังงานจิตมีความถี่ช่วงคลื่นตรงกัน) ดังนั้นผู้ถามปัญหาไม่ควรเอาจิตไปผูกติดกับการสื่อสารประเภทนี้ เพราะมิได้เป็นเหตุนำพาชีวิตไปสู่อิสรภาพที่สมบูรณ์ (นิพพาน)
  

2309.
อาจารย์ค่ะ หนูมีเรื่องไม่สบายใจค่ะ คือว่า จากการที่หนูได้ดูรายการกรรมลิขิต เรื่องราวของกรรมที่ทางรายการนำมาออกอากาศนั้นคือ มีผู้หญิงคนนึงตอนเด็กๆ เค้าเล่นสนุก ล่อนกหลายๆตัวให้เข้ามาอยู่ในกรงเดียวกัน แล้วพอสักพักนึงเค้าก้ปล่อยนกออกไป ปรากดว่า มีนกอยู่สองตัวที่ไม่บินออกไป เค้าไปดูใกล้ๆ ก้เหนที่หัวของนกเปนแผลเหวอะหวะ ทั้งสองตัวเลย นกที่เธอจับมาขังอยู่ในที่แคบๆนั้นมันจิกกันเอง ต่อมาเมื่อเทอโตขึ้น ได้เข้าไปทำงานในโรงงาน เทอก้ประสบอุบัติเหตุ คือเครื่องจักรในโรงงานได้กลืนผมเทอเข้าไป ทำให้เทอต้องตัดสินใจกระชากศรีษะออก ส่งผลให้จนปัจจุบันนี้เทอเปนคนไม่มีผม และต้องไปรักษาหนองที่ศรีษะอยู่เปนประจำ นี่คงเปนเพราะกรรมที่เทอก่อโดยไม่ได้ตั้งใจ 

เมื่อหนูดูรายการแล้ว หนูก้ได้นึกย้อนดึงตัวเอง ตอนนั้นน้องชายของหนูเอาปลากัดมาเลี้ยงที่บ้าน ด้วยการที่ไม่รุ้วิธีเลี้ยงและวิธีในการเพาะพันธุ์ ตอนพ่อปล่อยตัวผู้กับตัวเมียเจอกันทีไร หางมันต้องฉีกและถลอกทุกที และที่สำคัญทั้งๆที่ตัวเมียท้องแล้ว ตัวผู้ก้ก่อวอดแล้ว แต่ปล่อยให้เจอกันทีไร มันก้ไม่ยอมรัดตัวเมียสักที พ่อจึงปล่อยให้มันอยู่ด้วยกันอย่างนั้น ผ่านไปหลายๆวันท้องของตัวเมียโตขึ้นเรื่อยๆๆ จนเห็นว่าเกล็ดมันปริแล้วแต่ไข ่ ก้ยังไม่ออกซักที

จนมาวันนึง ตัวเมียก้ดิ้นและชักตาย หนูสงสารมันเหลือเกินค่ะ และหนูก้กลัวด้วยว่ามันจะเป็นเวรเปนกรรมอะไรหรือป่าว อย่างงี้หนูควรจะทำอย่างไรดีคะ ควรจะทำบุญ หรือทำอย่างไรดีเพื่อบรรเทากรรมนี้ ขอให้อาจารย์ช่วยตอบคำถามของหนูหน่อยนะค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
      ผู้มีจิตขาดสติ หรือสติมีกำลังอ่อน ย่อมเอาจิตเข้าไปร่วมในอกุศลกรรมของผู้อื่น แล้วบาปย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จริงจึงไม่เอาเรื่องของคนอื่นมาทับถมใจตน

    วิธีแก้ปัญหาที่บอกเล่าไป ผู้ถามปัญหาต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติกล้าแข็ง ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญอานาปานสติ เมื่อสองกิจกรรมแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร คือปลากัดที่ตัวเองระลึกถึง อุทิศบุญให้ไปเรื่อยๆจนกว่าจิตจะไม่ระลึกถึงปลากัดอีกต่อไป ก็แสดงว่าหนี้เวรกรรมได้จบสิ้นลง
  

