ตาสว่างอย่างสัญญา คุณากร

ในยุคนี้ ถ้าจะพูดถึงพิธีกรอันดับต้นๆของวงการบันเทิงไทย คงไม่มีใครไม่นึกถึง สัญญา คุณากร ผู้ชายหน้าตี๋ อารมณ์ ยิ้มแย้ม วันที่พบกัน เขาทักทายพูดคุยกับทุกคนที่พบเจออย่างเป็นธรรมชาติ ขอย้ำว่า “อย่างเป็นธรรมชาติ” จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกครั้งที่ได้ชมเขาสัมภาษณ์แขกรับเชิญในรายการจึงดูสบายๆ และเป็นกันเอง ผู้ชายคนนี้ยังคงยืนหยัดอยู่ในวงการบันเทิงมาเป็นเวลานาน โดยไม่เคยมีข่าวเสื่อมเสีย คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากหากจะไม่เชิญเขามาพูดคุยสักครั้ง

สิ่งดีๆ ที่ได้จากการทำงาน

ตอนที่ปฏิเสธเพราะรู้สึกไม่ถนัดที่จะสัมภาษณ์คน และเจาะใจยุคแรกสุดมีช่วงละครด้วย เขาเชิญแขกรับเชิญมาสัมภาษณ์แล้วก็ให้เล่นละคร เราก็เล่นกับเขาด้วย แต่ในส่วนของสัมภาษณ์ คุณดำรง พุฒตาล เป็นคนสัมภาษณ์ ส่วนผมก็นั่งเป็นไม้ประดับ มีจังหวะก็ถามนิดๆหน่อยๆ แต่หลังจากนั้นรูปแบบรายการค่อยๆปรับเปลี่ยนเป็นทอล์คโชว์มากขึ้นๆ ผมค่อยๆมีประสบการณ์ เพราะได้เรียนรู้วิธีการทำงานจากคุณดำรงก็เลยทำได้

ไปๆมาๆ เลยกลายเป็นพิธีกรคิวทอง แถมยังได้ค่าตัวเป็นเลขถึงหกหลัก

ไม่ได้คิวทอง (เสียงสูง) พูดจริงๆนะ ผมไม่ใช่พิธีกรคิวทอง ผมเป็นพิธีกรธรรมดา ค่าตัวของรายการไม่ถึงหกหลัก เลขหกหลักเป็นงานนอกครับ ผมทำตั้งแต่ค่าตัว 20,000 บาท แล้วทำมาตั้งสิบกว่าปีจะให้เท่าเดิมก็กระไรอยู่ (ยิ้ม)

อะไรทำให้พบว่าจริงๆ แล้วเกิดมาเพื่อทำหน้าที่พิธีกร

จนทุกวันนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าเกิดมาเพื่อทำหน้าที่พิธีกรหรือเปล่า แต่เป็นสิ่งที่ทำแล้วเรารู้สึกเพลิดเพลิน รู้สึกดี ได้ความรู้ ฉลาดขึ้นในหลายๆเรื่อง ถ้าผมไม่ได้เป็นพิธีกรผมอาจจะไม่ได้เจอ ไม่ได้พูดคุยและรับรู้ถึงเรื่องราวต่างๆ จากคนหลากหลายที่กรุณาให้ความรู้เรา โดยเราเป็นตัวกลางถ่ายทอดความรู้นั้นไปสู่ท่านผู้ชม เหมือนเราพยายามทำให้น้ำไหลผ่านตัวเราไปสู่จอทีวี ให้ท่านผู้ชมได้รับน้ำดีๆ และเราก็พลอยได้ซึมซับความดีต่างๆ เหล่านั้นด้วย ถือว่าอาชีพนี้เป็นบุญคุณกับตัวผมและครอบครัว

เวลาคนบอกว่าผมเป็นพิธีกรที่เก่ง ขอบอกว่ายังมีคนเก่งกว่าผมอีกหรือพิธีกรอายุน้อยๆ ที่มีวิธีคิดดีๆก็หลายคน ผมเชื่อว่าคนที่สามารถเป็นพิธีกรเก่งๆ ได้มีเยอะ เพราะฉะนั้นเมื่อได้โอกาสนั้นแล้วหน้าที่ของเราคือทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ตอนเด็กๆ มีแววอะไรไหม เช่น พูดเก่งหรือชอบแสดงออก

ไม่ได้พูดเก่ง ไม่ได้มีแวว ไม่ได้หน้าตาดี เวลาเขาเลือกคนที่ต้องไปแสงดละครของห้องหรือทำกิจกรรม ผมไม่เคยได้รับการเลือกใดๆเลย แต่ถ้าจะให้คิดจริงๆ ผมว่าผมเป็นคนขี้สงสัย มีข้อสงสัยตลอดเวลา ตอนเด็กๆ อายุประมาณสิบขวบ นั่งรถไปเที่ยวกับครอบครัว พ่อเป็นคนขับ แม่นั่งข้างพ่อ เราลูกสี่คนนั่งเบาะหลัง ตอนนั้นพ่อผมอายุประมาณสามสิบกว่า ผมสงสัยว่า ถ้าผมอายุเท่าพ่อ ผมต้องมีรถต้องมีงานทำเพื่อมีเงินมาซื้อรถแบบนี้ ต้องมีลูกนั่งอยู่ข้างหลัง แล้วจะทำได้หรือจะทำอย่างไร

สิบขวบคิดแบบนี้แล้วหรือคะ

ก็แค่สงสัย แต่ก็ไม่ได้คำตอบ

ในชีวิตการเป็นพิธีกร ตอนไหนที่ประทับอยู่ในความทรงจำมากที่สุด

ตอนทำครั้งแรก ตื่นเต้นมาก มีทั้งประหม่า มือสั่น และเหงื่อแตก ทุกวันนี้ก็ยังตื่นเต้นอยู่ เคยคุยกับคุณดำรง เขามีความคิดเห็นตรงกับผมว่าเป็นเรื่องดี พิธีกรรุ่นน้องมักจะถามว่า ทำอย่างไรดีพี่ตื่นเต้น กดดัน เครียด ผมก็จะบอกว่า บางคนสอนว่าให้หายใจลึกๆ สามครั้ง บางคนให้คิดถึงครูบาอาจารย์ แต่ผมมีคำตอบเดียว “อย่าปฏิเสธมัน” อย่าไปปฏิเสธที่ตัวเราเป็น ยอมรับและอยู่มัน เพราะนั่นเป็นสิ่งสะท้อนว่าเรายังมีลมหายใจอยู่ เรายังมีความศรัทธาอยากจะทำให้งานออกมาดี เราจึงตื่นเต้น ทุกวันนี้ถ้าผมตื่นเต้น ผมก็ยอมรับและอยู่กับมันไป

