เชื่อว่าไม่ตาย
บทความจากนิตยสารชีวจิต
.ครบหนึ่งสัปดาห์ผมกลับไปที่โรงพยาบาลแห่งเดิมเพื่อฟังผลตรวจอย่างละเอียด ความรู้สึกไม่ได้แย่ไปกว่าตอนรู้ว่าป่วยเป็น ลิวคีเมีย ก็คงจะเหมือนเด็กที่รู้ว่าสอบตกแต่ยังไม่รู้ว่าตกด้วยคะแนนเท่าไรกระมัง จะต่างก็ตรงที่สถานภาพเปลี่ยนเป็น นายภูษิต เพ็ญศิริ ที่สอบไม่ผ่านเรื่องการดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรค และคะแนนที่คุณหมอบอกแก่ผมก็คือ
อาการของคุณค่อนข้างหนัก ม้ามโตมาหลายเซนต์แล้ว เข้าระยะที่ 2-3 น่าจะอยู่ได้ไม่กี่เดือน อย่างมากก็ 2 ปี ต้องรักษาทันทีนะ
แล้วผมก็ค้นพบคำพูดที่ตรงไปตรงมาที่สุดในวันใกล้ตาย จึงได้แต่ขอบคุณคุณหมอในใจ แต่น่าแปลกที่กลับรู้สึกราวยกภูเขาออกจากอก ไม่ใช่ ความดีใจ แต่หมายถึงได้รู้เส้นตายของตัวเองต่างหาก ถ้ามองในมุมกลับกัน อย่างน้อยผมก็โชคดีกว่าคนที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ซึ่งไม่อาจรู้วันตายล่วงหน้า ผมจึงตอบรับการรักษาด้วยความเต็มใจ
รักษาเลยครับ เพราะผมมั่นใจว่าไม่ตาย และมีโอกาสหายได้ คุณหมอมองผมด้วยสีหน้าฉงนใจแล้วพูดว่า ดีนะ ให้กำลังใจตัวเอง
ผมไม่ได้แค่ ให้กำลังใจตัวเอง แต่คำพูดในวันนั้นมาจากความเชื่อที่ว่า วิธีคิดมีผลต่อการดำเนินชีวิตและการกระทำ ถ้าเชื่อว่าตัวเองไม่ตาย ผมก็จะทำทุกอย่างให้เป็นไปตามนั้น แม้ว่านั่นอาจดูคล้ายการว่ายทวนกระแสน้ำก็ตาม
และบางเสียงจากหัวใจผมก็บอกว่าไม่ควรสิ้นหวัง หากยังไม่ได้พยายามทำอะไร
วางแผนชีวิตใหม่
หลังกลับจากโรงพยาบาลรอบสอง ผมไม่ได้บอกอาการป่วยให้คุณพ่อคุณแม่รับรู้ เพราะไม่อยากให้พวกท่านเป็นห่วงมาก และผมคิดว่าแก้ไขเพียงลำพังได้ แต่มีเรื่องเดียวที่ใจยังกังวลคือ ถ้าลูกคนเดียวอย่างผมเป็นอะไรขึ้นมากะทันหัน (แม้จะมีความเชื่อว่าไม่ตาย แต่ความตายก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมอยู่ดี) คุณพ่อคุณแม่จะอยู่อย่างไร
สิ่งแรกที่ทำจึงเป็นการวางแผนชีวิตให้คุณพ่อคุณแม่ โดยเอาทรัพย์สินออกมา ทั้งบัญชีธนาคาร ทองคำ และโฉนดที่ดิน แล้วช่วยกันประเมินว่า ถ้าขายของมีค่าทั้งหมดบวกกับเงินสดและเงินบำเหน็จบำนาญ ท่านทั้งสองจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้จนวันตาย
เนื่องจากผมเป็นคนชอบวางแผนชีวิต คุณพ่อคุณแม่จึงไม่สงสัยว่าทำไมจึงลุกขึ้นมากะเกณฑ์ทุกอย่าง และผมเองก็เคยเปรยบ่อยครั้งว่าข้าราชการยุคหลังต้องลำบากมาก คุณพ่อเป็นโรคหัวใจโตอยู่ก่อนแล้ว อยากให้ท่านได้พักผ่อน และอยากให้คุณแม่พักผ่อนด้วย
พวกท่านควรได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่คุณพ่อเกษียณ คุณแม่ทำงาน ถ้าเกิดเครียดแล้วเป็นอะไรไป คุณพ่อก็ต้องอยู่คนเดียว ในที่สุดทั้งคู่ก็ตัดสินใจออกจากงานก่อนเกษียณ คุณแม่รับบำนาญ คุณพ่อรับบำเหน็จ ผมจึงหมดห่วงเรื่องสำคัญไป
ช่วงเวลาที่จำเป็นต้องรักษาตัว ผมไม่อยากเบียดบังเงินที่สะสมไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ จึงคิดว่าควรจะทำงานต่อ แต่จะทำงานหนักเหมือนเดิมก็คงจะไม่ไหว ผมจึงถามตัวเองว่าชอบงานอะไรมากที่สุด และอยากทำงานกับใคร
แล้วก็ได้คำตอบว่า อยากสอนหนังสือให้เด็กๆ จึงตัดสินใจหยุดงานที่ปรึกษาซึ่งมีรายได้แสนบาทต่อเดือน มาเป็นอาจารย์สอนพิเศษตามมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีรายได้ไม่ถึงหมื่นบาทต่อเดือน เมื่อได้ทำงานที่รัก ความเครียดจึงไม่ถามหา สุขภาพก็ย่อมดีขึ้น