2308.
เรียนท่านอาจารย์

           กระผม จ.ส.อ.ปัญญา   แก้วพันเดิม   อยู่ อำเภอนครชัยศรี จ.นครปฐม   ขอรบกวนท่านอาจารย์ช่วยบอกสถานที่ หรือวัดที่จะไปปฏิบัติสมาธิที่ถูกต้อง ถูกตรง ใน จ.นครปฐม หรือใกล้เคียง เพื่อกระผม จะได้มีครูบาอาจารย์ในการปฏิบัติ ในการชี้แนะ ปฏิบัติด้วยตัวเองแล้ว ไปได้ไม่ไกลติดอยู่กับที่ครับ..
           ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงยิ่ง และขอให้ท่านอาจารย์จงมีสุขภาพแข็งแรง เป็นที่ผึ้งหวังของคนมีธรรมะ ไปนานๆ ขออนุโมทนาสาธุ..  
กับท่านอาจารย์ด้วย
 
                                                                                        จ.ส.อ.ปัญญา

คำตอบ
     แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอ้อน้อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ที่นั่นมีพระดีสอนธรรม หากไม่นำตัวเองผละออกไปก่อน โอกาสพัฒนาจิตตนเองให้มีสติและปัญญาเห็นถูกตามธรรมย่อมเกิดขึ้นได้
  

2307.
กราบท่านอาจารย์ ดร.สนองครับ

กระผมมีคำถามดังนี้ครับ
1 หากผมถูกหัวหน้างานย้ายการทำงาน โดยที่ผมรู้สึกว่า ช่างไม่ยุติธรรมกับผมเลย เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ไม่มีคำว่าบังเอิญใช่มั้ยครับ นั่นหมายความว่า ผมต้องเคยสร้างเหตุในลักษณะเดียวกันไว้แบบนี้ใช่มั้ยครับ และเมื่อถึงคราวที่กรรมให้ผล ผมถึงต้องได้รับผล เช่นนี้ ผมเข้าใจถูกต้องมั้ยครับ

2 มีวิธีใดบ้างครับ ที่จะทำให้ความทุกข์ในการถูกย้ายงานในครั้งนี้ เบาบางลงและจะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไรบ้างครับ   

3 หากผมโกรธเคืองหัวหน้างานและอาฆาต พยาบาท    นั่นหมายความว่าผมกำลังสร้างเหตุแห่งทุกข์เพิ่มเติม และจะต้องกลายเป็น    เจ้ากรรมนายเวรกันไม่จบไม่สิ้นถูกต้องมั้ยครับ    ในทัศนะของผู้รู้แจ้งในทางธรรม    เขามีวิธีจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อย่างไรครับ   ( ปัญหาของใครก็ปัญหาของคนนั้น ต้องหาทางแก้ไขเองข้อนี้ผมทราบดีครับ)

4 สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ผมเข้าใจว่า กรรมกำลังให้ผล บาปกำลังส่งผล ผมจึงปฏิบัติธรรมบ่อยขึ้น เช่นสวดมนต์ 2-3 ครั้งในแต่ละวัน นั่งสมาธิ 2 ครั้งในแต่ละวัน แบบนี้จะทำให้ความทุกข์คลายลงได้บ้างมั้ยครับ

