1

 

 

 

                                                       
คำถาม-คำตอบ ข้อ 1751-1800
1800.
กราบท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ที่ผมเคารพอย่างสูงครับ

   ผมได้ทำการอธิษฐานจิต หลังจากทำการเจริญภาวนาเสร็จสิ้นแล้ว แถวนั้นมีคนกำลังคุยกันอยู่ ผมอธิษฐานไปประมาณว่า "ขอให้กุศลที่ข้าพเจ้าทำมาทุกสิ่ง จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าไม่ตกอบายภูมิทั้ง 4 ตลอดอนันการ" ประมาณนี้ครับ แต่แล้วมันก็มีความรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่า เอ้ยเราอธิษฐานผิดไปหรือเปล่าน่ะ อธิษฐานว่าให้ตกอบายตลอดหรือเปล่า-*- ซึ่งความสงสัยนี้ทำให้ผมนั้นคิดแล้วคิดอีกว่า เอ้ยเราอธิษฐานไปผิดไหม แล้วมันจะมีผลไหม ทั้งๆที่ผมเองก็คิดว่า ผมเองอธิษฐานถูกแล้วนะครับ แ่ต่ความสงสัยนี้มันก็วนเวียนๆ จนทำให้ผมยิ่งสงสัยไปอีกว่า เราอธิษฐานผิดไปจริงหรือนี่ ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลยครับ มันยิ่งทำให้ผมเหมือนอยากเลิกปฏิบัิติเลย ไม่อยากปฏิบัติต่อ รู้สึกกลัวกลัวที่เห็นความคิดตัวเองแบบนี้ แล้วเวลาผมฟังธรรม หรืออ่านหนังสือธรรมจริงๆเป็นสิ่งที่ดี แต่บางทีผมฟัง หรืออ่านบางช่วง มันทำไมจึงทุกข์ เพราะผมกลัวว่าจะไปยินดียินร้ายกับ ในเรื่องราวของเสียงหรือหนังสือบ้าง หรือว่าไปปรามาสพ่อแม่ครูอาจารย์บ้าง ถ้าผมไม่ฟังไม่อ่านจะบาปไหมครับ ผมรู้สึกท้อมาก ท้อเหมือนจนจะหยุดดีไหม จะพักดีไหมเพราะกลัว แต่อีกใจก็บอกว่าหยุดไม่ได้แล้ว หยุดไปก็ไม่ได้อะไร ต้องเดินหน้าอย่างเดียว ผมกลัวมากเลยครับ

ผมกราบขอบพระคุณในความเมตตากรุณา ของท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไรเป็นอย่างสูงครับ  

คำตอบ
     ไม่ฟังไม่อ่านแล้วสบายใจ ไม่ถือว่าเป็นบาป แต่ความสงสัยเป็นเหตุให้ไม่สบายใจ ถือว่าเป็นบาป ผู้ใดประสงค์จะผ่านปัญหานี้ไปให้ได้ ต้องไปขอขมากรรม ที่ตนเคยประพฤติล่วงเกิน บิดเบือนคำสอน (ธรรมวินัย) ของผู้ทรงคุณธรรม ด้วยการเอาดอกไม้ธูปเทียน ไปสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย (อิติปิโส … , สวากขาโต … และสุปฏิปันโน … . ไปจนจบ) แล้วกล่าววาจาขอขมาว่า ตนจะไม่บิดเบือนคำสอนที่เป็นธรรม เป็นวินัย ที่กล่าวไว้โดยผู้ทรงคุณธรรมให้เกิดขึ้นอีก เมื่อขอขมากรรมแล้ว ต้องประพฤติตนให้มีสัจจะ แล้วเร่งความเพียรในการปฏิบัติธรรมหรืออ่านหนังสือธรรมะ ต้องประพฤติเช่นนี้ให้ได้ทุกครั้งที่นึกได้ และปฏิบัติทุกครั้งที่ว่างจากงานภายนอก แล้วปัญหาดังกล่าวจึงจะหมดไปได้
  

1799.
กราบเรียน ท่านอาจารย์สนอง วรอุไร

กระผมมีปัญหาที่ขอเรียนถาม อาจารย์ได้โปรดเมตตาชี้แนะด้วยนะครับ
1. เมื่อตอนผมยังเด็กพ่อมักให้ผมเหยียบหลังให้เพราะท่านเมื่อย แต่ด้วยความไม่รู้ก็เลยทำตาม และไม่ได้มีการบอกกล่าวขอโทษใดๆทั้งสิ้น แต่สิ่งนั้นคือการเอาเท้าขึ้นไปอยู่บนตัวบิดาจะเกิดบาปกับตัวเราหรือไม่ครับ

2. คนที่ทำงานได้รับซองกฐินมาหลายใบ แต่ไม่ได้ไปร่วม เลยนำซองและหมายกำหนดการที่แนบมาทิ้งไป จนผมเกิดความเสียดาย เลยเก็บซองและใบแจ้งกำหนดการจากถังขยะมาใช้ต่ออีกหน้าหนึ่ง แต่เป็นการใช้เพื่อหน่วยงานไม่ใช่ส่วนตัว แต่สิ่งเหล่านั้นคือของสงฆ์ จะเกิดบาปกรรมกับตัวเราหรือไม่ครับ เพราะเสียดายที่จะทิ้งไปเฉยๆ

3. ที่บ้านผมประตูห้องน้ำอยู่ตรงกับประตูห้องพระ แถมห้องน้ำยังอยู่สูงกว่าด้วย ทุกวันนี้แก้ปัญหาโดยการปิดประตูทั้งสองไว้ทุกครั้ง ทั้งใช้และไม่ใช้ เรื่องนี้ทำให้ไม่สบายใจมากจะเกิดผลอย่างไรบ้างครับ จะย้ายก็ไม่ได้ เพราะได้ทำไว้สำหรับเป็นห้องพระโดยตรง และก็ไม่มีที่จะไปวางตรงอื่น

4. ถ้าผมประกอบอาชีพในด้านกฎหมาย ผมจะทำอย่างไรที่จะไม่เกิดบาปกับตัวเอง และปิดประตูอบายดังกล่าวได้ เพราะทราบดีว่าสามารถให้คุณให้โทษคนอื่นได้ และจากการฟังธรรมจากท่าน ดร.สนอง ที่กล่าวว่าตุลาการขาข้างนึงกำลังก้าวลงนรก อีกข้างนึงอยู่กับที่ หมายความว่าอย่างไรครับ และที่อาจารย์กล่าวต่อไปว่า เปาบุ้นจิ้นหดขาทัน ไม่ทราบว่าความหมายคืออย่างไรครับ

5. นางจิญจายะที่กล่าวตู่ใส่พระพุทธองค์นั้น เรื่องนี้มีรายละเอียดอย่างไรครับ

ขอแสดงความนับถือท่านอาจารย์สนองอย่างสูง

คำตอบ
     (๑) พ่อขอให้ลูกเหยียบหลังให้ แสดงว่าพ่ออนุญาตให้ลูกเหยียบได้ ไม่ถือว่าเป็นบาป

     (๒) สงฆ์ทำซองกฐินขึ้นมาด้วยมีจุดประสงค์ตามระบุ ผู้ใดได้รับโดยมีผู้อื่นส่งมาให้ แต่ผู้รับไม่ศรัทธา จึงเอาซองกฐินทิ้งลงถังขยะ ไม่ถือว่าเป็นบาป แต่ผู้นำซองกฐินไปใช้ไม่ถูกจุดประสงค์ที่ระบุอยู่บนซอง ถือว่าเป็นบาป

     (๓) ความไม่สบายใจเป็นผลของบาป เมื่อใดที่บุคคลมีความไม่สบายใจเพิ่มมากขึ้น จนเป็นเหตุทำให้ร่างกายเกิดอาการเจ็บป่วย นั่นคือผลของบาปที่เนื่องมาจากจิตมีบาปสั่งสม

     (๔) ผู้ตอบปัญหาเคยพูดไว้ว่า ผู้ประกอบอาชีพตุลาการ มีขาข้างหนึ่งยืนอยู่บนปากนรก และมีขาอีกข้างหนึ่งยื่นลงไปในนรก บุคคลมีอาชีพแบบนี้ส่วนใหญ่เมื่อตายแล้ว ขาทั้งสองตกลงไปในนรก มีส่วนน้อยที่หดขาขึ้นมาได้ทัน หมายความว่ามีคนจำนวนน้อย ตายแล้วไม่ลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรกเช่นเปาบุ้นจิ้น ทั้งนี้เพราะเปาบุ้นจิ้นมีเทวดาคุ้มรักษา จึงตัดสินคดีความไม่เคยผิดพลาด

     การประกอบอาชีพตุลาการให้ปลอดภัย ทำได้ ๒ ทาง คือ

       ๑ . ต้องประพฤติอย่างน้อยให้มีเบญจศีล (เว้นฆ่าสัตว์ เว้นลักทรัพย์ เว้นประพฤติผิดกาม เว้นพูดเท็จ และเว้นสุราเมรัย) และให้มีเบญจธรรม (มีเมตตากรุณา มีสัมมาอาชีวะ มีกามสังวร มีสัจจะ และมีสติสัมปชัญญะ) คุ้มรักษาใจให้ได้ทุกขณะตื่น ผู้ใดประพฤติเช่นนี้ได้แล้ว ผู้นั้นมีเทวดาคุ้มรักษา แล้วการตัดสินคดีความจะไม่ผิดพลาด

       ๒ . ต้องพัฒนาจิตตนเองให้เข้าถึงอริยธรรม อย่างน้อยเป็นอริยบุคคลขั้นต้น (พระโสดาบัน) ได้แล้ว การประกอบอาชีพตุลาการ จะไม่ทำให้ชีวิตต้องโคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ (เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และสัตว์นรก) ตาย - เกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติ ย่อมนำชีวิตเข้าสู่นิพพาน

     (๕) นางจิญจามานวิกา แกล้งทำเป็นท้อง โดยทำไม้ให้มีลักษณะโค้ง แล้วเอามาผูกไว้ที่หน้าท้อง แล้วสวมผ้าปิดทับให้มองไม่เห็นไม้ หลังจากนั้นได้เข้าไปกล่าวตู่พระพุทธเจ้าที่เชตวัน เมืองสาวัตถี ขณะที่พระองค์กำลังแสดงธรรมให้กับหมู่ภิกษุสงฆ์ โดยกล่าวในทำนองที่ว่า “มัวแต่สอนคนอื่นอยู่นั่นแหละ แล้วลูกในท้องนี่จะว่าอย่างไร”

     บรรดาภิกษุสงฆ์ที่มาร่วมฟังธรรมต่างตะลึงงัน ด้วยเกิดอารมณ์หวั่นไหว เมื่อได้ยินได้ฟังคำกล่าวเช่นนั้น ตรงกันข้าม พระพุทธเจ้ามีพระอาการสงบนิ่ง แล้วตรัสว่า “น้องหญิงเรื่องนี้เรารู้กันเพียงสองคน”

     เดือดร้อนถึงท้าวสักกะ (พระอินทร์) ที่มีคนมากล่าวตู่พระศาสนาที่ตนนับถือ โดยปราศจากความจริง จึงสั่งให้เทวดาตนหนึ่ง เนรมิตเป็นหนู กัดเชือกที่ผูกท่อนไม้ไว้กับท้องให้ขาดออก และให้เทวดาอีกตนหนึ่งบันดาลให้ลมพัดผ้าที่นางจิญจมานวิกานุ่งให้เปิดออก ผลปรากฏว่าท่อไม้ได้หล่นลงสู่พื้น แล้วจึงถูกฝูงชนประชาทัณฑ์ วิ่งหนีออกจากวัดเชตวัน วิ่งไปได้ไม่ไกลจึงถูกธรณีสูบ ลงไปเกิดอยู่ในอเวจีนรก

     บ่อที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบ กับบ่อที่นางจิญจมานวิกาถูกธรณีสูบ อยู่ไม่ห่างไกลกัน ใครผู้ใดไปยังประเทศอินเดีย แล้วไปที่เมืองสาวัตถุ ย่อมเห็นบ่อทั้งสองนั้นอยู่ใกล้วัดเชตวัน คนในยุคปัจจุบันเห็นแล้วไม่เชื่อ เพราะกาลเวลาล่วงมาเกือบสามพันปีแล้ว แต่หากใครผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเกิดอภิญญา ๕ ได้แล้ว จิตย่อมไปรู้ เห็น เข้าใจในเหตุการณ์ในครั้งพุทธกาลว่าเป็นเรื่องจริง
  

1798.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนอง

หนูปฏิบัติธรรมและเห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเองอย่างมากค่ะ นับถือครูบาอาจารย์และพระพุทธเจ้าอย่างสุดใจ

1.  หนูอยากจะเกื้อกูลประโยชน์แก่คุณพ่อคุณแม่ และเห็นว่าหากสามารถเกื้อกูลให้ท่านได้ดวงตาเห็นธรรมจะเป็นเรื่องประเสริฐที่สุดในชีวิต หนูอธิษฐานทุกวันหลังการทำสมาธิ ว่าขอให้สามารถนำพาเกื้อกูลประโยชน์ให้พ่อแม่ได้ดวงตาเห็นธรรมในชาติปัจจุบัน   คำอธิษฐานเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ

2. หนูได้พบกับคู่เวรคนหนึ่ง พบกันไม่นานมีเรื่องหมางใจกันตามประสาคนมีกรรมร่วมกันมา แต่ใจหนูกลับคิดอยากให้เขามีความสุข แผ่บุญและแผ่เมตตาให้ทุกวัน และได้อธิษฐานขอให้ได้สามารถเกื้อกูลบุคคลนี้ให้ได้ดวงตาเห็นธรรมในชาตินี้เช่นเดียวกัน   อาจจะเป็นเรื่องที่ยากที่คนโกรธกัน อยู่ๆจะกลับใจมาเรียนธรรมะด้วยกัน   แต่ก็ยังเชื่อมั่นในความดี เชื่อมั่นในบุญที่กำลังประกอบบำเพ็ญอยู่ ขอถามอาจารย์ว่าคำอธิษฐานเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ

หนูขอขมาลาโทษท่านอาจารย์ หากเคยล่วงเกินอาจารย์ไม่ว่าทางกายวาจาหรือใจ ในชาตินี้หรือชาติใดๆที่ผ่านมา   ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่แสดงธรรมที่เป็นประโยชน์   และขออนุโมทนากับบุญกุศลทั้งหลายที่ท่านอาจารย์ได้บำเพ็ญมาด้วยค่ะ

คำตอบ
    (๑) เป็นการอธิษฐานที่เหมาะสม แต่จะสัมฤทธิ์ผลได้ ต้องทำเหตุให้ตรง

    (๒) ผู้ใดประพฤติตนตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ดูข้อ ๑๗๙๔) ได้แล้ว ผู้นั้นย่อมมีบุญเกิดขึ้นกับจิตและสามารถอุทิศบุญให้ผู้อื่นได้ และหากผู้ใดให้อภัยเป็นทาน ต่อผู้ที่ทำเหตุขัดใจได้แล้ว ผู้นั้นย่อมมีเมตตา ผู้มีเมตตาจึงมีอารมณ์สงบและเย็นเป็นเครื่องวัด หากผู้ใดประพฤติได้เช่นนี้ การแผ่เมตตาของผู้นั้นย่อมสัมฤทธิ์ผล ฉะนั้นการอธิษฐานให้คนที่โกรธกัน หันมาเรียนธรรมะด้วยกัน ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้

    สุดท้าย ผู้ถามปัญหาไม่มีเวรใดๆกับผู้ตอบปัญหา (อโหสิ)
  

1797.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนองครับ ขออนุญาตถามคำถามอาจารย์ดังนี้
 
     ผมอยู่กินกับแฟนด้วยความรับรู้ของญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ตัดสินใจกู้เงินธนาคารซื้อบ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง มีชื่อผมเป็นเจ้าบ้าน บ้านหลังนี้ผมให้แฟนอยู่ ส่วนผมทำงานต่างจังหวัดกลับบ้านเดือนละ ๒-๓ ครั้ง อยู่มาได้ ๕ เดือน ยังไม่ได้ทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ จู่ๆ แฟนผมป่วยเป็นประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน หูข้างซ้ายได้ยินชัด มีเสียงอู้อี้รบกวน   และมีอาการไม่สบายกายเกิดขึ้นอีกหลายอย่าง ฟันแตก เชื้อราในช่องคลอด แฟนรักษาโดยไปหาแพทย์แผนปัจจุบัน ญาติของแฟนพาไปหาคนทรงพ่อปู่   พ่อปู่บอกว่าที่ป่วยเพราะยังไม่ทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ เพราะไม่ตั้งศาลพระภูมิ เจ้าที่อยากจะกินเครื่องเซ่น พ่อปู่ให้บนไว้หากหายป่วยหลังออกพรรษาค่อยทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ ตอนนี้ให้เอากุมารทองไปเลี้ยงก่อน   ผ่านไปสองวันอาการประสาทหูเสื่อมของแฟนมีอาการดีขึ้น เกือบจะหายราวปฏิหาริย์ ทั้งที่ก่อนหน้าป่วยเป็นสัปดาห์และหมอบอกว่ามีโอกาสหาย 50:50  ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง แต่ไม่เชื่อว่าจะต้องทำกันถึงเจ็บป่วย   ผมเคยได้ยินครูอาจารย์สอนว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นของต่ำไม่ควรกราบไว้บูชา ทั้งเป็นการทำพิธีพราหมณ์ทั้งที่เราเป็นชาวพุทธ ควรบูชาของสูงคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยึดถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ   อาจารย์สนองก็เคยแนะนำเกี่ยวกับการขึ้นบ้านใหม่ (หัวข้อ 1422) ในเมื่อการรักษาแบบชาวบ้าน สามารถแก้ทุกข์ทางโลกได้ แตกต่างจากทางธรรมต้องมีศรัทธาความเพียร และปัจจัยอื่นอีกมากจึงจะพ้นทุกข์เช่นนี้ ทำให้ทัศนคติผมกับแฟนไม่ตรงกันอย่างมาก เคยคิดว่าจะหาปัญหาธรรมะถามอาจารย์เลยต้องเอาปัญหาครอบครัวมาถามเสียนี่ อยากเรียนถามว่าควรมีความเห็นเช่นไรจึงจะถูก หากเห็นผิดจะมีวิธีปรับความเห็นอย่างไรให้เห็นถูกต้อง
 
กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
     บอกซ้ำอีกครั้งว่า ผู้ใดมีจิตมั่นคงระลึกอยู่ในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และมีศีลบริสุทธิ์คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นย่อมมีชีวิตสวัสดี ตลอด ๔๕ พรรษาที่พระพุทธโคดมเผยแพร่สัจธรรมในพุทธศาสนา พระองค์มิได้สอนให้พุทธบริษัท เอาจิตไปเป็นทาสของกุมารทองและการเข้าทรง ดังนั้นบุคคลผู้เห็นผิดสามารถปรับแก้ไขจิตตัวเอง ให้กลับมาเป็นผู้เห็นถูกตามธรรมได้ ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญอานาปานสติ เมื่อสองกิจกรรมแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วปัญหาที่เกิดขึ้นจึงจะหมดไป
  

1796.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไรที่เคารพอย่างสูงครับ

กระผมมีเพื่อนที่เขาติดเชื้อ hiv แต่เขาบอกผมใว้แล้วเขาก็ยังปรึกษาผมว่า เขาไม่อยากบอกคุณแม่ของเขาเพราะกลัวแม่เขารับไม่ได้แล้วจะเป็นอะไรไป ซึ่งผมเองตอนนั้นไม่ทราบว่าไปยินดีหรือส่งเสริมให้เขาปิดบังแม่เขาหรือเปล่า แต่พอมาตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกหวาดกลัวว่า ถ้าแม่เขาไม่รู้แล้วไปติดเชื้อจากลูกเข้า จะเป็นอนันตริยกรรมไหม แล้วบาปนั้นจะส่งผลถึงเราไหม   แล้วก็คิดว่าถ้าเราไม่บอกแม่เขาให้รู้ เราจะบาปไหม แต่ถ้าบอกไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน เพื่อนทุกข์ใจ เราเองก็จะบาป แต่ผมกลัวตรงที่ว่า ผมได้ไปยินดีส่งเสริมให้เขาปิดบังแม่เขาหรือเปล่าเท่านั้นเองแล้วถ้าแม่เขาติดเชื้อจากลูก ผมกลัวจะเป็นอนันตริยกรรม แล้วผมจะบาปด้วย ทุกทีที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็กลัวบาปทุกทีเลยครับ ผมควรจะแก้ไขยังไงดี ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องของลูกกับแม่เขาไหมครับ

ขอขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร เป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
     อนันตริยกรรม ได้แก่ ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต และทำสงฆ์ให้แตกกัน การติดเชื้อเอดส์จึงมิใช่อนันนตริยกรรม

    เพื่อนติดเชื้อเอช ไอ วี เป็นเรื่องของเขา ผู้มีสติไม่เอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นเรื่องของตัวเอง ไม่ถือว่าเป็นบาป ตรงกันข้าม ผู้ขาดสติเอาเรื่องของคนอื่น เข้ามามีอำนาจเหนือใจตัวเอง ถือว่าเป็นบาป หากผู้ถามปัญหาประสงค์ป้องกันตัวเองมิให้บาปเกิดขึ้น จงพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติ ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน แล้วเจริญอานาปานสติ เมื่อสองกิจกรรมแล้วเสร็จ ต้องอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ทำทุกครั้งที่นึกได้ ทำทุกครั้งที่ว่างจากงานภายนอก แล้วบาปจะไม่เกิดขึ้นกับผู้มีจิตเป็นอิสระจากเรื่องของคนอื่น
  