โชคดีที่คุณหมอเจ้าของไข้โอนย้ายผมมารักษาที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งแห่งหนึ่งจึงไม่เสียค่าใช้จ่ายสูง ทั้งยังโชคดีสองชั้นที่โรงพยาบาลอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยที่สอน และไม่ไกลจากบ้านมากนัก วัฏจักรชีวิตใหม่ของผมจึงวนเวียนอยู่ระหว่างบ้าน โรงพยาบาล และที่ทำงาน ความวุ่นวายเหนื่อยยากในชีวิตก็ลดลง
กลับมาดูแลตัวเอง
ผมรับการรักษาด้วยการกินยาเป็นรอบๆ ไป ยากระปุกหนึ่งเยียวยาได้เพียงเดือนครึ่ง ทุกครั้งที่กินยาผมจะมีอาการเวียนศีรษะและอ่อนเพลียจึงต้องนอนพักผ่อนเพื่อฟื้นตัว ส่วนระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ถ้าช่วงไหนอ่อนแอก็นอนนานหน่อย แต่ถ้าแข็งแรงนอนไม่เกิน 15 นาทีก็ลุกขึ้นมาทำงานได้
แรกเริ่มที่รักษาผมรู้สึกเหนื่อยมาก ลักษณะอาการไม่ต่างจากคนที่ขึ้นเขาสูงๆ และร่างกายซูบผอม บางทีมองเห็นตัวเองในกระจกผมยังจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงไม่กล้าปฏิเสธความรู้สึกท้อแท้ใจ ซึ่งแท้จริงแล้วมาจากการกระทำของผมทั้งสิ้น
ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งอายุสามสิบกว่าปีที่ป่วยหนัก ผมไม่เคยดูแลตัวเองเลย ทั้งที่เป็นเรื่องง่ายมาก เพียงแบ่งเวลาพักผ่อน กินอาหารดีๆ จำพวกผลไม้ให้มาก ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และดูแลจิตใจไม่ให้เครียด
แต่โดยธรรมชาติของผมมักรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อเจออะไรที่ง่ายเกิน จึงมุ่งทำแต่เรื่องยากคือการหาเงิน และละเลยเรื่องพื้นฐานใกล้ตัวไป แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว ว่าไม่มีอะไรที่ยากเกินเผชิญ และไม่มีอะไรที่ง่ายจนไม่น่าไว้วางใจ ทุกอย่างอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน และการดูแลตัวเองคือการใช้ชีวิตอย่างฉลาดที่สุด ขึ้นอยู่กับว่า เราจะมีกึ๋นพอที่จะทำได้หรือเปล่า
ผมจึงใช้สติปัญญาทั้งหมดที่มีดูแลตัวเอง โดยเริ่มจากการทำจิตใจให้เข้มแข็ง เพราะถ้าจิตเรามีพลังก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่ดีได้ทั้งหมด ผมจึงต้องรักษาใจตัวเองให้รู้จักมองทุกอย่างเชิงบวกเพื่อใช้ชีวิตบนความแตกต่างให้ได้
วิธีที่ผมปฏิบัติคือ สวดมนต์ตอนตื่นนอนและก่อนนอนเป็นการปรับสภาวะอารมณ์ จากนั้นก็นั่งสมาธิประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อล้างสิ่งที่หมักหมมอยู่ในใจ จากกำลังโกรธก็เปลี่ยนเป็นคนหน้าตายิ้มแย้ม แจ่มใส จิตใจเย็นลง
ส่วนการระบายความเครียดของผมคือ การบอกทุกคนที่พบเจอว่ากำลังป่วย เพราะผมคิดว่าโรคที่ตัวเองเป็นไม่ใช่โรคที่สังคมรังเกียจ แต่ควรได้รับความเห็นอกเห็นใจและให้อภัยเมื่อผมบังเอิญทำความผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น ไปทำงานสายยามที่ลุกจากเตียงไม่ไหว ผมคิดว่ามนุษย์เราย่อมมีความอ่อนแอด้วยกันทุกคน และเราไม่จำเป็นต้องแสดงความเข้มแข็งตลอดเวลา