5 ล่าสุดผมนั่งสมาธิโดยกำหนดลมหายใจเข้า ออก จนกระทั่งรู้สึกว่าจิตนิ่งดิ่งลึก และนึกถึงคำพูดที่อาจารย์เคยบอกว่า เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ให้พิจารณาสิ่งต่างๆว่ามันดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ ในขณะนั้นเอง จู่ๆจมูกผมก็ได้กลิ่น น้ำหอมปรับอากาศในห้องลอยมากระทบจมูก แล้วก็หายไป สักพักกลิ่นอับของห้องก็ลอยมากระทบจมูกแล้วก็หายไป สักพักก็เป็นกลิ่นอากาศปกติแล้วก็หายไป สลับไปมาแบบนี้ ในขณะที่จมูกได้กลิ่นต่างๆผมก็ กำหนดรู้ว่า ได้กลิ่นนะ หอมนะ เหม็นนะ เฉยๆนะ เป็นแบบนี้ แล้วอยู่ๆ    ในหัวมันก็คิดขึ้นมาเองว่า กลิ่นทั้งสามส่วนที่เราได้กลิ่นนั้นมันเป็นไปตามกฏ ไตรลักษณ์ มันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เดี๋ยวมันก็มาใหม่    สลับกันไปแบบนี้เหมือนกับ ความสุขความทุกข์ที่มันมาแล้วก็ไป       
ความสุขก็เหมือนกลิ่นหอม ควากทุกข์ ก็เหมือนกลิ่นเหม็น      แต่กลิ่นอากาศปกติที่ไม่หอมไม่เหม็น      แท้ที่จริงแล้วมันก็คือดวงจิตของเราที่บริสุทธิ์    เพียงแต่พอเจอกิเลสจรมามันจึงทำให้จิตของเราปรุงแต่งไปเอง    เป็นความชอบไม่ชอบ เป็นความสุข ความทุกข์    และหลังจากผมออกจากสมาธิ ปัญหาเรื่องงานดูเบาและโล่งมากครับ                                                                       
ผมจึงอยากจะถามอาจารย์ว่า ที่ผมคิดได้แบบนี้ มันเกิดจากปัญญาเห็นแจ้งที่มาจากการปฏิบัติธรรมใช่ไหมครับ หรือมาจากปัญญาที่มาจากการนึกคิดครับ หากว่าผมปฏิบัติถูกต้องแล้ว ผมควรจะทำอย่างไรต่อไปครับ และหากผมปฏิบัติผิดทางผมควรจะแก้ไขอย่างไรครับ

สุดท้ายกราบขอบพระคุณ ในบุญคุณของท่านอาจารย์ ที่กรุณาเมตตาไขปัญหาครับ   

คำตอบ
     (๑)  ถูกต้องครับ

     (๒)  ผู้เห็นถูก ยอมรับว่ากฎแห่งกรรมมีจริง และชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นผู้เห็นถูกยังพัฒนาจิตให้มีบุญใหญ่เกิดขึ้นควบคู่ไปด้วย

     (๓)  ถูกต้องครับ ผู้รู้แจ้งในธรรมยอมชดใช้หนี้เวรกรรมที่ตนทำไว้เป็นเหตุ และหยุดประพฤติอกุศลกรรมไม่ให้เกิดขึ้นอีก (แก้ปัญหาที่ตัวเอง)

     (๔)  ทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร การอุทิศบุญที่ให้ผลเร็วที่สุดคือ นำตัวเองเข้าร่วมปฏิบัติธรรมกับผู้อื่น แล้วขอความเมตตาจากผู้อื่นให้ร่วมกันอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของตน แล้วหนี้เวรกรรมย่อมหมดไปได้เร็ว

     (๕)  ใช่ครับ เป็นการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง จงทำจิตให้โล่งเป็นอุเบกขา ผู้เห็นถูกเห็นว่า สรรพสิ่งที่จิตรับเข้าปรุงอารมณ์ ล้วนดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออารมณ์ไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) จิตย่อมปล่อยวาง แล้วว่างเป็นอุเบกขา นี่คือวิธีปฏิบัติของผู้รู้แจ้งในธรรม ... สาธุ ผู้ไม่ประมาทรักษาความดีเช่นนี้ให้คงอยู่ ด้วยการเจริญพละ ๕ (สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) อยู่เสมอ แล้วจิตจะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของมารทั้ง ๕ (กิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร เทวปุตตมาร มัจจุมาร)
   

2306.
เรียน ท่านอาจารย์ รบกวนขอทางสว่างด้วยคะ

หนูทะเลาะกับแฟน เรื่องความเจ้าชู้ โกหก ซึ่งเป็นผลทำให้หนูเกิดการอาฆาต พอเผลอไม่มีสติ ความโกรธเข้ามา ก็ คิดสาปแช่งเข้า พอมีสติก็คิดอโหสิ สลับไปมาเช่นนี้ ซึ่งตอนนี้ก็ได้เลิกกันไป และไม่อยากกลับไปทุกข์แบบเดิม ๆ อีก

