1

 

 



                                                                
คำถาม-คำตอบ ข้อ 1001-1050

1050.
เรียนอ.สนองที่เคารพ
   ดิฉันได้ฝึกนั่งสมาธิ และวิปัสนาไปควบคู่กันด้วยตนเอง โดยอ่านจากในหนังสือ และสอบถามจากรุ่นพี่ที่ปฎิบัติอยู่แล้ว เป็นผู้ชี้แนะแนวทางคะ
(ขณะนี้ดิฉัน พยายามหาเวลาไปวัด เพื่อหาพระอาจารย์ เพื่อสั่งสอนให้อยู่คะ ได้ตั้งจิตภาวนาไว้ ขอให้ได้เจออาจารย์ ครู เร็ววันคะ)

   ล่าสุด ได้อ่านหนังสือของอาจารย์ 3เล่ม ทำให้ ดิฉันก้าวหน้า สามารถได้ดับเวทนา ในขณะจิตเข้าสมาธิอุปจารสมาธิ ในเรื่องที่ได้เคยเก็บความโกรธเคือง พ่อและอาในสมัยเด็ก ตอนอยู่ป4 โดยขณะปฎิบัติ ได้ใช้ไตรลักษณ์ ดับที่สังขาร เวทนา และใช้สติบอกตนเอง ถึงการเกิดแก่ เจ็บตาย ผลคือ จิตได้รับรู้ ขณะท่องบอกตัวเอง ว่าทุกข์ขังๆๆๆ จิตได้รับรู้ความเจ็บใจอย่างถึงที่สุด วูบเดียว ระลึกถึงไตรลักษณ์(ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากคะ เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้น)เหมือนมีอะไรบางอย่างวูบริเวณใจแรงๆ และเกิดอาการคันหน้ามาก (น่าจะเป็นปิติแบบที่อจ กล่าวไว้คะ จึงอดใจไม่เกา กำหนดสามาธิต่อไปสักพัก ถึงถอดออกมาคะ)

   หลังออกจากสมาธิครั้งนั้น ดิฉันรู้สึกถึงความรู้สึกปิติ เป็นสุขบริเวณใจ ตลอดเวลา และมีสติอยู่กับตนอีกทั้งวัน เมื่อคิดถึงเรื่องครั้งเก่า ที่เคยโกรธเคือง กลับไม่มีการปรุงแต่งอารมณ์ใดๆ ใจนิ่งไม่รู้สึก กลับโปร่ง เบา สบายคะ

   หลังจากนั้น ดิฉันได้ทะเลาะโต้เถียงกับพ่อทางโทรศัพท์ และเอ่ยคำแสดงความดูถูก และ เกลียดเขาออกมาดังๆหลังจากได้วางโทรศัพท์ไปแล้วด้วยอารมณืดกรธเคือง ซึ่งพ่อดิฉัน เป็นคนไม่เอาศีลธรรม ไม่เข้าวัด ดื่มเหล้าทั้งวัน ทำเรื่องเลวร้ายในอดีตไว้มาก ฆ่าสัตว์ พูดจาหยาบคาย ปัจจุบันเป็นคนเจ้าอารมณ์ มักจะด่าทอ อารมณ์เสียอย่างไร้เหตุผล ทำให้ในใจลึกๆ ดิฉันรู้สึกเกลียดเขามาก มาตลอดคะ
ที่ต้องทนเจอ เพราะเป็นพ่อ--- ที่ให้เงินใช้ทุกเดือน เพื่อทดแทนคุณ--- เมื่อปฎิบัติเสร็จก็จะแผ่อุทิศกุศลให้ เพราะความกตัญญูที่เราจำเป็นต้องมี แต่ดิฉันเลือกจะไม่อยู่บ้านเดียวกัน เพราะไม่ต้องการให้ความรู้สึกเกลียดท่าน ผุดอยู่ในใจตลอด รบกวนความสุขสงบในใจคะ

   ทุกข์ตัวนี้ ดิฉันไม่สามารถจะใช้ธรรมตัวใด ที่ความรู้ตัวเองมีดับไปเอง ยังรู้สึก ถึงความเกลียดเขาอยู่ตลอด เพราะต้องเจอกันทุกอาทิตย์

ปัญหามีดังนี้คะ

1. อยากขอคำแนะนำด้วยคะ หลังจากโต้เถียงกัน ปิติในใจได้หายไป ไม่สามารถพบความก้าวหน้าในการปฎิบัติธรรมได้อีก เพราะไม่ว่าจะใช้ไตรลักษณ์ ดับขันธ์5ข้อไหน จิตก็ไม่แสดงอาการรับรู้ ออกจากสมาธิก็ยังรู้สึกถึงความเกลียดเขาตลอดเมื่อนึกถึงเขาคะ
ดิฉันจะใช้ ธรรมะข้อใด เพื่อจิตสามารถเกิดปัญญา ดับทุกข์นี้ อย่างที่ผ่านมาได้คะ

2. ดิฉันไม่สามารถดับความโกรธ เกลียดในใจได้ วันนี้เลยนั่งดูจิตที่มีอาการเกลียดทั้งวันคะ ทำงานไปก็เฝ้าดูไป ดูจนถึงค่ำ ดูจนรับรู้ถึงความโกรธที่เหมือนสร้างความหนักอึ้งอย่างมากให้ใจ จนหัวค่ำ จิตก็คลาย เบาความโกรธลง แต่ยังไม่วางอุเบกขาในทันที คะ เริ่มเกิดปัญญา ว่านี่ก็คือ ไตรลักษณ์ เพราะใกล้ดับไปแล้ว
อยากทราบว่า การตามดู เพราะเราไม่สามารถดับ ในทันทีแบบนี้ ถูกต้องไหมคะ(กับคนทั่วไป ดิฉันจะดับโกรธได้เร็วมากกว่านี้ บางครั้ง เห็นว่าอารมณ์โกรธเริ่มก่อตัว สามารถดับได้ทันที คะ แต่กรณีคุณพ่อ เป็นเหตุที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก มันทำความโกรธฝังตัวอยู่ตลอด พร้อมจะก่อตัวง่ายมาก แต่ง่ายช้ามากด้วยคะ)


ด้วยความนับถือคะ
ขัตติยา

คำตอบ
    (๑) การโต้เถียง กล่าวคำดูถูก ความรู้สึกเกลียด ฯลฯ ผู้ที่มีอุปการะแก่ตนมาก่อน เป็นความอกตัญญูที่สามารถส่งผลวิบัติให้กับชีวิตได้ โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมสามารถประพฤติได้ แต่ไม่เกิดมรรคผลจากการปฏิบัติ คือเข้าไม่ถึงธรรมนั่นเอง เหตุเพราะผู้ถามปัญหาประพฤติไร้ธรรมนั่นเอง โดยมีความเกลียดชัง การกล่าววาจาดูถูก การโต้เถียง ฯลฯ เป็นมาตรวัด

วิธีแก้ปัญหาให้หมดไป ผู้ถามปัญหาต้องประพฤติขอขมากรรม ด้วยการนำพวงมาลัยดอกไม้ขาว ไปสารภาพผิดต่อผู้มีอุปการะแก่ตนมาก่อน กระทำในวันที่เขามีสติดี มีอารมณ์ดี เมื่อใดที่ผู้มีอุปการะกล่าววาจายกโทษให้ บาปกรรมที่จะต้องได้รับก็จะหมดไป หลังจากขอขมากรรมแล้ว ต้องคุมใจตัวเองไม่ให้บาปเช่นนี้เกิดขึ้นได้อีก ด้วยเอาขันติมาคุมใจ และใช้เมตตาคือให้อภัยเป็นตัวกำจัดความโกรธไม่ให้เกิดขึ้น แล้วความเกลียดจะไม่มีผลเกิดตามมา ทำให้ได้ทุกครั้งตามที่แนะนำ แล้วผลแห่งการปฏิบัติธรรมจะกลับมาดีเหมือนเดิม

   (๒) การใช้จิตตามดูความโกรธ แล้วกิเลสใหญ่ยังไม่หายไปจากใจ แสดงว่าตามดูไม่ถูกวิธี ผู้ใดใช้จิตตามดูความโกรธว่าเป็นของไม่เที่ยง (อนิจจัง) ความโกรธมีแปรเปลี่ยนด้วยตกอยู่ภายใต้การเกิด-ดับ (ทุกขัง) และสุดท้ายความโกรธเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) แล้ว จะเห็นว่าสรรพสิ่งล้วนดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นนี้ ผู้รู้จึงไม่โง่ที่จะเอาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนคือความโกรธมาไว้กับใจของตน ผู้รู้ปล่อยวางความโกรธแล้ว จิตจะว่างเป็นอุเบกขา เมื่อใดที่ผู้ถามปัญหาเห็นถูกตามความเป็นจริงแท้เช่นนี้ได้ ...... สาธุ
  

1049.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

รบกวนขอคำแนะนำจากอาจารย์ค่ะว่าทำอย่างไร หรือใช้ธรรมะเรื่องใดที่จะทำให้เป็นคนละเอียด รอบคอบ มีปฏิภาณไหวพริบ ทั้งในการใช้ชีวิตประจำวันและในการทำงาน ขออาจารย์กรุณาให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงแก้ไขและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
    ต้องพัฒนาจิตตนเองให้เป็นผู้มีศีลคุมใจ พัฒนาจิตจนเข้าถึงสมาธิสูงสุด แล้วถอยจิตให้มาตั้งมั่นอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ แล้วต่อด้วยการเจริญวิปัสสนาภาวนา จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง กำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจได้เมื่อใดแล้ว ความปรารถนาที่ถามไปจึงจะเป็นจริงได้เมื่อนั้น
  

1048.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

   อยากขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ ขอท้าวความก่อนว่าครอบครัวของดิฉันเป็นครอบครัวที่มีความทุกข์กับคนเพียง 1 คนคือน้องชายของดิฉัน ซึ่งติดเหล้า กินทุกวัน การงานไม่ทำ นำความทุกข์มาให้ทุกวัน พอเมาได้ที่ก็ด่าพ่อแม่ ขอเงินก็ขู่สารพัด ถ้าไม่ให้ก็ขโมยข้าวของไปขายหรือไปจำนำบ้าง เหมือนมีขโมยอยู่ที่บ้าน พ่อแม่และน้องอยู่ต่างจังหวัด ดิฉันทำงานที่กรุงเทพฯ ก็จะได้รับข่าวแบบนี้อยู่ตลอด ซึ่งก่อเรื่องทะเลาะวิวาทก็บ่อย

  ดิฉันเคยผ่านการปฎิบัติธรรมมาก็ทราบดีว่าเป็นเรื่องเวรกรรม แต่จะทำอย่างไร เมื่อเศร้าใจทุกครั้งที่เห็นพ่อแม่ทุกข์ใจ ต่อให้ลูกเลวแค่ไหน พ่อแม่ก็ยังช่วยทุกครั้งแม้บางครั้งก็ต้องยอมเป็นหนี้สินเพื่อช่วยลูกทุกครั้งที่ก่อเรื่อง พยายามให้พ่อแม่เข้าวัดฟังธรรม แต่ก็ยากเพราะต้องอยู่กับสภาพเดิมๆทุกวัน เจ้าน้องชายมันบอกว่าทำให้มันเกิดมาแล้วก็ต้องมีหน้าที่ดูแลมัน

   ดิฉันควรทำอย่างไรดี เพื่อจะช่วยพ่อแม่ให้ไม่ทุกข์ใจอย่างทุกวันนี้ค่ะ ( ส่วนน้องชายก็เคยปล่อยให้ติดคุกออกมาก็เหมือนเดิม ยิ่งแค้นเข้าอีกที่ไม่ช่วยเค้า เคยคุยเคยช่วยสารพัดแล้วก็เหมือนเดิม)
ปล.พ่อแม่อายุมากแล้ว ร่างกายก็ป่วย ใจก็ป่วย

คำตอบ
    บุคคลมีชีวิตเป็นของตนเอง จะสุขหรือทุกข์อยู่ที่การกระทำของตัวเอง ดังนั้นความทุกข์ใจของพ่อแม่ เป็นอกุศลวิบากของท่านที่ต้องชดใช้ ความสงสารและคิดช่วยเหลือพ่อแม่ เป็นคุณธรรมของผู้ถามปัญหา และถามว่าจะทำอย่างไรดี ในฐานะเป็นลูกต้องประพฤติจริยธรรมลูกที่มีต่อพ่อแม่ เมื่อใดพ่อแม่หันมาศรัทธาในตัวของผู้ถามปัญหา เมื่อนั้นผู้ถามปัญหาจึงจะมีสิทธิ์ชี้แนะท่าน ให้นำตัวเข้าพัฒนาจิตให้มีสติและมีปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้เมื่อใด ปัญหาความทุกข์ใจของท่านก็จะหมดไปด้วยตัวท่านเอง
  

1047.
กราบเรียน ท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ

   กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ให้ความเมตตาตอบปัญหาครั้งล่าสุดที่ได้ถามไป (คำถามข้อที่ 834 ) ซึ่งผมก็ได้นำไปปฏิบัติต่อเนื่อง มากบ้างน้อยบ้างเท่าที่เวลาและโอกาสจะอำนวย ซึ่งก็มีข้อสงสัยจะขอรบกวนสอบถามเพิ่มเติมดังนี้ครับ

   1. อาการแสงนวล ๆ รอบ ๆ ตัวเวลาปฏิบัติทั้ง ๆ ที่ปิดไฟมืดหมด เกิดจากอะไรครับ

   2. วันหนึ่งขณะนั่งอยู่บนรถตู้โดยสาร ผมก็นั่งหลับตาดูลมหายใจไปเรื่อย ๆ เป็นระยะเวลาพอสมควร จิตเริ่มเกาะอยู่กับการเข้าออกของลมหายใจได้ดี ลมก็เริ่มละเอียดและเบาลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ได้บริกรรมอะไร ตามรู้อย่างเดียว จากนั้นมันก็รู้สึกวูบ จากที่มืด ๆเทา ๆ เวลาเราหลับตาปรากฏว่าเปลี่ยนเป็นสีออกส้มม้วนขดเป็นรูปกลมคล้ายก้นหอย เป็นแล้วก็หายไปสักพักก็มาอีกประมาณ 4-5 ครั้ง อาการที่เกิดขึ้นมาเนื่องจากอะไรครับ

   3. จากข้อ 2 หลังจากเป็นมา 4-5 ครั้ง สุดท้ายคล้ายมันวูบวาบแรงผิดกับช่วงก่อนหน้า จากนั้นปรากฏว่ารอบ ๆ ตัวเป็นแสงขาวสว่าง มีอยู่แว่บนึง รู้สึกว่าตัวเราที่นั่งอยู่บนรถหายไปมีแต่แสงไม่ได้ยินอะไรเลย แต่อาการนี้เป็นอยู่แค่ระยะเวลาสั้นประมาณ 5 วินาที ก่อนจะหายออกมาจากตรงนั้น เริ่มได้ยินเสียงคนคุยกันก้อง ๆ แต่ว่าคล้ายอยู่กันคนละที่บอกไม่ถูกครับ แล้วก็ออกมาอยู่ตามเดิมครับ จากอาการที่เกิดขึ้นทั้งหมด การปฏิบัติของผมยังดำเนินมาถูกต้องหรือเปล่าและได้เดินมาถึงลำดับใด และต้องทำอย่างไรต่อไปครับ รบกวนท่านอาจารย์โปรดเมตาชี้แนะอีกครั้งครับ

กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ

คำตอบ
    (๑) เกิดจากจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ

   (๒) เนื่องจากจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ

   (๓) ถูกต้องสำหรับผู้ที่ยังมีจิตเป็นทาสของความหลง หากประสงค์พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ต้องกำจัดสิ่งที่จิตสัมผัสได้ให้หมดไป เช่น เมื่อเห็นแสงสีขาวสว่าง ต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนแสงสีขาวสว่างหมดไป หรือเมื่อได้ยินเสียงพูดคุย ต้องกำหนดว่า “ ได้ยินหนอๆๆๆ ” จนเสียงที่ได้ยินหมดไป แล้วดึงจิตมาอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกต่อไป จนกว่าจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) จึงนำจิตไปพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง
   

1046.
กราบเรียนอาจารย์ ดร. สนองที่เคารพค่ะ

1. หนูกำลังคิดเลิกอาชีพเสริมความงาม (ทำเลเซอร์รักษากระฝ้าและรอยตีนกา ลดความอ้วน) เพราะไปทราบมาว่าเป็นสัมมาอาชีพทางโลกแต่เป็นมิจฉาอาชีพในทางธรรม จะเป็นกรรมเพราะทำให้คนที่ปกติก็หลงอยู่แล้ว หลงเพิ่มเข้าไปอีก ไม่ปลงสังขาร ติดรูป จึงคิดมาเริ่มทำอาชีพการขายตรง โดยเน้นขาย เครื่องปั่นน้ำโมเลกุลเดี่ยว ซึ่งให้ประสิทธิผลในการรักษาโรคแห่งความเสื่อมต่างๆและสำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคร้ายก็ช่วยชลอความเสื่อมของสังขารเช่นกัน อันนี้ถือว่าเป็นมิจฉาอาชีพอีกหรือไม่คะ หนูไม่แน่ใจเพราะมันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของสังขารผู้อื่น ซึ่งจริงๆ ควรปล่อยให้เค้าเป็นไปตามกรรมที่ควรจะเป็น หรือไม่ เพราะถ้าไม่สบายทุกคนก็อยากหายแล้วไปหาหมอรักษา จึงรบกวนเรียนถามอาจารย์ค่ะ

2. และลักษณะของอาชีพขายตรง บริษัทก็จะมีโปรโมชั่นพิเศษ ลดแลกแจกแถมตามวาระ ถ้าเราซื้อให้วันที่บริษัทมีโปรฯ กระตุ้นยอดขาย หนูก็ซื้อเครื่องเก็บตุนไว้ (เพราะอยากได้ของแถม) แล้วเมื่อลูกค้าสั่งเครื่อง หนูก็ค่อยเอาไปให้ หนูลดคอมมิสชั่นในส่วนที่บริษัทจ่ายให้เป็นค่าการตลาด ให้ลูกค้า บางคนก็ลดหมดเลย บางคนไม่สนิทก็ลดให้ครึ่งหนึ่ง หนูก็เลยไม่ให้ของแถมเค้า (ไม่ได้แจ้งลูกค้าว่ามีของแถม) หนูผิดศีล 2 ไหมคะ และของแถมถ้าหนูเอามาขาย ผิดด้วยไหมคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
    (๑) ยังถือว่าเป็นมิจฉาอาชีวะในทางธรรม ผู้ตอบปัญหายังต้องข้องเกี่ยวอยู่กับสังคม การประพฤติตนเป็นเหตุให้ผู้อื่นมีสุขภาพดี อานิสงค์ที่จะคืนมาสู่คือตนเองมีสุขภาพดีด้วย ผู้รู้ไม่นำตัวไปร่วมในกระบวนกรรมไม่ดีของผู้อื่น แต่ชี้ทางให้ผู้อื่นมีสุขภาพดีได้ด้วยการชี้แนะสิ่งดีๆให้ผู้อื่น ส่วนเขาจะประพฤติตามหรือไม่เป็นสิทธิ์ของเขา หากเขาประพฤติตามแล้วทำให้มีสุขภาพดี พร้อมกับนำตัวเองเข้าพัฒนาจิตวิญญาณจนเข้าถึงคุณธรรมที่สูงยิ่งๆขึ้นไป อานิสงค์แห่งบุญย่อมเกิดขึ้นกับผู้ชี้แนะ

   (๒) การไม่แจ้งให้ลูกค้าทราบว่ามีของแถม ไม่ถือว่าผิดศีลข้อสอง และหากนำของแถมไปขาย ไม่ถือว่าผิดศีลเช่นกัน แต่ผิดธรรมที่ทำให้จิตมีกิเลสเพิ่มมากขึ้น
  

1045.
กราบเรียน ดร. สนอง วรอุไร ที่เคารพ

   กระผมเห็นคุณยายของภรรยา อายุ 90 ปี ทานข้าวไม่ได้ เลยไม่มีแรง กระผมและภรรยาพา ไปโรงพยาบาล คุณหมอตรวจแล้วร่างกายปกติดีทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ทานอะไรเลย จึงไม่มีแรง คุณหมอเลยให้น้ำเกลือ แล้วกลับบ้านก็เริ่มมีแรงบ้าง แต่ก็ยังไม่ทานอะไรมาก ทานได้แต่น้ำหวาน กล้วย และรังนก เพียงเล็กน้อย ยายไม่ค่อยได้ทำบุญ ไม่ตักบาตร กระผมพยายามจะหา CD ธรรมะ เปิดให้ฟัง แต่ก็ยังไม่สำเร็จเท่าที่ควร ยายมีนิสัย ค่อนข้างเป็นห่วงบ้าน ห่วงของมาก ขอคำแนะนำจาก อาจารย์ หน่อยครับ ว่าจะทำอย่างไรดี ให้แก่สนใจธรรมะ และเข้าถึงธรรมบ้าง จะได้ไปดี

ขอบคุณครับ
อัตชัย ชินราช

คำตอบ
    คนที่มีอายุยืนยาวถึง ๙๐ ปี ย่อมมีผลของบุญเป็นแรงหนุนส่ง ผู้ถามปัญหารู้หรือไม่ว่า บ่อเกิดแห่งบุญ ได้จากการประพฤติตนตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ดังนั้นคุณยายสามารถสร้างบุญให้เกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องตักบาตร ผู้ถามปัญหามีเจตนาคิดช่วยเหลือคุณยาย ให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี (สุคติภพ) หลังจากตายแล้ว ย่อมคิดได้ แต่จะประสบผลสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวของคุณยายผู้เป็นเจ้าของชีวิต หากคุณยายมีศีล ๘ หรือมีศีล ๕ พร้อมกับให้ทานโดยวิธีอื่นอยู่เสมอ ตายแล้วจิตวิญญาณมีโอกาสโคจรไปได้ร่างอยู่อาศัยในภพสวรรค์ได้
  

1044.
ขออนุญาติเรียนถามดังนี้

1. ดิฉันทำกรรมฐานแบบยุบ-พองหนอ มา 6 ปีแล้ว น่าจะถึงสังขารุเปกขาญาณแล้ว ก่อนหน้านี้มีกัลยาณมิตรแนะนำว่าดิฉันแก่สมถะไปหน่อย วิปัสสนาญาณอ่อน จึงสอนวิธีทำวิปัสสนาให้ จึงผ่านปฏิสังขญาณมาได้ ตอนนั้นเวทนารุนแรง ใช้กำลังทำกรรมฐานมาก พอมาถึงตอนนี้เวทนาไม่กวน กำหนดได้ดี สภาวะธรรมเกิด-ดับชัด ถ้าเพียรทำกรรมฐานไปเรื่อยๆจะผ่านโสฬสญาณได้ใช่มั๊ยค่ะ

2. ช่วยแนะนำวิธีที่ควรและถูกตามธรรมในการทำกรรมฐานสำหรับคนที่ถึงสังขารุเปกขาญาณ ให้หน่อยได้มั๊ยค่ะ

ด้วยความเคารพ

คำตอบ
    (๑) ผู้ใดปฏิบัติธรรม (วิปัสสนากรรมฐาน) สมควรแก่ธรรม โอกาสพัฒนาจิตให้เข้าถึงหรือผ่านวิปัสสนาญาณ ๑๖ (โสฬสญาณ) ย่อมเป็นไปได้

   (๒) หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิต ตามแนวทางองสติปัฏฐาน ๔ จนสามารถนำพาจิตเข้าถึง ปฏิสังขานุปัสสนาญาณได้จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปขอคำแนะนำจากใครผู้ใดอีกต่อไป เพียงแต่ดำเนินปฏิปทาตามแนวทางที่ได้ปฏิบัติมา โดยเร่งความเพียรและมีสัจจะเป็นแรงสนับสนุน การเข้าถึงวิปัสสนาญาณยิ่งๆขึ้นไปย่อมเกิดขึ้นได้
  

1043.
กราบเรียนอาจารย์สนอง

แม้ขณะนี้ ตัวผม จิตผม จะได้รับ ผลแห่งวิบากกรรมเดิมอันหนักหนาสาหัส อยู่แล้วแต่ก็เหมือนกับว่า วิบากกรรมนั้น เป็นตัวดัดนิสัยไปในที ก็รอคอยสักวันจะพบผู้แก้ไขให้หรือพันวิบากกรรมนี้เสียที หลายต่อหลายครั้งที่ ผู้คนรอบข้างจะพูดเสมอว่า ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ , เป็นคนธรรมดาไม่ใช่พระ ฯลฯ แต่ก็อดไม่ได้จะต้องทำตัวและจิตให้ดี ยิ่งๆ ขึ้นไป แม้จะมีบางอย่างมาดึงให้ลงต่ำไปก็ตาม มีปัญหาจะถาม อจ. ดังนี้ครับ

1. บาปอกุศลกรรม ที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลที่ยุและบังคับให้ผู้อื่นทำผิดศีล ซึ่งผู้ถือศีลและตั้งใจประพฤติไว้แล้ว มันหนักขนาดไหน และ จะสร้างวิบากกรรมใดให้เกิดขึ้นกับคนที่ทำ บางมุมอาจจะมองว่าคนผิดคือผู้ประพฤติเอง ทำผิดเสียเองแพ้กิเลสที่เกิดขึ้นเสียเอง จะเกิดผลลัพธ์แก่คนที่ยั่วยุหรือบังคับได้อย่างไรกัน

ขออาจารย์รบกวนอธิบายข้อตรงนี้ให้ผมกระจ่างด้วยครับ และ คิดว่าคงจะมีประโยชน์กับอีกหลายคนเช่นกัน

2. ขออาจารย์ช่วยแนะนำวัดที่ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด มี ครูบาอาจารย์ที่ดี ให้ผมได้หรือเปล่าครับ จะพอน้องไปบวชปฏิบัติ

ขอบคุณครับ

คำตอบ
    (๑) บาปจะเกิดมากับบุคคลที่ยุและบังคับให้ผู้อื่นประพฤติผิดศีล จะบาปมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความมากน้อยของคุณธรรมของผู้ถูกยุหรือถูกบังคับให้ประพฤติผิดศีล หากผู้ถูกยุหรือถูกบังคับมีคุณธรรมสูง ผู้ยุหรือผู้บังคับก็บาปมาก และในทางตรงข้าม ผู้ถูกยุหรือผู้ถูกบังคับมีคุณธรรมต่ำ ผู้ยุหรือผู้บังคับได้รับผลบาปน้อยกว่า และผลของบาปจะเป็นไปตามประเภทของศีลที่ตนยุให้ผู้อื่นประพฤติทุศีล แต่หากผู้ใดประพฤติผิดศีลเอง อย่างนี้ไม่เรียกว่าถูกยุ ผู้ยุหรือผู้บังคับไม่จำเป็นต้องกระทำกรรม จึงไม่ถือว่าเป็นบาป

   (๒) แนะนำให้พาน้องไปบวชและปฏิบัติธรรมที่วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่
  

1042.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพ

1. แม่ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ตปท. ส่งเงินมาให้นองชายซื้อบ้านและใช้หนี้ แต่น้องชายไม่ได้ทำตามที่แม่สั่งทั้งที่บ้าน เทเงินสดทั้งหมดก็ได้และน้องนำเงินไปให้ใช้ในทางอบายมุข เมื่อกลับมาแม่เสียใจมาก น้องชายจะบาปมากไหมคะ

2. น้องชายเป็นหนี้ธนาคาร บัตรเครดิตทุกแบงค์ และกลัวธนาคารจะยึดบ้านที่แม่อาศัยอยู่ จึงได้มาปรึกษาหนู หนูได้ปรึกษากับแฟน แฟนแนะนำว่าให้สหกรณ์ที่เราทำงานจัดการไถ่ถอนบ้านแม่ให้ แต่หนูก็เป็นหนี้สหกรณ์ด้วย เมื่อกู้เงินพร้อมทั้งไถ่ถอนบ้านแล้วก็มีเงินเหลืออยู่จำนวน 1 แม่ต้องการให้นำเงินที่เหลือมาให้กับน้องและบิดาเลี้ยง แต่หนูคิดว่าหนูไม่ได้คืนแน่กับเงินในส่วนที่เหลือ และหนี้บ้านที่สหกรณ์หัก ก็หักจากเงินเดือนของหนู และไม่มีใครที่จะช่วยหนูเลยในการผ่อนบ้าน หนูก็ไม่ให้ หนูทำถูกหรือผิดคะ หนูอกัตญญูต่อแม่และพ่อเลี้ยงหนูหรือเปล่าคะ

3.พ่อเลี้ยงได้ทำสัญญาขึ้นมาว่า หนูได้นำโฉดนดเค้าไปกู้โดยที่เค้าไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย และให้แม่มาพูดกับหนูและสามีให้เซ็นยินยอมหนูให้สามีอ่าน เมื่อพี่เค้าเซ็นหนูก็เซ็น สามีหนูเสียความรู้สึกกับการกระทำของพ่เลี้ยงหนูมาก หนูกับสามีทำถูกหรือผิดคะ

4. หนูป่วยต้องผ่าตัดใช้เงิน 1 แสนบาทหนูก็บอกแม่ให้คุยกับพ่อเลี้ยงว่าจะขอกู้เพิ่มเพื่อรักษาตัวหนู พ่อเลี้ยงปฎิเสธว่าหนูได้ไปมากพอแล้ว และแม่หนูก็ว่าหนูเห็นแก่ได้เอาเปรียบ หนูบอกว่าขอให้หนูอธิบายบ้างแม่ไม่ฟังแม่ด่าว่าชั้นมีลูกไม่ดี เลว จัญไร อัปรีย์แกก็เลวหมือนพ่อแก เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ อาจารย์คะ หนูไม่รู้สึกโกรธแม่เลยนะคะ ได้แต่เพียงน้อยใจ เสียใจว่าทำไม่ชีวิตหนูจึงเป็นเช่นนี้ ด้วยความสัตย์จริงนะคะอาจารย์หนูตั้งใจที่จำทำให้แม่มีความสุข อะไรที่เป็นความสุขของแม่ หรือแม่ต้องการอะไร ถ้าไม่เกินกำลังหนูจะจัดหาให้ทันที ถ้าเงินหนูมีน้อยหนูก็บอกว่าตอนนี้หนูไม่มี อาจารย์คะ การที่แม่ผู้มีพระคุณของเราด่าเราอย่างนั้นจะเป็นจริงตามปากท่านไหมคะ หนูควรแก้ไขอย่าง และปฎิบัติอยางไรที่จะทำให้ท่านมีความสุข และไม่โกรธหนูคะ แม่บอกว่าแก่ไม่ต้องมาที่บ้านชั้นอีก เพราะที่นี่ไม่มีผลประโยชน์อะไรกับแก อาจารย์คะ แม่เข้าใจหนูผิดโดยที่หนูไม่มีโอกาสได้อธิบายเลย