ไดนำความรู้ทางสถาปัตย์ มาประยุกต์ใช้กับการทำงานบันเทิงอย่างไรบ้างคะ

ส่วนที่เกี่ยวกันก็คือ วิธีมองของสถาปนิก คือเราต้องรู้ก่อนว่าเราทำอะไร ถ้าเราทำบ้าน เรากำลังทำเพื่อสนองเจ้าของบ้าน เขาอยากได้แบบไหน แต่บางที่สิ่งที่เขาอยากได้มันชุดความรู้ที่เขาไม่รู้ เราก็ไปโน้มน้าวให้เขาเข้าใจ ว่าถ้าทำอีกแบบจะดีกว่า แต่ทั้งหมดนี้ทำเพื่อให้เขาอยู่อย่างมีความสุข

ผมนำวิธีการคิดแบบเดียวกันมาใช้กับการทำรายการ คุณกำลังทำรายการอะไร ต้องการอะไร เพื่อใคร โทรทัศน์ไม่ใช่ของคุณ ต่อให้คุณเป็นเจ้าของรายการ มันก็ไม่ใช่ของคุณ เป็นของประชาชน เพราะสถานีสร้างด้วยภาษีประชาชน เราเพียงได้โอกาส ตอบโจทย์ข้อแรกให้ได้ว่าเราทำอะไรและจะทำอย่างไรให้ไปสู่จุดนั้น นี่คือวิธีคิดอย่างเป็นระบบของสถาปนิก นำมาแก้ปัญหาทุกปัญหาที่เกิด รวมทั้งบริหารงานในบริษัทด้วย บางทีปัญหากองอยู่ แล้วเราไม่ถอยออกมา เรากระโดดไปคลุกอยู่กับมัน ก็ไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าถอยออกมา จะรู้ว่าเราจะทำอะไรและเพื่ออะไร

เวลาจัดรายการสด และมีปัญหาเฉพาะหน้าเกิดขึ้น ควบคุมสถานการณ์อย่างไรคะ

ก็พยายามผ่อนหนักเป็นเบา ทำให้เป็นเรื่องสนุกเสีย เพราะชีวิตคนเราเดินไปยังหกล้มได้เลย กระบวนการที่ทำงานกับคนจำนวนมากและออกอากาศสด อะไรก็เกิดขึ้นได้และเกิดขึ้นเยอะมาก อย่างในรายการ ตาสว่าง ถ้าเป็นสมัยก่อนเวลาเกิดความผิดพลาด ผมจะรู้สึกเสียหน้า เสียหาย เสียฟอร์ม แต่ตอนนี้ผมมองเป็นเรื่องธรรมชาติ มองว่านี้คือบรรยากาศของรายการสด เพียงแต่ว่าสิ่งที่เกิดมันเสียหายขนาดไหน ถ้ารายการเสียหาย ผมเสียหายไม่เป็นไร แต่ถ้าแขกรับเชิญเสียหาย ถ้าช่องเสียหาย ถ้าเราทำให้บุคคลอื่นเสียหาย นั่นเป็นเรื่องพึงระวัง

ครั้งหนึ่ง ตาสว่าง เอาหมูมา เขาบอกว่ามันกระโดดลอดห่วงไฟได้ มันคิดเลขได้ ก็เอามาซ้อมตอนหกโมงเย็น บอกทีมงานให้ซ้อมก่อนว่ามันทำได้จริงหรือเปล่า โอ้โอ พลิ้ว โดดฟึ่บฟั่บ เลยลองให้ซ้อมแบบเปิดไฟจริง มีดนตรี มีเสียงปรบมือ ดูซิว่ามันจะตื่นเวทีหรือเปล่าปรากฏว่ามันก็ทำได้ พอออกอากาศจริงห้าทุ่ม หมูหลับ ไปปลุกมาเล่นมันก็ไม่เล่น มันเหมือนเด็กน่ะ ไม่ได้ต้องการอามิสสินจ้าง ให้เงินฉันแล้วฉันจะกระโดดให้ดู ไม่ใช่ เพิ่งตื่น ไม่รู้ไม่ชี้ แล้วเอาไปไว้ในสตูดิโอแอร์เย็นๆมันก็หลับ แถมยังวิ่งเฉี่ยวห่วง ไฟก็ไหม้หูเราก็บอกได้แค่ว่า มันกระโดดจริงๆ นะครับ มันเคยกระโดด เอาจิงโจ้ จิงโจ้ก็กระโดดไปนอกกรง อะไรก็เกิดขึ้นได้เยอะแยะ

การที่รายการ ตาสว่าง โดนปลดจากผัง มีผลกระทบกับชีวิตไหมคะ

มีบางส่วน แต่ผมมองว่าเป็นวงจรชีวิต อะไรที่มีชีวิตจะมีอายุขัยของมัน จะยาวจะสั้นก็แล้วแต่ วันที่ทำรายการวันแรก พระอาจารย์ว.วชิรเมธี ส่งของขวัญมาให้ผม เป็นรูปถ่ายตอนที่ผมเดินทางไปอินเดียกับท่าน และมีกลอนเขียนมาด้วย กลอนนั้นบอกให้เราทำรายการนี้อย่างมีความตั้งใจที่จะเสนอความรู้และสาระให้สังคม สำหรับผมของขวัญชิ้นนี้ เหมือนพระได้ขอผมว่ารายการนี้ต้องเป็นประโยชน์ แต่เนื่องจากนโยบายของช่องมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามสภาพสังคมยุคนี้ เขาอยากให้เป็นความเพลิดเพลิน ความสนุกสนานบันเทิง เดิมรายการนี้เกิดในยุคที่เป็นสาระ แต่เราก็พยายามปรับเปลี่ยนให้มีความสนุกสนาน แต่ในความสนุกผมก็ยังยืนยันว่าผมต้องทำให้เป็นประโยชน์ ซึ่งมันอาจจะไม่บันเทิงพอก็ได้ หรืออาจจะไม่เหมาะกับสภาพตอนนี้ ซึ่งผมมองว่าไม่เป็นไร เพราะตอนเราได้เวลามาทำรายการ เราเคารพในการตัดสินใจของผู้มีอำนาจในการให้ทำ ตอนเขาไม่ให้ทำ เราก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของคนที่เขามีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ทำ

