คำถาม จากผู้เข้าฟังธรรมบรรยาย

ณ บริษัท วัน ทู วัน คอนแทคส์ จำกัด     ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

    

คำถาม ข้อ ๑. การพัฒนาจิตจนเกิดปัญญา เหมือนกับการคิดเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า

คำตอบ การพัฒนาจิตจนเกิดปัญญาเห็นถูกตามความเป็นจริงแท้ ไม่ใช่เป็นการคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะปัญญาเห็นถูกฯ เห็นว่า สรรพสิ่งมิใช่ตัวมิใช่ตนแท้จริง จิตจึงปล่อยวางสรรพสิ่ง แล้วจิตว่างเป็นอิสระ ตรงกันข้าม ถ้าเป็นการคิดเข้าข้างตัวเอง จิตย่อมตกเป็นทาส โดยเฉพาะเป็นทาสของโลกธรรม เป็นทาสของวัตถุ กิเลส ตัณหา อุปาทาน

 

คำถาม ข้อ ๒. มักจะนอนละเมอแล้วฝันว่าทำงาน ฝึกสมาธิจะหายหรือไม่

คำตอบ ผู้ใดฝึกจิตให้มีสติได้แล้ว ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิตย่อมเกิดขึ้น ผู้มีจิตเป็นสมาธิ นอนแล้วไม่ฝัน ไม่ละเมอครับ

 

คำถาม ข้อ ๓. เวลาลูกค้าโทรศัพท์มาด่าคำหยาบคาย แล้วไม่ยอมวางสาย จะวางสายก่อนก็ไม่ได้ จึงถามว่า
               (๑). จะบริหารจิตของเรา ขณะทนฟังอย่างไร
               (๒). ควรแผ่เมตตาให้ลูกค้าไหม

คำตอบ (๑). ต้องฝึกจิตให้มีสติรับทันสิ่งกระทบ และฝึกจิตให้เกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรม แล้วอารมณ์ติดลบจะไม่เกิดขึ้นกับผู้ฟังคำด่าหยาบคายของลูกค้า ให้ต้องทนฟัง

           (๒). ผู้มีเมตตาเป็นผู้ไม่โกรธ ไม่หงุดหงิด ไม่เบื่อหน่าย แต่มีอารมณ์สงบเย็น ผู้ใดมีเมตตาอยู่ในจิต ผู้นั้นย่อมแผ่สิ่งที่ตนมีให้กับผู้อื่นได้

 

คำถาม ข้อ ๔. ทุกชาติทุกศาสนา เมื่อตายไปแล้วจะมารวมอยู่ที่เดียวกันหรือไม่ หรือคนละศาสนาก็อยู่กันคนละที่

คำตอบ นับแต่ภพนรกจนถึงพรหมโลก ยังเป็นสิ่งสมมุติ ดังนั้นทุกชาติทุกศาสนา ย่อมมีสมมุติที่แตกต่างกันตามความเชื่อของตน ด้วยเหตุนี้ตายแล้วจึงไปอยู่คนละที่ตามสมมุติที่ตนมี

 

คำถาม ข้อ ๕. คนที่เปลี่ยนศาสนาเป็นบาปรุนแรงหรือไม่ (จากพุทธไปเป็นคริสต์ และกลับมาเป็นพุทธแล้ว)

คำตอบ ผู้ใดเปลี่ยนศาสนา แล้วประพฤติได้ถูกตรงตามความเป็นจริงที่ธรรมชาติกำหนด (กฎแห่งกรรม) ไม่ถือว่าเป็นบาปกับผู้นั้น แต่หากเปลี่ยนศาสนาแล้ว ประพฤติผิดไปจากความจริงที่ธรรมชาติกำหนด ถือว่าเป็นบาป