1795.
เรียนถามท่านอาจารย์สนองค่ะ

ก่อนอื่นก็ขอกราบท่านอาจารย์ก่อนค่ะ
 
ด้วยส่วนตัวของหนูเองไม่เคยพบอาจารย์มาก่อนค่ะ แต่มีบุญกุศลได้ฟังธรรมมะบรรยายของอาจารย์ทางเว็ป http://www.kanlayanatam.com/ จึงทำให้ได้ข้อคิดในหลายๆด้าน โดยส่วนตัวหนูเองเป็นคนที่เชื่อคนยาก แต่ไม่เคยปิดโอกาสตัวเองที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หนูก็ขอเรียนตามตรงว่าตัวหนูเองฟังธรรมเยอะพอสมควร ไม่สักแต่ว่าฟังเฉยๆได้ปฏิบัติและพิจารณาตามด้วย และก็เป็นตามอย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวมา ทุกประการ
 
หนูมีโอกาสได้ไปปฎิบัติธรรมที่วัดถ้ำพระผาคอก จ.เชียงราย เมื่อปีที่แล้ว สายยุบหนอพองหนอ และได้นำผลการปฎิบัติของตัวเอง มาเปรียบเทียบในสิ่งที่อาจารย์ได้ประสบมามันตรงทุกประการเลย แต่ทางวัดที่หนูไปปฎิบัติท่านไม่ได้เน้นสายสมถกรรมฐาน ดังนั้นเลยไม่ได้นำตัวเองไปรู้ไปเห็นมากนัก แต่ก็รู้ว่าตัวเองมีกรรมอะไรที่ต้องชดใช้ ส่วนมากเป็นกรรมปัจจุบัน ทำแล้วได้เลยแทบไม่ต้องรอ เลยทำให้ตัวเองระวังที่ใช้ชีวิตที่เหลือในกายสังขารนี้มาก และตอนนี้หนูอายุ 28 ปี แต่หนูก็ไม่รูว่าจะมีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในขันธ์ 5 นี้อีกนานเท่าไร่ ตอนนี้หนูไม่ได้กลัวตายเลยพร้อมที่จะตายทุกขณะจิต เพราะเคยเห็นจิตกับกายแยกออกจากกันมาแล้ว พระอาจารย์ที่ให้ความเมตตาสังสอน ท่านบอกว่าหนูได้ของดีแล้วควรเพียรทำต่อไปอย่าได้หยุด หนูก็น้อมรับมาแต่ก็ยังไม่ได้ทุกวัน เนื่องจากหน้าที่การงาน และความเพียรที่ยังไม่มากพอ

ตอนนี้เกิดภัยธรรมชาติมากมายกับประเทศของเรา โดยส่วนตัวหนูเองก็ไม่มีเงินมากมายอะไร แต่ก็อยากที่จะช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยบ้าง เพราะหนูพึ่งลาออกจากงานมาเพื่อมาทำงานของตัวเองที่ไม่ผิดศีล หนูเคยทำงานบริษัทต่างชาติได้เงินเดือนดี แต่ต้องโกหกทุกวัน และบริษัทนี้ก็ก่อตั้งบริษัทด้วยการโกหกอีกต่างหาก คือว่าบริษัทอยู่ที่เมืองไทยแต่บอกลูกค้าว่าอยู่ต่างประเทศ หนูทำแล้วรู้สึกไม่สบายใจทุกวัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะไม่รู้สึกผิดเท่าไร่ ตั้งแต่ปฎิบัติธรรมแล้ว มันจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า สิ่งไหนที่ทำแล้วผิดสิ่งไหนที่ทำแล้วถูก แต่ก็ทำได้ไม่นานหนูก็ขอลาออก ตอนนี้หนูค้นพบงานที่ไม่ทุศีลแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีเท่าไร่เพราะกำลังเริ่มต้นได้ประมาณ 2 เดือน ถึงเงินจะน้อยแต่สะบายใจค่ะ

หนูมีเรื่องอยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ถ้าหนูจะเอาเงินจากการขายสินค้าที่หนูทำขึ้นเองนะตอนนี้ นำไปบริจาคให้มูลนิธิต่างๆที่ต้องการความช่วยเหลือ ประมาณ 50% จากรายได้ โดยเขียนป้ายติดว่า 50% ของรายได้จะนำไปบริจาคผู้ประสบภัย เพราะอีก 50% หนูต้องนำไปซื้ออุปกรณ์มาทำของเพื่อจะขายต่อ และอาจจะนำเงินส่วนนี้มาใช้ส่วนตัวบ้างค่ะ หนูอยากทราบว่ามันจะผิดศีลไหม ถ้านำเงินส่วนที่เหลือ 50% มาใช้ส่วนตัว หรือจะติดหนี้กรรมหรือเปล่าเมื่อนำเงินของการบริจาคมาใช้บ้าง    ขอบอกตามตรงว่าหนูไม่มีเงินทุนเลย เนื่องจากเอาเงินไปลงทุนทำของออกมาขาย แต่ยังขายได้ไม่มากนักแล้วก็มีค่าเช่า ค่าอาหารอีก แต่ตั้งใจจะทำหนูเคยคิดว่ารอมีเงินก่อนค่อยช่วยเหลือ แล้วเมื่อไร่หนูจะมีเงินตามที่หนูคิดว่าพอจะช่วยเหลือผู้อื่น เพราะเราอาจจะอยู่ไม่ถึงวันนั้น ตอนนี้เลยเปลี่ยนทัศนะคติใหม่ว่า ช่วยเท่าที่ช่วยได้ก็แล้วกัน หนูรู้ว่าการสร้างบุญมีหลายวิธีซึ่งหนูก็ทำอยูเสมอๆ แต่สิ่งที่เพื่อนมนุษย์ต้องการในตอนนี้ก็คือ วัตถุสิ่งของเพื่อเอาตัวเองให้อยู่รอด

หนูมาพิจารณาแล้วมันต้องมีภัยธรรมชาติอีกเยอะมาก ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต   ในกรณีที่หนูได้ถามไปหนูก็อยากขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ ช่วยชี้แนะหนูด้วยค่ะ เพราะปัญญายังไม่พอที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองในกรณีนี้   หนูจะรอคำตอบค่ะ และถ้าหากหนูมีบุญวาสนาพอ ก็อาจจะมีโอกาสไปฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์
 
ขอขอบพระคุณอย่างสูง
อัมพิกา

คำตอบ
    เมื่อประกาศว่า รายได้จากการขายสินค้าประมาร ๕๐ % จะนำไปบริจาคให้กับผู้ประสบภัยพิบัติ หากทำได้ถูกตรงตามเจตนา ถือว่าเป็นบุญ ตรงกันข้าม หากทำแล้วไม่ถูกตรง เจตนาได้ทั้งบุญได้ทั้งบาป

    การช่วยเหลือผู้อื่นต้อง ช่วยในสิ่งดีที่ตนมี ช่วยแล้วไม่เบียดเบียนตัวเอง และช่วยเท่าที่สามารถช่วยได้ จึงจะถือได้ว่า การช่วยเหลือดังกล่าว มีอานิสงส์เป็นบุญล้วน
  

1794.
อยากสอบถามอาจารย์ค่ะว่า   หากเราเลี้ยงสัตว์ เช่นเพาะบ่อเลี้ยงปลาไว้ขายจำนวนมาก   แต่เราไม่ได้เป็นผู้ลงมือเองในการจับปลา+บริโภค   เพราะทางบริษัทเค้าจะทำเอง   เราจะบาปมากมั้ยค่ะ   แต่เพราะเราต้องดูแลครอบครัวมีภาระที่ต้องรับผิดชอบเลี้ยงปากท้องครอบครัว   เพราะเราต้องอยู่กับทางโลกอยู่   ยังต้องมีปัจจัยที่ทำให้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไป   เราเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์   เพื่อให้เค้าเติบโต.....   แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องขายเค้าเพื่อดูแลครอบครัวของเรา   เราจะทำอย่างไรดีคะ

คำตอบ
     ผู้ถามปัญหาเป็นบุคคลต้นเหตุให้ประพฤติเบียดเบียนสัตว์ ถือว่าเป็นบาป มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอาศัยสังคม ชีวิตจึงจะอยู่รอด แม้การประกอบอาชีพจะไม่ผิดกฎหมาย แต่เป็นอาชีพที่ผิดศีล สามารถนำบาปมาสู่ชีวิตได้ จงดำเนินต่อไป แต่ต้องประพฤติบุญอยู่เสมอ ประพฤติให้บุญมีอานิสงส์มากกว่าบาป แล้วชีวิตจะไม่วิบัติ
  

1793.
กราบเรียน อาจารย์ สนอง ที่เคารพ

เรื่อง การซื้ออาหารคืนมาจากวัด
ดิฉัน มีเรื่องที่ติดค้างคาใจ ที่อยากจะขอคำตอบจากอาจารย์ รบกวนอาจารย์ กรุณาตอบกลับด้วยนะคะ

       เรื่องมีอยู่มา เมื่อวันออกพรรษา พี่เขยดิฉัน ได้ไปบูชา อาหารสดจากทางวัดมารับประทาน และดิฉันได้ร่วมรับประทานด้วย (ด้วยความเกรงใจ)

อยากทราบว่า การที่พี่เขยไปบูชา อาหารสดจากวัดมารับประทานนั้น เป็นบาปมั้ยคะ เพราะเค้าเข้าใจว่า หากเราไม่ไปบูชามารับประทาน อาหารเหล่านั้น ก็จะบูด เน่า และก็ถูกทิ้งไป หากเราบูชามารับประทาน เงินที่เราบูชาไปนั้น ก็ยังสามารถนำไปช่วยจ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟ ของทางวัดได้ แต่ดิฉันก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี จึงขอ รบกวนอาจารย์ กรุณาตอบด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ  ณัฐธิดา

คำตอบ
     อาหารที่บุคคลนำไปถวายให้กับภิกษุในวัด เมื่อถวายแล้วถือว่าอาหารนั้นเป็นสมบัติของภิกษุ หากภิกษุใช้ให้อุปัฏฐากนำอาหารไปขาย หรือกระทำการอย่างอื่นโดยมีเจตนาให้ได้เงินมา การกระทำเช่นนั้นให้ผลเป็นบาป ตรงกันข้าม หากภิกษุใช้ให้อุปัฏฐาก นำอาหารไปแจกเป็นทาน การกระทำเช่นนั้นให้ผลเป็นบุญ ดังนั้นกรณีที่ถามไปผู้ถามปัญหาจึงมีส่วนร่วมในบาปนั้นด้วย
  

1792.
สวัสดีครับ

ผมมีปัญหาทุกข์ใจเรียนสอบถามดังนี้
1. บ้านที่ผมอยู่ อยู่มาตั้งแต่เกิด จนป่านนี้ก็ 30 กว่าปีเข้าไปแล้ว เดิมเป็นที่ดินโล่งๆ แต่เมื่อสักสามสี่ปีที่ผ่านมา มีร้านเหล้า ผับ เทค มาเปิดประมาณ 4-5 ร้าน เต็มไปหมดเลย รอบบ้านผมเลย ร้องเพลงเอะอะโวยวาย เมา ทะเลาะกัน เสียงดังมาก รบกวนเวลานอน และเวลาอ่านหนังสือ จะพึ่งตำรวจกับสำนักงานเขตก็ไม่ได้เลย แจ้งไปแล้วก็ไม่เกิดผลใดๆ ชาวบ้านแถวนี้เค้าก็เดือดร้อนเหมือนกัน ผมจึงขอทราบว่า ผมไปก่อกรรมเวรอะไรเอาไว้ จึงมีร้านพวกนี้มาตั้งใกล้ๆบ้านเต็มไปหมดเลย และผมมีทางลดทอน/เบี่ยงเบนกรรมนี้บ้างหรือไม่ครับ (ปกติผมก็สวดมนต์ ไหว้พระ รักษาศีลอยู่ประจำนะครับ) ผมกะว่าจะแจกซีดีธรรมะได้ไหมครับ ใช้บุญจากเสียงธรรมะกลบเสียงเพลง เสียงคนเมา
 
2. สืบเนื่องจากข้อ 1. มีพระท่านหนึ่งแนะนำผมว่า เวลาทำบุญก็กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญไปให้เจ้าที่ที่ร้านเหล่านั้นตั้งอยู่ แล้วขอให้เจ้าที่เจ้าทางไปดลจิตดลใจร้านพวกนั้นให้ไปทำมาหากินที่อื่น   แต่ผมลองมาเป็นปีแล้วก็ไม่ได้ผลเสียที ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ
 
3. พวกที่มันมารบกวนบ้านผมเนี่ย กรรมจะสนองพวกเขาบ้างไหมครับ หนวกหูเหลือเกิน
 
4. อันนี้ไม่เกี่ยวกับสามข้อแรก คือ ท่านอาจารย์สนองเคยไปบรรยายที่การไฟฟ้าฯ ท่านเคยบอกว่าพระที่เข้าสมาบัติในป่าลึกสามารถรักษาไข้ป่าได้ด้วยการเข้าสมาบัติ   ทำให้ร่างกายไม่ต้องใช้ออกซิเจน เชื้อโรคจะขาดออกซิเจนและตายไปเอง ผมขอถามว่าการทำเช่นนี้เหตุใดร่างกายพระจึงไม่ตายไปด้วยเพราะขาดออกซิเจนเช่นเดียวกับเชื้อโรค
 
รบกวนท่านอาจารย์ช่วยตอบด้วยครับ ผมเดือดร้อนมากๆ โดยเฉพาะในคำถามข้อหนึ่งครับ

ขอบพระคุณในความกรุณาล่วงหน้าครับ   

คำตอบ
    (๑) ผู้ใดพัฒนาจิตจนมีศีล ๕ และมีสัจจะคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น กายย่อมศักดิ์สิทธิ์ จิตย่อมศักดิ์สิทธิ์ เคยมีตัวอย่างของปัญหาแบบที่ถามไป ผู้มีความศักดิ์สิทธิ์เพียงแต่พูดว่า “เทวดาไม่หนวกหูบ้างหรือ ” พูดเพียงเท่านั้น ผลปรากฏว่า นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ นานเป็นเวลาหลายปีแล้ว ปัญหาดังกล่าวอันตรธานหมดสิ้น

   ด้วยเหตุนี้ ผู้ใดยังไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ และหนี้เวรกรรมยังชดใช้ไม่หมดสิ้น การแจกซีดีธรรมะไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้

    (๒) พระแนะนำถูกแล้ว แต่ผู้ถามปัญหายังทำเหตุได้ไม่ถูกตรง ปัญหาจึงยังคงมีอยู่

    (๓) ผู้รู้จริงแท้ไม่สงสัยในกฎแห่งกรรม แต่ผู้รู้จริงแท้เอาเขาเป็นครูที่ทำให้เราได้สร้างขันติบารมี ทำให้เราได้สร้างเมตตาบารมีด้วยการให้อภัยเป็นทาน ฉะนั้นจงมีสติและดูให้ออกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นคุณแก่เรา เราเป็นผู้มีบุญไม่ต้องเดินทางไปหาครูที่ไหนที่อยู่ห่างไกล ให้เสียทั้งเงินและเสียทั้งเวลา

    (๔) ใครผู้ใดพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงปัญญาสูงสุดฝ่ายโลกิยะได้แล้ว ย่อมรู้ เห็น เข้าใจว่า กำลังของสมาธิขั้นสูง (นิโรธสมาบัติ) ย่อมสามารถคุ้มรักษาร่างกายนี้ ให้คงอยู่ได้ในสภาวะไร้ออกซิเจน
  

1791.
กราบเรียน อ. สนอง ที่เคารพครับ

    ผมเป็นคยหนึ่งที่ได้ฟัง ธรรม บรรยายของท่านอาจารย์แล้วรู้สึกมีประโยชน์มาก
ผมก็ได้พยายามปฏิบัติตาม เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลามากจึงใช้การฝึก สติ ให้อยู่กับเนื้อตัว ก็รู้สึกว่ากิเลส ความอยากได้ อยากมีหมดไปเยอะ รู้สึกว่า ความคิดไม่ใช่ของเราเกิดดับไปเรื่อยๆ แบบนี้ครับ   จนบางครั้งเวลารู้สึกเหมือนทุกอย่างเป็นความว่างสุดท้ายก็จะหายไป ไม่ได้ทำให้รู้สึกมีความทะเยอทะยาน เหมือนแต่ก่อน   รู้สึกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น

ผมจึงมีคำถาม ดังนี้ครับ
1) วิธีฝึกแบบนี้ถูกทางมั้ยครับ และ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นผมรู้สึกว่าเรื่องทางโลกเหมือนเป็นเรื่อง ว่างเปล่า นั้น ถูกทางมั้ยครับ

2) เนื่องจากผมค้าขาย บางครั้งรู้สึกว่า ต้องมีกำไร แต่ก็ไม่อยากทำขึ้นมา รู้สึกขัดแย้งเหมือนกันครับ ต้องทำอย่างไรครับ

-3) ตอนเด็กผมเคยนั่ง สมาธิแล้วเหมือน วิญญาณจะหลุดจากร่าง แต่พยายามข่มไว้ไม่ให้ออก   ครั้งนั้นพอออกจากสมาธิรู้สึกประสาท หู ตา จิตไวไปหมด   บางครั้งคิดว่าแม่จะเรียก แล้วก็เรียกจริงๆ เหมือนรู้ไปก่อนหน้า ทำอะไรแบบไม่ต้องคิดเลยน่ะครับ    แต่ความรู้สึกแบบนี้ก็หายไปตอนโต

อาการแบบนี้คืออะไรครับ อยากให้ อาจารบ์ ช่วยชี้แนะแนวทางปฏิบัติต่อไปด้วยครับ

ขอบพระคุณมากครับ

คำตอบ
    (๑) เรื่องที่เขียนบอกเล่าไป เป็นการฝึกจิตที่ดำเนินไปถูกทางแล้ว … สาธุ

    (๒) ต้องเจริญพละ ๕ (สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา) ให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วจะรู้วิธีบริหารจัดการชีวิตของตัวเอง ให้อยู่กับโลกได้อย่างไม่ขัดแย้ง

    (๓) เมื่อเติบใหญ่ขึ้น กิเลสเข้าครอบงำจิตมากขึ้น จึงทำให้จิตมีความเศร้าหมอง ปัญญาที่เคยรู้ล่วงหน้าจึงหายไป นี่คืออาการของจิตที่ถูกกิเลสครอบงำ ตัวรู้ที่เคยเกิดขึ้นครั้งยังเป็นเด็ก เป็นเพียงโลกิยญาณ ที่มิได้ทำให้ชีวิตพ้นไปจากความทุกข์ แต่หากผู้ถามปัญหาปรารถนามีชีวิตเป็นอิสระ ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้เมื่อใด โอกาสที่จิตจะเป็นอิสระจากโลกธรรม เป็นอิสระจากวัตถุ และเป็นอิสระจากกิเลสที่ผูกมัดใจ (สังโยชน์ ๑๐) จึงจะเกิดขึ้นได้ แล้วเมื่อนั้นชีวิตจึงจะดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์
  

1790.
กราบเรียน อาจารย์สนอง วรอุไร  

   ดิฉันได้อ่านหนังสือเล่มแรกของอาจารย์เรื่อง ทางสายเอก ทำให้เปลี่ยนชีวิตจากแต่ก่อน เคยแต่นับถือศาสนาพุทธแต่ในบัตรประชาชน เดินตามรอยพระพุทธศาสนาแบบไม่มีแบบแผน ทำบุญ ไปวัด ก็หวังว่าให้ได้รับผลบุญที่ทำ เมื่อได้ศึกษาแล้วทำให้มีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น

   มาครั้งนี้ดิฉันมีปัญหาชีวิตคิดไม่ออกจริงๆ ไม่กล้าปรึกษาอาจารย์แต่ในที่สุดจึงตัดสินใจปรึกษาอาจารย์ ดังนี้  
   ดิฉันแต่งงานมาแล้ว 4 ปี มีลูก 2 คน คนโต อายุ 3 ขวบ คนที่ 2 อายุ 7 เดือน คนโตอยู่กับสามี คนเล็กอยู่กับดิฉัน ครอบครัวเรายังไม่ได้อยู่ด้วยกัน พ่อ แม่ ลูก เลย เนื่องจากเราอยู่กันคนละจังหวัด สามีอยูโคราชกับพ่อแม่ของเขา ส่วนดิฉันอยู่มุกดาหารกับพ่อแม่  

   มาตอนนี้ดิฉันจะต้องได้เลือกว่าจะไปทางไหน ระหว่างอยู่กับบิดามารดา หรือต้องย้ายไปอยู่กับสามีที่โคราชเพราะทางคุณพ่อ คุณแม่ของดิฉันอยากให้ดิฉันอยู่ด้วยอยากให้สามีดิฉันย้ายมาทำงานที่มุกดาหารด้วย แต่สามีดิฉันเขาไม่มาท่าเดียวเพราะต่างคนก็เป็นผู้ที่ทางครอบครัวหวังเป็นที่พึ่งพิงทั้งสองฝ่าย ถ้าดิฉันย้ายไปโคราช ก็เท่ากับหัวใจของพ่อกับแม่โดนบั่นทอนไปเรื่อยๆ เพราะท่านหวังให้ดำรงวงค์สกุลต่อหวังฝากผีฝากไข้ ดิฉันจึงคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะไปทางไหนดี จึงขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ  

ดิฉันกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสุดซึ้ง ที่ได้อ่านหนังสือที่มีคุณค่าทำให้มีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น  

คำตอบ
     บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง จึงต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง ต่างคนต่างมาสู่โลกใบนี้ ต่างคนต่างไปจากโลกใบนี้ มาไม่พร้อมกัน ไปไม่พร้อมกัน ผู้รู้จึงนิยมบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง ให้มีความเป็นอยู่ที่เจริญ ด้วยการประพฤติทาน ให้เป็นผู้มีบุญ มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีอุปการคุณอีกด้วย
  