ผมไม่ได้โกรธ ไม่ได้โมโห ไม่ได้เสียใจ ไม่ได้อะไรเลย ไม่มีรายการ ตาสว่าง ผมก็เหลืออีกสามรายการ ไม่ได้ตกงาน ไม่ได้อัตคัดอะไรเลย

เวลาโดนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการทำรายการ บั่นทอนกำลังใจบ้างไหมคะ

มีบ้าง แต่วิธีคิดของผมคือ โทรทัศน์มีคนดูทุกเพศทุกวัย ทุกความรู้ ทุกทัศนคติ ทุกรสนิยม เวลาเราได้รับคำตำหนิ เราต้องกลับมาดูว่าคนที่ตำหนิเขามองด้วยมุมมองอะไร

ส่วนมากบางทีที่รู้สึกไม่สบายใจเพราะคิดว่าทำดีแล้ว แต่ผมจะบอกคนในบริษัทว่า ไม่แน่หรอกว่าเราทำดีแล้ว เพราะกำลังสติปัญญาของผมมีแค่นี้ ดีของผมอาจจะยังไม่ดีสำหรับคนอื่นที่เขาฉลาดกว่าผม ถ้าคิดแบบนี้เราก็จะกลับมาดูใหม่ กลับมาหาว่าเราผิดตามที่เขาว่าไหม ตาสว่าง นี่โดนวิพากษ์หนักสุดเลย มีทั้งไม่ชอบพิธีกร มีทั้งไม่ชอบรายการ มีทุกแบบ ซึ่งอันไหนจริงก็ต้องยอมรับ ผมมองว่าถ้าเราไม่เอาตัวตนของเราเป็นใหญ่ว่าฉันเจ๋ง ฉันเทพ ฉันสุดยอดพิธีกรแล้ว เราจะไม่โกรธเลย ถูกตำหนิเราก็กลับไปดูว่าจริงหรือเปล่า ก็มีหลายอย่างที่เขาตำหนิแล้วถูกต้อง

ข้อดีอย่างหนึ่งของการถูกตำหนิคือ ไม่ว่าเขาจะตำหนิเพราะเกลียดหรือตำหนิเพราะหวังดีก็ตาม มันทำให้เราไม่เหลิง เรารู้ว่ามีบางส่วนที่ยังด้อยอยู่ ยังมีคนเกลียดเราอยู่ และถ้าใครเกลียดคุณ ก็ให้คิดว่า มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อเกลียดกัน ลองมองหาซิว่าเขาเกลียดเพราะอะไร ถ้าหาเจอแล้วแก้ได้ก็จงแก้ ไม่จำเป็นจะต้องหยิ่งยโสว่าเกลียดก็เกลียดสิวะ ไม่ใช่อย่างนั้น

เรียนรู้คุณค่าชีวิตในเสี้ยวนาทีวิกฤติ

ทราบมาว่าชอบขี่มอเตอร์ไซค์ ถึงขนาดภรรยาเคยให้เป็นของขวัญวันเกิด งานมากอย่างนี้เคยมีเวลาได้ขี่ได้เที่ยวบ้างไหมคะ

ช่วงเห่อๆก็หาเรื่องขี่ เวลามีงานพิธีกรข้างนอก็ขี่ไป มีก๊วนเพื่อนที่ขี่ยี่ห้อเดียวกันก็มักจะนัดกันขี่ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเขื่อน ตอนนั้นยังไม่มีลูก แต่พอมีลูก ภรรยาก็จะบอกว่า ขี่ให้มันน้อยๆหน่อย ต่างจังหวัดก็ไม่ต้องไปแล้ว

มีครั้งหนึ่งขี่ไปชัยนาทแล้วเขาค้างคืนกัน แต่ผมกลับ เพราะบอกภรรยาไว้ว่าจะกลับ ก็ขี่กลับมาตอนประมาณโพล้เพล้หกโมงเย็น มากันสามคัน ผมเป็นคันที่สาม สองคันแรกนำหน้าผมไป เขาขี่เก่งมากเป็นช่างมอเตอร์ไซค์เลยขี่เร็ว ผมตามไม่ทันก็จะเร่งให้ทัน วิ่งมา 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มาถึงกลางทางมีรถอีแต๊กที่ข้างหน้ามีเครื่อง ข้างหลังมีกระบะขนฟางข้าวโผล่ขึ้นมาข้างทาง ตอนนั้นสมองคำนวณด้วยความเร็วสูงมาก เราจะเบรกทันไหม ถ้าไม่ เราจะสไลด์เข้าอย่างไร จะล้มอย่างไร เพราะเคยเรียนว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุจะล้มอย่างไรถึงจะเจ็บน้อยที่สุด แต่ด้วยความเร็วขนาดนั้น ถ้าตัวเราไปฟาดกับอะไรเข้าก็คงได้รับบาดเจ็บ ไม่มีทางเลือก เบรกไม่ทันแน่ๆ เมื่อเบรกไม่ได้ก็จะต้องผ่านหน้าหรือผ่านหลัง คราวนี้ถามตัวเองย้อนกลับไปอีกว่าถ้าคุณลุงคนนั้นได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ คุณลุงจะเร่งเครื่องให้ผ่านไปหรือคุณลงจะจอดให้เราผ่านหน้า ถ้าคุณลุงจอด หลังจะไม่พ้น เราจะตกลงในทุ่งนา แต่ถ้าคุณลุงไม่จอด เราก็ต้องผ่านข้างหลัง ทั้งหมดนี้คิดในเสี้ยววินาที