5.ตั้งแต่หนูได้ฟังธรรมะจากอาจารย์ ทำให้หนูกลัวบาปทุกอย่างพยายามไม่ให้ตัวเองผิดศีลทั้ง กายวาจาใจ แต่ยังทำได้ไม่หมดค่ะแต่ก็พยายามอย่างมากหนูต้องทำอีกนานแค่ไหนคะถึงจะหลุดพ้น

6. หนูทำบาปกรรมอะไรไว้ตั้งแต่ชาติบาปไหนคะ หนูถึงต้องมาพบกบเหตุการร์นีและเป็นกรรมอะไรคะ หนูยังมีหนี้เวรที่ต้องชดใช้อีกมากแค่ไหนคะ

7. การที่ครอบครัวหนูมีความสุข เพราะหัวหน้าครอบครัวดี ถึงแม้ว่าบางครั้งเราจะขัดสนเรื่อเงินทองบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเรา เพราะเรา พ่อ แม่ ลูกจะใส่กระปุกทำบุญกันทุกวัน ถ้าหนูจัดกระเป๋าไม่อยู่บ้านลูกจะถามว่าแม่ไปวัดไหน อานิสงฆ์ตรงนี้มาจากจุดไหนคะ

8. อาจารย์คะ การที่หนูอธิฐานขอตายก่อนสามีผิดไหมคะ และจะเป็นไปได้หรือเปล่าวคะ

คำตอบ
    (๑) ถามว่าจะบาปมากไหม? ถ้าเอาบาปนี้ไปเปรียบเทียบกับบาปของพระเทวทัต น้องชายกระทำเหตุที่เป็นบาปน้อยกว่าพระเทวทัต แต่ยังมีผลสู่การไปเกิดเป็นสัตว์นรกในยมโลกได้

   (๒) การชดใช้หนี้เวรกรรม ไม่เคยมีใครชดใช้ได้เกินความสามารถที่ตนมีและไม่ถือว่าเป็นผิด หากผู้ใดไม่ประพฤติจริยธรรมลูกที่มีต่อพ่อแม่ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นลูกอกตัญญู

   (๓) ผิดที่ประพฤติไม่ตรงกับความเป็นจริง

   (๔) คำว่า “ เลว ” หมายถึง มีค่าต่ำ, ต่ำ, ทราม ฯลฯ
        คำว่า “ จัญไร ” หมายถึง เลวทราม, เป็นเสนียด, ไม่เป็นมงคล ฯลฯ
       คำว่า “ อัปปรีย์ ” หมายถึง เลวทราม, ชั่วช้า, ไม่เป็นมงคล ฯลฯ

   ในความหมายเหล่านี้ ผู้ถามปัญหาต้องถามใจตัวเองว่า เป็นดังที่บอกมานี้หรือไม่ ผู้ใดประพฤติตนให้มีศีลมีธรรม (ศีล ๕, ธรรม ๕) คุ้มครองใจ ความเลว ความจัญไร ความอัปปรีย์ ย่อมไม่มีแก่ผู้นั้น

   อนึ่ง ไม่มีใครผู้ใด สามารถเข้าไปทำอะไรให้ใครต้องเป็นอะไรตามใจปรารถนาของตนเองได้อย่างแท้จริง เว้นไว้แต่ว่าเขาผู้นั้นต้องทำตัวเองให้มีความสุข มีความไม่โกรธ (เมตตา) หรือมีความเห็นถูกด้วยตัวของเขาเอง

   (๕) ความพยายามเป็นคุณธรรมนำสู่ความสำเร็จ ส่วนการประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล คุมกาย วาจา ใจ และนำตัวเองให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งมวลได้ ต้องประพฤติถูกตรงตามธรรม โดยใช้สัจจะสนับสนุน

   (๖) การส่งจิตไปตามรู้เรื่องในอดีต ไม่ทำให้จิตพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้น ความปรารถนาในข้อ (๕) จะบรรลุได้ ต้องเอาจิตมาอยู่กับปัจจุบัน

ส่วนเรื่องของหนี้เวรกรรม ไม่มีใครผู้ใดสักคนสามารถชดใช้ได้หมด แต่มีใครผู้ใดหลายคนพัฒนาจิต จนสามารถกำจัดอวิชชาให้หมดไปจากใจได้ หนี้เวรกรรมที่ยังเหลืออยู่อีกอนันต์ เป็นอันถูกยกเลิก (อโหสิ)

   (๗) มาจากเหตุดีที่ทำ

   (๘) บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ฉะนั้นจะอธิษฐานขึ้นสูงหรือลงต่ำย่อมทำได้ อธิษฐานตายก่อนสามีไม่ถือว่าเป็นความผิด แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ผู้ถามปัญหาและสามีกระทำอยู่ในปัจจุบัน
  

1041.
หนูขอเรียนถามอาจารย์..ค่ะ

หนูเคยได้ยินมาว่า มนุษย์สมัยนี้นั้นเป็นพวกจากขุมนรกมาเกิดเยอะ จึงมีความสงสัยค่ะว่า หากอยู่ในขุมนรกแล้ว จะมีอะไรเป็นตัวทำให้พวกเค้าสามารถไปเกิดในภพอื่น ๆ ได้คะ? อย่างในมนุษย์ กรรมดี กรรมชั่ว จะเป็นผลทำให้ไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ต่อไป แล้วในขุมนรก พวกเค้าสามารถทำความดี ความชั่ว ได้อีกหรือไม่คะ?

ขอบพระคุณอาจารย์ดร.สนองค่ะ

คำตอบ
   สองสาเหตุที่นำให้สัตว์นรกไปเกิดในภพอื่นคือ ชดใช้อกุศลวิบากในภพนรกได้หมด และกรรมถัดไปส่งผล จึงนำจิตวิญญาณโคจรไปสู่ภพที่ถูกตรงกับเหตุที่ทำ

   สัตว์นรกไม่สามารถทำกรรมดีหรือกรรมชั่วได้อีก มีแต่ชดใช้ผลของอกุศลกรรม ด้วยการถูกทำโทษถูกทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีเวลาไปทำกรรมอื่นได้อีก จนกว่าจะชดใช้หนี้เวรกรรมได้หมดสิ้น
   

1040.
เรียนท่านอาจารย์สนอง ที่เคารพ

ดิฉันกำลังจะไปปฎิบัติธรรมเดือนนี้ประมาณวันที่ 20 มีคำถามจะเรียนถามดังนี้
1.เคยประพฤติตัวไม่ดีกับพ่อแม่ไว้มาก ได้ยินว่าถ้าจะปฎิบัติวิปัสนาไม่ได้ต้องขอขมาท่านก่อน ถ้าไม่ได้อยู่ที่เดียวกันอยู่ไกลกันมาก กรุงเทพกับสุรินทร์ค่ะ จะโทรไปขอขมาได้หรือเปล่าคะ
2.ได้ยินว่าการปฎิบัติทำให้เป็นบ้าได้ เพราะอะไรหรือคะ

ขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
  (๑) ขอขมาทางโทรศัพท์ย่อมทำได้

   (๒) เพราะปฏิบัติธรรมผิดทาง จิตขาดสติจึงไปรับเอาสิ่งกระทบไม่ดีมาปรุงอารมณ์ไม่ดี แล้วจิตยึดถือมั่นคงในอารมณ์ดี เมื่อจิตสั่งร่างกายขณะมีอารมณ์ไม่ดี พฤติกรรมที่แสดงออกจึงผิดไปจากพฤติกรรมของคนปกติ นี่คืออาการที่คนทั่วไปเรียกว่าบ้า ดังพฤติกรรมผิดปกติ (บ้า) ของคนในครั้งพุทธกาล อาทิ อดีตของพระปฏาจารา อดีตของพระกีสาโคตรมี อดีตของพระวาสิฏฐี ฯลฯ จิตยึดหน่วงอารมณ์สูญเสียคนที่ตนรักได้ตายจากไป
   

1039.
เรียน ดร.สนอง วรอุไร

ได้มีโอกาสอ่านหนังสือของอาจารย์ จึงทำให้รู้จัก web site นี้ มีคำถามอยากถาม 2 ข้อค่ะ

1. ตอนนี้ไม่ได้อยู่กับคุณแม่ เพราะทะเลาะกันพยายามหลายครั้งแต่ก็ไม่ดีขึ้น จึงแยกออกมาอยู่เองกับครอบครัว แต่ก็พยายามที่จะเลี้ยงดูท่านโดยการส่งเป็นเงินไป เพราะไม่อยากจะทะเลาะและทำให้ท่านเสียใจ อย่างนี้จะบาปหรือไม่ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

2. อยากทราบถามว่า การที่เราใส่บาตรกับพระท่านที่ยืนบิณฑบาตรที่เดียวในตลาด ถือว่าเป็นการทำบุญหรือไม่
ถูกต้องหรือไม่

ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
   (๑) เป็นบาปตรงที่ประพฤติโต้แย้ง โต้เถียงผู้มีอุปการคุณ แต่เป็นบุญตรงที่เลี้ยงดูแม่ด้วยการส่งเงินไปให้

   (๒) ถูกของภิกษุที่ประพฤติ แต่ไม่ถูกของสงฆ์ที่ประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัย การโปรดสัตว์ด้วยการโคจรบิณฑบาตของพระพุทธเจ้า ของพระอัครสาวก ของพระมหากัสสปะ ฯลฯ ท่านเดินบิณฑบาตตามลำดับบ้าน ภิกษุยืนบิณฑบาตประจำอยู่ ณ ที่เดียว ด้วยเหตุมีอาพาธไม่ถือเป็นบาป แต่หากมีเหตุมาจากความขี้เกียจเดิน หรือเดินไปยังที่อื่นแล้วได้อาหารบิณฑบาตน้อยกว่า อย่างนี้ถือว่าเป็นบาป
   

1038.
เรียนอาจารย์ สนอง ที่เคารพ

   มีตัวแทนขายประกันชีวิตมาชวนผมทำประกันค่อนข้างบ่อย แต่ผมก็ปฏิเสธทุกครั้ง โดยผมให้เหตุผลกับตัวเองว่า ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ถ้าผมเคยทำกรรมไม่ดีไว้ เมื่อกรรมนั้นให้ผล หากผมจะเจ็บป่วยขึ้นมาก็ขอจ่ายค่ารักษาเอง เพื่อขอใช้กรรม หากเราไม่เคยทำกรรมไม่ดีไว้ก็คงไม่มีอะไรมาแผ้วพานให้เราต้องใช้เงินโดยไม่จำเป็น ในอีกแง่หนึ่ง หากเราทำประกัน เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาก็ไม่ต้องจ่ายค่ารักษาเอง โดยมีบริษัทประกันจ่ายให้ หากเรามีกรรมต้องชดใช้ เมื่อไม่ได้ใช้ตรงนี้ เราก็ต้องมีเรื่องให้ต้องเสียเงินในทางอื่นอยู่ดี นี่คือเหตุผลที่ผมไม่ทำประกัน

  ผมอยากจะเรียนถามอาจารย์ว่า ความคิดของผมตรงนี้ ผมคิดถูกต้องตามกฏแห่งกรรมหรือไม่ อาจารย์เห็นด้วยกับความคิดนี้ของผมไหมครับ ขอขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

ขอแสดงความเคารพ

คำตอบ
     เพราะเห็นถูก จึงคิดถูกตามกฎแห่งกรรม เห็นด้วยครับ
   

1037.
กราบเรียน อจ สนอง

หนูมีเรื่องรบกวนอาจารย์ ถามปัญหาหน่อยค่ะว่า การชอบครูบาอาจารย์ท่านนึงของเราบาปมากมั๊ย ชอบแบบผู้หญิงชอบผู้ชาย ไปทางถูกใจ ยินดี ท่านอายุยังไม่มาก แต่ตัวเรารู้สึกแย่มากเลย รู้สึกเหมือนจาบจ้วงๆท่านเลยอ่ะค่ะ ทำยังไงถึงจะเลิกเป็นแบบนี้ได้เหรอค่ะ ที่พูดนี่ก็อายมากๆเลยค่ะ อายมากๆค่ะ

ต้องพยายามข่มใจ และบางทีก็เสียใจด้วย เพราะกลัวว่าท่านจะไม่เห็นความสำคัญของเรา

ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
     หากเป็นความชอบที่มีตัณหาสนับสนุน ย่อมมีบาปเกิดแน่นอน ประสงค์แก้ปัญหานี้ต้องพิจารณาอสุภะบ่อยๆ สมัครเป็นสมาชิกเก็บศพ เป็นสมาชิกล้างป่าช้า คือทำได้อย่างสัปเหร่อ ปัญหาที่เกิดขึ้นจะหมดไป

   อนึ่ง ผู้ใดยังมีอัตตาอยู่กับใจ มักจะเห็นความสำคัญของตัวเอง คิด พูด ทำใดๆ จะเพื่อประโยชน์ของตัวเอง เข้าข้างตัวเอง ตรงกันข้ามผู้ที่ดับอัตตาได้ จะเห็นผู้อื่นสำคัญยิ่งกว่า เห็นธรรมของพระพุทธะสำคัญที่สุด
   

1036.
กราบเรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ค่ะ

จากคำถามที่ 1026 เกี่ยวกับเรื่องอาการล่วงเกินพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายค่ะ ขออนุญาตเรียนสอบถามอาจารย์เพิ่มเติมดังนี้นะคะ

   1. ตามที่อาจารย์ได้แนะนำให้สวดพระพุทธคุณต่อหน้าพระพุทธรูป เจดีย์ ฯลฯ นั้น สามารถสวดต่อหน้าพระพุทธรูปที่บ้านได้หรือไม่คะ หรือต้องไปตามสถานที่ที่เราเคยทำเหตุไว้คะ (เนื่องจากไม่ทราบว่าตนเองเคยทำเหตุไว้ ณ ที่ใด) แต่ผลปัจจุบัน แค่เดินผ่านพระพุทธรูป รูปปั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายทั้งปวง ก็เกิดคิดอกุศลขึ้นมาแล้วค่ะ

   2. รู้สึกวิตกกังวลมากค่ะ และก็เหนื่อยกับความคิดแบบนี้ด้วยค่ะ หากความคิดไม่ดีดังกล่าวนั้นเป็นผล ที่เกิดจากกรรมที่ได้กล่าวล่วงเกินในอดีต ซึ่งปัจจุบันตนเองมิได้มีเจตนา และไม่ปรารถนาที่จะคิดเช่นนั้นอีก แต่ไม่สามารถจับความรู้สึกได้ค่ะว่า ก่อนจะคิดแบบนี้รู้สึกยังไง จึงได้กล้าคิดอกุศลเช่นนี้ได้และไม่สามารถ สกัดกั้นความคิดได้ทันค่ะ ถึงอย่างนั้นแล้วก็ยังถือว่าเป็นการสร้างบาปกรรมเดิม ๆ ต่อไปอีกเช่นนั้นหรือคะ แสดงว่าสิ่งที่ได้รับนั้น นอกจากจะเป็นการรับกรรม แล้ว ยังทำกรรมใหม่เพิ่มเข้าไปในตัวอีกใช่หรือไม่คะ

   3. นอกจากการสวดพระพุทธคุณแล้ว (ซึ่งจะปฏิบัติตามคำแนะนำของอาจารย์ค่ะ) มีวิธีอื่น ๆ อีกด้วยหรือไม่คะ จะทำทุกอย่างที่สามารถจะทำให้พ้นจากบาปกรรมนี้ได้ค่ะ

ขอขอบพระคุณอาจารย์ในการตอบคำถามอย่างยิ่งค่ะ
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้อาจารย์สมความปรารถนาทุกประการค่ะ

คำตอบ
   (๑) การสวดมนต์สรรเสริญคุณพระพุทธ จะสวดต่อหน้าองค์พุทธรูป ณ ที่ใดๆย่อมทำได้ หรือไม่มีพระพุทธรูปอยู่ต่อหน้า แต่มีจิตระลึกถึงและมีจิตตั้งมั่นก็ย่อมทำได้

   (๒) หากผู้ถามปัญหาศรัทธาในคำชี้แนะได้เต็มร้อย และนำไปปฏิบัติให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้ว ความคิดที่เป็นอกุศลจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ตรงกันข้ามหากประพฤติไม่ได้ผลดังที่บอกมา บาปกรรมย่อมเกิดเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นพึงดึงจิตให้มาระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันขณะ

   (๓) เพียงหนึ่งวิธีที่แนะนำถูกตรงตามธรรม แล้วยังประพฤติไม่ได้ ก็ไม่สามารถนำวิธีอื่นมาแก้ปัญหาได้อีก ต้องปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือ เอาศีล ๕ มาคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่นได้แล้ว จึงลงมือปฏิบัติจิตตภาวนา
  

1035.
สวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์สนอง

  วันนี้ดิฉันได้ไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่เมืองทองธานี หลังจากนั้นที่บริเวณหน้าห้องสักการะจะมีอาจารย์หลายๆ ท่านดูฮวงจุ้ยให้ฟรี ดิฉันและน้องสาวจึงดูแต่ว่าเมื่อดูเสร็จแล้วเกิดความไม่สบายใจเนื่องจากต้องแก้หลายอย่าง เช่นห้องน้ำมีสามห้องก็ไม่ถูกทิศทั้งหมดต้องทุบทำใหม่หมดย้ายที่ใหม่เลย ห้องนอนเปิดประตูจากนอกบ้าน เค้าบอกว่าประตูบ้านควรมีแค่บานเดียวคือประตูทางเข้าเพราะฉะนั้นให้ทุบประตูห้องนอนอีกประตูแล้วโบกปูนทับประตูเก่าเพื่อเข้ามาเปิดในบ้านให้ได้ ถ้าดิฉันไม่ทำรับรองว่า ยังไงไม่มีทางรวยจะมีแต่จนหรือถ้าไม่เชื่อก็คอยดูต่อไป สามีก็จะมีภรรยาน้อยแน่นอน ดิฉันจึงเกิดความไม่สบายใจจึงอยากจะเรียนถามว่า

   1 ดิฉันถามเค้าว่าจะแก้โดยการปฎิบัติธรรมเช่น นั่งสมาธิหรือวิปัสนาได้หรือไม่ เค้าก็บอกว่าการปฎิบัติธรรมช่วยได้แค่10เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถ้าจะแก้ได้จริงต้องทำตามที่เขาบอกจึงจะดี ถ้ายังทำไม่ได้เลยก็แนะนำว่าต้องหาซื้อเครื่องรางไปใส่ที่บ้าน หลายอย่างเหมือนกันค่ะประมาณสิบกว่าอย่าง ของมีขายอยู่หน้างาน แต่ราคาค่อนข้างแพงดิฉันไม่มีเงินซื้อหรอกค่ะ รวมๆกันอาจจะหลายพันเลย เพราะของบางอย่างนั้นราคาถึง2000บาท การปฎิบัติธรรมแก้เรื่องฮวงจุ้ยไม่ได้ตามที่เขาบอกหรือเปล่าคะ

   2ได้อ่านหนังสือท่านอาจารย์สนองเรื่องวิธีอยู่เหนือดวง แต่วิธีอยู่เหนือฮวงจุ้ยนี้เรื่องเดียวกันหรือเปล่าคะใช้ด้วยกันได้หรือเปล่าคะ ฮวงจุ้ยมีผลทำลายชีวิตเราถึงขนาดนั้นเลยหรือ

   3 ทุกวันนี้ดิฉันภาวนาพุทโธ และ ยุบหนอพองหนอ เดินหนอ นอนหนอ ต้องเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งเลยหรือเปล่าคะแต่ดิฉันชอบทั้งสองวิธี

ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากที่ให้ความเมตตาตอบคำถามค่ะ
ขออนุโมทนา

คำตอบ
    (๑) จริงอย่างที่ผู้ดูฮวงจุ้ยพูด แต่ไม่จริงหากปฏิบัติธรรม จนเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมได้ ปัญหามีอยู่ว่าผู้ถามปัญหาจะเชื่อคำพูดที่ออกจากปากของปุถุชน หรือจะเชื่อคำพูดที่ออกจากปากอริยบุคคลผู้เป็นอริยสาวกของพระพุทธะ

   (๒) หากผู้ถามปัญหาได้อ่านหนังสือเรื่อง “ วิธีอยู่เหนือดวง ” แล้วทำให้ได้ตามที่บอกไว้ในหนังสือ ฮวงจุ้ยไม่สามารถให้ผลดีหรือร้ายกับบุคคลผู้มีคุณธรรมเช่นนั้นได้ เรียกว่าอยู่เหนือฮวงจุ้ยก็ได้หากประสงค์จะเรียก

   (๓) เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เลือกประพฤติเพียงวิธีเดียวที่เหมาะกับจริต จะเป็นวิธีไหนก็ตาม หากปฏิบัติถูกตรง ผลที่ออกมาคือ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และจิตต้องเกิดปัญญาเห็นแจ้ง
  

1034.
เรียนท่านอาจารย์สนอง

ดิฉันได้อ่านคำถามที่761 บอกว่าอาชีพขายประกันเป็นการสร้างวิบากกรรมให้ตัวเอง ดิฉันเป็นตัวแทนประกันค่ะ
1.อยากทราบว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เพราะในเมื่อเขาเจ็บป่วยเราก็มีเงินช่วยให้เขารักษา เพราะค่ารักษาสมัยนี้แพงมาก ช่วยแบ่งเบาภาระเขาได้ไม่ใช่หรือคะ

2.เวลาหัวหน้าครอบครัวตาย เราก็มีเงินประกันไปมอบให้ภรรยาและลูกๆ เขาไว้เลี้ยงดูตัวเองต่อและมีทุนการศึกษาไว้เรียนในอนาคต ไม่ถือว่าช่วยเหลือเค้าหรือคะ

3.เราสามารถนำรายได้มาให้พ่อแม่ตอบแทนท่านได้ ไม่ถือเป็นกตัญญูหรือคะ แล้วทำไมถึงเป็นอาชีพที่ไม่ดีในทางธรรม เพราะในเมื่อเราไปพูดให้คนวางแผนชีวิต เมื่อเกิดสิ่งไม่คาดฝันจะได้ไม่เจ็บตัวมากนัก ดิฉันนึกว่าเป็นการทำบุญเสียอีกน่ะค่ะ คนในวงการนี้ที่รู้จักสนิทสนมส่วนใหญ่ที่อยู่ในอาชีพนี้ได้ เพราะว่าซื่อสัตย์ ขยัน อดทนไม่เอาเปรียบลูกค้า มีสัจจะ สอนรุ่นน้องให้กตัญญู มองโลกในแง่ดี คิดบวก รู้จักบุญคุณ มีน้ำใจ ซื่อสัตย์และส่วนมากก็ชอบปฎิบัติธรรมทั้งนั้น เช่น วิปัสสนา นั่งสมาธิ บางคนก็ไปแสวงบุญที่อินเดียเป็นประจำ เช่น สร้างวัดไทยที่นั่น บริจาคเงินเป็นล้าน และยังนำธรรมะมาสอดแทรกสอนอยู่ด้วยเสมอ ดิฉันจะไปปฎิบัติธรรมก็ได้รุ่นพี่ที่นี่แนะนำค่ะ อย่างเวลาไปขายก็คิดว่าถ้าวันนึงลูกค้าเป็นอะไรใครเดือดร้อน และถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นจริงๆ เรานี้แหละเป็นคนช่วยเขา นำเงินไปให้เขาเวลาที่เขาเดือดร้อนไม่มีที่พี่งแล้วทำไมไม่ดีล่ะคะ ขออภัยด้วยค่ะสงสัยและงง งง

4.คำถามนี้สงสัยในใจมานาน เพื่อนตัวแทนประกันหลายคนที่รู้จักนั้น รวยมากบางคนมีรายได้เป็นร้อยล้าน สิบล้านหรือบางคนก็ปีละล้านและชอบทำบุญแต่สงสัยว่าทำไมแต่ละคนเป็นโรคแปลกๆ ที่มักไม่ค่อยมีคนเป็นหรือวินิจฉัยไม่ได้คะ สังเกตุจากคนที่รู้จักน่ะค่ะ

ขอบพระคุณนะคะที่ตอบคำถาม
คนขี้สงสัย

คำตอบ
  (๑) เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเป็นกำหนดอันแน่นอนตายตัวของธรรมชาติ ที่เรียกว่ากฎแห่งกรรม ผู้ถามปัญหาใช้ปัญญาทางโลกมองการกระทำเช่นนั้นว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องทางโลก ซึ่งมิได้ผิดอะไรกับผู้ที่ยังพึงพอใจกับการมีชีวิตอยู่กับโลก แต่ในทางธรรม เขามองปัญหาของชีวิตยาวไกลข้ามภพชาติ จึงเห็นเหตุผล (ความจริง) ต่างกันออกไป ปัญหาจึงมีอยู่ว่า ผู้ถามปัญหาจะนำพาชีวิตไปทางไหน นั่นเป็นสิ่งที่ต้องคิดแล้วทำเหตุให้ถูกตรง

   (๒) เงินที่ได้จากการทำประกันฯ ช่วยให้เกิดความมั่นคงได้เพียงชีวิตปัจจุบัน แต่ชีวิตยังต้องเดินทางอีกยาวไกลข้ามภพข้ามชาติ เงินประกันฯ ไม่สามารถส่งผลไปถึงความมั่นคงในชีวิตหน้า ฉะนั้นผู้ใดมีจิตเป็นทาสของเงิน ผู้นั้นไม่ต่างไปจากถูกงูพิษกัด ดังในครั้งพุทธกาล ขณะที่พระพุทธะดำเนินบิณฑบาตโดยมีพระอานนท์เดินตามหลัง ท่านได้ทอดพระเนตรเห็นถุงใส่เงินที่โจรโยนทิ้งไว้ที่หัวคันนา พระพุทธได้ตรัสปุจฉากับพระอานนท์ว่า “ อานนท์ เธอเห็นงูพิษไหม ” พระอานนท์ตอบว่า “ เห็น พระเจ้าค่ะ ”

   ที่ยกตัวอย่างมาบอกเล่าให้ฟังนี้ เพื่อจะบอกว่า ใครผู้ใดมีจิตหลงติดเป็นทาสของทรัพย์ ไม่ต่างไปจากถูกงูพิษกัด ดังตัวอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันไงล่ะ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ผู้ถามปัญหาคลุกคลีอยู่กับงูพิษอย่างรู้เท่าทัน จึงไม่ถูกงูพิษกัด หรือว่าถูกงูพิษกัดเข้าแล้ว

   (๓) เหตุที่ไม่ดีในทางธรรม เพราะผู้ถามปัญหา พูดวางแผนให้คนมีความมั่นคงในชีวิตนี้เท่านั้น แล้วเมื่อต้องทิ้งขันธ์ลาโลกไปสู่การมีชีวิตอยู่ในภพหน้า มั่นใจไหมว่าได้พูดวางแผนให้เขามีความมั่นคงในชีวิต ไม่ลงไปเกิดต่ำกว่ามนุษย์ในวันข้างหน้า

   อนึ่ง คนที่เข้าปฏิบัติธรรมมีมาก แต่คนที่สามารถปริวรรติจิตใจจนเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้ มีอยู่จำนวนน้อย ในครั้งที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ ท่านพูดกับผู้ตอบปัญหาว่า “ คนที่เข้ามาปฏิบัติธรรมร้อยคน ได้ธรรมะของพระพุทธะกลับไปเพียงสองคน นับว่าโชคดีแล้ว ” ฉะนั้นที่บอกว่า คนในวงการที่ผู้ถามปัญหารู้จักสนิทสนมส่วนใหญ่ เป็นผู้มีคุณธรรม มีการบริจาค (ทาน) เป็นล้าน นั่นเป็นสิ่งถูกต้องที่พึงกระทำ เพราะทำแล้วได้บุญ แต่ท่านเหล่านั้นมั่นใจได้ไหมว่า เป็นผู้มีศีลมีธรรมกำกับใจ ผู้ใดมีศีลผู้นั้นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ผู้ใดมีศีลผู้นั้นไม่คอรัปชั่น ไม่ใช้โทรศัพท์ของหน่วยงานมาใช้ในเรื่องส่วนตัว ไม่เอางานส่วนตัวไปทำในเวลาของหน่วยงาน ผู้ใดมีศีล กาย วาจา ใจ ไม่ละเมิดในลูกเมียของคนอื่น ไม่เสพสังวาสกับโสเภณี ผู้ใดมีศีลผู้นั้นพูดไม่เคลื่อนไปจากความจริง ผู้ใดมีศีลผู้นั้นไม่บริโภคเครื่องดื่มที่สารแอลกฮอล์เจือปน และเช่นเดียวกัน ผู้ใดมีธรรมผู้นั้นไม่ประพฤติอกุศลกรรม ฯลฯ ขออภัยที่เขียนตอบยืดยาว ด้วยมีเจตนาเป็นเสมือนกระจกส่องผู้อ่าน ให้เห็นสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเอง

   (๔) การเป็นโรคแปลกๆ นั่นเป็นผลของกรรมที่ประพฤติทุศีล เป็นความลับที่เขามิได้บอกให้ใครผู้รู้ ปุถุชนผู้มิได้พัฒนาจิตจึงหลงเข้าใจผิดคิดว่า เขาเป็นคนมีพฤติกรรมดีงาม แต่การกระทำของเขาไม่สามารถหลอกใจมนุษย์ผู้พัฒนาจิตได้ ไม่สามารถหลอกตาเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกาได้ ฉะนั้น ความลับของมนุษย์จึงมิได้มีกับเทวดาในชั้นนี้
  