1789.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

หนูมีคำถามค้างคาใจมานาน ขอเรียนถามอาจารย์ ดังนี่ค่ะ
1. เรื่องรักษาศีลค่ะ คือหนูปลูกต้นไม้แล้วมีแมลงและหนอนมารบกวน ที่ทำอยู่ขณะนี้ จะฉีดน้ำแรงๆให้มันหลุดออกไป หรือไม่ก็จะตัดใบและกิ่งที่มีแมลงเกาะอยู่ แล้วเอาไปทิ้ง แต่หนูจะรู้สึกว่าถึงเราจะไม่ได้ฆ่าเค้าตรงๆ แต่การเอาไปทิ้งเค้าก็จะตายอยู่ดี การทำอย่างนี้เป็นการเบียดเบียนสัตว์ ผิดศีลรึเปล่าค่ะ และหนูควรจะทำอย่างไรดีค่ะเพราะถ้าปล่อยแมลงไว้ ต้นไม้ก็จะไม่งาม

2. หนูเคยฟังอาจารย์กล่าวว่า เราจะสามารถดูว่าจิตมีกำลังเป็นสมาธิรึเปล่าได้จากการนอน ถ้านอนน้อยลงแสดงว่าจิตมีเป็นสมาธิ แต่จากการสังเกตุ หนูจะเห็นว่าจะมีช่วงอยู่ช่วงนึง (ประมาณ 3-4 เดือนมักจะเป็นครั้งนึง) ที่อยู่ๆก็จะนอนมากกว่าปกติ ถึงจะตื่นนอนแล้ว และก็ไม่ได้ง่วงนอนแล้ว แต่จะรู้สึกว่าไม่มีแรง (ทางจิตใจนะค่ะ) อยากจะอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากปฏิบัติในรูปแบบด้วยค่ะ หนูพยายามจะหาว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เกิด แต่ก็ไม่พบค่ะเพราะเมื่อวานก็ยังนั่งปฏิบัติธรรมได้ดี รวมทั้งยังอยากทำนู่นทำนี่อยู่ ขอเรียนถามอาจารย์ว่าที่หนูเป็นอยู่มันเกิดจากอะไรค่ะ และหนูควรจะดูว่ามันไม่เที่ยง หรือควรหาสาเหตุให้พบดีค่ะ

ขอบพระคุณอาจารย์มากนะค่ะ

คำตอบ
     ผู้ใดมีปัญหาค้างคาใจมานาน ผู้นั้นย่อมมีความทุกข์ใจเกิดขึ้นมายาวนาน

     (๑) การตัดเอากิ่งไม้ที่มีแมลงเกาะอยู่ไปทิ้ง ถือว่าเป็นการเบียดเบียนสัตว์ ( แมลง ) ได้ หากผู้ถามปัญหามีความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น ควรต้องทำบุญใหญ่ ( ปฏิบัติธรรม ) ให้เกิดขึ้น เพื่อให้บาปตามส่งผลไม่ทัน

     (๒) เมื่อใดที่ตื่นขึ้น แต่ยังมีความขี้เกียจ ( ไม่อยากทำอะไร ) หากผู้ถามปัญหาปรารถนาความขยัน ให้นอนบริกรรมอานาปานสติ หายใจเข้ากำหนดว่า “พุท” หายใจออกกำหนดว่า “โธ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วความขยัน ( อยากทำอะไรๆ ) ย่อมเกิดขึ้น

     กล่าวโดยสรุปว่า จิตที่มีอารมณ์ปรุงแต่งมาก พลังงานในร่างกายย่อมเหลือน้อย ความขี้เกียจจึงเกิดขึ้น ตรงกันข้าม จิตที่มีอารมณ์ปรุงแต่งน้อย พลังงานในร่างกายย่อมมีมาก ความขยันจึงเกิดขึ้น
  

1788.
กราบเรียน ท่าน อ. ดร.สนอง

หนูเคยเขียนมาถามท่านอาจารย์หลายครั้งแล้วค่ะ ได้รับความกระจ่างทุกครั้ง และหนูก็ได้ทำตามที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาตอบให้ทราบ หนูกราบขอบพระคุณมากค่ะ

ช่วงนี้หนูกำลังนั่งกรรมฐาน โดยปฏิบัติอยู่ที่บ้าน ไม่สะดวกจะไปตามวัด หรือสำนักต่าง ๆ

หนูมีปัญหาจะเรียนถามอีกค่ะ

หนูนั่งกรรมฐานโดยปฏิบัติตามคำสอนของท่านโชดกที่หนูโหลดมาจากอินเตอร์เนท ตอนนี้หนูมีอาการดังนี้ค่ะ จิตไม่คิดไปเรื่องอื่น ภาวนาแต่คำว่าได้ยินหนอ ตามที่ท่านโชดกเทศน์ จนมีอยู่วันหนึ่งขณะที่นั่งหนูก็มีน้ำตาไหลออกมา พอเกิดอาการแบบนี้ท่านโชดกบอกให้ถามอาจารย์ หนูไม่ได้ไปปฏิบัติที่ไหน หนูขออนุญาตกราบเรียนถามท่านอาจารย์ได้ไหมคะ เพื่อสอบอารมณ์

แล้วหนูต้องทำยังไงต่อไปคะ ขอความกรุณาท่านอาจารย์ให้ความกระจ่างหนูด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
ต้น

คำตอบ
        ขณะนั่งภาวนาแล้วเกิดอาการน้ำตาไหล หากปรารถนาจะผ่านพ้นวิปัสสนูปกิเลสนี้ให้ได้ ต้องกำหนดว่า “ น้ำตาไหลหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการดังกล่าวจะหมดไป
  

1787.
กราบเท้าอาจารย์ดร. สนองที่เคารพอย่างสูง
 
        หนูมีปัญหาหนึ่งเกี่ยวกับการรับของจากผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่ญาติ ที่ท่านได้เมตตาให้สิ่งของและเงินทอง เพื่อให้หนูได้ใช้ในกิจพระพุทธศาสนา เช่น การทำบุญต่างๆและท่านให้ออกค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งให้หนูได้ไปกราบสักการะ สังเวชนียสถาน ที่อินเดีย เมื่อรู้ว่าหนูจะกู้เงินไป ท่านสอนว่า ให้ทำแต่พอตัว เงินส่วนนี้ท่านให้เพราะเห็นในศรัทธาของหนู และให้ถือเสียว่าชาติก่อนหนูคงเคยให้ท่านมา ชาตินี้ท่านถึงได้เต็มใจให้ หนูซาบซึ้งใจมากที่ท่านเมตตาหนูเพียงนี้ หนูจึงเคยดูแล ช่วยเหลือในงานต่างๆ ที่ท่านขอร้อง มานานร่วม 6-7 ปี
        หากเวลาผ่านไป คุณแม่ป่วย น้องชายป่วย หนูลาศึกษาต่อ และคุณพ่อมาเสียอีก รวมถึงงานในหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นตามวัยวุฒิ ทำให้หนูไปมาหาสู่และช่วยเหลือท่านไม่ได้อย่างเคย ทำให้เกิดความอึดอัด กระทบกระทั่งสุดที่หนูจะบรรยายได้ค่ะ เพราะท่านได้เห็นว่า หนูไม่เลือกท่าน ทั้งๆที่ท่านได้เคยช่วยเหลือหนูมาก่อน ท่านว่าหนูทำตัวออกห่าง ด้วยภาระที่ท่านมองว่าไม่เป็นสาระ หนูอึดอัดใจมาก แต่ก็ยัง ไปช่วยในสิ่งที่หนูช่วยได้ หากความอึดอัดใจยังคงอยู่   เนื่องจากคำขอของท่านหลายครั้ง ทำให้เวลาส่วนตัวที่มีไม่มากของหนูหายไปค่ะ   เช่น หนูต้องกลับไปดูแลบ้าน ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า หรือกลับไปเยี่ยมคุณแม่ที่น้องชายช่วยดูแลอยู่ ฯลฯ เพราะท่านมองว่า ถ้าหนูไม่ซื้อบ้าน หนูก็ไม่ต้องมีบ้านเป็นภาระ ไม่ต้องทำงานหนักเพื่อผ่อนบ้าน ท่านแนะนำให้ขายเสียแล้วมาซื้อคอนโดเดียวกับท่าน จะได้มีเวลาให้ท่านมากขึ้น   หนูไม่อยากมีอคติ ไม่อยากมีบาปกรรม หนูควรทำอย่างไรดีค่ะ เพื่อปรับปรุงใจที่คิดไม่ดีอยู่นี่ค่ะ

   ตอนนี้หนูได้เกิดศรัทธาพระคุณเจ้ารูปหนึ่ง ตามไปฟังธรรมทุกธรรมมาสน์ ที่ท่านมาเทศน์โปรดญาติโยมชาวกรุงเทพ บางงานหนูก็ติดตามท่านไปต่างจังหวัด หนูก็ไปชักชวนและบอกกล่าวให้ท่าน เพราะอยากให้ท่านได้มาฟังธรรมพร้อมกันกับหนู แต่ท่านเห็นว่า พระคุณเจ้ารูปนี้ อายุยังอายุน้อย ฝึกปฏิบัติเองไม่มีครูบาอาจารย์ด้วย หนูก็โดนตักเตือน ว่าครูบาอาจารย์น่ะ มีรูปเดียวก็พอแล้ว ครูบาอาจารย์ของเราก็สุดยอดแล้ว อย่าแสวงหาอีกเลย ที่ว่าไม่เกิดผลของการปฏิบัตินั่น ส่วนหนึ่งจากบุญเก่า อีกส่วนคือได้ปฏิบัติตามท่านอย่างเต็มที่หรือยัง ถึงจะเปลี่ยนครูบาอาจารย์

    ยอมรับว่าฟัง แต่ในใจหนูได้ศรัทธาพระคุณเจ้ารูปนี้อย่างเต็มหัวใจไปแล้ว เวลาไปก็แต่ไม่บอกให้ท่านทราบ นับถึงวันนี้ หนูได้พบกลุ่มกัลยาณมิตรใหม่ ที่ศรัทธาพระคุณเจ้ารูปนี้ด้วยกัน แต่ละคนมีหลายรูปแบบ หนูต้องหนักแน่นในใจให้ได้ ว่าหนูมาเพื่อเสริมปัญญา เพื่อความหลุดพ้น ก็มีกัลยาณมิตร (พี่ผู้หญิงนะคะ) ได้บอกว่า อยากให้หนูติดตามไปต่างประเทศด้วยกัน ให้หนูยื่นวีซ่าไว้ ถ้าผ่านจะออกค่าตั๋วไปกลับให้ อย่าคิดมาก อย่ากังวลพี่มีเจตนาดีไม่มีอะไรแอบแฝงจริงๆ ให้เพราะเห็นแรงศรัทธาของหนูค่ะ หนูดีใจมากและได้เตรียมเอกสารที่จะยื่นทำวีซ่าแล้ว แต่ก็มีเหตุการณ์ในอดีต เกรงว่าจะเป็นทุกขลาภผุดขึ้นในใจ และคุณป้าของหนูให้สติอีกว่า ป้าไม่เห็นควร อย่าไปเลยไม่เหมาะ เราทำแค่สมฐานะเราก็พอแล้ว แค่ในประเทศก็พอ ไปที่โน้นไปทำอะไร ฟังแล้วก็โกรธป้าค่ะต่อมากลายเป็นความไม่สบายใจเมื่อได้คิด ก็เห็นว่าที่คุณป้าพูดนั้นจริงอยู่ ค่าใช้จ่ายไม่ได้มีแค่ค่าตั๋ว ค่าอื่นๆอีก และไหนจะต้องลางานอีก   คุณป้าเอง ใจจริงก็อยากให้ไปอยู่ จะได้เป็นประสบการณ์ชีวิต แต่ก็ไม่อยากให้หนูเบียดเบียนตัวเองมากนัก ถึงแม้จะมีคนออกค่าตั๋วให้ก็ตาม เราไม่ได้มีเงินถุงเงินถังอย่างเขา หนูก็ต้องทำงานหาเงินเพิ่มขึ้นอีก

หนูสับสน ฟุ้งซ่านมากและมีคำถามในใจดังนี้ว่า
1. หากอาจารย์เป็นหนู อาจารย์จะมีวิธีคิดอย่างไร เมื่อมีผู้ใหญ่ให้สิ่งของเงินทอง จะรับหรือจะปฏิเสธอย่างไรดีค่ะ และเพราะอะไรค่ะ

2. ครูบาอาจารย์นั้น ควรมีเพียงรูปเดียวเท่านั้นหรือค่ะ

3. พระโสดาบัน สามารถป่วยเป็นโรคจิตโรคประสาทได้หรือไม่ค่ะ

4. มีเพื่อนแนะนำมาว่า หนูอย่าฟังธรรมจากพระคุณเจ้าเพียงรูปเดียว ให้ฟังหลายๆรูป จะได้มองได้หลายมุม เพราะกิเลสมันละเอียดมากนัก อาจารย์เห็นด้วยหรือไม่อย่างไรค่ะ (ตัวหนูเอง คิดว่า ถ้าเราศรัทธาและเจอกัลยาณมิตรที่มีสัมมาทิฐิแล้ว รูปเดียวก็เพียงพอ เพราะเดินทางไปประตูนิพพานเหมือนกัน ท่านต้องสามารถแนะนำเราได้แน่ๆ)

5. หนูเคยอธิฐานไว้ว่า ขอให้หนูได้พบเจอครูบาอาจารย์ที่มีสัมมาทิฐิและสามารถรู้วาระจิตเราได้ อย่างที่อาจารย์ดร.สนอง ได้พบเจอ พระโชดกญาณสิทธิเถระ เพื่อจะได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติให้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปค่ะ ตอนนี้หนูว่าหนูพบแล้ว แต่ทำไมยังไม่แน่ใจและไม่ไว้ใจตัวเอง ว่าสิ่งที่หนูพบหนูรู้สึกนี่มันเป็นเรื่องจริงหรือหนูอุปาทานไปเอง หนูจะรู้ได้อย่างไรค่ะ  
 
  ขอกราบขอบพระคุณ ในความเมตตาตอบคำถามที่ยาวมากของหนูนะคะ
ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่อาจารย์เมตตาต่อกัลยาณธรรมทุกท่านค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ

คำตอบ
     ความกตัญญูกตเวที และการประพฤติตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ เป็นสิ่งที่คนดี คนมีความเจริญในชีวิตนิยมประพฤติ

     คำว่า “นิยมประพฤติ” ในที่นี้หมายถึง ชอบประพฤติ สิ่งใดประพฤติแล้วเกิดเป็นความดีงาม ผู้รู้ไม่เว้นประพฤติ คนไม่รู้ย่อมพูดได้ทั้งดีและไม่ดี แต่ผู้รู้จริงไม่เอาใจไปผูกติดเป็นทาสของคำพูดที่ออกจากปากคน ผู้รู้เอาคำพูดมาเป็นครูสอนใจตัวเอง หากเขาพูดดี พูดมีสาระ เราทำตาม หากเขาพูดไม่ดี ไม่มีสาระ เราไม่ทำตาม การได้ยิน ได้ฟังนั้น ย่อมเกิดประโยชน์ได้

     บุคคลมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา แต่สัจธรรมที่ออกจากปากของผู้รู้จริง มีความไม่เสื่อมไปตามกาลเวลา ดังนั้นผู้ศรัทธาในตัวบุคคล จึงเป็นความศรัทธาที่เกิดจากความเห็นผิด ผู้รู้จริงไม่นิยมประพฤติเช่นนั้น และสิ่งที่คุณป้าพูดเตือนสติ เป็นคำพูดที่ถูกตรงตามธรรม
     (๑) ผู้ให้ทาน (สิ่งของ เงินทอง) แก่ใครผู้ใด หากผู้รับทาน (ปฏิคาหก) รับแล้ว บุญย่อมเกิดขึ้นกับผู้ให้ ตรงกันข้าม หากผู้รับปฏิเสธ บุญย่อมไม่เกิดขึ้นกับผู้สละ ผู้บริจาค

     (๒) ครูบาอาจารย์มิใช่มีเพียงรูปเดียว ผู้มีสติย่อมมีสรรพสิ่ง เช่น หมู หมา กา ไก่ มีตัวเอง และมีสิ่งที่อยู่รอบข้าง เป็นครูบาอาจารย์อีกด้วย

     (๓) หากคำว่า “โรคจิต” (psychosis) หมายถึง ความผิดปรกติทางอารมณ์ พระโสดาบันยังป่วยเป็นโรคจิตได้ หากมองในแง่ของปรมัตถธรรม

     หากคำว่า “โรคประสาท” (neurosis) หมายถึง จิตที่มีการปรุงแต่งอารมณ์ แล้วแสดงออกเป็นความกังวล ความห่วงใย พระโสดาบันย่อมไม่ป่วยเป็นโรคประสาท

    (๔) ผู้ตอบปัญหาเห็นด้วยตามที่เพื่อนของผู้ถามปัญหาแนะนำ

    (๕) ความไม่แน่ใจหรือไม่ไว้ใจตัวเอง เกิดขึ้นจากความรู้ไม่จริง (อวิชชา) ผู้ใดพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ผู้นั้นย่อมไม่มีปัญหาดังที่ถามไป
   

1786.
เรียนอาจารย์สนอง

หนูเคยฟังอาจารย์บรรยายธรรมะ และอยากถามอาจารย์ ปัจจุบันหนูทำงานและถูกกลั่นแกล้ง ใส่ร้ายป้ายสี จนเค้าจะให้หนูออกปลายปีนี้

ทั้งที่ตั่งใจทำงานและพยายามทำดี แต่กลับถูกคนแกล้ง เกลียด หมั่นไส้ ถูกขโมยผลงาน และถูกทำร้ายด้วยคำพูดส่อเสียด ดุด่าหยาบคาย

เรื่องเงินอีกเช่นกัน เวลาลงทุนอะไรมักจะเสียเงินมากกว่าได้

เรื่องรักก็เช่นเดียวกัน คนรักก็อยู่ห่างกันและอาจจะไม่ได้แต่งงานกันด้วย

หนูไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นกรรมเก่า หรือกรรมใหม่ในชาติปัจจุบัยคะ และมีวิธีใด ที่ทำให้ชืวิตหนูดีขึ้นอย่างเด่นชัดโดยเร็วไหมคะ และทำยังไงเราจะเบิกบุญเก่ามาใช้ได้บ้าง

ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
      ความอยากรู้เรื่องของกรรม มิได้เป็นเหตุทำให้พ้นทุกข์ ฉะนั้นบุคคลปรารถนามีความสุข จงเอาจิตอยู่กับปัจจุบัน คิด พูด ทำ ต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม พร้อมกับทำดวงให้ดีด้วยการประพฤติ ทาน ศีล ภาวนา อยู่เสมอ เมื่อใดที่กรรมดีให้ผล ดวงชะตาดีย่อมเกิดขึ้นให้ผู้กระทำความดีได้เสมอ โดยไม่จำเป็นต้องเบิกบุญมาใช้ คนมีความดีย่อมสมความปรารถนาในสิ่งดีงามทั้งปวง ปัญหาต่างๆที่เขียนบอกเล่าไป ย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีดวงดี
     

1785.
กราบเท้า อาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูง

วันนี้หนูจิตตกค่ะ และรู้สึกท้อใจ เมื่อได้ฟังเรื่องราวต่างๆ เช่น
1. มีพี่มาบอกว่า พระรุ่นที่ได้รับจากหลวงปู่ มีพระธาตุเสด็จมาเกาะ และถ่ายรูปไว้มีแสงเป็นสีๆค่ะ (ทำไมของหนูไม่มีบ้างอ่ะค่ะ)

2.  รุ่นพี่อีกคน   เดิมพี่เขานับถือ พุทธ เซน หนูก็แนะนำการปฏิบัติวิปัสสนา แล้วพาพี่เขาไปปฏิบัติกับยุวพุทธบ้าง วัดตาลเอนบ้าง เมื่อหลวงปู่มาบิณฑบาตร หนูชวนพี่เขาไป เขามาด้วยกันแต่ไม่ยอมใส่บาตร บอกว่า วันนี้ไม่อยากใส่   เพราะเขากำลังมีประจำเดือนค่ะ การมีประจำเดือนมันสกปรก ไม่ควรใส่บาตรอย่างยิ่ง เลยไม่ใส่วันนั้น ... (หนูว่ามันไม่เกี่ยวกัน ใช่ไหมค่ะ)

แล้วหนูก็เกิดความสงสัยอีกค่ะ พี่เขาบอกหนูว่า ตั้งแต่ฟังหลวงปู่ หรือฟังดร.สนอง ตามที่หนูเปิดให้ฟัง เขาเอาไปพิจารณาจิตตัวเอง เขาบอกว่า เขาเห็นว่าจิตเขาอยู่บนใบบัว เขาไม่เคยโกรธเลย แม้ว่าหนูจะทำให้เขาหงุดหงิดเสียใจหลายครั้ง แต่ก็แป๊บหนึ่งจะหาย หรือไม่เกิดเลย   ... อย่างนี้ก็แปลว่าพี่เขา บรรลุพระอริยะขั้นต้นแล้วหรือเปล่าค่ะ   พี่เขาก็บอกว่า อย่างที่หนูทำนี่ ไม่ใช่ธรรมะ คือการเบียดเบียนตัวเอง (เนื่องจากหนู อธิฐานตั้งสัจจะ จะสวดมนต์ปฏิบัติเต็มรูปแบบก่อนไปทำงาน และก่อนนอนทุกคืน แม้จะง่วง ก็จะปฏิบัติไม่ให้ขาดค่ะ ทั้งตั้งใจใส่บาตรทุกวัน และเพียรรักษาศีลให้ครบถึงใจอย่างที่อาจารย์แนะนำค่ะ)    แต่พี่เขาบอกให้หนูใช้หลักธรรมชาติสิ ธรรมะคือ ธรรมะชาติ ทำเมื่อพร้อม เมื่ออยากทำ +_+ แล้วงี้กิเลส ตัวที่ดูยากๆ มันไม่เข้ามาครอบเอาหรือค่ะ