ที่สุดผมตัดสินใจเลือกผ่านหลัง เพราะผมเดาว่าคุณลุงไม่จอดโชคดีที่ผมเดาถูก พอขับเลยมาแล้วมือสั่นเลยนะ นึกได้ว่า เออ เฮ้ย ชีวิตเรามีแค่นี้เอง ถ้าเมื่อกี้เลือกผิด ไม่ตายก็อะไรสักอย่าง เพราะฉะนั้นอย่าไปอะไรกับชีวิตนักเลย เวลาคนด่าผมก็จะเฉยๆ ถ้าอันไหนเราผิด ก็ขอโทษเขาเสีย แก้ไข ปรับปรุง คุณไม่ได้เก่งอะไรหรอก ถ้ามอเตอร์ไซค์คว่ำคุณก็ตายเหมือนคนอื่น พอผมเล่าให้ภรรยาฟัง เขาเลยไม่ให้ขี่ไปต่างจังหวัดอีก

ผมเลยคิดได้ว่า ชีวิตคนเราทุกวันมีประโยชน์ ถ้าเกิดมีใครบอกคุณว่า ไม่มีพรุ่งนี้อีกแล้วนะ ตายเลย ชีวิตโคตรมีค่าเลย

นี่คือสิ่งที่ได้เรียนรู้จากเสี้ยววินาทีนั้นเอง

ใช่ เพราะทุกอย่างสอนเราเสมอ แต่ก่อนผมปั่นจักรยานไปทำงานที่เจเอสแอลซึ่งอยู่ลาดพร้าว 107 บ้านผมอยู่สุขุมวิท 49 ปั่นไป 16.5 กิโลเมตร สมัยนั้นปั่นจักรยานด้วยความรู้สึกดี เพราะไม่ต้องใช้น้ำมันประหยัดพื้นที่ พอย้ายบ้านมาอยู่แจ้งวัฒนะ ก็ปั่นจากแจ้งวัฒนะไปเจเอสแอลอีก คราวนี้ 27.5 กิโลเมตร ขากลับ โอ้โฮ...มืดแล้วยังไม่ถึงบ้าน แต่ก็มีความสุข

ที่บอกว่าทุกอย่างสอนเราคือ จักรยานสอนว่าถ้าคุณเป็นคนที่ตัวเล็กที่สุดในสังคม คุณจะอยู่รอดด้วยอะไร ถนนเปรียบเหมือนสังคมสังคมหนึ่ง ทุกคนไม่รู้จักกัน คนกล้ามใหญ่คือพวกรถเมล์ โฟร์วีลบิ๊กฟุต พวกคนที่มีบรรดาศักดิ์คือพวกรถแพงๆ รถเบนซ์ รถอะไรมี่มันยาวๆ ใหญ่ๆ ส่วนคนที่ช่ำชองคือพวกแท็กซี่ พวกวัยรุ่นคือสามล้อและมอเตอร์ไซค์ แต่จักรยานคือพวกที่ไม่มีอะไรเลย ใครมาคุณก็ต้องหลบ ใครแถเข้ามาคุณก็ต้องกลัวเขา ความเร็วก็สู้มอเตอร์ไซค์ไม่ได้ รถเมล์ก็ทำเป็นมองเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง เห็นเราปั่นมา แต่เขาจะเข้าป้าย เขาก็ปาดหน้าไป เราก็ต้องหลบขึ้นฟุตปาธ

บางทีจักรยานสอนให้รู้ว่า ชีวิตคนที่เป็นตาสีตาสา คนที่ไม่มีอะไร ไม่ใช่คนใหญ่คนโตนี่ ต้องยอมจริงๆเลย ขับมาตรงๆ ดีๆ แต่เขาอยากจะทำอย่างนั้นก็ต้องยอม ต้องอดทน ต้องเข้าใจ ดมควันก็ต้องทนถนนตรงไหนไม่ดี รถใหญ่เขาไม่รู้สึก แต่จักรยานรู้สึกหมดเลย ฝาท่อตรงไหนเปิดถ้าตกลงไปแย่เลย เพราะฉะนั้นเวลาปั่นต้องมีสติตลอด ต้องระแวดระวังมองหน้ามองหลัง เป็นการสอนการใช้ชีวิต ถ้าผมเป็นคนไม่มีอะไรในสังคม ผมก็ต้องใช้ชีวิตแบบระมัดระวัง เจียมเนื้อเจียมตัว อดทน นี่จักรยานสอนเรา

ความคิดไม่ธรรมดาของผู้ชายธรรมดา

ในสายตาคนทั่วไปมักจะมองว่าเป็นแฟมิลี่แมน

ผมไม่ได้เป็นแฟมิลี่แมน เป็นคนธรรมดา เคยมีคนสัมภาษณ์แล้วผมถามกลับไปว่า อะไรคือแฟมิลี่แมนจ๊ะ เขาตอบกลับมาว่า อ๋อ..แฟมิลี่แมนก็คือคนที่รักครอบครัว ผมถามว่า แล้วทุกคนที่มีครอบครัวเขาไม่รักครอบครัวหรือ ผมคิดว่าคนทุกคนรักครอบครัว แต่ขีดจำกัดขีดความสามารถในการดูแลครอบครัวมีแค่ไหน บางคนเขาต้องทำงานหนักจริงๆ เช่นทหารต้องไปรบชายแดน ได้กลับมาเจอลูกเมียสองอาทิตย์ครั้ง ถ้าเขาไม่เจอ ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รัก แต่เขามีโอกาสในการแสดงความรักน้อย ในขณะที่บางคนมีโอกาส แต่ไม่ทำเพราะเห็นอย่างอื่นดีกว่า เช่น ความบันเทิงเริงรมย์หรืออะไรก็ตามแต่ อย่างนั้นสิแปลก แต่ผมเป็นคนธรรมดา