1033.
การตั้งจิตอธิฐาน

หนูเป็นคนที่ถามเรื่องเกี่ยวกับลูกศิษย์ของตนเองที่เป็นร่างทรงค่ะ คือหลังจากที่ได้ส่งจดหมายถามอาจาร์ยอีกฉบับนั้น ก็เกิดเรื่องมากมายเนื่องจากศิษย์คนนี้เขาเพี้ยนก้าวร้าวมากให้เพื่อนมาหาเรื่องน้องสาวหนูที่โรงเรียนเขาเรียนที่เดียวกัน ทั้งกลั่นแกล้ง พูดจาทำร้ายจิตใจ จนน้องสาวหนูร้องไห้แทบทุกวัน ซึมเศร้า หนูสอนให้เขานั่งสมาธิ ตั้งใจสวดมนต์ แผ่เมตตาให้ทุกคนรวมทั้งแฟนเขา(ลูกศิษย์หนู) ที่บอกว่าเพี้ยนไปเป็นคนละคน หนูสงสารน้องมากหลายครั้งโกรธคนเหล่านั้นมากมาย เพราะตลดเวลาหนูกับน้องดีกับลูกศิษย์คนนี้มาตลอด เราถูกอบรมมาภายใต้การสอนของบรรพบุรุษให้โอกาสแก่ผู้ด้อยกว่า ช่วยเหลือคนที่เขาเดือดร้อน รักและศรัทธาในคุณงามความดี แต่สิ่งที่หนูกับน้องสาวถูกกระทำในเวลานี้ จากคนที่เราให้โอกาส ช่วยเหลือเขา และศรัทธาว่าความดีงามที่เราทำจะช่วยให้เขามองเห็นคุณค่า และเป็นคนดี กลับเป็นการถูกระรานจากคนพาลรอบตัวเขา มีแต่ความวุ่นวายกังวลใจจากการระรานของเพื่อนๆ เขา หนูทางของหนูกับน้องต้องไม่สะทกสะท้านแบบที่อาจาร์ยบอกหนูประจักษ์แก่ใจ แต่หลายครั้งท้อแท้เหลือเกิน อยากรบกวนถามอาจาร์ยดังต่อไปนี้นะคะ

   1. เมื่อท้อแท้หนูพยายามนึกถึงแต่ตอนที่เขาเป็นคนดี แต่เหมือนกับตัวเองต่อต้านคัดค้านกันในใจ ว่ามันใช่หรือที่การเขาเป็นเช่นนี้ เพราะองค์หรือวิญญาณที่มีผลต่อ พฤติกรรม และจิตใจเขา

   2. มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าที่เขาเป็นอยู่เช่นนี้เป็นเพราะวิญญาณหรือองค์ที่เขาเรียกมาทำให้เขาเป็นเช่นนี้

   3. น้องสาวหนูเขาสวดมนต์ ทำสมาธิ แผ่เมตตาขอพรพระพุทธองค์ให้ความรักของเขากับร่างทรงนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิม หนูไม่รู้หรอกว่าสมหวังไหม รู้แต่ว่าคนเราทำสิ่งใดไม่ควรหวังสิ่งตอบแทน แต่ครั้งแรกที่หนูได้นั่งกรรมฐานเปิดโลกนั้น อาจาร์ยที่นำบอกว่าจิตของหนูรับกระแสพระพุทธองค์ ขณะนั้นรู้ไม่รู้สึกใดๆ ในร่างกายเหมือนไม่รับรู้อาการใดของร่างกายมีแต่ดวงแก้วสว่าง และรู้สึกเย็นปิติอย่างบอกไม่ถูก หนูไม่ทราบว่าใช่หรือไม่ใช่อย่างไร แต่ขณะนั้นเขาบอกให้ตั้งจิตอธิฐานขอพรหลังจากนั้นไม่ถึงเดือนก็สมปรารถนา ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไร เพราะหนูเชื่อว่าคนเรากระทำสิ่งใดไม่ควรหวังผลตอบแทน ท่านช่วยแนะนำว่าสิ่งต่างๆ ที่หนูบอกในข้อนี้เป็นเช่นไร แล้วน้องหนูขอพรแล้วเขาจะมีโอกาสสมหวังหรือไม่อย่างไร เป็นไปได้หรือที่เราขอเพื่อความสมหวังได้

   4. ทุกครั้งที่ทำสมาธิ หรือสวดมนต์นั้น หนูสวดมากมักจะให้ท่านช่วยให้หนูครองสติทำแต่ความดี อย่าให้จิตใฝ่หาความชั่วเพราะคิดว่าคนเราจะกระทำสิ่งใดต้องไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องลูกศิษย์กับน้องสาว หลายครั้งจิตใจนึกอาฆาตเพื่อนลูกศิษย์ที่มาระรานน้องตัวเอง อย่างไม่หยุด ต้องเตือนตัวเองและต่อสู้กับตัวเองใจจิตใจ เหมือนคนๆ เดียวแต่อีกคนคิดแต่สิ่งร้ายๆ อีกคนคิดถึงกรรมและควบคุมสติ มันช่างอึดอัดทรมาน นี่เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบของผู้ที่เลือกทางเดินเดียวกับพระโพธิสัตว์ หรือเปล่าคะ

   5. ทำไมในหนังสือสวดมนต์ต่างๆ ถึงบอกว่าเมื่อสวดมนต์แล้วขอพรคิดสิ่งใดจะสมปรารถนา มันจริงเท็จประการใด หนูสงสัยมากเพราะไม่เคยขออะไรแต่เมื่อเกิดเรื่องราวนี้หนูจึงขอพรบ้างให้เรื่องทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ให้หนูเห็นหนทางนำพาเขากลับมาเป็นคนดีคนเดิมได้ แต่ท่านอาจาร์ยบอกไม่ได้เขาต้องสวดมนต์ นั่งสมาธิเอง หนูมีหนทางใดที่จะช่วยเหลือเขาได้บ้างคะช่วยชี้นำแนวทางให้หนูที

   6. ถ้าหนูขอพรจากพระพุทธองค์ ให้น้องสาวหนูสมหวังในความรักได้หรือไม่ เพราะตลอด 30 ปี หนูขอพรตอนนั่งสมาธิเท่านั้น(ขอให้สอบบรรจุข้าราชการครูได้) ได้จริงดังปรารถนา เป็นครั้งแรกที่ขอเพื่อชีวิตตัวเองและก็ไม่แน่ใจว่าควรขอเพราะความเชื่อว่าทำสิ่งใดไม่ควรหวังสิ่งตอบแทน สวดมนต์ก็บอกว่าสวดเพื่อความมีสติไม่วุ่นวาย นั่งสมาธิก็เพื่อความสงบของจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน และส่งผลถึงความจำ หนูเชื่อเช่นนี้มาตลอดเริ่มงง ไขว่เขวเมื่อตอนที่นั่งกรรมฐานแล้วเปิดโลก แล้วรู้สึกปิติอย่างบอกไม่ถูก พอวันนี้ก็เลยอยากได้ความกระจ่างจากท่านอาจาร์ย ว่าแท้จริงเป็นเช่นไร

   7. บ่อยครั้งเหลือเกินที่หนูฝันเห็นพระพุทธชินราชทั้งที่ไม่เคยไป แต่มีโอกาสไปเมื่อหลังจากนั่งกรรมฐานเปิดโลก เมื่อเห็นท่านจริงๆ ปิติอย่างบอกไม่ถูกขนลุก ความรู้สึกสงบมากๆ และฝันถึงพระเก่าๆ องค์ใหญ่พอเห็นในหนังสือเหมือนที่ฝันจึงหาว่าท่านอยู่ที่ใด คือที่สุโขทัย ภาพเหมือนในฝันมากๆ หนูจำท่านได้ทุกรายละเอียด เป็นเพราะอะไร ส่วนมากฝันว่ากราบท่านหรือได้อยู่ข้างๆท่าน หรือเป็นเพราะหนูประทับใจในความงามของท่าน แต่น่าแปลกหนูไม่เคยเห็นท่านมาก่อนฝันก่อนตั้งแต่ช่วงอายุ 18 เห็นจะได้

   8. หนูไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทรงเจ้าแต่ทุกข์ใจเรื่องลูกศิษย์ จึงไปปรึกษาร่างทรงที่น่าศรัทธาคนหนึ่ง ที่น่าศรัทธาคือเขาไม่รีดไถเงินคนมาหา และจากการไปหลายครั้งหนูสังเกตว่าเขาทักทายสภาพจิตใจของหนูได้ถูกต้องมากกว่า 70% แล้วสังเกตคนที่เขาทุกข์มากมายไม่เคยต้องจ่ายเงินนั่นเงินนี่ แต่จะแนะนำแนวทางของธรรมะ ทำบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา สวดมนต์ไหว้พระ (ถ้าเป็นร่างทรงที่อื่นช่วงนี้หละคือช่วงกอบโกยเงินบางคนจ่ายหลักหมื่น สำหรับหนูแล้วหากคนไม่มีจะกินเขาทุกข์จะหาที่พึ่งแบบนี้คงไม่มีโอกาสสำหรับเขา หนูเองก็ถูกเรียกเงินจากร่างทรงที่ว่านี้เหมือนกันแต่มีสติพอที่จะคิดเพราะมีหลายอย่างที่รู้สึกว่าไม่ใช่) ร่างทรงที่ว่านี้เขาสามารถทำให้หนูเชื่อใจเขาได้แต่ก็ยังมีความไม่แน่ใจเพราะว่าเป็นเรื่องที่หนูไม่เข้าใจ เหมือนองค์ไร้เหตุผลที่ทำร้ายลูกศิษย์หนูการเป็นองค์เทพมาเพื่อช่วยร่างมิใช่หรือคะ แต่ตอนนี้ลูกศิษย์หนูถูกทำลายทุกอย่าง อนาคตการเรียน ความรัก ทำร้ายจิตใจพ่อแม่ และปู่ ย่า ตา ยาย คนรัก และครูที่รักและหวังดีกับเขา ร่างทรงที่หนูไปหาเพราะหนูไม่รู้ว่าจะได้ความกระจ่างไหม แต่หนูก็อยากได้คำตอบ ว่าควรทำอย่างไรต่อกับสิ่งมองไม่เห็น เขาต้องการอะไร ทำไมเราคุยกับเขาให้รู้เรื่องไม่ได้หรือ ร่างทรงบอกหนูว่าเขาให้บอกแค่ว่าเดี๋ยวลูกศิษย์หนูก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่ต้องรอหลังเดือนเมษายน ให้น้องหนูอดทน องค์ของลูกศิษย์หนูต้องการทดสอบหนูกับน้องสาว ทดสอบอะไร ทดสอบทำไม หนูก็ไม่เข้าใจ แล้ว ลูกศิษย์หนูไม่บาปหรือเขาก้าวร้าวกับบุพการี หนูไม่อยากเห็นเขาเป็นบาป หนูไม่เชื่อเต็มร้อยว่าเขาไม่รู้สึกตัวเลยถ้าเป็นเพราะวิญญาณ ลูกศิษย์หนูจะบาปไหมคะที่ก้าวร้าวกับบุพการี กับหนูที่เป็นครูเขา และก็กับญาติผู้ใหญ่ที่เลี้ยงเขามา หนูสงสารเขาไม่อยากให้เขาทำบาปอีก แค่นี้ชีวิตเขาก็แย่มากพอแล้ว

   หนูรบกวนอาจาร์ยมากมายเหลือเกิน หนูเหมือนได้คุยกับปู่ของหนูอีกครั้ง ปู่หนูเสียชีวิตตั้งแต่ปี 43 หนูสนิทกับปู่เพราะไปวัดกับปู่ตั้งแต่จำความได้ปู่เป็นมรรคทายกวัด ท่านจะสอนอะไรมากมายจนหล่อหลอมมาเป็นหนูทุกวันนี้ เล่าเรื่องพระ พาสวดมนต์ เวลาทุกข์ใจก็ปรึกษาท่าน ท่านก็จะยกตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงพบกับมารบ้างมาเปรียบให้หนูฟัง ทุกครั้งหนูก็สบายใจและสงบ ตั้งแต่ท่านเสียไปหนูก็ได้แต่จุดธูปคุยกับท่านเพราะรู้สึกว่าท่านดูหนูอยู่ตั้งแต่วันที่ท่านอาจาร์ยได้ตอบจดหมายมา เหมือนหนูได้คุยกับปู่อีกครั้ง หนูรู้สึกว่าตัวเองเขลานักเมื่อเกิดเรื่องน้องสาวกับลูกศิษย์ตัว หนูไม่ได้ขอเป็นหลานอาจาร์ยหรอกค่ะ มิกล้าแต่ขอเป็นคนที่ศรัทธา และชื่นชมอาจาร์ย ด้วยใจจริงค่ะ

กราบขอขอบพระคุณอาจาร์ยนะคะที่สละเวลาในการอ่านและตอบคำถาม

คำตอบ
    (๑) เป็นเพียงบอกเล่า มิได้ถามปัญหา

   (๒) เกิดจากจิตที่มีความเห็นผิด มาใช้ร่างกายของผู้อื่น กระทำในสิ่งที่แสดงออกเป็นพฤติกรรมไม่ดี

   (๓) ปุถุชนใกล้สิ่งไหนเป็นเหมือนสิ่งนั้น ใกล้คนดีดีตาม ใกล้คนไม่ดีไม่ดีตาม ด้วยเหตุนี้ พระพุทธะจึงได้บอกความเป็นมงคลกับเทวดาว่า “ อาสวนา จ พาลานัง ..... ” ผู้ใดเชื่อในความเป็นสัพพัญญูแล้วประพฤติตามให้ได้ ความเป็นมงคลก็จะเกิดขึ้นแน่นอน

   การเห็นดวงแก้วสว่าง การเกิดปีติ เป็นกิเลสที่ขวางทางมิให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ผู้ใดกำจัดสิ่งที่เป็นวิปัสสนูปกิเลสได้ โอกาสเข้าถึงวิปัสสนาญาณย่อมเกิดขึ้น อนึ่ง พระพุทธะมิได้สอนพุทธบริษัทให้ประพฤติตนเป็นผู้ขอ แต่สอนให้พุทธบริษัททำเหตุดีให้ถูกตรงตามที่ตั้งความปรารถนา (อธิษฐาน) ไว้ เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว ความสมปรารถนาในสิ่งดีงามย่อมเกิดเป็นจริงได้

   (๔) คนที่คอยแต่หวังให้ผู้อื่นช่วย เป็นคนที่มีจิตด้อยในศักยภาพ คนที่มีจิตอาฆาต คิดแต่สิ่งเลวร้าย เหล่านี้มิใช่วิสัยจิตของพระโพธิสัตว์ จึงเอาไปเปรียบเทียบกันไม่ได้

   (๕) ผู้ประพฤติอธิษฐานเพื่อความสำเร็จในสิ่งที่ดีงาม ต้องทำเหตุให้ถูกตรง ต้องใช้เวลาสร้างบุญสร้างบารมียาวนาน เหตุปัจจัยจึงจะลงตัว แล้วคำอธิษฐานจึงจะเป็นจริงได้ ดังตัวอย่างของพระพากุละอธิษฐานไม่อาพาธ ต้องใช้เวลาทำเหตุให้ถูกตรงยาวนานถึงหนึ่งแสนกัป พระสารีบุตรอธิษฐานเป็นอัครสาวกของพระพุทธะ ต้องใช้เวลาทำเหตุให้ถูกตรงยาวนานถึงหนึ่งอสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัป ผลแห่งการอธิษฐานจึงจะเป็นจริงได้

   การคิดหวังช่วยคนอื่นในทางโลกช่วยได้ผิวเผิน ด้วยเหตุนี้พระพุทธะจึงได้ตรัสในทำนองที่ว่า “ ตนนั่นแหละ เป็นที่พึ่งแห่งตน ” คือ พึ่งธรรมพึ่งความดีที่มีอยู่ในใจของตน ความดีในใจจะเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ทำความดีด้วยตัวเอง ผู้ตอบปัญหาเชื่อพระพุทธเจ้า จึงแนะนำว่า ไม่มีทางใดที่ผู้ถามปัญหาจะช่วยเขาได้อย่างแท้จริง

   (๖) ประพฤติตนเป็น “ ผู้ขอ ” มิใช่หนทางแห่งพุทธะ จึงไม่มีคำแนะนำใดเพื่อการนั้น อนึ่งการนั่งกรรมฐานแล้วเปิดโลก ทำให้ปีติและมีจิตเป็นทาสของปีติ นั่นมิได้ทำให้พ้นทุกข์ จึงควรหาทางแก้ไข เพื่อพัฒนาจิตเข้าสู่ปัญญาเห็นแจ้ง แล้วความทุกข์จึงจะหมดไปจากใจได้จริง

   (๗) ฝึกกรรมฐานเปิดโลก แล้วไปเห็นพระพุทธชินราช นั่นประพฤติผิดไปจากธรรมของพระพุทธะ การฝันเห็นสิ่งต่างๆ แล้วมีจิตยึดติดในสิ่งที่ถูกเห็น เป็นการปฏิบัติธรรมผิดทางเช่นกัน

   (๘) ผู้ใดมีจิตศรัทธาในร่างทรง ผู้นั้นมีศรัทธาที่ไม่กอร์ปด้วยเหตุผล พระพุทธะจึงไม่แนะนำพุทธบริษัทให้ศรัทธาเช่นนั้น เพราะเป็นการเปิดทางให้ความหลอกลวงเกิดขึ้น คนไม่ฉลาดนิยมประพฤติเช่นนี้ ผู้ถามปัญหาล่ะ เป็นคนประเภทไหน ตอบตัวเองได้หรือยัง?
  

1032.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร

   ดิฉันได้เข้าอบรมกับสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งได้อธิบายว่าการที่จะเข้าวิปัสสนาได้ต้องมีพลังจิตสะสมจากสมาธิสมถะทำจนได้ฌาณสี่ ก่อนจะเข้าภวังค์,ภวังค์ฌาณและอรูปฌาณนี้จะต้องผ่านจุดพลังอำนาจ ซึ่งการจะวิปัสสนานั้นต้องได้ฌาณสี่ และมีวสีเข้าวิปัสสนาณ.จุดพลังอำนาจถึงจะ เข้าวิปัสสนาได้จริง ไม่ใช่คิดเดาเอาเอง คือต้องมีกำลังสั่งสมมากพอ จนเกิดสมาธิมาก พอ ที่จะเห็นตาในหรือตาทิพย์เกิดนิพพิทาญาณและทวนกระแสเข้าไปปฏิบัติวิปปัสนาได้จริงๆ

ในกรณีที่คนที่ได้จุดพลังอำนาจหรือจุดระหว่างปลายประสาทของกายหยาบและกายละเอียด นี้ไม่เจริญวิปัสสนาก็อาจจะใช้ด้านการทำฤทธิ์ รักษาโรค เป็นต้น จุดพลังอำนาจ เป็นตำแหน่งก่อนเข้าภวังค์ ต้องทำสมาธิบ่อยๆเพื่อสะสมให้เกิดกำลัง

ขอเรียนถามอาจารย์ว่า จุดพลังอำนาจตำแหน่งนี้คืออะไรคะ ถ้าเราไม่สามารถสัมผัส จุดนี้ คือผ่านเข้าภวังค์ไปเลยโดยส่วนมากโดยไม่รู้ตัว

วิปัสสนาจำเป็นต้องใช้กำลังสมาธิตื้นมากไหมคะ

ขออนุโมทนา เป็นการถามเพื่อความเข้าใจไม่ต้องการเปรียบเทียบใดๆ
ขอแสดงความนับถือ
อลิวัสสา

คำตอบ
   จุดพลังอำนาจเป็นสมมติบัญญัติ ที่เกิดขึ้นจากความรู้ไม่จริง (อวิชชา) ของคนที่มีความเชื่อเช่นนั้น ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนาจนจิตเข้าสู่ความตั้งมั่นระดับฌาน จิตไม่สามารถรับสิ่งกระทบภายนอกใดเข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ การพัฒนาวิปัสสนาญาณไม่อาจเกิดขึ้นได้ แต่หากผู้ใดถอนจิตออกมาจากความเป็นฌาน โอกาสพัฒนาวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้นกับจิตจึงจะมีได้

สมาธิที่นำพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง เป็นสมาธิระดับจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ผู้ที่ชำนาญแล้วอาจใช้สมาธิระดับต้น (ขณิกสมาธิ) ไปพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้นย่อมทำได้
   

1031.
เรียนถามท่านอาจารย์สนองค่ะ

สืบเนื่องจากคำถามที่ 1020
1. เราชาวพุทธ ควรสวดมนต์บทไหนคะที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศานา เคยมีคนบอกว่าเราไม่ใช่พระไม่จำเป็นต้องสวดบททำวัตรเช้า - เย็น เพราะในปัจจุบันมีบทสวดมนต์มากค่ะ การที่เราเบิกบุญของเราเพื่อให้กับคนอื่นได้ไหมคะ และทำถูกต้องไหมคะ ถ้าไม่ถูกต้องควรทำอย่างไรคะ

สืบเนื่องจากคำถามที่ 966, 1019
2. ดิฉันมีคนที่ไม่ชอบดิฉันเอามากๆในที่ทำงาน เคยเอ่ยปากว่าจะเอาดิฉันออกจากงานหากตนเองมีอำนาจ ดิฉันทราบว่าในใจลึกแล้วดิฉันก้ออยากจะเอาชนะเค้า แต่อีกใจบอกตรงๆว่าไม่อยากจองเวรกลัวจะได้เจอกันอีกชาติหน้า ทุกวันนี้พยายามทำบุญอุทิศกุศลผลบุญให้เค้าเพื่อขอให้เค้าอโถสิกรรมเราดิฉัน เพราะเราทุกข์ใจทุกครั้งที่มีเรื่องกัน

พระพุทธะมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา ด้วยการใช้สติปัญญาแก้ปัญหาให้หมดไป....ด้วยการดูให้เห็นถูกตรงว่าปากของคนมีทั้งพูดดีและพูดไม่ดี ที่เขาพูดไม่ดีเพราะใจของเขามีความคิดเป็นอกุศล(บาป) เก็บสั่งสมไว้เมื่ออกุศลสั่งให้ปากพูด จึงพูดออกมาไม่ดี."

อาจารย์คะ ถ้าเราทำบุญ ไหว้พระสวดมนต์ทุกครั้งเราแผ่เมตตาให้เค้า สิ่งเหล่านั้นจะหายไปไหมคะ บางครั้งเราโกรธมากที่เค้าว่าเรา หรือโยนความผิดให้เรา เราก็นำเรื่องไม่ดีไปพูดอีก เราผิดมากไหมคะ เพราะเราปฎิบัติธรรม และเราควรแก้ไขอย่างไร พยายามคิดว่าเค้าเป็นครูในทุกเรื่องที่เห็น ได้ยิน แต่บางครั้งก็หลุดค่ะ

3. คนที่เป็นหัวหน้า แล้วโยนความผิดให้ลูกน้อง คือ สิ่งไหนที่ผิดจะเป็นลูกน้องตลอด เราควรทำอย่างไรคะที่จะไม่ให้โกรธเค้า เพราะเราไม่อยากมีตัวโมหะอย่างที่ท่านอาจารย์บอกค่ะ และเราควรทำตัวอย่างไร กับเพื่อนร่วมงานเพื่อที่จะให้มีความสุขในการทำงาน ทุกวันนี้เครียดกับที่ทำงานเพราะไม่มีความจริงใจเลย มีแต่การสวมหน้ากาก

4. การที่บุพการีของเรานำสมบัติของเราและน้องๆ ที่มีญาติฝากไว้ไห้ไปล้างผลาญหมดกับครอบครัวใหม่ ของเค้า เป็นสิ่งที่เราได้ชดให้เวรกรรมหรือเปล่าคะ

5. การที่เราพูดแต่ในสิ่งที่ไม่ดีของบุพการีที่ทำเราบาปมากไหมคะ และเราควรทำอย่างไร เพื่อที่จะชดใช้กับหนี้เวรนั้นได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เวลานี้ น้อง 2 คนลำบากมากเป็นเพราะเค้ายังมีใจเจ็บอยู่ เค้าต้องทำอย่างไรคะ ส่วนตัวดิฉันครอบครัวมีความสุขค่ะ มีเป็นบางช่วงของชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากค่ะ มีปัยหาแต่เรื่องที่ทำงานอย่างเดียว

กราบขอบพระคุณค่ะ
เบญญาภา

คำตอบ
    (๑) ผู้ที่บอกว่าไม่ใช่พระ ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์บททำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น นั่นเป็นความเห็นถูกของเขา แต่เป็นความผิดของผู้รู้จริง ในทางโลกปุถุชน ดูความเป็นพระที่การแต่งกาย แต่ในทางธรรม ดูความเป็นพระที่สภาวะของจิตใจ พระพุทธเจ้าสอนพระสงฆ์ ให้นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ด้วยการเจริญจิตตภาวนา และสอนฆราวาสธรรมให้แก่ฆราวาสมีชีวิตอยู่กับโลก ให้มีทุกข์เท่าที่จำเป็น ฆราวาสในครั้งพุทธกาล อาทิ อนาถบิณฑิกเศรษฐี พาหิยะลูกพ่อค้า พระนางเขมามเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ฯลฯ ได้ประพฤติธรรมตามแบบสงฆ์ ยังสามารถบรรลุธรรมของสงฆ์ได้ โดยไม่ผิดธรรมไม่ผิดวินัยแต่อย่างใด ดังนั้นหากผู้ถามมีเวลาพอที่จะสวดมนต์ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็นได้ จงสวดมนต์ไปเถิด

ส่วนเรื่องการเบิกบุญต้องเข้าใจว่า บุญเกิดจากการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ผู้ใดประพฤติแล้ว ย่อมมีบุญเก็บสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของตัวเอง มิได้เอาบุญไปฝากได้กับใครผู้ใด จึงไม่จำเป็นต้องไปเบิกบุญมาใช้ ในยามที่คิดปรารถนาที่จะอุทิศบุญให้กับผู้อื่น สามารถอุทิศให้ได้ทุกเวลาที่ปรารถนาจะให้

   (๒),(๓) ผู้ไม่มีธรรมอยู่ในใจ จิตไม่ชอบใครหรือพูดไม่ดีกับใคร สามารถทำได้เป็นธรรมดาของบุคคลเช่นนี้ หากผู้ถามปัญหามีธรรมรักษาใจ ไม่สามารถคิดไม่ดีกับใคร ไม่สามารถพูดไม่ดีกับใคร ฉะนั้นต้องดูที่ใจของตัวเองจะมีประโยชน์มากกว่า เช่นเดียวกับคนที่คิดเอาชนะผู้อื่น เป็นคนที่แพ้ใจตัวเองตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว การคาดหวังให้คนอื่นยกโทษให้ เป็นการคาดหวังที่เกิดขึ้นกับคนที่มีความเห็นผิด การโต้แย้งโต้เถียงเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี เกิดขึ้นกับใจของคนที่มีความเห็นผิด ดังนั้นผู้ใดพัฒนาปัญญาเห็นถูกตามธรรม ให้เกิดขึ้นกับใจของตนเองได้แล้ว การคาดหวังจากคนอื่น การโต้แย้งโต้เถียงกับคนอื่นจะไม่เกิดขึ้นให้จิตวิญญาณต้องมีบาปสั่งสม

อนึ่งผู้ใดมีเมตตา สามารถแผ่เมตตาให้กับสัตว์ผู้จองเวร แล้วเวรกรรมจะไม่เกิดขึ้นกับผู้มีเมตตา คนที่ยังมีความโกรธเกิดขึ้นกับใจ ยังมิใช่ผู้มีเมตตา ฉะนั้นการแผ่เมตตาจึงเป็นโมฆะคือไม่มีผล การให้อภัยเป็นทานเป็นเหตุให้เกิดเมตตา ผู้ใดให้อภัยต่อสิ่งที่ทำให้ขัดใจได้ทุกเรื่อง ผู้นั้นไม่โกรธผู้นั้นมีเมตตา ผู้นั้นมีอารมณ์สงบและเย็น

   (๔) ผู้รู้เกิดมาเพื่อปรับปรุงแก้ไขชีวิตที่เคยทำผิดพลาดให้กลับมาดีงาม มองให้ออกว่าในวันที่เกิดมาดูโลก มิได้มีสิ่งใดติดตัวมาเกิดด้วย สมบัติต่างๆมาเกิดขึ้นในภายหลังทั้งสิ้น บุพการีจะนำสมบัติของใครไปทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา คิดให้ถูกว่าเป็นการใช้หนี้กรรมให้หมดสิ้นกันไป เพราะตายแล้ว ไม่มีใครผู้ใดนำสมบัติกำพร้านี้ไปได้ มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ติดตัวไปได้เมื่อตาย ผู้ฉลาดจึงไม่หวังและไม่ห่วงกับสมบัติที่เป็นกำพร้าเหล่านั้น

   (๕) บาปมากหรือบาปไม่มากขึ้นอยู่กับความเห็นของคน แต่ที่แน่ๆ ผู้ใดอกตัญญูต่อผู้มีอุปการคุณ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ความวิบัติในชีวิต และความวิบัติในการทำงานย่อมเกิดขึ้น

ส่วนเรื่องของการบริหารหนี้เวรกรรม โปรดอ่านคำตอบจาก web site ข้อ 728 หรือหนังสือสนทนาภาษาธรรม เล่ม ๑๑ ข้อ ๗๘
   

1030.
กราบเรียนท่านอาจารย์สนองที่เคารพค่ะ

ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ถูกเลิกจ้างค่ะ เจอปัญหาอย่างนี้มา2ครั้งแล้ว โดยที่เราไม่ได้ทำความผิดอะไรจริง ๆ แต่ บริษัทฯบอกว่าประสบปัญหาทางการเงินจึงต้องให้ออก
ตอนนี้ก็เลยหางานใหม่ อยากถามอาจารย์สนองดังนี้ค่ะ

1. สิ่งที่เกิดกับดิฉันเป็นกรรมเก่าหรือไม่คะ
2. ถ้าใช่ดิฉันจะทำอย่างไรดีเพื่อที่สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดกับดิฉันอีก
3. ดิฉันสนใจงานที่ต้องอาศัยค่าคอมมิชชั่นในการขายเป็นรายได้ งานลักษณะแบบนี้ เป็นงานสัมมาอาชีวะหรือไม่คะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์สนองที่เสียสละเวลามาตอบคำถามให้ดิฉันด้วยนะคะ แต่ดิฉันสงสัยจริง ๆ ค่ะ ขอขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ

คำตอบ
    (๑) ตอบว่าใช่ เรื่องที่ถูกปลดออกจากงาน เป็นผลของกรรมเก่าที่ผู้ถามปัญหาได้ก่อไว้แต่อดีต

   (๒) คำว่า “ มโนมยา ” มีความหมายว่าสำเร็จด้วยใจ ผู้ใดประสงค์มีงานทำโดยไม่ถูกปลดออกจากงาน ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งคือมีความรู้ มีความสามารถในงานที่ทำเหนือผู้อื่น และพัฒนาตนเองให้เป็นคนดีมีคุณธรรมเป็นพื้นฐานของใจ ด้วยการประพฤติจริยธรรมลูกที่ดีของพ่อแม่ จริยธรรมลูกน้องที่ดีของนายจ้าง พลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ฯลฯ แล้วต้องประพฤติตนเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีอุปการคุณ หากทำได้เช่นนี้แล้ว จะไม่ถูกปลดออกจากงาน และหากผู้ใดพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีดวงดี ด้วยการบำเพ็ญทานอยู่เสมอ รักษาศีล ๕ ให้มีอยู่กับใจทุกขณะตื่น และเจริญจิตตภาวนาอยู่เนืองนิตย์ ผู้ทำได้เช่นนี้มีดวงดีแน่นอน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ ความเป็นอมตะในการมีงานทำจะเกิดขึ้นกับผู้มีศักยภาพเช่นนี้

   (๓) ผู้รู้จริงไม่เลือกงานทำ ขอเพียงแต่ว่างานที่ทำ ต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม ต้องทำงานเพื่อให้สิ่งดีงามกับคนอื่น ให้สิ่งดีงามกับสังคมส่วนรวม ส่วนคนไม่ฉลาดในการทำงาน ประพฤติตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวข้างต้น

   ส่วนงานที่มีเปอร์เซ็นต์ในการซื้อขาย (คอมมิสชั่น) หากเป็นงานที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม และผู้มาใช้บริการมีใจยินดีจ่ายค่าคอมมิสชั่น โดยไม่รู้สึกเสียดายหรือถูกเบียดเบียน งานนั้นถือว่าเป็นสัมมาอาชีวะ หรือเป็นสัมมากัมมันตะในทางโลกได้
     

1029.
สวัสดีคะ ท่านดร. สนอง วรอุไร หนูมีเรื่องไม่สบายใจอยากปรึกษาท่านคะ

   เรื่องมีอยู่ว่าตอนนี้ปี พ่อแท้ๆขอให้หนูใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์คะ แต่พ่อไปแต่งงานใหม่อีกจังหวัดหนึ่ง พ่อไม่ส่งค่างวดรถซึ่งค้างมาหลายเดือน ทางไฟแนนซ์จึงดำเนินการยึดรถ โดยที่เรื่องทุกอย่างพ่อก็รับรู้ แต่ตามรถและพ่อไม่เจอ ทางไฟแนนซ์เลยให้ตำรวจช่วยหา พ่อจึงเข้าใจผิดว่าลูกเป็นคนแจ้งความจับพ่อ หลังจากนั้นพ่อคงโกรธมาก แช่งลูกให้ญาติฟังว่า ขอให้ลูกเจริญลง ขอให้ลูกวิบัต คำแช่งหลายอย่างแช่งมาที่ลูก หนูก็ไม่สบายใจเลยคะ หนูทำผิดด้วยหรอคะ มีอีกเรื่องหนึ่งคะ ตอนไกล่เกลี่ยให้พ่อเอารถมาคืนไฟแนนซ์ คุยกันไม่รู้เรื่องเลยทะเลาะกันคะ หนูก็พลั้งปากคะ พูดไม่ดี คิดแล้วเครียดมากเลย ทำไมพ่อเราต้องแช่งเราขนาดนั้น ตัวท่านเองก็ไม่เคยมาเลี้ยงดู ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก พอมีเรื่องก็ขอให้ช่วยช่วยแล้วเกิดปัญหา ยังมาว่าลูกอีก จะเป็นอย่างที่พ่อแช่งมั้ยคะ กลุ้มมากคะ พ่อแท้ๆ ยังทำกับลูกได้ ขอให้ท่านอาจารย์ แนะนำด้วยคะ ต้องทำอย่างไร บาปมั้ยที่หนูทำแบบนี้ มีบทสวดมนต์ทำให้หนูพ้นคำสาปแช่งได้มั้ยคะ

ขอบคุณมากคะ ที่กรุณาตอบคำถาม

คำตอบ
   คำพูดที่ออกจากปากของคนที่ทุศีลไร้ธรรม มีทั้งพูดดีและพูดไม่ดี เช่น พูดสาปแช่งผู้อื่น หากผู้ถามปัญหามั่นใจว่า ตัวเองเป็นคนมีศีลและมีธรรมคุ้มครองใจ แล้วใช้ขันติ ใช้สติ และใช้พรหมวิหาร ๔ มาคุ้มครองใจ คำสาปแช่งของผู้อื่น ไม่สามารถทำให้ผู้ถูกสาปแช่งวิบัติได้ จึงไม่ถือว่าเป็นบาป ตรงกันข้ามผู้สาปแช่งผู้อื่นต้องรับความวิบัติ ด้วยมีเขาเป็นผู้กระทำเหตุให้เกิดขึ้นด้วยตัวของเขาเอง

   ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องสวดมนต์บทใด เพื่อให้พ้นคำสาปแช่ง แต่ควรสวดมนต์เพื่อสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย และสวดมนต์บทโมรปริตรเพื่อป้องกันตัว และเจริญสติให้มีกำลัง แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตสงบต่อสิ่งอันเป็นอกุศลนี้
  

1028.
กราบเรียน : อาจารย์สนองที่เคารพรัก

หนูใคร่อยากไปปฏิบัติธรรม เพื่อทำจิตตภาวนา (จัดเป็นกิเลส แค่อยากดีก็เป็นกิเลส) โดยมีครูบาอาจารย์ที่เป็นกัลยาณธรรมคอยชี้แนะ แต่คุยกับสามีแล้ว ยังไม่เห็นด้วย (หากปฏิบัติ สวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิ เดินจงกลม หลังจากว่างเว้นการงาน เช่น ช่วง 1ทุ่มครึ่ง เดินจงกลม ทำสมาธิ ฝึกโยคะ และช่วงเช้ามืด ตี4 ทำสมาธิ ขยับกายสบายชีวีวิถีพุทธ) อย่างนี้ได้ค่ะ สามีอธิบายว่า “ ทำบ้านให้เป็นวัด ” ก็ได้ ทำไมต้องไปปฏิบัติที่วัดด้วย (สามีนับถือศาสนาคริสต์) บอกว่าคนเราเกิดหนเดียว ตายหนเดียว และ บอกว่าหลักง่ายๆ พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า แค่ทำจิตให้ว่าง ห่างจากกิเลส เรื่องกาย ; กินอาหารที่สุกสะอาด ออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และไปเที่ยว เช่น ทะเล เที่ยวสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ มีต้นไม้ อากาศบริสุทธิ์ สัมผัสธรรมชาติให้มากที่สุด ไม่ต้องไปเดินห้างสรรพสินค้า ไม่ต้องเข้ากรุงเทพ (บ้านอยู่นครปฐม) เพราะเชื้อโรคเยอะ มลพิษแยะ เรื่องใจ ; ทำใจให้ว่าง ไม่ต้องไปทุกข์ ไปยึด ไปคิดอะไร ที่หาสาระไม่ได้ และก็ว่าตัวเขาจะนับถือพระที่ละกิเลส คือไม่รับเงิน แต่คงจะไม่ได้พบเจอ เพราะพระท่านคงจะอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร คงปฏิบัติจิตไม่ข้องแวะกับคนที่กิเสสหนา หนูว่าที่เขาพูดก็ถูกของเขา แต่เราก็อยากจะไปปฏิบัติ (เป็นเวลานานแล้วเหมือนกันค่ะ น่าจะ 10 ปีแล้ว) เพราะโดยอุปนิสัยแล้ว ไม่อยากจะสร้างเหตุอะไร ที่จะเกิดประเด็นขึ้นมาให้จิตขุ่นมัวค่ะ มีครอบครัวแล้วก็ไม่อิสระน่ะค่ะ

คำถาม 1) ต้องอธิษฐาน หรือสร้างเหตุให้ตรงอย่างไรดีค่ะ ถึงจะเป็นปัจจัยหนุนให้เราได้เข้าไปปฏิบัติธรรม สักครั้งหนึ่งในชีวิต “ ที่สถานปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ” นอกเหนือจากปฏิบัติที่บ้านน่ะค่ะ แต่โดยเนื้อแท้แล้ว หนูก็มองว่า สถานที่ ไหนก็ได้ ขอเพียงใจเรา เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีใจที่บริสุทธิ์ ก็โอเคแล้วน่ะค่ะ (เหมือนที่ฟังอาจารย์บรรยายธรรม “ เรื่องอุบายทำให้จิตสงบ ” และอื่นๆที่เป็นสารัตถประโยชน์ ปฏิบัติให้ได้ ทำตนให้ได้เยี่ยงนั้น อานิสงส์ก็คงก่อเกิดกับตัวเราและครอบครัวของเรา )

2) ลูกชายหนู อายุ 12 ปี ไม่ค่อยตั้งใจเรียนหนังสือ ดูแต่หนัง เล่นเกมส์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี หนูพูดว่าเราเป็นเด็ก หน้าที่ของเด็กก็คือต้องตั้งใจเรียน หมั่นทบทวนตำรับตำราเรียน ช่วยเหลืองานบ้านพ่อแม่บ้าง และทำตนให้ลูกเห็น เรื่อง สวดมนต์ ทำสมาธิ เดินจงกลม ฝึกโยคะ และชักชวนให้ปฏิบัติ ได้สัก 1-2 วัน ก็ไม่สนใจแล้ว ท้ายสุดก็ต้องวางค่ะ แต่หนูก็คิดน่ะค่ะว่า จิตวิญญาน ของลูกก็ของลูก ของแฟนก็ของแฟน เราได้แต่ชี้แนะ และตามดู ทำหน้าที่ของภรรยาและ แมที่ดีของลูก อย่าให้ขาดตกบกพร่อง สิ่งที่ไม่ดีอย่าให้ออกไปจากตัวเรา ถือเป็นข้อปฏิบัติในชีวิตของการทำงาน , ครอบครัว , สังคมรอบตัว หนูต้องทำตนเป็น ตัวอย่าง เยี่ยงไรค่ะ ลูกถึงจะไม่หลงโลก และให้ลูกมีดวงตาเห็นธรรม มีปัญญาที่เป็น “ ภาวนามยปัญญา ”

พร้อมนี้หนูใคร่ขอขมากรรมต่ออาจารย์ มา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ ข้าพเจ้าคุณกุลิสรา กิจบำรุงขออธิษฐานจิตถึงอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมที่ข้าพเจ้าเคยมีต่อครูบาอาจารย์ ทั้งที่ตั้งใจและมิได้ตั้งใจ ไม่ว่าตั้งแต่ภพไหนๆ หากเป็นกรรมที่ล่วงเกินลบหลู่ดูหมิ่น อันเป็นเหตุนำมาซึ่งโทษภัยใดๆ ทั้งปวง ข้าพเจ้ากราบขอขมาอาจารย์ได้โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าด้วย และด้วยกุศลนี้ขอให้ข้าพเจ้าได้มีดวงตาเห็นธรรม เกิดมาขอให้ได้พบพระพุทธศาสนา และมีความเห็นที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ทุกภพชาติด้วยเทอญ

ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ

ด้วยความรักเคารพศรัทธายิ่ง

คำตอบ
   (๑) ต้องอธิษฐานให้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม แล้วสร้างเหตุให้ตรงสู่จุดนั้น ลองหาซีดีการบรรยายธรรม เรื่อง
“ บวชอยู่ที่บ้าน ” บรรยายเมื่อ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ มาฟังดู แล้วจะเห็นแนวทางการปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมได้ที่บ้าน

  (๒) บุคคลมีชิวิตเป็นของตัวเอง ผู้รู้ไม่ก้าวล่วงไปบงการชีวิตของผู้ใด ให้เป็นตามที่ตนเองต้องการ ผู้รู้เป็นได้เพียงชี้ทางให้แก่ชีวิต เขาจะนำไปประพฤติหรือไม่เป็นสิทธิ์ของเขา เราต้องปล่อยวางแล้วพัฒนาจิตตัวเอง ให้เป็นไปตามที่เราต้องการ นั่นเป็นสิ่งถูกต้อง เมื่อใดจิตเกิดปัญญาเห็นแล้ว พัฒนาพฤติกรรมของตัวเองให้ดี ไม่เป็นคนหลงโลก จนเขาเกิดศรัทธาขึ้นเมื่อใด เขาจึงจะทำตามที่เราอยากให้เขาเป็น

อโหสิ ไม่มีอกุศลกรรมใดๆต่อกัน จงเป็นผู้อยู่ในธรรมของพระพุทธะ แล้วนำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏสงสาร
  

1027.
กราบอาจารย์ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

หนูเคยได้ยินอาจารย์บางท่านบอกว่าการถวายสังฆทานนั้น เราจะสามารถอุทิศบุญกุศลให้ได้ฉพาะผู้ล่วงลับแล้วเท่านั้น ส่วนผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่สามารถอุทิศให้ได้ด้วยการถวายสังฆทาน ต้องใช้วิธีอื่น
หนูอยากทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
  เป็นการพูดถูกของอาจารย์บางท่าน ที่พูดบอกเช่นนั้น แต่พูดไม่ถูกตามที่ผู้รู้เข้าถึง ผู้รู้พูดว่า บุคคลใดทำสังฆทานมาแล้ว ผู้นั้นมีบุญ ผู้มีบุญกลับถึงบ้านแล้วบอกพ่อแม่ว่า วันนี้ลูกได้ไปทำสังฆทาน ลูกขออุทิศบุญให้พ่อแม่ หากพ่อแม่กล่าววาจาว่า “ สาธุ ” พ่อแม่ก็ได้รับบุญ (ปัตตานุโมทนามัย) ที่ลูกได้ทำสังฆทานมา
  

1026.
กราบเรียน อาจารย์ ดร.สนองค่ะ

ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์มากนะคะ ที่กรุณาสละเวลาของท่านอ่าน และช่วยคลี่คลายปัญหาให้ค่ะ

ขอถามอนุญาตเล่าเรื่องราวนะคะ

ขณะที่ตนเองนั้น ได้เห็นพระพุทธรูป รูปปั้นเทป หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ มักเกิดคิดอกุศลจิตในใจ จ้วงจาบ หยาบคาย โดยที่บังคับไม่ให้คิดไม่ได้ค่ะ ทั้ง ๆ ที่โดยส่วนตัวแล้วปกติ ทั้งภายนอก และภายในใจ ก็มิได้เป็นคน หยาบคาย คิดร้าย แต่ประการใดค่ะ นับถือพุทธศาสนา และสวดมนต์ไหว้พระ เป็นประจำ (เกือบทุกวันค่ะ) ปัจจุบัน ก็พยายามนั่งสมาธิให้ได้ทุกวัน 15-20 นาทีค่ะ เคยไปปฏิบัติธรรม นานมาแล้วค่ะ ที่บ้านคุณแม่สิริ ดีมากค่ะ แล้วก็ทรมาร มากด้วย ทรมารเพราะเวลาอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป แล้วจิตจะคิดไม่ดีค่ะ ทุกวันนี้ ถวายข้าวพระพุทธตอนเช้า บางครั้งก็กราบพระแล้วไม่กล้ามองไปที่พระพุทธรูปเลยค่ะ

รู้สึกเครียดกับสิ่งที่ตนเองเป็นมากค่ะ เพราะเป็นตั้งแต่เด็กค่ะ จำไม่ได้ว่าอายุเท่าไหร่ ทราบแต่ ตั้งแต่เด็ก ๆ เลยค่ะ (ปัจจุบันอายุ 35 ค่ะ) บางครั้งพยายามคิดว่าช่างมัน ไม่ใช่เราคิด แต่ก็ทุกข์ใจมากค่ะ ทั้งกลัวบาป ทั้งขุ่นมัวในใจ บางทีก็จิตตกไปเลยค่ะ ท้อ ๆ บ้าง โกรธตัวเองบ้าง ประมาณไม่สงบสุขค่ะ สวดมนต์ ทำสมาธิ ก็ไม่สงบสุข เพราะความคิดแบบนี้มันดังในหัวตลอด ทำให้มีอารมณ์กระทบใจตลอดค่ะ

โดยส่วนตัว สมาธิ ไม่ค่อยดีค่ะ สนใจการทำสมาธิมาก แต่ที่ผ่านมาคิดว่า ยิ่งทำยิ่งเป็น ยิ่งสวดมนต์ยิ่งเป็น แต่ก็อยากจะพยายามทำค่ะ เพราะมีโอกาสเกิดเป็นคนแล้ว ก็อยากจะสัมผัสกับ จิตที่เป็นสมาธิ มีสติ และเข้าใจธรรมะจริง ๆ ในชาตินี้น่ะค่ะ (เพราะไม่รู้จะมีโอกาสอีกเมื่อไหร่ค่ะ :)

ขอปรึกษาอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. ขอคำแนะ หรือแนวทางในการคิด ปฏิบัติ และรักษา อาการทางจิตนี้น่ะค่ะ

2. เป็นบาป มาก หรือไม่ค่ะ พอคะเนได้หรือไม่คะว่าเป็นผลมาจากกรรมประเภทใด

ท้ายนี้ขออนุโมทนาบุญกับ อาจารย์ ดร.สนองด้วยนะคะ ที่อาจารย์ช่วยให้ผู้คนหลาย ๆ คน มีความสว่างไสวในการดำนินชีวิต และบุญกุศุลของอาจารย์นี้ ก็คงยิ่งตอบแทนให้ อาจารย์สมความปรารถนายิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ

ขอบพระคุณมากจริง ๆ ค่ะ

คำตอบ
   (๑) ต้องไปสวดมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยหน้าพระพุทธรูป หน้าองค์เจดีย์ ฯลฯ แล้วสารภาพผิดในอกุศลกรรมที่เคยล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผู้ทรงคุณธรรมไว้แต่อดีต แล้วกล่าววาจาสารภาพผิดให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกโทษให้ หลังจากนั้นต้องรักษาใจ ไม่ประพฤติล่วงเกินผู้ทรงคุณธรรมสูงอีกต่อไป หากรักษาสัจจะไว้ได้ ปัญหาดังกล่าวจะหมดไป

   (๒) ไม่ใช่การคาดคะเน เพราะทุกปรากฏการณ์ ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด เหตุที่ว่านั้นคือ ได้กล่าววาจาปรามาส กล่าววาจาล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีคุณธรรมสูงนั่นเอง ถามว่าเป็นบาปมากไหม ต้องตอบว่า หากบาปนี้ยังคงมีอยู่ในจิตวิญญาณ ปฏิบัติธรรมแล้วไม่สามารถเข้าถึงมรรคผลได้ เมื่อใดทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว ดิรัจฉานภูมิเปิดรอจิตวิญญาณให้โคจรไปสู่
  

1025.
เรียนท่านอาจารย์ ดร. สนอง วรอุไร

   ก่อนอื่นผมขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์ ศิษย์ผู้รู้น้อยคนนี้อยากเข้าถึงหลักแห่งปัญญา แต่ระหว่างการปฏิบัติฝึกนั่งสมาธิ ศิษย์คนนี้ก็พบกับข้อสงสัยต่างๆนาๆที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติขอท่านอาจารย์จงชี้แนะแนวทางให้ศิษย์คนนี้ด้วยครับ
ปัญหาของลูกศิษย์มีดังนี้

๑)ตอนนี้ศิษย์อายุได้ ๒๑ ปีมีปัญหาขัดข้องใจในการปฏิบัตินั่งสมาธิ วิธีการของศิษย์ใช้วิธี "พุธ โท"ในการกำหนดระหว่างการปฏิบัติก็เกิดปรากฎการณ์ต่างๆขึ้น เรียงตามลำดับดังนี้
       ๑.ตัวเบาเหมือนในอากาศ
       ๒.ตัวเย็นจนหนาวสั่น
       ๓.เกิดทั้งข้อ ๑ และ ๒ พร้อมกัน
       ๔.ลมหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ
       ๕.กำหนดลมหายใจไม่ได้
       ๖.ไม่มีลมหายใจออกที่ปลายจมูกเลยครับ เกิดความว่างเหมือนตัวเราและสัพสิ่งดับไปหมดแล้วแม้แต่ชีวิตของตน(แต่เกิดขึ้นได้ไม่นานแล้วความปวดก็มาแทนที่)
   ศิษย์อยากถามเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์ ศิษย์ปฏิบัติถึงขั้นไหนแล้ว ขออาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติแก่ศิษย์คนนี้ด้วยคับ

๒)บางครั้งเวลาศิษย์อ่านหนังสือก็เกิดปรากฎการณ์ตัวเบาหรือตัวเย็นเหมือนนั่งสมาธิทำไมเป็นเช่นนั้นครับอาจารย์

๓)จริงหรือครับที่ว่าการนั่งสมาธิจะทำให้เราเรียนเก่งขึ้น ความจำดีขึ้น

"สุดท้ายนี้ศิษย์ขอขอบคุณที่หนังสือของอาจารย์ที่ทำให้ศิษย์ได้พบกับอาจารย์"

คำตอบ
   (๑) ที่บอกเล่าไป เป็นผลของสมถภาวนา มีจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ แต่ยังเข้าไม่ถึงปัญญารู้แจ้ง

วิถีพัฒนาจิตต่อไป คือ เอาจิตที่เป็นสมาธิมากำหนดดูอาการตัวเบา อาการหนาวจนสั่น ลมหายใจอ่อน ลมหายใจไม่มี ฯลฯ ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออาการตัวเบาเข้าสู่ความเป็นอนัตตา แล้วไม่หวนกลับมาให้จิตระลึกรู้ว่า อาการตัวเบาได้เกิดขึ้นอีก ปัญญาเห็นแจ้งในอาการตัวเบาก็จะเกิดขึ้น ใช้จิตตามดูอาการหนาวจนสั่นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออาการหนาวจนสั่นเข้าสู่ความเป็นอนัตตา แล้วไม่หวนกลับมาให้จิตระลึกรู้ว่า อาการหนาวสั่นไม่เกิดขึ้นอีก ปัญญาเห็นแจ้งในอาการดังกล่าวก็จะเกิดขึ้น ทุกผัสสะที่เกิดขึ้นกับจิต ต้องใจ้จิตตามดูจนเห็นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ วิปัสสนาญาณคือ ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้น

   (๒) เป็นเพราะจิตขาดสติ จิตจึงเคลื่อนออกไปจากการอ่านหนังสือ อาการที่บอกเล่าไปจึงได้เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่วิถีแห่งการรู้แจ้ง

   (๓) นักจิตวิทยาตะวันตก ได้ทำวิจัยแล้วได้ผลออกมาเป็นเช่นนั้นว่า จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ส่งผลให้คลื่นสมองเปลี่ยนความถี่ ทำให้สมองมีความจำเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นอย่าปลงใจเชื่อตามหลักกาลามสูตร แต่หากประสงค์จะพิสูจน์ว่าเป็นไปตามผลวิจัยนั้นหรือไม่ ต้องปฏิบัติดูด้วยตนเอง
   

1024.
กราบเรียน : อาจารย์สนองที่เคารพรัก

   ด้วยเมื่อก่อนหนูมีความทุกข์เรื่องของธุรกิจ นับแต่ปี 2548 ซึ่งช่วงนั้นมีความคิดที่ไม่ถูกตรง ได้ทำการบนบานทั้งต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ และเจ้าที่เจ้าทางที่บ้าน ทั้งที่จดไว้บ้าง และไม่ได้จดไว้บ้าง จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง (ตามประสาคนที่มีปัญญาน้อยน่ะค่ะ) นับแต่ปัจจุบันนี้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานับเนื่องถึงวันนี้ นับแต่ได้รู้จักกัลยาณธรรม กัลยาณมิตรเป็นครูบาอาจารย์ ผ่านทางเว็บไซด์กัลยาณธรรม ซึ่งมีความคิดเห็นที่ถูกตรง และมองว่าสิ่งที่ได้กระทำมานั้น เป็นเรื่องที่หาสาระไม่ได้ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยธุรกิจที่ติดขัดได้ลุล่วงและสำเร็จลงด้วยดี ด้วยเหตุปัจจัยลงตัว สัจจะที่หนูได้ติดสินบนนั้น

คำถาม หากหนูไปขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนเคารพกราบไหว้สักการะ อาทิ เช่น องค์พระปฐมเจดีย์ , องค์หลวงพ่อวัดไร่ขิง และเอ่ยบทที่เราติดสินบนนั้นอย่างไรค่ะ เพื่อจะได้ไม่ติดค้างอยู่ในจิต และอนาคตจะได้เดินได้ถูกตรง คิดดี ทำดี อยู่ดีให้เป็นกุศล “ ธรรม ย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม ” สาธุ ๆ หรือใคร่ขอคำแนะนำจากอาจารย์ที่ถูกต้องในทางธรรมด้วยค่ะ

ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ

ด้วยความรักเคารพศรัทธายิ่ง

คำตอบ
   ศีลและสัจจะเป็นคุณธรรมที่นำสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นเมื่อได้บนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้แล้ว ต้องประพฤติตนมีสัจจะ ด้วยการไม่แก้บนให้ถูกตรง และต่อไปต้องไม่ประพฤติบนบานให้เกิดขึ้นอีก

   ผู้ใดประสงค์ความเจริญในชีวิต และความเจริญในธุรกิจการงาน ต้องประพฤติตนให้เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ต่อบุพการี ต่อผู้มีอุปการะแก่ตน ต่อแผ่นดินเกิด แผ่นดินอยู่อาศัย แผ่นดินที่ให้ความมีชีวิตรุ่งเรืองและอยู่สงบสุข ฯลฯ
  

1023.
เรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ

   หนูได้ติดตามผลงานธรรมทานจากท่านอาจารย์มาโดยตลอด พยายามให้ศีลคุมใจให้ได้อย่างน้อย ศีล5 ไม่โกรธ และให้อภัยบุคคลที่ก่อความเดือดร้อนให้กับหนู ตอนนี้มีเรื่องกลุ้มใจเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องการงาน ตลอดตั้งแต่เรียนจบและทำงานมาเป็นเวลา 12 ปีแล้ว หนูต้องรับภาระงานหนัก งานที่ต้องแก้ปัญหา โดยเฉพาะงานที่บุคคลอื่นได้สร้างปัญหาให้หนูแก้ไขมาโดยตลอด ย้ายสถานที่ทำงานไปก็มาเจอแต่บุคคลที่เอาเปรียบ ปล่อยให้หนูทำงานและแก้ปัญหาที่ยุ่งยาก หนูระลึกเสมอว่างานอาชีพครูเป็นงานที่มีค่าสามารถทำประโยชน์ให้กับบุคคลอื่นโดยเฉพาะนักเรียน ผู้ปกครอง หนูเลิกมองเรื่องผลตอบแทนมานานแล้วค่ะ เพราะว่าหนูอยากสะสมคุณงามความดีมากกว่า ฝ่ายบริหารก็รู้ปัญหาของหนูแต่ก็ทำได้แค่ย้ายคนที่ไม่ทำงานไปอยู่กับงานสบายๆ ขณะที่ยังให้หนูแบกภาระอยู่เหมือนเดิม หนูไม่ได้เครียดเพราะงานหนัก หนูเครียดเพราะหนูทำงานไม่ทัน กลัวทำงานไม่ทันเวลาที่กำหนด ทั้งที่หนูก็นำงานไปทำที่บ้านมาโดยตลอด ในขณะที่บุคคลที่สร้างปัญหาให้หนูกับได้ไปทำงานที่สบาย ทิ้งภาระให้หนูแก้ปัญหา หนูควรจะทำอย่างไรต่อไปค่ะ ตอนนี้หนูเครียดมาก

ขอคำแนะนำค่ะ ขอขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
   การให้อภัยเป็นเรื่องของทาน การไม่โกรธเป็นเรื่องของเมตตา ศีล ๕ มิได้บัญญัติไว้เพื่อการนี้

   คนดีชอบแก้ปัญหา คนไม่ดีชอบสร้างปัญหา ฉะนั้นดูให้ออกว่า ผู้ถามปัญหาเป็นคนประเภทไหน?

   งานคือกิจที่ทำ ทำงานหนักคือมีงานให้ทำมาก หรือมีงานยากให้ทำ การทำงานมาก การทำงานที่ยากลำบาก ต้องใช้ปัญญาบารมี ใช้วิริยะบารมี ใช้ขันติบารมี ฯลฯ ทำจนงานสำเร็จได้ แล้วบารมีดังกล่าวจะแก่กล้าขึ้นได้ ซึ่งคนดีไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าโดยไม่ทำงานประเภทนี้ ฉะนั้นพึงดูให้ออกว่า ผู้ถามปัญหาเป็นคนประเภทไหน?

   ผู้รู้มีทัศนคติในการทำงานถูกต้อง คือการทำงานเพื่อเรียนรู้ตน ทำงานเพื่อเรียนรู้งาน ทำงานด้วยใจ ทำงานด้วยวิธีการอันเลิศโดยไม่หวังผลเลิศ ทำงานเพื่อประโยชน์มวลชน ทำงานเพื่องาน ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้ เป็นการทำงานที่ไม่เครียด ฉะนั้นพึงดูให้ออกว่า ผู้ถามปัญหาเป็นคนประเภทไหน?