อยากถามว่า

1 ได้รู้มาว่าการสาปแช่ง อาจเป็นผลให้ต้องกลับมาทำร้ายกันอีกในอนาคตและชาติต่อไป จริงหรือไม่คะ

2 หากจะเลิก คำสบถที่เคย สาปแช่งไป ต้องทำเช่นไร แล้วคำสบถที่ได้คิดสาปแช่งไปแล้ว จะหายไปได้ไม๊คะคือ ณ ตอนนี้ไม่อยากมีเวรต่อกันอีก อยากมุ่งหน้าปฏิบัติธรรม เพื่อหาหนทางหลุดพ้นต่อไปค๊ะ

3 ตอนนี้ เมื่อใดที่คิดสาปแช่ง หนูจะท่องว่า .. ” อโหสิ อโหสิ ” ทำถูกหรือไม่ และพยายามทำความรู้สึกตัว ว่าเราคิดไม่ดีอยู่ ต้องหยุดคิดเพื่อให้ไม่มีเวรต่อกันย้อนหลังคะ ทำถูกหรือไม่คะ หรือต้องทำเช่นไร 

4 หากไม่อยากจองเวรไปมา กับแฟนเก่า จะต้องมีการพูด ขออโหสิกรรมกันไม๊คะ หรือ แค่เราคิดว่า เรา อโหสิกรรมที่เค้าทำให้เราทุกข์ก็เพียงพอคะ เพื่อหมดซึ่งเวรต่อกันคะ

5 การเจริญสติ ภาวนา จะทำให้เวรกรรม เบาบางลง โดยแผ่ส่วนกุศลทุกครั้งที่เจริญสติ จนเจ้ากรรรมนายเวรอภัย ความคิดเช่นนี้ถูกต้องไม๊คะ

รบกวนอาจารย์ชี้แนะด้วยคะ หนูไม่อยากลงไปในอบายภูมิ จะรีบเร่งฝึก

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงในความเมตตาคะ

ขอให้ท่านอาจาย์สุขภาพแข็งแรง เพื่อแนะนำทางสว่างกับพวกเรา ผู้ที่ไม่รู้ และเดินหลงด้วยนะคะ และหากหนูได้เคยล่วงเกินหรือปรามาสท่านอาจารย์   ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา

ขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ด้วยคะ

คำตอบ
      (๑)  จริงครับ ผู้ที่รับผลของบาปเป็นคนแรกก็คือ ผู้ที่ประพฤติสาปแช่งนั่นเอง

     (๒)  คำว่า “สบถ” หมายถึง การอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ลงโทษตน เมื่อไม่ทำตามที่พูด

     คำว่า “สาปแช่ง” หมายถึง การด่าว่าผู้อื่นให้ได้รับผลร้าย

     ดังนั้นหากไม่อยากมีหนี้เวรกรรมต่อกันอีก ต้องไปขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ตนจะไม่ประพฤติสาปแช่งอีกต่อไป และต้องให้อภัยเป็นทานทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น หากปฏิบัติได้ถูกตรงตามนี้แล้ว อารมณ์ที่สงบและเย็น (เมตตา) ย่อมเกิดขึ้นกับผู้ประพฤติ

     (๓)  ผู้ใดกล่าววาจาว่า “อโหสิ” แล้วมีอารมณ์สงบเย็นเกิดขึ้นในดวงจิต อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็นอโหสิกรรมที่แท้จริง

     (๔)  การพูดด้วยวาจา ยังไม่สำคัญเท่ากับการให้อภัยเป็นทาน แล้วทำให้จิตมีความสงบเย็น นั่นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าคำพูด