บริหารจัดการเวลาให้ลงตัวได้อย่างไร

อันดับ 1 งาน การถ่ายรายการบางทีกำหนดเวลาไม่ได้ บางครั้งได้คิวแขกรับเชิญจำเป็นต้องทำก็ต้องรีบทำ อันดับ 2 ครอบครัว เสร็จจากงานถ้าไม่มีอะไรจะรีบกลับบ้าน กลับไปดูลูกทำการบ้าน เฮ้ยวันนี้ลูกแข่งว่ายน้ำไปเชียร์หน่อยสิ เคยดูหนังฝรั่งใช่ไหม ลูกเศร้าใจพ่อไม่มาเชียร์ ผมเลย เอ๊...ทำไมเราจะไม่ไป ถึงไม่ใช่แข่งระดับชาติ แต่มันก็คือการแข่งนะ ต้องไปเชียร์ แพ็ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราได้ไปยืนดู เฮ้..สู้เขานะลูก และเดี๋ยวนี้ก็ยังไปส่งลูกที่โรงเรียนทุกเช้า อันดับ 3 ตัวเอง เหลือจากสองอันนี้ไม่มีอะไรทำแล้ว ลูกไปโรงเรียนเราก็ไปตีกอล์ฟ ไปเฮฮากับเพื่อน

เป็นคนรักครอบครัวอย่างนี้ มีแบบอย่างจากไหน

ประสบการณ์ในชีวิต ผมมีครอบครัวเดียว พ่อแม่เดียว แล้วผมก็เข้าใจเอาเองว่ารูปแบบของครอบครัวมีแบบเดียว แม่ผมอยู่กับลูกมากที่สุด เพราะเขาไม่ได้ออกไปทำงานข้างนอก เปิดร้านขายของ แม่ก็จะขายของและดูแลลูก ไปโรงเรียนกลับมาเจอแม่แน่ๆ ตกเย็นพ่อกลับมาแน่ๆ วันเสาร์-อาทิตย์ถ้าพ่อไปตีเทนนิส พ่อก็จะชวนผมไป ผมรู้สึกว่าการอยู่ด้วยกันแบบนี้คือปกติ ผมอยู่มาแบบนี้ โตขึ้นมาเลยอยากอยู่แบบนี้ พอตอนโตถึงรู้ว่า อ๋อ...จะเป็นแบบไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกคน

กับลูกแสดงความรักด้วยวิธีไหน

ผมกอด ผมหอมเขาตลอด ทำแล้วรู้สึกดี ไม่รู้ลูกรู้สึกดีหรือเปล่าแต่เราน่ะรู้สึกดี ผมเป็นคนสอนลูกปั่นจักรยาน เป็นคนสอนลูกให้ว่ายน้ำ

เคยคิดจะให้น้องเอม (ลูกชาย) เข้าวงการบันเทิงไหมคะ

เขาไม่ชอบ โดยพื้นฐานเขาไม่ใช่คนพูดมาก ไม่ใช่คนชอบแสดง ไม่ใช่คนอยากออกโทรทัศน์ แบบไหนที่เขาไม่ต้องแสดง ปล่อยให้เขาเป็นไปตามธรรมชาติน่ะเขาโอเค แต่แบบไหนที่เป็นฉากต้องออกมาทำอย่างโน้นอย่างนี้เขาจะอาย เขาไม่ได้มีความรู้สึกอยากทำ แถมเด็กไม่เหมือนผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่นี่อยากได้เงินก็ต้องไปเล่นต้องไปทำเพราะอยากได้ เด็กไม่ได้อยากได้อะไร

ตอนเขาเล็กๆ ผมพาไปถ่ายโฆษณา แล้วบอกทางทีมงานบอกว่าจะซื้อของเล่นให้ แต่เราก็ดันฝึกลูกไว้ว่าของเล่นไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิต เพราะฉะนั้นจะติดสินบนเขาก็ไม่ได้อยากได้ เลยต้องใช้วิธีพูดว่า “ทำให้พ่อภูมิใจนะ ทำให้แม่มีความสุขนะ”

ตัวคุณสัญญาเองล่ะคะ ได้แบบอย่างอะไรจากคุณพ่อบ้าง

พ่อผมเป็นแรงบันดาลใจเรื่องขยัน แต่ผมเหมือนพ่อตรงหนีปัญหา ลึกๆ มันจะหนีว่า โอ๊ย ! เรื่องนี้ไม่อยากพูด แต่แม่นี่ไม่ได้ ถ้าผิดต้องลุย ซึ่งภรรยาผมก็เป็นอย่างนี้ แต่ผมนี่ จะไม่อะไรกับมันมาก แต่บางทีถ้าเราไม่บาลานซ์ตัวเอง เราจะยอมทุกคน ยอมทุกอย่างเกินไปก็ไม่ดี จะไม่ยอมใครเลยในชีวิตก็ไม่ดี หนทางสายกลางที่เราเจอ เกิดจากประสบการณ์ที่เราเห็นมา ผมเชื่อว่าไม่มีใครเกิดมาแล้วเป็นแบบนั้นตลอดชีวิต ผ่านไปสิบปีย้อนกลับไปดูเรื่องเดิม วิธีคิดของคุณก็เปลี่ยนไป

พอรู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนเราก็จะเข้าใจ ได้คุยกับท่านว. ท่านบอกว่า จริงๆแล้ว เราเกิดใหม่ตลอดเวลา เซลล์ในร่างกายเราตายลงทุกวันและเกิดใหม่ตลอด เพราะฉะนั้นอะไรที่คุณรู้สึกไม่ดี คุณปรับแก้ได้อะไรที่คุณรู้สึกว่าจะช่วยพัฒนาตัวเอง คุณทำได้เสมอ เพราะเราเกิดใหม่ตลอดเวลา

ทำไมถึงชอบทำบุญด้วยการบริจาคเลือด

ก่อนหน้านี้แม่ผมไม่สบาย ป่วยเป็นโรคไขสันหลังไม่ผลิตเกล็ดเลือด เวลาเป็นแผลเลือดจะไหลไม่หยุด ทางโรงพยาบาลต้องการเลือดกรุ๊ปอะไรก็ได้มาปั่นแยกเอาเกล็ดเลือดเพื่อมาใส่ในตัวแม่ หมอบอกกับพ่อว่ามีเพื่อนจะบริจาคไหม ตอนเช้าผมไปบอกเพื่อน ตอนนั้นรู้สึกจะเป็นวันแข่งกีฬาสี เพื่อนก็รับปาก พอตอนเย็นกลับมาบ้านปรากฏว่าแม่เสียแล้ว