นอกจากนี้การได้ช่วยเหลือคนที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งเหมือนกัน แม้เพียงแค่ให้กำลังใจ ก็เป็นยาใจของผมอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ญาติของลูกศิษย์ หรือใครต่อใครที่ผมรู้จัก ถ้าผมสามารถช่วยบอกวิธีคิดใหม่ในการต่อสู้ชีวิตได้ ผมก็จะทำ
เมื่อดูแลจิตใจจนเข้มแข็งแล้ว สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือการดูแลร่างกายให้แข็งแรง ผมสังเกตตัวเองว่ามีอาการเหนื่อยง่ายอยู่บ่อยๆ เพราะมักจะทำอะไรเร่งรีบด้วยกลัวไม่ทันเวลา แม้กระทั่งหายใจ ผมยังหายใจเร็ว ถี่ และสั้นไปโดยปริยาย
ผมจึงฝึกหายใจให้ลึก ยาว และต่อเนื่องด้วยการนำท่าไหว้ของหวังต้าเซียน (เทพในตำนานจีนที่สำเร็จธรรมด้วยการอ่อนน้อม) มาปรับใช้ โดยชูแขนเหยียดตรงทั้งสองข้างพร้อมกับยื่นปลายเท้าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงจนเข่าจรดพื้น ก้มศีรษะติดพื้นพร้อมหายใจออกจนสุดท้อง จากนั้นเริ่มทำใหม่จากท่าเริ่ม
วิธีนี้ทำให้ผมหายใจรับเอาออกซิเจนเข้าไปในปอดได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของระบบเลือด และยังเป็นการบริหารไขกระดูกไปในตัว ผมจึงปฏิบัติทุกวันควบคู่กับการออกกำลังกายประเภทฟิตเนส จ็อกกิ้ง หรือเดินเร็วเพื่อขยายกล้ามเนื้อให้เก็บเม็ดเลือดแดงมากขึ้น ซึ่งเป็นหลักการง่ายๆ ที่ผมเคยเรียนมาตั้งแต่ชั้นมัธยม
โดยเฉพาะในกรณีของผม จำเป็นต้องกินอาหารที่สนับสนุนให้เม็ดเลือดแดงคงอยู่และสลายตัวได้เร็ว เช่น แครอท มะเขือเทศ ใบขี้เหล็ก ใบกระเพรา โหระพา คะน้า และดื่มน้ำสมุนไพร เก๊กฮวย จับเลี้ยง และน้ำผึ้งเพื่อกระตุ้นระบบหมุนเวียนเลือด
หลังจากใส่ใจดูแลตัวเองเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ผลการตรวจร่างกายค่อยๆ ดีขึ้น ผมจึงตัดสินใจบอกเรื่องที่ป่วยให้คุณพ่อคุณแม่รับรู้ เมื่อพวกท่านทราบต่างก็ตกใจและแปลกใจมากที่ผมไม่เคยแสดงความผิดปกติออกมาให้เห็นเลย ผมยิ้มเหมือนเคยแล้วบอกว่า
เป็นมะเร็ง ไม่ตายหรอก ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว
แค่นี้จริง...จริง
เมื่ออาการดีขึ้น ปี 2546 ผมกลับมาทำงานประจำอีกครั้ง และลุยงานอย่างเต็มตัวจนทำให้อาการแย่ลงในช่วง 2 ปีถัดมา จึงได้บทเรียนใหม่เรื่องความไม่ประมาท แล้วกลับไปดูแลตัวเองเหมือนเช่นที่ผ่านมา
ทุกวันนี้ผมพยายามดูแลตัวเองให้มากขึ้น และเตือนตัวเองทุกขณะว่ากำลังป่วย มาถึงตอนนี้เกือบ 7 ปีแล้วที่ผมยังมีลมหายใจอยู่ แต่มีหลายสิ่งในตัวผมที่เปลี่ยนไป นั่นคือ ร่างกายแข็งแรง สุขภาพจิตดี และมีความสุขยิ่งขึ้น
ใครที่เห็นภาพหรือรู้จักตัวจริงของผม คงเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมบอก เพราะหน้าตาที่แจ่มใสทำให้ผมไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด หลายคนอาจคิดว่าเกิดจากความฟลุคหรือโชคเข้าข้าง แต่เปล่าเลย สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตินี้มาจากความตั้งใจของผมที่เพียรกระทำวันแล้ววันเล่า และความเชื่อที่ว่าตัวเองจะไม่ตาย
สำหรับผม มะเร็งก็เป็นแค่ความตายที่พยายามเข้ามาในชีวิต ไม่ต่างจากเด็กที่เอนท์ไม่ติด ซึ่งเป็นเพียงประสบการณ์หนึ่งในชีวิต เรื่องของผมก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าใคร และมีค่าเท่ากัน
จะต่างก็ตรงที่ผมคิดว่า ทุกเรื่องน้อยใหญ่ก็แค่เรื่องหนึ่งซึ่งไม่มีวันทำให้เราตายได้