3. อาจารย์ค่ะ หนูสงสัยว่า ถ้าศีล 5 ยังไม่ครบจะสามารถ เข้า ฌานได้หรือไม่ค่ะ เนื่องจากหนูมีเพื่อนที่ปฏิบัติแนวมโนมยิทธิ เขาบอกว่าศีลนั้น ใช้เฉพาะเวลาเขานั่งสมาธิก็พอแล้ว เพราะตอนที่นั่งไม่ได้ไปทำผิดศีลที่ไหน ศีลอยู่ครบก็มั่นใจและมีกำลังได้มากพอ (เนื่องจากปัจจุบัน หนูก็ยังเห็นว่าเขาผิดศีลข้อ 3 และ 4 อยู่เลยค่ะ) ทำไมฌานถึงเกิดได้หรือค่ะ ที่เขาว่ามาจริงหรือไม่ค่ะ

4. ระหว่างนี้มีการปฏิบัติธรรมหลายรูปแบบมาก จนหนูก็กลัวจะไปศรัทธาที่ผิดทาง จึงอธิฐานจิตขอให้หนูได้พบครูบาอาจารย์ทางธรรมและกัลยาณมิตรทางธรรม ที่มีสัมมาทิฐิ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือมีญาณในการรู้วาระจิต ซึ่งจะได้ช่วยแนะนำในการปฏิบัติของหนูได้   เพื่อให้มีความก้าวหน้าทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป กลับเจอแต่แปลกๆค่ะ เช่น ศีล เขาไม่สนใจกันแล้ว เดี๋ยวนี้เขาสนใจแต่ ขันธ์ 5 และ อายตนะ6 ก็พอค่ะ เขาว่าที่หนูปฏิบัติน่ะผิดทาง หนูต้องทำอย่างไรต่อดีค่ะ

5. การที่เราจะเสื่อมศรัทธาอะไรสักอย่าง เช่น หมดศรัทธาในพระพุทธศาสนา หรือ พระคุณเจ้าที่นับถือ หนูคิดว่าเป็นจากเพราะกิเลสในตัวเราใช่ไหมค่ะ ที่หลงผิดไป   และปัญญามีไม่เท่ากัน

6. หนูมีเพื่อนที่เป็นโรคจิต เห็นภาพหลอน หูแว่ว หนูจะช่วยเหลือเขาอย่างไรดีค่ะ เพราะเขาจะขอตามมาปฏิบัติธรรมด้วย หนูเกรงว่าโรคจะเป็นมากขึ้น จึงเลี่ยงๆเขา เวลาเขาโทรมาหาค่ะ

7. ร่างกายเรานี้เป็นเพียง ธาตุ ธรรม ขันธ์   หนูเข้าใจว่า ธาตุคือ ธาตุ 4: ดิน น้ำ ลม ไฟ , ธรรม คือ ไตรลักษณ์ , และขันธ์คือ ขันธ์ 5 ใช่ไหมค่ะ หากไม่ใช่ ขอความเมตตาอาจารย์ช่วยอธิบาย ขยายความให้หนูด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์ที่ตอบคำถามของหนูค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
   ปิติพร

คำตอบ
     จิตตกเพราะขาดสติ
       (๑) พระธาตุเสด็จหรือไม่เสด็จ เป็นเรื่องของพระธาตุ และพระธาตุมิได้ทำให้พ้นทุกข์ ดังนั้นผู้ฉลาดนิยมพัฒนาจิตให้เป็นอิสระจากวัตถุ และดีที่สุด พัฒนาจิตให้เป็นอิสระจากกิเลสที่ผูกมัดใจ (สังโยชน์) ได้เมื่อใด เมื่อนั้นพ้นทุกข์แน่นอน

      (๒) เกี่ยว เมื่อเอาจิตไปจดจ่อ (ระลึก) อยู่กับของสกปรก ไม่เกี่ยว เมื่อมีจิตเป็นอิสระ (ไม่ระลึก) อยู่กับของสกปรก และมิได้หมายความว่า พี่เขา บรรลุอริยธรรม

     (๓) พระพุทธโคดมบัญญัติไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) เพื่อให้พุทธบริษัทรู้ว่า ใจที่มีศีลย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิ ใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมนำไปสู่การเกิดปัญญา (เห็นแจ้ง)

     ดังนั้นบุคคลผู้มีศีลไม่ครบลงคุมให้ถึงใจ จิตย่อมเข้าไม่ถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (ฌาน) ด้วยเหตุนี้ พระพุทธโคดมจึงได้ตรัสเรื่องกาลามสูตร ไว้เพื่อเป็นเครื่องป้องกันการถูกหลอก

      (๔) ใครเขาว่าเราปฏิบัติธรรมผิดทางก็เป็นเรื่องของเขา ส่วนเรื่องของเราต้องดูที่ใจตัวเอง ว่าปฏิบัติสมถภาวนาแล้ว จิตต้องตั้งมั่นเป็นสมาธิ ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาแล้ว จิตต้องเกิดปัญญาเห็นแจ้ง นี่คือเรื่องที่ผู้ถามปัญหา ต้องดำเนินไปให้ถูกตรงตามธรรม

      (๕) คนที่มีความเห็นถูกตามธรรม ย่อมศรัทธาในเหตุผลที่เป็นจริงแท้ เป็นความจริงที่มิได้ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ดังนั้นความเสื่อมศรัทธาในความเป็นจริงแท้ เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีจิตเป็นทาสของกิเลส ด้วยเหตุนี้ผู้ไม่ประมาท จึงต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังต้านอำนาจของมาร ด้วยการเจริญพละ ๕ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา) อยู่ทุกขณะตื่น

      (๖) ผู้ใดปฏิบัติธรรมได้ถูกตรงตามธรรม จิตของผู้นั้นย่อมมีโอกาสเข้าถึงความเป็นอิสระจากกิเลส ดังตัวอย่าง

       ปฏาจารา หายบ้าด้วยการปฏิบัติธรรม แล้วจิตบรรลุอรหัตตผล

       อิสิทาสี เลิกคิดฆ่าตัวตาย ด้วยการปฏิบัติธรรม แล้วจิตบรรลุอรหัตตผล

       สิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธ เลิกประกอบอาชีพโสเภณีด้วยการปฏิบัติธรรม แล้วจิตบรรลุโสดาปัตติผล ฯลฯ

     ดังนั้นผู้รู้จริง จึงไม่ปฏิเสธช่วยเหลือคนให้พ้นไปจากความทุกข์

      (๗) ผู้ใดยังมีจิตเป็นทาสของ ธาตุ ธรรม และขันธ์ ผู้นั้นย่อมมีจิตเศร้าหมอง ตรงกันข้าม ผู้ใดมีจิตเห็นแจ้งใน ธาตุ ธรรม และขันธ์ หรือเห็น ธาตุ ธรรม และขันธ์ เป็นอนัตตา ผู้นั้นย่อมมีชีวิตเป็นอิสระ นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์
  

1784.
กราบเรียนท่านอาจารย์   ดร. สนอง วรอุไร

     กระผม นายเพชรมณี สิงห์แจ่ม อายุ 41 ปี อาชีพรับราชการครู แต่งงาน 17 ปีแล้วครับ แต่ไม่มีลูกครับ ตอนนี้โรงเรียนปิดเทอม ผมเลยขออนุญาตท่านผู้อำนวยการโรงเรียนไปปฏิบัติธรรมในช่วงวันที่ 10-17  ตุลาคม   2554  ผมกำลังหาสถานที่ปฏิบัติธรรมครับ   ผมจึงใคร่ขอคำแนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้ด้วยครับ
  
   กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
    แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตจนเข้าถึงธรรมอย่างเจ้าอาวาสได้ … . สาธุ
  

1783.
สวัสดีครับ กราบเรียนถามท่านอาจารย์สนองครับ

ผมมีปัญหาที่จะเรียนถามครับ เนื่องมาจากการปฏิบัติครับ เนื่องจากเวลานั่งวิปัสนาในช่วงแรกนั้น จะเกิดสมาธิที่นิ่งและรู้สึกเบา และมีอาการฟุ้งบ้างแต่ไม่นำจิตไปนอกตัว กายจะรู้สึกคล้ายเกร็งคือลักษณะ ตรง และในจิตท่ีดูจะรู้สึกว่ากายในไม่สามารถขยับได้ รู้สึกตัวอยู่พอนั่งไปได้ระยะหนึ่งกายก็จะเอนไปด้านหลัง... บางครั้งก็เอนตัวไปโดยรอบ แต่นั่งปฏิบัติในบางครั้งก็ไม่เกิด แต่จะเกิดเวทนาให้เห็นแทน ซึ่งนานครั้งจะเกิดเวทนาซักทีครับ กระผมควรจะแก้ด้วยวิธีใดครับที่จะสามาถดูจิตได้ และเพื่อที่จะไม่เกิดปิติขึ้นอีกครับ ผมรู้สึกว่าในการปฏิบัติที่ได้ปฏิบัติมาเกือบ 2 ปี จะติดอยู่ที่ปิติและไม่ไปถึงไหนเท่าไหร่ครับ

นอกจากสมาธิที่นิ่งอย่างเร็วครับ และอีกอย่างครับ ถ้ากำหนดดูที่ลมหายใจแล้ว พอลมหายยใจละเอียดจนจับไม่ได้ เราจะต้องนำจิตไปดูที่ใดครับ

ขอบพระคุณอย่างสูงครับอาจารย์ที่เมตตาครับ  

คำตอบ
     ทั้งสองปัญหาที่ถามไป จะยุติลงได้ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลัง คือ เจริญพละ ๕ (สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา) อยู่ทุกขณะตื่น
  

1782.
กราบเรียนท่าน อจ ดร สนอง วรอุไร ที่เคารพ

ผมอยากเรียนถามเป็นความรู้เพื่อให้ทราบแนวทางการปฏิบัติตนเพื่อการครองเรือนฯที่ดี ผมขอถามครั้งนี้เพียงข้อแรกก่อนครับ...

    ขอกราบเรียนถามเกี่ยวกับการขออโหสิกรรมระหว่างสามี-ภรรยา-ลูก และ การกล่าวขอโทษ เหมือนกันไหมครับ...

... ผมมีอายุมากกว่าภรรยาประมาณ 16 ปี และมีบุตรสาว อายุ 9+ ปี   ในอดีตตั้งแต่ก่อนและหลังมีลูก...ผมและภรรยาจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ มีการใช้วาจาไม่สุภาพต่อกัน แต่ไม่เคยใช้กำลังทำร้ายกัน   อาทิ ความเห็นขัดแย้งกันทั้งในเรื่องความคิดและวิธีการเลี้ยงดูบุตร , ความเห็นและความคิดแตกต่างกันในการทำงานร่วมกัน(ภรรยา มาร่วมทำงานกับบริษัทของผมซึ่งผมเป็นผู้ก่อตั้งก่อนแต่งงานกัน)  โดยสรุปสาเหตุส่วนใหญ่มาจาก อัตตา และ ขาดสติ...(และขาดปัญญา)

อยากเรียนถามท่าน อจ ว่า " ในขณะใดขณะหนึ่งที่เรารู้สึกสำนึกว่าเรากระทำผิดที่ประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสม ต่อภรรยาและหรือสามี(ในทางกลับกัน) เช่นใช้วาจาไม่สุภาพ   กล่าวร้าย จนเป็นเหตุให้ร้องไห้ ข้างของชำรุดเสียหาย เสียเงินทอง และทรัพย์สิน เป็นต้น  การกล่าวคำขอโทษต่อกันและกัน มีผลเหมือนกับการขออโหสิกรรมไหมครับ ?

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
   แขก อุ๋ม และ เฮิร์บ

คำตอบ
     การขออโหสิกรรม ผู้ถูกร้องขอต้องกล่าววาจาว่ายกโทษให้ หรือสื่อด้วยวิธีใดที่บ่งให้รู้ว่าได้ยกโทษให้แล้ว หนี้เวรกรรมจึงเป็นอันยุติ

    ส่วนการขอโทษ หมายถึง ขอให้เว้นโทษ แต่ในทางโลกกฎหมายไม่เปิดให้เว้นโทษได้ แม้ผู้ถูกกระทำจะไม่เอาความใดๆ ผู้กระทำไม่ดียังต้องรับโทษผิดในทางกฎหมายอีกโสตหนึ่งด้วย

    ส่วนเรื่องการขอขมากรรมนั้นต่างกัน แม้ประพฤติไม่ผิดกฎหมายแต่ผิดกฎแห่งกรรม เช่น คิดปรามาสผู้ทรงคุณธรรม ต้องขอขมากรรมต่อบุคคลหรือต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โทษนั้นจึงจะยุติ
  

1781.
กราบท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไรครับ

     กระผมเคยถามท่านอาจารย์เรื่องถอนผมหงอกไปครั้งหนึ่งแล้ว กระผมขอกราบขอบพระคุณของท่านอาจารย์ด้วยครับทำให้กระผมรู้สึกดีใจที่จะได้ทำอาชีพที่ไม่ผิดศีล 5 แต่ตอนนี้กระผมยังสงสัยอยู่อีกเรื่องหนึ่งว่า ผมเคยคิดว่าลูกค้าที่เข้ามาในร้าน เขานอนให้ถอนผมหงอกเขาก็จะเพลิน มีความสุขสบาย แบบนี้เป็นมิจฉาทิฐฐิไหมครับ แล้วจะส่งเสริมให้ลูกค้ามีโมหะไหมครับ เพราะกระผมกลัวจะทำผิดกับคำสั่งสอนของพระพุทธองค์นะครับ แล้วกระผมควรตั้งเจตนาอย่างไรดีจึงจะไม่เป็นมิจฉาทิฐฐิ ผมกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อีกครั้งครับ

กราบท่านอาจารย์ด้วยความเคารพในท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร อย่างสูงครับ

คำตอบ
     การถอนผมหงอก แล้วเกิดความเพลิดเพลินความสุขสบายของลูกค้า ในทางโลกมิได้ถือว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิ แต่กามสุขที่เกิดขึ้นกับจิตของลูกค้า มิอาจพัฒนาไม่สู่ความพ้นทุกข์ได้รวมถึงผู้ให้บริการด้วย
  

1780.
สวัสดีค่ะ

หนูอยากสอบถามเรื่องการเปลี่ยนชื่อและนามสกุลค่ะ เมื่อไม่นานมานี้ น้องสาวได้ไปหาอาจารย์ทางด้านศาสตร์การตั้งชื่อ และตัวเลขเค้าบอกว่านามสกุลของหนูไม่ดี ชื่อก็ไม่ดีควรจะเปลี่ยน เพราะจะทำให้เกิดเรื่องร้ายกับชีวิต ก่อนหน้านั้นเค้าก็ทำนายเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับตัวน้องสาวได้ถูกต้อง น้องหนูเลยมีความเชื่อถือมาก และอยากจะไปเปลี่ยนชื่อสกุลตามที่เค้าแนะนำ. หนูรู้ว่าชื่อ+นามสกุล เป็นเพียงสิ่งสมมติในโลกนี้.. เราต้องเปลี่ยนที่ตัวเราไม่ใช่อย่าอื่น... ถูกมั้ยคะอาจารย์.... ถ้าเค้ามีเคราะห์อย่างนั้นควรทำอย่างไรคะ... ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
     ความเห็นของผู้ถามปัญหานั้นถูกตรงตามธรรมแล้ว คนเราจะดีหรือชั่วมิได้อยู่ที่ชื่อและนามสกุล แต่อยู่ที่การกระทำที่เป็นบุญกุศล ชื่อและนามสกุลย่อมไม่มีความหมายใดๆ ดังเช่น

ชื่อ “อหิงสกะ” แปลว่า ความไม่เบียดเบียนใคร แต่มีพฤติกรรมเป็นโจรฆ่าคน (โจรองคุลีมาล)

ชื่อ “อชาตศัตรู” แปลว่า ไม่เป็นศัตรู แต่ยังประพฤติฆ่าพ่อ (พระเจ้าพิมพิสาร) ได้

คนมีเคราะห์ไม่ดี เหตุเพราะเคยประพฤติอกุศลกรรม และเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต เมื่ออกุศลกรรมให้ผล เคราะห์ไม่ดีจึงเกิดขึ้น ดังนั้นผู้ใดประสงค์ให้ตัวเองเป็นผู้มีเคราะห์ดี ต้องคิด พูด และทำ ในสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม โอกาสพบแต่เคราะห์ดีจึงจะเกิดขึ้น

สิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธ เป็นผู้มีเคราะห์ดีได้ ด้วยการเลิกประพฤติมิจฉาชีพ แล้วหันมาประพฤติทาน ศีล ภาวนา จนจิตบรรลุความเป็นพระโสดาบันในขณะยังเป็นฆราวาส ตายจากโลกมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นสิริมาเทพนารี อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวตี
  

1779.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร
 
     หนูโชคดีที่รู้จักวิปัสสนากรรมฐานแบบยุบหนอพองหนอมาเป็นเวลา 5 ปี ได้มีโอกาสไปเข้ากรรมฐานที่วัดปีละครั้ง เจริญสติด้วยการนั่งสมาธิและการเดินจงกรมที่บ้านบ้าง แต่ไม่ได้ทำสม่ำเสมอ สวดมนต์บ้างเป็นบางวัน ยังไม่สามารถชนะมารได้ ชอบฟังธรรมะทั้งทางวิทยุและเทปเป็นประจำ ทั้งในเวลาทำงานและที่บ้าน   และชอบอ่านหนังสือธรรมะ เมื่อเดือน พ.ค. ปีนี้ได้ไปเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่วัดร่ำเปิงเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน การปฏิบัติธรรมของหนูไม่เคยปรารถนาจะให้เห็นสิ่งใด หนูต้องการให้จิตสงบ เพราะเป็นคนใช้สมองคิดตลอดเวลา เป็นผู้บริหารระดับรองคณบดีและเป็นนักวิจัย จึงต้องการฝึกจิตให้อยู่กับการกำหนดเท่านั้น ในวันที่ 4-6 ของการปฏิบัติธรรม มีสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่ไม่คิดว่าหนูจะประสบด้วยตนเอง คือ   ในช่วงพลบค่ำขณะที่นั่งสมาธิช่วงหนึ่ง จะมองเห็นของในห้องพัก และเห็นว่าห้องสว่างเหมือนเปิดไฟ มองเห็นสิ่งของเครื่องใช้ที่วางอยู่ในห้องทั้งหมด ทั้งๆที่ไม่ได้เปิดไฟในห้อง  ( หนูปฏิบัติในห้องพักส่วนตัว) ขณะนั้นมีสติรู้สึกตัว   รู้ว่าหลับตาอยู่ รู้ว่านั่งอยู่ แต่ด้วยความโง่ กำหนดไม่ทันว่า เห็นหนอ จึงทำให้ความสงสัยครอบงำจิต ได้ส่งอารมณ์กับพระอาจารย์ ท่านชี้แนะว่าให้กำหนดไว้เท่านั้น ในวันต่อมาประมาณช่วงเวลาเดียวกัน ได้ยินเสียงก๊อบแก็บของถุงพลาสติกแบบดังมากๆ เหมือนอยู่ข้างหู ตกใจกับเสียง กำหนดไม่ทันอีกแล้ว แถมสงสัยว่า   เสียงอะไร   ลืมการกำหนด มัวแต่เอาใจไปจดจ่อกับเสียง   เสียงกลับลดลงแบบลมพัดถุงไหวๆ เท่านั้น เมื่อเสียงนาฬิกาดัง ลืมตาดู ก็เป็นถุงใส่ของที่ถูกพัดลมเท่านั้นเอง อีกวันได้กลิ่นหอมของดอกไม้ในช่วงกลางวันขณะนั่งสมาธิ ได้กลิ่นเป็นพักๆ   คราวนี้กำหนดว่า กลิ่นหนอ ๆ ๆ และไม่ได้สนใจ

     เนื่องจากหนูเป็นนักวิทยาศาสตร์ค่ะ อ่านหนังสือธรรมะทางปริยัติมาบ้าง แต่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตของหนูในขณะนั้น ทำไมจึงเห็นทั้งๆที่หลับตา   ทำไมหูจึงดีมาก และเหมือนกับได้ยินเสียงสวดมนต์ของพระลอยมาไกลๆด้วย ส่วนเรื่องกลิ่นนั้น หนูคิดว่าอาจเป็นดอกไม้ก้อได้   ปัญญาทางโลกของหนู (รศ.ดร.) ไม่สามารถตอบข้อสงสัยนี้ได้ จึงขอความเมตตาอาจารย์ชี้แนะด้วยค่ะ   เหตุการณ์แบบนี้เหมือนกับที่เรียกว่า หูทิพย์ ตาทิพย์ ไหมคะ แต่หนูไม่ได้ติดใจว่าจะต้องทำให้ได้แบบนี้อีก เพราะหนูปรารถนาการหลุดพ้นจากสงสารวัฎ ถามพระและแม่ชีว่าทำไมจึงเกิดแบบนี้ ท่านตอบว่าให้กำหนดไว้ แต่ความอยากรู้เนื่องจากเป็นนักวิจัยวิทยาศ่าสตร์ จึงอยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไร หนูคิดว่าอาจารย์คงเข้าใจความคิดของหนูค่ะ
 
     กราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์ค่ะ  

คำตอบ
     ผู้ที่พัฒนาปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) มาจนถึงระดับปริญญาสูงสุด และมีตำแหน่งทางวิชาการสูงสุดเป็นศาสตราจารย์ หรือมีตำแหน่งในหน่วยงาน เป็นอธิการบดีหรือเป็นอธิบดี ฯลฯ พวกนี้ยังเป็นผู้ที่ไม่รู้จริงแท้ เรียกความรู้หรือปัญญาเช่นนี้ว่า อวิชชา จึงยังมีความสงสัย ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เทวดามีจริงหรือไม่ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เป็นความจริงหรือไม่ ฯลฯ จึงยังมีจิตเป็นทาสของกิเลสมาร จึงเห็นว่าโลกธรรม เช่น ยศ ตำแหน่ง อำนาจ ฯลฯ เป็นสิ่งที่มีค่า ต้องแสวงหามาไว้กันตน