เช้าอีกวันจะไปรับศพแม่ เพื่อนมากันเต็มโรงพยาบาล เขาไม่รู้ว่าแม่ผมเสียแล้ว เขาจะมาบริจาคเลือดกัน หยุดเรียนมายกห้องเลยครูประจำชั้นก็มา ความรู้สึกตอนนั้นบรรยายได้ยากมาก จากไม่ร้องไห้ก็ร้องจน..ผมมีความรู้สึกว่ามนุษย์ที่แสดงความปรารถนาดีต่อมนุษย์คนอื่นที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่อะไรเลย เป็นสุดยอดของความยิ่งใหญ่ที่มนุษย์พึงกระทำต่อกัน มันเจ๋งกว่าสร้างโบสถ์ สร้างวิหารสร้างเจดีย์ อันนั้นเราก็อนุโมทนานะ แต่สำหรับผม มันไม่งดงามและยิ่งใหญ่เท่ากับการปรารถนาดีกับใครก็ไม่รู้ ด้วยอะไรก็ตามแต่ที่คุณมีให้ จะเลือดหรือจะอะไรก็ตาม

สมัยก่อนผมไม่ชอบเจ็บตัว ตอนเรียนลูกเสือหรือเรียน ร.ด. เขาบอกว่าใครบริจาคเลือดวันนี้จะให้หยุด บริจาคเสร็จกลับบ้านได้เลย ผมยอมฝึกเพราะไม่อยากเจ็บตัว เพื่อนมาคุยกันว่าเข็มที่ใช้ใหญ่เท่าก้านไม้ขีด ผมมีความรู้สึกว่ามันน่ากลัว แต่หลังจากกรณีแม่ ผมรู้สึกว่าถ้ามีโอกาสผมจะทำ ต่อให้มันเจ็บอย่างที่ว่า แต่ถ้ามีโอกาสผมจะทำ เพราะผมรู้สึกว่าเจ็บแค่นี้เพื่อแลกกับชีวิตคนอื่น คุณจะทนเจ็บไม่ได้เชียวหรือ

ทุกวันนี้ผมจะพยายามบริจาคเลือดเท่าที่มีโอกาส สมมุติผมไปถ่ายรายการ ผ่านสภากาชาดผมก็จะเข้าไปบริจาค หรือมีเทศกาลและวาระใดที่เกี่ยวกับการบริจารเลือด เช่น มีรับบริจาคในรายการ ผมจะเป็นคนแรกเลย สุดท้ายเอาเข้าจริงมันไม่เจ็บเท่าถูกฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ ถูกฉีดยาเจ็บกว่าบริจาคเลือดอีก ขอยืนยัน เพราะนี่แทงเข้าเส้นเลือดใหญ่แล้วดูดออกไม่เจ็บเลย นี่เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และงดงาม ผมเชื่อว่าถ้าโลกเราจะพอมีโอกาสอยู่รอดได้ ซึ่งความจริงนักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์แล้วว่า อย่างไรโลกเราก็ไม่รอด ถึงแม้ว่าวันหนึ่งจะไม่มีโลก แต่สิ่งที่จะขับเคลื่อนให้โลกอยู่ได้นานขึ้นกว่าเดิมคือความรู้สึกดีๆที่เรามีให้คนที่เราไม่รู้จัก ภาษาทางพุทธศาสนาเรียกว่า พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้ต่อสัตว์ ต่อพืช ต่อคนอื่น สิ่งนี้จะขับเคลื่อนโลก ให้คนเยอะๆ อยู่ในสังคมด้วยกันได้

สำหรับผม การรู้สึกดีต่อญาติของคุณเอง บุพการีของคุณ ลูกคุณ น้องคุณ เพื่อนคุณ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ดีกว่านั้นคือคุณต้องรู้สึกแบบนั้นต่อคนที่ไม่รู้จักกันเลย ที่พระท่านบอกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่กลับมาโลกาจะวินาศ...แน่นอน ยิ่งนับวันเราก็ยิ่งค้นพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงๆมาก ทุกวันนี้ที่ประเทศเราเป็นอย่างนี้เพราะ “ถ้าไม่ใช่พวกกู มึงตาย ถ้าไม่ใช่เพื่อนกูมึงก็ตาย แต่ถ้าพวกกู..อย่างไรก็ไม่ผิด”

คิดว่าธรรมะคืออะไร เคยสวดมนต์ไหว้พระบ้างหรือเปล่า

ตอนเด็กๆ แม่ผมให้สวดมนต์ก็สวดไป ไม่เข้าใจด้วยว่าสวดทำไม รู้แต่ว่าให้สวดก็สวด แต่เวลาสวดเสร็จก่อนนอน แม่ก็จะให้อธิษฐาน ขอให้หนูเป็นเด็กดี เป็นเด็กที่น่ารักของพ่อแม่และทุกคน แต่ผมจะเพิ่มอันหนึ่งเสมอว่า ขอให้ผมไม่มีวันตาย ขอให้พ่อผมไม่มีวันตาย เพราะผมเสียดาย จะสุขจะทุกข์ขอให้ได้เจอคนที่ผมรัก ผมสงสัยว่า ตายแล้วเราไปอยู่ไหน เขาจะไปต่ออย่างไร ซึ่งถ้าใครเคยมีคำถามแบบนี้ในใจ ผมเชื่อว่านั่นคือธรรมะ พระพุทธเจ้าทรงสอนเราเพื่อจะบอกว่าเราคืออะไร ไม่ใช่เกิดมาทำงาน เจอทุกข์ เจอสุข ดีใจ เสียใจ แล้วก็ตายเท่านั้น