     (๕)  ถูกต้องครับ .... อโหสิให้แล้ว
  

2305.
กราบ อาจารย์ ดร.สนอง   วรอุไร   

    ผมมีปัญหาในการปฏิบัติดังนี้ครับ

1. ตอนนั่งสมาธิแล้วเห็นเป็นแสง ลักษณะเป็นวงกลมสีแดงส้ม เหมือนเป็นรัศมี อาการของแสงจะเป็นวง แล้วก็หดลงมาจนหายไป เปรียบเทียบเหมือนกับการโยนหินลงน้ำครับ จากตำแหน่งตกแล้วขยายออกเป็นวงกว้าง แต่ที่ผมเห็น อาการของแสงจะสลับกัน บางครั้งก็เห็นเป็นความสว่าง แต่ก็สว่างไม่มากนัก สิ่งที่สังเกตุได้ ในตอนที่เห็นทั้งสองอาการนี้คือ จิตก็สงบและนิ่งครับ แต่ต้องเพ่ง ถ้าไม่เพ่งในอาการที่เห็น จิตจะไม่นิ่ง พอเพ่งไปสักพัก ดยทำความรู้สึกเฉยๆ อาการต่อมาที่เกิดคือ ความรู้สึกเหมือนจิตจะดิ่ง วูบลงไป แต่ไม่ทั้งหมด เหมือบแบบดิ่ง วูบไปนิดๆ แล้วก็ออกมา เปรียบเทียบเหมือนกันกับเอามือจุ่มน้ำ แค่แตะน้ำแล้วดึงมือกลับแล้วจิตก็กลับมาจุกเริ่มต้นใหม่ จากฟุ้ง กำหนดลมเข้าออก เห็นแสง จิตเหมือนแค่แตะอาการดิ่ง วูบ เป็นอย่างนี้สลับกันสามรอบครับ อาการเห็นแสงเป็นมาได้สักเดือนหนึ่งได้แล้วครับ แต่อาการวูบ ดิ่งแบแตะๆ เป็นได้สักสอง สามวันได้แล้วครับ ตอนที่ส่งข้อความมานีั อาการวูบ ดิ่งไม่เกิดแล้ว แต่เห็นความสว่างที่สว่างไม่มากนักอยู่ครับ ( ผมนั่งภาวนาเกือบทุกวันครับ เดือนหนึ่งไม่ได้ปฏิบัติ ก็ สองถึงสามวันครับ)

        จากอากการที่เล่ามานี้ ผมควรทำอย่างไรเพิ่มเติมบ้างครับ ตอนช่วงไหน อย่างไร แล้วถือว่ายังผิดทางหรือเปล่าครับ

2.  ผมมีความเจ็บป่วยทางร่างกายเกี่ยวกับเส้นเอ็นครับ เป็นมากว่าสิบปีแล้ว ก็ไปนวดรักษามาเยอะแล้ว แต่ก็ไม่ดีขึ้น ก็เลยปล่อยโดยคิดว่าใช้กรรมไปดีกว่า คิดอย่างนี้ถือว่าผิดธรรมหรือเปล่าครับ แต่ผมก็ตั่งใจจะชดใช้กรรมนี้จริงๆครับ แล้วก็ใช้อาการเจ็บนี้ในการปฏิบ้ติธรรมด้วย โดยวิธีการดังนี้ครับ

3.  เวลานั่งภาวนา แล้วเกิดอาการปวด ผมจะเพ่งในอาการปวด ดูลักษณะของการปวด ดูไปเรื่อยๆ กำหนดจิตดูจนเห็นว่า อาการปวดมันไม่ได้ปวดติดต่อกัน มันเกิดแล้วก็หายไป เกิดแล้วก็หายไป เหมือนการกระพริบของไฟ ส่วนความถี่ที่เกิดอาการปวด   มันขึ้นอยู่กับจิตที่เข้าไปผูกพันกันอาการปวดนั้น ถ้าเพียงแค่ดูอยู่เฉยๆ ความถี่ของอาการปวดจะเห็นชัดว่าห่างกัน แต่ถ้าเอาจิตเข้าไปผูกพัน ความถี่ของอาการปวดจะเร็วจนดูเหมือนติดด่อกัน  พอดูอาการปวดไปเรื่อยๆ ดูเฉยๆ มันก็ได้ความรู้สึกว่า ปวดนี้ มันไม่ใช่ของเรา มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันไม่มีในเรา สักพักมันก็ไม่ปวด อาจจะรู้สึกปวดบ้างนิดๆ บางๆ เป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้จิตหลุดออกจากลมเข้า ลมออก แต่หลังจากออกจากสมาธิ มันก็ปวดมากเลยครับ ร้อนขึ้นมาตรงบริเวณที่ปวดครับ
    ด้วยการปฏิบัติแบบนี้ ถือว่าผิด ถูก อย่างไรบ้างครับ ควรเพิ่มเติมหรือลดอะไรอย่างไรในการปฏิบัติบ้างครับ