     เรื่องการเห็นสิ่งต่างๆได้ในขณะหลับตา การได้สัมผัสกลิ่นอันเป็นทิพย์ และการได้ยินเสียงอันเป็นทิพย์ เหล่านี้มิได้เนื่องมาจากการทำงานของจักขุประสาท ฆานประสาท และมิได้เนื่องมาจากการทำงานของโสตประสาท แต่เนื่องมาจากการพัฒนาจิตจนมีความถี่คลื่นเป็นระเบียบดีแล้ว ผู้ที่แสวหาความรู้หรือเรียนจบจนสูงสุดในทางโลก ร้อยคนพันคน จึงไม่สามารถเข้าถึงเหตุผลหรือความจริง ที่อยู่นอกระบบประสาทสัมผัส ทั้งนี้เป็นเพราะกำลังของความรู้ทางโลก ยังเข้าไม่ถึงเหตุและผลที่เป็นความจริงสูงสุดนี้ได้ ดังนั้นผู้ปรารถนานำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏฏะ ต้องใช้ปัญญาเห็นแจ้ง (โลกุตตรญาณ) กำจัดกิเลสที่ค้างคาอยู่ในใจ (สัญโยชน์หรือสังโยชน์ ๑๐) ให้หมดไปได้เมื่อใดแล้ว ความสมปรารถนาในสิ่งสูงสุด จึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้
  

1778.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ สนอง วรอุไร ที่เคารพอย่างสูงค่ะ

     หนูมีปัญหา ที่ยังหาทางออกไม่ชัดค่ะ คือ บริษัทหนูบางสาขา มีพนักงาน หัวหน้าสาขา ร่วมกันปิดบัง ตุกติก เรื่องเงินของบริษัท ไม่ทำตามกฏเกณฑ์ ที่บริษัทวางไว้ เพื่อนำเงินบริษัทออกไปใช้ ไปหมุนกันค่ะ แต่ดูตามเอกสาร แล้ว   ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ มีแต่พยานบุคคลกับรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง คือ พนักงานทุกคนที่ตุกติก ทำผิดเหมือนกัน ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน เช่น เอาญาติ มาเข้าไฟแนนซ์ โดยที่ไม่ต้องมาเซ็นต์เอกสาร เป็นต้น มีการปลอมลายเซ็นต์กัน เพื่อนำเงินออกไปใช้ค่ะ สอบข้อมูลแล้วเป็นความจริงค่ะ

     จริง ๆ แล้วควรให้ออก เพื่อมิให้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี แต่ปัญหาคือ ผู้บริหารสาขานี้ ซึ่งเป็นหลานของแฟนหนู ปกป้องพนักงานค่ะ คือ รู้ว่าผิด แต่ยอมให้อยู่ต่อค่ะ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว พวกเราผู้บริหาร และพนักงานสาขาอื่น ๆ เขาก็รู้กันค่ะ ไม่มีใครเอาคนแบบนี้ค่ะ เพราะไม่ซื่อสัตย์

     ผู้บริหารคนนี้เป็นทอมค่ะ โมโหง่าย ใจร้อน และไม่พอใจที่หนูลงไปตรวจสอบด้วยตัวเอง มองว่าหนูก้าวก่าย แต่หนูได้แจ้ง ให้รู้ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์แล้ว ว่าหนูจะเข้าไปสอบนะ

     หนูมองว่าเป็นเรื่องของอัตตา มิจฉาทิจฐิ หรือเปล่าคะ ทุกคนน่าจะมองถึงผลประโยชน์ของบริษัทมากกว่า แต่ เขาบอกว่า ความผิดอยู่ที่เราไม่ใส่ใจกฏเกณฑ์ ปล่อยให้เกิดช่องว่างขึ้นเอง เอาผิดพนักงานไม่ได้ หนูว่ากฎเกณฑ์ การทำงานมีอยู่ดีอยู่นะ แต่คนไม่ทำตามต่างหากค่ะ

      หนูไม่อยากมีปัญหาขัดแย้งกันเอง เขาก็เป็นหลานหนู เป็นเจ้าของบริษัท กับแฟนหนูเราคุยกันไม่ได้ เรื่องนี้ เพราะเขาไม่ยอมรับค่ะ แต่หนูมองว่า คนส่วนใหญ่ในบริษัทมองเราอยู่ว่า เราทำงานกันอย่างไร ทำไมปล่อยให้คนไม่ดีร่วมงานต่อ ทั้ง ๆที่รู้

       หนูพยายาม ตั้งใจที่จะสร้างคุณธรรม ให้เกิดขึ้นในใจพนักงาน ตั้งโครงการดี ๆ ขึ้นมา เช่น โครงการรักดี ทำดี แล้วบอกต่อ โครงการจิตอาสา นำพาพนักงานไปช่วยเหลือคนอื่น คือ อยากฝึกพนักงาน ให้นึกถึงคนอื่น ให้รู้จัก คุณธรรม เป็นต้น   พนักงานบางคนก็ดีมาก ทำผิดแล้วยอมรับตั้งใจแก้ไขใหม่ แต่กับคนใกล้ชิด ไม่สามารถทำให้เขาเข้าใจได้ค่ะ หนูควรจะทำอย่างไรดีคะ เพื่อให้เขาคิดได้เองค่ะ...

       ขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ ที่เป็นที่พึ่งทางใจของทุก ๆ คน ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้ ท่านอาจารย์ และครอบครัว ประสบแต่ความสุข แข็งแรง อายุยืน เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้กับทุก ๆ ท่าน ตราบนานเท่านานนะคะ  

คำตอบ
     การพัฒนาคนไม่เก่งให้เป็นคนเก่งทำได้ง่าย การพัฒนาคนไม่ดีให้เป็นคนดีทำได้ยากกว่า ผู้รู้จริงย่อมแสวงหาเอาคนดีแต่ไม่เก่ง มาเป็นผู้ร่วมทำงาน ตรงกันข้าม ผู้รู้ไม่จริงคัดเอาคนเก่งแต่ไม่ดี มาเป็นผู้ร่วมทำงาน ปัญหาจึงได้เกิดขึ้น

     (๑) การเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้บริหารหน่วยงานที่ดี ต้องมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือ เว้นประพฤติ อคติ ( ชอบ ชัง หลง กลัว )

     (๒) แสวงหาคนดีมาตั้งเป็นคณะกรรมการบริหารจัดการเรื่องกฎระเบียบของบริษัท โดยให้มีการประชุมเกี่ยวกับปัญหานี้ พร้อมเสนอวิธีแก้ไขและบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ส่งให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจรับทราบเพื่อนำไปปฏิบัติ หากผู้มีอำนาจไม่สั่งการ ก็ถือว่าเป็นเรื่องของเขา

     (๓) จัดให้มีการอบรมจริยะธรรม เช่น ทุกหกเดือน หรือทุกหนึ่งปี โดนกำหนดตัวบุคคลที่จะต้องเข้าอบรม เป็นบันทึกพิมพ์ ( เขียน ) ไว้ให้ชัดเจน

     (๔) คนที่อยู่ใกล้ชิดที่มีอัตตาสูง หากผู้ถามปัญหาได้พัฒนาตัวเองและคนที่อยู่รอบข้างให้เป็นผู้มีคุณธรรมแล้ว ย่อมมีโอกาสพัฒนาคนไม่ดีให้กลับมาเป็นคนดีได้
  

1777.
เรียนท่าน   ดร.สนอง   วรอุไร   ที่เคารพ
 
สวัสดีคะอาจารย์ หนูได้ติดตามหนังสือของอาจารย์มาตลอด
ตั้งแต่ได้อ่านตามรอยพ่อ ก็พยายามเอาคำสอนมาฝึกและปรับปรุงความคิดไปในทางสัมมาทิฐิ
แต่ขณะนี้หนูมีปัญหาคือ บ้านที่อาศัยอยู่เป็นบ้านไม้และมีปลวกขึ้น ควรจะทำอย่างไรโดยไม่ทำร้ายต่อกัน
 
ขอขอบคุณอาจารย์ที่ได้ตอบคำถามของหนูด้วยคะ
 
ขอแสดงความนับถือ
จายา

คำตอบ
     ปัญหายอดฮิต เรื่องปลวกขึ้นบ้าน มีวิธีแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้

     (๑) อุทิศบ้านให้ปลวกเป็นทาน

     (๒) ปลูกบ้านใหม่ให้ส่วนที่อยู่ติดกับดินเป็นคอนกรีต

     (๓) พระป่าใช้ผ้าชุบน้ำมันขี้โล้ พันรอบโคนเสาของกุฏิที่ทำด้วยไม้

     (๔) คนโบราณเลี้ยงไก่ ปล่อยอยู่กับดิน ใต้ถุนของบ้าน ปัญหาเรื่องปลวกขึ้นบ้านจึงไม่เกิดขึ้น

     (๕) โทรศัพท์แจ้งบริษัทรับจ้างกำจัดปลวกให้มาแก้ปัญหา แล้วตัวเองต้องพัฒนาจิต จนสามารถปิดอบายภูมิได้ วิธีนี้หากทำได้แล้ว ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุด
  

1776.
กราบรบกวนอาจารย์สนองค่ะ

หนูเป็นคนหนึ่งค่ะที่เคยทำบุญแล้วไม่ได้ทำมานานแล้วค่ะ แล้วตอนนี้อยู่อยู่ก้ออยากทำบุญ สวดมนต์แผ่เมตตา ก้อเลยได้พบกับท่านอาจารย์ทางอินเตอร์เนตค่ะ   เรื่องที่ถามท่านอาจารย์มีอยู่ว่าหนูเป้นคนที่ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรกับใครค่ะ ใครนินทาใคร ก้อฟังบางทีก้อเติมนิดหน่อยพอคุยกันได้ แต่ถ้าเรื่องนินทามันบาปหรือว่ามากกว่าปกติหนูก้อจะคอยเป้นคนเบรคค่ะ แต่ตอนนี้มีอยุ่ว่า หนูเป็นลูกสะไภ้เจ้าของร้านค่ะ อยู่ที่นิวซีแลนด์ ตอนนี้ได้รับคนไทยอายุน้อยกว่าหนูสามปีมาทำงาน หนูรู้สึกไม่ชอบขี้หน้ามากมากค่ะ โดยที่เค้าไม่ได้ทำไรหนูเลยนะคะ ถ้ามองใจเป็นกลาง เค้าก้อเป็นคนน่ารักนะคะ มีมารยาท แต่ปัญห้าคือหนูไม่ชอบ ไม่ถูกชะตาเค้าเลยน่ะค่ะ   คือตอนนี้หนูก้อพยายามไม่คิด ไม่สนใจ เวลาคิดก้อพอรู้ก้อวางได้นิดหน่อยค่ะ แต่อารมณ์ไม่ชอบน้องเค้ามีเยอะมากมากเลยค่ะ แล้วหนูจะต้องทำไงดีคะ หนูพยายามไม่มองไม่พูด แต่อารมน์ไม่ชอบเค้ามีมากเลยค่ะ แล้วหนูจะต้องทำไงคะ หนูว่าหนูบาปหนาแน่แน่เลยถ้าเจอน้องเค้าทุกวันน่ะค่ะ   

หนูกราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ

คำตอบ
     บาปให้ผลเป็นความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ บาปย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีกำลังสติอ่อนอยู่ในดวงจิต ความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้า ย่อมปรากฏเป็นอารมณ์หมั่นไส้ เป็นอารมณ์รังเกียจ จึงได้เกิดขึ้น ทั้งนี้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ว่าในอดีตของผู้ถามปัญหา เคยประพฤติอกุศลกรรมกับเขามาก่อน เมื่อทั้งสองโคจรมาพบกัน หนี้เวรกรรมตามทัน จึงเกิดความไม่ชอบขี้หน้า ( ทุกข์ใจ ) ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ( สัพพัญญู ) สอนว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” หากผู้ถามปัญหาเชื่อว่าคำสอนนี้ เป็นความจริงแท้แน่นอน จงทำใจให้อภัยทุกครั้งเมื่อเห็นเขาแล้วไม่ชอบขี้หน้า ทำไปเรื่อยๆจนกระทั่งมีอารมณ์สงบและเย็น นั่นคือเมตตาได้เกิดขึ้นแล้วกับจิตของเรา เขาจึงเป็นเหมือนครูผู้มีพระคุณ สอนเราให้พัฒนาคุณธรรม ( เมตตา ) เกิดขึ้นกับจิตของเราผู้รู้ รวมถึงผู้ตอบปัญหานิยมประพฤติเช่นนี้ แล้วบาปย่อมไม่เกิด ซ้ำยังทำให้ใจมีความสุข ด้วยอารมณ์ที่สงบและเย็นอีกด้วย
  

1775.
ขอท่านอาจารย์เมตตาแนะนำหน่อยครับ ผมต้องร่วมงานกับเพื่อนร่วมงานที่โลภมากและเห็นแก่ตัว อีกทั้งขี้โกงทุกครั้งที่มีโอกาส จะทำยังไงไม่ให้ทุกข์และเผลอไปทำบาปครับ ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์มากๆครับ

คำตอบ
     มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่จะต้องมีเพื่อน ผู้รู้จึงไม่ตัดใครออกจากความเป็นเพื่อน แต่ผู้รู้เกิดมาเพื่อเรียนรู้คน เรียนรู้วิธีทำงาน ฉะนั้นจงมองทัศนคติเรื่องคนให้ออก แล้วเลือกคนให้เหมาะสมกับงาน ตามที่ฝรั่งเรียกว่า put the right man to the right job แล้วเราจะได้ประโยชน์จากการมีคนช่วยทำงาน

    ส่วนเรื่องความเห็นแก่ตัวและความเป็นคนขี้โกหกของเขา เราต้องทำจิตนิ่งแล้วดูให้ออกว่า ผู้มีปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) สูง ย่อมมีความเห็นแก่ตัว (ego) ใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ที่ผู้รู้จะมองเขาเป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าเขาเป็นคนพร่อง เป็นคนขาดแคลน เป็นคนไม่เต็ม ไม่อิ่ม ไม่พอ เขาจึงประพฤติคดโกง เมื่อใดที่กรรมชั่วให้ผล ผู้ประพฤติชั่วย่อมได้รับอกุศลวิบากเป็นความวิบัติแห่งทรัพย์ และผลของอกุศลกรรมยังส่งไปถึงชาติหน้า ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เปรตอีกด้วย ( สองเด้ง ) เมื่อผู้รู้เห็นทางชีวิตที่ยาวไกล และเห็นผลของกรรมติดตามข้ามภพชาติได้ ผู้รู้จะเอาเขาเป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าเราจะไม่ประพฤติคดโกงเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่ไปเกิดเป็นสัตว์เปรตในชาติหน้า
  

1774.
กราบเรียน อ.สนอง ครับ

       จากที่อาจารย์ได้บอกว่า อรูป 4 เป็นสมถกรรมฐานหนึ่งที่เข้าได้กับทุกจริต อยากให้อาจารย์แนะนำวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องครับว่า การกำหนดช่องว่างหาที่สุดไม่ได้ จะทำต้องทำอย่างไรครับ เป็นการหลับตากำหนดภาพที่เห็น ดำๆ มืดๆ หรือเป็นการมโนภาพให้ยิ่งขึ้นไป ว่าตนเองถูกห้อมล้อมความว่างเปล่าในทุกทิศทาง เปรียบเสมือนลอยอยู่ในอวกาศ  อย่างนี้จะถูกต้องไหมครับ
 
ขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาตอบคำถามครับ

คำตอบ
     การนำเอาหนึ่งในอรูป ๔ มาใช้พัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ต้องเอาจิตไประลึกอยู่กับอากาศว่า อากาศเป็นช่องว่างที่หาที่สุดมิได้ ผู้มีศีลและมีสัจจะคุมใจ เมื่อระลึกอยู่เช่นนี้ทุกครั้งที่นึกได้ ระลึกอยู่ทุกครั้งที่ว่างจากงานที่ทำให้กับสังคม จิตย่อมเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ

    การระลึกถึงอากาศเป็นช่องว่างหาที่สิ้นสุดมิได้ ควรนั่งหลับตาแล้วไม่เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับภาพที่เห็นเป็นสีดำๆมืดๆ แต่เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับอากาศที่โปร่งใส ว่าเป็นสิ่งที่ว่างเปล่าหาที่สิ้นสุดมิได้ นั่นแหละจึงจะเป็นวิธีภาวนา ที่นำไปสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต
  

1773.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

คือผมกำลังคิดจะเปิดร้านรับจ้างถอนผมหงอก แต่ก็กำลังจะพยายามรักษาศีล 5 อย่างเคร่งคัดด้วย แต่ด้วยความที่ชอบคิดเล็กคิดน้อย

จึงคิดไปว่า ถ้าเราไปถอนผมผิดเอาเส้นที่เป็นผมดำติดออกมา 1. เราจะผิดศีลข้อ 2 ไหม ที่เราไปดึงเอาผมดำของเขาออกมาด้วยจะเป็นการลักขโมยหรือถอนออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาติไหม   2. แล้วผมจะผิดศีลข้อ 4 ไหมครับ เพราะว่าเราติดป้ายว่ารับจ้างถอนผมหงอก แล้วดันไปดึงเอาผมดำเขาหลุดออกมาด้วย

แล้วมีอีกร้านเขาเปิดบริการมาก่อนเขาคิด ชม.ละ 100 บาท แต่ผมจะคิดเพียงแค่ ชม.ละ 50 บาทเท่านั้นเพราะผมไม่อยากเอาเปรียบลูกค้าเกินไปทำแค่พอเลี้ยงร่างกายนี้ได้เท่านั้น จะเป็นการไปเบียดเบียนร้านอื่น หรือไปแย่งลูกค้าไคร ผิดศีลไหมครับ ตอนนี้ผมทำอะไรกลัวเรื่องผิดศีลมากๆเลยครับ ผมเลยอยากจะขอการสงเคราะห์จากท่าน ดร.สนอง วรอุไร แนะนำผมในเรื่องเหล่านี้ครับ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ

คำตอบ
    (๑) ไม่มีเจตนาและเจ้าของเส้นผมไม่ผูกพยาบาท ถือว่าไม่ผิดศีลข้ออทินฺนาทาน แต่ผิดธรรมตรงที่ขาดสติ ไปถอนเอาเส้นสีดำออกมาด้วย

    (๒) เมื่อมีผู้มาใช้บริการ แล้วผู้ให้บริการมิได้พูดว่า จะไม่ถอนผมดำออกมา แต่ผู้ให้บริการขาดสติ จึงมีเส้นผมสีดำถูกถอนออกมาด้วยโดยไม่เจตนา ถือว่ามิได้พูดเท็จ จึงไม่ผิดศีลข้อ ๔

     การให้บริการถอนผมหงอก โดยคิดค่าบริการต่ำกว่าร้านอื่น แล้วไปทำให้จำนวนลูกค้าของร้านที่คิดแพงกว่าลดลง ไม่ถือว่าผิดศีลข้ออทินฺนาทาน เพราะร้านที่คิดราคาแพง มิได้เป็นเจ้าของของผู้มาใช้บริการ แต่ร้านที่คิดราคาต่ำกว่า อาจถูกจองเวรได้ ดังตัวอย่างของพระพุทธโคดมถูกพระเทวฑัตจองเวร ทั้งนี้ด้วยเหตุในอดีตเคยซื้อถาดทองคำจากเจ้าของ ด้วยการให้ราคาที่สูงกว่า ที่อดีตพระเทวฑัตมาขอซื้อ
  

1772.
สวัสดีคะอาจารย์  

ดิฉันเพิ่งเริ่มฟังธรรมะบรรยายจากอาจารย์ ในส่วนที่อาจารย์กล่าวว่า เราควรจะเลือกอาชีพที่ไม่เป็นบาป และถูกต้องทางโลก ทางศีล และทางธรรม และถ้าเราทำร้าอาหาร ที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ปกติ เช่นหมู ไก่ สัตว์ทะเล โดยซื้อเนื้อสัตว์เหล่านั้นจากตลาดมา ไม่ได้ฆ่าเอง อาชีพถือว่าผิดทางศีล และธรรมหรือเปล่าคะ

ขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้านะคะ
คุณออย

คำตอบ
    การเปิดร้านขายอาหารที่ปรุงขึ้นจากเนื้อสัตว์ที่ซื้อหามาจากตลาด ไม่ถือว่าเป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาต แต่หากสั่งแม่ค้าให้เตรียมเนื้อสัตว์ตามปริมาณที่ต้องการ อย่างนี้ถือว่าเป็นผู้สั่งฆ่าสัตว์โดยปริยาย ถือว่าผิดศีลข้อปาณาติบาต และการซื้อโดยทั่วไป ไม่ถือว่าประพฤติทุศีล แต่อาจผิดธรรมในกรณีที่จิตวิญญาณของอดีตเนื้อสัตว์ จองเวรกับคนที่เอาเนื้อของเขาไปบริโภค
  

1771.
กราบเรียน ท่านอาจารย์สนอง

     หนูเป็นคนหนึ่งที่ตั้งแต่เมื่อได้อ่านหนังสือ ทางสายเอกแล้ว มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ท่านอาจารย์ได้ตอบคำถามต่าง ๆ ที่หนูเคยสงสัยมาแทบจะหมดสิ้น ตอนนี้หนูมั่นใจและศรัทธาในคุณพระรัตนตรัยมาก ๆ

     วันนี้หนูมีความประสงค์อยากถามอาจารย์สักข้อหนึ่ง

     เมื่อประมาณสักสองสามปีที่ผ่านมา มีอยู่ช่วงหนึ่งหนูทำบุญใส่บาตรพระบ่อย ๆ แทบจะทุกวัน รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำแบบนั้น ตั้งแต่ตื่นดี 4.30 แล้วก็หุงข้าว ทำกับข้าว เพื่อไปใส่บาตรพระประมาณวันละ 8 ถึง 9 รูป บางวันก็มากถึง 12 รูป เอากับข้าวและผลไม้ไปใส่บาตร ถ้าไม่พอก็เตรียมปลากระป๋องอย่างดีไปด้วย แต่ก็ไม่เคยต่อเนื่อง 7 วัน บางครั้งเว้นบางวันสองวัน หนูคิดว่าคงไม่เป็นมหาทานเพราะไม่ต่อเนื่อง 7 วัน ใช่หรือไม่คะ