เคยให้สัมภาษณ์ว่าอยากบวช พูดเล่นหรือพูดจริงคะ

พูดจริง แต่การบวชสำหรับผมคือต้องทำเมื่อพร้อม ไม่ใช่เราพร้อมคนเดียว แต่ทุกคนต้องพร้อม หมายถึง งานการพร้อม ภรรยาพร้อม ลูกพร้อม ถ้าผมไม่อยู่ดูแลกันได้ไหม ผมน่ะพร้อม แต่งานการก็ยังต้องทำอยู่ จะบวชสามวันแล้วรีบสึกออกมาทำงานมันก็ไม่ได้ มันต้องใช้เวลามากกว่านั้น กว่าจะเรียนรู้เรื่องแบบนี้ให้เข้าใจ ผมตั้งใจไว้ว่าจะบวชแบบไม่มีกำหนด บวชเมื่อพร้อม สึกเมื่ออยากสึก แต่อยากบวชกับลูก

ดูเป็นคนอารมณ์ดี อยากทราบว่าเรื่องอะไรบ้างที่จะทำให้โกรธ

สิ่งที่จะทำโกรธมักจะเป็นความเลวร้ายที่มนุษย์กระทำต่อคนที่ด้อยว่า เช่น เด็ก ผู้หญิง คนแก่ ผมจะรู้สึกแย่กับการที่เด็กวัยรุ่นรู้สึกว่าปู่แก่ พ่อแม่ พูดไม่รู้เรื่อง ช้า เฟอะฟะ เงอะงะ หรือผู้ใหญ่รังแกเด็ก เพราะรู้ว่าสถานะตัวเองเหนือกว่าในทุกด้าน รังแกมีตั้งแต่ระดับทำให้เสียใจไปจนถึงระดับข่มขืน ฆ่า นี่เป็นเรื่องเลวร้ายที่มนุษย์ไม่ควรจะทำ เพราะเรามีหลายอย่างที่เหนือกว่าสัตว์ แต่ว่าคนที่ทำอย่างนั้น เขาลดระดับตัวเองลงไปเหลือแค่สัญชาติญาณของการฆ่าหรือทำร้ายตัวอื่น ผมว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งเลวที่สุดที่มนุษย์พึงจะกระทำต่อกัน

เชื่อเรื่องเวรกรรมไหมคะ

เชื่อ มันเป็นวิทยาศาสตร์นะ ไม่ใช่เรื่องอภินิหาร เป็นวิทยาศาสตร์ตรงที่ว่า ในทางฟิสิกส์ แรงไม่หายไปไหน คุณกระทำไปก็ต้องมีแรงกระทำกลับ ในทางเคมี สสารไม่สูญสลาย เปลี่ยนสภาพเป็นพลังงานหรืออะไร มันไม่หายไปไหน ในทางเดียวกัน การกระทำใดๆ จะส่งผลต่อเนื่อง และจะเด้งกลับมาโดนคุณเมื่อไรก็ได้

ผมเคยแย้งพระว่า ไม่จริง ทำไมคนทำไม่ดีได้ดีตั้งเยอะ พระก็ถามกลับว่า ได้ดีคืออะไร รวยไมได้แปลว่าได้ดี รวยไม่ได้แปลว่ามีความสุขเสมอไป เพราะรวยแล้วไม่มีความสุขก็มี แต่สังคมยุคใหม่ดันสรุปกันว่ารวยคือเก่ง รวยคือมีความสุข รวยคือดี เดินมาไม่รู้จักกันถ้าแต่งตัวดีก็ดูเป็นคนดี กับอีกคนแต่งตัวไม่ดีก็ดูเป็นคนไม่ดี ไอ้ความเพี้ยนแบบนี้เลยเพี้ยนไปถึงการเข้าใจคำว่าความสุขผิดไป

อายุ 46 แล้ว มองความสุขและความทุกข์ในชีวิตอย่างไร

ผมจำได้ว่ามีประธาน บริษัทมัตสุชิตะ อิเล็คทริค อินดัสเตรียลจำกัด ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทพานาโซนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด แล้ว ผมจำชื่อเขาไม่ได้ เขาบอกว่า “ชีวิตเหมือนเกลียวเชือกที่ฟั่นกันคู่กันไปตลอด อันหนึ่งคือสุข อันหนึ่งคือทุกข์ เมื่อรวมกันนั่นคือชีวิต”

คุณต้องทำความเข้าใจว่า เกลียวเชือกที่ฟั่นกัน หมายถึงชีวิตต้องมีทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ แล้วคุณก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเราถูกสอนมาผิด สังคมสอนให้คุณหนีความทุกข์ หาความสุข ซึ่งในทางธรรม คุณจะหนีทุกข์ เจอแต่สุขไม่ได้ แต่สังคมสอนให้เราปฏิเสธความทุกข์ ไม่พูดถึงมัน ไม่คิดถึงมัน หนีไปให้ได้ ความสบาย ความเพลิดเพลินสิ่งเหล่านี้ถูกรวบรวมอยู่ในหมวดของคำว่าสุข ส่วนทุกข์คือความเหนื่อย ลำบาก หิว อด ซึ่งมันผิด ความลำบากไม่ได้แปลว่าทุกข์เสมอไป

เราถูกสอนกันมาว่า โตขึ้นถ้าได้ทำงานที่ไม่ต้องออกแรงจึงจะเป็นคนฉลาด แต่ถ้าเราเลือกที่จะเป็นเจ้าคนนายคนกันอย่างเดียว แล้วใครจะเป็นลูกน้อง ใครจะสร้างถนน สร้างสะพาน ขุดบ่อน้ำ ปลูกต้นไม้โดยจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าทุกคนเป็นคนสั่ง แล้วใครจะเป็นคนรอรับคำสั่ง คนที่มีความสุขคือคนที่สั่งเท่านั้นหรือ คนเป็นลูกน้อง คนที่ต้องออกแรงคือคนที่มีความทุกข์งั้นหรือ มันไม่จริงหรอก

บางทีคนที่ออกแรงมีความสุขกว่าคนที่ไม่ออกแรงเสียอีก เขาค้นพบว่า คนที่ไม่ออกแรงจะอายุสั้น ป่วยเป็นโรคโน้นโรคนี้สารพัด คุณลองทำงานแบบไม่ออกแรงสักปีหนึ่งสิ ชีวิตไม่เคยทำอะไรเลย เดี๋ยวก็ตาย เดี๋ยวก็อ้วน เดี๋ยวก็เบาหวานฯลฯ