   ปัญหาเรื่องทำงานไม่ทัน แก้ได้โดยเพิ่มเวลาทำงานให้มากขึ้น และลดเวลาที่ไม่จำเป็นลง ผู้ตอบปัญหามีงานให้ทำมาก จึงต้องตื่นทำงานแต่ดึก (ตีสองตีสาม) ทำงานต่อเนื่องจนสว่าง และประพฤติตนเว้นอบายมุข งานมากจึงสำเร็จได้ทันเวลา
  

1022.
กราบเรียนถาม อ.สนอง เรื่องบวชครับ

กระผม อายุ 30 ปี มีพ่ออายุ 55 ปี เกษียณแล้ว พ่อจึงอยากจะบวชตลอดชีวิต แต่ไม่ทราบว่าจะบวชวัดไหนดี จึงขอรบกวน อ.สนอง ว่าพอรู้จักวัดไหนที่เหมาะกับพ่อของผมบ้างครับ ถ้าอยู่ใกล้กรุงเทพ จะดีมาก แต่ถ้าต่างจังหวัดก็ได้ครับ
ปล. ไปดูมาแล้วหลายวัด แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจครับ

ขอบพระคุณมากครับ

คำตอบ
   การบวชเป็นภิกษุจะบวชที่วัดใดก็ได้ที่มีพระอุปัชฌาย์บวชให้ เช่นเดียวกับระยะทางระหว่างบ้านกับวัด ยังไม่ใช่ปัญหาสำคัญในการบวช แต่จุดประสงค์ของการบวชนั้นสำคัญยิ่งกว่า การบวชตามประเพณียังไม่สำคัญเท่ากับ การบวชเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณให้เข้าถึงธรรมของพระพุทธะ ซึ่งต้องเลือกวัดที่มีครูอาจารย์ปฏิบัติถูกตรงตามธรรมวินัย อาทิ วัดมเหยงค์ จ.อยุธยา วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่ วัดป่าหมู่ใหม่ วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ฯลฯ
  

1021.
กราบสวัสดีท่าน อ.ดร.สนองค่ะ

เรื่องที่อยากรบกวนถามคือ
    ลูกฝึกสติมาพักใหญ่ โดยส่วนมาฝึกสติกับชีวิตประจำวันค่ะ เห็นอารมณ์ สภาวะที่เกิดขึ้นในความคิด ปัจจุบันต้องการทำชีวิตทางโลกให้ประสบความสำเร็จ เพื่อให้ได้ดูแลพ่อแม่ให้สมบูรณ์ และจะพาท่านเข้าทางธรรม เพื่อส่งท่านให้สุดทางในที่สุดค่ะ ด้วยชีวิตทางโลก บางครั้งเห็นความโลภ ความอยาก การคิดดีคิดไม่ดี ความคิดที่ไม่ดี มักผุดขึ้นมาเมื่อสติรู้ทัน ก็เห็นความทุกข์ แต่ก็เลือกปฎิบัติและทำดีค่ะ

   การฝึกสติ ตอนนี้เกิดสภาวะที่เข้าใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงให้รักษาศ๊ล เมื่อมีความคิดจะพูดโกหก ก็มีสติรู้ว่านี่ กำลังจะพูดเท็จ ก็ปรับการพูดใหม่ หรือการกระทำต่างๆจะมีสติคคอยเตือนบ่อยครั้ง แต่ในความรู้สึกที่ระลึกรู้ จนตอนนี้มีสภาวะไม่อยากทำอะไร เนื่องจากมีในความรู้สึกลึกๆเหมือนกับว่าไม่อยากทำไรที่ทำให้จิตเกิดการสานต่อ ผูกพันธ์ พันธนาการ จนก่อภพก่อชาติ ทั้ง ดี ไม่ดี เป็นการก่อภพ ชาติของจิตนั้น จนบางครั้งตอนนี้รู้สึก มีสภาวะในความรู้สึกที่ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร แต่รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก มีความรู้สึกต้องการบวช หรือละทางโลก เพราะในเวลาที่มองเห็น สัมผัสสิ่งใดรู้สึกว่ามีแต่เพียงความว่าง มีเพียงดวงจิตที่รับรู้เท่านั้น ปรุงแต่ง ความรู้สึกให้เราทุกข์ มองว่าสวย หรือการพูด บางครั้งมองภาพผู้คนทั่วไปเหมือนไม่มี แต่ยังวนเวียนอยู่ที่เดิม ในหน้าที่การงานที่ต้องการจะขยัน จะอ่านหนังสือ จะทำงานโน่นนี่ให้ดีกลับมีความรู้สึกมันว่างเปล่า มีการหน่วงใจไม่อยากทำ หรือทำไม่เต็มที่

จึงอยากเรียนถามท่านอาจารย์ช่วยเมตตา ชี้ทางแก่ลูกด้วยเถิดต่อสภาวะอารมณ์ที่เป็นอยู่นี้ ต่อหน้าที่การงาน หรือขณะจิตสภาวะนี้

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
  ผู้ใดประสงค์ความสำเร็จในทางโลก ต้องประพฤติเหตุ ๓ อย่าง
   ๑. พัฒนาตนเองให้เป็นคนเก่ง คือมีความรู้ มีความสามารถ ในหน้าที่การงานที่ตนทำและยึดเป็นอาชีพเลี้ยงชีวิต
   ๒. พัฒนาตนเองให้เป็นคนดี มีคุณธรรม ด้วยการประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ จริยธรรมลูกที่ดีของพ่อแม่ จริยธรรมศิษย์ที่ดีของครูอาจารย์ จริยธรรมข้าราชการที่ดีของรัฐ จริยธรรมพนักงานที่ดีของบริษัท จริยธรรมราษฎรที่ดีของบ้านเมือง ฯลฯ
   ๓. พัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ต่อผู้มีอุปการคุณ อาทิ กตัญญูต่อพ่อแม่ กตัญญูต่อครูอาจารย์ กตัญญูต่อแผ่นดินเกิด ฯลฯ

เมื่อทำเหตุให้ถูกตรงสามอย่างนี้ได้ครบถ้วน และประพฤติอยู่เสมอ ผู้นั้นย่อมประสบความสำเร็จในชีวิต

   เหตุที่พระพุทธะบัญญัติไตรสิกขา (ศีล-สมาธิ-ปัญญา) อันเป็นคุณธรรมนำชีวิตผ่านพ้นความทุกข์ ต้องมีศีลเป็นพื้นฐานของใจให้ได้ก่อน การปฏิบัติสมถภาวนา แล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจึงจะเกิดขึ้นได้

   เรื่องที่บอกเล่าไปทั้งหมด เป็นสภาวะของจิตที่ยังมีกำลังปัญญาเห็นแจ้งไม่กล้าแข็ง ฉะนั้นจะให้ปัญหานี้ผ่านพ้นไปได้ ต้องรักษาศีล ๕ ให้มีอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วเร่งความเพียรเจริญจิตภาวนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัจจะเป็นฐานรองรับการปฏิบัติ แล้วการบรรลุมรรถผลแห่งการปฏิบัติธรรมจึงจะเกิดขึ้นได้
 

1020.
เรียน อาจารย์สนองที่เคารพ

   1. หนูมีปัญหาอยู่เป็นประจำ คือ หนูกลัวที่จะต้องสวดมนต์ หรือต้องนั่งทำสมาธิแทบทุกครั้งเลย รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว ยิ่งเวลาหลับตาทำสมาธิยิ่งกลัวใหญ่ โดยเฉพาะเวลาอยู่ในห้องพระ จนทุกวันนี้ก็แก้ไม่หายสักที ทำอย่างไรดีคะ ทั้ง ๆ ที่อยากทำมาก ๆ

   2. เกี่ยวกับการนั่งสมาธิ หนูอ่านในหนังสือการปฏิบัติวิปัสสนา เริ่มต้นโดยกำหนดลมหายใจ เข้า - ออก ด้วย พุท - โธ แล้วใช้จิตตามดูลมหายใจ หนูอยากทราบว่าการใช้จิตตามดูลมหายใจ หมายถึง เราคิด หรือ เห็น ว่าลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก ใช่ไหมคะ แล้วหลังจากนั้นถ้าสมาธินิ่งอยู่ที่ปลายจมูกแล้ว บางทีอาจจะไม่มีคำปริกรรมก็ได้ แล้วหลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไปถ้าใจมันนิ่งแล้ว

คำตอบ
    (1) เกิดความกลัวในขณะสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ เหตุเกิดเพราะ ไม่ได้สวดมนต์ด้วยใจที่จดจ่ออยู่กับบทสวดหรือนั่งสมาธิทำให้จิตขาดสติ จึงไปรับสิ่งไม่ดีภายนอกมาปรุงเป็นอารมณ์ที่ทำให้เกิดเป็นความกลัว หรือในกรณีที่สองไม่รู้จริงในสิ่งที่ทำให้เกิดความกลัว

   ผู้ถามปัญหาประสงค์จะขจัดความกลัวให้หมดไปจากใจต้องดับที่ต้นเหตุ คือพัฒนาจิตให้มีสติคุม เช่น เวลาได้ยินเสียงให้มีจิตจดจ่ออยู่กับเสียงที่เข้าหู เวลาที่ตาเห็นภาพให้จิตจดจ่ออยู่กับภาพที่เห็น เวลาที่ลิ้นสัมผัสรส ให้มีจิตจดจ่ออยู่กับรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ที่เข้ามาสัมผัสลิ้นฯลฯ ฝึกจิตให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เข้ากระทบ(สัมผัส) เมื่อนั้น แล้วความกลัวจะไม่เกิดขึ้นขณะสวดมนต์เพราะมีจิตจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์หรือนั่งสมาธิจะมีจิตจดจ่ออยู่กับกรรมฐานที่นำมาใช้เป็นองค์บริกรรม

   วิธีแก้ปัญหาความกลัวในกรณีที่สอง คือพัฒนาจิตให้มีสติได้แล้วสมาธิก็จะเกิดขึ้น ใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ไปพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ด้วยการให้จิตตามดู กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดับไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดเกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้น ความกลัวจึงจะหมดไปได้

  (2) ไม่ใช่ใช้สมองคิด แต่ใช้จิตจดจ่ออยู่กับลมที่กระทบจมูกเมื่อหายใจเข้า จิตจดจ่ออยู่กับลมที่กระทบจมูกเมื่อหายใจออก เมื่อใดที่จิตจดจ่ออยู่กับลมที่กระทบจมูกและจิตไม่เคลื่อนออกไปรับกระทบอื่นใดมาปรุงเป็นอารมณ์เรียกสภาวะเช่นนี้ว่า จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิเมื่อใดที่จิตเข้าถึงความตั้งมั่นแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) ได้แล้ว คำบริกรรมหายไปแต่มีอารมณ์ของฌานเกิดขึ้นแทนที่ ให้สังเกตุว่าเมื่อจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นฌานสิ่งกระทบภายนอกไม่สามารถทำให้จิตเกิดอารมณ์ขึ้นได้ หากมีสภาวะเช่นนี้เกิดขึ้น และประสงค์จะพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งต้องลดกำลังของสมาธิลงมาอยู่ในระดับจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วใช้จิตตามดู กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎของไตรลักษณ์ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้นได้
  

1019.
กราบสวัสดีอาจารย์สนองที่เคารพยิ่ง

มีคำถามรบกวนถามอาจารย์ค่ะ เป็นคำถามที่เกี่ยวเรื่องกับ ข้อ 966 ที่ว่า "พระพุทธะมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา ด้วยการใช้สติปัญญาแก้ปัญหาให้หมดไป....ด้วยการดูให้เห็นถูกตรงว่าปากของคนมีทั้งพูดดีและพูดไม่ดี ที่เขาพูดไม่ดีเพราะใจของเขามีความคิดเป็นอกุศล(บาป) เก็บสั่งสมไว้เมื่ออกุศลสั่งให้ปากพูด จึงพูดออกมาไม่ดี."

อ่านแล้วเกิดคำถามค่ะว่า เราเข้าใจว่าที่เขาพูดไม่ดีออกมาเพราะใจเขามีความคิดเป็นอกุศลและยกให้เขาเป็นครูของเรา ซึ่งหลังจากนี้แล้วเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้ได้ชื่อว่า ไม่หนีปัญหา คะเพราะเรายังต้องทำงานร่วมกับเขา ปฏิสัมพันธ์กับเขาเป็นปกติเหมือนเดิม (ให้อภัย แล้วคิดว่าเป็นกรรมของเขาเองและเป็นกรรมที่เราต้องชดใช้) หรือควรอยู่ห่าง ๆ (ไม่คบคนพาล) เกี่ยวข้องกันเฉพาะเรื่องงานก็พอคะ?

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะที่ได้ให้ปัญญาและสัมมาทิฐิแก่หนูและทุก ๆ คนที่เข้ามาอ่านในเว็บนี้ค่ะ

คำตอบ
    เมื่อใดที่มีความเห็นถูกว่า “ เขาเป็นครูของเรา ” เราต้องขอบใจคนที่พูดดีว่าเราจะพูดเช่นเขา ส่วนคนที่พูดไม่ดีก็เป็นครูสอนเราว่าจะไม่พูดอย่างเขาแต่หากสิ่งที่เขาพูดไม่ดีนั้นมีอยู่ในตัวเรา เราต้องปรับปรุงแก้ไขให้หมดไป เขาผู้พูดดีและเขาผู้พูดไม่ดีจึงมีอุปการคุณแก่เราจึงต้องตอบแทนคุณ (กตเวที) ด้วยการทำความดีแล้วอุทิศผลแห่งความดีให้เขาอยู่เสมอ เช่นเดียวกันต้องคบเขาที่พูดไม่ดีว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของเรา ด้วยการพูดกับเราในเรื่องงานที่เกี่ยวข้องกัน อย่างตรงไปตรงมา และพูดเท่าที่จำเป็น
  

1018.
กราบเรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

   ดิฉันมีอาชีพทำบัญชี โดยตำแหน่งหน้าที่นี้ ต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเสียภาษี ของบริษัทฯ ( ยื่นภาษีบางส่วนและหลบภาษีบางส่วน) ดิฉันพอทราบว่า ส่วนที่หลบภาษีนั้นคงเป็นบาป แต่ดิฉันต้องทำเพราะอยู่ในหน้าที่ มิได้เต็มใจและไม่อยากทำ ครั้นจะไม่ทำก็หมายถึงต้องออกจากงาน ดิฉันไม่สบายใจเป็นอย่างมากกับงานนี้ จึงเรียนถามท่านอาจารย์ว่า

   1 ) ดิฉันจะบาปไหมค่ะ เพราะดิฉันไม่เต็มใจและไม่อยากทำเลย ถ้าบาป ดิฉันจะบาปมากไหมค่ะ ระหว่างดิฉันผู้ลงมือปฎิบัติ กับ เจ้าของบริษัทฯ ผู้สั่งการ ใครจะบาปมากกว่ากันค่ะ แต่คงเป็น ตัวดิฉันแน่ที่บาปมากกว่า เพราะเห็นบริษัทฯเติบโตและรวยขึ้นเรื่อยๆ แต่ตัวดิฉันกลับแย่ลงเรื่อยๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ

   2 ) บาปมากน้อย ขึ้นอยู่กับ ตัวเงินมากน้อย ที่หลบภาษี หรือเปล่าคะ หรือขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาที่ทำ ( ทำมาร่วม 10 ปีแล้ว )

   3 ) ผลของกรรมนี้ จะได้รับในลักษณะไหนค่ะ ( ข้อนี้สำคัญและสงสัยมากช่วยตอบให้ด้วยนะค่ะ ถ้าชดใช้ได้ดิฉันจะชดใช้ได้ด้วยวิธีไหนค่ะ )

   4 ) ถ้าดิฉัน ยังจำเป็นต้องทำงานนี้อยู่ ( เพราะอายุมากแล้ว และ มีปัญหาครอบครัว มี่ภาระมาก ) ดิฉันควรทำอย่างไรดีค่ะ ท่านอาจารย์ข่วยแนะนำให้ด้วย ดิฉันตั้งแต่ทราบเรื่องนี้ก็ทำงานไป ด้วยความทุกข์ และวิตกกังวลในเรื่องกรรมนี้อยู่ทุกวัน คิดจะออกจากงานอยู่ทุกวัน แต่ยังหางานใหม่ไม่ได้สักที

    เมื่อปีที่แล้ว ดิฉันเป็นทุกข์มากเรื่องงาน จึงไปปฎิบัติธรรม ที่วัดอัมพวัน ถึงได้ทราบว่า ที่ดิฉันทำบัญชีหลบภาษีอยู่นี้มันเป็นบาป หลังจากนั้นดิฉันถึงเข้าใจว่า ทำไมยิ่งทำงาน งานถึงยิ่งมากและมีปัญหาให้เครียดอยู่ตลอดเวลา เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายกว่าใคร แต่มาคิดดูอีกที ในวงการนี้ เค้าก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น ทำไมเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ ก็เห็นเค้าเจริญรุ่งเรืองดี

   ตอนนี้ดิฉันกำลังหางานใหม่ทำอยู่ แต่ยังไม่ได้ จึงจำเป็นต้องทนทำไปก่อน

คำตอบ
    (1) เมื่อรู้ว่าเป็นอกุศลกรรมแล้วยังประพฤติอยู่ถือว่าเป็นบาป ส่วนจะบาปมากหรือน้อยอยู่ที่ความถี่ของการประพฤติและยังอยู่ที่ประเภทของอกุศลกรรมที่ทำ

ผู้ใดสั่งผู้อื่นให้ประพฤติอกุศลกรรมถือว่าเป็นจำเลยบาปที่หนึ่งผู้ปฏิบัติตามคำสั่งเป็นจำเลยบาปที่สอง ผู้เห็นดีด้วยเป็นจำเลยบาปที่สาม บาปมิได้วัดกันที่ความมีมากในวัตถุ แต่วัดกันด้วยความมากน้อยของกิเลสที่สั่งสมอยู่ในใจ

   (2) ตัวเงินที่เลี่ยงภาษีมากก็บาปมาก ตัวเงินที่เลี่ยงภาษีน้อยก็บาปน้อย ประพฤติเลี่ยงภาษีมายาวนานบาปมากกว่า ประพฤติเลี่ยงภาษีมาไม่ยาวนาน

   (3) ทรัพย์สูญหายด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีร่วมกัน อาทิ ถูกโจรลักขโมย ถูกน้ำพัดพา ถูกไฟไหม้ ทำตกหล่น หลงลืมทิ้งไว้ เล่นหุ้นแล้วขาดทุน ทำกิจการแล้ววิบัติฯลฯ การชดใช้หนี้บาปต้องให้ทรัพย์เป็นทานอยู่เสมอ ให้ทรัพย์กับผู้มีคุณธรรมสูง ให้ทรัพย์เป็นทานแก่คนหมู่มาก เช่นตั้งโรงทานฯลฯ

   (4) แนะนำให้ประพฤติตนตามข้อ (3) อยู่เสมอตามโอกาสที่เปิดให้แต่ต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง
   

1017.
เรียนท่านอาจารย์สนอง

   ดิฉันเป็นคนชอบปาร์ตี้มาก รู้สึกว่าสนุกมากเหลือเกินในตอนนั้นได้เต้นได้เฮฮากับเพื่อนๆ แต่พออีกวันนึงเวลาแฮงค์หรือสร่างเมาแล้วก็จะมีความรู้สึกสับสนฟุ้งซ่านเหมือนคนบ้า คิดประมาณว่าไม่น่ากินเลยไม่ดีเลย เสียเงินแล้วก็ประพฤติไม่ดีด้วยเพราะอยากจะรักษาศีล5แต่ทำผิดศีล พอเจอเพื่อนชวนนิดนึงก็ใจอ่อนทุกที บางครั้งตัวเองก็อยากกินเองด้วย ชอบเที่ยวน่ะค่ะแต่ก็ชอบศึกษาธรรมะไปด้วยเหมือนกับว่ามันค้านในตัวเอง เวลาเที่ยวจะสนุกแค่เวลานั้นพอเที่ยวสร่างเมาอีกวันนึงก็จะรู้สึกว่าตัวเองทำผิด เป็นความสุขที่ไม่แท้จริงทำอย่างไรจะตัดให้ขาดได้เสียที

   1.ประมาณ2เดือนเคยสาบานว่าจะเป็นลูกพระพุทธเจ้าจะเลิกกินเหล้า แต่กลับไปเที่ยวอีกรู้ว่าการผิดสัจจะอย่างนี้จะส่งผลรุนแรงมาก จะแก้ไขได้อย่างไรพระพุทธเจ้าจะให้อภัยเราไหมคะ ใจจริงในชีวิตที่เหลือนี้ไม่อยากจะแตะต้องอบายมุขแล้วแต่อีกใจมันก็เหมือนว่ายังบังคับตัวเองไม่ได้น่ะค่ะ สูบบุหรี่ผิดศีลไหมคะ

   2.การที่เวลาเราทุกข์แล้ว เราภาวนาว่า ทุกข์หนอๆ หรือ โมโหหนอ หรือ หงุดหงิดหนอ อย่างนี้ไม่เป็นการคิดลบหรือคะแล้วจิตจะไม่บันทึกหรือว่าเราคิดแต่เรื่องร้ายๆมันค้านจากที่อ่านหนังสือ the top secret น่ะค่ะของหมอสม นะค่ะ

   3.ดิฉันอยากไปปฎิบัติธรรมมานานหลายปีแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ไปเสียที อาจารย์มีที่ไหนแนะนำบ้างไหมคะ ตอนนี้ที่ดิฉันทำบ่อยๆ แทบทุกวันเลยคืออ่านหนังสือธรรมะ ฟังเสียงธรรม และแผ่เมตตา บางทีนั่งรถเมล์ก็จะแผ่ให้ทุกคนที่อยู่บนรถด้วยอย่างนี้ได้ไหมคะ

   4.ดิฉันอ่านหนังสืออาจารย์ที่บอกว่ามนุษย์มี 5 จำพวก รู้สึกว่าตัวเองเป็นเกือบทุกจำพวกเลย

   5.ดิฉันอ่าน the secret เล่มหน้าปกคุณแอฟ ที่ลูกศิษย์อาจารย์ถามเรื่องหมอดู อาจารย์บอกว่าเวลาตกฟากนั้นเอามาใช้ได้จริงถ้าใครเกิดเวลาใดก็จะสามารถพยากรณ์ได้ แต่อาจารย์เคยบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อเรื่องดวงไม่ใช่เหรอคะดิฉันก็เลยสับสนนิดหน่อยนะคะ ต้องขอโทษด้วยที่สงสัยมาก

ขอบพระคุณอาจารย์ที่ตอบปัญหาขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ผู้อยากเลิกเหล้า

คำตอบ
     (1) สัจจะเป็นคุณธรรม ที่เป็นองค์ของเบญจธรรม การประพฤติตนเป็นคนไร้สัจจะ มีผลทำให้เสียชื่อเสียง ไม่มีคนดีที่ไหนสรรเสริญเหตุที่ทำให้ประพฤติตนเป็นผู้ไร้สัจจะเพราะ ไม่มีศีล 5 คุมใจและใจตกเป็นทาสของอบายมุข (ทางแห่งความฉิบหาย) หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไป ต้องดับที่ต้นเหตุ คือประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น และต้องนำตัวออกห่างจากอบายมุข

การสูบบุหรี่ไม่ผิดศีล แต่ผิดธรรมตรงที่มีจิตเป็นทาสของสารเสพติดที่มีอยู่ในบุหรี่

   (2) คำว่า “ ภาวนา ” หมายถึงการทำให้สิ่งดี (สติ) เกิดขึ้นหรือหมายถึงทำสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น คือให้จิตมีสติเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นการภาวนาคำว่า “ ทุกข์หนอ ” “ โมโหหนอ ” “ หงุดหงิดหนอ ” จึงเป็นวิธีหนึ่งในการพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น การคิดพูดทำแล้วทำให้มีสติเพิ่มมากขึ้นจึงไม่ถือว่าเป็นการคิดพูดทำที่คิดลบ

   (3) “ อยากไปปฏิบัติธรรมมานานหลายปีแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ไปเสียที ” ผู้ตอบปัญหาจึงไม่มีที่ปฏิบัติธรรมไหนๆแนะนำ เพราะโอกาสปฏิบัติธรรมไม่มีกับผู้ถามปัญหา

อนึ่งการแผ่เมตตาให้กับใครผู้ใด ผู้นั้นต้องมีเมตตาอยู่ในใจให้ได้ก่อน เครื่องวัดการมีเมตตาคือ จิตไม่ตกเป็นทาสของโทสะ โมโห หงุดหงิด ฯลฯ ผู้ใดไม่มีเมตตาอยู่ในใจการแผ่เมตตาของผู้นั้นถือว่าเป้นโมฆะ คือผู้ถูกแผ่ให้ไม่ได้รับเมตตา

   (4) ใช่แล้ว มนุษย์ทุกคนมีความประพฤติที่เคยชินเป็นสันดาน (อุปนิสัย) ครบทั้งห้าอย่าง เหตุเพราะจิตสั่งสมเน้นหนักไปทางด้านใดมากกว่า อุปนิสัยเน้นหนักนั่นแหละเป็นตัวบ่งชี้ที่มาของจิตวิญญาณสู่การเกิดเป็นมนุษย์ และเป็นตัวบ่งชี้ไปของจิตวิญญาณว่าจะไปเข้าอาศัยอยู่ในร่างของภพภูมิไหน ทั้งนี้เป็นไปตามแรงผลักดันของกรรมที่ถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตนั่นเอง

   (5) ที่ผู้ตอบปัญหาพูดว่า เวลาตกฟากนั้นเอามาใช้ได้จริง กับผู้ที่ยังมีสภาวะของจิตเป็นปุถุชน แต่ผู้มีดวงตาเห็นธรรมแล้วสามารถลิขิตชะตาชีวิตให้ดีได้ ด้วยการกระทำเหตุดีในปัจจุบันด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้า จึงไม่ให้เชื่อเรื่องดวงนั้นถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อใดกรรมดีให้ผลจะส่งผลให้ชีวิตของบุคคลเปลี่ยนมาเป็นวิบากดีได้
   

1016.
กราบอาจารย์ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

   หนูขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะที่ได้ให้คำตอบเรื่องกระดูกและขี้เถ้าของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว (ข้อ 1011) และหากบางคนได้นำกระดูกขี้เถ้าของผู้ล่วงลับไปแล้วกลับไปตั้งไหว้ที่บ้าน สมควรทำได้หรือเปล่าคะ และเมื่อเราตั้งของไหว้ที่บ้าน ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะได้รับมั๊ยคะ

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะในความเมตตาของอาจารย์

จินดารัตน์

คำตอบ
    หากมีจุดประสงค์เพื่อเก็บไว้เป็นที่กราบไหว้บูชา สามารถนำกระดูกและขี้เถ้าของผู้ล่วงลับกลับไปไว้ที่บ้านได้ แต่ต้องประพฤติกราบไหว้บูชาในอุปการคุณของผู้ล่วงลับก็ไม่ใช่เครื่องผิดแต่อย่างใด ซ้ำยังเกิดเป็นมงคลขึ้นกับใจของผู้กราบไหว้อีกด้วย

ส่วนการตั้งของเซ่นไหว้ไว้ที่บ้าน หากจิตวิญญาณของผู้ล่วงลับอยู่ในวิสัยที่สื่อสารถึงกันได้ แล้วเขามาอนุโมทนาจิตวิญญาณก็ได้รับการเซ่นไหว้นั้น
      

1015.
กราบเรียน ดร.สนอง

   กระผมอยากรบกวนขอคำชี้แนะจาก ดร.สนองนะครับ คือว่าผมสวดมนต์ไหว้พระ เดินจงกรม นั่งสมาธิ มาได้ประมาณ ๓ -๔ ปีและประมาณหนึ่งปีหลังมานี้ผมทำทุกเช้าเย็น แล้วในช่วงหลังนี้ในเวลานั่งสมาธิไปในขณะหนึ่งจะเกิดมีอาการเหมือนเราสวดเป็นภาษาแปลกๆ ที่ไม่ใช่ภาษามนุษย์ โดดเราก็ยังมีสติ สัมปัชชัญญะอยู่ แต่ปากเราจะสวดออกไป เป็นภาษาแปลกๆ อยากทราบว่า เป็นเพราะอะไร และจะต้องทำอย่างไรต่อไป

คำตอบ
    เป็นเพราะจิตมีกำลังของสติยังไม่มากพอ ที่จะระลึกรู้ได้ว่า ภาษาที่สวดมนต์ได้เปลี่ยนไป วิธีแก้ปัญหานี้คือ เมื่อระลึกได้ว่าภาษาสวดมนต์เปลี่ยนไป ให้หยุดสวดแล้วกำหนดว่า “ รู้หนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าสัญญาหรือความจำได้ในภาษาอื่นที่ใช้สวดมนต์หายไปแล้วจึงนำจิตกลับมาสวดมนต์ใหม่ด้วยภาษาที่เคยใช้สวดประจำ ทุกครั้งที่จิตขาดสติต้องแก้ไขด้วยวิธีเช่นนี้ และหากเมื่อใดจิตมีกำลังสติกล้าแข็งการสวดมนต์จะไม่มีภาษาอื่นเข้ามาแทรกซ้อน ภาษาที่ใช้สวดมนต์อยู่เป็นปรกติ
     

1014.
กราบเรียนอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพ

   ดิฉันเป็นคนที่เป็นทุกข์อย่างมาก จากกิเลส ตัณหา ในใจตัวเองล้วน ๆ จนรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นโรคประสาท เมื่อทนไม่ไหวดิฉันจึงพึ่งจิตแพทย์ ซึ่งก็ให้ยามาทาน ดิฉันทานยาได้ 2-3 วัน ก็ไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัว ดิฉันนั่งอยู่หน้าบ้านพักมองไปที่ทะเล แล้วก็คิดไปว่าถ้าสึนามิมาจะทำอย่างไร ดิฉันกับสามีจะพาลูกหนีทันไหม

   ในระหว่างที่คิดนั้นดิฉันก็เกิดเอะใจขึ้นมา ทำไมไม่มีความรู้สึกกลัวเลย แล้ว สมองก็ว่าง นิ่ง สงบ แล้วก็เกิดความรู้สึกว่า นี่มันความว่างนี่ นี่ใช่ไหม การปล่อยวางที่พระพุทธเจ้าบอก ดิฉันเห็นความว่างมีจริง และพระพุทธเจ้าก็มีจริงในวันนั้นเอง หลังจากนั้นเป็นต้นมา ดิฉันเริ่มศึกษาธรรมะ จากหนังสือต่าง ๆ

   ดิฉันสังเกตุเห็นว่า ทำไมดิฉันเข้าใจง่ายจัง ทั้ง ๆ ที่ บางเล่ม เคยอ่านมาก่อน กลับไม่เข้าใจเลย ดิฉันขอเรียนถามอาจารย์ ดร. สนอง ดังนี้ค่ะ