      รบกวนอาจารย์ให้คำแนะนำด้วยครับ เพื่อการปฏิบัติจะได้ก้าวหน้าขึ้น และปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยครับ

       กราบขอบพระคุณอาจารย์ ดร.สนอง   วรอุไร   อย่างสูงครับ

คำตอบ
     (๑)  ขณะนั่งเจริญสติ แล้วจิตไปเห็นแสงสว่าง ต้องกำหนดว่า “สว่างหนอๆๆๆๆ” จนกว่าการเห็นแสงสว่างจะดับไป แล้วค่อยดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมที่ทำอยู่ หากปล่อยให้แสงสว่างและอาการดิ่งวูบเกิดขึ้น นั่นเป็นตัวบ่งชี้ว่า จิตขาดสติ จึงเคลื่อนออกไปรับเอาแสงสว่างและอาการดิ่งวูบมาปรุงอารมณ์ จึงควรแก้ไขตามคำชี้แนะ แล้วจิตจึงจะมีกำลังของสติเพิ่มขึ้น

     (๒)  ถือว่าผิดธรรม อกุศลวิบาก (เจ็บเอ็น) จะหมดไปได้ บุคคลผู้เสวยอกุศลวิบากต้องอุทิศบุญกุศลใหญ่ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรม ให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าการจองเวร (ผูกพยาบาท) จะถูกยกเลิก แล้วอาการเจ็บเส้นเอ็นก็จะหมดไป

     (๓)  การดูอาการปวดที่เกิดขึ้น ต้องใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ตามดูอาการปวดว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดอาการปวดดำเนินไปสู่อนัตตา (ไม่ใช่ตัวใช่ตน) จิตย่อมปล่อยวางอาการปวด แล้วจิตเข้าสู่ความว่างเป็นอุเบกขารมณ์ อาการปวดเล็กน้อยหรืออาการปวดเกิดขึ้นในบางครั้ง ต้องปฏิบัติตามนี้ จนกว่าอาการปวดจะดับไป แม้ว่าจะนำจิตคลายจากสมาธิแล้วก็ตาม อาการปวดจะไม่ปรากฏขึ้นอีก ดังนั้นการประพฤติที่ผิดพลาด จึงควรแก้ไขตามที่ผู้รู้ผู้มีประสบการณ์ชี้แนะ
  

2304.
กราบเรียน ดร.สนอง วรอุไรค่ะ

ดิฉัน นางสาว พิมพ์วลัญช์ เผดิมผล
1.   ดิฉันมีเรื่องรบกวนสอบถามค่ะ ดิฉันได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเขาสมโภช ที่ลพบุรี แต่ว่าดิฉันไม่ค่อยมีสมาธิเลย เพราะดิฉันมีความรู้สึกกลัว เพราะมีแต่คนร้องเสียงดัง และโวยวายทำให้ไม่มีสมาธิ แต่ดิฉันก็ศัธทาหลวงพ่อคงและวัดเป็นอย่างยิ่งค่ะ.....

2.   ดิฉันปฏิบัติธรรมที่บ้านเฉพาะตอนเช้า อยากทราบว่าเวลานั่งสมาธิบางครั้งก็สว่าง บางครั้งก็มืด หนูภาวนาบางครั้งก็เห็นภาพ แต่ก็ไม่สนใจ ภาวนาต่อพองยุบ สักพักก็หายไป บางคร้งก็ปวดหัว เหมือนจะอาเจียน เป็นเพราะอะไรค่ะ ?

3.   อาชีพเสริมสวยของดิฉันผิดสัมมาอาชีพไหมค่ะ ?

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ..