ชีวิตเรามีสองอย่าง ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อเจอแต่ความสุขอย่างเดียว ต้องเจอทุกข์ด้วย และถ้าวันไหนเจอความทุกข์ก็ต้องไม่เสียใจไม่ต้องร้องไห้ เพราะมันต้องเจอ เหมือนมีมือซ้ายก็ต้องมีมือขวานี่คือเรื่องปกติ

อะไรคือความสุขของสัญญา คุณากร

ทุกสิ่งเป็นความสุขของชีวิต สมมุติคุณมีความรู้สึกว่าตอนนี้ไม่มีความสุขเลย อยากหาอะไรมากินให้มีความสุข อยากหาอะไรมาดื่มให้สนุก คุณก็ลอง โดยจับไปวิ่งรอบสนาม 110 รอบ ลุยโคลน เอาหัวปักดินกลางทรายกลางแดด เหนื่อยก็เหนื่อย หิวก็หิว ร้อนก็ร้อน ตะคริวจะกิน จะตายอยู่แล้ว เสร็จแล้วพอเขาให้นั่งเฉยๆ 5 นาที มีน้ำเย็นให้กิน 1 แก้ว โห..แต่นี้โคตรสุขเลย ขอนั่งอยู่ตรงนี้มากกว่า 5 นาทีได้ไหม ขอน้ำเพิ่มเป็น 2 แก้วได้หรือเปล่า ในขณะที่ให้คุณไปนั่งที่ไหนก็ได้ 5 นาที ได้นั่งในร่ม มีน้ำเปล่าให้แก้วหนึ่ง เรากลับคิดว่าไม่มีอะไรเลย น่าเบื่อ แปลว่าทั้งหมดมันถูกสร้างจากข้างในใจเราเป็นผู้เลือก ถ้าเราไม่รู้เท่าทัน เราจะคิดว่ามันต้องมีอะไรดีกว่านี้อีก แต่จริงๆ แล้วรอบๆ ตัวเราเป็นความสุขได้ทั้งนั้น อยู่ในใจเราคิด

ถ้าวันไหนคุณต้องนอนอยู่แต่บนเตียงในโรงพยาบาล คุณจะรู้สึกว่าการได้นั่งโซฟา ได้เดินไปไหนมาไหน ได้ทำอะไรต่ออะไร มันรู้สึกดีจริงๆ ผมเคยประสบอุบัติเหตุรถชน กระดูกคอร้าว ตอนนั้นยังไม่เข้าวงการ นอนอยู่โรงพยาบาล ขยับไปไหนไม่ได้ ใส่เฝือกดามคอไว้ ผมนอนนับรูฝ้าเพดาน วนไปวนมาอยู่อย่างนั้น เทียบกับการได้ออกมาเดินตากแดด มาดมควันรถเมล์บ้าง มันช่างเป็นชีวิตที่ดีเสียนี่กระไร (เน้นหนักแน่น) สำหรับผมแล้ว ผมมีความสุขมากที่ได้ใช้ชีวิตในทุกๆวัน

งานเขียนของบุคคลที่ชื่นชมและนับถือ

งานสัมฤทธิ์ ชีวิตรื่นรมย์ ของ ว.วชิรเมธี บางคนงานสัมฤทธิ์ แต่ชีวิตไม่รื่นรมย์ ถ้าเราเข้าใจหลายเรื่อง เราก็จะทำงานและใช้ชีวิตควบคู่กันไปได้ เพราะงานเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น

งานของคุณ “รงค์ วงษ์สวรรค์ เขียนอะไรก็ดีไปหมด ไม่ได้อ่านทุกเล่ม แต่ไม่เคยมีเล่มไหนที่หยิบมาอ่านแล้วผิดหวัง ติดตามงานท่านตั้งแต่สมัยที่ตีพิมพ์ในลลนา จนท่านเสีย เป็นคนที่ผมจัดอันดับให้อยู่ในระดับเดียวกับโกวเล้ง ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเช่นเดียวกันสำหรับผม ผมว่านักเขียนอย่างคุณ” รงค์กับโกวเล้งเป็นแบบที่ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้ จะได้เจออีกหรือเปล่า

เพียรพูดความจริงในวัยสนธยาแห่งชีวิต ของ ส.ศิวรักษ์ เคยสัมภาษณ์คุณ ส.ครั้งหนึ่ง ท่านเป็นคนที่มีเมตตามาก เป็นนักปราชญ์ที่มองสังคมอย่างปรุโปร่งและตรงไปตรงมา เล่มนี้เป็นการรวบรวมบทบรรยายที่ท่านไปบรรยายตามที่ต่างๆ เป็นอีกเล่มหนึ่งที่อ่านรวดเดียวจบ

ถ้าเหลือเวลาใช้ชีวิตอีกไม่นาน สิ่งที่อยากทำคืออะไร

อยากเดินทางรอบโลก ซึ่งก็เหลือไม่กี่ทวีปแล้ว เพราะชีวิตมีความแตกต่าง การได้ไปเจอ คุณจึงจะเข้าใจความแตกต่างนั้น บางครั้ง ถ้าคุณไม่เข้าใจความแตกต่าง คุณจะรู้สึกไม่เป็นมิตรกับเขา เช่น คุณเห็นแมลงสาบเดินมา มันไม่ได้ทำอะไรให้คุณ แต่คุณไม่ชอบมัน ถ้าฆ่ามันได้ก็จะฆ่า คิดดูสิ คุณพร้อมจะทำลายชีวิตที่ไม่รู้จักกันเลย เพราะคุณไม่เข้าใจเขา แต่ถ้าเราเข้าใจว่าทุกอย่างต้องประกอบกัน ความหลากหลายมารวมกันจึงเกิดเป็นโลก ถ้าโลกมีแต่มนุษย์ มันคงเป็นโลกที่ระยำที่สุด เพราะฉะนั้นเกิดมาครั้งหนึ่ง ถ้ามีโอกาสได้เห็นด้านอื่นๆ ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจเขา ไม่ต้องรู้เพื่อให้ตัวเองเก่งหรือฉลาดขึ้นหรอก แต่รู้เพื่อรู้ก็มีความสุขแล้ว