  1. คนที่กินยาจากจิตแพทย์ จะมีโอกาส เห็นความว่าง เห็นพระพุทธเจ้า ไหมค่ะ มีปัจจัยใดที่เอื้อให้เห็นจนเข้าสู่ทางธรรม (ตอนนั้นไม่ทันได้เอะใจ ถามจิตแพทย์เลยค่ะ น่าเสียดายมาก ๆ)

   2. หนังสือธรรมะ 2 เล่ม มีปกต่างกัน ชื่อเรื่องต่างกัน แต่เนื้อหาเหมือนกันทุกตัวอักษร เล่ม 1 เรื่อง แสงส่องใจ อ่านเมื่อยังไม่เห็นความว่าง ไม่เห็นพระพุทธเจ้า ไม่เข้าใจอะไรซะอย่างในเนื้อหาเล่ม 2 เรื่อง ชีวิตนี้น้อยนัก อ่านหลังจากเห็นความว่าง เห็นพระพุทธเจ้า เข้าใจทุกอย่าง เห็นจริงดังเนื้อหา จนรู้สึกอยากไกลกิเลส อยากบวชมาก ๆ สภาวะธรรมทางใจใน 2 ช่วงเวลาเป็นอย่างไร อะไรเป็นเหตุให้มีการเรียนรู้ธรรมะต่างกัน หรือกรรมเก่าบังตาให้ไม่เข้าใจ

   3. หลังจากอ่านหนังสือธรรมะ ปฏิบัติธรรม ดิฉันมักจะเจอ คนที่ศึกษาธรรม และปฏิบัติ อยู่บ่อย และสัมผัสได้ถึงแววตาที่เป็นสุขของคนเหล่านั้น แม้แต่กับญาติผู้ใหญ่ตัวเอง ที่ไม่ค่อยได้พบกันบ่อย (อยู่คนละจังหวัด) ดิฉันก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น และอิ่มบุญ จากแววตาของเขาเหล่านั้น ทั้ง ๆ ที่ตอนเด็ก ๆ ดิฉันมักจะมีอคติกับญาติผู้ใหญ่ของตัวเองเสมอ หรือกับคนอื่น ๆ ที่ดิฉันได้คุยด้วย ดิฉันก็มักจะรู้สึกได้ว่า เขามีความรู้สึกอย่างไร ซึ่งมันแวบมาไวมาก ไวกว่าคำพูดในหัวซะอีก (คือ แต่ก่อนชอบคิดเป็นคำพูดค่ะ) ดิฉันจะรู้ได้อย่างไรค่ะว่า ความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านั้น มีจริง ๆ หรือ ดิฉันคิดไปเอง จะมีหลักในการแยกแยะอย่างไรค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่สละเวลาอันมีค่าอ่านคำถามนี้
สุดท้ายนี้ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ได้คุ้มครอง อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ให้มีพลังกาย พลังใจ พลังปัญญา เผยแผ่ความรู้ทางธรรม ไปนานแสนนาน เทอญ

คำตอบ
    (1) เรื่องนี้มิได้ขึ้นอยู่กับยาระงับประสาทแต่ขึ้นอยู่กับสภาวะของจิต ที่เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำไมไม่ลองฝึกสมถสมาธิ ทำไมไม่ลองฝึกสมถภาวนาดูบ้างล่ะ หากบุญบารมีเก่าส่งผลการเข้าถึงความว่างการเห็นพระพุทธะ จะเป็นเรื่องปรกติของผู้มีสภาวะจิตเช่นนั้น

   (2) เหตุคือบุญบารมีที่สั่งสมมาแต่อดีตส่งผล ปัญญาสูงสุดจึงรู้เห็นเข้าใจความจริง(เหตุผล) ระดับจิตสัมผัสได้เกิดขึ้นเป็นธรรมดา

   (3) ประสงค์พิสูจน์สิ่งต่างๆ ที่บอกเล่าไป ว่ามีอยู่จริงหรือไม่สามารถทำได้ด้วยการปฏิบัติสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ความสงสัยในเหตุผลที่อยู่ลึกกว่าประสาทสัมผัสก็จะหมดไป
  

1013.
กราบเรียนอาจารย์ดร.สนองที่เคารพ

กระผมมีข้อสงสัยในหลักพุทธบางข้อ จึงขอเรียนถามอาจารย์ดังต่อไปนี้ครับ

1) อาจารย์เคยกล่าวใน lecture หนึ่งไว้ว่า ถ้าอยู่กินกับแฟนดังครอบครัวโดยไม่ได้แต่งงานเป็นพิธี ก็ไม่อาจก้าวหน้าทางธรรมได้ คือคงบรรลุโสดาไม่ได้ ผมไม่เข้าใจมูลเหตุครับ

เข้าใจว่าศีลข้อ 3 นี้ (ฟังดูเหมือนข้อ 2 มากกว่า) คงไปในแนวขอชีวิตแฟนจากเจ้าของชีวิตเขา คือพ่อแม่เขา แต่เชื่อว่าพ่อแม่ในสังคมปัจจุบัน ให้อิสระในการดำเนินชีวิตลูก หากพ่อแม่ไม่ถือสมมุติว่าลูกเป็นสมบัติตน ตนไม่ใช่เจ้าของชีวิตลูก ลูกก็สามารถดำเนินชีวิตดังชอบได้ ใช่ไหมครับ

หากว่าชีวิตทุกๆคน มีพ่อแม่เป็นเจ้าของชีวิต แล้วทำอย่างไรละครับตัวจะได้เป็นเจ้าของชีวิตตัวสักที คือไม่ต้องเจาะจงประเด็นอยู่กินกับแฟน จะทำอะไรๆก็สามารถผิดศีลข้อเจ้าของนี้ได้น่ะครับ

2) การบรรลุญาณ 16 ขั้น เกิดขึ้นในห้องกรรมฐาน หรือระหว่างปฏิบัติเข้มข้นอย่างเดียว ใช่ไหมครับ คือเหมือนกับต้องมีสภาวะอุ่นเครื่องเป็นขั้นๆ จน peak น่ะครับ เหมือนปรับคลื่น

ดังนั้นแม้ว่าเข้ากรรมฐานปีละครั้ง นั่งเองที่บ้านวันละชั่งโมง กำหนดสติตามชีวิตประจำวัน เราก็คงหวังว่าจุดๆนั้นจะเกิดขึ้นในห้องกรรมฐาน และคงยากในบ้านเราหรือในชีวิตประจำวัน

ขอผลบุญที่ท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ได้สร้างสั่งสมมา ส่งผลที่ดีและประเสริฐให้แก่อาจารย์และครอบครัวเทอญ

คำตอบ
    (1) ผู้ใดอยู่กับแฟนฉันท์สามีภรรยา โดยที่พ่อแม่ยังมิได้อนุญาตยกลูกสาวให้ถือว่าประพฤติทุศีลข้อ 3 ผู้นั้นสามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่ยังเข้าไม่ถึงมรรคผลแห่งธรรม

หากพ่อแม่เอ่ยปากยกลูกสาวให้แล้ว แต่มิได้แต่งงานเป็นพิธีไม่ถือว่าประพฤติทุศีลข้อ 3 สามารถปฏิบัติธรรมได้ และเมื่อเหตุปัจจัยลงตัวสามารถเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมได้ด้วย

   ผู้ถามปัญหามีความเชื่อว่าพ่อแม่ในสังคมปัจจุบัน ให้อิสระในการดำเนินชีวิตแก่ลูก หากพ่อแม่ไม่ถือสมมุติว่าลูกเป็นสมบัติของตนฯลฯ ที่บอกเล่ามาทั้งหมดเป็นความเชื่อของผู้ถามปัญหา แต่มิได้หมายความว่าคนอื่นเพราะคล้อยตามความเชื่อที่เสนอมา ผู้ตอบปัญหาจึงตอบว่า “ ไม่ใช่ครับ ” เพราะปุถุชนยังยึดถือว่า ผู้ให้กำเนิดชีวิตแก่ลูกคือพ่อแม่ ผู้มาอาศัยท้องแม่เป็นที่เกิดคือลูก ผู้มาเกิดในท้องแม่ก่อนเรียกว่าพี่ ผู้มาเกิดในท้องแม่ที่หลังเรียกว่าน้องฯลฯ เหล่านี้ปุถุชนยังยึดถืออยู่ หากไปละเมิดในสิทธิ์ของเขาจะเกิดการจองเวรกันได้ ฉะนั้นผู้รู้จริงในสมมุติคือพระพุทธะ จึงได้บัญญัติศีลข้อ 3 ไว้ให้ปุถุชนประพฤติตามคือเว้นจากการประพฤติในกามแล้วการผูกเวรจะไม่เกิดขึ้น

   อนึ่งผู้ใดประสงค์เป็นเจ้าของชีวิตของตัวเองให้ได้อย่างแท้จริงต้องพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้หลุดพ้นไปจากความเป็นปุถุชน แล้วเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลขั้นสูงสุดได้เมื่อใด เมื่อนั้นชีวิตจะไม่ตกเป็นทาสของกิเลสใดๆ โดยเฉพาะกิเลสตัวสุดท้ายคือความรู้ไม่จริง(อวิชชา) เมื่อนั้นแหละจึงจะเป็นเจ้าของชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ

   (2) ตอบว่า “ ใช่ ” สำหรับผู้มีบารมีสั่งสมยังไม่เต็มและตอบว่า “ ไม่ใช่ ” สำหรับผู้มีบารมีสั่งสมมาเต็มแล้ว
   

1012.
ขอเมตตาชี้แนะค่ะ...

   ดิฉันขออนุโมทนาในบุญกุศลของท่านอาจารย์สนองที่ช่วยชี้แนะ เป็นแสงสว่างให้แก่จิตทุกดวงที่มีบุญมาสัมผัสผ่านผลงานของท่าน ให้หันมาน้อมจิต ปฏิบัติให้ถูกวิธี

   ดิฉันอยู่ในครอบครัวลูกหลานคนจีน มีกิจการค้าขาย ตัวดิฉันและพี่ๆ อีก3 คน(จาก 6คน) ได้ถูกส่งไปอยู่กับน้าสาวต่างจังหวัด (มีเฉพาะดิฉันที่ถูกส่งไปตั้งแต่แบเบาะ เลยผูกพันกับน้ามากกว่าคนอื่น)

   เมื่อเรียนจบประถม 6 ก็ถูกพากลับมาอยู่กับพ่อแม่ทุกคน ดิฉันไม่ผูกพันกับพ่อแม่เลย พ่อและแม่ก็ไม่มาสุงสิง มัวทำงาน และท่านทะเลาะกัน ถึงกับลงไม้ลงมือเสมอ เพราะแม่ดิฉันหลงเชื่อเรื่องศาลเจ้า (ท่านป่วยเป็นโรคผิวหนัง แต่มีความเชื่อว่าถูกทำของใส่ หาวิธีรักษามากมายก็ยังไม่หาย) นำเงินของพ่อไปให้ศาลเจ้าถูกหลอกเสียเงินก็มากมาย พ่อก็โกรธแม่ และแม่ก็ไม่ได้อยู่ดูแลลูก ๆ เพราะหลงติดศาลเจ้าที่ต่างจังหวัด พี่น้องอีก 2 คนก็ไม่สนิท ดิฉันรู้สึกชีวิตแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง แต่ก็พยายามเข้าใจเพราะครอบครัวมีปัญหา แต่ละวันแทบจะไม่ได้ยินคำพูดจากพ่อเลย เพราะงานหนัก และเครียด รู้แต่ว่าท่านเหนื่อย ดูแลทุกอย่างโดยมี่พี่คนโตช่วยดูแลกิจการและน้อง ๆ ดิฉันก็ปรับตัวกับสภาพใหม่ จนเรียนจบ มีงานทำในจังหวัดไม่เดือดร้อน จนวันหนึ่ง แม่ทะเลาะกับพ่อและพาพี่คนโตที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยงานพ่อไปอยู่ศาลเจ้าด้วยกัน ขาดคนช่วยพ่อจึงให้พี่สาวคนที่4 ซึ่งเพิ่งจะออกจากงานมาช่วย ชีวิตเริ่มพบความเปลี่ยนแปลง เพราะพี่คนนี้(อยู่กับพ่อแม่มาแต่เด็ก) เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง และทะเลาะกับพ่อเสมอ(แม้จะเป็นเรื่องไร้สาระหรือเรื่องดีที่ไม่น่ามีเหตุทะเลาะ เช่นไปทำบุญร่วมกัน2 คน ทะเลาะกันตลอดทางจนถึงวัด) โดยเฉพาะดิฉัน เขาจะหาเรื่องดิฉันตลอด ทั้งเสียดสี ประชดประชัน แสดงอารมณ์ เพื่อชนะ หรือยกตนข่มท่าน(ดิฉันพยายามนิ่ง ยิ่งนิ่งก็ยิ่งถูกยั่วยวน โดยที่ไม่มีเหตุให้ว่า บางครั้งเหตุเกิดจากสิ่งดี ๆ ที่ทำด้วยซ้ำ ) เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของดิฉันจริง ๆ

   แล้ววันหนึ่ง พี่คนโตก็กลับมาพร้อมกับอาการทางจิต ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่อาบน้ำ หัวเราะ สลับร้องไห้ ดิฉันกลับจากที่ทำงานซื้ออาหารมาฝากเขาพร้อมน้ำตาทุกวัน ดิฉันได้สวดมนต์ตั้งจิตอธิฐานนั่งกรรมฐาน ให้พี่สาวคนโตที่ดิฉันรักหายจากอาการดังกล่าว ( พี่คนที่4 บางครั้งก็มีอาการแปลก ๆ เหมือนอะไรเข้าตัวเขา ใช้ไม้ตีกันกับพี่คนโต มีอาการไม่ถูกกัน) ช่วงระยะเวลาที่ดิฉันเพียรปฏิบัติภาวนาทุกวัน จิตดิฉันนิ่งมีสติ มีพลัง ได้แผ่เมตตาให้พี่เขาเสมอ และทุกครั้งที่เข้าอธิฐานนั่งกรรมฐาน จะมีสัญญานส่งให้ดิฉันลาออกจากงาน ในกรรมฐานดิฉันก็มีสติถามกลับเสมอ คำตอบเหมือนเดิมคือให้ลาออกจากงาน ดิฉันสวดมนต์นั่งสมาธิต่อเนื่องไม่ขาดสายเป็นเวลาประมาณ3เดือน และได้ลาออกจากงานจริง และตั้งใจช่วยพี่สาวคนโตตามเจตนาที่ตั้งไว้(ขณะนั้นก็ได้ติดต่องานทำไว้ด้วย) โดยที่ยังมีพี่คนที่ 4 อยู่ สิ่งแรกที่ดิฉันทำคือพาพี่คนโตไปรักษาต่อเนื่องที่สวนปรุง ดิฉันสงสารเขาจริง ๆ ค่ะ ( ก่อนหน้านี้ดิฉันพาไปรักษาทีจังหวัด แต่อาการไม่ดีขึ้น บางครั้งดิฉันต้องไปพบแพทย์แทนคนไข้ตัวจริง เพราะเขาไม่ไปและบังคับเขาไม่ได้) ปล้ำกันหลายสิบ รอบค่ะ ( เคยมีเหตุการณ์ที่เขาจะทำร้ายพ่อ ดิฉันวิ่งไปช่วยพ่อทั้งน้ำตา และเสี้ยววินาทีนั้นดิฉันโทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน พ่อดิฉันเป็นโรคหัวใจ ดิฉันหัวใจแทบสลายเพราะคนที่เรารักทัง2คน แต่พยายามตั้งสติ ดิฉันทราบเลยว่าการสั่งการช่วงเวลานันมันไม่ได้มาจากสมอง มาจากความไวของจิต)

   ศึกของดิฉันยังไม่จบ อาการของพ่อที่เป็นโรคหัวใจก็แย่ลง พี่คนโตดิฉันก้ต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล รับเขากลับมาดูแลที่บ้าน แต่เขาไม่ยอมทานยา คายทิ้งบ้าง สารพัดวิธี จนอาการกำเริบอีกหลายครั้ง ต้องปล้ำส่งสวนปรุงอีกครั้ง ครั้งนี้อาการหนัก ต้องใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าช่วย และพี่คนที่ 4 ก็มีอาการแสดงอารมณ์กับดิฉันเป็นพิเศษ ( แรก ๆ ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไม แต่หลาย ๆ เหตุการณ์หลาย ๆ อารมณ์ที่แสดง เห็นได้ว่ากลัวว่าดิฉันจะมาแย่ง อำนาจ หน้าที่ และสมบัติ ชิงดีชิงเด่น ความเมตตากับดิฉันที่เป็นน้องไม่มีเลย ทั้ง ๆ สิ่งที่ทำเป็นสิ่งบุคคลอื่นชื่นชมว่าดีด้วยซ้ำ) สิ่งเดียวที่เป็นแสงสว่างนำดิฉัน คือ สติ การสวดมนต์ภาวนา นั่งกรรมฐาน โดยอธิฐานจิต ช่วยดิฉันในเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เสมอ (ดิฉันเคยพบเหตุการณ์ที่วิญญาณที่เข้าร่างพี่คนโต จะพยายามเข้าร่างดิฉัน เพราะรำคาญที่ดิฉันเอ่ยธรรมะให้เขาฟังประมาณครึ่งชั่วโมง ดิฉันเอ่ยมาจากจิตไม่ใช่สมอง วิญญาณกระโดดใส่ดิฉันจนตัวหนัก แต่จิตดิฉันให้ลุกหนีเข้าห้องโดยที่สมองยังงงตัวเองเลยว่ารีบลุกทำไม และมีแสงครอบตัวดิฉันไว้ รู้เลยว่าสิ่งหนัก ๆ หลุดไปจากตัว ดิฉันนั่งลงกลางห้องไหว้คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่คุ้มครองลูก และนั่งสมาธิประมาณครึ่งชั่วโมงจึงเข้าใจโดยสมองว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง)

   หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี เกิดวิกฤติคือภัยน้ำท่วม ทำให้กิจการเสียหายมากมาย โดยทำประกันภัยไว้ แต่ไม่ได้ชดเชย เพราะไม่ชำระเบี้ยและไม่ส่งเอกสารสำคัญที่เขาขอ ( เริ่มจากดิฉันเป็นคนติดต่อ และรอทางบริษัท fax เอกสารมาให้ ระหว่างรอได้ไปติดต่อธุระข้างนอก พี่สาวคนที่ 4 เข้ามาพบเอกสารที่fax เขาได้ไปทำต่อคือ ชำระเบี้ย และส่งเอกสารให้บริษัท โดยดิฉันและพ่อรับทราบว่าเขานำไปทำและได้เน้นให้เขานำค่าเบี้ยไปชำระให้เรียบร้อย จนวันน้ำท่วม ดิฉันสงสารพ่อเป็นที่สุด เพราะท่านคิดว่าประกันภัยต้องได้รับชดเชย ท่านคิดว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าพี่สาวคนที่4 นั้นเป็นคนที่ทำให้เสียใจเป็นที่สุด ) นอกจากเขาจะสำนึกและขอโทษพ่อ เขายังเถียงและตวาดท่านอีกต่างหาก ดิฉันเห็นภาพในลักษณะนี้มาตลอด ทำให้คิดได้ว่ามันเป็นเวรกรรมจริง ๆ

จึงเรียนถามท่านอาจารย์สนองดังนี้
   1. การตักบาตรตอนเช้า แล้วกรวดน้ำอุทิศบุญไปให้เจ้ากรรมนายเวรที่ยังมีชีวิตอยู่ ระบุชื่อนามสกุล ถูกต้องหรือไม่
      (พี่คนที่4 ) ดิฉันกระทำทุกวัน

   2. เขาเป็นลูก จะเอาชนะไม่เว้นแม้แต่บิดา-มารดา แสดงอารมณ์กับท่านตลอด โดยเฉพาะวจีกรรม ควรทำอย่างไรดีคะ

   3. ดิฉันควรหาทางออกกับคนในครอบครัว เพิ่มเติมอย่างไรดีคะ พ่อ-แม่ พี่คนโต พี่คนที่4 วิบากจากภัยน้ำท่วม เกิดจากเหตุสร้างกรรมอะไรไว้คะ ทุกวันนี้พ่อดิฉันพบทางสว่างแล้ว ท่านปฏิบัติ และปล่อยวางมาก พบเกจิอาจารย์ช่วยชี้แนะ และสุขภาพดีขึ้นมาก แต่เวรกรรมกับพี่คนที่4 ยังไม่หมดกัน ( แม้เจตนาจะไปทำบุญด้วยกัน2คน ก็ยังต้องทะเลาะและเถียงกันก่อนเดินทางถึงวัด แม้จะไปทอดกฐิน ก็ทะเลาะกันอีก ดิฉันมักจะเลือกทางเดินที่ไม่ร่วมเดินทางไปด้วย ปลีกตัวไปทำบุญหรือกรรมฐานเองอย่างสงบ )

   4.อยากให้ท่านช่วยชี้แนะแนวทาง ปฏิบัติธรรมะเพิ่มเติมให้ค่ะ( ดิฉันเริ่มนั่งสมาธิตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เมื่อทำงานก็ห่างเหินไป จนพบเหตุการณ์เจตนาช่วยพี่สาว เริ่มปฏิบัติเข้ม และขวนขวายตลอดค่ะ เพราะเป็นแสงนำทางชีวิตจริง ๆ ค่ะ ( ตอนตั้งเจตนาช่วยพี่คนโต หลังเริ่มปฏิบัติประมาณ 10 วัน ดิฉันจะฝันเห็นเลข ทุกงวดเลยค่ะ คืนก่อนหวยออกค่ะ แปลกมาก แต่ไม่ค่อยได้ใส่ใจ เพราะมัวทำงานเลยไม่ค่อยได้ซื้อ ) เหตุการณ์นี้เกิดจากอะไรคะ

   5.ดิฉันปรารถนาเส้นทางธรรมที่แท้จริงค่ะ ไม่ยึดติดทางโลก ทุกวันนี้ทำเพื่อบุคคลที่เรารักและมีพระคุณ เมื่อหมดภาระทางโลก ตั้งเจตนาพบแสงสว่างทางธรรมค่ะ

คำตอบ
    (1) การอุทิศบุญตามที่บอกเล่าไป ทำถูกแล้ว นำอาหารไปใส่บาตรพระเป็นการให้ทานแก่ภิกษุซึ่งเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ผู้ใดให้ทานแล้วผู้นั้นมีบุญ ผู้มีบุญสามารถอุทิศบุญให้ใครก็ได้ และอุทิศได้ทุกเวลาตามใจปรารถนา การให้อาหารเป็นทาน มีอานิสงส์น้อยกว่าการให้ปัญญาเป็นทานหรือเรียกได้ว่าให้ธรรมเป็นทานเป็นการให้ที่สูงสุด

   (2) เมื่อใดเขายังไม่เปิดใจรับคำชี้แนะ คนอื่นไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวล่วงหรือไม่มีสิทธิไปแนะนำแต่มีสิทธิ์เอาพฤติกรรมไม่ดีของเขาเป็นครูสอนใจตัวเองว่า ลูกที่ประพฤติไม่ดีต่อพ่อแม่ถือเป็นการเนรคุณต่อบุพการี ผลที่จะได้รับตอบกลับคือความวิบัติในวันข้างหน้าดังนั้นเราจะไม่ประพฤติเช่นเขา

   (3) ต้องเจริญขันติและพรหมวิหาร 4 ให้มีกำลังมากและสิ่งไม่ดีจะไม่เข้าถึงตัวบุคคลใดรับอกุศลวิบากด้านภัยจากน้ำท่วมเหตุเพราะเคยทำชีวิตของผู้อื่นชีวิตของสัตว์ให้เดือดร้อนด้วยน้ำในปริมาณที่มาก

   อนึ่งการทะเลาะเบาะแว้ง หรือโต้แย้งโต้เถียงกันระหว่างพ่อกับลูก ถือว่าเป็นอกุศลวิบากที่หนี้เวรกรรมระหว่างบุคคลทั้งสองยังชดใช้กันไม่หมด

   (4) การเห็นเลขหวย เป็นผลงานของจิตที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิผู้รู้ไม่เอาจิตตกเป็นทาสของการซื้อหวยเบอร์เพราะเป็นอบายมุข (การพนัน) ซึ่งเป็นเหตุนำชีวิตสู่ความวิบัติ

   ผู้ถามปัญหาประสงค์นำพาชีวิตมาอยู่ในแนวธรรม ต้องพัฒนาจิตตัวเองดังนี้
     1  ต้องมีศีลอย่างน้อย 5 ข้อ คุมใจให้ได้ก่อน
     2  สวดมนต์ก่อนนอน
     3  หลังสวดมนต์แล้วต้องพัฒนาจิตด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าว่า “ พุท ” กำหนดลมหายใจออกกำหนดว่า “ โธ ” นาน 15-30 นาที
     4  อุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งหลังปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ ปฏิบัติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
     5  ความเพียร และสัจจะเป็นฐานของใจ

   (5) ชีวิตมีงานให้ทำอยู่สองอย่างคืองานภายนอกที่ทำให้กับสังคม ใหกับครอบครัวให้กับคนอื่นเช่นพ่อแม่ญาติฯลฯและชีวิตยังต้องทำงานภายในซึ่งทำให้กับตัวเอง เพราะตายแล้วต้องไปเกิดใหม่จึงจำเป็นต้องเตรียมบุญเป็นปัจจัยเดินทางต่อในปรโลกโดยประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 อยู่เสมอ
  

1011.
กราบอาจารย์ดร.สนองที่เคารพอย่างสูง

หนูได้อ่านคำถามข้อที่ 971 และในข้อที่ 7 ได้พูดถึงเรื่องการลอยอังคาร ของผู้เสียชีวิต ซึ่งอาจารย์ได้ตอบว่าผู้รู้จริงจะไม่ลอยอังคารให้เสียเงินเสียเวลา ถ้าเช่นนั้นเราควรทำอย่างไรคะ หลังจากได้เผาศพแล้ว

ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ หนูศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวอาจารย์ มากค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
  จินดารัตน์

คำตอบ
    นำกระดูกและขี้เถ้าที่เหลือกลับคืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิมด้วยการโรยหรือกลับฝังไว้โคนต้นไม้ เหมือนดังที่เจ้าของสวนวังตะไคร้ได้ทำให้มวลชนดูเป็นตัวอย่างแล้วไงล่ะ
   

1010.
เรียน ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร

     กระผมเป็นคนนึงที่ศรัทธาในตัวอาจารย์มากและอยากจะปฎิบัติ ฝึกจิตให้นิ่งตามที่อาจารย์บรรยายสั่งสอนแต่ด้วยยังมีเรื่องทางโลกอยู่อีกที่ต้องยุ่งเกี่ยวอยู่กับคน กับเงิน กับใจ กับกิเลสตัณหา อวิชชา ของตัวอง ก็พยายามที่จะฝึกจิตเท่าที่จะทำได้ตามเหตุปัจจัย จึงได้มีคำถามเพื่อนำมาพัฒนาปัญญาและตอบข้อสงสัยในตัวเองดังนี้ครับ

   1. ตอนนี้เริ่มฝึกมาได้สักระยะนึงแล้วครับรู้สึกว่าจิตเริ่มสงบได้บ้างแต่ยังสงบบ้างฟุ้งซ่านก็มีเยอะ ถามว่าเรามีเวลาสักเท่าไรถึงจะทำให้จิตสงบและนิ่งให้มากกว่านี้ครับ

   2. บางครั้งรู้สึกว่างานที่ทำมันไม่ถูกต้อง มันยุ่งและวุ่นวาย อยากจะหนีไปหาที่สงบๆ ไม่ทราบว่าท่าน อาจารย์มีข้อควรแนะนำอย่างไรบ้าง

   3. อยากลาออกจากงานไปบวช/ปฏิบัติธรรมตลอดชีวิต ( แต่ยังมีความกลัวอยู่ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ และยังห่วงพ่อกับแม่ที่ยังใช้ชีวิตที่ยังห่างไกลจากธรรมะห่วงท่านว่าหลังจากที่ท่านทิ้งขันธ์นี้ไป) ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์มีวิธีการเช่นไรแนะนำคนโง่ด้วยครับ

   4. ไม่ทราบว่าเรื่องของการมี องค์เทพ มาคุ้มครองตัวมนุษย์ มีจริงแท้อย่างไรครับ

   5. เพื่อนของผมได้โทรไปหาหมอดูคนนึง หมอดูบอกว่าตัวเขามีองค์เทพพญานาค และ องค์อื่นๆอีก และแนะให้เขาจัดพิธีบวงสรวงองค์เทพ ปีละครั้ง และควรจะระลึกบูชาองค์เทพเหล่านั้นอยู่เสมอๆเพราะว่าท่านคอยปกปักรักษาคุ้มครองตัวเรามาโดยตลอด และตัวเพื่อนก็ได้จัดพิธีบวงสรวงองค์เทพ ณ ศาลพระภูมิที่บ้านโดยจัดหาเครื่องบวงสรวงผลไม้อาหารคาวหวาน(แบบไม่มีเนื้อสัตว์) นุ่งขาวห่มขาว กันทั้งครอบครัวรวมถึงตัวข้าพเจ้าก็เข้าร่วมด้วย ไม่ทราบว่าเป็นการกระทำที่อยู่ในภาวะ หลง หรือถูกผิดหรือไม่อย่างไรขออาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ

   6. ผมได้ฟังการบรรยายของ อาจารย์ ผ่านทาง web site กัลยาณธรรม และเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและน่าจะถูกต้องตามหลักคำสอนของพุทธศาสนาจึงได้มั่นใจที่ประฏิบัติตามคำบรรยายของอาจารย์ แต่คำถามคือว่าผมได้นำสิ่งที่ได้รับมาไปบอกกับเพื่อนใกล้ตัวให้เขาเริ่มทำตามอย่างที่ผมได้รับฟังมาแต่เขาก็ทำตามแต่ ยังยุ่งอยู่กับเรื่องทางโลก/ในชีวิตประจำวันของเขาอยู่อีกมาก ทำให้ผมรู้สึกว่าเราไปยัดเยียดอะไรให้เขาหรือป่าว เราจะเป็นบาปไหมครับ