     ความศรัทธาของหนูนั้นมีอยู่ แต่จะขึ้นกับว่าพระที่หนู่ใส่บาตร บางครั้งเป็นพระใหม่ แต่หนูจะพยายามนึกเสมือนว่าได้ใส่บาตรพระพุทธองค์ และคิดว่าได้เป็นผู้หนึ่ง ที่ช่วยสานต่ออายุพระพุทธศาสนา ทำให้หนูมีความสุข ทุกวันนี้หนูไม่ได้ไปวัดและทำบุญใส่บาตรเลย แต่ก็คิดอยู่ว่าอยากจะทำเช่นนั้นอีก ถ้ามีโอกาส

     ถ้าหนูจะได้ทำบุญใส่บาตร และคิดว่าเสมือนว่าได้ใส่บาตรพระพุทธองค์ จะเป็นการสมควร หรือหาไม่อย่างไร ท่านอาจารย์กรุณาชี้แนะค่ะ

     อนึ่งหนูจะสวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยอยู่บ่อย ๆ เมื่อสวด ก็พยายามสวดด้วยหัวใจที่ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ บางครั้งถึงกับน้ำตาไหล และหนูจะอธิฐาน ขอให้หนูได้ทราบในคุณพระรัตนตรัย ในทุกภพทุกชาติ

     หนูกราบขอพระคุณท่านอาจารย์และทีมงานทุกท่านค่ะ

       เอกอนงค์

คำตอบ
      สาธุ ใช่ครับ การนำอาหารไปใส่บาตรภิกษุสงฆ์ และคิดว่าได้ใส่บาตรกับพระพุทธเจ้า เป็นความเห็นผิดที่คิดหลอกตัวเอง ผู้ปรารถนาเข้าถึงธรรมของพระพุทธองค์ ย่อมไม่มีความคิดดังกล่าว อนึ่ง การเอาใจไปจดจ่ออยู่กับการประพฤติตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ หากประพฤติได้ถูกตรง ย่อมมีบุญเกิดขึ้น และการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญจิตตภาวนา มีอานิสงส์เป็นบุญใหญ่ ด้วยเหตุนี้หากผู้ถามปัญหามีความเห็นถูกตรง บุญย่อมเกิดขึ้น และยังเป็นฐานนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้
  

1770.
เรียน อ.สนอง ที่เคารพ
 
ขออนุญาติแทนตัวว่าลูกนะคะ ตอนนี้เรียนต่ออยู่ที่หาดใหญ่ค่ะ
 
ลูกมีปัญหาจะปรึกษาอาจารย์ด้งนี้ค่ะ ขอเล่าที่มาที่ไปของเรื่องก่อนนะคะ คือ ลูกไปชอบรุ่นพี่คนหนึ่งค่ะ ก็เลยอยากทราบว่าเค้าชอบเราหรือไม่ เลยไปดูดวงค่ะ ไปสองที่ คำทำนายของทั้งสองที่ออกมาคล้ายๆกัน
 
คือ หนึ่งพี่เค้าไม่ได้ชอบลูก   และถึงจะคบกันก็ต้องเลิกกันเนื่องจากเค้าจะไม่รักครอบครัวของเรา จากคำทำนายทำให้ลูกเครียดมาก แต่ก็ตัดสินใจที่จะตัดใจ เนื่องจากถึงจะคบกันไปก็ต้องเลิกกัน แต่ในส่วนของ คำทำนาย ที่ว่าพี่เค้าไม่รักครอบครัวเราลึกแล้วลูกยังไม่เชื่อค่ะ หลังจากนั้นไม่กี่วันลูกได้มีโอกาสคุยกับพี่เค้าทางเอ็มเอสเอ็น ลูกตัดสินใจบอกพี่เค้าว่าชอบ แม้คำตอบจะออกมาว่าพี่เค้าคิดกับเราแค่น้อง แต่เรา สองคนก็ไม่ได้คิดร้ายต่อกัน ลูกก็มีเพื่อนดีๆเพิ่มมาอีกหนึ่งคน   ลูกรู้สึกเหมือนได้จากหลุดพ้นจากทุกข์ตรงนั้นมา จากที่ทนทรมานมาเกีอบปี จากเหตุการณ์นี้ทำให้ลูกคิดได้ว่า
 
- ดวงสามารถเปลี่ยนได้ทุกวินาที ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราในปัจจุบัน ถ้าลูกไม่ตัดสินใจบอกพี่เค้าไปในวันนั้น วันนี้ลูกคงยังทุกข์อยู่กับเหตุการณ์นั้น
 
- บางครั้งผู้พยากรณ์อาจจะไม่ได้รู้จักคนๆนั้นอย่างที่เรารู้จัก แต่การที่ลูกได้คุยพูดกันตรงๆ มันทำให้ลูกเชื่อในความคิดของเราต่อคนๆนั้นมากกว่าคำทำนาย
 
- เราควรจะเชื่อใจ และการกระทำของตัวเรามากกว่าคำทำนาย จากเหตุการณ์นี้ คำทำนายทำให้ลูกเครียดและคิดกังวลไปล่วงหน้ามากมาย แต่การกระทำปัจจุบันที่ลูกได้ตัดสินใจคุยกัน มันทำให้ความทุกข์ทั้งหมดจบลง แม้จะเสียใจกับคำตอบ แต่ความสุขที่ได้รับจากการหลุดพ้น และการได้รับความรู้สึกดีๆ จากเพื่อนอีกคนมันทำให้ลูกมีความสุขมากกว่า และไม่กลับไปอยู่ในความทุกข์นั้นอีกแล้ว ทำให้ลูกเข้าใจได้ทันทีว่า การหลุดพ้นไปสู่ที่ที่สุขแล้ว ไม่กลับมาอยู่ในทุกข์นั้นอีกแล้วเป็นเช่นไร
 
ที่ลูกสงสัยเพิ่มเติมคือ การเชื่อมั่นในการกระทำปัจจุบันของเรา มากกว่าคำทำนาย และเชื่อว่าการกระทำในปัจจุบันของเรา สามารถเปลี่ยนแปลงดวงเราได้ตลอดเวลา เป็นความเชื่อที่ถูกต้องหรือไม่ ลูกเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไปหรือไม่ เพราะถ้าเราไม่เชื่อในคำทำนาย หรือดวงของเราเลยก็ยังมีความกลัวหลงเหลืออยู่ว่าเราจะถูกหลอกได้ค่ะ
 
ทุกวันนี้ลูกขออยู่กับชีวิตปัจจุบัน เริ่มรู้สึกนิ่งและเฉยๆกับการดูดวง เพราะจากเหตุการณ์นี้ ลูกเครียดและทุกข์ทรมานกับคำทำนายมานานมากค่ะ แต่ลูกไม่ได้มีความคิดลบหลู่ หรือท้าทายต่อคำทำนายนะคะ
 
เพียงแต่..ลูกรู้สึกว่าคำทำนาย รู้ล่วงหน้าไปก็เท่านั้น หากเราเปลี่ยนมันได้ด้วยการกระทำปัจจุบันของเรา
 
คำถามของลูกยาวมาก และออกจะวกวนค่ะ ลูกทราบดีค่ะ แต่ขอความเมตตากรุณาจากอาจารย์ ช่วยสั่งสอนและชี้แนะแนวทางให้ลูกด้วยเถิดค่ะ
 
ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
 
ด้วยความเคารพ

คำตอบ
    พระพุทธโคดมสอนบุคคลผู้ศรัทธา นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ มิให้เชื่อคำทำนาย (พยากรณ์) และมิให้เชื่อคำพูดที่ออกจากปากของคน (กาลามสูตร) แต่หากใครผู้ใดได้พัฒนาจิต จนเข้าถึงปัญญาสูงสุดระดับโลกิยะและโลกุตตระได้แล้ว ย่อมรู้ เห็น เข้าใจ ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังได้อย่างถูกตรง ตามความเป็นจริงแท้ ดังนั้นผู้รู้จริงจึงมีจิตเป็นอิสระจากคำพูดใดๆ แล้วไม่ทำให้เกิดอารมณ์เครียด ไม่ทุกข์ใจตลอดจนไม่เสียใจเกิดขึ้นกับจิต ตรงกันข้าม คนรู้ไม่จริง ย่อมเอาจิตเข้ารองรับคำพูดของคน ทำให้มีอารมณ์และอารมณ์ไม่ดีอยู่ทุกขณะตื่น และยิ่งผู้ถามปัญหาไม่นำตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับการดูดวง ความทุกข์ย่อมหายไปได้มาก และหากพัฒนาจิตจนเกิดดวงตาเห็นธรรมเบื้องต้นได้แล้ว ความทุกข์ย่อมเหลือน้อยเท่าขี้ฝุ่นติดปลายเล็บ และโอกาสการเป็นพ่อลูกกันในทางธรรม ย่อมมีได้เป็นได้
  

1769.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคราพ

อาจารย์ครับ ปัญหาปัจจุบันที่ คนส่วนใหญ่ รวมทั้งผม กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ คือ ปัญหา ฝนตก น้ำท่วมซึ่งใน (ขณะนี้ บ้านผม ฝนตกอยู่ หน่ำซ่ำ น้ำยังมาท่วมอีก) ผมรู้ว่าอาจารย์เป็นผู้ตอบปัญหาทางธรรม แต่วันนี้ผม ไม่ได้ถามปัญหาทางธรรม แต่ถามปัญหาภัยธรรมชาติ

ผมควรจะทำอย่างไรครับ   ตอนนี้ผมฟังประกาศเขาบอกว่าน้ำจะท่วมอีก   ตอนนี้ฝนยังตกด้วย แล้วมีข่าวว่าพายุจะเข้า  ผมว่าจะไป นั่งสมาธิแล้วนะครับ เพราะพรุ่งนี้ 27 ก.ย. 54 เป็นวันพระ ผมหวังว่า   ความดีที่ผมทำจะคุ้มครองผม และครอบครัวของผม  ผมจะรอคำตอบของอาจารย์ในกัลยาณธรรม

ขอบคุณครับ และผมจะตั้งใจปฎิบัติธรมให้ดีที่สุดเพื่อให้ธรรมะ ปกป้องคุมครองครอบครัวของผม

คำตอบ
     เมื่อวาน (27 ก.ย. 54) ได้เดินทางไป กทม . เพื่อบรรยายธรรมเรื่อง การบริหารหนี้เวรกรรม ให้ผู้ศรัทธาฟังว่า เมื่อหนี้เวรกรรมตามทันแล้ว บุคคลผู้เป็นหนี้ ต้องชดใช้ไปจนกว่าหนี้จะหมดสิ้น และยังได้บอกว่า

     ๑. ขณะที่กำลังชดใช้หนี้เวรกรรมอยู่ ให้อุทิศบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) ให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วหนี้จะหมดไปได้เร็ว

     ๒. ขณะที่อยู่ในระหว่างการชดใช้หนี้เวรกรรม ให้หนีหนี้ที่ยังมีเหลืออยู่ ด้วยการปฏิบัติธรรม (สมถภาวนา) จนจิตตั้งมั่นเป็นฌาน วิธีนี้สามารถหนีหนี้ได้นานเท่าที่จิตยังทรงอยู่ในฌาน และหากตายในขณะจิตทรงอยู่ในฌาน ยังจะได้ไปเกิดเป็นพรหม ที่มีอายุยืนยาวนานนับกัป

     ๓. ขณะอยู่ในระหว่างการชดใช้หนี้เวรกรรม ให้ปฏิบัติทาน - ศีล - ภาวนา จนกว่าจะตาย ตายแล้วยังมีโอกาสไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ วิธีนี้สามารถหนีหนี้ได้ยาวนานเป็นหลายล้านปีมนุษย์

     ๔. ผู้ไม่ประมาทนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม (วิปัสสนาภาวนา) แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง กำจัดกิเลสในใจ (สัญโยชน์) จนหมดไปเมื่อใด จิตย่อมโคจรเข้าสู่นิพพาน หนี้เวรกรรมทั้งปวงเป็นอันถูกยกเลิกโดยปริยาย

     สรุปแล้ว บุคคลมีศักยภาพ ที่จะบริหารหนี้เวรกรรมให้หนี้หมดเร็วด้วยการ หนีเข้าฌาน หนีไปเกิดเป็นพรหมอยู่ในพรหมโลก หนีไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ และหนีเข้านิพพานด้วยการทำเหตุให้ถูกตรง

     ผู้ใดมีศีลและมีสัจจะ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น เมื่อเร่งความเพียรทำเหตุให้ถูกตรง ย่อมสัมฤทธิ์ผลดังใจปรารถนา ทั้งนี้เป็นเพราะทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ (มโน มยา) และคำกล่าวของผู้รู้ที่ว่า “ธรรมย่อมคุ้มรักษาผู้ประพฤติธรรม” คือมีธรรมวินัยสถิตอยู่กับใจทุกขณะตื่น นั้นเป็นความจริงแท้แน่นอน … . พิสูจน์ดูสิครับ
  

1768.
กราบเรียนอาจารย์ สนอง   ผมมีคำถามเกี่ยวกับพระวินัยดังนี้ครับ
       อาหารที่ถูกปรุงเสร็จแล้วแต่สามารถเก็บไว้ได้หลายคืนโดยไม่เน่าเสีย เช่น ปลากระป๋อง ผักดอง ขนมปัง โยเกิร์ต นมเปรี้ยว ฯลฯ ที่ยังไม่หมดอายุตามที่ระบุไว้ รวมถึงอาหารที่ผู้คิดจะถวายพิจารณาแล้ว ไม่ขุ่นเขืองใจ   ไม่ลังเลสงสัย   ว่าอาหารบูดเน่า เช่น ผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้ดอง (ไม่มีวันหมดอายุบอก) ฯลฯ   สามารถถวายแด่ภิกษุได้อย่างไม่ผิดพระวินัยหรือไม่ครับ
 
กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาตอบคำถามครับ

คำตอบ
     พระวินัยบัญญัติให้ภิกษุรับเก็บไว้และฉันได้ดังนี้
     ๑. ปลากระป๋อง ผักดอง ขนม ผลไม้ ฯลฯ สามารถรับประเคนและฉันได้ตั้งแต่ช่วงเช้าถึงเที่ยงวัน
     ๒. น้ำผลไม้ที่ทรงอนุญาต ภิกษุสามารถรับประทานได้ตั้งแต่ช่วงเช้าถึงเที่ยงวัน และเก็บไว้ได้ชั่ววันหนึ่งกับคืนหนึ่ง
     ๓. ยารักษาโรค น้ำผึ้ง นมเปรี้ยว น้ำอ้อยงบ ฯลฯ ภิกษุสามารถรับประเคนได้ตั้งแต่ช่วงเช้าถึงเที่ยงวัน และเก็บไว้ได้ไม่เกินเจ็ดวัน
     ๔. ยารักษาโรค หรือของที่เป็นส่วนของยารักษาโรค ภิกษุสามารถรับประเคนได้ตั้งแต่ช่วงเช้าถึงเที่ยงวัน และเก็บไว้ได้ไม่จำกัดเวลา

     ในฐานะที่เป็นฆราวาส รู้เรื่องเหล่านี้ไว้บ้างก็จะเป็นประโยชน์ในการนำของไปถวายพระ
  

1767.
กราบเรียน อาจารย์สนอง วรอุไร ค่ะ

     หนูได้ติดตามการบรรยายธรรมะของอาจารย์ที่จัดโดย คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ ชมรมสารธรรมล้านนา ณ หอธรรมทัศน์ ตึกสงฆ์   แต่ไม่ได้ไปทุกครั้งเนื่องจากต้องทำงานค่ะ และได้เปิดเข้าชมเว็ปไซต์ชมรมกัลยาณธรรมเป็นระยะๆค่ะ ได้เข้าไปอ่านในหัวข้อสนทนาภาษาธรรมเป็นส่วนใหญ่ เคยคิดว่าอยากจะส่งข้อคำถามไปยังอาจารย์แต่ก็ได้แต่คิด คิด ไม่ลงมือทำสักที เพราะเกรงใจอาจารย์และมีข้อความเขียนไว้ว่า   ก่อนส่งคำถาม กรุณาอ่าน หรือค้นหาคำถาม คำตอบก่อน ขณะนี้มีคำถาม คำตอบ มากกว่า 3000 ข้อให้ท่านได้อ่าน น่าจะมีคำตอบที่ตรงใจอยู่บ้าง ก็เลยคิดว่าค้นหาคำตอบไปก่อน ทำให้ได้ความรู้ ความเข้าใจ มากขึ้นค่ะ แต่สุดท้ายในครั้งนี้มีความคับข้องใจ ความไม่สบายใจ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากมาย ทำให้หนูนึกถึงอาจารย์เป็นคนแรกต้องการสอบถามอาจารย์ในหลายๆเรื่องค่ะ (แต่นึกถึงอาจารย์รองลงมาจากคุณพ่อ-คุณแม่นะคะ คิดถึงท่านก่อนอันดับแรก แต่หนูกลัวว่าท่านจะทุกข์ใจไปกับหนู เมื่อหนูไปปรึกษาเล่าเรื่องไม่สบายใจให้ฟัง กลัวทำบาปกับพ่อ-แม่ ที่ทำให้ท่านทุกข์ใจในเรื่องของตัวเรา)

     มีข้อคำถามดังนี้ค่ะอาจารย์
      ๑. หัวหน้ามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปค่ะ จากหนูเข้ามาทำงานได้ 14 ปี จะมีช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมาท่านดูเหมือนไม่สนใจในการทำงานเท่าที่ควร มีช่วยเหลือลูกน้องบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่จะมีกิจกรรมของท่านค่ะคือ การเล่นหุ้น (ขณะทำงาน ก็ใช้เวลาในการเข้าอินเทอร์เน็ต เป็นระยะๆ) เป็นส่วนใหญ่ ดูเหมือนไม่สนใจเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นภายในที่ทำงานค่ะ ลูกน้องจะนินทาลับหลัง ว่าให้ลับหลัง ดูเหมือนท่านก็ไม่สนใจไม่รับรู้ใดๆทั้งสิ้น   ท่านมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปมากหลังจากที่มีการเปลี่ยนศาสนาค่ะ การทำบุญไม่ต้องไปถามท่านค่ะท่านไม่ทำมันผิดกฏศาสนาท่าน บาปบุญ ชาตินี้ชาติหน้า เป็นเรื่องงมงาย หนูได้ยินแล้วทุกข์ใจค่ะว่าในบั้นปลายชีวิตท่านจะเป็นอย่างไร ตอนที่หนูเข้ามาทำงานใหม่ๆ และช่วงก่อนที่ท่านจะเปลี่ยนศาสนาท่านน่ารัก ช่วยเหลือลูกน้อง เฮฮาไปเที่ยวด้วยกัน แต่พอเปลี่ยนศาสนาท่านก็เปลี่ยนไปค่ะ ดูเฉยๆ นิ่งๆ เงียบๆ แต่บางวันอารมณ์ดี บางวันอารมณ์ไม่ดี หนูก็คิดในทางที่ดีว่าท่านอาจอยู่ในช่วงวัยทอง อารมณ์ปรวนแปร อาจารย์คะหัวหน้าของหนูมีคุณสมบัติของการเป็นหัวหน้าครบหรือไม่คะ และหนูควรทำตัวอย่างไรกับพฤติกรรมของหัวหน้า (วางเฉย , มองไว้เป็นครู ฯลฯ)

     ๒. ในบางครั้งได้ยินพี่ๆที่ทำงานนินทาหัวหน้า มีการใช้คำพูดที่ไม่สุภาพด้วย และไม่มีความเคารพเลย ฟังจากคำพูดของเขา (หนูคิดว่าถึงหัวหน้าจะประพฤติ ปฏิบัติ อย่างไร แต่เราในฐานะลูกน้องควรให้ความเคารพบ้าง ไม่ใช่พูดจาว่าร้าย นินทา ท่าน) โดยพี่คนนี้ปกติเขาจะเป็นคนที่พูดเสียงดัง ชอบพูดประชดประชัน ชอบทำหน้าตาเข้ม ดุ เวลาถามอะไร   บางครั้งก็ใช้สรรพนามเรียกตัวเอง เรียกคนอื่นโดยใช้ภาษาพ่อขุนรามคำแหงก็มีค่ะ เขาจะบอกว่าพูดอย่างนี้แหละจริงใจ ไม่ตอแหล เหมือนใครบางคน อารมณ์ของเขาบางครั้งดีบางครั้งไม่ดี ปนกันไปจนทำให้หนูสับสนและเกิดอาการเหนื่อยใจค่ะอาจารย์ ว่าทำไปหนอชีวิตเราต้องเจอกับอุปสรรคมากมายให้ต้องปรับตัว บางที่เหนื่อยกับการทำงานยังต้องเหนื่อยกับผู้ร่วมงานอีก จนทำให้ครั้งหนึ่งหนูตัดสินใจจะลาออกจากที่แห่งนี้ หนูเครียดมากๆค่ะอาจารย์ แต่พอได้โทรศัพท์คุยกับเพื่อน คุยกับพี่ที่เป็นญาติกัน ทำให้อาการเครียดคลายลงบ้าง อาจารย์คะหนูควรทำอะไรบ้างที่จะทำให้อยู่ห่างจากเรื่องพวกนี้ หนูทำสมาธินะคะแต่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้หนูคิดว่านี่เป็นการทดสอบจิตใจของหนูหรือเปล่า ว่าจิตใจมีความมั่นคงขนาดไหน

     ๓. จากพฤติกรรมของตัวเองจะเป็นคนไม่ชอบนินทาใคร เก็บความลับของคนอื่น จึงทำให้มีแต่คนมานั่งคุยด้วย มานั่งเล่าเรื่องคนอื่นให้ฟัง ทำให้มีแต่เรื่องอยู่ในหัวตลอด จนส่งผลให้หนูมึนตื้อนะคะในบางครั้ง อยากให้อาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะว่าควรทำอย่างไรดีในการปฏิเสธ ในการรับฟัง หนูอยากเดินหนี อยากบอกว่าไม่อยากฟัง แต่กลัวทำให้เขาโกรธอีก