คำตอบ
    (๑)  การปฏิบัติธรรมต้องมีความเหมาะสม (สัปปายะ) ในกรณีที่บอกเล่าไปเรื่องบุคคลไม่สัปปายะ ผู้มีกำลังสติในดวงจิตอ่อน จึงไม่สามารถต้านเสียงร้องดังของบุคคลได้ ดังนั้นจึงต้องเลือกสถานที่ฝึกให้เหมาะสมกับกำลังสติของตน

     (๒)  ขณะนั่งภาวนาแล้วเกิดไปเห็นภาพแล้วไม่สนใจ จึงปล่อยให้ภาพที่เห็นผ่านเลยไป วิธีการเช่นนี้เป็นการเพิ่มกำลังโมหะให้เกิดขึ้นกับจิต ดังนั้นคนที่มีกำลังสติอ่อน จึงไม่สามารถต้านพลังอำนาจของขันธมาร (ปวดศีรษะ) ได้ วิธีแก้คือ ต้องกำหนดทุกครั้งที่ภาพปรากฏว่า “เห็นภาพหนอๆๆๆๆ” จนกว่าการเห็นภาพจะดับไป การประพฤติเช่นนี้โมหะจะไม่มีกำลังเพิ่มขึ้น

     (๓)  อาชีพเสริมสวยมิได้เป็นสัมมาอาชีวะ ของผู้ที่ปรารถนานำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์
  

2303.
สวัสดีครับอาจารย์สนอง

คราวก่อนผมได้ถามปัญหาเกี่ยวกับจิตใจที่กังวลเรื่องการงาน ผมได้ฝึกสติตามที่อาจารย์แนะนำมาช่วงหนึ่งแล้วครับ อารมณ์มันยังเกาะงานอยู่บ้าง แต่ไม่นานเหมือนก่อน ทำให้ใจสบายขึ้นมาก ผมขอบคุณอาจารย์มากๆครับ ครั้งนี้ผมอยากถามเรื่องการักษาศีลให้บริสุทธิ์ มีคนบอกว่าเราไปกินอาหารที่เขาผสมสุรา แต่เราไม่ทราบ. อย่างนี้ไม่ผิดศีล และสุราที่ผสมในอาหารถูกความร้อนทำให้ระเหยไปหมดแล้ว กินได้ไม่ผิดเช่นกัน หรือผสมนิดหน่อยพอได้กลิ่นก็ไม่ผิด. ส่วนตัวแล้ว. ผมไม่กินอาหารที่ว่ามาทุกอย่าง ผมว่าไม่ยุ่งเลยจะดีกว่า. บางทีเขาบอกว่าผมจริงจังเกินไป. ผมอยากขอความเมตตาให้อาจารย์ ช่วยอธิบายการักษาศีลให้บริสุทธิ์โดยเฉพาะข้อ 5 ครับ. บุญใดที่เกิดจากการปฏิบัติบูชาต่อองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบุญนั้นจงส่งผลให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขตลอดไป

ขอบคุณครับ

นัท

คำตอบ
     ครั้งใดที่จิตมีอารมณ์เกาะอยู่กับงาน (นอกเวลาทำงาน) ต้องกำหนดทุกครั้งว่า “รู้หนอๆๆๆๆ” จนกว่าอารมณ์ที่เกาะอยู่กับงานจะดับไป แล้วคำว่า “บ้าง” จะไม่ปรากฏมีขึ้นกับจิต

     เรื่องอาหารที่มีสุราเป็นส่วนประกอบ หากผู้ถามปัญหาไม่ทราบมาก่อน หากบริโภคเข้าสู่ร่างกายแล้ว ไม่ถือว่าเป็นบาป หากเป็นไปในทางตรงกันข้าม การบริโภคเข้าไปถือว่าเป็นบาป แม้ว่าสารแอลกอฮอล์จะระเหยไปหมดแล้วด้วยความร้อนก็ตาม แต่กลิ่นยังมีตกค้าง การบริโภคเช่นนั้นเป็นการประพฤติทุศีล

     เรื่องศีลข้อห้าต้องเว้นประพฤติทั้งกาย วาจา และใจ คือปากต้องไม่ดื่ม วาจาต้องไม่พูดถึง และใจต้องไม่คิดอยากดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงของที่เสพแล้วมึนเมา เช่น เมรัย กัญชา ยาบ้า ข้าวหมาก ฝิ่น เฮโรอีน ฯลฯ
  