   7. ตอนเป็นเด็กเราทำบาปไว้มาก เช่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนสัตว์ ลักขโมยเงินของตา ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรได้บ้างในตอนนี้ และถ้าเราบำเพ็ญฝึกภาวนา แล้วอุทิศให้เหล่าสรรพสัตว์ บรรพบุรุษ เจ้ากรรมนายเวร ที่เราเคยล่วงเกินท่านไว้ไม้ทราบว่าเขาจะได้รับหรือไม่และเขาจะอโหสิกรรมให้เราหรือเปล่าครับ

   8. วิธีที่จะระงับ/ลด/กำจัด ความโมโห โทสะ ใจร้อน ของตัวเองได้อย่างไรบ้างครับ

** กิจอันใดอันประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ข้าพเจ้าทำแล้วเกิดเป็นบุญกุศลบารมีเกิดขึ้นผมขออุทิศแผ่ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ใน 31 ภูมิ ในวัฏฏะนี้ อันได้แก่เจ้ากรรมนายเวร บิดามารดา ญาติมิตร ศัตรู ครูบาอาจารย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เทพเทวา พรหม ทั้งหลายทั้งที่มีชีวิตอยูและเสียชีวิตไปแล้วไม่ว่าท่านจะอยู่ภพไหนภูมิใดขอให้ได้รับทุกสรรพสัตว์เทอญ และหากกิจอันใดที่กระทำแล้วทำความทุกข์ให้แก่ใคร ผู้ใด ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย...สาธุ

   ด้วยความเคารพและนอบน้อมอย่างสูง

สันติ (ลพบุรี)

คำตอบ
   (1) ต้องการพัฒนาจิตให้มีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิต้องมีศีล 5 คุมใจให้ได้ก่อน หากมั่นใจว่าประพฤติได้แล้ว ให้เร่งความเพียรปฏิบัติสมถภาวนาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ความสงบของจิตจึงจะเกิดขึ้นได้

   (2) ผู้ตอบปัญหาแนะนำว่า ชีวิตมีงานต้องทำอยู่สองอย่างคืองานภายนอก ที่ทำให้สังคมส่วนรวมและงานภายในคือพัฒนาจิตตนเองให้มีบุญสั่งสม เพื่อเป็นปัจจัยสำหรับจิตวิญญาณใช้เดินทางในปรโลกดังนั้นผู้ใดหวังมีชีวิตสวัสดีทั้งในชีวิตปัจจุบันและในชีวิตหน้าจึงไม่อาจปฏิเสธเลือกทำงานเพียงอย่างเดียวได้ เช่นเดียวกันไม่มีใครผู้ใดหนีใจตัวเองได้พ้น ฉะนั้นจึงต้องทำงานทั้งสองอย่างควบคู่กันไป ซึ่งแต่ละคนต้องบริหารจัดการเวลาให้แก่ชีวิตของตัวเองอย่างเหมาะสม

   (3) ใครผู้ใดปฏิเสธไม่ดูแลพ่อแม่ผู้เป็นบุพการีถือว่าผู้นั้นไม่มีความกตัญญูกตเวที ผู้ที่มีโทษสมบัติเช่นนี้ จะประพฤติปฏิบัติธรรมกี่ครั้งกี่หนก็สามารถปฏิบัติได้ แต่เข้าไม่ถึงมรรคผลแห่งธรรม ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่สูญเปล่า

   (4) ผู้ใดมีอย่างน้อยศีล 5และมีธรรม 5 คุมใจ ผู้นั้นมีเทวดาคุ้มรักษาบางคนเรียกว่ามี “ องค์ ” ผู้ใดมีเทวดาคุ้มรักษาผู้นั้นแคล้วคลาดจากอุบัติภัยทั้งปวง

   (5) ศาสนาพุทธมิได้สอนให้เอาองค์เทพใดๆ มาเป็นที่ระลึกเคารพกราบไหว้บูชา เหตุเพราะมนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้ ดังนั้นจึงมีบุคคลผู้เห็นผิดไปจากธรรม ผู้ยังมีปัญญารู้ไม่จริงแท้เท่านั้น ที่เอาจิตของตัวเองไปยึดติดเป็นทาสขององค์เทพผู้ยังมีความเป็นปุถุชนอยู่ในจิตวิญญาณ หลงนิยมกราบไหว้บูชาในสิ่งที่ด้อยค่ากว่าธรรมและวินัยในพุทธศาสนาซึ่งพุทธสาวกเขาไม่ประพฤติกัน

   (6) ผู้รู้ในพุทธศาสนาไม่เอาธรรมและวินัยไปยัดเยียดให้กับใครผู้ใด ที่มิได้มีจิตศรัทธานำตัวเองเข้ามาศึกษาธรรมะในพุทธศาสนา ดังนั้นผู้ประพฤติยัดเยียดแล้วทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจเกรงใจ ลำบากใจ ฯลฯ ถือว่าผู้นั้นไม่ได้สร้างบารมีให้เกิดขึ้น กับตัวเองและผู้ถูกยัดเยียด

   (7) เรื่องประพฤติทุศีลในอดีตตามที่บอกเล่าไป เมื่อการเวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน อกุศลกรรมอันเนื่องจากเหตุทุศีลได้เกิดขึ้นแล้วและได้ถูกเก็บสั่งสมเป็นบาปไว้ในจิตวิญญาณแล้ว หากผู้ใดหยุดประพฤติทุศีลแล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งบุญสูงสุดผู้ใดมีบุญมาก ผู้นั้นสามารถอุทิศบุญกุศลให้กับบรรพบุรุษ เจ้ากรรมนายเวรสรรพสัตว์ ฯลฯ ได้มาก หากท่านเหล่านั้นอยู่ในวิสัยที่จะรับบุญได้ และมาอนุโมทนาบุญจากที่มีผู้อุทิศส่งไปให้ เขาก็จะได้รับบุญกุศลได้ ผู้มาอนุโมทนาบุญผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวร จะเลิกจองเวรหรือไม่เป็นสิทธิ์ของเขาไม่มีใครสามารถก้าวล้ำเข้าไปในสิทธิ์ของเขาได้

   (8) ปัญหาที่ถามไปสามารถแก้ไขได้เป็นสองทางคือ เจริญเมตตาให้เกิดขึ้นกับจิตวิญญาณด้วยการให้อภัยเป็นทาน เมื่อใดที่จิตวิญญาณมีเมตตาบารมีสั่งสมได้แล้วความโมโหโทสะใจร้อนจะหมดไปได้เอง ส่วนแนวทางแก้ไขในทางที่สอง คือเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนาจนจิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง เห็นถูกตรงตามที่เป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) และไม่เนื่องด้วยกาลเวลา แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งมาพิจารณาขันธ์ 5 จนดับไปตามกฎไตรลักษณ์ได้เมื่อใด อัตตาย่อมดับตามไปด้วยปัญหาที่ถามไปจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีก
  

1009.
กราบเรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

   ดิฉันมีปัญหากลุ้มใจมากอยู่เรื่องหนึ่ง คือ ครอบครัวดิฉันมีเพียง แม่และตัวดิฉันเท่านั้น เมื่อ 12ปีที่แล้ว ด้วยความที่กลัวท่านเหงาขณะที่ดิฉันไปทำงาน ดิฉันจึงซื้อลูกหมาพูเดิ้ลให้ท่านเลี้ยง 1 ตัวเป็นเพื่อน แต่ปรากฏว่าหมาที่เลี้ยงนั้นนิสัยไม่ใช่แบบหมาตุ๊กตาแต่เป็นแบบร็อตไวเลอร์ คือเวลาลูบหัวแบบรักใคร่เอ็นดูก็กัดแต่ก็ชอบเอาหัวมาซุก ไม่ไว้วางใจเจ้าของ ทั้งๆที่ดิฉันและแม่ก็ไม่เคยทำร้ายแถมยังเลี้ยงดีมาก แต่กลับกัดดิฉันและแม่อย่างชนิดเลือดตกยางออกกันทีเดียว ซ้ำร้ายยังขับถ่ายไม่เป็นที่ แถมยังทำเฟอร์นิเจอร์พังไปเยอะ แม่ได้ตัดสินใจยกให้คนอื่นทั้งๆที่บ้านนั้นก็มีหมาตัวเมียหลายตัวและรักหมา แต่ปรากฏว่ามันไม่กินข้าวกินปลา และหนีออกมาจากบ้านนั้น เราจึงต้องก้มหน้าก้มตาเลี้ยงเค้าต่อไป เค้าฟังทุกอย่างรู้เรื่องหมดแต่ไม่ทำ และตลอด24ชม.เค้าจะนั่งมองหน้าแม่ตลอด หรือพอแม่ไม่อยู่สัก 10วันเค้าจะป่วยขึ้นมา ดิฉันเคยคิดเสมอว่าเค้าคงเป็นเจ้ากรรมนายเวร ที่มาทำร้ายและทำลายชีวิตและทรัพย์สิน แต่เราก็ไม่เคยคิดจะทอดทิ้งเค้ารักและเลี้ยงเค้าดั่งลูกแท้ๆ

ดิฉันอยากขอสอบถามว่า
   1. จะมีกุศลกรรมไหนบ้างที่ทำให้เค้าหมดการจองเวรที่มีต่อกันหรือบรรเทาเบาบางลงได้
   2.เวลาที่แม่โดนกัด จะถือว่าเป็นบาปของดิฉันด้วยไหมคะ

ดิฉันขอกราบขอบพระคุณที่เมตตาตอบคำถามค่ะ

คำตอบ
    (1) เมื่อมีการจองเวรเกิดขึ้นแล้ว ต้องชดใช้หนี้เวรกกรรมไปเรื่อยๆ หนี้เวรกรรมจึงจะบรรเทาหรือเบาบางลงได้

   (2) เป็นบาปของผู้ที่ถูกสุนัขกัด ผู้ใดไม่ถูกสุนัขกัดถือว่าไม่มีเวรประเภทนี้ผูกไว้กับสุนัข แต่หากนำสุนัขมาเลี้ยงแล้ว ทำให้เจ้าของไม่สบายใจถือว่าเจ้าของสุนัขเคยมีเวรกรรมอื่นร่วมกับสุนัขด้วย
   

1008.
ปรึกษาเรื่องการทรงเจ้า

     ดิฉันเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้นั่งกรรมฐานที่เรียกว่ากรรมฐานเปิดโลก ได้มีโอกาสปฏิบัติ และศึกษาธรรมของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นระยะเพื่อไขปัญหาข้อข้องใจต่างๆ จนวันนี้เพื่อนได้เข้าร่วมฟังธรรมยายของอาจารย์แล้วมาเล่าให้ฟังจึงได้เข้าไปศึกษา แล้วไขข้อข้องใจได้หลายเรื่อง เพราะตัวดิฉันเองได้ฝึกกรรมฐานมาตั้งแต่ปี 49 ครั้งแรกที่นั่งรู้สึกถึงความสับสนวุ่นวาย (มีป้าๆ หลายท่านที่นั่งมานานและเป็นศิษย์ของหลวงพ่อคอยดูแล) ความรู้สึกวูบวาบบอกไม่ถูก จนระยะหลังรู้สึกเย็นและสงบเป็นที่สุด ดิฉันไม่ได้ต้องการนั่งกรรมฐานเพื่อระลึกชาติได้ หรือหวังสิ่งใด หากแต่ศรัทธาในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีความประสงค์เป็นคนหนึ่งที่ปฏิบัติธรรมเพื่อพัฒนาจิตใจ รบกวนถามอาจารย์ดังต่อไปนี้

   1. ดิฉันประกอบอาชีพครูด้วยความศัรทธาในอาชีพนี้ แล้วได้มีโอกาสไปสอนนักเรียนโรงเรียนที่ห่างไกลพบนักเรียนที่ด้อยโอกาสแล้ว มีอะไรบางอย่างทำให้ดิฉันต้องอุปการะนักเรียน 3 คน ซึ่งมีปัญหาต่างกันไป แต่หัวใจของครูนิ่งนอนไม่ได้ที่จะทิ้งเขาไปตามแต่กรรม จึงตัดสินใจอุปการะเขาให้ได้เรียนเลี้ยงดูเหมือนลูกของตนเอง (ดิฉันแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อายุ 30 ปีค่ะ) ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าจะช่วยให้เขามีความรู้และให้เขาศึกษาธรรมะ และหวังจะสร้างน้ำดีให้กับสังคมที่เจริญแต่วัตถุไปทุกวัน บุญกุศลที่ดิฉันได้ทำกับพวกเขา อยากมอบให้บิดา มารดา และบรรพบุรุษ ที่อบรมเลี้ยงดูให้ดิฉันมีจิตใจอยากช่วยเหลือผู้ด้อยกว่าได้หรือไม่

   2. เด็กที่ดิฉันอุปการะนั้นมีหนึ่งคนเป็นร่างทรง ซึ่งดิฉันเองไม่มีความรู้เรื่องนี้ และไม่ได้สนใจจนเมื่อเขาอยู่ในการปกครองสร้างความสงสัย และบนหนทางของธรรมะไม่เห็นเกี่ยวข้องกัน ทำให้ดิฉันงง เพราะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นกับลูกศิษย์คนนี้ ที่เขาต้องเป็นร่างทรงเพราะเขามีกรรมมากกว่าคนปกติ หรือว่าเกี่ยวข้องกันแต่ชาติปางก่อนหรืออย่างไร

   3. เด็กคนนี้เขามีความรักกับน้องสาวของข้าพเจ้าจนถึงขั้นเขามีอะไรกัน แต่ดิฉันก็สอนเขาและแนะนำให้เขามอง
อนาคตตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนผ่านไป 2 ปี ก็ดูเด็กคนนี้เป็นคนดีขึ้น ความรับผิดชอบมากขึ้น เหตุใดเขาต้องเกี่ยวพันธ์กับน้องสาวของดิฉันเช่นนี้

   4. บางครั้งเด็กคนนี้ที่เป็นร่างทรงก็ไม่เหมือนตัวตนของเขา เหมือนเขาคุ้มดี คุ้มร้าย ปัจจุบันอายุ 18 เกิดจากที่เขาเรียกว่าองค์หรือไม่อย่างไร

   5. เด็กคนนี้เป็นคนที่จิตวิตกหวาดระแวง และกลัวผี วิตกมากจนดิฉันพยายามสอนเขาให้ตั้งจิตให้นิ่ง เขาไม่สวดมนต์ ไม่นั่งสมาธิ ทั้งที่เป็นร่างทรง มีผลทำให้จิตเขาไม่ปกติไหมคะ

   6. เด็กคนนี้ที่เป็นร่างทรงเมื่อประมาณกลางเดือนสิงหาคม บอกดิฉันว่าเขารู้สึกว่าเขาเป็นเกย์ และก็ไม่ได้รักน้องดิฉันแล้ว ที่สำคัญเขาชอบและแอบรักผู้ชายถึงกับโกหกหนีไปหาไปเฝ้าผู้ชายคนนั้น ดิฉันจึงจำเป็นต้องแจ้งให้แม่เขาทราบดิฉันกับแม่ของเขาได้เดินทางไปพบกับร่างทรงที่เขาไปรับมาท่านบอกเป็นภาวะกรรมของเจ้าตัว เดี่ยวก็หาย และเจ้าตัวก็ขึ้นทรงเองเขายังไม่ทราบตอนเขาขึ้นทรงว่าจะถามเขาเรื่องใด องค์(ตามที่เขาเรียก) บอกว่าชะตาเขาขาด จึงส่งองค์ผู้หญิงชื่อแม่อุมา มารักษาร่างไว้จึงส่งผลให้จิตใจเบี่ยงเบน แต่เมื่อวาระกรรมนี้หมดไปเขาก็จะเป็นปกติ เรื่องนี้ดิฉันไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่ เพราะเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ ไม่ใช่ธรรมะที่เชื่อถือได้ เป็นจริงอย่างที่เห็น แต่เรื่องร่างทรงองค์เจ้า ไม่เห็นจะมีเหตุผลใด ใคร่จะขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่าเป็นไปได้หรือไรกับเหตุการณ์นี้

   7. ดิฉันเฝ้าสวดมนต์ ขอพรพระพุทธองค์ แผ่เมตตาให้กับองค์ที่เขาเชื่อเพราะเชื่อว่าบุญบารมีที่ทำนั้นน่าจะทำให้เขาช่วยลูกศิษย์ของดิฉันได้ เพราะไม่ใช่แค่เขามีจิตไปเป็นเกย์ นิสัยเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ก้าวร้าว จนดิฉันเองงงว่านี่คืออะไร อยู่ด้วยกันเหมือนอยู่กับใครไม่รู้ ท่านอาจารย์พออธิบายให้ดิฉันเกิดปัญญาได้บ้างไหมคะ

   8. ทุกครั้งที่ดิฉันสวดมนต์ นั่งกรรมฐาน หรือทำบุญมักจะอุทิศส่วนกุศลนอกเหนือจากทั่วไปธรรมดา คือ จะอุทิศกุศล ผลบุญที่ได้ทำไปให้ลูกศิษย์ทุกคนที่ดิฉันสอน เพราะเห็นลูกศิษย์มากมายหลายคนลำบาก ทั้งไม่ได้เรียนต่อ ไม่มีอาหาร ไม่มีเงิน ไม่มีพ่อแม่ ดิฉันอยากช่วยเด็กๆ ทุกคน แต่กำลังทรัพย์ไม่พอ เพราะที่อุปการะอยู่ก็จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปีหน้า มีเด็กๆ น่าสงสารอีกมากมาย ดิฉันมักจะนึกถึงพวกเขาและหวังว่าบุญกุศลที่ได้ทำจะช่วยส่งผลถึงพวกเขาบ้าง ไม่รู้จะได้ไหม
ดิฉันรบกวนอาจารย์มากมาย เพราะดิฉันเองทุกข์เพราะเรื่องศิษย์คนนี้มาตลอด 3 เดือน ทั้งที่รู้ต้นเหตุของทุกข์ และควรแก้ทุกข์อย่างไร แต่ก็ไม่สามารถทำได้ แต่วันนี้ดีขึ้นมากทีเดียวและคิดทุกอนูของหัวใจไว้ว่าจะช่วยศิษย์คนนี้พ้นทุกข์ให้จงได้ โดยให้เขาหันเข้าหาธรรมะ โดยมีทุกคนในครอบครัวให้ความร่วมมือ ดิฉันหวังเพียงว่าเขาจะเป็นคนดีของสังคม และเป็นคนๆ หนึ่งที่ปฏิบัติธรรมได้ใช้ชีวิตโดยไม่ตั้งมั่นบนความเห็นแก่ตัว

คำตอบ
    (1) ได้ครับ ต้องอุทิศบุญกุศลที่มีให้กับบุคคลที่ปรารถนาจะให้หากผู้ที่ถูกอุทิศบุญรับทราบแล้วมาอนุโมทนาบุญเขาก็จะได้รับส่วนบุญนั้น

   (2) ทุกคนที่ยังเป็นปุถุชนล้วนต่างมีผลของกรรมถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณมากจนเรียกได้ว่ามีผลของกรรมสั่งสมไว้มากไม่มีสิ้นสุด (อนันต์)

   คนที่เป็นร่างของเหตุเพราะจิตมีความเห็นผิด รู้ไม่เท่ากันชีวิตจึงยินยอมให้จิตวิญญาณอื่นมาใช้ร่างกายของตัวเอง ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อประโยชน์ของจิตวิญญาณนั้นๆ จิตวิญญาณใดมีบุญบารมีสั่งสมได้มาก จะไม่ยินยอมให้จิตวิญญาณอื่นมาใช้ร่างกายของเขาเป็นร่างทรง แต่จะใช้ร่างกายของตัวเองทำประโยชน์ให้กับชีวิตด้วยการสร้างบุญบารมีให้มีมากยิ่งขึ้น

   ฉะนั้นผู้รู้จึงแก้ปัญหาไม่ต้องเป็นร่างทรงของจิตวิญญาณใด ด้วยการสร้างและสั่งสมบุญให้มีมากยิ่งขึ้น แล้วจิตวิญญาณอื่นจะไม่สามารถมาใช้ร่างกายของเราเป็นร่างทรงได้

   (3) เป็นเรื่องของจิตที่มีความผูกพันกันมาแต่อดีต หากเป็นความผูกพันที่ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ก็ไม่เสียหายอะไร

   (4) เมื่อจิตวิญญาณอื่นมาใช้ร่างกายคนทรง เป็นเครื่องมือในการคิด พูด ทำ ที่เรียกว่าพฤติกรรม ก็จะแสดงออกเป็นพฤติกรรม ของจิตวิญญาณนั้นๆ ซึ่งบางคนเรียกจิตวิญญาณนั้นว่า “ องค์ ”

   (5) เป็นเรื่องปรกติธรรมดาของคนที่มีกำลังสติอ่อนเป็นคนทรง ย่อมมีอารมณ์หลากหลาย (วิตกจริต) ผู้ใดสวดมนต์ก่อนนอนเป็นประจำ เจริญอานาปานสติอยู่เสมอ ทำให้จิตมีกำลังของสติมากจิตวิญญาณอื่นจึงไม่สามารถมาใช้ร่างกายของเขาได้ ตรงกันข้ามผู้ใดมีกำลังสติอ่อน จะมีอารมณ์หลากหลาย มีอารมณ์มากกว่าคนปกติ อย่างนี้จึงเรียกว่ามีอารมณ์ผิดปกติ

   (6) กรรมคือการกระทำ กุศลกรรมหมายถึง การกระทำที่ฉลาดผู้ใดประสงค์ให้วาระของกรรมที่เป็นคนทรงหมดไป แก้ไขได้ด้วยสวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน และเจริญอานาปานสติ โดยเอาลมหายใจเข้ามากำหนดว่า “ พุท ” เอาลมหายใจออกมากำหนดว่า “ โธ ” ปฏิบัติเช่นนี้ต่อเนื่องยาวนานจะทำให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น จิตวิญญาณอื่นไม่สามารถมาใช้ร่างของเราไปเป็นร่างทรงได้ วาระของกรรมดังกล่าวก็จะหมดไป ด้วยการประพฤติเหตุให้ถูกตรงเช่นนี้

   มนุษย์ เทวดา พรหม (สุทธาวาส) สามารถพัฒนาจิตให้อยู่เหนือธรรมชาติได้ด้วยการเจริญสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา จนเข้าถึงกรรมขั้นอรหัตตผลได้เมื่อใดแล้วผู้นั้นสามารถอยู่เหนือธรรมชาติได้ทุกคน

   (7) ไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาให้ใครได้ ปัญหาจะหมดไปต้องแก้ไขด้วยตัวเอง

   เมื่อใดที่บาปให้ผล แรงของอกุศลกรรมย่อมบันดาลพฤติกรรมไม่ดี (ก้าวร้าว) ให้เกิดขึ้น เมื่อจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับผู้มีพฤติกรรมก้าวร้าว ต้องเจริญขันติบารมี และพรหมวิหาร 4 ให้มีกำลังกล้าแข็ง แล้วพฤติกรรมไม่ดีของผู้อื่นก็ไม่สามารถเข้าทำร้ายได้

   ผู้ถามปัญหาเป็นผู้โชคดี มีครูดีอยู่ใกล้ ไม่ต้องไปแสวงหาครูในที่ห่างไกลให้เสียเงินเสียเวลา เพราะเขาผู้ก้าวร้าวเป็นครูที่ทำให้เราได้สร้างบารมีนั่นเอง

   (8) เมื่อใดที่กรรมดี (ช่วยเด็ก) ให้ผลเมื่อนั้นกุศลวิบากจึงจะเกิดขึ้นให้ผู้ที่ช่วยเหลือได้เสวย ผู้ทีประพฤติตนตามแนวทางของพระโพธิสัตว์(ช่วยเหลือคน) เขาหวังสร้างบุญบารมีกันทั้งนั้น คำว่า “ อุปสรรคบ่มี บารมีบ่เกิด ” จึงเป็นจริงแท้ ฉะนั้นผู้ใดเลือกทางเดินของชีวิตเป็นแบบนี้แล้ว ต้องไม่สะทกสะท้านต่ออุปสรรคปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้น ครูบาศรีวิชัยผู้เป็นพระโพธิสัตว์ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วทำความดียังต้องถูกอธิกรณ์จากฝ่ายบ้านเมืองหลายครั้งหลายหน
   

1007.
กราบเรียนอาจารย์สนอง วรอุไร ที่เคารพ

ขออนุโมทนาบุญกับบุญกุศลที่อาจารย์ได้สั่งสมมาดีแล้วทุกๆประการค่ะ และขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเราไปนานๆ ค่ะ

เรียนถามอาจารย์ค่ะ
ไม่กี่วันนี้ เมื่อใกล้รู้สึกตัวตื่นตอนเช้า ยังงัวเงียอยู่ ปรากฏว่าจิตของตัวเองภาวนาเองค่ะประมาณ 2 ครั้งที่ได้ยิน เสียงนั้นดังในใจมาก จำได้ติดหูที่หายใจเข้าออกว่า ตอนหายใจเข้า ภาวนา "อายุ....ปีแล้ว" ตอนหายใจออก ภาวนา "ตายแน่ ไม่มีใครหนีความตายไปได้" ซึ่ง ณ วินาทีที่รู้สึกตัวเต็มที่คำภาวนาก็หายไป เมื่อทบทวนย้อนกลับก็จำได้ว่าตอนใกล้จะตื่นไม่ได้ฝันอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับคำภาวนานั้น และก่อนนอนก็ไม่ได้นึกภาวนาแบบนี้แต่อย่างไร เหมือนกับเป็นอีกจิตหนึ่งที่แยกจากจิตที่รับรู้เมื่อขณะตื่น ไม่ทราบว่าใช่เป็นจิตผู้รู้ ผู้ตื่นที่ทำงานไปพร้อมกับจิตที่รับรู้ (ประมาณว่าจิตที่ยังหลง) หรือไม่ค่ะ คือ ณ ขณะนั้นมีลักษณะเหมือนจิตดูจิต เคยเป็นแบบนี้บ้างค่ะ 2-3 ครั้งนานหลายปีแล้ว แต่รูปแบบแตกต่างไป เช่นเคยฝันว่าได้สรรเสริญตาของตัวเองที่เสียไปแล้วซึ่งในฝันท่านได้เป็นเทวดานั่งบัลลังก์ ด้วยภาษาสละสลวย คล้องจองกัน อย่างไม่ต้องนึกคิดเลย ทั้งๆที่ ในชีวิตจริง ถ้าไม่ให้เวลาคิดนานๆ คงไม่สามารถจะทำแบบนี้ได้แน่

รบกวนอาจารย์ชี้แนะด้วยค่ะ
ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
   พัฒน์

คำตอบ
    ที่บอกเล่าไปให้ฟังเป็นเรื่องของจิตรู้ เมื่อรู้สึกตัวตื่นเช้าขึ้นมาจิตมีกำลังของสติกล้าแข็ง จึงสามารถไประลึกรู้จิตตัวที่รู้ (จิตเห็นจิต) นั่นเอง  หากเป็นเวลาปรกติในรอบวันขณะตื่นหากผู้ถามปัญหาระลึกได้เช่นนี้ สาธุๆๆๆ
  

1006.
กราบเรียนท่านอ.สนองที่เคารพ

   อาจารย์คะ ดิฉันได้ฟังธรรมะบรรยายของอาจารย์ทางเว็บไวด์ของชมรมกัลยาณธรรม เมื่อได้ฟังธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยายแล้ว มีความรู้สึกว่าตัวเองปฎิบัติมาในชีวิตประจำวันผิดมาก โดยเฉพาะในการที่เราเป็นชาวพุทธ ถือศีล 5 ยังพร่องเลย เคยฟังพระเทศน์ก็ยังฆ่าสัตว์เหมือนเดิม ปกติเมื่อเห็นยุงจะตบทันที ไม่ว่าจะกัดใคร เค้าบินอยู่เฉยๆ ก็ยังตบ แต่เมื่ได้ฟังท่านอาจารย์บรรยายธรรม ทำให้ระมัดระวังตัวมากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน พยายามจะไม่ให้ศีล พร่องเลย แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ค่ะ ดิฉันได้ไปปฎิบัติที่วัดมาหลายแห่ง ก็ยังไม่ดีขึ้น เวลาที่อยู่ในวัดทำได้ กลับมาบ้านก็เหมือนเดิมไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย แต่เป็นคนที่ชอบทำบุญ ฟังธรรมะ การทำบุญจะนำเงินขึ้นจบใส่กระปุกไว้ทุกวันและนำเงินนั้นไปทำบุญ ไม่ว่าจะกับรายการวิทยุที่ฟังอยู่ ทอดผ้าป่า กฐิน งานศพ ก็จะนำเงินที่จบไว้ไปทำ ได้ฟังท่านอาจารย์บรรยายธรรมรู้สึกซาบซึ้งมากและอยากปฎิบัติให้ถูกต้องเพื่อที่จะได้ปฎิบัติภาวนาได้ เวลานั่งสมาธิก็นั่งได้ไม่นานเดี๋ยวปวดเมื่อย ก็จะพลิกไปพลิกมา แต่ถ้าเดินจงกรม จะเดินได้นานค่ะ ถ้าจิตแวบก็เอียง เหมือนกัน
   มีอยู่วันหนึ่งที่นั่งสวดมนต์เหมือนปกติทุกวัน วันนั้นเป็นตอนเช้าก่อนที่จะไปทำงาน สวดเหมือนเดิมทุกอย่าง มีความรู้สึกว่าเหมือนมีพลังบางอย่างอยู่บนศรีษะ เหมือนกับสว่าน เจาะลงไปในกลางกระหม่อม ตลอดเวลาที่สวดมนต์ จนสวดเสร็จก็ยังมีอยู่ดิฉันมีข้อสงสัยที่จะเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. สิ่งที่ลงมากลางกระหม่อมนั้นคืออะไร และดิฉันควรทำอย่างไร
2. อาจารย์เคยบอกเสมอว่าคนที่ได้ไปฟังการบรรยายธรรมที่ทางชมรมจัด เป็นผู้ที่มีบุญและมี วาสนาถึงได้มาฟัง แล้วการที่ดิฉันเปิดรายการฟังทางอินเตอร์เนต ดิฉันจะได้บุญเหมือนกับท่าน ผู้มีบุญเหล่านั้นไหมคะ
3. เป็นเพราะอะไรดิฉันถึงได้นั่งสมาธิได้ไม่นาน แต่ถ้าเดินจงกรมจะได้นาน
4. เคยบริกรรมหยุบหนอ พองหนอ แล้วทำไม่ได้ แต่กำหนดลมหายใจด้วยพุทโธทำได้ ยุบหนหอกับพุทโธต่างกันไหมคะ
5. วิปัสนากับสมาธิต่างกันอย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มากค่ะ
ขออนุโมทนากับท่านอาจารย์ และทุกท่านในการจัดทำเว็บไซด์ดีๆๆอย่างนี้ ขออนุญาติเป็น กำลังใจให้ค่ะ

