บารมี ๑๐
ในสังคมไทยเรามักจะใช้คำว่า บารมี กันอย่างไม่ค่อยถูกต้อง เช่น นักการเมืองคนนั้นคนนี้มีอิทธิพล มีบารมีมาก จนเป็นที่เกรงกลัวของคนทั้งหลายหรือเจ้าพ่อเจ้าแม่คนนี้มีบารมีคุ้มไว้ได้เพราะเป็นผู้ทรงอิทธิพล อยู่เหนือกฎหมายเป็นต้น การที่นำคำว่าบารมีไปใช้กับบุคคลที่ไม่มีคุณธรรมนั้น ย่อมเป็นการใช้ผิดที่ผิดบุคคล เพราะผู้ที่จะมีบารมีได้นั้น จะต้องเป็นผู้ทรงธรรมอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะบารมี ๑๐ หรือ ทศบารมี หมายถึง ปฏิปทาอันยวดยิ่ง , คุณธรรมที่ประพฤติปฏิบัติอย่างยิ่งยวด คือ ความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อบรรลุซึ่งจุดหมายอันสูง เช่น ความเป็นพระพุทธเจ้า และความเป็นมหาสาวก เป็นต้น ซึ่งมี ๑๐ ประการ ดังที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้เขียนไว้ในหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรมได้แก่
ทาน ได้แก่ การให้ การเสียสละ
ศีล ได้แก่ การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย มีความประพฤติดีงามถูกต้องตามระเบียบวินัย
เนกขัมมะ ได้แก่ การออกบวช การปลีกตัวปลีกใจจากกาม
ปัญญา ได้แก่ ความรอบรู้ ความหยั่งรู้ เหตุผล เข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
วิริยะ ได้แก่ ความเพียร ความแกล้วกล้า ไม่เกรงกลัวอุปสรรค พยายามบากบั่นอุตสาหะ ก้าวหน้าเรื่อยไป ไม่ทอดทิ้งธุระหน้าที่
ขันติ ได้แก่ ความอดทน ความทนทานของจิตใจ สามารถใช้สติปัญญาควบคุมตนให้อยู่ในอำนาจเหตุผล และแนวทางความประพฤติ ที่ตั้งไว้เพื่อจุดหมายอันชอบ ไม่ลุอำนาจกิเลส
สัจจะ ได้แก่ ความจริง คือ พูดจริง ทำจริง และจริงใจ
อธิษฐาน ได้แก่ ความตั้งใจมั่น การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายแห่งการกระทำของตนไว้แน่นอน และดำเนินตามนั้นแน่วแน่
เมตตา ได้แก่ ความรักใคร่ ความปรารถนาดี มีไมตรี คิดเกื้อกูลให้ผู้อื่นและเพื่อนร่วมโลกทั้งปวงมีความสุขความเจริญ
๑๐.อุเบกขา ได้แก่ ความวางใจเป็นกลาง ความวางใจสงบราบเรียบสม่ำเสมอเที่ยงธรรม ไม่เอนเอียงไปด้วยความยินดียินร้ายหรือชอบชัง
สำหรับทศบารมีที่พระพุทธองค์ได้ทรงบำเพ็ญในทศชาตินั้น มีดังนี้
๑. ทาน ทรงบำเพ็ญในพระชาติ พระเวสสันดร
๒. ศีล ทรงบำเพ็ญในพระชาติ พระภูริทัตต์
๓. เนกขัมมะ ทรงบำเพ็ญในพระชาติ พระเตมีย์
๔. ปัญญา ทรงบำเพ็ญในพระชาติ พระมโหสถ
๕. วิริยะ ทรงบำเพ็ญในพระชาติ พระมหาชนก
๖. ขันติ ทรงบำเพ็ญในพระชาติ พระจันทกุมาร
๗. สัจจะ ทรงบำเพ็ญในพระชาติ พระวิธูร
๘. อธิษฐาน ทรงบำเพ็ญในพระชาติ พระเนมิราช
๙. เมตตา ทรงบำเพ็ญในพระชาติ พระสุวรรณสาม
๑๐.อุเบกขา ทรงบำเพ็ญในพระชาติ พระนารท
บารมีนั้น ท่านกล่าวว่าจะบำเพ็ญให้บริบูรณ์ต้องครบ ๓ ขั้น คือ
บารมี คือบารมีระดับสามัญ เช่น ทานบารมี ได้แก่ ทรัพย์สินเงินทอง สมบัตินอกกาย
อุปบารมี คือบารมีระดับรองหรือจวนจะสูงสุด เช่น ทานอุปบารมี ได้แก่ การเสียสละอวัยวะเป็นทาน
ปรมัตถบารมี คือบารมีระดับสูงสุด เช่น ทานปรมัตถบารมี ได้แก่ การสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น
การบำเพ็ญทั้ง ๑๐ บารมี ครบ ๓ ขั้นนี้ เรียกว่า สมตีสปารมี หรือ สมดึงสบารมี แปลว่า บารมี ๓๐ ถ้วน
จากหนังสือ ธรรมลีลา ปีที่ 6 ฉบับ 66 พฤษภาคม 2549
โดย มุทิตา