2302.
เรียน อ. ดร สนอง วรอุไร

กระผมได้แรงบันดาลเข้าสู่การปฏิบัติธรรม จากการฟังเทปทางสายเอกของอาจารย์ ก็เลยไปเรียนการปฏิบัติธรรม ที่วัดอัมพวัน 3 ครั้งแล้วก็มาปฏิบัติที่บ้าน ทำมาได้ประมาณเกือบ 2 ปี เดินและนั่งอย่างละประมาณหนึ่งชั่วโมง ถ้าเป็นวันหยุดก็จะมีเวลาทำยาวเป็นช่วงๆ มีอาการปีติเกิดหลังจากนั่งไปประมาณครึ่งชั่วโมง บางวันก็เกิดเร็ว แล้วปีติบางทีเกิดสองสามครั้ง หลังจากเกิดปีติแล้วก็รู้สบายตัวเบา อาการความเจ็บปวดเมื่อยล้าหายไป เป็นอยู่อย่างนี้มานานทำให้ไปต่อไม่ได้

รบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

อดิศักดิ์ วินิจสร

คำตอบ
     เหตุที่ฝึกจิตต่อไปไม่ได้ เป็นเพราะจิตขาดสติ จึงไประลึกรู้อยู่กับอารมณ์ปีติ (สบายและตัวเบา) ปีติเป็นตัวทำให้จิตเศร้าหมอง ดังนั้นต้องกำจัดปีติให้หมดไปจากจิต ด้วยการกำหนดว่า “ตัวเบาหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการตัวเบาสบายหายไป แล้วจึงเอาจิตมาจดจ่อคำภาวนาเดิมที่ทำอยู่
  

2301.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร. สนอง ,

ดิฉันได้ปฏิบัติธรรมมาระยะหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนนั่งสมาธิไปสักพักจะปวดขามาก ทรมาน ทนไม่ค่อยไหว มาอ่านคำตอบของอาจารย์ที่ให้สู้กับความปวดนั้น ก็เพียรพยายามจนพักหลัง นั่งสมาธิแล้วเห็นความปวด แต่ก็ไม่ทรมานเหมือนเดิม ความปวดมาแล้วก็ไป บางทีเห็นว่ามีความปวดอยู่ ก็ไม่ทรมานเหมือนเดิมแล้ว อยากจะเรียนสอบถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. การปฏิบัติดังกล่าวถูกต้องหรือเปล่าค่ะ ถ้าถูกจะเรียกว่าอยู่ในสภาวะอะไรค่ะ

2. ยังต้องบริกรรม "ปวดหนอ" อยู่หรือเปล่าค่ะ หรือมีอะไรเด่นชัดก็ไปจับตรงนั้น เช่น ได้ยินเสียง ก็ไปบริกรรม "ได้ยินหนอ" พอความปวดหายไป ก็กลับไปบริกรรม "ยุบ-พอง" ถ้าความปวดกลับมา ก็บริกรรม "ปวดหนอ" อย่างนี้ถูกต้องหรือเปล่าค่ะ

3. ก่อนหน้านี้มีความตั้งใจว่าจะนั่งสมาธิจนกว่าที่ความปวดจะหายไปอย่างที่อาจารย์บอกไว้ พอมาถึงตอนนี้ก็เลยมีความสงสัยว่าควรกำหนดระยะเวลาการนั่งอย่างไร นั่งจนกว่าจะไม่ทรมานกับการปวดทุกครั้งหรือควรจะนั่งต่อไปนานกว่านั้น แล้วควรจะนั่งนานเท่าไหร่ อาจารย์พอจะแนะแนวทางให้ได้ไหมค่ะ  

กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     (๑)  ยังไม่ถูกต้องนัก ทุกครั้งที่มีอาการปวดที่ขา ต้องกำหนดว่า “ปวดหนอๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการปวดที่ขาไม่กลับมาเกิดขึ้นได้อีก

     (๒)  มีอาการใดเด่นชัดปรากฏ ต้องกำหนดที่อาการนั้นจนกว่าจะดับไป และเช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่มีอาการปวดขากลับมาเกิดขึ้นอีก ต้องกำหนด “ปวดหนอๆๆๆๆ” จนกว่าอาการปวดที่ขาจะหายไป

     (๓)  ควรฝึกจิตให้มีสติด นานเท่าที่มีโอกาสเปิดให้ทำได้.
   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

browser stats