เบญญาภา

คำตอบ
    (1) ตามที่บอกเล่าไปเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากจิตเริ่มมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ เมื่อใดที่จิตสัมผัสได้ถึงอาการที่เกิดขึ้นกลางกระหม่อม ต้องหยุดสวดมนต์แล้วกำหนดว่า “ รู้หนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอาการดังกล่าวหายไป จึงเลิกกำหนดและจึงดำเนินการสวดมนต์ต่อไปให้จบบทสวด

   (2) ได้บุญเหมือนกัน แต่ได้บุญไม่เท่ากัน ตามกำลังศรัทธาที่แต่ละคนมีมากน้อยต่างกัน

   (3) การเดินจงกรมเป็นอริยาบถใหญ่ จิตสามารถจดจ่อ (สติ) อยู่กับเท้าที่ก้าวย่าง ได้ดีกว่า การนั่งภาวนาซึ่งเป็นห้วงเวลาที่จิตยังมีกำลังของสติไม่กล้าแข็งมากนัก จึงนั่งได้ไม่นานเท่ากับการเดินจงกรม

   (4) องค์บริกรรมทั้งสองต่างกันด้วยวิธีการใช้ แต่วิธีทั้งสองมีจุดหมายเดียวกัน คือการมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

   (5) คำว่า “ วิปัสสนา ” หมายถึงความเห็นแจ้ง เป็นตัวปัญญาที่รู้เห็นเข้าใจเหตุผลที่เป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ต่างกับคำว่า “ สมาธิ ” ซึ่งหมายถึงความตั้งมั่นของจิต หรือจิตที่สงบแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ
  

1005.
เรียน อาจารย์สนอง
 
ดิฉันเริ่มศึกษาด้านธรรมมะมาได้ 3-4 ปี แต่ยังขาดความสม่ำเสมอ ดิฉันมีข้อสงสัยอยากเรียนถามดังนี้ค่ะ
   1.ในระยะหลัง ได้เฝ้าสังเกตุกายและใจอยู่เสมอ ๆ ในขณะที่เห็นคนที่นั่งในรถประจำทาง เห็นเด็กเล็ก ๆ เด็กโต วัยรุ่น ผู้ใหญ่ สุดท้ายวัยชรา เห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านกายภาพ เห็นความเป็นไปของชีวิต ที่ไม่มีอะไรแน่นอน จนบางครั้งรู้สึกหดหู่ อยากหาอะไรสักอย่างที่พ้นความรู้สึกนี้ จนบางครั้งอยากอยู่ที่สงบ แต่นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะชีวิตยังต้องดำเนินไป อยากได้คำแนะนำจากท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะคะ

   2.ในช่วงนี้เป็นช่วงกฐิน ดิฉันมักจะได้ซองกฐินมามาก แต่บางครั้งไม่ได้ส่งซองกลับ แต่ใช้วิธีโอนเงินไปให้ (รวมทั้งซองของพี่น้องที่ฝากมา) ไม่ได้ส่งซองที่ระบุชื่อกลับไปหาคนให้ ดังนี้ เราจะได้บุญหรือไม่

ขอเรียนรบกวนอาจารย์เท่านี้ก่อน ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
    (1) ชีวิตมีงานให้ทำอยู่สองเรื่องคืองานภายนอกที่ทำให้กับสังคมส่วนรวมที่ทำแล้วได้เงินมาเลี้ยงปากท้อง กับงานภายในคือทำเพื่อสั่งสมทรัพย์ภายในสำหรับใช้เดินทางไปสู่ปรโลก พระพุทธะมิได้สอนให้ฆราวาสปฏิเสธงานภายนอก ผู้ใดยังมีความจำเป็นต้องทำงานภายนอก ก็ยังต้องทำอยู่เพราะหากปฏิเสธหรือละทิ้งไม่ทำ ก็จะเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ ฉะนั้นธรรมะที่พระพุทธะมอบไว้แก่พุทธบริษัทประพฤติเพื่อไม่ทำให้เกิดความทุกข์มากเกินพอจึงควรหรือจำเป็นต้องประพฤติ อาทิ สอนฆราวาสให้มีสัจจะ มีความข่มใจ มีความอดทน มีการเสียสละแบ่งปัน (ฆราวาสธรรม) ธรรมะที่ประพฤติแล้วทำให้เป็นลูกที่ดี ได้แก่ ท่านเลี้ยงมาเลี้ยงท่านตอบ ช่วยทำงานแทนท่าน ดำรงวงศ์สุกลให้ดี ทำตนเป็นทายาทที่ดี ทำบุญอุทิศเมื่อท่านล่วงลับ ฯลฯ ส่วนงานภายในบุคคลใดประพฤติได้แล้วจะทำให้ตัวเองมีทรัพย์เดินทางในปรโลก อาทิ ประพฤติตนเป็นผู้มีศีล 5 (เบญจศีล) คุมใจ มีธรรม 5 (เบญจธรรม) คุมใจ ประพฤติกุศลกรรมบถ10 ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 ประพฤติบารมี 10 ฯลฯ เหล่านี้ผู้ใดประพฤติแล้วจะมีทรัพย์ภายในถูกเก็บฝังไว้ในจิตวิญญาณ เมื่อทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้วทรัพย์เหล่านี้จะติดตามข้ามภพชาติไปให้ตนเองได้สวยผลแห่งกุศลวิบากนั้น

   ฉะนั้นผู้ใดหวังความสวัสดีให้กับชีวิต ทั้งในภพนี้และในภาพหน้า พึงบริหารจัดการเวลาให้เหมาะสมกับงานของชีวิตสองอย่างด้วยตัวของตัวเอง ไม่มีผู้อื่นใดสามารถบริหารจัดการงานของชีวิตแทนกันได้

   (2) การเอาเงินใส่ซอง รวมถึงวิธีโอนเงินเพื่อนำไปใช้ในงานกฐิน ถือว่าเป็นการให้ทรัพย์เป็นทาน เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ผู้ให้ได้บุญ แต่สิ่งที่ใคร่แนะนำคือ การทำเหตุแล้วเกิดเป็นบุญขึ้นนั้นมีอยู่สิบอย่าง (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) ฉะนั้นพึงเลือกวิธีทำบุญตามที่ตัวเองศรัทธาและการทำบุญต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง เพราะจะเป็นบาปเกิดขึ้นกับการทำบุญนั้นด้วย 
  

1004.
เรียนอาจารย์ สนอง ที่เคารพ

   ผมได้ฟังคำอธิบายจากบุคคลท่านหนึ่งว่า การเกิดและดับของจิตนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อมีจุติจิตก็จะมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นตามมาในทันที ดังนั้นเมื่อคนเราตายในภพนี้ก็จะไปเกิดในภพอื่นในทันที ดังนั้นคำว่าผีหรือวิญญานที่กลับมาหาญาติหลังตายจะไม่มี เช่นเกี่ยวกับเรื่องแม่นาคพระโขนง เรื่องทำนองนี้ไม่มีทางเป็นจริงได้
   แต่ในอีกด้านหนึ่งที่ผมได้รับรู้มาและเชื่อมาระยะหนึ่งแล้ว คือหลังตายมีบางคนเป็นสัมภเวสี มีเสื้อผ้าและหน้าตาเหมือนก่อนตาย และบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่บางคนมองเห็นสัมภเวสีเหล่านั้นได้

เรื่องใน 2 ประเด็นข้างต้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร อาจารย์กรุณาให้ความกระจ่างด้วยครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
ขอแสดงความเคารพ

คำตอบ
    คนที่บอกว่าตาย (จุติ) แล้วไปเกิดใหม่ (ปฏิสนธิ) ทันที เป็นความเห็นถูกของคนที่บอก อาทิ ม้ากัณฐกะตายจากสัตว์เดรัจฉานแล้วโอปปาติกะทันทีเป็นกัณฐกะเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พระเจ้าพิมพิสารโสดาบัน สวรรคตแล้วโอปปาติกะทันทีเป็นชนวสภยักษ์โสดาบันอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา สิริมาโสดาบันตายแล้วโอปปาติกะเป็นสิริมาเทพนารีโสดาบันทันที อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมิตวสวตี ฯลฯ

   คนที่มีประสบการณ์ตรงเรื่องสัมภเวสีคือตายแล้วยังไม่ไปเกิดอยู่ในภพภูมิใดในวัฏสงสาร ยังเป็นสัตว์รอเกิดที่มีรูปลักษณ์เหมือนเดิมก่อนตาย จึงเป็นความเห็นถูกของผู้มีประสบการณ์ตรงเช่นนั้น

   ส่วนผู้ถามปัญหาอยากทราบว่า เท็จจริงเป็นอย่างไร ขอให้ชี้แจงเหตุผลในเรื่องของการตายในลักษณะนี้ด้วย ผู้ตอบปัญหาบอกว่าที่ยกตัวอย่างแสดงและที่อธิบายมาข้างต้นเป็นสิ่งถูกต้อง และมีเรื่องเล่าเสริมให้ฟังว่าในสมัยที่ผู้ตอบปัญหายังเป็นนิสิตอยู่ในมหาวิทยาลัยปรากฏว่ามีนักศึกษารุ่นน้องปีที่หนึ่งได้ไปร่วมดื่มเหล้ากับเพื่อนฝูง แล้วกลับมาหอพักหลังเที่ยงคืนไปแล้วได้พบชายสูงอายุผู้หนึ่ง มาชวนโขลกหมากรุกไทย ซึ่งเป็นกีฬาที่นักศึกษาผู้นี้ชอบเล่นอยู่เป็นประจำ ผลปรากฏว่าการเล่นหมากรุกในคืนวันนั้นนักศึกษาเล่นแพ้ชายสูงอายุ แล้วต่างคนจึงได้แยกย้ายไปนอน อีกสามถึงสี่วันถัดมา นักศึกษาผู้นี้ได้เดินเข้าไปในห้องรับแขกของหอพัก ได้ไปเห็นรูปของชายสูงอายุผู้มาชวยเล่นหมากรุกในคืนกลางดึก แขวนอยู่ที่ผนังห้องรับแขกนักศึกษาจึงได้ไปถามหัวหน้าหอพัก ซึ่งเป็นนักศึกษาปีสุดท้าย ว่ารูปที่แขวนอยู่เป็นใคร หัวหน้าหอพักตอบว่า “ เป็นรูปของลุงมากที่เคยเป็นภารโรงหอได้ตายไปเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง เมื่อนักศึกษารุ่น้องกับหัวหน้าฯ ได้พูดคุยกันถึงเรื่องที่เล่าให้ฟังข้างต้น จึงรู้ว่าลุงมาในสมัยที่เป็นมนุษย์ชอบเล่นหมากรุกจึงได้มาชวนลูกหอเล่นหมากรุกด้วย หลังจากนั้นทางหอพักจึงได้จั ดให้มีการทำบุญใหญ่ และอุทิศบุญกุศลให้กับลุงมาก ที่ไปเกิดเป็นสัมภเวสีคือสัตว์รอเกิดที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมก่อนตายทุกประการ

   ส่วนเรื่องตายแล้วไปเกิดทันที ขอเล่าเรื่องพระป่าที่เข้าฌานแล้วถอดจิตไปสู่สวรรค์ชั้นยามาได้มีนางฟ้าแต่งชุดสีเขียงเข้ามากราบพระสงฆ์ท่านจึงถามว่า “ นางฟ้าเธอเป็นใครจึงได้มากราบอาตมา ” นางฟ้าตอบว่า “ ท่านจำอิฉันไม่ได้หรือเจ้าคะ อิฉันคือ.....เป็นโยมอุปัฏฐากอยู่ที่วัดท่านนั่นไง ” พอพระป่าได้ยินชื่อและนามสกุลที่นางฟ้าบอกจึงจำได้ชัดเจนว่า อุ๊ย (หญิงชรา) คือ .... นี่เองนึกว่าใคร ผู้ใดอยากรู้ว่านางฟ้าองค์นี้เป็นใคร ไปดูได้ที่วัดอริญญวิเวก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพราะมีชื่อของอดีตมนุษย์ที่ไปโอปปาติกะเป็นนางฟ้า ติดอยู่ที่เจดีย์สีขาว ที่สร้างไว้กับวัดอรัญญวิเวกนั่นเอง
   

1003.
เรียนอาจารย์สนองที่เคารพ

ดิฉันมีคำถามอยากขอความแมตตาอาจารย์ช่วยอธิบายด้วยค่ะ

๑. มีผู้ร่วมงานคนหนึ่งซึ่งดิฉันมีปัญหาในการติดต่องานเกือบแทบจะทุกครั้ง และถ้านอกเหนือจากเวลางานแล้วบังเอิญนึกถึงผู้ร่วมงานคนนี้ทีไรจะทำให้จิตใจขุ่นมัวหรือมีความโกรธขึ้นมาทุกที อยากทราบว่า ถ้าดิฉันรีบหยุดคิดหรือนึกถึงเรื่องอื่นเพื่อรักษาไม่ให้มีอารมณ์โกรธเป็นทางที่ถูกต้องหรือเปล่าคะ หรือควรจะรีบแผ่เมตตาโดยคิดว่า ขอให้ใจทั้งปวงเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลยจะดีกว่าหรือไม่คะ

๒. ดิฉันได้ปฎิบัติธรรมที่บ้านโดยใช้หลักพุธโธมาระยะหนึ่ง ช่วงหลังๆ ถ้าอ่านหนังสือธรรมะ ประวัติครูบาอาจารย์จบแล้วหลับตา หรือบางครั้งหลับตาในขณะที่สวดมนต์ จะมีความรู้สึกเหมือนว่ามีวงกลมดำๆ ขยายใกล้เข้ามาที่ใบหน้าและใหญ่ขึ้นๆจนถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะรู้สึกเหมือนนิ่งๆ ว่างๆ ไม่เหมือนเวลาที่หลับตาปกติ ไม่ทราบว่าอาการแบบนี้คืออะไรคะ และควรปฎิบัติอย่างไรต่อไปเนื่องจากถ้านั่งเฉยๆ อาการนี้ก็จะคงอยู่สักครู่หนึ่งแล้วก็หายไปค่ะ

ขอขอบพระคุณค่ะ
เจนจิรา

คำตอบ
    (1) คำว่า “ เมตตา ” หมายถึงความรักความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข เมตตาจะเกิดขึ้นกับใครผู้ใดได้ผู้นั้นต้องมีการให้อภัยเป็นทาน ทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า “ ช่างมันเถอะๆๆๆๆ ” จนความขัดใจดับไป ความโกรธจะไม่เกิดขึ้นต้องกำหนดให้ได้เช่นนี้เรื่อยไป แล้วเมตตาจึงจะเกิดขึ้นได้ให้ผลเป็นอารมณ์ที่สงบเย็นผู้ใดมีเมตตาเกิดขึ้นกับใจแล้ว จึงสามารถแผ่เมตตาให้กับผู้อื่นสัตว์อื่นที่คิดทำร้ายเราได้การจองเวรจะไม่เกิดขึ้น

   (2) สิ่งที่บอกเล่าไปคือนิมิตที่มาเป็นตัวขัดขวางความก้าวหน้าในการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง เมื่อนิมิตเกิดขึ้นต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนกระทั่งวงกลมสีดำที่ปรากฏหายไป แล้วจึงดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิมวิธีการเช่นนี้ ทำให้จิตเข้าถึงความตั้งมั่นแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ได้ หลังจากนั้นจึงนำจิตไปพัฒนาปัญญาเห็นแจ้ง ตามแนวของสติปัฏฐาน 4 ต่อไป
   

1002.
เรียนดร.สนองที่เคารพ

     หนูมีปัญหาถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ
      1 ทำไมคนดีผีคุ้มคะ คนปกติผีไม่คุ้มหรือคะ แล้วผีรู้ได้อย่างไรว่า ใครดีใครไม่ดี แล้วผีที่มาคุ้มคนดีก็ต้องเป็นผีดีด้วยใช่ไหมคะ แล้วอย่างเช่น ถ้าเราไปตามสถานที่ต่างๆมีผีมาขอส่วนบุญส่วนกุศล เขารู้ได้อย่างไรว่า คนๆนั้นเป็นคนมีบุญกุศล ทั้งๆที่เจอกันเป็นครั้งแรก ทำไมคนด้วยกันไม่รู้ แต่ผีกลับรู้คะ

     2 หนูเคยท้อแท้กับการถูกคนนินทาใส่ร้ายอย่างหนัก หนูรู้สึกไม่มีใครเลยที่เข้าใจและอยู่เคียงข้างหนู จนหนูต้องอธิษฐานต่อหน้าหิ้งพระว่า หากสิ่งที่หนูทำ ถูกต้อง (หนูถือศีล ทำทาน ปฏิบัติธรรม) ดีแล้วถูกแล้ว กฏแห่งกรรมมีจริง บุญบาปมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ขอให้มีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา หนูรออยู่หลายวันท่านก็ไม่เสด็จมา แต่หนึ่งเดือนให้หลัง พระบนหิ้งเกิดตกลงมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ได้รู้ว่า มีพระบรมสารีริกธาตุเพิ่มขึ้นอีกสามองค์จากเดิมที่เคยมีเพียงหนึ่งองค์ องค์เดิมนั้นเป็นเหมือนเศษวัสดุหักๆเป็นแผ่นบางๆสีหม่นๆ บูชามาหลายปีแล้วค่ะก็ยังคงลักษณะเดิม แต่ปัจจุบันกลายเป็นลักษณะรีๆออกใสๆ ทุกวันนี้หากหนูท้อมากๆ หนูคิดถึงเหตุการณ์ที่พระบรมสารีริกธาตุเพิ่มขึ้นมา หนูไม่รู้ว่าท่านเสด็จมา หรือท่านเพิ่มชึ้นมาเอง อาจารย์มีความเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ นับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่าคะ

      3 หนูเป็นคนที่มีลักษณะอย่างหนึ่งคือ หนูเป็นคนทุกข์ไม่จริง ทุกข์ไม่นาน ทุกครั้งที่หนูประสบปัญหา มีความเดือดร้อนทุกข์กายทุกข์ใจ หนูรู้สึกอยู่เสมอว่า กลางหน้าอกนั้นมีเปลวเทียนแห่งความสุขสว่างอยู่เสมอ หนูไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้ท่านอาจารย์เข้าใจ คือเหมือนมันมีพลังแห่งความสุขที่ยังคงอยู่ ถ้าหนูไม่ลืมที่จะกลับไปสำรวจมัน ตั้งแต่หนูเป็นเด็กถ้าหนูมีความทุกข์หนูก็เพียงตามความรู้สึกที่มีสุขนั้นไป ความทุกข์มันก็จะเลือนหายไปหรือน้อยลง บางครั้งทุกข์มากๆก็กลับเป็นสุขมากๆได้ในทันที ซึ่งหนูคิดว่าเป็นเรื่องแปลกดี ใครๆก็บอกว่า ทำไมหนูดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรกับใครบ้างเลย ไม่เคยวิตกกังวลมีความทุกข์อะไรเลย ทั้งๆที่จริงหนูก็มีความทุกข์เหมือนคนอื่นเขานั่นแหละค่ะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หนุดูเหมือนเป็นคนเอื่อยเฉื่อย ไม่แอคทีฟ ไม่กระตือรือร้น ยิ่งหลังๆมาปฏิบัติธรรมคนยิ่งว่าเลยว่า พวกนี้ขี้เกียจไม่ขยัน จึงไม่ก้าวหน้าอะไร แต่หนูว่าการปฏิบัติธรรมยิ่งทำให้หนูจริงจังกับทุกสิ่งที่ทำมากขึ้น ละเอียดปราณีตมากขึ้น หนูรู้เลยว่า หนูทุ่มเทให้กับทุกสิ่งทุกอย่างมากขึ้นและทำโดยไม่หวังผลด้วย แต่ความพยายามของหนูเหมือนกับมันสูญเปล่า เหมือนมันมีวิบากกรรมที่หนูต้องชดใช้ หนูแก้ปัญหาถูกทางหรือยังคะ ถ้ายัง หนูจะต้องทำอย่างไรคะ

     สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่กรุณาตอบคำถาม และขออนุโมทนาบุญกุศลทุกสิ่งที่อาจารย์ได้สั่งสมมา หนูหวังว่าหนูจะเป็นได้อย่างอาจารย์สักวันวันใดวันหนึ่งค่ะ

คำตอบ
    (1) ผู้ใดมีอย่างน้อยศีล 5 และธรรม 5 คุ้มครองใจให้ได้ทุกขณะตื่น จะมีเทวดาคุ้มรักษา เพราะคุณธรรมของเทวดาคือคุ้มครองรักษามนุษย์ผู้มีคุณธรรมหรือมีความดีงาม

คำว่าผีมีความหมายได้สองนัยคือ หมายถึงซากศพ(รูปที่ปราศจากวิญญาณครอง) จึงไม่สามารถมาทำดีหรือมาทำร้ายหลอกหลอนมนุษย์ได้ และคำว่าผีหากหมายถึงสัตว์รอเกิด (สัมภเวสี) ชนิดต่างๆ ที่มีรูปนามเป็นทิพย์ เช่นคนที่ตายด้วยถูกรถชนก่อนถึงอายุขัย คนที่ตายด้วยการถูกฆาตกรรมฯ คนที่ตายด้วยถูกควายขวิด เมื่อตายแล้วจะไปโอปาติกะเป็นสัมภเวสี เป็นสัตว์รอเกิดที่มีรูปนามเป็นทิพย์ ในสมัยที่เขายังได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ไม่มีความดีมาคุ้มรักษาตัวเองให้พ้นจากภัยได้ และเช่นเดียวกันเมื่อตายไปเป็นสัมภเวสีแล้วก็ไม่มีความดีใดไปคุ้มรักษามนุษย์ได้ แต่สัมภเวสีมีความชั่วไปกลั่นแกล้งผู้อื่นให้เข้าถึงความวิบัติได้เช่นผลักรถตกคลอง ปิดตาคนขับไม่ให้เห็นรถที่สวนทางมาข้างหน้า ดลใจผู้ขาดสติให้ขับรถไปชนรถคันอื่นฯลฯ

   ผีรู้ด้วยจิตสัมผัสว่ามนุษย์คนใดป็นผู้มีบุญ เช่นเดียวกับมนุษย์ผู้พัฒนาจิตให้เข้าถึงความทรงฌานได้ เมื่อออกจากฌานแล้วพลังจิตสามารถไปรู้วาระจิตของผู้อื่น (เจโตปริยญาณ) ได้ สรุปแล้วรู้ได้ด้วยการทำงานของพลังจิตนั่นเอง

   (2) เป็นเรื่องปกติธรรมดาของพลังงาน ที่ใดมีพลังงานที่นั่นมีการทำงานได้ พลังงานและสสารมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน จึงสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้ ที่ใดมีพระบรมสารีริกธาตุสถิตอยู่ที่นั้นมีเทวดาคุ้มรักษา ความคิด(จิตคิด) ของมนุษย์ เทวดาสามารถหยั่งรู้ได้เป็นปรกติ ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องของเทวบันดาล ร่วมกับการทำงานของพระบรมสารีริกธาตุเอง

   ผู้ใดมีปัญญาแล้วร้องขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (พระบรมสารีริกธาตุ) มาช่วยไม่ใช่วิถีแห่งพุทธะ ผู้รู้กล่าวว่า “ อัตตาหิอัตโนนาโถ ” หมายถึงตนเป็นที่พึ่งเห็นตน คือพึ่งธรรมะพึ่งความดีงามที่มีอยู่ในใจตนนั่นเองการไปเอาสิ่งอื่นนอกจากธรรมะมาเป็นที่พึ่ง จึงเป็นการไม่ถูกต้องตามแนวของผู้รู้ในพุทธศาสนา

   (3) ความสุข-ความทุกข์ เป็นเรื่องปกติของธรรมชาติคือต้องเป็นตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อความสุขเกิดขึ้น ย่อมมีความเกิดดับไปเป็นธรรมดา เมื่อความสุขดับความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นแทนที่ ผู้ใดยังต้องหาความสุขจากกาม ผู้นั้นต้องเสวยความทุกข์จากกามด้วย เพราะเวทนาทั้งสองเป็นของคู่กัน เลือกรับแต่เพียงอย่างเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้ ผู้รู้จึงไม่หาความสุขจากาม แต่แสวงหาความสุขจากจิตสงบและจิตเป็นอิสระ

   ส่วนคำว่า “ ขี้เกียจ ” หมายถึงไม่อยากทำงาน มนุษย์ที่ยังมีชีวิตมีงานต้องทำสองงานคือ งานภายนอกที่ทำให้กับสังคมที่ทำเพื่อให้ได้ปัจจัยมาเลี้ยงปากท้อง กับงานภายใน คืองานพัฒนาจิตให้มีบุญบารมีสั่งสมเพื่อจะได้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่เป็นสุคติ มนุษย์มีชีวิตเป็นของตัวเองจึงมีสิทธิ์ที่จะเลือกทำงานให้กับชีวิตของตัว คนที่มีปัญญาเห็นถูกตามธรรมจึงไม่ก้าวล่วงเข้าไปในชีวิตของผู้อื่น ไม่ไปบงการชีวิตของใครให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ ฉะนั้นเจ้าของชีวิต จึงต้องเลือกทางให้กับชีวิตของตัวนั่นแหละดีที่สุดใครจะพูดติฉินนินทาหรือสรรเสริญอย่างไร สามารถพูได้ทั้งนั้นเพราะเขาไม่มีธรรมคุ้มใจ จึงพูดดีพูดไม่ดีได้ส่วนตัวเองผู้เป็นเจ้าของชีวิต หากมีธรรมคุ้มใจแล้วคำพูดเหล่านั้นไม่สามารถทำให้เราดีหรือเลวได้ เพราะชีวิตดำเนินไปตามธรรมที่ตัวเองมีอยู่
   

1001.
เรียนท่านอาจารย์ ดร.สนอง ที่เคารพเป็นอย่างสูง

หนูขอขอบพระคุณในความกรุณาของท่านอาจารย์ที่สละเวลาอันมีค่ามากรุณาตอบคำถามให้ความกระจ่างและหนทางที่ถูกต้องแก่ผู้คน หนูมีปัญหาอยากเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

ข้อหนึ่ง หนูอยากทราบว่า กรรมอันใดที่ทำให้เป็นโรคไมเกรน หนูต้องทุกข์ทรมานจากการปวดหัวนี้ หนูมีทุกข์ทางกาย เช่น รู้สึกใจจะขาด หายใจจะไม่ออก เวลาสวดมนต์ก็ปวดหัวมาก และหายใจจะไม่ออก หนูรู้ว่าผลเกิดแต่เหตุ จึงอยากเรียนถามเพื่อหนูจะได้ไม่ทำเหตุนั้นอีกค่ะ

ข้อสอง การที่หนูศึกษาคัมภีร์ในศาสนาอื่น เช่นไบเบิ้ล จะเป็นการไม่มั่นคงในพระรัตนตรัยรึเปล่า

ข้อสาม เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่หนูได้ใกล้ชิดกัลยาณมิตร และปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด ซึ่งช่วงนั้นหนูได้รู้สึกถึงพลังแห่งจิตที่ดี ตอนนั้นหนูรู้สึกว่าทุกอย่างมันเที่ยงตรงมาก เมื่อใจหนูคิดอะไร ก็จะมีการตอบสนองที่ค่อนข้างแม่นยำ แต่ ในช่วงที่ผ่านมานี้หนูรู้สึกว่าหนูขาดความแม่นยำเที่ยงตรงตรงนั้นไป เวลาหนูสวดมนต์ก็มีที่หนูไปขอสิ่งต่างๆมากมาย หนูไปกล่าววาจาที่มันอาจไม่เป็นอย่างนั้น สามถึงสี่ครั้ง หนูควรจะทำอย่างไรดีคะ ?

หนูขอขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ที่มีต่อสัตว์โลกที่ยังมีทุกข์ ขอให้ท่านอาจารย์เป็นแสงสว่างชี้แนะทางที่ถูกต้องให้แก่ชาวโลกไปนานๆนะคะ หนูเองอยากพัฒนาตัวให้ได้อย่างท่านอาจารย์ค่ะ หนูทราบดีว่าหนูยังต้องสั่งสมบารมีอีกมาก แต่หนูก็จะเพียรพยายามค่ะ หนูรู้จักเจ้าความทุกข์ดี แต่มันก็ยังประมาทอยู่เรื่อย สุดท้ายนี้หากหนูได้ล่วงเกินหรือลบหลู่ท่านอาจารย์ไป ไม่ว่าด้วยกายวาจาหรือใจ รู้ไม่รู้ก็ดี ตั้งใจไม่ตั้งใจก็ดี จำได้จำไม่ได้ก็ดี หนูขอขมาต่อท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ และขอท่านอาจารย์โปรดงดโทษนั้นแก่หนูด้วยค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
   (1) เคยเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่น ด้วยการประพฤติทุศีลข้อแรก (บีบหัว) มาก่อนเมื่ออกุศลวิบากให้ผล โรคไมเกรนจึงได้เกิดขึ้น

   (2) ศึกษาคำสอนในศาสนาอื่นได้ แต่หากนำจิตเข้าไปเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนของศาสนาอื่นทำให้จิตเคลื่อนห่างจากไตรสรณคมณ์ คือ ไม่มั่นคงในพระรัตนตรัย

   (3) พระพุทธะไม่เคยสอนพุทธบริษัทให้ทำตัวเป็นผู้ขอ แต่สอนให้ตั้งปรารถนา(อธิษฐาน) แล้วทำเหตุให้ถูกตรงเป้าที่ตั้งปรารถนาไว้ ความสำเร็จจึงจะเกิดขึ้นได้