     ๔. ขอทราบหลักการทำสมาธิจากอาจารย์ด้วยค่ะ จากที่อาจารย์ทำมา การนั่งของหนูก็ใช้วิธีการท่อง พุท-โธ ไปตลอดค่ะ มีบางคนก็แนะนำหนูว่าให้ตามลมหายใจ

     ๕.การนั่งสมาธิหนูเคยนั่งแล้วรู้สึกตัวว่างๆ ลอยๆ เหมือนตัวมีครึ่งเดียวอยู่บริเวณหน้าอก ลักษณะนี้คือ อาการอะไรคะ หรือว่าคือการคิดไปเองว่าตัวลอยๆเบาๆ

     ๖. อาจารย์คะอาจารย์อยู่ที่กรุงเทพหรือว่าเชียงใหม่คะ ถ้าอาจารย์อยู่เชียงใหม่ หนูภาวนาขอให้บุญกุศลที่หนูได้ทำมาขอให้หนูได้พบกับอาจารย์เพราะว่าหนูต้องการคุยกับอาจารย์มากๆค่ะ

          กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
     (๑) คุณสมบัติของการเป็นหัวหน้าที่ดียังทำได้ไม่ครบ เช่น อารมณ์ไม่ดีย่อมทำให้เกิดมนุษยสัมพันธ์ที่ไม่ดี มีความเห็นผิดไปจากความเป็นจริงแท้ ย่อมนำปัญหามาสู่ชีวิต ยังเอาเวลาของหน่วยงาน ไปเล่นหุ้นให้กับตัวเอง เรียกว่า ประพฤติคอร์รัปชั่นเวลาของหน่วยงาน ฯลฯ

     ดังนั้นในฐานะของผู้ใต้บังคับบัญชา ควรเอาหัวหน้าเป็นครูที่ไม่ดี สอนใจตัวเองว่า เราจะไม่ประพฤติเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นเช่นเขา

    (๒) ลูกน้องที่ดีต้องประพฤติจริยธรรมให้ถูกตรงดังนี้ รู้หน้าที่และรับผิดชอบต่อหน้าที่ สามัคคีกลมเกลียว ไม่ทำตนให้เสื่อมเสีย มีความขยันทำงานให้แล้วเสร็จ มีความอดทนต่องานที่ยากลำบาก อดทนต่อความตรากตรำในงาน และอดทนต่อความเจ็บใจที่มาจากบุคคลรอบข้าง และสุดท้ายต้องค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ

     คนโง่เอากิเลสของคนอื่น มาทับถมใจตัวเองให้เศร้าหมอง ซ้ำยังเสียค่าโทรศัพท์ส่งต่อกิเลสไปให้คนอื่น ( ขออภัยที่พูดตรง โปรดยกโทษให้ด้วย ) ตรงกันข้าม คนฉลาดเอากิเลสของคนอื่นมาเป็นครูที่ไม่ดีสอนใจตัวเอง

    (๓) การอยู่ใกล้และพูดคุยในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์กับชีวิต ผู้ฉลาดนิยมรับฟังและไม่สานต่ออสาระนั้นให้มีความสำคัญยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้รู้ยังได้เจริญเมตตา ด้วยการให้อภัยเป็นทานต่อทุกสิ่งที่เป็นเหตุทำให้เกิดความขัดใจ ผู้รู้จึงมีอารมณ์สงบและเย็น

    (๔) อดีตผู้ตอบปัญหาพัฒนาจิตด้วยการกำหนด พองหนอ - ยุบหนอ ปัจจุบันเจริญพละ ๕ อยู่ทุกขณะตื่น

    (๕) เป็นวิปัสสนูปกิเลสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ปีติ

    (๖) หากประสงค์จะพูดคุย สามารถโทรศัพท์มาที่ 053-274-964 เวลา 06.00 น. ขออภัยไม่รับแขกที่บ้าน เพราะไม่มีเวลา เวลาส่วนใหญ่ต้องทำงานให้มวลชน
  

1766.
สงสัยว่าผิดไหมครับ

   ผมได้ซองกฐินจากวัดหนึ่ง...ซึ่งอยากจะช่วยทางวัดนำปัจจัยไปสร้างกุฏิสงฆ์บ้าง ศาลาปฏิบัติธรรมบ้างฯ โดยแต่ละคนที่ร่วมทำบุญก็มีศรัทธาหลายแบบ เช่น ให้เป็นเหรียญบ้าง เป็นแบงค์ย่อยบ้าง ซึ่งผมจะนับว่าได้เป็นเงินเท่าไหร่   แล้วผมก็เอาแบงค์ 1000 หรือ 500 ของผมเอง  
ใส่ไปให้ครบตามจำนวนเงิน    บางครั้งถ้าขาดเศษไม่กี่บาทผมก็จะเอาเงินตัวเองใส่ลงไปให้ครบ    ผมสงสัยว่าผมจะทำบาปไหมที่ไปเปลี่ยนเศษย่อยๆของเงินคนอื่นให้เป็นเงิน
เต็ม แล้วเงินที่คนเขาทำบุญผมก็นำไปใช้ปกติ     เหตุที่แบบนี้เพราะเวลาใส่ซองถวายพระมันสะดวกดีครับไม่หนัก และซองก็ไม่ปริ ไม่ขาดด้วยครับ
(ผมได้ทำไปแล้วครับ รู้สึกแปลกๆ   เลยถามอาจารย์ เพื่อความแน่ใจ   ถ้าผิดจะได้ไม่ทำอีกครับ)
 
ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
     สาระของการบริจาคอยู่ที่จำนวนของเงิน สาระมิได้อยู่ที่กระดาษและเหรียญที่ถูกสมมุติขึ้น ดังนั้นสิ่งที่บอกเล่าไปไม่ถือเป็นบาป ซ้ำยังได้บุญด้วยการเติมจำนวนเงินให้เต็มอีกด้วย … . สาธุ
  

1765.
เรียน ท่านดร.สนอง วรอุไร

     ผมได้ตั้งสัจจะอธิฐานไว้ ในวันทำบุญวางศิลาฤกษ์ จะถวายเงินซื้อไม้สร้างศาลาวิปัสสนาเป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท มีการประกาศบอกบุญนี้ให้กับทุกท่าน ที่มาร่วมงานทราบทั่วกัน

     หลังจากงานเสร็จผมก็ยังได้รับเงินจากทางวัดเพิ่มอีก 100,000 บาทและยังได้เพิ่มเงินส่วนตัวเข้าไปอีก  21,000 บาท รวมทั้งสิ้น  321,000 บาท นำไปจ่ายให้กับพ่อค้าไม้ตามรายการสั่งซื้อของทางวัด ปรากฏว่าผู้ขายมีปัญหาขัดข้องต่างๆ และไม่นำไม้มาให้และยังได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ออสเตเรีย ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมก็ประสบปัญหาเรื่องงานและการเงินติดขัดอย่างมาก จึงไม่สามารถหาเงินมาชดใช้ หรือนำไปซื้อไม้จากแหล่งอื่นได้เลย แต่ก็ได้เล่าเรื่องราวความเป็นไปทั้งหมด ให้พระอาจารย์ฯ ผู้เป็นเจ้าอาวาสรับทราบ และขออโหสิกรรมเป็นระยะๆมาตลอด

     มาบัดนี้เวลาผ่านไปร่วมปี ผมน้อมเอาการทานเจมา 6 ปี สวดมนต์และสวดธรรมจักรฯทุกวันอธิฐานไปว่า กุศลผลบุญอันเกิดขึ้นจากการนี้ ขอเป็นปัจจัยให้องค์พรหมเทพเทวดาทั่วทุกสากลพิภพ ได้อนุโมทนา เมื่ออนุโมทนาแล้วขอให้ดลจิตใจให้ผู้ขายไม้รายนี้ เอาเงินมาคืนทางวัดด้วยเถิด วันนี้ได้รับการติดต่อ และนำเงินโอนเข้าธ.ให้ 150,000 บาท ผมดีใจมาก และได้นำเงินทั้งหมดถวายให้ท่านเจ้าอาวาสทันที

     อยากถามท่าน ดร.สนอง วรอุไร ว่าทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ผมบาปมากมั่ย ? หรือผมได้บุญบ้างหรือไม่ ? หากบาปขอน้อมรับ และชดใช้แต่เพียงผู้เดียว หากเป็นบุญแล้ว ขอนำถวายแด่องค์พรหมเทพเทวดา ผู้มีพระคุณ เพื่อนมนุษย์ทุกท่าน เจ้ากรรมนายเวร พญามารทั้งหลาย ขออุทิศนำส่งให้ญาติและผู้ไม่ใช่ญาติ วิญญาณสัมภะเวสี เปรต อสุรกายสัตว์นรก ขอให้ทุกท่านรับทราบและได้อนุโมทนา ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นสัจจะความจริง อจ.บอกว่าน้อมเอามาอธิฐานเป็นบารมีได้ ผมก็ขอให้เป็นปัจจัยได้ประพฤติปฏิบัติถูกตรงตามธรรมในกาลต่อไป ขอท่านได้เป็นพยาน และร่วมอนุโมทนาในการกล่าวคำสัตย์นี้ด้วยเถิด

คำตอบ
     สิ่งที่ผู้ถามปัญหากระทำมีเจตนาเป็นบุญ แต่ผลที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามเจตนา ถือว่าเป็นหนี้เวรกรรมที่ผู้ถามปัญหาต้องชดใช้ ดังนั้นงานนี้จึงได้ทั้งบุญและชดใช้หนี้บาป

     ผู้ใดประพฤติตนให้มีศีลและมีธรรม ผู้นั้นมีเทวดาคุ้มรักษา และผู้ใดเอาธรรมวินัยในพุทธศาสนา มาสถิตอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น ผู้นั้นย่อมมีชีวิตไม่วิบัติ ฉะนั้นพึงเอาสองสิ่งนั้นมาคุ้มครองใจได้แล้ว ความสวัสดีย่อมเกิดขึ้นกับชีวิต
  

1764.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ที่เมตตาสละเวลาตอบปัญหา

บาปจากเคยทำอาบัติสังฆาทิเสส ตอนบวช หากสำนึกผิดจริงๆ และตั้งใจปฏิบัติธรรม จะมีโอกาสรอดพ้นจากอบายยภูมิและเข้าถึงธรรมได้หรือป่าว

ผมได้บวชพระ ช่วงเวลานั้นไม่ซาบซึ่งในพระธรรมเท่าไหร่นัก ได้ผิดศิล เคยทำอาบัติสังฆาทิเสสตอนบวช แล้ว ณ ปัจจุบันผมมีความไม่สบายใจมาก เนื่องจากปัจจุบันผมพยายามรักษาศิล 5 แต่ติดอยู่ตรงที่เคยทำผิดศิลข้อดังกล่าวซึ่งคิดว่าร้ายแรงมากแต่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ ไม่ทราบว่าผมควรทำอย่างไรครับ ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
     จะรอดพ้นจากบาปและเข้าถึงธรรมได้ ต้องนำตัวเองเข้าอยู่กรรม ( เข้าปริวาส ) เท่าจำนวนวันที่ปกปิดอาบัติ
  

1763.
โทษของอบายมุข 6 ที่ยังไม่เข้าใจ
กราบเรียนท่าน อาจารย์ ดร.สนอง ที่เคราพ

อบายมุข 6

  มีทั้ง สินดังนี้

1. การชอบเที่ยวกลางคืน 2. การชอบเที่ยวดูการละเล่น 3. การเป็นนักเลงสุรา 4. การเป็นนักเลงการพนัน 5. การเกียจคร้านทำการงาน 6. การคบคนชั่วเป็นมิตร

   แต่ที่ผมสงสัย คือ การดูการละเล่น และ   เที่ยวกลางคืน   จะให้โทษเราอย่างไรครับ ขอบคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
     ดูการเล่นและเที่ยวกลางคืน เป็นเหตุทำให้จิตเศร้าหมองด้วยกิเลสกาม เป็นการปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่เกิดสาระในทางธรรมกับชีวิต และยังทำให้สุขภาพกายใจเสื่อมด้วยการปรุงอารมณ์ที่ไม่จำเป็น
  

1762.
กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

     หนูเริ่มเข้ารับกรรมฐานโดยปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานสี่แบบพอง ยุบ แบบเข้มงวด ด้วยความที่ศึกษามาน้อย ปฏิบัติแบบไม่เข้าใจ จิตไม่วางเป็นอุเบกขา ทำให้เกิดความเครียด และคิดไม่ดีต่อครูบาอาจารย์ เกิดอาการปวดหัว แล้วก็ไปเพ่งจ้องอาการดังกล่าวด้วยจิตที่เป็นกิเลส ยาวนานถึง 5 วันจนรู้สึกมึนไปหมด และสุดท้ายจึงไม่กล้านั่งต่อ   หลังออกจากกรรมฐานแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ อาการปวดหัวและรู้สึกเย็นในกายจึงหายไป จนผ่านไป 4 เดือน จึงได้ไปเข้ารับกรรมฐานอีกครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นแนว อาณาปานสติ ปรากฏว่า อาการปวดหัวเกิดขึ้นในวันที่ 3 และเป็นต่อไปจนออกกรรมฐาน

อยากเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

    1. จิตหนูยังไม่เป็นสมาธิ และยังไม่เป็นอุเบกขาใช่ไหมค่ะ หนูอยากวางรากฐานให้จิตมีสติ และ เป็นสมาธิ เพื่อใช้เป็นบาทฐานในการพัฒนาจิตต่อไป อาจารย์พอจะแนะนำแนวทางที่ตรงกับจริตของหนูได้ไหมค่ะ ว่าที่ถูกตรงคือ หนูควรเริ่มต้นจากอะไร และควรไปพบครูบาอาจารย์ที่จะช่วยแนะนำแนวทางได้ที่ไหน

   2. อาการปวดหัวดังกล่าว จะมีผลต่อการพัฒนาจิตของหนูไหมค่ะ คือที่หนูกลัวที่สุด คือ จะเป็นอุปสรรคในการพัฒนาจิต หากหนูได้เคยล่วงเกินอาจารย์ทั้งทางกาย วาจา หรือใจ จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี  ได้โปรดอาจารย์อโหสิกรรมให้หนูด้วย

   สุดท้ายนี้ กราบขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ได้โปรดดลบันดาลให้อาจารย์ได้เจริญทั้งทางโลก และทางธรรมค่ะ

     ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

คำตอบ
     (๑) จิตยังไม่เป็นสมาธิ และยังเข้าไม่ถึงความเป็นอุเบกขา ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาเอาศีลลงคุมให้ถึงใจ เลือกบทกรรมฐานที่ถูกกับจริต คือกำหนดความว่างของอาการหาที่สิ้นสุดมิได้เป็นอารมณ์ที่ใช้ในการพัฒนาจิต คือเอาจิตจดจ่ออยู่กับอากาศที่ว่างเปล่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้

     (๒) ผู้ถามปัญหาต้องนำ ดอกไม้ ธูป เทียน ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วสวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย กล่าววาจาขอขมาที่เคยล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และต้องรักษาสัจจะไม่ประพฤติล่วงเกินให้เกิดซ้ำขึ้นอีก
  

1761.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพอย่างสูง
 
     หนูขอความเมตตาจากอาจารย์ช่วยชี้แนะข้อสงสัยนี้ด้วยค่ะ
การนำเงินบริจาคของโครงการวิปัสสนากรรมฐานที่เหลือจากโครงการไปใช้ทำบุญอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการอบรมวิปัสสนากรรมฐาน เช่น เอาไปซื้อที่ดินสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรม เอาไปขุดสระในวัด หรือสร้าง/ซ่อมวัด สามารถทำได้ไหม จะผิดศีลไหมคะ ถ้าผิดจะเอาเงินที่เหลือนี้ไปทำอะไรได้คะ เอาไปสมทบในการจัดอบรมโครงการวิปัสสนากรรมฐานครั้งต่อๆ ไป จะได้ไหมคะ
 
     กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     เงินที่มีผู้บริจาคให้กับการปฏิบัติธรรม หากมีเงินเหลือแล้วนำไปซื้อที่ดินสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรม เอาไปใช้ขุดสระน้ำในวัด หรือซ่อมสร้างวัด ถือว่าเป็นการย้ายฐานเจดีย์ ผิดเจตนารมณ์ของผู้บริจาค มีอานิสงส์เป็นบาป ตรงกันข้าม หากนำเงินดังกล่าวไปสมทบการปฏิบัติธรรมในครั้งต่อไป ไม่ถือเป็นบาป
  

1760.
เรียนถามอาจารย์ เรื่องการซื้อลอตเตอรี่

   เคยฟังบรรยายของอาจารย์เรื่องซื้อลอตเตอรี่แล้วระวังตกนรกน่ะ เงินที่ได้จากการซื้อลอตเตอรี่   เป็นเงินบาปหรือไม่ ในเมื่อมันถูกกฎหมาย แล้วถ้าเอาเงินที่ได้จากการถูกลอตเตอรี่ ไปทำบุญ ทำทานต่างๆ จะได้บุญหรือไม่

คำตอบ
     สิ่งใดประพฤติแล้วไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดธรรม ผลที่เกิดจากการประพฤตินั้นเป็นบาป ล๊อตเตอรี่เป็นอบายมุข ผู้ใดเข้าไปข้องเกี่ยวกับอบายมุข ย่อมเปิดทางแห่งความพินาศให้เกิดขึ้นกับชีวิต ทรัพย์ที่ได้มาจากธุรกิจที่เป็นอบายมุข ย่อมเป็นทรัพย์ร้อน ทรัพย์ไม่บริสุทธิ์ เมื่อนำทรัพย์ที่ไม่บริสุทธิ์ไปทำบุญ อานิสงส์ของบุญที่เกิดขึ้นย่อมไม่บริสุทธิ์ตามไปด้วย
  

1759.
กราบเรียนถาม ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่เคารพ

   บ้านญาติได้ประกาศขายที่ดินผืนหนึ่ง ซึ่งได้มีผู้สนใจมาขอซื้อแล้วครับ แต่คนในจังหวัดได้ร่ำลือกันหนาหูว่าผู้ซื้อผู้นี้ร่ำรวยขึ้นมาเร็วมากจากธุรกิจมืด
ซึ่งอาจเป็นยาเสพติด และเคยถูกตำรวจจับแต่พ้นข้อกล่าวหาเพราะติดสินบทตำรวจ
กรณีนี้เราได้รู้เห็นพฤติกรรมของผู้ซื้อว่ารายได้ของเขามาจากธุรกิจผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมเช่นนี้ หากเราขายที่ดินให้และรับเงินจากเขา ในทางธรรมจะถือว่าผิดศีล ผิดธรรมหรือไม่ครับ หากเชื่อว่าบุคคลผู้นี้เป็นอาชญากรจริงๆ
เจ้าของที่ดินนั้นมีความคิดหลากหลาย ทางหนึ่งคือไม่บาป เพราะไม่ได้รู้เห็นกับที่มาของเงินนี้ เพียงแต่ขายของให้ ส่วนอีกใจหนึ่งก็คือพอได้ิยินข่าวลืออย่างนี้ ก็ทำให้จิตเศร้าหมองที่ต้องมาเกี่ยวข้องกับบุคคลคนนี้ครับ

   ขอความกรุณาท่านอาจารย์สงเคราะห์ให้คำแนะนำที่เหมาะสมด้วยครับ ทางญาตินั้นเป็นผู้ประกอบอาชีพสุจริต รักษาศีล และปฎิบัติธรรม แต่ยังไม่มีความรู้แตกฉานมากนัก

   ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ในความอนุเคราะห์ ขอผลบุญกุศลใดๆ ที่ได้กระทำไว้ดีแล้วจงสำเร็จกับท่านอาจารย์ด้วยครับ

     ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
     บาป คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ หากทำพฤติกรรมใดแล้ว ไม่เกิดอารมณ์เช่นนี้ขึ้นกับใจ ไม่ถือว่าเป็นบาป ตรงกันข้าม หากรู้ว่าเงินที่ได้มาเป็นเงินร้อน ( ไม่บริสุทธิ์ ) และผู้ถามปัญหายังนำตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยว ในทางธรรมถือว่าเป็นผู้ร่วมกระทำอกุศลกรรมให้เกิดขึ้น เมื่อใดที่บาปให้ผล ผู้ร่วมกระทำอกุศลกรรม ต้องได้รับวิบากไม่ดีนั้นด้วย

    เรื่องข่าวลือนั้น พระพุทธโคดมมิให้ปลงใจเชื่อตามหลักกาลามสูตร แต่ให้เชื่อในเหตุผลที่ถูกต้องชอบธรรม
   

1758.
จิตฟุ้งซ่านครับ
สวัสดีครับ อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

  ผมเป็นคนนึงที่เพิ่งจะมาหัดนั่งสมาธิครับ ปัญหาก็มีอยู่ว่า

1. เมื่อนั่งตามดูลมหายใจไปได้ซักผม ใจมันก็มักจะลืม คิดไปถึงเรื่องอื่นๆทั้งในอดีตและในอนาคต ลืมที่จะมาตามดูตามรู้ลมหายใจของตัวเองอยู่เรื่อยๆเลยน่ะครับ เราพอจะมีวิธีฝึกตัวเองให้จับอยู่ที่ลมหายใจให้ได้ตลอดยังไงดีครับ  หรือว่าสิ่งที่ผมทำนั้นยังไม่ถูกต้องครับ

2. ผมมักจะฝึกนั่งสมาธิก่อนนอนครับ แล้วอยากจะรู้ว่าเมื่อเลิกจากการทำสมาธิแล้วสมควรที่จะนอนเลยหรือเปล่าครับ เพราะบางทีเมื่อออกจากสมาธิแล้วผมก็มักจะทำอย่างอื่นต่อบ้างน่ะครับเช่นดูหนังบ้างน่ะครับ

ผมขอขอบคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
     (๑) ผู้ใดมีศีล ๕ คุมใจ และมีสัจจะคุมใจอยู่ขณะตื่น กายย่อมศักดิ์สิทธิ์ จิตย่อมศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเร่งความเพียร เอาใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก อยู่เสมอ จิตย่อมเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์ คือตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย ฉะนั้นผู้ถามปัญหาพึงดูตัวเองว่า เมื่อใดที่เหตุปัจจัยทั้งสามถึงพร้อม สติย่อมเกิดขึ้น

     (๒) ผู้หวังพัฒนาจิต (สมถกรรมฐาน) ให้เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ต้องสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์ต้องเจริญสมถภาวนา หลังเจริญสมถภาวนาต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และก่อนนอนต้องไม่เพิ่มกิเลสกาม (ดูหนัง , ดูละคร) ให้เกิดขึ้นกับใจ หากประพฤติได้ถูกตรงเช่นนี้ จิตย่อมเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย
  

1757.
หนู มีเรื่องอยากถามค่ะ

   หนูยอมรับว่า ปีที่แล้ว หนูได้ทำแท้งเพราะหนูโดนข่มขืน แต่ทางบ้านไม่ทราบเรื่อง และหนูได้ ทำบุญ ถวายสังฆทาน พระพุทรูป ปล่อยปลา และ ทำบุญที่วัด เรื่อยๆ ทุกวันพระ ที่วัดแถวบ้าน หนู รู้ สึกผิดอย่างมากค่ะ แต่ก็ ไม่ได้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับหนู แต่ว่า เมื่อ เดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา

  หนูได้ไป ปฎิบัติธรรม ที่วัดแถวบ้าน เป็นพิธีแก้กรรม ของชาติที่แล้วที่หนูทำบาปไว้ พระอาจารย์ท่านบอกว่า หนูไปโกงเงินเค้าเมื่อชาติที่แล้ว เลยให้มาปฎิบัติธรรมเพื่อขอ อโหสิกรรม ต่อเจ้ากรรม นายเวร ของชาติที่แล้ว เป็นเวลา 3 วัน ค่ะ วันสุดท้าย ก่อนจะลาศึกจากการบวช ทางวัด ให้ จุดธูป 9 ดอก และ ไป ท่องคำ ขอขมาหรืออะไรสักอย่าง ที่ทางวัดได้ให้ไว้ ตั้งแต่วันแรกที่ไปบวช พอหนูปักธูปลงดิน กลางแจ้ง แค่แป๊ปเดี่ยว หนูมีอาการตัวเย็นเหมือนน้ำแข็ง และ สักพัก ศรีษะหนูรู้สึกมันหนักไปข้างหนึ่ง แล้ว มันก็ เบา มากๆ หนูอยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไรค่ะ

   และ หลังจากนั้น มา ตัวหนู มีความรู้สึก ขนลุก ตลอด ทั้งที่ไม่ได้นั่งสมาธิ และเมื่อ สี่ ห้า วัน ที่ผ่าน มา ช่วงเช้า หนูไปช่วยแม่ขายของ แม่ หนูเค้าไปจุดธูปเรียก น้องกุมาร ที่วัด มาช่วยขาย แต่ว่า ทำไม ตัวหนู รู้สึก ขนลุก และอึกอัด เหมือนหายใจไม่เต็มปอดค่ะ กลับมาบ้าน อาการ ขนลุก ก็ยังมี อยู่แต่ หายใจโล่งขึ้น เป็นเพราะอะไรค่ะ  

   และข้อสุดท้ายที่หนูอยากทราบคือ หนูอยากส่งดวงวิญญาณของลูกหนูไปเกิดในชาติภพ ที่ ดีๆ หนูจะทำอย่างไรดีค่ะ หนูได้ตั้งชื่อ ลูกว่า น้องพุทธ เพราะว่า วันที่หนู ไปเอาเค้าออกเป็นวัน นั้น ตอนเช้า หนูเลยไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรดี เวลาหนูทำบุญ หนูก็เรียกชื่อ น้องพุทธให้มารับ ส่วนบุญส่วนกุศล หนูอยากรู้ว่า น้องพทธจะได้รับไหมค่ะ

   หนูเกิดวันอังคารที่ 6 มกราคม 2530 เวลา 8.00 น. ปีขาล   ส่วน น้องพุทธ หนูจะเอาวันที่หนูเอาเค้าออกเป็นวันเกิดของน้อง คือ วัน พุทธที่ 8 ธันวาคม 2553 หนูจำเวลาไม่ได้แต่ว่า อยู่ในช่วงไม่เกิน เที่ยงวัน ค่ะ ปีขาล   ไม่ทราบว่า อาจารย์จะพอ ช่วย หนูได้ไหม ค่ะ หนูทุกข์ใจมากกับเรื่อง นี้ ค่ะ  

   ขอ ขอบคุณ อาจารย์ นะค่ะ ที่คอยช่วยตอบปัญหา ต่างๆ ที่ คนอย่างพวกหนูไม่เข้าใจ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ  

คำตอบ
     ผู้รู้บอกว่า คนที่รู้ว่า ตัวเองเคยทำไม่ดีมาก่อน คนนั้นมีโอกาสเป็นคนดีได้ในวันข้างหน้า แต่ต้องปฏิบัติเหตุให้ถูกตรง การอุทิศบุญกุศลให้กับเด็กที่ถูกทำแท้ง ด้วยการถวายสังฆทาน ด้วยการปล่อยปลา หรือไปทำบุญที่วัดทุกวันพระ เป็นสิ่งดีที่ควรทำ แต่สิ่งดีที่สุด การอุทิศบุญกุศลที่เกิดจากเหตุดังกล่าว ยังไม่ใหญ่เท่ากับบุญกุศลที่เกิดจากการนำตัวเองไปปฏิบัติธรรม เพราะบุญจากการปฏิบัติธรรมเป็นบุญใหญ่สุด เป็นบุญที่มีอานิสงส์มาก สามารถผลักดันจิตวิญญาณให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล หรือเข้านิพพานได้ และยิ่งเมื่อใกล้จบการปฏิบัติธรรมหากผู้ถามปัญหา ขอความเมตตาจากผู้เข้าร่วมปฏิบัติ ช่วยกันอุทิศบุญใหญ่ที่แต่ละคนมี ให้กับเด็กที่ถูกทำแท้งด้วยแล้ว การผูกพยาบาทหรือจองเวรจากเด็กฯ ย่อมถูกยกเลิกได้ง่าย

     อาการรู้สึกหนัก รู้สึกเบาที่ศีรษะ อาการขนลุก หายใจโล่ง รวมถึงความอยากรู้ว่า อุทิศบุญไปให้แล้ว เขาจะได้รับหรือไม่ มิได้เป็นเหตุทำให้ชีวิตพ้นไปจากความทุกข์ ฉะนั้นผู้ถามปัญหาไม่ควรเอาใจไปจดจ่ออยู่กับอารมณ์เหล่านั้น แต่ควรเอาใจจดจ่ออยู่กับบทมนต์ที่สวด เอาใจมาจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก จะได้บุญมากกว่า และไม่เป็นเหตุทำให้ความหลง ( โมหะ ) มีกำลังเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
  

1756.
กราบเรียนอาจารย์ค่ะ
 
หนูจะมีอาการจิตใจไม่ปกติ หากสวดมนต์ไหว้พระ นึกถึงพระ ก็จะต้องมีจิตนึกภาพ
หรือความคิดที่ไม่ดีแทรกขึ้นมาทันทีอย่างนี้หนูควรพยายามรักษาศีล 5
โดยไม่ควรสวดมนต์ไหว้พระ หรือทำสมาธิ เพราะหากยิ่งพยายามทำ อาจเป็น
การยิ่งบาปใช่หรือไม่คะ หรือหนูควรพยายามทำโดยไม่ใส่ใจความคิดนั้น
 
ขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะอาจารย์ ^ ^

คำตอบ 
      เรื่องที่บอกเล่าไป มีต้นเหตุมาจากผู้ถามปัญหาชอบคิดปรามาสกับผู้ทรงศีลมาก่อน แล้วความนึกคิดที่ไม่ดีเช่นนี้ ได้ถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิตเป็นอกุศลสัญญา เมื่อใดที่จิตเริ่มสงบ สติเริ่มมีกำลัง จึงไประลึกถึงข้อมูลที่เป็นอกุศลสัญญานั้น

     วิธีแก้ปัญหาในเรื่องนี้ ต้องนำดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ พระพุทธรูปที่มีคนกราบไหว้บุชากันมากๆ หรือพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือบรรจุพระธาตุของพุทธสาวก แล้วสวดมนต์บทบูชาคุณพระรัตนตรัย หลังจากเจริญสวดมนต์แล้วเสร็จ ต้องกล่าววาจาขอขมากรรมที่เคยล่วงเกินผู้ทรงศีล และต้องรักษาสัจจะไม่คิดล่วงเกินผู้ทรงศีลให้เกิดขึ้นอีก พร้อมทั้งมีศีล ๕ บริสุทธิ์คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ปัญหาที่บอกเล่าไปจึงจะยุติลง

     ส่วนวิธีแก้ปัญหาที่เสนอมานั้น เป็นการแก้ปัญหาที่ผิดทางและยิ่งจะเป็นการทำให้บาปมีพลังเพิ่มมากขึ้น
  

1755.
ขออนุญาตเรียนถามอาจารย์ค่ะ
 
     ต้องปฏิบัติตัวเช่นไร ที่จะทำให้เรามีอาชีพการงานที่มั่นคง ขณะนี้หนูมีปัญหาเรื่องอาชีพการงานมาก หนูและสามีประกอบอาชีพส่วนตัว ทำมาหลายอย่างต้องมีเหตุให้ถึงทางตัน และต้องเริ่มต้นใหม่ ขณะนี้ปัญหาของหนูคือหนูไม่รู้จะเริ่มทำอะไรใหม่ออกอาการคิดไม่ออก กลัวการเริ่มต้น และลงท้ายด้วยไปไม่ได้ และก็มีเงินเก็บที่จำกัด แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำ แต่หนูขาดความมั่นใจอย่างมาก   และก็ยังมีลูกสาวในวัยเรียนอีกด้วย ที่ผ่านมาหนูประกอบอาชีพสุจริต ในเวลาที่มีเงินทองใช้ ก็ทำบุญเสมอ ๆ กับมารดาหนูก็ตอบแทนโดยการให้สตางค์แม่ใช้ทุกเดือน ถึงไม่มาก แต่หนูก็ไม่เคยขาด หนูและสามีไม่เล่นการพนัน ไม่ดื่มเหล้า  (สามี มีดื่มแบบนาน ๆ ครั้ง   แต่ก็น้อยมากค่ะ) ไม่สูบบุหรี่ ไม่คดโกง ไม่ได้ประกอบอาชีพฆ่าสัตว์   ชีวิตครอบครัวด้านอื่น ๆ ถือว่ามีความสุขดีค่ะ
 
     ขออาจารย์ช่วยแนะนำหนูในการปฏิบัติตน เป็นแนวทางให้หนูสามารถลืมตาอ้าปาก มีอาชีพการงานที่มั่นคงได้ด้วยนะคะ
 
     ขอขอบพระคุณอาจารย์มาก และหากหนูได้มีการล่วงเกิน หรือถามคำถามที่อาจไม่เข้าท่าเข้าทาง ขอกราบขออภัยอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
 
     ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
     (๑) จากงานวิจัยของ ดร . โกลแมน พบว่า ผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต ใช้ปัญญาไอคิว (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) 20% และใช้ อีคิว (ความฉลาดทางอารมณ์) หรือคุณธรรม ถึง 80%

     (๒) ผู้รู้ในพุทธศาสนารู้ว่า ผู้มีดวงดี (ทาน + ศีล + ภาวนา) ย่อมประสบความสำเร็จในกิจทั้งปวง

     (๓) ผู้มีความศรัทธาในพุทธศาสนา เชื่อว่ากฎแห่งกรรมมีจริง ผู้ใดปรารถนารวยทรัพย์ ต้องให้ทรัพย์เป็นทาน

   ดังนั้น หากผู้ถามปัญหาทำเหตุให้ถูกตรงได้เมื่อใดแล้ว ความสมปรารถนาย่อมเกิดขึ้น
  

1754.
กราบเรียนถามอาจารย์สนอง   วรอุไร
 
หนูเริ่มสวดมนต์และฝึกนั่งสมาธิอย่างจริงจัง   หลายเดือนแล้ว แต่เป็นการฝึกเองที่บ้านเรียกว่ายังไม่มีครูอาจารย์ที่คอยแนะนำอย่างถูกต้อง ( ยังไม่เข้าใจ) แต่เมื่อได้ฟังอาจารย์พูดหลายๆที่แล้ว ก็เริ่มศรัทธาในการปฏิบัติของอาจารย์ค่ะ
 
คำถามคือ... เวลานั่งหนูใข้ คำภาวนา พุทธโธ ค่ะ หนูไม่ทราบว่า จิตกับสมองมันอันเดียวกัน
หรีอไม่ จิตเราอยู่ที่พุทธโธ ความรู้สึกมองที่ลมที่เข้าไปจนถึงท้อง จนออกจากท้องไปเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกัน มันมีภาพที่ผุดขึ้นเองในสมองเป็นภาพสถานที่ ภาพคน ฯลฯ   แต่เป็นแค่ภาพ แว้บๆ ไม่มีผูกเป็นเรื่องเพราะใจเรามันไม่ได้คิดถึง รู้ว่าใจมันก็อยู่กับลมหายใจเข้า-ออกอยู่    ไม่ทราบว่าหนูควรทำอย่างไร   หนูเข้าใจอะไรผิดหรือไม่
 
กราบขอบพระคุณค่ะ
  ผู้ยังไม่เกิดปัญญา

คำตอบ
     จิตเป็นกลุ่มของพลังงานชนิดหนึ่ง สมองเป็นกลุ่มของเซลล์ชนิดหนึ่ง ที่มารวมตัวกันเป็นก้อนอยู่ภายในกะโหลกศีรษะ จิตกับสมองจึงเป็นคนละส่วนกัน

     เมื่อใดที่จิตตกภวังค์ (หลับ) พลังงานจิตไม่มีการเกิด - ดับ แม้เซลล์สมองยังมีชีวิต ภาพก็ไม่อาจเกิดขึ้นกับสมองได้ แต่ขณะที่พลังงานจิตยังมีการเกิด - ดับอยู่ จึงสามารถรู้เห็นภาพที่ปรากฏขึ้นกับจิตได้ และด้วยเหตุที่พลังงานจิตมีการเกิด - ดับเร็วมาก เร็วจนกระทั่งระบบประสาทตามสัมผัสได้ไม่ทัน ปุถุชนจึงคิดเอาเองว่า จิตยังจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า - ออก ขณะที่ภาพนั้นเกิดขึ้น
  

1753.
นั่งสมาธิแล้วปวด

สวัสดีท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคราพ
 
     ผมมีข้อสงสัยอยากจะเรียนถามอาจารย์ ว่าผมนั่งสมาธิเป็นเวลา หนึ่งชั่วโมง สิบห้านาที ประมาณนั้น ก็เกิดอาการปวดที่ก้นก่อน ก็อดทนตามคำสอนของหลวงพ่อ จรัญ   ฐิตธัมโม ว่า ให้อดทนพร้อมกับนึกถึงคำของ อาจารย์ สนอง ด้วย ว่า ถ้าเลิกก็ไม่เห็นกฏไตรลักษณ์ ก็กำหนด ปวดหนอ แล้วก็นึกคำที่เป็นกำลังใจไปด้วยช่วงนั้น ให้รับอาการที่ปวดฝืนต่อไป สักพักก็ปวดที่ขาขวา ด้วยปวดมากจนรู้สึกว่าปวดจนขาและตัวสั่น ตอนที่อดกลั้น ก็ขอบารมีหลวงพ่อว่า ให้ข้าพเจ้าได้พิจราณาอาการนี้และผ่านพ้นไปได้สำเร็จ   อาการก็ปวดหนัก แต่ก็พอทนได้ ก็ฝืนต่อไป ยืดตัวให้ตรงขึ้น ยืดหนอๆๆ   ปวดหนักขึ้นอีกแต่ก็ยังทนได้ ก็ขอบารมีหลวงพ่อจรัญอีก เริ่มรับอาการนั้นได้ การสั่นก็หายไปแต่ยังปวดไม่เลิก ก็กำหนดต่อ ก็เลยนึกคำว่า เกิดขี้น ตั้งอยู่ ดับไป เอาจิตจับที่อาการปวดของขา ปวดหนอ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตอนนั้นจิตก็คิดพิจราณา เพื่อต้องการเห็นการเกิดดับของอาการที่เป็นอยู่ เมื่อกำหนดต่อไป ก็มีอาการชีพจรมาเต้นอยู่ตรงบริเวณหน้า แล้วก็สะเทือนตึบ แรกอาการที่จับการปวดอยู่ก็เกิดขึ้น สะเทือนตึบที่สอง ก็ปวดอยู่ พอตึบที่สาม หายไป ตรงก้นหายก่อน แล้วก็เกิดขึ้นอีก เหมือนเวลาปวดบาทแผลตุบ ตุบ ตุบ   ครั้งที่สาม อาการปวดก็หายไป ผมเลย กำหนดว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามจังหวะที่ได้สำผัส สักประมาณสี่ครั้งอาการปวดทั้งหมด ก็หายไป ผมก็เลยกำหนดว่า รู้หนอ ๆๆ ที่ลิ้นปี่   ได้ไม่นาน อาการปวด ก็กับมาอีก แต่ไม่ได้กำหนดต่อ เพราะจะเกินเวลามากไปลูกสาวยังไม่นอนด้วย    

     ที่เล่ามาทั้งหมด จะเรียนถามอาจารย์ว่า ที่ผมรู้สึกว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป   นั้นเป็นอุปาทาน หรือเปล่าครับ ขอให้อาจารย์ชี้แนวทางและคำขยายความให้หน่อยครับ   ขอบพระคุณล่วงหน้าเป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
      จะรู้เห็นได้ถูกตรงตามความเป็นจริงว่า อาการปวดที่ก้น ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ได้ ผู้นั้นต้องพัฒนาจิตจนเข้าถึงสมาธิจวนแน่วแน่ให้ได้ก่อน หากจิตยังเป็นสมาธิประเดี๋ยวประด๋าว ต้องกำหนดว่า “ปวดหนอๆๆๆๆ” ไปเอยๆ จนกว่าอารมณ์ปวดที่ก้นจะหายไป หรือาจเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งภาวนา ไปเป็นเดินจงกรมแทน เมื่อใดจิตเข้าถึงสมาธิจนแน่วแน่ได้แล้ว จึงจะพิจารณาอาการปวดให้หายไปตามกฎไตรลักษณ์ ดังนั้นสิ่งที่บอกเล่าไปเป็นเพียงสัญญา ยังมิใช่ปัญญาเห็นแจ้ง
  

1752.
เรียนท่านอาจารย์สนอง
 
    หากผู้ทำกรรมชั่ว แต่ไม่คิดว่านั่นเป็นสิ่งเลวร้าย จะด้วยเข้าใจผิด หรือเห็นผิดเป็นชอบ
อย่างนี้เขาจะบันทึกในจิตอย่างไร เป็นกรรมชั่วหรือไม่มีกรรมใดๆคะ
   เพราะหากผู้ใดไม่ได้คิดว่านั่นเป็นบาปเป็นกรรม การกระทำตามความเชื่อเขาว่ามันไม่ได้ผิดอะไร
ทั้งที่มันสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ผู้อื่น เขาก็อาจไม่ได้จดจำหรือมีอกุศลกรรมต่อไปหรือไม่คะ
 
ด้วยความเคารพอย่างสูง
กัญกวี ชูแสนกุล

คำตอบ
     ผู้ใดมีความเห็นถูกตามธรรมที่ชี้แนะไว้ในพุทธศาสนา การกระทำที่บอกเล่าไปถือว่า เป็นการกระทำที่ชั่ว หากเมื่อใดกรรมชั่วให้ผล ผู้กระทำย่อมได้รับอกุศลวิบากแห่งกรรมนั้น

    ในศาสนาพุทธ ไม่มีคำว่า “อาจ” ทุกเรื่องทุกปรากฏการณ์ ย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุและผล ฉะนั้นทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เป็นความจริงแท้แน่นอน แต่ผลแห่งความจริงจะปรากฏขึ้นเมื่อใด ขึ้นอยู่กับชนิดของกรรมที่ทำ
  

1751.
ผลเสียของการช่วยคนตกทุกข์
  
กราบสวัสดีดีท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ที่เคราพ

  กระผมได้ดู ข่าวน่าเศร้า ข่าวทุกข์ยากเกี่ยวกับชีวิตของคนอื่น แม้ว่ากระผมได้มาศึกษาพุทธศานา ทำให้รู้ว่า ที่ชาตินี้เขาเป็นอย่างนี้ เพราะชาติที่แล้วเขาทำอย่างนี้   แต่กระผมรู้สึกสงสารครับ กระผมไม่มีปัญญาไปช่วยเหลือ พวกเขาเหรอครับ แต่ถึงกระนั้น ขอถามว่า ถ้ากระผม ช่วยเหลือเขา มันจะดีหรือไม่ครับ เจ้ากรรมนายเวรเขาจะมาเอาคืนผมหรือเปล่า  

คำตอบ
      การคิดช่วยเหลือผู้ตนทุกข์ได้ยาก เป็นบุญแห่งหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ผู้ช่วยเหลือได้บุญ แต่ผลของการช่วยเหลือจะได้บุญหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความศรัทธาของผู้ถูกช่วยเหลือ และผู้ช่วยเหลือต้องมีจิตคิดว่า ไม่เป็นการเบียดเบียนตัวเอง การช่วยเหลือในลักษณะนี้จึงได้บุญเต็มร้อย หากผู้ถามปัญหาปฏิบัติได้ตามคำชี้แนะ … . ดีแน่ครับ
  

 

 

 

 

 

 

 

browser stats